ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี

News Updates

Club Inspired Day Recap

ปรัชญาชีวิตและความเป็นจริงจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” กับมุมมองความเชื่อ ความศรัทธา และการอ่านภาษากาย

28 ต.ค. 2025

ปรัชญาชีวิตและความเป็นจริงจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” กับมุมมองความเชื่อ ความศรัทธา และการอ่านภาษากาย

“ความเชื่อ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ถูกส่งต่อมาจากครอบครัว หรือคนใกล้ตัว ซึ่งความเชื่อมีทั้งแง่บวก และลบ แต่การกระทำก็ยังเป็นตัวหลักอยู่ดี ในการทำให้เราดำเนินชีวิตไปข้างหน้า หรือข้างหลัง สำหรับผมคิดว่าความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดก่อนเกิดการกระทำเท่านั้นเอง”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจเฟี๊ยต” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” นักอาชญาวิทยา ที่ได้พูดคุยเจาะลึกถึงรากฐานของพฤติกรรมมนุษย์และหลักการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท้าทายความเชื่อ และสิ่งเหนือธรรมชาติที่สังคมยึดถือกันมาอาจารย์ตฤณห์ได้นำเสนอจุดยืนที่ชัดเจนและแตกต่าง โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียง "เรื่องเสพเพื่อความบันเทิง" สำหรับท่านเท่านั้น และย้ำว่าการตั้งคำถามอยู่เสมอคือสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ"ความเชื่อคือเรื่องบันเทิง" เมื่อนักอาชญาวิทยาไม่ยอมให้ใครมาท้าทายตรรกะอ.ตฤณห์ โพธิ์รักษา เป็นอาจารย์และนักอาชญาวิทยาผู้ยึดมั่นในหลักเหตุผลและความยุติธรรม โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียงเรื่องที่ควร "เสพเพื่อความบันเทิง" เท่านั้น ท่านไม่เคยเชื่อในตารางสีเสื้อมงคล แต่เชื่อว่าหลักการสำคัญในการใช้ชีวิตคือ กาลเทศะ โดยยกตัวอย่างว่าสีเนื้อผ้ามีผลต่อการป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น สีสะท้อนแสงในเวลากลางคืนอ.ตฤณห์ ตั้งคำถามเชิงตรรกะต่อความเชื่อเรื่องดวง และราศีอย่างรุนแรง โดยชี้ว่า หากโลกนี้มีคน 1,000 ล้านคน แต่มีเพียง 12 ราศี แสดงว่าคนทั้งหมดจะมีดวงแค่ 12 แบบเท่านั้นหรือ? ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และย้ำว่าการมีศรัทธาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความเชื่อที่ปราศจากการตั้งคำถาม หรือตั้งอยู่บนหลักที่ไม่มีเหตุผล จะกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ดังนั้น การตั้งคำถามอยู่เสมอ คือเกราะป้องกันตนเอง อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้ยิน อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้เห็น และการที่ธุรกิจจะเติบโตได้นั้นมาจากการกระทำ และความตั้งใจของเราเอง ไม่ใช่การถวายไข่ 100 ฟอง โดยที่เราไม่นั่งทำงานดวงดี ดวงร้าย และ "สภาวะจิตไม่ปกติ" เมื่อคำทำนายกลายเป็นคำสั่งให้ระแวงอ.ตฤณห์อธิบายว่า คำว่า "ดวงดี" หรือ "ดวงไม่ดี" เป็นเพียงการปลอบใจตนเอง หรือการโทษสิ่งอื่นเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เช่น สอบตกเพราะไม่ตั้งใจเรียน แต่กลับโทษว่าเป็นเพราะดวงท่านชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการดูดวงหรือคำทำนายล่วงหน้าว่า เมื่อเราทราบคำทำนายแล้ว มันจะทำให้เกิด "สภาวะจิตที่ไม่ปกติ" ซึ่งจะทำให้เรา ดึงทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น ตัวอย่างเช่น หากเราอ่านคำทำนายว่าอาทิตย์นี้จะเกิดอุบัติเหตุ เราจะโฟกัสและระวังเรื่องอุบัติเหตุเป็นพิเศษ จนกระทั่งการเตะโต๊ะเบา ๆ ที่ปกติไม่นับเป็นอุบัติเหตุ ก็จะถูกนับเป็นอุบัติเหตุด้วย ท่านเน้นว่านี่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจมากกว่าดังนั้นการเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องโชคลาง จะช่วยให้เรา ปรับสภาวะจิตใจให้เป็นปกติ และการเชื่อตาม ๆ กันโดยไม่ตั้งคำถาม ทำให้เกิดเป็น ขนบธรรมเนียม ที่แพร่หลาย (เช่น การบวงสรวง หรือการแก้ชง) นั่นเองต้นกำเนิดของการโกหก เราถูกฝึกให้ซ่อนความรู้สึกมาตั้งแต่เด็กอ.ตฤณห์ อธิบายถึงการกำเนิดของพฤติกรรมการโกหกว่า เราเป็นคนสอนให้ลูกชอบโกหกเอง ในทางธรรมชาติ เด็กจะมีอารมณ์ไม่กี่อย่าง เช่น ร้องไห้ หัวเราะ โกรธ แต่เมื่อเด็กร้องไห้ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไม่ปล่อยให้เด็กร้องจนสุดอารมณ์ แต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กเงียบ เช่น การเปิดการ์ตูน, เอาขนมให้, หรือขู่ด้วยเรื่องต่าง ๆเมื่อเด็กเรียนรู้ว่าเวลาที่เขาแสดงอารมณ์จริง ผู้ปกครองจะแสดงความไม่พอใจ เด็กจึงเรียนรู้ที่จะ เก็บอารมณ์และแสดงอย่างอื่นแทน นี่คือขั้นตอนแรกของการฝึกโกหก เช่นเดียวกับการกลัวผีหรือวิญญาณ ซึ่งท่านเชื่อว่าความกลัวเหล่านี้ถูก "สร้างขึ้นโดยผู้ใหญ่" เพื่อเป็นกุศโลบายให้เด็กกลัวความมืดและรีบกลับบ้านดังนั้นการเข้าใจที่มาของพฤติกรรมตนเอง (เช่น การโกหกหรือการเก็บอารมณ์) เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มนุษย์ตามธรรมชาติกลัวสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้เมื่อความอยุติธรรมนำไปสู่กฎหมาย พร้อมบทเรียนจากยุคล่าแม่มดอ.ตฤณห์ เชื่อมโยงความกลัวเข้ากับรากฐานของสังคม โดยชี้ว่าเมื่อมนุษย์หาคำตอบไม่ได้เกี่ยวกับภัยพิบัติหรือความตาย ศาสนจักร จึงเข้ามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและโยนความผิดให้กับเรื่องลี้ลับ เช่น แม่มดหรือซาตานท่านใช้ประวัติศาสตร์ของการล่าแม่มดมาอธิบายถึงความอยุติธรรมที่เป็น ต้นกำเนิดของการกำเนิดขึ้นมาของกฎหมายและอาชญาวิทยา ในกระบวนการพิสูจน์ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดนั้น เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เช่น1.การชั่งน้ำหนัก หากผู้ต้องสงสัยบริสุทธิ์ จะต้องเบากว่าขน นก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเป้าหมายคือการหาแพะมารับโทษ2.การถ่วงน้ำ จับผู้ต้องสงสัยมัดถ่วงน้ำ หากใครสามารถรอดขึ้นมาได้ ถือว่าคนนั้นไม่ใช่คน (เป็นแม่มด) และจะถูกจับขึ้นมาเผาทั้งเป็น ส่วนคนที่จมก็จะจมไปเลย สรุปคือ ไม่มีใครรอดอยู่ดีซึ่งความอยุติธรรมในอดีตสอนให้เราตระหนักถึงความจำเป็นของการมีหลักเหตุผลและความยุติธรรม ในการดำรงชีวิต การเข้าใจรากฐานของสังคมช่วยให้เราตระหนักว่า มนุษย์มีความซับซ้อนและมีชั้นเชิงระดับที่แตกต่างหลากหลายมาก ซึ่งไม่ใช่แค่รหัส 01100 เหมือนระบบ AIเหยื่อวิทยาและภัยจากลัทธิ ทำไมคนเปราะบางถึงตกเป็นเป้าหมายอ.ตฤณห์ อธิบายว่า กลุ่มคนที่ถูกชักจูงเข้าสู่ลัทธิได้ง่ายมักมี สภาวะจิตใจเปราะบาง อ่อนแอ และต้องการที่พึ่ง ซึ่งไม่จำกัดว่าจะเป็นคนรวยหรือจน วิชาเหยื่อวิทยา (Victimology) ได้จำแนกประเภทของเหยื่อเหล่านี้ไว้ เช่น คนอกหัก, คนสติไม่สมประกอบ, คนล้มละลาย, ผู้หญิง, เด็ก, หรือคนชราอ.ตฤณห์เตือนว่า สถานที่ปฏิบัติธรรมมักเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะผู้ที่มาแสวงหาความสงบส่วนใหญ่เป็นคนที่มีทุกข์ (เช่น สูญเสียคนรักหรือล้มละลาย) และมิจฉาชีพมักจะไปล่อลวงคนจากสถานที่เหล่านี้ สำหรับคนที่หลงเชื่อลัทธิอย่างหน้ามืดตามัวจนถึงขั้นขโมยของไปถวายวัด การช่วยทำได้ยาก และต้องได้รับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ การบำบัดต้องเริ่มจากการไม่ให้เข้าถึงเครื่องมือสื่อสารที่พาไปสู่วงจรนั้นได้ดังนั้นหากเรามีอาการที่น่าสงสัย เช่น รู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ, นอนหลับมากไป/น้อยไป, หรือน้ำหนักขึ้นลงเกิน 5 กิโลกรัม ควรหาผู้เชี่ยวชาญปรึกษา อย่าพยายามวินิจฉัยโรคเองทางอินเทอร์เน็ต โดยการเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ควรผ่านการตั้งคำถาม เช่น เรื่องมนุษย์ต่างดาวที่อ้างว่าโทรคุยได้หรือใช้ Line ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลยรักตัวเองคือเกราะป้องกัน กฎเหล็กสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นพิษในเรื่องความสัมพันธ์ อ.ตฤณห์ แนะนำว่า ไม่ควรใช้ทักษะการจับโกหกเพื่อ "ทนอยู่" กับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่ควร รักตัวเอง และให้เกียรติตัวเองมากๆ หากเรามีศักดิ์ศรีและให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่อถูกไม่ให้เกียรติแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถเดินหน้าได้ไวอ.ตฤณห์ เน้นว่า ทุกความสัมพันธ์ต้องมีกฎการอยู่ร่วมกัน เพราะคนสองคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทำตามกฎที่ตกลงกันได้ แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ให้คุณค่ากับชีวิตคู่เท่ากันเรื่องความขี้หึง คนที่ขี้หึงมักเป็นคนที่มี self-esteem ต่ำ (ไม่มั่นใจในตัวเอง) การหึงหวงถึงขั้นรุนแรงที่ทำลายร่างกายหรือจิตใจไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ หากมีปัญหานี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือจิตแพทย์ และการบำบัดต้องทำทั้งคู่ดังนั้นพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นพิษ (Toxic) ในบ้าน เช่น ความรุนแรงทางคำพูด, การด่ากัน, หรือแม้แต่ "การเงียบ" ไม่เคลียร์ปัญหา ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่เป็นพิษ และความรักที่เราเคยรับรู้จากครอบครัว (เช่น พ่อเมาเหล้าซ้อมแม่) อาจฝังอยู่ในหัว ทำให้เรามองว่าความรุนแรงบางรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในความสัมพันธ์สติและวุฒิภาวะทางอารมณ์ การอยู่รอดในสังคมที่มีคนป่วยทางจิต 20%อ.ตฤณห์วิเคราะห์ว่า ในสังคมไทยมีผู้ที่มีปัญหาทางจิตถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้น การจัดการอารมณ์และวุฒิภาวะของตนเองจึงเป็นทักษะสำคัญท่านกล่าวว่าเราสามารถ อนุญาตให้ตัวเองมีความอ่อนแอได้ เพราะไม่มีใครเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญคือวิธีที่เราจะดูแลความอ่อนแอนั้น และวิธีรับมือกับสถานการณ์ ท่านแนะนำว่า "สติ" เป็นยาที่ดีที่สุด การจัดการกับความโกรธนั้นขึ้นอยู่กับ "วุฒิภาวะทางอารมณ์" เช่น การขับรถที่โดนปาดหน้า หากเราด่าในรถแล้วจบ ก็ถือเป็นการระบายอารมณ์ แต่ถ้าเริ่มเปิดกระจกด่า หรือขับรถปาดคืนเพื่อสู้กัน ถือเป็นการขาดวุฒิภาวะการจัดการเหยื่อที่ถูกสต๊อกเกอร์ หากสงสัยว่าถูกสะกดรอยตาม ให้ทดสอบโดยการเดินเลี้ยวขวาหรือซ้าย 3 ครั้ง เพื่อให้กลับมาที่เดิม หากเขายังตามอยู่ให้เก็บหลักฐานและแจ้งความทันทีเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้เส้นทางชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ผู้ตีความกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ ‘พอดีคำ’ สู่ภาพจำ ‘ทนายโซเชียล’

21 ต.ค. 2025

เรียนรู้เส้นทางชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ผู้ตีความกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ ‘พอดีคำ’ สู่ภาพจำ ‘ทนายโซเชียล’

“กฎหมายมันต้องแก้ตลอดเวลา ดังนั้นเราหยุดอ่านหนังสือไม่ได้ โดยเฉพาะนักกฎหมายต้องเรียนรู้ และต้องอัปเดตกฎหมายอยู่บ่อย ๆ และเราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เราทุกคนจำเป็นต้องรู้กฎหมาย”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไทย ที่ได้ให้ความรู้ และอธิบายประเด็นทางกฎหมายที่ซับซ้อน และเป็นที่สนใจของสังคมในหลากหลายหัวข้อ เช่นกฎหมายครอบครัว(การฟ้องชู้ สินสมรส),กฎหมายอาญา(การหมิ่นประมาท การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ),ความเข้าใจผิดทางกฎหมาย(การอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย), รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวในการเป็นทนายความและการทำคดีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงการเปลี่ยนความฝันจากการเป็นหมอมาสู่อาชีพทนายความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของภาษาและข้อกฎหมายที่ต้องตีความอย่างละเอียดถี่ถ้วนในคดีข่มขืน นอกจากอาชีพทนายแล้ว ทนายแก้วยังกล่าวถึงธุรกิจส่วนตัวคือร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้วซึ่งมีถึง 27 สาขา และเรื่องราวในครอบครัว รวมถึงแนะนำประชาชนทั่วไปในการเลือกทนายความอีกด้วย เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้ตั้งใจ จากฝันอยากเป็นหมอ สู่ทนายความที่ชื่นชอบกฎหมายทนายแก้วเล่าว่าในวัยเด็ก และช่วงแรกของการศึกษา ท่านมีความฝันที่จะเป็น คุณหมอ เนื่องจากเรียนสายวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เมื่อการสอบเข้าไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ จึงได้ตัดสินใจพัก และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อได้นั่งฟังวิชากฎหมาย โดยเฉพาะวิชากฎหมายอาญา ที่อาจารย์ได้สอนเรื่องการข่มขืนกระทำชำเรา ท่านรู้สึกทึ่งในภาษา และถ้อยคำของกฎหมายที่ต้องใช้ความชัดเจนและสิ้นสงสัยอย่างมาก ทนายแก้วชื่นชมว่า กฎหมายมีความมหัศจรรย์และมีเสน่ห์ ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากที่เคยอยากเป็นหมอ มาเป็นนักกฎหมายอย่างจริงจังจากเรื่องราวพาร์ทนี้จะเห็นว่า บางครั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเราเปิดใจค้นพบ “เสน่ห์” ในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และความหลงใหลนั้นก็กลายเป็นแรงผลักดันให้เราประสบความสำเร็จในที่สุดปริญญาเอกและเนติบัณฑิต เส้นทางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตหลังจากค้นพบความหลงใหลในกฎหมาย ทนายแก้วได้ทุ่มเทอย่างหนัก โดยท่านระบุว่าได้ศึกษาด้านกฎหมายโดยตรงในทุกระดับตั้งแต่ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกด้านกฎหมาย นอกจากนี้ ยังได้เรียนเสริมจนจบ เนติบัณฑิต อีกด้วยท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกฎหมายมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่เป็นนักเรียนกฎหมาย ท่านต้องอ่านหนังสือ และท่องกฎหมาย อย่างหนักถึงวันละ 8-9 ชั่วโมง ท่านมองว่านักกฎหมายที่ดีต้องมีความเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง และต้องติดตามความเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงของหลักฐานทางกฎหมาย เช่น ปัจจุบันข้อความจากการแชทไลน์สามารถใช้ฟ้องร้องได้ซึ่งความรู้ในวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่ง หากต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราต้องทุ่มเทให้กับการอ่านและการทบทวนอยู่เสมอ เพราะกฎหมายนั้น "ต้องแก้ตลอดเวลา""ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้ว” ทนายความที่มาพร้อมการเป็นนักธุรกิจ 27 สาขานอกเหนือจากการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่มักปรากฏตัวในรายการ "โหนกระแส" และเชี่ยวชาญคดีสังคม (เช่น พินัยกรรม มรดก กฎหมายครอบครัว และกฎหมายแพ่ง) ทนายแก้วยังเป็นนักธุรกิจด้วย โดยเป็นเจ้าของร้าน ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้ว ซึ่งมีมากถึง 27 สาขา ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากความชอบส่วนตัวในการทานเป็ดพะโล้ที่คุณแม่ชอบซื้อมาให้ตั้งแต่เด็กนั่นเองเดิมพันชีวิตเพื่อชาวบ้าน สู่คดีที่ทนายแก้วประทับใจที่ได้ทำหนึ่งในภารกิจที่ทนายแก้วภาคภูมิใจที่สุดคือการทำงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยไม่หวังผลตอบแทน ในปี 2564 ท่านได้รับมอบหมายจากสภาทนายความให้เป็นหัวหน้าชุดดูแลช่วยเหลือชาวบ้านที่ ต.นาเคียน และ ต.นาซราย จ.นครศรีธรรมราช ในคดีบ่อขยะขนาดใหญ่ บ่อขยะดังกล่าวมีขนาดเทียบเท่า 6 สนามฟุตบอล และกองสูงถึง 10 ชั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและนาข้าวของชาวบ้านมากว่า 10 ปี คดีนี้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลล้วน ๆ และมีการโทรมาข่มขู่ แต่ท่านก็เดินหน้าฟ้องหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถึง 14 หน่วยงาน ในที่สุด ศาลปกครองกลางได้พิพากษาให้ชาวบ้านชนะคดี แม้ว่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับจากสภาทนายความจะน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเห็นรอยยิ้มของชาวบ้าน การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลหรือความอยุติธรรม เป็นความภาคภูมิใจที่เหนือกว่าผลตอบแทนทางวัตถุแสงสว่างในความมืด บทบาทของทนายความยุคใหม่ทนายแก้วยังได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของนักกฎหมายและประชาชน ไว้ดังนี้1.การช่วยบรรเทาความทุกข์ ท่านเน้นย้ำว่าผู้ที่ถูกฟ้องหรือตกเป็นจำเลยจะรู้สึกเหมือน "ไฟเผาทรวง" คือมีความทุกข์ทรมานใจและกระวนกระวายอย่างมาก ท่านจึงฝากถึงนักกฎหมายว่า หากมีความรู้ก็ควรเร่งช่วยตอบและอธิบายแก่ชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาคลายความกังวลและได้หลับสบาย2.สิทธิของจำเลย ท่านอธิบายถึงหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญว่า ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษา ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ การที่สื่อมักเบลอใบหน้าผู้ต้องหาก็เป็นไปตามสิทธินี้3.หลักการทำงานของทนายความ ทนายความมีหน้าที่ให้ข้อดีข้อเสียแก่จำเลย เช่น การแนะนำให้รับสารภาพเพื่อรับโทษที่เบาลง หรือการช่วยเขียนฎีกา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องช่วยให้จำเลยหลุดพ้นจากคดีเสมอไป4.ประชาชนควรรู้กฎหมาย กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลอ้างว่า "ไม่รู้กฎหมาย" ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงควรมีความรู้พื้นฐานทางกฎหมายติดตัวไว้บ้าง เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้กระทำความผิดในช่วงท้าย ทนายแก้ว ยังได้ฝากข้อคิดแรงบันดาลใจไว้ว่า "เราทำความดีต่อไปเถอะ อย่าไปท้อแท้" ในฐานะพลเมืองในสังคม เราต้องมีความเอื้อเฟื้อ และการใช้ความรู้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของนักกฎหมายเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดแรงบันดาลใจการทำเพลงของ “ตู่ ภพธร” พร้อมวิธีเลี้ยงลูกแบบ 'ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ' ที่เลือกสอนลูกในช่วงเวลากลางคืน

14 ต.ค. 2025

ถอดแรงบันดาลใจการทำเพลงของ “ตู่ ภพธร” พร้อมวิธีเลี้ยงลูกแบบ 'ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ' ที่เลือกสอนลูกในช่วงเวลากลางคืน

“กับลูก เราเล่นกันแบบเป็นเพื่อน แต่สอนแบบพ่อแม่ เราเลี้ยงลูกโดยเน้นเหตุผล และพยายามคุยกับเขาเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เราจะอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ถึงทำได้หรือทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่สั่งห้ามเฉย ๆ โดยไม่ให้เหตุผล เช่น หากลูกอยากเล่นอะไรที่เสี่ยง เราก็จะสอนวิธีที่ปลอดภัยและให้ระวัง แทนที่จะห้ามไปเลย เพราะผมไม่ชอบให้เด็กถูกห้ามจนไม่กล้าทำไปเลยโดยการขู่ และรอสอนลูกในช่วงที่คิดว่ามีสติ สมาธิที่กำลังดี โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนก่อนนอน เพราะลูกจะสงบที่สุด และไม่มานั่งเถียง ทำให้รับฟังเรื่องราวที่ต้องการสื่อสารได้ดี”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้”ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ตู่ ภพธร” นักร้องและนักแสดงชาวไทย ที่ได้แชร์เรื่องราวที่มาของภาพลักษณ์ในปัจจุบันที่ดูสนุกสนานขึ้น เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์อบอุ่นในอดีต จากนั้นได้กล่าวถึง ภูมิหลังในวัยเด็ก รวมถึงการเริ่มต้นเรียนดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น 12 ปีที่สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาเริ่มอาชีพเป็น นักร้องตามร้านอาหารไทย ก่อนจะได้รับโอกาสกลับมาทำงานเพลงในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึง การรับมือกับความเครียด ในชีวิต และ การเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองคน ในสไตล์ที่เน้นการใช้เหตุผลและความเข้าใจ รวมถึงผลงานการแสดง และแผนงานเพลงที่จะมีขึ้นในปีหน้า เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการเสียงดนตรีจากวันวาน...สู่การค้นหาตัวเองในต่างแดนย้อนไปเมื่อวัยเด็ก ตู่ ภพธ เริ่มต้นเรียนคีย์บอร์ดตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ที่สยามกลการ ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งกาจในการเล่น แต่ก็ถือเป็นการสร้างพื้นฐานด้านดนตรีและการฟังที่ดี ครอบครัวของเขา โดยเฉพาะคุณแม่ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เขาได้เรียนรู้ดนตรี ในวัยเด็ก เขาค้นพบว่าตนเองชอบการร้องเพลง และเริ่มร้องเพลงต่อหน้าผู้คนตามงานญาติหรือพิธีแต่งงาน โดยมักจะได้รับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นค่าตอบแทน ซึ่งปลูกฝังความคิดที่ว่า "ร้องเพลงต้องได้เงิน"เมื่ออายุ 13 ปี ตู่ ภพธร ได้ย้ายไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณแม่และพี่สาว เป็นเวลา 12 ปี การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากแยกทางกับคุณพ่อ แม้ว่าคุณตู่จะมีความรู้สึก “อยากไป”เพราะมองว่าอเมริกาเป็นแหล่งรวมของเล่นและสิ่งที่เห็นในหนัง แต่เมื่อไปถึง เขากลับรู้สึก “เหงาสุด ๆ” เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและแตกต่างจากเมืองไทย เขาต้องใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตัวในช่วงที่อยู่ที่นั่น เขาได้เรียนรู้การทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เช่น ช่วยคุณแม่ทำงานที่ร้านอาหารไทย เก็บโต๊ะ หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟในช่วงปิดเทอม เพื่อหาเงินค่าขนมจากชีวิตพาร์ทนี้ ทำให้เราเรียนรู้ว่า รากฐานสำคัญเสมอ การเรียนรู้พื้นฐานใด ๆ ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือทักษะอื่น ๆ จะเป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสในอนาคต และ ความเหงาคือส่วนหนึ่งของการเติบโต การเผชิญหน้ากับความเหงาและความแตกต่างในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เป็นบททดสอบที่ทำให้เกิดการปรับตัวและเรียนรู้จากนักร้องร้านอาหาร สู่จุดหักเหที่ชวนให้คิดถึงงานเสิร์ฟหลังเรียนจบหลักสูตร Certificate Course ด้าน Entertainment ในอเมริกา ตู่รู้สึกเคว้งคว้างและไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อหรือหางาน แต่ชีวิตนักร้องก็เริ่มต้นขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเขาไปเที่ยวร้านอาหารไทยกับเพื่อน และถูกชวนให้ไปร้องเพลงกับคาราโอเกะในร้าน เขาได้รับโอกาสเป็นนักร้องในร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ และร้องเพลงอยู่ 5 ปีตู่ได้พบกับ พี่บอย โกสิยพงษ์ ผ่านการร้องประสานเสียงให้กับ พี่นภ พรชำนิ และพี่บอย ในคอนเสิร์ตที่อเมริกา พี่บอยชักชวนให้เขากลับมาร้องเพลง "จะทำยังไง" ในอัลบั้ม RB Boy 11 ซึ่งเป็นเพลงแรกในฐานะนักร้องอาชีพของเขาในไทยในช่วงแรกของการทำงานกับค่าย LOVEiS ที่เป็นค่ายอินดี้ คุณตู่ต้องดูแลตัวเองทั้งเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เนื่องจากพี่บอยไม่เชื่อเรื่องช่างแต่งหน้า เขามักถูกแซวว่าดูเหมือนช่างเทคนิคหลังเวที เพราะหน้ามัน ทำให้ต้องไปซื้อแป้งมาทาเอง และเริ่มเรียนรู้การแต่งหน้าด้วยตัวเองหลังจากช่วงโปรโมทเพลงจบลง งานของตู่ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เขาเคยรู้สึกท้อแท้มาก จนคิดจะกลับอเมริกาไปทำงานเสิร์ฟเหมือนเดิมเพื่อประทังชีวิต เขาต้องขายทรัพย์สินชิ้นเดียวที่มีคือรถยนต์ที่แม่ซื้อให้ ซึ่งกลายเป็นเงินสำรองที่ค่อย ๆ หมดไป ในช่วงที่ไม่มีงานทำและเหงาจัด เขาใช้การ "เดิน" ทางไกล (เช่น เดินจาก BTS พระโขนงไปถึงแยกคลองตัน) เพื่อให้ตัวเองเหนื่อยจะได้ไม่คิดมาก และกลับไปพักผ่อนแม้จะโดนดูถูกหรือขาดความมั่นใจในเรื่องที่ไม่ถนัด (เช่น การดูแลภาพลักษณ์) ก็ต้องพยายามหาทางพัฒนาตัวเองและทำสิ่งที่จำเป็น เมื่อเผชิญกับช่วงตกต่ำ การหาทางออกเพื่อปลดปล่อยอารมณ์หรือทำให้ตัวเอง "หายเหนื่อย" (เช่น การเดิน) เป็นวิธีที่ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงยากลำบากไปได้การจัดการอารมณ์และการเติบโตบนเส้นทางศิลปินคุณตู่ยอมรับว่าในอดีตเขาเป็นคน "ใจร้อน" แต่ ณ ปัจจุบัน เขาพยายามทำตัวเองให้ "ใจเย็น" มากขึ้น เพราะต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก และตระหนักว่าความใจเย็นช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุด โดยวิธีการจัดการความเครียดและความโกรธของเขาคือ การหายใจลึก ๆ (Bubble Breathing) ที่เขามักสอนลูก และนำมาใช้กับตัวเองเพื่อให้กลับมาอยู่กับลมหายใจและสมาธิ รวมไปถึง การปล่อยวางและเตือนตัวเอง พยายามปล่อยให้เร็วที่สุดและคิดอยู่เสมอว่าความโมโหนั้น "ไม่คุ้มกัน" เพราะมันส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว และรู้จัก การรอเวลา เขาเชื่อว่าปัญหาหลายเรื่องเมื่อเวลาผ่านไปมันจะดูไม่ใหญ่เท่าไหร่นอกจากการร้องเพลงแล้ว ตู่ยังได้เข้าสู่วงการแสดงจากการชักชวนให้ไปแคสติ้งละครเวทีเรื่องแรกคือ น้ำใสใจจริง The Musical ซึ่งเขาพบว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากแต่สนุก และได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และตู่เคยได้รับบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูด Thirteen Lives ที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียในช่วงโควิด แม้จะเป็นงานเล็ก แต่เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้ลอง เพราะได้เห็นวิธีการทำงานโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่ ได้ฝึกดำน้ำเพื่อเข้าฉาก และได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้กำกับและนักแสดงที่ชื่นชอบวินาทีประทับใจที่ไม่ลืม ช่วงที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียนั้นตรงกับช่วงที่ภรรยา (คุณนุช) กำลังจะคลอดลูกคนที่ 2 เขาได้ตัดสินใจ แอบนำโทรศัพท์มือถือเข้ากองถ่าย เพื่อ Face Time คุยกับภรรยาในขณะที่กำลังคลอด โดยซ่อนโทรศัพท์ไว้หลังรูปจ่าแซม ซึ่งเป็น Prop ที่ต้องถือเข้าฉากพอดี เหตุการณ์นี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจและได้เห็นความเข้าใจกันในครอบครัวพาร์ทนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า หากได้ทำสิ่งที่รัก (เช่น การแสดงในหนังที่ชื่นชอบ) แม้จะเป็นบทบาทเล็ก ๆ ก็ยังคุ้มค่า เพราะได้เรียนรู้ ได้เห็นวิธีการทำงานที่ยิ่งใหญ่ และความใจร้อนมีแต่เสีย การฝึกตัวเองให้ใจเย็น การรู้จักปล่อยวาง และการเตือนตนเองอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตโดยเฉพาะเมื่อมีครอบครัวพ่อผู้ใช้เหตุผล และรักที่ต้องเติมเต็มตู่และภรรยาเลี้ยงลูกสาวสองคนด้วยวิธีการแบบสมัยใหม่ โดยเน้นการใช้ "เหตุผล" พยายามคุย และอธิบายลูกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และจะไม่ห้ามโดยไม่มีเหตุผล โดยตู่จะพยายามดุด้วยความเฟิร์มแบบไม่ใช้อารมณ์และมีเทคนิคเฉพาะที่เรียนรู้มาจากภรรยาคือการ สอนลูกในช่วงกลางคืนก่อนนอน เพราะเป็นช่วงที่ลูกสงบที่สุด และจะตั้งใจฟังตู่ยอมรับว่าหลังจากมีลูกสองคนแล้ว เวลาระหว่างเขากับภรรยาจะน้อยลง ทุกอย่างจะนึกถึงแต่ลูก ทำให้ต้องคอย เตือนตัวเองให้เติมความหวานให้กัน เช่น การหาเวลากินข้าวด้วยกัน การกอด หรือการหอมกันเมื่อนึกขึ้นได้ แม้เขาจะไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกมากนัก แต่ก็เคยเซอร์ไพรส์ภรรยาด้วยการทำเค้กให้ตู่มองว่า ลูกและครอบครัวคือความสุขและเป็นเหตุผลที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ เขาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความสุขกับการเลี้ยงลูก และใช้เวลากับช่วงวัยที่ลูกยังน่ารัก มาออดอ้อน เพราะช่วงเวลานั้นสั้นมาก (ก่อนอายุ 10-15 ปี)การสอนลูกด้วยเหตุผล การให้เกียรติพวกเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการสื่อสาร (เช่น ก่อนนอน) จะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพ และในชีวิตคู่ที่มีลูก การเติมความหวาน และการใช้เวลาร่วมกันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง "เตือนตัวเองให้ทำ" เพราะเป็นสิ่งที่สามารถลืมได้ง่ายข้อคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ และเส้นทางในอนาคตสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิง ตู่เน้นย้ำว่า "ฝึกฝนมาให้พร้อมที่สุด" ก่อนที่โอกาสจะมาถึง เขาแนะนำให้ใช้ช่องทางออนไลน์ในการเรียนรู้ (เช่น Masterclass) และใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้ตัวเอง เพราะปัจจุบันการหานักแสดงหรือนักร้องใหม่ ๆ อาจไม่ได้มาจากการแคสติ้งทั่วไป แต่มาจากช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องมีความขยัน มีวินัย และคิดอย่างมีกลยุทธ์ตู่ยืนยันว่าในปี 2026 จะมีผลงานเพลงใหม่ออกมาปล่อยเป็นซิงเกิล และวางแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตหลังจากนั้น แม้ว่าชีวิตส่วนตัวจะมีความสุขและอบอุ่น แต่ตู่ยังคงชอบที่จะร้องเพลงเศร้า เพราะเชื่อว่าเพลงเศร้าช่วยคนฟังได้ เป็นเหมือนขั้นตอนในการเยียวยาตัวเอง โดยการเศร้าให้สุดแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เขาเชื่อว่าคนเล่าเรื่องไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องของตัวเองเสมอไปเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดบทเรียนรับแรงบันดาลใจจาก “จูน กษมา” และ “เปิ้ล นาคร” นักธุรกิจที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และปรัชญาครอบครัวแบบออร์แกนิค

07 ต.ค. 2025

ถอดบทเรียนรับแรงบันดาลใจจาก “จูน กษมา” และ “เปิ้ล นาคร” นักธุรกิจที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และปรัชญาครอบครัวแบบออร์แกนิค

“ณ วันนี้จูนมองว่า เราไม่สามารถรอให้ลูกค้าเดินมาหาเราได้แล้ว เราต้องออกไปเร่ ต้องออกไปบอก ต้องออกไปเล่า อย่างเรามีสื่อเราก็ต้องเล่าทุกวัน มีโปรโมชั่นตลอด เราจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ถ้าอยู่นิ่งเราก็ไม่ได้เงิน” – จูน กษมา“สำหรับคนที่ทำมาค้าขาย เปิ้ลว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณภาพของสินค้า เพราะไม่ว่าจะโปรโมทดีแค่ไหน แต่งร้านดีแค่ไหน แต่สินค้าไม่ดีไม่มีคุณภาพ มันก็ขายไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นคุณภาพสินค้าสำคัญมาก” - เปิ้ล นาครที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่“ดีเจเป้”และ“ดีเจแคน”ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “จูน กษมา” และ “เปิ้ล นาคร” ที่ได้มาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจแกงไก่ออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงภายใต้ชื่อแบรนด์"หม้อแม่จูน"บทสนทนาครอบคลุมถึงแรงบันดาลใจในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งรวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของคุณจูนเกี่ยวกับการทำบุญและการสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็น การสนทนายังกล่าวถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นคุณภาพของสินค้า และการตลาดแบบปากต่อปาก นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและการเลี้ยงลูกทั้งสี่คนในแบบที่ไม่ยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติและเน้นความเข้าใจกันระหว่างคู่รักและลูก ๆ เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการธุรกิจจากแรงบันดาลใจ เมื่อเสียงเพรียกจาก "บุญ" นำไปสู่ "หม้อแม่จูน"จูน กษมา เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในหลายด้าน โดยเฉพาะธุรกิจล่าสุดที่กลายเป็นกระแสโด่งดังในโซเชียลมีเดียในระดับประเทศ นั่นคือ "หม้อแม่จูน"โดยชื่อ "หม้อแม่จูน" นี้มาจากแนวคิดเริ่มต้นที่ต้องการใช้ชื่อ "ครัวแม่จูน" แต่เมื่อผู้ออกแบบส่งโลโก้ที่เป็นรูปหม้อมาให้ เปิ้ล นาคร ก็เกิดความคิดและเสนอให้เปลี่ยนเป็น "หม้อแม่จูน" โดยเขามองว่ามันหมายถึง "หม้อเมียเรา" ซึ่งฟังแล้วเป็นคำที่สวยงามและน่าสนใจมากจุดกำเนิดเมนูแกงไก่ สาเหตุที่จูนเลือกทำเมนูแกงไก่ขายนั้น มีที่มาจากการทำบุญอย่างหนัก จูนมักจะทำบุญเกี่ยวกับ ศพไร้ญาติและศพยากไร้ อยู่เสมอ และทุกครั้งที่เธอทำอาหารเลี้ยง หรือทำบุญใหญ่ เธอมักจะทำ แกงไก่สูตรของเธอ ด้วยมือของตัวเองไปให้พวกเขาได้กินจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นหลังจากการทำบุญใหญ่ในวันที่ 9 ที่มีการวางอาหารเป็นพัน ๆ ชุด ในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 10) จูนก็มี "แวบ" หรือรู้สึกว่าต้องทำแกงไก่ขาย แม้ว่าเปิ้ล นาคร จะไม่เชื่อในตอนแรก และตั้งคำถามเพราะจูนทำธุรกิจอื่นอยู่แล้ว จูนยืนยันว่ามีความเชื่อในสิ่งที่มาบอกเคล็ดลับความอร่อยและสูตรจากบ้านเกิด แกงไก่ที่ทำขายนั้นไม่ใช่ "สูตรผีบอก" แต่เป็น สูตรที่คุณแม่ทำมาตั้งแต่จูนยังเด็ก เมื่อตัดสินใจทำธุรกิจนี้ จูนจึงเรียกคุณแม่จากจังหวัดตราดขึ้นมาพร้อมกับพริกแกง เพื่อให้รสชาติเป็นสูตรดั้งเดิมจาก 50 สู่หลักพัน การเริ่มต้นธุรกิจนั้นเริ่มจากการทดลองทำ 50 ชุดแรกเพื่อแจกเพื่อน วันที่สองต้องทำ 100 หม้อ เพราะมีคนสั่งซื้อ และเพียง 4 เดือน ธุรกิจก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันผลิตได้ในหลักพันชุดต่อวันปรัชญาธุรกิจ คุณภาพคือหัวใจ และความใจถึงคือการตลาดจูน กษมา และ เปิ้ล นาคร มีพื้นฐานการทำธุรกิจอาหารอยู่แล้วจากการเคยเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่มาก่อน แต่สำหรับ "หม้อแม่จูน" พวกเขามีหลักคิดที่เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการว่า1. คุณภาพสินค้าต้องมาก่อน (The Product is King) จูนเน้นย้ำว่าสิ่งแรกที่นำไปสู่ความสำเร็จในการค้าขายคือ คุณภาพของสินค้า (Product Quality) ไม่ว่าการตลาดจะดี โลเคชั่นจะสวยงาม หรือโปรโมทหนักขนาดไหน หากสินค้าไม่ดีหรือไม่อร่อย สุดท้ายก็จะดับไป ดังนั้น ต้องควบคุมคุณภาพสุดเข้มข้น ธุรกิจนี้ยังคง ทำมือ โดยใช้คนทำ เครื่องแกงต้องโขลกเองตามสูตร และที่สำคัญคือใช้น้ำ กะทิสด ไม่ใช่กะทิกล่อง คุณภาพถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยคุณแม่ ซึ่งพร้อมจะทิ้งกะทิหรือวัตถุดิบทั้งหมด หากมีกลิ่นไหม้ของกะลาเล็กน้อย หรือไก่มีขนาดเล็กเกินไป เพื่อรักษามาตรฐาน2. การสื่อสารและกลยุทธ์ออนไลน์ จูนทำธุรกิจแบบ ออร์แกนิคล้วน ๆ และเน้นการ เล่นกับสื่อวันต่อวัน พวกเขาต้องสื่อสารและเล่าเรื่องอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถ "อยู่ นิ่ง ๆ" ได้ ต้องมีการเปลี่ยนโปรโมชั่นหรือกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง3. ความคุ้มค่าและใจถึงกับลูกค้า คอนเซ็ปต์แรกเริ่มของจูนคือ "ใส่ไปเยอะ ๆ ให้เขาไปเยอะ ๆ" หม้อแม่จูนหนึ่งถุงมีน้ำหนักถึง 2 กิโลกรัม จูนนำค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเสียไปกับการเช่าหน้าร้าน มาเพิ่มเป็นปริมาณไก่และวัตถุดิบให้ลูกค้าแทน ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ามาก4. รับฟังแต่คงเอกลักษณ์ จูนตระหนักดีว่าอาหารเป็นเรื่องยาก เพราะร้อยคนก็ร้อยลิ้น แม้จะพร้อมปรับตัวตามคำติชม (เช่น เผ็ดไป หรือเค็มไป) แต่สุดท้ายแล้ว รสชาติหลักจะต้องเป็น "รสจูน" หรือรสชาติของแกงไก่แบบคนจังหวัดตราด ซึ่งเป็นรสชาติตะวันออกที่เธอต้องการให้ทุกคนได้ลอง5. เรื่องเล่าที่สร้างความประทับใจ จูนถือว่าลูกค้าเป็นหลัก และรู้สึกดีมากเมื่อได้ดูแลลูกค้า มีเรื่องราวความประทับใจที่ จูนและเปิ้ลต้องไปส่งแกงไก่ให้คุณป้าที่เป็น มะเร็งระยะสุดท้าย กำลังจะไปให้คีโม คุณป้ากลัวจะตายก่อนที่จะได้กินแกงที่สั่งไป เมื่อได้รับแกงไก่ คุณป้าถึงกับร้องไห้และบอกว่า "ถ้าตายไปในตอนนี้ ป้าก็ตายตาหลับแล้ว"ชีวิตครอบครัวและการเลี้ยงดู ปลูกฝังความเป็นพ่อแม่ด้วย "วิถีออร์แกนิค"จูนและเปิ้ลมีลูกด้วยกัน 4 คน โดยลูก ๆ แบ่งเป็นสองคู่คือ คู่โต (14-15 ปี) และคู่เล็ก (9-10 ปี) การมีลูก 4 คนไม่ได้เป็นไปตามแผน แต่ส่วนหนึ่งมาจากการอยากให้มีตัวกลางไกล่เกลี่ยความทะเลาะกันของลูกสองคนแรก และความหวังที่จะได้ลูกสาวสวย ๆ เหมือนแม่วัยเด็กที่ขาด "วัฒนธรรมครอบครัว" ทั้งจูนและเปิ้ลต่างเติบโตมาแบบดูแลตัวเองตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาทั้งคู่ขาด "วัฒนธรรมของครอบครัว" ที่สืบทอดกันมา เนื่องจากพวกเขาไม่มีแบบแผน การเลี้ยงดูจึงเป็นไปตามความรู้สึก (ออร์แกนิค/ธรรมชาติ) แต่สิ่งสำคัญที่เปิ้ลเน้นย้ำคือ การทำให้ลูกมีพ่อมีแม่ อยู่ด้วยจนโต พวกเขาต้องการรักษาความอบอุ่นและความเป็นครอบครัวไว้ให้ได้นานที่สุด และพยายาม นอนด้วยกันตลอดเวลา เพื่อรักษาความใกล้ชิด แม้ลูกจะโตแล้ว (ยกเว้นลูกคนโตสุดที่แยกห้อง) ครอบครัวยังคงนอนด้วยกันบนฟูก 4 อันที่วางติดกันบนพื้น เพื่อให้ได้เล่นกันและอยู่ด้วยกันก่อนนอนกฎพื้นฐานและหลักการใช้ชีวิต จูนมีกฎที่บ้าน เช่น ผู้ชายห้ามทำร้ายผู้หญิง แต่หลักการทำโทษคือทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการใช้คำว่า "พี่ต้องเสียสละให้น้อง" เพราะการที่เกิดก่อนหลังไม่ควรทำให้สิทธิไม่เท่ากัน ส่วนเปิ้ลสอนลูกชายว่า ห้ามทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า ถ้าจะต่อยใคร ต้องต่อยกับคนที่แข็งแรงเท่ากัน หรือแข็งแรงกว่าเท่านั้น และหากชนะจะยิ่งภูมิใจการสื่อสารและกิจกรรมร่วม จูนสื่อสารพูดคุยกับลูก ทุกเรื่อง ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ลูกรู้สึกใกล้ชิด และกล้าเล่าเรื่องส่วนตัว (เช่น เรื่องผู้หญิง) ให้พ่อแม่ฟัง นอกจากนี้ กิจกรรมที่ลูก ๆ ชอบทำ (การแสดง, กีฬา, ศิลปะ, TikTok) ยังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ก็ชอบด้วย ทำให้พวกเขามีเรื่องที่คุยกันรู้เรื่องและใช้เวลาร่วมกันเสมอวิถีคู่รักที่ไม่เหมือนใคร ความไว้ใจไร้ขีดจำกัด และพลังจากการ "ทำบุญ"การบริหารเวลาแบบไม่เหนื่อย จูนรับผิดชอบธุรกิจถึง 5 อย่าง แต่เธอบอกว่าเธอไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะเธอนอนเพียงวันละ 5-6 ชั่วโมง ทำให้มีเวลาเหลือเยอะ เธอสามารถบริหารงานได้ทั้งหมดผ่านมือถือ และสั่งงานจากโทรศัพท์ โดย ใช้สามีเข้าประชุม ในการติดตามงานแทนเธอ ในขณะที่เปิ้ลนอนวันละ 8-10 ชั่วโมงเคล็ดลับความสัมพันธ์ที่ยาวนาน คือ ความไว้ใจ เปิ้ล นาคร เผยว่าสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวคือ เขาไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของจูนเลยสักอย่าง เขามีความไว้ใจสูงมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง จูนลุกขึ้นมาแต่งตัวสวยตอน 23:30 น. เพื่อออกไปเรียนคอร์สหรือพบเพื่อน แต่เปิ้ลไม่ถามอะไรเลย เพียงแค่หันมามองแล้วนอนต่อ เปิ้ลให้เหตุผลว่า จูนเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีลูก 4 คน และคบหากับนักธุรกิจที่เป็นผู้ใหญ่ ทำให้เขาเชื่อว่าจูนไม่ได้ไปทำเรื่องเสียหาย ความไว้ใจนี้ทำให้ชีวิตคู่ไม่มีการระแวงกัน ซึ่งเป็นการรักษา "สุขภาพจิต" ของทั้งคู่พลังของ "บุญ" ที่นำพาความสำเร็จเปิ้ลเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตของจูนนั้น ไม่ได้มาจากแค่การกระทำเท่านั้น แต่มาจาก "บุญ" ที่จูนทำไว้เยอะมาก โดยเฉพาะการทำบุญหนักเรื่องการบริจาคโรงศพ ซึ่งจูนทำเป็นพัน ๆ โรงแล้ว เปิ้ลมองว่าบุญนั้นเข้ามาช่วยพวกเขา และพวกเขาต้องตอบแทนบุญคุณของบุญนั้นเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

รับแรงบันดาลใจจากอินฟลูฯสายฮา “นนท์ อินทนนท์” กับภารกิจพิสูจน์ตัวเองด้วยเงิน 1 ล้านบาทแรก และการยอมรับตัวตน 100%

30 ก.ย. 2025

รับแรงบันดาลใจจากอินฟลูฯสายฮา “นนท์ อินทนนท์” กับภารกิจพิสูจน์ตัวเองด้วยเงิน 1 ล้านบาทแรก และการยอมรับตัวตน 100%

“10 ปีนะ กว่าหนูจะมีวันนี้ และวันนี้หนูให้คำตอบกับตัวเองได้เลยว่า อยากประสบความสำเร็จเรื่องไหน มันต้องไปให้สุด และสิ่งที่เราตั้งใจทำมันไม่สูญเปล่าหรอก ถ้าวันหนึ่งเราจะไปถึงจุดหมายของเราได้ จงอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น อย่ากดดันตัวเอง หาความสุขของตัวเองให้เจอแล้วทำมัน หนูเชื่อว่าเราจะมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่“ดีเจเป้”และ“ดีเจแคน”ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “นนท์ อินทนนท์”ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจาก TikTok และสื่อบันเทิงอื่น ๆ การสนทนาครอบคลุมเรื่องราวชีวิตของนนท์ ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กที่เริ่มต้นเรียนการแสดงและมีกิจกรรมมากมาย ไปจนถึงเส้นทางการทำงานในวงการบันเทิงที่ต้องผ่านความพยายามและอุปสรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวการเปิดเผยตัวตนว่าเป็น LGBTQ+ ให้กับครอบครัวได้รับทราบ นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงความสุข ความสำเร็จในชีวิต มุมมองการทำงาน และการแสดงโชว์เดี่ยว"อินทนนท์ Talk Show"ที่เขาจัดขึ้นด้วยตนเอง ซึ่งเผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และความคิดเชิงบวกของเขาอย่างชัดเจน เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจุดเริ่มต้นของคนพูดเร็ว "นนท์ อินทนนท์"นนท์ อินทนนท์ เล่าในรายการว่าตัวเองเป็นคนที่พูดเร็ว และชอบพูดไปเรื่อยตามที่คนทั่วไปเคยเห็น ซึ่งเป็นสไตล์และเป็นตัวตนของเขา 100% ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง โดยชื่อจริงของเขาคือ วรวรรธน์ บุญชื่น (เดิมชื่อ นนท์ บุญชื่น) ส่วนชื่อ "อินทนนท์" นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดที่ดอยอินทนนท์ (ซึ่งตั้งอยู่ในเชียงใหม่ ในขณะที่นนท์เกิดที่เชียงราย) แต่ชื่อนี้มาจากชื่อสร้อยที่มหาวิทยาลัยให้เลือก เนื่องจากมีคนชื่อนนท์ซ้ำกันหลายคนทั้งนี้นนท์ยังเน้นย้ำอีกว่า จงเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ นนท์ใช้ชีวิตโดยเป็นตัวของตัวเอง 100% ไม่ว่าจะเป็นหน้ากล้องหรือหลังกล้อง เขาทำในสิ่งที่เขารักและรู้สึกว่าถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง เราจะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดี และคนจะรักเราในแบบที่เราเป็นนักแสดงเด็กหาเงินแสน บทเรียนแรกของการตอบแทนบุญคุณนนท์มีความชอบในวงการบันเทิงและการแสดงมาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเรียนการแสดงตั้งแต่อยู่ชั้น ป.6 ที่บางกอกการละคร เขาได้มีโอกาสเล่นละครเวทีถึง 2 เรื่อง คือ "หมูอู๊ดอี๊ดกับกระปุกกายสิทธิ์" และ "ซั่งไห่ ลิขิตฟ้า ชะตาเลือด" ซึ่งเป็นละครเวทีฟอร์มยักษ์เรื่องแรก ๆ ที่ศาลาเฉลิมกรุง โดยรับบทเป็นพระเอกตอนเด็กจากการเล่นละครเวที "หมูอู๊ดอี๊ดกับกระปุกกายสิทธิ์" ได้ถึง 20 รอบ นนท์สามารถหาเงินก้อนแรกได้ถึง 100,000 บาท ซึ่งเขานำเงินทั้งหมดก้อนนั้นให้แม่ สาเหตุที่นนท์ให้เงินแม่ทั้งหมด เป็นเพราะเขาเห็นความเหนื่อยยากของแม่ที่ต้องพาไปซ้อมถึงเที่ยงคืนทุกวัน แม้แม่จะทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศหาเช้ากินค่ำ นนท์ซึมซับเรื่องการตอบแทนบุญคุณมาจากการที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อปู่ย่าตายายความรักในการแสดงของนนท์มีมากถึงขั้นที่ตอนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วต้องหยุดซ้อมละครเวทีถึงกับร้องไห้ เพราะอยากไปซ้อม นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาชอบสิ่งนี้อย่างแท้จริง และเงินก้อนแรกที่หามาได้ นนท์มอบให้แม่ทั้งหมด เพราะรู้สึกว่าคนที่ควรได้รับสิ่งดีๆ ที่สุดคือพ่อแม่ นี่คือการแสดงออกถึงความรักและความกตัญญูต่อการสนับสนุนของครอบครัวสายกิจกรรมมุ่งมั่น การเรียนที่ "ตรงสาย" นำมาซึ่งเกียรตินิยมในช่วงมัธยม นนท์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำพานไหว้ครู ประกวดมารยาทไทย หรือกิจกรรมอื่น ๆ เขาทำกิจกรรมหมดทุกอย่าง จนกระทั่งบางครั้งก็ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ และเอาตัวรอดด้านวิชาการไปวัน ๆ เท่านั้นเมื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย นนท์เลือกเรียนด้านการแสดงที่ มศว (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารัก แม้จะทำกิจกรรมอย่างหนักจนบางครั้งไม่ได้เข้าเรียนและโดนอาจารย์หักคะแนน แต่ด้วยความรักในสิ่งที่เรียน ทำให้ทุกอย่างเสริมส่งซึ่งกันและกัน จนในที่สุด นนท์ก็จบมหาวิทยาลัยด้วย เกียรตินิยมอันดับ 2การที่นนท์ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ (การแสดง) ทำให้การเรียนเป็นความสุข และสามารถทำผลงานออกมาได้ดีจนได้เกียรตินิยม แม้จะชอบกิจกรรมมาก แต่นนท์ก็พยายามเตือนเพื่อนๆ ให้เรียนบ้าง การรักษาสมดุลระหว่างกิจกรรมและการเรียนทำให้เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมภารกิจพิสูจน์ตัวเอง 4 เป้าหมายสำคัญก่อนเปิดเผยตัวตนนนท์ตัดสินใจวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบก่อนที่จะบอกความจริงเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ (LGBTQ+) ให้กับครอบครัว นนท์ทำสิ่งเหล่านี้เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นลูกคนเดียว และต้องการให้พ่อแม่ภูมิใจและเปิดใจยอมรับเขา นนท์ตั้งเป้าหมาย 4 สิ่งที่เขาอยากทำให้พ่อแม่ก่อนเปิดเผยตัวตน คือ1. ตั้งใจเรียน เพื่อให้พ่อแม่เห็นความมุ่งมั่น2. ไม่ดื่มเหล้า ไม่ติดยาเสพติด ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดีที่สุด3. อยากได้เกียรตินิยม เพื่อเป็นความภาคภูมิใจให้กับทางบ้าน4. บวช เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่หลังจากทำได้ครบทั้ง 4 สิ่งนี้ (โดยเฉพาะการบวช ซึ่งจัดงานใหญ่โตถึง 9 วัน หมดเงินไปเป็นล้าน) นนท์จึงตัดสินใจเปิดเผยตัวตน การบอกความจริงถูกทำผ่านการ อัดคลิป ในช่วงปีใหม่ โดยนนท์มอบเงินและพวงมาลัยไหว้พ่อแม่และญาติๆ ก่อน จากนั้นจึงอธิบายว่าตนเองไม่ได้ชอบผู้หญิง พ่อรับฟังและโอบกอดพร้อมกล่าวว่า “จะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดีเท่านั้น”นนท์ให้ข้อคิดว่า สุดท้ายแล้วพ่อแม่ก็คือพ่อแม่ เขาไม่มีทางเกลียดเรา เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด และเราไม่ได้เลือกที่จะเป็นสิ่งที่เราเป็น สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ1 ปีที่แม่ไม่คุยด้วย การพิสูจน์ความสำเร็จด้วยเงินล้านแรกหลังการเปิดเผยตัวตน คุณแม่ของนนท์อยู่ในอาการช็อกและรับไม่ได้ โดยแม่ไม่คุยกับนนท์เป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม คุณแม่พูดผ่านคุณพ่อเมื่อต้องการสื่อสารกับนนท์ นนท์เข้าใจว่าแม่ก็ต้องการเวลาในการทำใจ เพราะกว่าตัวเขาเองจะยอมรับตัวเองได้ก็ใช้เวลาหลายปีเช่นกันในช่วงที่ถูกแม่เมิน นนท์รู้สึกกดดันและอยากย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาตั้งใจว่าจะทำอาชีพนี้ (วงการบันเทิง) แล้วคนจะรัก จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่โชคดีที่ช่วงนั้น TikTok กำลังมา นนท์เริ่มทำคอนเทนต์อย่างหนักจนมีงานรีวิวเข้ามา เขาทำตามสิ่งที่คนดูชอบ เช่น การร้องเพลง การพูดไปเรื่อย และการใช้คำสร้อย จนกระทั่งเขาหาเงินได้ 1 ล้านบาทแรก นนท์นำเงินทั้งหมดก้อนนั้นไปให้แม่ โดยไม่เก็บไว้เลย แม่ไม่รับเงิน แต่ถามนนท์เพียงคำเดียวว่า "เหนื่อยไหม" คำถามนี้ทำให้เขาวิ่งขึ้นไปร้องไห้ชั้นสอง เพราะเป็นคำพูดที่ทรงพลังและทำให้ความเหนื่อยหายไปหมด หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มเปิดใจและคุยกับนนท์นนท์ไม่ได้พูดว่าจะพิสูจน์ แต่ลงมือทำ การที่คนรอบข้างเห็นเขาทำงานหนัก และมีคนรักเขามากขึ้นในแบบที่เขาเป็น ทำให้แม่ยอมรับในที่สุด และบางครั้งคำพูดสั้น ๆ เพียงคำเดียว (เช่น "เหนื่อยไหม") ก็สามารถสร้างแรงกระแทกทางอารมณ์ และเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ได้"ความท้อ" ที่ไม่เคยเกิดขึ้น สูตรสำเร็จจากป้ายรถเมล์สู่ดาว TikTokก่อนประสบความสำเร็จ นนท์เคยผ่านงานเบื้องหลังมามากมาย เช่น เป็นผู้ช่วยแคสติ้ง, ผู้ช่วยคอสตูม, ผู้ช่วยผู้กำกับ ครั้งหนึ่งเขาไปช่วยแคสติ้งงานโฆษณา 100 คน เพราะถูกบอกว่าจะได้โอกาสแคสตัวเองด้วย แต่เมื่อทำเสร็จ คนที่จ้างกลับบอกว่าตัวเลือกเยอะเกินไปและให้เงิน 500 บาท เหตุการณ์นี้ทำให้นนท์รู้สึกเหมือนความฝันพังทลายและไปนั่งร้องไห้อยู่ที่ป้ายรถเมล์แต่ขณะที่ร้องไห้ ก็มีคุณป้าคนหนึ่งที่เดินขายข้าวเกรียบเข้ามาปลอบใจและมอบข้าวเกรียบให้กิน โดยบอกว่าวันนี้ป้าก็ยังขายไม่ได้เลย เหตุการณ์นี้ทำให้นนท์เรียนรู้ว่า ความสุขอยู่รอบตัวเรา ไม่จำเป็นต้องหรูหราอลังการนนท์เคยหันหลังให้วงการบันเทิงถึงปีเศษ เพราะเงินไม่เยอะ แต่สุดท้ายก็กลับมาทำช่อง YouTube และลองทำหลายอย่าง ทั้งรายการสัมภาษณ์เพื่อนดารา (มีเพื่อนดัง), เล่าเรื่องตอนรถติด, ร้องเพลงโคฟเวอร์ จนกระทั่งนำคลิปที่บอกพ่อแม่ลง TikTok แล้วตื่นมาพบว่ามีคนดูเป็นล้าน นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตั้งใจลงคลิปทุกวันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี จนถึงปัจจุบันนนท์เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนกำลังตั้งใจทำอยู่ "ไม่สูญเปล่าแน่นอน" ถ้ามีเป้าหมายและพุ่งชนมันไป เขาลงคลิปทุกวันอย่างสม่ำเสมอจนประสบความสำเร็จ เขาไม่เคยท้อเลย เพราะเขาสนุกกับการทำงานทุกวัน ความสุขของเขาคือการได้อ่านคอมเมนต์ที่คนมาชมสำหรับนนท์ เขารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จตั้งแต่มีเงิน 1 ล้านบาทก้อนแรกให้แม่แล้ว หลังจากนั้นคือ "กำไร" ความสุขของเขาไม่ใช่ยอดเงิน แต่คือความภูมิใจที่ได้ทำเพื่อครอบครัว แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเปรียบเทียบกับใคร ไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าการมีสิ่งต่างๆ นั้นจะทำให้เรามีความสุขจริงหรือไม่ เราควรหาความสุขในสิ่งที่ทำแล้วเราแฮปปี้ความสุข ของการเป็นตัวของตัวเอง 100%นนท์รู้สึกว่าการแคร์คนอื่นมากเกินไปทำให้ช่วงชีวิตที่ควรมีความสุขที่สุดหายไป เมื่อผ่านจุดนั้นมาได้ เขาจึงมีปรัชญาในการดำเนินชีวิตคือ เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย ถ้าหากเราเป็นคนคิดดี ทำดี และไม่เบียดเบียนใครวิธีการจัดการพลังงานและความเครียด แบบ นนท์ อินทนนท์เคลียร์ปัญหาทันที นนท์เป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ปัญหาค้างคา หากรู้สึกว่าพูดจาไม่ดีกับใครจะโทรไปขอโทษทันที และต้องพูดคุยจนกว่าจะจบและโอเคการแยกแยะ เขาพยายามแยกปัญหาออกจากงาน เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ เขาชอบทำท่า "โยนสิ่งนี้ทิ้ง" หรือ "กด shutdown" ก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการใหม่การพูดกับตัวเอง นนท์ชอบคุยกับตัวเองหน้ากระจก เพื่อดึงสติและตำหนิตัวเองตามความเป็นจริง (fact) เมื่อทำงานไม่ดี เพราะเขาเชื่อว่าเรารู้จักตัวเองดีที่สุดสร้างโมติเวชัน เมื่อรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาจะเขียนคำว่า "สติ" ไว้ที่มือแล้วทำท่า "กินสติ" เข้าไปก่อนขึ้นแสดงปัจจุบัน นนท์ยังคงทำงานในวงการบันเทิง ทั้งการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ นักแสดง (เล่นละครทีวี/ซีรีส์/หนังเรื่อง พี่นาค 5) และละครเวที (เรื่อง วันสละโสดกับโจทย์เก่า ๆ The Musical) นอกจากนี้ เขายังจัดทอล์กโชว์ของตัวเอง โดยไม่รับสปอนเซอร์ในการจัดงานครั้งแรก เพื่อให้สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ 100% แม้จะขาดทุน แต่สิ่งที่ได้คือความสุข และเขากำลังจะมีซีซั่น 2 ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดบทเรียนจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” นักอาชญาวิทยา ผู้สังเกตและอ่านใจคนจากภาษากาย

22 ก.ย. 2025

ถอดบทเรียนจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” นักอาชญาวิทยา ผู้สังเกตและอ่านใจคนจากภาษากาย

“ภาษากายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และร่างกายมักจะตอบสนองต่ออารมณ์โดยอัตโนมัติก่อนที่เราจะรับรู้ด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับการกอดเข่า ที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณเมื่อเราอยู่ในสภาวะที่เปราะบางทางอารมณ์”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “อาจารย์ ดร. ตฤณห์ โพธิ์รักษา”ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยา และภาษากาย โดยเน้นไปที่การอธิบายหลักการพื้นฐานและระดับความละเอียดอ่อนของภาษากายที่แสดงออกถึงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความกลัวและความโกรธ นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชัน(Gen X, Y, Z) ในสภาพแวดล้อมการทำงาน รวมถึงการทำความเข้าใจกับเหยื่อวิทยาและวิธีการที่มิจฉาชีพใช้ประโยชน์จากสภาวะทางอารมณ์ที่อ่อนแอของเหยื่อเพื่อทำการหลอกลวง เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการศิลปะและวิทยาศาสตร์แห่งการอ่านคนอาจารย์ตฤณห์ โพธิ์รักษา เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เบื้องหลังการวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งในโลกออนไลน์และโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน "ภาษากาย" แต่ท่านเน้นย้ำว่า อาชญาวิทยาและการวิเคราะห์ภาษา กายนั้นเป็นคนละส่วนกันซึ่งภาษากายมีความละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Micro Expression ซึ่งเป็นการแสดงออกเพียงเสี้ยววินาที หากถ้าพลาดไปแล้วก็จะไม่สามารถย้อนกลับไปดูได้ การแสดงออกเหล่านี้มักเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งเจ้าของร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ตัวอย่างกลไกของอารมณ์ความกลัว เมื่อรู้สึกกลัว สมองจะสั่งการให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ใหญ่ที่สุดคือกล้ามเนื้อสะโพก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการหนี ทำให้ หน้าซีด ปากซีด และมือเย็น เพราะเลือดไปเลี้ยงที่อื่นหมดความโกรธ เมื่อโกรธ ร่างกายต้องการปะทะและต่อสู้ สมองจะส่งสัญญาณให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนบน (Upper body) ซึ่งเป็นส่วนที่มีอาวุธ (มือและฟัน) ทำให้ หน้าแดงความสะเทือนใจ/สะเทือนอารมณ์ อารมณ์ในแง่ลบ เช่น กลัว โกรธ เกลียด หรืออาย จะกระตุ้นสมองส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา (Amigdala) ซึ่งอยู่ใกล้กับฮิปโปแคมปัส (ศูนย์ความจำ) นี่คือเหตุผลที่ว่า เรามักจะจดจำคำพูดในแง่ลบได้แม่นยำและยาวนานกว่าคำชมการรู้จักตนเองและผู้อื่นเริ่มต้นจากการสังเกตที่ละเอียดยิ่งกว่าที่ตาเห็น ร่างกายของเราเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ หากเราเข้าใจกลไกอัตโนมัติเหล่านี้ เราจะสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงได้ แม้ว่าบุคคลนั้นจะพยายามปิดซ่อนไว้ก็ตามเคล็ดลับการวิเคราะห์ที่นักอ่านภาษากายมืออาชีพใช้การอ่านภาษากาย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใบหน้า ใบหน้าเป็นเพียง 5% ของพื้นที่ทั้งหมด นักอ่านภาษากายมืออาชีพทั่วโลกมักเริ่มต้นจากเท้าก่อน อาจารย์ตฤณห์ยังทำงานร่วมกับ คุณแครอล เรตัน นักอ่านภาษากายอันดับ 8 ของโลก ซึ่งให้ความสำคัญกับการ "Keep your feet on the ground" เพื่อแสดงความมั่นคง และความมั่นใจเทคนิคการสร้างความน่าเชื่อถือการยืน หากยืนขยับขาไปมา ความน่าเชื่อถือจะลดลง ผู้พูดที่หนักแน่นควรยืนขา 2 ข้าง ถ่ายน้ำหนักเท่ากัน ยืนตัวตรงการปกป้องลำตัว (Torso) มนุษย์มักใช้มือปกป้องลำตัว (บริเวณคอถึงสะโพก) เมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย เช่น การกอดอก หรือ การกอดเข่า เมื่ออกหักหรือเสียใจมาก ๆ ซึ่งเป็นการเลียนแบบท่าทางตอนอยู่ในครรภ์มารดา เพื่อเรียกร้องความรักและความอบอุ่นเทคนิคการจับโกหก (การสร้างตารางเบสไลน์) ในการวิเคราะห์ที่แม่นยำ ต้องสร้าง ตารางเบสไลน์ (Baseline) ของคน ๆ นั้นขึ้นมาใหม่ทุกครั้งอัตราการกะพริบตา (Blink Rate) เก็บค่าเฉลี่ยตอนที่เขาอยู่ในอารมณ์ปกติ (คนทั่วไป 15-20 ครั้ง/นาที)อัตราการหายใจ เพื่อทราบถึงชีพจรพฤติกรรมเฉพาะตัว ท่าทางการนั่ง การใช้มือ (ดีดนิ้ว หมุนปากกา เขย่าขา) หรือการกอดอกในสถานการณ์ที่ผิดปกติ (เช่น กอดอกในห้องที่ร้อน)จุดที่อารมณ์รั่ว (Emotional Leak) ส่วนที่อารมณ์รั่วออกมามากที่สุดคือ ตาและหน้าผาก (กล้ามเนื้อรอบคิ้ว)ความมั่นใจเริ่มต้นจากความมั่นคงทางกาย หากคุณต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ จงเริ่มต้นจากการมีฐานที่มั่นคง และเมื่อวิเคราะห์ผู้อื่น ต้องมีความละเอียดรอบคอบด้วยการเก็บ "ค่ามาตรฐาน" ของบุคคลนั้นก่อนยิงคำถามที่ซีเรียสเกราะป้องกันในสังคม และที่ทำงานอาจารย์ตฤณห์ให้มุมมองเกี่ยวกับความท้าทายในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกแยะระหว่างมิตรแท้และคนที่เป็นอันตราย1. การทำความเข้าใจเพื่อนร่วมงาน (Generation Gap)Gen X และ Baby Boomer ให้คุณค่ากับการทำงานอย่างจริงจัง ถวายชีวิตให้งาน และมักจะลืมบทบาทอื่น ๆ ในชีวิต (เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง)Gen Z ให้คุณค่ากับ Work Life Balance, รู้สิทธิของตนเอง และจะตั้งคำถามหากถูกเอาเปรียบหรือใช้เกิน Job DescriptionGen Y (Generation กลาง) เป็นเจนที่อยู่เป็นที่สุด เข้าใจทั้ง X และ Z และรู้วิธีจัดการความขัดแย้ง (เช่น บอกให้ชมมนุษย์ป้า หรือพา Gen Z ไปกินสุกี้เพื่อดึงมาเป็นพวก)2. การรับมือกับ "เพื่อนที่ทำงาน" เราไม่ควรรู้สึกว่าใครเป็นพวกเดียวกับเรา 100% เพราะเราไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง หรือภูมิหลังของเพื่อนร่วมงานเลย การพูดดีกับเราไม่ได้แปลว่าเขาชอบเรา เราจำเป็นต้องใช้ Social Skill ในการเข้าสังคม ซึ่งบางครั้งก็คือการสวมหน้ากากและเสแสร้ง3. เหยื่อวิทยา (Victimology) และการหลีกเลี่ยง Scammer อาชญากรและมิจฉาชีพจะใช้ช่วงเวลาที่เหยื่อ "เปราะบางทางด้านจิตใจ" เช่น เพิ่งอกหัก ล้มละลาย ป่วย หรือสูญเสีย เพราะเมื่อมีอารมณ์ เช่น กลัว หลง หรือโลภ สมองส่วนหน้า (ด้านเหตุผล) จะลดการทำงานลง ทำให้มีสติน้อยลง และถูกแทรกแซงได้ง่ายต้องระมัดระวังการสร้างความสัมพันธ์แบบกระโจนใส่ (Jump into relationship) เพราะช่วงแรกทุกคนมักเปิดเผยแต่ข้อดี (Love Bombing) ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ สติ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด สติไม่ได้ต้องมีแค่ตอนโดนหลอก แต่ต้องมีตลอดเวลา กฎ 45-60 นาที เมื่อได้รับข้อมูลที่น่ากลัวจากมิจฉาชีพ จง "วางสายแล้วหยุดคิด 45-60 นาที" และหาข้อมูลจากแหล่งอื่น หรือปรึกษาคนใกล้ตัว มิจฉาชีพมักจะพยายามแยกเหยื่อออกจากกลุ่ม เพื่อไม่ให้มีใครช่วยฉุดคิดการตั้งคำถามต่อความเชื่ออาจารย์ตฤณห์เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยไปดูดวงกับเพื่อน ในฐานะคนที่ชอบท้าทายและตั้งคำถาม ท่านได้สังเกตวิธีการทำงานของหมอดู ซึ่งมักจะใช้การคาดเดาและอ่านปฏิกิริยาของลูกค้ายกตัวอย่างเหตุการณ์ เมื่อหมอดูพูดไม่ถูกต้องเลยสักเรื่อง (เช่น ทักว่าสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ ทั้งที่จริงไม่สนิท หรือทักว่าเป็นลูกคนเดียว ทั้งที่เขามีน้องอีก 2 คน) อาจารย์ตฤณห์ได้เออออห่อหมก ทำให้หมอดูต่อเรื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อหมอดูขอค่าครู 500 บาทสำหรับเรื่องที่ไม่แม่นยำ อาจารย์ตฤณห์ทักท้วง หมอดูจึงอ้างว่าคนที่กวนใจคือกุมารที่ติดตามตัวมา และเค้าจะหาเรื่องมาพูดเรื่อย ๆ จนมันต้องมีสักเรื่องที่ตรงกับเราดังนั้นจงเป็นผู้ที่ชอบตั้งคำถาม หากเราสามารถรู้เท่าทันวิธีการทำงานของการทำนายหรือการหลอกลวง เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไปดูดวงเมื่อไม่สบายใจ หรือมีเรื่องที่ไม่แน่ใจ การมีสติและใช้เหตุผลจึงสำคัญกว่าความเชื่อที่ไร้รากฐานแรงบันดาลใจในการค้นหาเส้นทางชีวิตอาจารย์ตฤณห์ได้ฝากแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่กำลังสับสนกับเส้นทางชีวิต ท่านกล่าวว่าเด็ก ๆ ส่วนใหญ่รู้จักแต่เฉพาะอาชีพที่พ่อแม่หรือสังคมให้คุณค่า (เช่น หมอ พยาบาล ครู) แต่ยังมีอาชีพอีกมากมายที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก และได้แนะนำว่าการค้นหาตัวเองคือ "การลอง" จงรู้จักศึกษาและคว้าโอกาสทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตออกนอกกรอบแต่เคารพกฎ ให้พยายามออกไปท่องเที่ยวและเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด แต่อย่าทำลายกฎระเบียบ ให้เรียนรู้จากมันตัวอย่างอาชีพทางเลือก มีอาชีพอีกมากมายที่น่าสนใจ เช่น นักอาชญาวิทยา, เวชศาสตร์จราจร, หรือ นักซีโรวิทยา ซึ่งในฐานะครูและนักวิชาการ อาจารย์ตฤณห์ให้ข้อคิดว่า ชีวิตมีเส้นทางอีกหลากหลายที่เรายังไม่รู้ ดังนั้นจงใช้ชีวิตด้วยการ "ลอง" เพื่อค้นพบตัวเองและโอกาสใหม่ ๆ ในโลกกว้างเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

04 มี.ค. 2025

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

“โรสว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราถูกทำร้ายอยู่ทุกวัน คือการนึกถึงอดีต อยากให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญเสียงเพราะมีเสน่ห์ “โรส ศิรินทิพย์” เจ้าของเพลงรักที่โด่งดัง เช่น มากกว่ารัก ก้อนหินก้อนนั้น เกิดมาแค่รักกัน ฟ้าเปลี่ยนสี อย่าเปลี่ยนไป ซึ่งเธอไม่ได้มีดีแค่ด้านการร้องเพลง แต่ยังมีความสามรถในการเล่นกีต้าร์และเปียโนอีกด้วย พร้อมมีรางวัลการันตีมาหลายเวที และผลงานเพลงคุณภาพที่กลายเป็นที่จดจำ และเป็นพลังใจให้กับแฟนคลับมากมาย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการโรส ชื่อนี้มีที่มา“ตอนแรกแม่จะตั้งว่า Ruth (รูท) เพราะว่าพ่อแม่เป็นคริสเตียนอยู่ในโบสถ์ แล้วจะมีชื่อในคัมภีร์ อย่างพี่ชายโรสก็ชื่อ เดวิด มาจากกษัตริย์เดวิด แม่ก็อยากจะให้เราชื่อรูท แต่เหมือนคุณแม่มีเพื่อนชื่อรูทเยอะ เลยตั้งชื่อว่า โรส ก็แล้วกันลูกจะได้สวย ก็เลยออกมาเป็นโรส แล้วโรสก็ไม่ชอบชื่อตัวเองเลยตอนเด็ก ๆ เพราะว่าโรสเป็นคนที่ออกเสียงชัด เพราะฉะนั้นมันเป็น ร.เรือ มันเป็น ส.เสือ เราจะต้องออกว่าโรสทุกครั้ง แล้วรู้สึกว่าพอแนะนำตัว ชื่อโรส มันขัดกับลุค เราไม่ชอบเลย จนกระทั่งจบ ม.3 จะต้องไปเรียนต่อ ม.4 แล้วก่อนที่จะไปเข้าโรงเรียนใหม่ เราได้ไปเข้าค่ายที่หนึ่ง แล้วคนทั้งค่ายไม่มีใครรู้จักกัน ทุกคนต้องแนะนำตัวกันใหม่ 200 คน เราก็เลยคิดว่าชื่ออะไรดี ใช้ชื่อ โอ๊ต แล้วกัน แล้วก็เข้าโรงเรียนไปด้วยชื่อโอ๊ต พอจบ ม.ปลาย ก็เป็นนักร้อง เราก็ยังได้ยินเพื่อน ๆ หรือว่ารุ่นน้อง ยังเถียงกันว่า คนนี้ไงรุ่นพี่ที่เป็นนักร้อง เค้าชื่อโรส ไม่ใช่เค้าชื่อโอ๊ต เธออย่ามาเถียงฉัน ก็ต้องขอโทษที่สร้างความแตกแยกด้วยนะคะ ชื่อจริง ๆ ชื่อโรสค่ะ แต่ชื่อโอ๊ตก็ได้ เรียกได้ทั้งคู่ค่ะ”โรส ตัวตน และการยอมรับจากคนในครอบครัว“จริง ๆ เวลาอยู่บ้านก็เป็นตัวโรสเลยค่ะ ไม่ได้มีการต้องใส่กระโปรง คือเราก็เป็นแค่ตัวเราที่ผมยาวแค่นั้น บุคลิกเราก็ยังเป็นแบบนี้แหละ ขี้เล่น พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีอะไรที่ฝืนค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ โรสคิดว่าเค้าก็รู้มาตลอด ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นยังไง เพียงแต่ว่ามันอาจจะพูดไม่ได้ความเป็นผู้ใหญ่ บางคนเค้าก็รู้สึกว่าไม่พูดดีกว่า ต่อให้รู้ก็เงียบ ๆ ไว้ดีกว่าการเปิดใจ ก็เคยได้คุยกับคุณแม่ พอเราโตมาประมาณนึง เราก็จะคิดว่ายังไงเราก็คงต้องแต่งงาน ก็คงต้องมีครอบครัว เพราะว่าโลกมันเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาประมาณหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราเคยพยายามที่จะคุยกับผู้ชาย แต่พอคุยไปมันก็ไม่ใช่ เราก็เลยคุยกับคุณแม่ ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโต เค้าก็จะบอกว่าไม่ได้นะ มันไม่โอเคหรอก เพราะว่าเราจะต้องมีครอบครัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่เค้าก็ได้รับสาย คล้าย ๆ กับฮอทไลน์ ที่ต้องคุยปรึกษาปัญหา แล้วเค้าก็จะได้รับหลาย ๆ สายที่จะโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้าง ปัญหาครอบครัวบ้าง ปัญหางานบ้าง แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แล้วก็เลยได้คุยกัน แล้วเค้าก็บอกเราว่า แม่ก็เริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามันก็มีหลายสายที่โทรเข้ามา แล้วก็มีบางสายที่เป็นลูกที่แม่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นผู้หญิงได้ไหม ทีนี้พอคุณแม่อยู่ตรงกลาง เค้าก็เลยเริ่มได้มองเห็นมุมที่ทั้งคู่มาบรรจบกันว่า ไม่ได้มีใครที่เลือกที่จะเป็นแบบนี้ เหมือนกับที่เราเลือกไม่ได้ว่า เราจะเกิดเป็นผู้หญิงหรือเกิดมาเป็นผู้ชาย โรสก็เลยได้คุยกับคุณแม่ และบอกเค้าตรง ๆ ว่า ก็รู้ว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่โอเค แต่ว่าถ้าโรสไม่ได้คุยกับแม่แบบนี้ เราก็อาจจะไม่ได้คุยกันเลย โรสก็อาจจะไม่มีวันที่จะได้คุยเรื่องไหนกับเค้าอย่างจริงใจ พอได้คุยกันจริง ๆ เวลามีอะไรเราก็สามารถที่จะคุยกับเค้าได้มากขึ้น เหมือนกำแพงที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้ว”โรส ศิรินทิพย์ กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“ตอนนั้น ม.5 ค่ะ เป็นครั้งแรกที่โรสเดินเข้าตึกซีมิค เพราะว่า พี่ฟั่น เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่แกรนด์ แล้วเราอยู่โบสถ์เดียวกัน แล้วเค้าก็แนะนำโรสให้กับโปรดิวเซอร์คนอื่น ๆ ว่าน้องคนนี้ร้องเพลงเพราะ โรสก็เลยได้ไปอัดเสียง แล้วพี่ปั่นก็เอาไปส่งให้พี่ ๆ โปรดิวเซอร์ฟัง หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเข้าไปตอน ม.5 ค่ะโรสคิดว่าความพิเศษที่ทำให้คนในโบสถ์ร้องเพลงได้ เป็นเพราะว่าอย่างโรสเองเกิดมาก็เป็นคริสต์เลย ไม่เคยเป็นศาสนาอื่น แล้วก็การอยู่ในโบสถ์มันจะมีช่วงที่ต้องนมัสการ คือเป็นช่วงที่ต้องร้องเพลง เราก็เลยโตมากับเสียงเพลง ทุกวันอาทิตย์เราต้องโดนบังคับให้ได้ร้องเพลงเพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนซึมซับเข้าไปในโสตประสาทของเรา เราต้องร้องเพลงได้ แล้วก็เล่นดนตรีได้ เพื่อที่จะสามารถเล่นดนตรีในโบสถ์ได้จริง ๆ นักร้องมันคือ ฝันที่ไม่กล้าฝันของโรสค่ะ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ จนมาถึงโต โรสเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดี และตอนเด็ก ๆ เราจะมีตัวอย่างให้เห็นว่านักร้องตอนนั้น พี่ทัช ทาทา พี่มาช่า แต่ละคนเค้าหน้าตาดีกันหมดเลย เราก็เลยคิดว่าตัวเองอยากทำอะไรในวงการเพลง แต่คงไม่ถึงกับเป็นนักร้อง อาจจะเป็นแค่นักดนตรี หรืออะไรก็ได้ แต่ถามว่าชอบร้องเพลงไหม เราชอบมาก ชอบฟังเพลงแล้วก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่บนเวที แต่ว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เลยคือ การร้องเพลงต่อหน้าคนพอช่วงเรียนมัธยม ตอนนั้นเล่นดนตรีแล้วร้องเพลงกับเพื่อน แล้วเพื่อนบอกว่าเสียงดีนี่นา ไปเป็นนักร้องไหม เราก็เลยลองไปสมัครประกวดร้องเพลง จำได้เลยครั้งแรกที่ไปประกวดแล้วดีใจมากที่ได้เข้ารอบ คือโครงการของพี่แอมดา ตอนนั้นประกวดเพลงเพื่อเธอตลอดไป แล้วเราจำได้ว่าติด 12 คนสุดท้าย ซึ่งดีใจมากเพราะว่า 12 คนนี้ ตอนที่เค้าเรียกเข้าไปที่สตูดิโอ ตอนนั้นมีผู้หญิงแค่ 2 คน แล้วโรส เด็กที่สุด เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนมัธยม แล้วอีกคนที่เป็นผู้หญิง ดูแล้วเค้าต้องเป็นนักร้องกลางคืนที่ช่ำชอง แล้วทุกคนดูเก่งมาก ตอนที่นั่งซ้อมก่อนเข้าอัดรายการ เราก็ร้องแล้วก็ฟังเสียงคนอื่น ก็แอบคิดว่าเราสู้ได้ พอเข้าห้องอัด เจอกรรมการ กลายเป็นว่าเราลืมทุกอย่างเลย เพราะเป็นคนที่ไม่มั่นใจ แล้วพอเห็นคนจ้องมองเรา มีคนตัดสินเราว่าจะต้องหักคะแนนตรงนี้ตรงนั้น แบบนั้นเราจะทำไม่ได้เลยวันนั้นก็ตกรอบเลยค่ะ เพราะร้องแล้วลืมเนื้อ แล้ววันนั้นมันก็ทำให้ความมั่นใจดิ่งลงข้างล่างอีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายพอพี่ฟั่นเรียกเข้ามาที่แกรมมี่ แล้วก็พี่ ๆ ก็ตกลงจะให้เป็นศิลปิน เราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้ละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันน่าจะไม่รอด ก็เลยเริ่มไปร้องเพลงกลางคืน เริ่มสมัครไปร้องเพลงตามร้านอาหาร เพราะเราเล่นกีต้าร์ได้อยู่แล้ว ก็ไปหัดเพื่อที่จะได้ร้องเพลงต่อหน้าคนได้ จนเรารู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองทำได้ เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่มาดูเฉย ๆ แบบคนที่นั่งตามร้านอาหาร เราจะทำได้ แต่ถ้าต้องประกวด หรือมีกรรมการมาจับจ้อง แบบว่าหักคะแนนตรงนี้ เสียงปลิ้นตรงนี้ อะไรแบบนี้โรสทำไม่ได้”เพลงสร้างชื่อ ของ โรส ศิรินทิพย์“จริง ๆ เพลงสร้างชื่อของโรส คือ เพลงก้อนหินห้อนนั้น แต่ไม่ใช่เพลงแรกนะคะ เพราะเพลงแรกชื่อเพลง TOMORROW อยู่ในอัลบั้มรวม ซึ่งตอนแรกอัลบั้มโรสใช้เวลาทำ 4 ปี ซึ่งพอไปฟังประวัติ พี่โบ สุนิตา พี่เค้าใช้เวลาทำ 2 ปี ซึ่งนานมาก ก็เลยมาคุยกับพี่ ๆ ทีหลังว่าทำไมในการทำอัลบั้มถึงนาน ก็ได้รู้เพราะเค้ากลัวว่า ถ้าเราออกอัลบั้มไปโดยที่เราไม่ได้มีนามสกุล หรือเหมือนมีอะไรติดท้าย มันจะกลายเป็นว่า ออกมาได้ยังไง ดังนั้นเค้าก็เลยลองให้โรสไปร้องคอรัสบ้าง หรือว่าให้ออกอัลบั้มที่รวมศิลปินใหม่ ตอนนั้นเป็น จีราฟ เรคคอร์ด โดย พี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล เป็นคนดูแล เป็นอัลบั้มที่เอาศิลปินใหม่มารวม ๆ กัน แล้วเพลง TOMORROW เป็นเพลงที่พี่ฉายเขียน ตอนที่อยู่อเมริกา แล้วเค้าก็เลยบอกว่าให้โรสร้องดีกว่า เพราะว่าตอนที่ออดิชั่นเข้ามา โรสมีทั้งเพลงสากล และเพลงไทย พี่ ๆ เค้าก็ลงความเห็นกันว่า โรสร้องเพลงสากลดีกว่า ก็เลยเอาเพลงนี้ให้โรสร้องส่วนเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ความจริงเลยตอนนั้นไม่ได้ตื่นเต้นที่รู้ว่า พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นคนแต่ง เพราะโรสเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย เราชอบร้องเพลงอย่างเดียว และไม่เคยมานั่งดูว่า เพลงนี้คนแต่งคือใคร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่กดดันว่านี่คือผลงานของพี่ดี้ ถ้ารู้ตอนนี้ว่านั่นคือพี่ดี้ น่าจะเกร็งค่ะ แต่ตอนนั้นไม่รู้เลย ก็เลยร้องไปด้วยความไม่ได้รู้สึกว่าเกร็งอะไร แล้วถ้าดู MV เพลงก้อนหินก้อนนั้น โรสจะโผล่มาสัก 3 วินาที ใส่หมวกผมยาวหลบอยู่หลังเปียโน เพราะฉะนั้นน้อยคนมากที่จะจำโรสได้ แต่คนจะจำได้เมื่อใส่หมวกเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้น เหมือนเป็นการสอนใช่ไหมคะ แต่พี่ดี้เค้าได้คิดไว้แล้ว คือตอนแรกที่เค้าได้ยินเสียงโรส ทุกคนคงนึกภาพไว้ประมาณว่าต้องผมยาว ต้องสวย ต้องดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอได้เห็นตัวจริงว่าเราอยู่ ม.5 พี่ดี้เค้าก็เลยใส่คำว่า เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา ก็เลยกลายเป็นว่า ฉันไม่ได้พูดเอง มันมีคนสอนฉันมาอีกที เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันก็เลยกลายเป็นเหมือนเพลงที่ใครก็ร้องได้ เพราะว่ามีคนบอกฉันมาอีกที ฉันไม่ได้พูดเอง”นักร้อง ที่เสียงร้อง เหมือนเสียงพูด และร้องเพลงไหน คนก็คิดว่าเป็นเพลงตัวเอง“ชอบมีคนบอกโรสว่า ทำไมร้องเพลงไหนก็เหมือนเพลงตัวเอง เพราะว่าโรสพูดกับร้องเหมือนกัน คือโรสไม่ได้พยายามที่จะทำอะไร อย่างสมมติว่าโรสเล่าเรื่อง โรสจะเล่าเรื่องนั้นเป็นเสียงของโรสเอง มันก็เลยทำให้คนอาจจะคิดว่าถ้าโรสร้องเพลงใครแล้วจะฆ่าต้นฉบับ จริง ๆ แล้วมันแค่เหมือนการที่เราพูดในแบบของเราเท่านั้นเองเพลงฟ้าเปลี่ยนสี จริง ๆ จะไม่ใช่เพลงของโรสนะคะ ตอนนั้น พี่นิ่ม สีฟ้า เป็นคนเขียน แล้วพี่นิ่มก็บอกว่า โรสมาร้องเพลงนี้หน่อย พอดีว่าเหมือนละครจะออนแอร์แล้ว แต่พี่แอมไม่สบาย โรสก็เลยได้รับเพลงนี้ไปเลย หรือเพลง มากกว่ารัก เพลงนี้ตอนนั้น พี่พจน์ อานนท์ ทำภาพยนตร์เรื่องซารังเฮเการักที่เกาหลี แล้วก็บอกว่า อยากให้โรสร้อง โรสว่าเพลงนี้ความเพราะของมันมีอยู่แล้วตั้งแต่พีทร้อง แล้วมันเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ แต่อาจจะด้วยความตอนที่โรสเอามาร้องใหม่ มันอยู่ในหนัง คนก็อาจจะได้ยินมากกว่าตอนที่พีทร้อง แต่ก็เคยมีคนที่มาบอกโรสว่า ทำไมฉันฟังรอบแรกแล้วฉันก็ร้องได้เลย มันเหมือนจิตวิทยา ที่จริง ๆ แล้ว เค้าได้ยินเวอร์ชั่นพีทมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้ดัง ทั้ง ๆ ที่ พีท เป็นคนที่ปูทางมาให้ก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับความรู้สึกว่า ตัวเองไม่ดัง“ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโต โรสไม่ได้มีความมั่นใจ แล้วเราไม่ได้หน้าตาพิมพ์นิยม เราก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ๆ แล้วยิ่งเพลงของเรามันเป็นที่รู้จัก เพลงก้อนหินก้อนนั้น คนรู้จักกันเยอะมาก แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มันไม่ใช่เพลงที่เปรี้ยงปร้าง แต่มันเป็นเพลงที่เวลามีคนฟังแล้วเค้าชอบ แล้วเก็บไว้ในใจ จนกว่าเค้าจะเจอคนที่เคยเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเค้า ถึงจะแนะนำกันปากต่อปากมากกว่า เพราะฉะนั้นโรสก็เลยไม่เคยรู้สึกว่าเพลงมันดัง คนน่าจะรู้จักบ้างแหละ แต่ว่าเราคงไม่ได้ดังขนาดนั้นจนกระทั่งโรสไลฟ์ Tiktok แล้วก็คุยกับแฟน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนมีคนหนึ่งมาบอกว่า หนูเคยเจอพี่โรสตอนนานมาแล้ว แต่หนูไม่กล้าคุยเพราะพี่ดังมาก โรสก็เลยประหลาดใจว่าตัวเองดังเหรอ จากนั้นทุกคนใน Tiktok ก็บอกว่าดังมาก แล้วเค้าก็มาพิมพ์บอกเรา ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองดัง ขอบคุณนะคะเพลงของโรสมีเยอะมาก โรสจำไม่ได้เลยว่าโรสร้องไปกี่เพลง และโรสก็ไม่คาดหวังว่ามันจะดัง เพราะว่าถ้ามันจะดังทุกเพลง ป่านนี้โรสคงไม่ได้เดินไปไหนแล้ว แต่เราก็ทำหน้าที่ของเรา นั่นคือร้องเพลง เราเป็นนักร้อง เราก็จะร้องทุกเพลงที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีที่สุด โดยที่จะไม่หวังเลยว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ เรารู้แค่ว่าเราทำดีแล้ว และเราก็พอใจ”ลุคนี้ ที่เป็นตัวตนของโรส ศิรินทิพย์“โรสว่าพี่ ๆ ทีมงานก็งงเหมือนกัน ตอนที่ต้องออกเพลงใหม่ ๆ เพราะว่าถ้าพูดกันตรง ๆ คือโรส ก็ไม่ได้เป็นสาวหวาน แค่ผมยาว แต่เราก็ไม่ได้อยากผมยาว แต่เวลาช่างทำผมเค้าก็อาจจะเคยชินกับการทำผู้หญิงผมยาว โรสเคยถามเค้าว่า อยากตัดผมสั้นได้ไหมคะ เพราะโรสไม่อยากผมยาวมันเสียเวลา พี่เค้าก็บอกว่าไม่รอด ผมหนูตัดไม่ได้เลยเพราะว่าผมหนูฟู แล้วผมหนูหนา ถ้าหนูตัดก็ไม่รอด แล้วพอผมยาว เค้าก็คิดต่อว่าจะทำไงกับลุค จะใส่กระโปรงเหรอ ใส่กางเกงเหรอหรือเสื้ออะไร แต่ด้วยความที่โรสค่อนข้างเป็นคนที่ง่าย ๆ ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็น่าจะได้ แล้วใส่หมวกอะไรง่าย ๆ ก็เลยกลายเป็นลุคที่สบาย ๆ ดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงง่ายโรสตัดผมสั้นตอนไปเรียนที่เกาหลีค่ะ เพราะว่าช่วงนั้นจะหายไป 3 เดือน จะไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว เราก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ฉันจะหายไป 3 เดือน ถ้ามันจะไม่รอด ก็ให้มันไม่รอดที่เกาหลีแล้วกัน แล้วถ้ากลับมาก็น่าจะผมยาวประมาณนึง ก็เลยตัด แล้วรู้สึกชอบ มันไม่ได้แย่อย่างที่เค้าว่า หลังจากนั้นก็เลยไม่ไว้ยาวอีกแล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับบทบาทการให้คำปรึกษา“ช่วงนี้มีคนมาขอคำปรึกษาเยอะค่ะ ก็มีทั้งเพื่อน มีทั้งแฟนคลับ ที่ส่งข้อความมาคุยบ้างเวลาไลฟ์ โรสก็พยายามที่จะให้คำแนะนำ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถามว่าประสบการณ์เรา บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ว่าข้อดีก็คือ โรสเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจโลกด้วยแหละ ก็เลยอาจจะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างกลาง ๆ หลัก ๆ ก็ปรึกษาความรัก แต่อาจจะเป็นความรักเชิงชู้สาว หรือบางทีก็ความรักในครอบครัวที่ไม่เข้าใจคนที่มีความฝัน สำหรับโรสคคิดว่า การทำผิดจะช่วยเราได้เยอะ การทำผิดจะช่วยทำให้รู้ว่า สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ใช่ จนกว่าเราจะเจอสิ่งที่ถูกก็คือทำให้เยอะที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำไมวันนั้นเราไม่ลองทำแบบนี้ ถ้าเราลองทำแบบนี้เราอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ ก็คือลองทำเยอะ ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ โรส ศิรินทิพย์“โรสชอบตอนที่ตัวเองมีความรัก แต่ว่าตอนที่โสดก็ไม่ได้แย่ โรสว่าตอนที่โสดก็เป็นตอนที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่อาจจะทำไม่ได้ตอนที่เรามีคู่ สิ่งไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าตอนที่มีความรักก็ดีอีกแบบหนึ่ง ที่เราสามารถมีคนที่หันไปแล้วเราปรึกษาเค้าได้ทุกเรื่อง ก็เลยคิดว่าถ้าให้เลือก ก็เลือกเป็นตอนมีความรักดีกว่าค่ะที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่ความรักพังมาก จำได้เลยวันนั้นต้องร้องเพลงเกิดมาแค่รักกัน แล้วโรรสร้องไม่ไหว พอใจมันคิดถึงเรื่องอะไร มันไปเลย ก็ค่อนข้างลำบาก แต่ว่าต้องปิดโหมด แล้วก็โฟกัสที่คนดูเท่านั้น เวลาอกหักฟังเพลงตัวเองบ้างค่ะ แล้วการฮีลลิ่งการกินก็ช่วยได้ แต่สำหรับโรส เพื่อนสำคัญ คนรอบข้างสำคัญที่สุด แล้วโรสก็ค่อนข้างโชคดีด้วยที่มีเพื่อนรักที่ดี มันทำให้โรสฮีลลิ่งได้เร็ว เพราะว่าเพื่อนจะรู้ว่าต้องพูดอะไร ต้องทำอะไร ถ้าสมมติว่ามันกำลังจะแย่ เค้าจะบล็อคความรู้สึกนั้น หนึ่งคนนั้นคือ คุณไดอาน่า จงจินตนาการ เค้าจะเป็นคนที่รู้เสมอ บางทีมีช่วงที่เรายุ่งกันทั้งคู่ แต่ถ้าโรสโทรไป เค้าก็จะรู้เลยว่าจะเอาอะไร รู้เลยว่าเราต้องการเค้าความรักตอนนี้ก็ลงตัวทีเดียวค่ะ เพราะว่ามันเหมือนเป็นเพื่อนที่ซัพพอร์ทกันทุกเรื่อง เป็นซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีมาก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเคมีมันตรงกันมาก ศีลมันเสมอกันมาก ๆ เลย มันเคยมีวันที่เราตื่นมาแล้วเราได้ยินเสียงเพลงในหัว ได้ยินอยู่สักพักเค้าก็ร้องออกมา เราก็แปลกใจว่าได้ยินมาจากไหน เค้าบอกว่าเค้าก็ได้ยินในหัวของเค้าเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันเท่จัง หรือว่าบางทีพูดอะไรก็พูดคำเดียวกัน จบประโยคเหมือนกัน มันใช่ไปหมดเลยความรักครั้งนี้ เราเจอกันตอนทำงาน ซึ่งก็ดูอยู่พักใหญ่ ๆ เลย เพราะว่าเราก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเค้าก็เหมือนกับมีท่าทีว่าชอบเราเหมือนกัน สมมติเราอยู่ใกล้เค้าเวลาทำอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึกว่ามันจะมีอาการบางอย่างที่มันทำให้คิดแบบนั้น แล้วเค้ามีความ Professional มาก นี่คือข้อแรกที่เรารู้สึกประทับใจในตัวเค้า แล้วก็เลยเริ่มศึกษากัน เริ่มพูดคุยกัน ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเค้าเก่งมาก ๆ คือตอนที่พี่ชายของโรสเสีย แล้วตอนนั้นทั้งบ้านงงไปหมด เค้าเป็นคนบอกให้เราทำแบบนี้ ไปที่เขต ไปแจ้งเรื่องก่อน เหมือนกับเค้าช่วยทุกคนไว้ได้เลย เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าเก่งมากเลย แล้วก็ประทับใจเค้ามากขึ้นด้วยทำงานกับคนรัก มีปัญหาบ้างไหม มีบ้างค่ะ เพราะว่าความต่างของเราคือ โรสจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ แล้วเป็นคนที่เฉย ๆ มาก มีอารมณ์ศิลปิน ลงรูปเราก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ถ้ารู้สึกอยากจะลงเราก็ค่อยลง แต่เค้าจะบอกว่าไม่ได้ ด้วยความที่เค้าเป็น PR ด้วย กลายเป็นว่าอาชีพก็ส่งเสริมกัน เพราะเค้ารู้ว่าการโปรโมทเราควรจะทำอะไรยังไง เค้าก็จะคอยบอกว่าลงงานด้วยค่ะ ไปงานมาถ่ายรูปแล้วก็ลงด้วยค่ะ แล้วเค้าก็จะคอยตามเก็บรูปโรส เวลาไปงานต่าง ๆ หรือว่าไปเจอศิลปินดารา ก็ถ่ายลง ซึ่งเค้ารู้แหละว่าเราไม่ชอบ แต่ว่าตอนนี้เราไม่มีบริษัทแล้ว เราก็ต้องทำ เพื่อที่คนจะได้เห็นเรา ซึ่งตอนแรกโรสก็ไม่อยากทำเลย แต่พอเราเริ่มทำตามที่เค้าบอก ก็กลายเป็นว่า คนรู้จักเราเยอะขึ้นจริง ๆ แล้วงานก็เข้ามามากขึ้น เราก็เลยเริ่มเชื่อใจกัน”สีสันแรงบันดาลใจจาก โรส ศิรินทิพย์“ความสุขของโรส โรสคิดว่าจริง ๆ มันก็มีเยอะเนาะ การร้องเพลงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คือโรสชอบร้องเพลงจริง ๆ แล้วก็ชอบทำให้คนมีความสุขกับเสียงเพลงของโรสจริง ๆ แล้วการได้อยู่กับคนที่สบายใจ ก็เป็นความสุขมาก ๆ ด้วยค่ะโรสอยากให้ทุกคนมองปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคต อย่าไปมองอดีต โรสว่าหนึ่งสิ่งที่ทำร้ายหลาย ๆ คน ตลอดมาคือการมัวแต่คิดถึงอดีต ถ้ามัวแต่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่โอเค ก็มองถึงชีวิต ณ ปัจจุบัน แล้วก็มองถึงอนาคตว่า เราอยากเป็นแบบไหน เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วก็ทำตัวเองให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้ มีความสุขเยอะ ๆ กับคนรอบข้าง มองสิ่งรอบข้างที่เรามี และชื่นชมในสิ่งที่เรามีค่ะ” - โรส ศิรินทิพย์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิตทั้งนอกและในคอร์ท ของ “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักสู้ ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ครองแชมป์แบดมินตันระดับโลก

27 ก.พ. 2025

เรียนรู้ชีวิตทั้งนอกและในคอร์ท ของ “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักสู้ ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ครองแชมป์แบดมินตันระดับโลก

“ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็อยากให้ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ มีระเบียบวินัยในตัวเอง รับผิดชอบตัวเองให้มาก ๆ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพอที่จะทำได้ ถ้าเรารักในสิ่งนั้นจริง ๆ”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญระดับแชมป์โลก “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักกีฬาแบดมินตันหญิงไทยคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์มาแล้วทุกประเภท และประเภทคู่ผสมที่เธอได้รักษามาตราฐานของเธอเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม จนไต่ขึ้นสู่มือวางอันดับ 1 ของโลก แต่กว่าจะมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ และก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางสายแบดมินตันได้นั้นไม่ง่าย เธอต้องผ่านอุปสรรคทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ต้องเสียสละชีวิตวัยรุ่นและเวลาส่วนตัว เพื่อทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมแบดมินตัน เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการการแข่งขัน และรางวัลล่าสุด ของนักตบลูกขนไก่“ล่าสุดเพิ่งได้เหรียญทองแดง เป็นการแข่งขันประเภททีมผสมชิงแชมป์เอเชียค่ะ ซึ่งแมตช์นี้ก็มีความยาก ด้วยทีมเราก็ไม่ได้เป็นทีมที่ดีที่สุด แต่ก็ถือว่าดีสำหรับเราในตอนนี้ ก็พยายามทำหน้าที่ให้เต็มที่ ให้มันดีที่สุดในทุก ๆ แมตช์ที่ได้ลงใน 1 ปี ป้อจะมีแข่งประมาณ 16 Tournament อย่างต่ำเดือนละครั้ง ช่วงที่แข่งถี่สุด ๆ คือตอนโควิด ตอนนั้นไปแข่ง 3 เดือนไม่ได้กลับไทยเลย ตีแบดกันทุกอาทิตย์ แล้วก็บินไปโซนยุโรป กลับมาเอเชีย แล้วก็ไปยุโรป ถึงจะกลับไทย ซึ่งการเดินทางบ่อยมีปัญหาต่อนักกีฬาไหม เรียกว่าต้องปรับตัวหมดทุกคน แต่ถ้าของป้อไม่มีปัญหา สมมติว่าเราไปยุโรป เราเป็นคนนอนได้ง่ายอยู่แล้วเพราะว่าเวลามันช้ากว่าไทย แต่พอกลับมาเอเชียช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มเจ็ทแล็ก บางทีก็ต้องใช้ยาช่วยกันบ้างเรื่องซ้อมก็อาทิตย์ละ 6 วัน ที่จริงมันก็คือ 5 วันครึ่ง เค้าจะหยุดวันอาทิตย์ครึ่งวัน กับจันทร์ทั้งวันแล้ว 1 วัน ต้องซ้อม 5-6 ชั่วโมง เช้า 3 เย็น 3 ส่วนวันว่างบางทีก็นอน ดูหนัง กินข้าว พักผ่อนไปค่ะ”จุดเริ่มต้น ของนักตบลูกขนไก่“ชื่อ ปอป้อ อากงเป็นคนตั้งค่ะ มันมาจากคำว่า เป๊าเป่า เป็นภาษาจีนที่แปลว่า เบบี้ คือทางพ่อของฝั่งแม่ป้อเป็นคนจีน 100% ส่วนทางพ่อก็เป็นครึ่งจีนครึ่งไทย แล้วครอบครัวป้อทำธุรกิจเปิดร้านทอง ขายเพชรขายทองค่ะความฝันตอนเด็ก ๆ ป้อไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นนักแบดมินตัน แต่ด้วยคุณพ่อกับคุณแม่ชอบเล่นแบดมินตัน แล้วก็เป็นนักกีฬาที่เล่นให้กับทางมหาวิทยาลัย ก็เลยเอาป้อไปออกกำลังกายเฉย ๆ แล้วตรงนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ป้อเริ่มเล่นแบดมินตัน แต่เราก็ตีแค่ตีแบดอยู่หน้าบ้าน หรือไปตีที่คอร์ทเพื่อออกกำลังกายกับพ่อแม่ แต่การเป็นนักแบดมินตันของป้อ มันเริ่มจากการที่ลงแข่งเลย ไปแข่งที่ตรังด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนอุดรธานี การแข่งครั้งแรกไปใต้เลย ผลตอนนั้นก็แพ้ 11-0 ,11-1 หรือได้แต้มเดียวก็มี ซึ่งที่แม่พาไปก็เพราะอยากให้ลอง แล้วที่บ้านก็สนับสนุนอยู่แล้ว ถ้าอยากเล่นกีฬาก็เล่นเลยเต็มที่ พอเราแพ้ครั้งนั้น ก็เลยอยากจะกลับมาลองฝึกซ้อมแบบตามตารางจริงจังดูว่า เราจะไปได้ไกลขนาดไหน ก็เลยซ้อมหลังเลิกเรียน 2 ชั่วโมง แล้วก็พักผ่อน ซ้อมแบบนั้นมาเรื่อย ๆ จนอายุ 14 ปี ป้อก็เล่นข้ามรุ่น ไปแข่งรุ่นอายุ 15 ปี แล้วเราได้แชมป์ พออายุ 15 ปี ได้แชมป์รุ่น 18 ปี ก็เลยติดทีมชาติ ตั้งแต่อายุ 15 ปี ซึ่งเป้าหมายแรก เชื่อว่าทุกคนก็อยากจะติดทีมชาติอยู่แล้ว แล้วพอเราเริ่มมีเป้าหมายคือเราติดทีมชาติแล้ว เราก็อยากจะได้แชมป์โลกเรา อยากจะเป็นมือหนึ่งของโลก เราอยากจะคว้าแชมป์เวิลด์ทัวร์กี่รายการ เราก็เริ่มแพลน เริ่มตั้งเป้าหมายเอาไว้ทักษะที่สำคัญของแบดมินตัน เป็นเรื่องของเบสิคค่ะ ป้อรู้สึกว่าทุกกีฬา เรื่องเบสิคสำคัญที่สุด และแต่ละกีฬามีการเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน ถ้าเบสิคใครดี มันสามารถต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ เช่น แบดมินตัน อาจจะมีเรื่องของการจับไม้ และการวิ่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมันก็จะเหมือนกับจับไม้หน้าเดียว ตีได้แค่โฟร์แฮนด์อย่างเดียว แต่ถ้าต้องตีแบ็คแฮนด์ แล้วตีไม่ทันอย่าง ถ้ามันไม่ได้ฝึกการหมุนไม้ พลิกไม้ มันก็พัฒนาได้มากขึ้น ทำให้เราเล่นเก่งขึ้นได้ค่ะ”ปอป้อ กับการรับมือกับความผิดหวัง“กว่าจะมาถึงวันนี้ ระหว่างทางมันก็มีผิดหวังเยอะค่ะ บางทีเรารู้สึกว่าตัวเองตั้งใจซ้อมมาก ๆ แล้วอยู่ดี ๆ เราแพ้เกม 3 บางทีเราก็มีเฟลไปบ้าง ว่าทำไมเราทำไม่ได้ อุตส่าห์ตั้งใจซ้อมมาเยอะมาก ทำไมแค่นี้ทำไม่ได้เวลาผิดหวัง ป้อก็คุยกับครอบครัว พ่อแม่ แล้วเพื่อน ๆ ก็ให้กำลังใจกัน เพราะว่าสุดท้าย แบดมินตัน มันมีการแข่งขันอยู่ตลอด เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราเสียใจได้ไม่นาน มันต้องมูฟออนต่อไปเรื่อย ๆ เวลาคุยก็เป็นเชิงระบายความรู้สึกเราออกมา แล้วคนรอบข้างก็จะคอยปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่แมตช์หนึ่ง ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจออยู่แล้วในนักกีฬา”เป้าหมายต่อไป ของ ปอป้อ“แมตช์ที่ภูมิใจที่สุดของป้อ ก็การเป็นแชมป์โลกปี 2021 ค่ะ ตอนนั้นแข่งที่สเปน ค่ะ ก็คือรู้สึกว่าเอ๊ยเราก็ทำได้นะ แล้วปีนั้นคือเป็นแชมป์โลกแล้วก็ได้ขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกด้วยในปีเดียวกัน เลยรู้สึกว่าเราทำได้ มันเป็นเป้าหมายของเราอยู่แล้วที่เราอยากจะได้ และเป้าหมายต่อไป ป้อก็อยากได้เหรียญโอลิมปิกค่ะจากโอลิมปิก 2024 ก็มีนั่งวิเคราะห์ว่า ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ณ สถานการณ์ตอนนั้นเราอาจจะแก้ปัญหาได้ไม่ดีพอ หรือว่าอะไรก็ตาม คือกีฬามันจะมีเรื่องของไหวพริบแค่เสี้ยววินาที เพราะเราวางแผนไปเพื่อจะไปเล่นกับเค้า พอเค้าแก้เกมมา เราก็ต้องแก้กลับ แต่ถ้าเราตั้งหลักไม่ทัน แป๊บเดียวแต้มมันไหลไปแล้วแน่นอนว่าในยุคนี้มันจะมีคอมเมนต์จากคนในโลกโซเชียล แต่ป้อเป็นคนที่ไม่เทคคอมเมนต์ลบอยู่แล้ว ถ้าเรารู้สึกว่าอ่านแล้วรู้สึกไม่ดี เราก็ไม่ต้องอ่าน ก็อันไหนที่มันดี ก็เอาเป็นกำลังใจ และจะชอบรับกำลังใจจากคนรอบข้างดีกว่า คนที่เราใกล้ชิด แล้วเค้ารู้ว่าเราทำอะไร คือกว่าเราจะมาถึงตรงนี้ เบื้องหลังไม่มีใครรู้ ทุกคนจะดูแค่หน้างาน ณ วันนั้น ถ้าชนะก็ชม ถ้าแพ้ก็ด่า เป็นเรื่องปกติความตั้งใจจากนี้ ป้อวางไว้อีก 4 ปีข้างหน้า โอลิมปิก ที่ ลอสแอนเจลิส ป้ออยากจะไปอีกครั้งป้อจะพยายามทำให้เต็มที่ และตอนนี้ก็พยายามรักษาร่างกายตัวเอง แล้วก็ Maintain ร่างกายทุกอย่างให้มันดีที่สุดค่ะ”สิ่งที่นักกีฬา กลัวที่สุด“สำหรับนักกีฬา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดเลยก็คือการบาดเจ็บ ซึ่งป้อเคยเจ็บหนักสุด ๆ คือปี 2017 ค่ะ ที่ซีเกมส์รอบชิงแมตช์สุดท้ายพอดี ก็คือกระโดดลงมาแล้วเข่าบิด เอ็นไขว้หน้าขาด พักไป 8 เดือน ต้องผ่าตัด กายภาพ หลายเดือนเลยป้อไม่ได้เดิน 3 เดือน แต่พอเดินเริ่มลงน้ำหนัก เดือนที่ 4 แล้วเดือนที่ 5 แข่งเลย ตอนนั้นต้องพักฟื้น 8 เดือน กว่าจะหายจริง ๆ คือ 1 ปี จนตอนนี้ก็ปกติแล้ว นั่ง วิ่ง เล่นแบดมินตัน ทำได้ทุกอย่างทุกท่า ไม่ได้รู้สึกติดอะไร ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ”เปิดตารางซ้อม พร้อมทริคการเป็นนักแบดมินตัน“ทุกวันนี้ก็ซ้อมเป็นลูทีนอยู่แล้ว ต้องรับผิดชอบตัวเอง ปกติก็จะซ้อม 8 โมงครึ่งถึง 11 โมง แล้วก็ซ้อมอีกทีบ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งแบดมินตันใช้ความแข็งแรงของทุกส่วนทั้ง แขน ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ลำตัว แม้กระทั่งขา มันใช้ทั้งตัวจริง ๆ แล้วแบดมินตันมันใช้ข้อมือ แต่ก็จะคนละรูปแบบกับเทนนิส อาจจะใช้อีกวงหนึ่ง ซึ่งมันคนละวงกันซ้อมทุกวันก็มีเบื่อบ้างค่ะ แต่บางทีเบื่อป้อก็จะขอพักหรือว่าขอไปเที่ยวบ้างสัก 2-3 วัน ซึ่งถ้าได้เที่ยวนี่คือไม่ออกกำลังกายนะคะ แล้วมันจะเหมือนได้เติมพลังให้ตัวเอง เรื่องอายุในการเป็นนักแบดมินตัน ในอยู่ที่ว่าใครรักษาร่างกายได้ดีกว่ากัน ที่จริงอายุสูงสุดเคยเห็นถึง 40 ปี นะคะ แต่ก็อาจจะทรมานเกินไป ถ้ายังจะเล่นให้ได้อันดับโลก ซึ่งนักกีฬาส่วนใหญ่อายุก็จะอยู่ประมาณ 35-36 ปี หรือถ้าใครรักษาร่างกายดี ๆ หน่อยก็ 38 ปี แต่มีไม่เยอะค่ะเรื่องน้ำหนัก ไม่มีผลค่ะ บางคนอาจจะตัวใหญ่ น้ำหนักเยอะแต่มือดี คนสูงกับคนไม่สูง ก็จะมีสรีระของแต่ละคน และจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ไม่เหมือนกัน แล้วแบดมินตัน มันเป็นกีฬาลดความสามารถด้วย สมมติว่าคนตัวเล็กอาจจะชอบแบบตีเร็ว ๆ คนตัวสูงบางทีก็เคลื่อนตัวช้า แต่ถ้าเค้าได้ตบสูง ๆ เค้าจะชอบ แล้วเราจะทำยังไงให้เค้าไม่ได้ตบโดยในการซ้อมจุดเหนื่อยของป้อวัดด้วยจากแบบชีพจร คือป้อจะมีจุดที่เหมือนเราไปสุดแล้ว จนเรารู้สึกว่าเราไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่จุดนี้มันสามารถขยับได้ทีละนิด แต่ก่อนอาจจะแบบ จาก 1 ไป 4 ได้ พอมันไปถึง 4 ขึ้นไป 10 แต่หลังจากนั้นมันอาจจะไม่ได้ขึ้นไป 13 เลย มันจะค่อย ๆ ขึ้นแบบช้า ๆ แต่มันก็จะแล้วแต่คนเวลาแข่งมันก็เจอความกดดัน หรือความคาดหวังของใครหลาย ๆ คน แต่มันก็อยู่ที่ตัวเราด้วย ว่าเราสามารถขจัดมันได้รึเปล่า เพราะสุดท้ายนักกีฬาทุกคนมันต้องเจอทั้งแรงกดดัน หรือความคาดหวังอยู่แล้ว แล้วตัวเราเองก็คาดหวังกับตัวเราเองอยู่แล้ว แล้วบางทีเราไปเอาความคาดหวังคนอื่นมาใส่ด้วย มันก็อาจจะทำให้แย่ขึ้นไปอีกป้อเคยไปปฏิบัติธรรมด้วยนะคะ เพราะว่าบางทีที่แข่ง เวลาเรามองลูก ถ้าเรามีสมาธิ มีสติมาก ๆ เราจะเห็นลูกเป็นภาพสโลว์โมชั่น เราจะเห็นตั้งแต่รูปกระทบจากฝั่งโน้นมาเลย แต่เราจะมองแค่ลูกอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องมองมุมกว้างด้วย ต้องรู้ว่าจุดไหนเป็นช่องว่างที่เราจะตีไปให้ได้แต้ม มันต้องมองเปิด ๆ เพื่อวางแผนการเล่นสำหรับป้อมองว่า เล่นเดี่ยว ยากกว่า เล่นคู่ เพราะว่าเล่นคนเดียว รับผิดชอบคนเดียว แล้วก็ต้องมีระเบียบของตัวเองคนเดียวจริง ๆ เพราะแบดมินตันจากสมัยก่อนจนถึงสมัยนี้ มันเหมือนอัพเกรดขึ้นไปเยอะมาก แต่ก่อนมันอาจจะแบบเราช้า แต่เดี๋ยวนี้มันทั้งหนัก ทั้งเร็ว ทั้งทน ใครอึดกว่าได้เปรียบ แต่ก่อนอาจจะต้องมีทักษะแค่สองอย่าง แต่ตอนนี้ 4-5 อย่างต้องมีในคนเดียว แต่ด้วยความที่ต้องดีคู่ เราซ้อมเยอะเลยรู้ใจกัน ลูกนี้ใครตี ลูกนี้ใครไม่ตี มันจะรู้กันอยู่แล้ว และด้วยสไตล์การเล่นที่มันคล้าย ๆ กัน การเล่นมันก็จะดูเข้าขากัน”เสียงเชียร์ กับการแข่งขันของนักกีฬา“ก็มีบ้างค่ะที่เสียงเชียร์มีผลต่อการเล่น เวลาเราตีโต้ไปก็มีร้องเชียร์ดังขึ้น แล้วเวลาแข่งกันเอง ก็อาจจะมีแบบการกวนกันอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ที่ว่าใครควบคุมอารมณ์ได้ บางทีกวนแล้วเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจอะไร ก็ไม่มีผล แล้วบางทีอาจจะไม่ใช่ฝั่งตรงข้าม แต่อาจจะเป็นกรรมการก็ได้ คือสมมติว่าเราตีไป เราเห็นว่าลูกไปโดนตัวฝั่งโน้นแล้วมันออก แต่กรรมการไม่เห็น แล้วกรรมการให้แต้มฝั่งโน้น เราก็จะงงว่าไม่เห็นเหรอว่าโดน แต่กรรมการก็เค้าตัดสินไปแล้วไงว่าเราเสียแต้ม ซึ่งกล้องมันดูได้แค่ลูกลงกับลูกออก ลูกโดนตัวดูไม่ได้”จากนักแบดมินตัน สู่เส้นทางสายบันเทิง“ที่เลือกเรียน นิเทศศาสตร์ เพราะป้อมองว่ามันเป็นความรู้รอบตัว แล้วมันง่ายดี ป้อเรียนปริญญาตรี PR ต่อปริญญาโท MC พอได้เรียนก็รู้สึกว่าตัวเองกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูดมากขึ้น ตั้งแต่เรียนจบมา เพราะตอนแรกคือถ้าถามคำตอบคำเลย ไม่ได้มีพูดต่อส่วนช่องยูทูบ ก็เหมือนอยากให้ทุกคนเห็นในมุมที่ไม่มีใครเห็น เวลาเราไปแข่ง แล้วเราทำอะไรบ้าง หรือว่ามุมพักผ่อนของนักกีฬาต่างชาติที่ป้อสนิทด้วย ว่าเค้าเป็นคนยังไง ซึ่งบางทีคนดูเค้าอยากรู้ จากคนขี้อาย แต่พอได้มาลองทำยูทูบเบอร์ การพูดมันก็ง่ายขึ้น ป้อรู้สึกว่ามันเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งที่ป้อได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้พูดกับตัวเอง มันเลยเป็นการผ่อนคลายไปด้วย”เปิดหัวใจ ส่องสเป็ก ของ ปอป้อ“ตอนนี้ไม่มีค่ะ โสดอยู่ โฟกัสที่เรื่องงาน และป้อไม่เคยอกหักแรง ๆ ค่ะ อาจจะมีเคยคุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงอะไรลึก เพราะสุดท้ายด้วยแบดมินตันเราต้องซ้อมทั้งวันจริง ๆ ไม่มีเวลาเลย แล้วส่วนใหญ่นักแบดมินตัน ก็จะมีแฟนเป็นนักแบดมินตันกันเองซะส่วนใหญ่ถ้าสเป็กของป้อ ก็ชอบคนน่ารัก มีเสน่ห์ พูดเก่ง เข้ากับเราได้ ถ้าคุยเข้ากันได้ก็โอเค ส่วนเพื่อนสนิทมีประมาณ 2 คนค่ะ ที่สนิทกันจริง ๆ และคุยได้”นักกีฬา กับสิ่งที่ต้องแลก“ก็ต้องเสียสละเรื่องเวลา ที่เราแบบไม่ได้เจอเพื่อน แต่ป้อไม่คิดว่าเราเสีย เพราะว่าการเล่นกีฬามันมีอายุการใช้งานของมัน ถ้าวันหนึ่งเราเลิกไป เราอยากจะไปเที่ยว ไปพัก มันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ ณ ตอนนี้ เราโฟกัสตรงนี้ เราะว่าเรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะแบดมินตัน แพลนในอนาคตก็เคยมีคิดบ้างว่า บางทีอยากเปิดคาเฟ่ หรือว่าขายของออนไลน์ หรือว่าเปิดร้านอาหาร ก็มีคิดแต่มันก็ยังไม่ได้เจาะจงอะไร ก็คิดไปเรื่อย ๆ ปรึกษาเพื่อนไปเรื่อย ๆ”ป้อป้อ และความภาคภูมิใจของตัวเอง“ถ้ารู้ตัวว่าเราชอบอะไร แล้วพอทำสิ่งนั้นแล้วเรามีความสุข ก็อยากให้มุ่งมั่นทุ่มเทให้เต็มที่เลย เพราะว่าความสำเร็จ ป้อรู้สึกมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าเราทำแล้วเรามีความสุข เราจิตใจดี ร่างกายดี ทุกอย่างดี มันประสบความสำเร็จอยู่แล้วทุกวันนี้ป้อรู้สึกดีใจ และภูมิใจในตัวเองที่เราอดทน เรามุ่งมั่น เรารับผิดชอบตัวเองได้มากขนาดนี้ แล้วทำให้เรามีทุกอย่างวันนี้ได้ก็เพราะกีฬานี้ และป้อรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ได้นำเสนอในทุก ๆ เวลาเราออกไปแข่ง เราทำเพื่อประเทศไทยจริง ๆ ไปทำเพื่อชาติ แล้วพอเราได้กลับมา มันก็เป็นชื่อเสียงของประเทศเรา ป้อก็เลยรู้สึกภูมิใจในตรงนี้ แล้วก็เหมือนเป็นชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลและครอบครัวด้วยทุกวันนี้ความสุขของป้อ ก็คือการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วได้เป็นตัวเองที่สุด เหมือนเป็นสนามของตัวเองในทุก ๆ อย่างที่เราทำ แล้วเรารู้สึกว่าเราทำทุกอย่างด้วยความเต็มที่ มุ่งมั่น ไม่ท้อ อดทนทุกอย่าง จนมาวันนี้เรามีความสุขแล้วค่ะ”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ปอป้อ“ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ว่าจะแบดมินตัน หรือว่ากีฬาอื่นไร หรือแม้แต่อาชีพทุกอย่าง ถ้าสมมติรู้ว่าเราชอบ เราทำแล้วเรามีความสุข ก็อยากให้ทุ่มเทมันให้เต็มที่ แล้วก็มีระเบียบวินัยในตัวเอง รับผิดชอบตัวเองให้มาก ๆ เพราะว่าป้อเองรู้สึกว่า ทุกคนมีศักยภาพและความสามารถพอที่จะทำได้ แล้วก็คิดว่ามันไม่ยาก ถ้าเรารักมันจริง ๆ เราอยู่กับมันจริง ๆ เชื่อว่าเราทำได้อยู่แล้ว” - ปอป้อ ทรัพย์สิรีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิตที่ไม่ได้เบา ๆ แบบชื่อเพลง ของ “ซิน Singular” ศิลปินเสียงนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ ที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิน

17 ก.พ. 2025

เรียนรู้ชีวิตที่ไม่ได้เบา ๆ แบบชื่อเพลง ของ “ซิน Singular” ศิลปินเสียงนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ ที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิน

“การที่เรายอมรับตัวตนของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมายอมรับเรา บางทีมันก็มีความสุขได้เลย เพราะเงื่อนไขบางเงื่อนไข มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่หลายคนคิดถึง “ซิน Singular” ศิลปินหน้าหวานผู้มีเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์ กับการเติบโตระหว่างทางกว่า 15 ปีในวงการ วันนี้ซินกลายเป็นศิลปินอิสระที่จัดการงานเองแทบทุกอย่างตั้งแต่เบื้องหน้าถึงเบื้องหลัง และตั้งเป้าหมายเพียงแค่อยากทำงานอย่างมีความสุข เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ10 ปีที่หายไป ของ ซิน Singular“จริง ๆ ที่หายไปเป็นช่วงรอยต่อตอนที่เป็นวง กับตอนที่ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวก็คือ 2 ปี แต่ว่านั่นก็เมื่อ 10 ปีได้ที่หายไป เพราะหลังจากนั้นก็อาจจะมีช่วงหนึ่งที่ซินไปทำงานที่ญี่ปุ่น คือเราไปออกเพลงที่ญี่ปุ่น และก็ยังทำเพลงตลอด แต่ที่มันอาจจะรู้สึกว่าหายไป เพราะมันก็มีเพลงที่ดังบ้างไม่ดังบ้างที่ห่างหายไม่ค่อยได้ออกรายการสัมภาษณ์ ถ้าให้เราเดาก็คือ ตามรายการต่าง ๆ อาจจะคิดว่าเราไม่ค่อยอยากไปออกด้วยส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ ซินไม่เคยปฏิเสธเลยนะ ถ้ามีคนติดต่อมาแทบไม่ปฏิเสธเลย และมันอาจจะเป็นภาพไปก่อนที่ช่วงแรก ๆ ซินอาจจะดูเป็นคนแบบพูดไม่เก่ง คิดว่าเป็นภาพจำแต่ซินคิดว่าตัวเองมีหลายโหมด ถ้าสนิทก็จะมีความคุยเก่ง คุยได้ทั้งวัน แต่บางวันไม่มีพลังก็จะนิ่ง ๆ ถ้าถามว่าเป็น Introvert ไหม ก็ใช่แหละ แต่เป็นมานานแล้ว ก่อนที่มันจะมาฮิตคำว่า Introvert เสียอีก”ย้อนวัยเด็กสุดขี้อาย ของ ซิน Singular“ซินเป็นเด็กขี้อายมาก จำได้เลยว่าตอน ม.1 เวลาออกไปรายงานหน้าชั้น เราไม่สามารถที่จะออกไปได้เลย สมมติว่ามันถึงคิวแล้ว เราจะไม่สบตาใครเลย แล้วก็อ่านโพยเท่านั้น เคยมีครั้งนึงที่มือไม้สั่นแล้วเป็นลมไปเลยจริง ๆ ช่วงแรกที่ขึ้นเวทีร้องเพลงมันก็ยังเป็นอาการประมาณนี้อยู่นะ แต่เราต้องคิดว่า The Show must go on แต่ถ้าถามว่ามันตื่นเต้นไหม มันตื่นเต้นมาก ควบคุมอะไรไม่ได้เลย ถ้าไปดูโชว์แรก ๆ ของซิน จะรู้เลยว่าเราตื่นเต้นมาก มันค่อยมาลดลงตอนที่เราชินกับบรรยากาศแล้ว หรือชินกับเวทีแล้วซินชอบร้องเพลงมาตั้งแต่จำความได้ ตอนนั้นเราก็ร้องอยู่ที่บ้าน ร้องให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง หรือตอนนั่งรถไปโรงเรียนก็ร้องไปเรื่อย แต่ถ้าหน้าห้อง หรือ งานโรงเรียน ก็คือไม่ร้องเลย ไม่มีเด็ดขาดที่คนจะได้เห็นเราร้องเพลง ตอนเด็ก ๆ เพลงที่ชอบร้องคือ เพลงรุ้งตัวอ้วน ของพี่อุ้ย รวิวรรณ จินดา เหมือนเราฟังตามคุณพ่อคุณแม่แล้วจำได้นักร้อง เป็นความฝันเดียวเลยที่ซินอยากจะเป็น แต่มันก็เป็นแค่ความฝันที่เราเก็บเอาไว้ในใจ เพราะเรารู้สึกว่ายุคนั้น การเป็นนักร้องมันน่าจะยากเหมือนกันที่จะเป็นศิลปิน มันไม่เหมือนยุคนี้ที่ใครก็ร้องเพลงลงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ แต่เด็กยุคก่อนแทบไม่รู้เลยว่า การจะเป็นนักร้องมันจะต้องเริ่มยังไง”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“มันเริ่มมาจากที่เราชอบร้องเพลง แล้วเราก็อินกับเพลงที่ร้อง ว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง และเราชอบดูเนื้อเพลง เราชอบเก็บสะสมแผ่นซีดีดูว่าแบบใครเป็นโปรดิวเซอร์ แล้วจำได้ว่าวันเกิดอายุ 14 ซินก็ลองแต่งเพลงของตัวเองดูเล่นๆ แล้วก็แต่งมาเรื่อย ๆ ซึ่งเราไม่ได้นึกหรอกว่า นี่มันคือการที่เรากำลังทำตามความฝันอยู่รึเปล่า เราแค่ลองทำเพราะเราชอบ จนแบบได้ลองมาทำเพลงเป็นเดโม่จริง ๆ แล้วก็ลองเข้าห้องอัดดู พอเจอพี่ที่ห้องอัดเค้าก็เหมือนมีคอนเน็คชั่นกับค่ายเพลง ก็เลยแนะนำเราให้ส่งเดโม่ไปที่ค่ายดูสิ ซินก็ส่งไปที่ค่ายโซนี่มิวสิค แล้วเค้าก็ได้เรียกเข้ามาคุยรายละเอียด มีกระบวนการอยู่ประมาณ 6 เดือน กว่าจะได้เดบิวต์เป็นศิลปิน”กว่าจะเป็นวง Singular“ตอนแรกต้องบอกว่าซินเข้าไปคนเดียว แล้วก็ถ้าพูดตามตรงคือตอนนั้นด้วยลุคของซิน ทำให้ทางค่ายยังไม่รู้ว่าจะขายออกมายังไง เค้าก็เลยลองเติมสมาชิกอีกคนนึงดู สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นวงก็ต้องขอบคุณทุกคนฮะ ที่ทำให้เพลง เบาเบา ดังมาก ไม่คิดเลยเพราะถ้าส่วนตัว ซินชอบเพลง 24.7 ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกที่ปล่อยมา แต่กับเพลงเบาเบา เรารู้สึกว่ามันก็เพราะดี ตอนที่เราแต่งเราก็รู้สึกว่าเพลงนี้ก็ดีนะ แต่ไม่ได้คิดไปถึงขนาดว่ามันจะดังขนาดนี้ ที่มาของเพลงเบาเบา คือถ้าสมมติเราให้สัมภาษณ์กันสมัยก่อน เราจะบอกว่าเพลงนี้มีที่มาจาก เพื่อนมาปรึกษาหลังทะเลาะกับแฟน ซึ่งอันนั้นก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ที่มาของท่อนฮุค มาจากซินนั่งรถไฟฟ้าอยู่ แล้วก็เจอคู่รักวัยใส กำลังกอดกันแบบแทบจะจูบกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว แล้วคนในขบวนก็คือมีมวลของความแบบ เบา ๆ กันหน่อยมั้ย เราก็เลยปิ๊งไอเดียซึ่งมันก็เวิร์คเหมือนกัน ก็เลยเอามาเขียนต่อให้เป็นเพลงในยุคที่วงดังมาก ก็จะมีแฟนคลับที่ติดตามเราแบบเกือบทุกการใช้ชีวิต แต่ด้วยตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีช่องทางให้เราปกป้องสิทธิ์ตัวเองขนาดนั้น จริง ๆ แฟนคลับมีหลายรูปแบบ มีทั้งถ้าไปงานต่างจังหวัดแล้วเราต้องนั่งรถตู้กลับบ้าน ก็จะมีแฟนคลับขับรถตาม ซึ่งซินว่าอันนี้อันตรายไปนิดนึง บางครั้งเราก็จะบอกให้คนขับหยุดรถก่อน ให้เค้าแซงไปเลย แล้วเราก็ค่อยไป ซึ่งมันก็มีความคิดว่าฉันจะต้องลำบากขนาดนี้เลยเหรอในการเดินทาง ศิลปินมันก็เป็นอาชีพ ๆ หนึ่ง ซินว่ามันต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ที่คนอื่นต้องเคารพพื้นที่นั้นของเราด้วย พอมีเรื่องคนตามคุกคามความเป็นส่วนตัว มันก็ทำให้ซินแย่ไปเลยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องสภาพจิตใจ มันสะสมมาเรื่อย ๆ จนช่วงรอยต่อระหว่างตอนที่เป็นวงกับตอนที่เป็นศิลปินเดี่ยว พอซินปล่อยอัลบั้มชุดแรกออกมาแล้วไปขึ้นโชว์ ซินก็จะมีความแบบแพนิคประมาณนึง แล้วมันบวกกับการที่ซินเป็นคนขี้อายด้วย แล้วจะต้องไปอยู่ในสภาวะที่ต้องไปอยู่ท่ามกลางมวลชน เราต้องสู้จริง ๆ เพราะว่าเรารักที่จะทำเพลง รักที่จะร้องเพลง ก็เลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ หน่อย ถ้าเป็นช่วงนี้ ซินจะรู้สึกโอเคกับโชว์ของตัวเองมาก ๆ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ มันต้องมีการเขียนเป็นสคริปต์เลยว่าวันนี้ถ้าจบเพลงนี้เราจะพูดอะไรบ้าง เราต้องเตรียมตัวและมีการท่องที่วงเราดัง เราก็ตกใจ และก็ดีใจไปด้วย จนท้ายที่สุดเมื่อ Singular ต้องแยกวงกัน ซินคิดว่ามันเป็นเรื่องของการที่เรามองกันไปคนละทิศทาง เหมือนเราโฟกัสกันคนละอย่าง แล้วก็คิดว่าเป็นการพูดคุยกันระหว่างวงเอง แล้วก็ค่ายด้วยว่า ถ้าเรายังฝืนทำต่อไป คิดว่าน่าจะไม่ไหว เลยตัดสินใจแยกย้ายไปทำในสิ่งที่แต่ละคนชอบดีกว่า”ซิน Singular กับการถูกตั้งคำถามจากสังคม“คอมเมนต์คลาสสิคที่จะเห็นตลอด 15 ปี คือ พี่เค้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะครับ คำถามนี้จะมีมาตลอด ซึ่งซินไม่เคยอธิบายนะ อาจจะด้วยความที่ว่ายุคนั้นมันเป็นยุคงง ๆ ของหลาย ๆ อย่าง ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งวงการเพลง วงการข่าว มันยังเป็นยุคที่เปลี่ยนผ่าน คนยังไม่รู้ว่าจะต้องรีแอ็คยังไง รวมถึงตัวศิลปินด้วยก็ยังไม่รู้ว่ามีคำถามแบบนี้แล้วฉันพูดได้มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าจริง ๆ ซินก็เป็นตัวของซินเองอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นมันไม่ได้มีช่องทางอะไรที่จะให้เราได้อธิบาย แล้วซินจะเป็นสายที่ไม่ค่อยเข้าไปอ่านคอมเมนต์มากนัก เพราะว่าถ้าอ่านเยอะก็จะรู้สึกไม่โอเค จะไวกับเรื่องเหล่านี้ เราเลยพยายามเอาโฟกัสไปไว้กับจุดที่เราสามารถทำให้มันดีขึ้นได้มากกว่าอาจจะเพราะตอนนั้นซินไว้ผมยาวด้วย ทำให้เวลาไปเข้าห้องน้ำ คุณป้าแม่บ้าน หรือพนักงานก็จะบอกว่าอันนี้ห้องน้ำชายนะคะ ซึ่งเค้าก็ไม่รู้จริง ๆ อันนี้มันก็ไม่เป็นไร อย่างตอนนั้นมีครั้งหนึ่งซินไปขึ้นคอนเสิร์ต ซินไม่แน่ใจว่ามันอาจจะเป็นในแพลตฟอร์มที่สามารถขึ้นคอมเมนต์ได้ แล้วมันก็จะมีคอมเมนต์เด้งขึ้นมา แล้วมีทีมงานเล่าให้ฟังว่า มันมีคอมเมนต์เด้งขึ้นมาตอนที่เราโชว์อยู่ว่า ไม่ต้องแอ๊ปก็ได้ค่ะ ซินก็งงว่านี่เราแอ๊ปอยู่เหรอตอนนี้ ก็แปลก ๆ ดี แต่ซินก็ไม่ได้ไม่ค่อยได้ไปคิดอะไรกับมันมาก ซึ่งคำถามแบบนี้ สมมติว่าเป็นคนรู้จักกัน ซินว่าเรื่องพวกนี้ เราแค่มองหน้ากัน คุยกัน เราก็น่าจะรู้และเข้าใจอยู่แล้วซินคิดว่ายุคนี้เรื่องระบบความคิด หรือว่าการยอมรับหลาย ๆ อย่าง มันก็พัฒนาตามวันเวลาไปด้วย เพราะฉะนั้นซินว่ายุคนี้เป็นยุคที่เหมือนเราจะเห็นว่าศิลปินหลาย ๆ คน ก็แบบสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่มาก ซึ่งซินเห็นแล้วก็ดีใจแทนคนเหล่านั้น ที่เค้าสามารถเป็นตัวเองได้เลยแบบเต็มที่ แต่ยุคก่อนเหมือนแฟนคลับเค้าจะมีตัวตนเราในความคิดที่เค้าสร้างขึ้นมาว่า ช่วงนึงที่เพลงเบาเบา ดังมาก หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าซินเป็นคนแบบเบาเบา อบอุ่น แต่เปล่าเลย จริง ๆ แล้ว ซินเป็นคนที่มีหลายเลเยอร์ บางทีก็เป็นคนเครียด เป็นคนดุ และเป็นคนสนุกได้”โควิดพลิกชีวิตให้ ซิน Singular ได้มีผลงานที่ญี่ปุ่น“ช่วงโควิดพอดีเลย ที่เหมือนมันมีโอกาสเข้ามาหาซินตอนช่วงปี 2019 ที่ซินได้ทำอัลบั้มญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ไปญี่ปุ่นนะ จะเป็นการทำงานออนไลน์ เพลงที่ปล่อยมาจะเป็นแอนนิเมชั่นของซินกับศิลปินที่ซินฟีทเจอริ่งด้วย เป็นศิลปินญี่ปุ่น ซึ่งก็ให้เค้าถ่ายเป็นวีดีโอมา แล้วก็ให้ศิลปินไทยของเราเป็นคนวาด ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป เพราะว่าตอนนั้นมันยังบินไม่ได้ เพลงที่ทำที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มีให้ฟังในทุกสตรีมมิ่ง ชื่ออัลบั้ม Self Portrait ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย”มุมมองการเปลี่ยนผ่านของวงการเพลง“ตอนที่ Singular มีเพลงดัง ตอนนั้นมันจะเป็นยุคที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่ยุคโซเชียล ตอนนั้นก็เพิ่งจะเริ่มมีอินสตราแกรม ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ เพิ่งจะมามีอินตราแกรมตอนที่เป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว ซินคิดว่ายุคนี้มันยากขึ้นที่จะมีเพลงร้อยล้านวิว เหมือนสมัยก่อนจะมีเพลงร้อยล้านวิวมาเรื่อย ๆ แต่ซินรู้สึกว่าพอเป็นยุคนี้เราะจะเห็นเพลงร้อยล้านวิวน้อยลง เพราะว่าคนฟังจะแยกไปฟังในแนวเพลงที่เค้าชอบ ในแพลตฟอร์มที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีเพลงฮิตแตกต่างกัน แล้วแต่ช่วงวัยด้วย ถามว่ามันมีข้อดีไหม ซินก็คิดว่ามันก็มีข้อดีนะ คือมันมีความหลากหลายมากขึ้น คนก็ไปรวมกลุ่มของตัวเองในกรุ๊ปเดียวกัน กรุ๊ปฮิพฮ็อพ กรุ๊ปป๊อบ กรุ๊ปเพลงสไตล์ต่าง ๆ ซินว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันในเรื่องการหาแรงบันดาลใจ ถ้าเป็นเพลงประกอบหนัง หรือประกอบซีรี่ส์ ซินรู้สึกว่ามันเป็นความสนุกอีกแบบหนึ่ง เพราะเหมือนเราได้สวมคาแรกเตอร์ลงไป หรือการจะเขียน มันต้องอ่านเนื้อเรื่องก่อน คือเราต้องเข้าไปอินในโลกนั้น ก็รู้สึกสนุกดี แต่ว่าถ้าเป็นเพลงที่มาจากตัวเอง อาจจะมีบ้างที่เพลงนี้เราเคยพูดไปแล้ว มันก็จะต้องหาอะไรใหม่ ๆ หรืออาจจะต้องมีไปหาแรงบันดาลใจที่ไม่ได้มาจากตัวเราล้วน ๆ อย่างเช่นอาจจะต้องไปดูหนัง ฟังเพลง หรือไปลองพูดคุยกับคนอื่น ๆ ดูบ้าง หรืออย่างการได้ไปฟีทเจอริ่งกับศิลปินอื่น ๆ ก็เหมือนได้รู้จักกับคนใหม่ ๆ ได้รู้จักกับศิลปินบางคนที่ถ้าเราไม่ได้ไปฟีทเจอริ่งกัน เราอาจจะแบบไม่ได้เจอกัน เพราะมันคนละแนวเพลงกันซินน่าจะทำเพลงไปจนกว่าเราจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ซึ่งยังไม่ได้คิดนะว่าจะทำไปถึงอายุเท่าไหร่ คิดว่าถ้าสมมติไม่ได้ทำงานเบื้องหน้าแล้ว ก็จะไปทำเบื้องหลัง จริง ๆ ซินชอบหมดเลยเกี่ยวกับวงการเพลง ถ้าถามว่าให้ไปลองบริหารค่ายเพลงดูอยากทำไหม ถ้ามีโอกาสในวันหนึ่งก็อยากลองดูเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ที่ได้ทำไปแล้วก็คือเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินอื่น ๆซินคิดว่าเพลงน่าจะเหมือนกับแฟชั่น หลาย ๆ เพลง ซินคิดว่ามันน่าจะวนกลับมา แล้วก็มีบางเพลงที่หายไป อย่างถ้าเป็นยุคนี้คนจะชอบทำเพลงสั้น ๆ ยุคถัดไปไม่แน่คนอาจจะอยากฟังเพลงยาวขึ้น อาจจะกลับมาชอบฟังเพลง 5 นาที เหมือนสมัยก่อนก็ได้”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ ซิน Singular“ความรักตอนนี้ไม่ได้โฟกัสขนาดนั้น ซินไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมานานแล้ว มีคนที่เหมือนศึกษาดูกันเรื่อย ๆ ในตลอดระยะเวลาที่เป็นโสดมาก็ไม่ได้ปิดไม่คุยกับใครเลย แต่แค่เหมือนคุยกัน แล้วมันก็ยังไม่ได้จริงจังขนาดที่จะเป็นเรียกใครว่าเป็นแฟนซินคิดว่าซินเป็นแฟนที่เข้าใจยาก ปกติก็เป็นคนคิดเยอะประมาณนึงอยู่แล้ว สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วนะ พอยิ่งเป็นแฟนกับใครก็จะยิ่งมีความซับซ้อนไปใหญ่ มันจะยากนิดนึงนะสำหรับซิน แล้วซินไม่รู้สึกว่าชอบตัวเองตอนที่มีแฟนเท่าไหร่ เพราะมันจะดูทุกสิ่งทุกอย่างมันยุ่งเหยิง การใช้ชีวิตของเรามันดูทำไมมันยากจัง หรือเป็นเพราะว่ายังไม่เจอคนที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายด้วยตอนนี้ซินคิดว่าตัวเองมีความสุขดี แล้วชีวิตก็เต็มได้ด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาหาคน ๆ นั้นสักเท่าไหร่”ซิน Singular กับการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น“สมัยก่อนตอนซินเป็นศิลปินใหม่ ๆ เราจะเป็นคนคิดเยอะ เวลาขึ้นเวทีจะคิดเยอะมาก มันก็เลยอาจจะดูไม่ได้สบายตัวขนาดนั้น แต่ว่าถ้าเป็นช่วงหลัง ๆ ด้วยประสบการณ์ ด้วยอายุที่เยอะขึ้นเรื่องบางเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็ตัดออก หรือแค่วางลง แล้วทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นณ วันนี้ ความสุขของซิน คือการที่ยังได้ทำงานเพลงอยู่ แล้วก็รวมถึงได้ทำหลาย ๆ อย่าง ที่เรามีเป้าหมายว่าอยากจะทำ อย่างทำเพลงที่ญี่ปุ่นนั่นก็เป็นเป้าหมายหนึ่ง หรือว่าในอนาคต มันอาจจะมีงานบางส่วนที่ซินรู้สึกว่าเราอยากเข้าไปลองทำ ความสุขคงจะเป็นการที่เรายังมีแพชชั่นกับการทำงานอยู่ ณ วันนี้ไม่รู้จะขอบคุณยังไง ที่แฟนคลับยังฟังเพลงเรามายาวนานหวังว่าเราจะฟังกันต่อไปเรื่อย ๆ ซินก็ยังคงทำหน้าที่ของซิน ทำเพลงที่ซินคิดว่าดีที่สุดออกไปให้ทุกคนฟังอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าซินรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรจะพูด หรือว่าไม่มีใครฟังแล้ว ตอนนี้มีเพลงที่เพิ่งปล่อยก็มี เป็นเพลงประกอบซีรี่ส์ เรื่อง Us รักของเรา ชื่อเพลงว่า ไม่อยากจูบเธอในฝัน ก็ฝากทุกคนฟังกันเหมือนเดิม”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ซิน Singular“ซินคิดว่าบางครั้งเราต้องการการยอมรับจากครอบครัว ซึ่งมันจำเป็นกับการที่เราจะมีความสุข แต่ซินมองว่า บางทีถ้าเรายอมรับตัวเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมายอมรับเรา บางทีมันก็มีความสุขได้เลย เพราะถ้าเกิดว่าเค้าไม่ยอมรับเลยในชีวิตนี้ แล้วเราจะต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตรึเปล่า ซินว่ามันก็ไม่จำเป็นนะ บางทีเราก็มีความสุขได้เลย ณ ตอนนี้ ถ้าเราไปโฟกัสที่สิ่งที่เราชอบหรือไปโฟกัสกับสิ่งที่เราอยากทำคนหลาย ๆ คนจะชอบอะไรที่มันชัดเจน ฉันสามารถแปะป้ายได้ว่านี่คือแอปเปิ้ล นี่กล้วย นี่ส้มจริง ๆ แล้ว ซินว่าประชากรโลกเรามี 7,000 ล้านคนเลยนะ มันไม่มีทางที่คนมันจะเหมือนกัน หรือว่าชอบอะไรเหมือนกันขนาดนั้น ถึงแม้ว่าคุณไปแปะป้ายว่าลูกนี้เป็นส้ม คุณยังจะต้องไปดูอีกนะว่าส้มลูกนี้มันพันธุ์อะไร แล้วมันเป็นพันธุ์ที่มีเม็ดมาก เม็ดน้อย เป็นสีอะไร เพราะฉะนั้นซินว่ามันแบบเออก็เหมือนกัน แค่เรายอมรับในความหลากหลายและทำความเข้าใจมัน” - ซิน Singularพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

10 ก.พ. 2025

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

“พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ เราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมาก ๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย และรู้ว่าความสุขมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว และมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่สวยระดับโลก “โม จิรัชยา” อินฟลูเอนเซอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุค ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง สู่ความทุ่มเทตั้งใจจนได้เป็น Miss Tiffany's Universe 2016 พ่วงกับตำแหน่ง Miss International Queen 2016 เพราะพลังที่สำคัญที่สุด คือพลังที่อยู่ในตัวเอง และ ณ วันนี้ เธอพบว่าความสุขในชีวิตมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส ของ ด.ช.อัครพล“ตอนเด็ก ๆ ชื่อ โจ้ อัครพล แล้วมาเปลี่ยนเป็น โม จิรัชยา ตอนประกวดนางงามแล้ว คือจริง ๆ เราไม่อยากเปลี่ยนชื่อเล่นเลย แต่ว่าพอโตขึ้นเราอยากให้ชื่อมันลื่นหูขึ้น เพราะตอนเข้าโรงพยาบาลแล้วโดนเรียกชื่อคนไข้ คุณอัครพล เราจะต้องเจอสายตาที่งง ๆ เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนชื่อให้มันลื่นหูก็น่าจะดี เพื่อความสบายใจของตัวเอง ก็เลือกชื่อ โม แล้วกันง่าย ๆ แล้วชื่อจริงก็ตั้งเองด้วย พยายามหา สละ พยัญชนะ ที่เราใช้ได้ แล้วเราก็มาเลือกชื่อที่ชอบโม เกิดในครอบครัวคนจีน มีพี่ชายหนึ่งคน แล้วเราก็เป็นน้องชาย ซึ่งกว่าที่โมจะได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้หญิง ก็คือตอนเรียนปี 1 แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเรากดดันนะ ทั้งเรื่องที่เราแอบทานยาคุม หรือมีเพื่อนที่เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ที่บ้านเราจะกีดกันหมด ในตอนที่รู้ว่าโมทานยาคุม ที่บ้านก็คือค้นโต๊ะ ค้นทุกอย่าง แล้วให้ทุกคนในครอบครัวมานั่งคุยเลยว่าจะเอายังไง ยานี้มันอันตรายไหม ซึ่งตอนนั้นเค้าก็คงเป็นห่วงเรามาก ๆ แล้วความเป็นฮอร์โมน เค้าก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ แล้วพอโตขึ้นมา เค้าก็เห็นเราไปอยู่กับเพื่อนกะเทยเยอะ ซึ่งก็เป็นที่มาของการที่โมตีเทนนิสในปัจจุบันนี้ เพราะเค้าจับหนูให้ไปเรียนเทนนิส เพื่อที่จะไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนหลังเลิกเรียน ทำให้เราต้องอยู่บ้าน แต่เป็นชีวิตที่คุยกับที่บ้านน้อยมาก พออยู่บ้านเราจะเป็นอีกคนที่ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยไม่กล้าแสดงความเป็นตัวเองแบบ 100% เพราะเรากลัวว่าเค้าจะมองเราไม่ดี แล้วเราจะโดนดุ เราก็เลยต้องพยายามทำตัวเป็นคนเรียบร้อย จะได้แต่งเป็นผู้หญิง ใส่กางเกงขาสั้นแค่ตอนจะออกจากบ้าน แต่ตอนจะกลับบ้านก็ต้องกลับสู่ปกติ แต่การใช้ชีวิตในแต่ละวันมันต้องลุ้น และระแวงว่าเพื่อนของพ่อจะเจอเราไหม พ่อจะเจอเราข้างนอกบ้านไหม มันกลัวไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าตอนเรียนมัธยมเป็นช่วงที่ตัวเองรู้สึกอึดอัดที่สุด จนผ่านมาถึงมหาวิทยาลัย”เขียนจดหมายเปิดใจ จนได้เจอความสุขที่แท้จริง“ความภูมิใจแรก ๆ มันเกิดขึ้นตอนสอบติดมาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อแม่ก็รู้สึกประหลาดใจด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน โม สอบติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรียนแฟชั่นดีไซน์ ศิลปกรรม ซึ่งตอนปี 1 ต้องไปเรียนที่องครักษ์ จ.นครปฐม นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง เพราะต้องอยู่หอ พ่อแม่ไม่เจอเรา ก็เลยได้ใช้ชีวิตแบบเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อชั้นใน ใส่ชุดนิสิตหญิง จนถึงวันที่เราต้องกลับมาเรียนปี 2 ที่ ประสานมิตร เราทำใจไม่ได้ถ้าต้องกลับมาแต่งชาย เพราะเรารู้สึกว่าสังคมเพื่อน คนรอบตัวมองเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ถ้าเราจะกลับไปเป็นผู้ชาย เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มาก ๆ ก็เลยกลับไปคุยกับที่บ้าน เป็นการคุยโดยการเขียนจดหมาย เพราะว่าเราไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง วันนั้นเป็นคาบเรียนสุดท้าย เรียนเสร็จเราก็นั่งเขียนจดหมายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นแบบไหน อยากให้พ่อแม่เข้าใจ ตอนนั้นเขียนไปแล้วร้องไห้น้ำตาท่วม แต่สุดท้ายมันง่ายมาก เพราะพ่อบอกว่าก็รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยงงว่าทำไมทุกคนเข้าใจง่ายจัง หลังจากได้อ่านจดหมาย วันรุ่งขึ้นแม่พาไปซื้อเสื้อชั้นในเลย หลังจากนั้นมันกลายเป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนเราไม่มีอะไรที่ต้องโกหก ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง พอมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราก็อยากเล่าสู่ครอบครัว เดี๋ยวจะไปกับเพื่อนนะ เราสามารถพูดได้เลย มันไม่เหมือนกับตอน ม.ปลาย และยิ่งโตขึ้นมามันยิ่งแฮปปี้ขึ้น เพราะที่บ้านกลายเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างสนิทกันมาก คุยเล่นได้หมดเลย พ่อแม่จะกลายเป็นเหมือนเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่องแม่กระทั่งตอนจะไปหาผู้ชาย ก็เปิด Instagram ผู้ชายให้แม่ดูได้เลย แม่ก็จะบอกเลยคนนี้หล่อดีนะ คนนี้ไม่โอเคนะ เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ครอบครัวเราน่ารัก พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง เช่น ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 อยากทำหน้าอกมาก เราก็ตื้อจนพ่อก็พาไปโรงพยาบาล ไปจ่ายเงินให้ ทำทุกอย่างให้ แม้แต่ตอนจะทรานส์พ่อก็ไปรับไปส่ง ดูและเราอย่างดี มันคือความสุขที่เกิดขึ้นและเราสัมผัสได้”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงาม“จุดเริ่มต้นบนเส้นทางนางงามของโม คือ ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนที่เล่นโซเชียล ไม่ได้เป็นคนที่ดูนางงาม แต่แค่มองอนาคตว่า เราชอบวงการบันเทิง แล้วเราจะทำยังไงดีให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงได้ เราก็เลยรู้สึกว่าการประกวดนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำได้ และทำให้เรารู้สึกว่ามันได้นำทักษะที่เราเรียนมา เอามาใช้ในการประกวดด้วย ก็เลยไปประกวด Miss Tiffany’s Universe ตอนปีแรกที่ประกวดคือ 2014 ตอนนั้นไม่พร้อม ตกรอบ 30 คนสุดท้าย เดินชุดราตรีสวย ๆ แล้วก็กลับบ้าน แต่พอปี 2016 มีรุ่นพี่ที่แนะนำเราให้กับค่ายนางงามที่ชื่อ พี่ชาติ ซึ่งค่อนข้างที่จะคร่ำหวอดในวงการนางงาม ซึ่งตอนเราประกวด เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่ง เพราะว่าเค้าไม่มีเวลาแต่เราก็บอกว่า แม่จะส่งหนูไหม ถ้าแม่ส่ง แม่แค่แต่งหน้าให้หนู เรื่องชุด เรื่องสไตล์ลิส เดี๋ยวหนูจัดการเอง พี่ชาติ ก็เลยตกลงส่งเราประกวด วันที่เจอกันครั้งแรกคือวันออดิชั่น และเป็นวันที่ไวรัลที่สุด เพราะมันจะมีรูปที่คนแชร์กันเยอะมากในโซเชียล เป็นรูปที่โมใส่ชุดสีขาว แล้วก็จะมี แปรงแต่งหน้าจากมือแม่ชาติ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้เล่นโซเชียล แล้วเราก็ไม่ได้รู้เรื่องว่ารูปมันเป็นไวรัล จนกลับมาจากออดิชั่นถึงเริ่มรู้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคนถึงรู้จักเรา เหตุผลมาจาก พี่ช่า ไดอารี่ตุ๊ดซี่ แชร์รูปของเรา แล้วหลังจากนั้นคน 20,000 คน ก็เริ่มมาติดตามเรา แล้วเราก็เริ่มมาสนใจโซเชียลมากขึ้น และมาคิดได้ว่าการจะเป็นที่รู้จักของคนในโซเชียลมันเร็วมากเลยตอนกลับไปประกวดปี 2016 เราเตรียมตัวมาอย่างดี เรียนบุคลิกภาพ แล้วก็เข้าใจประโยคที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เพราะว่าการเป็นนางงาม มันก็จะต้องมีความเป็นนางงามอยู่โมก็พยายามคิดว่า เราจะนำเสนออะไรที่มันเป็นรูปแบบใหม่ ๆ แต่สุดท้ายนางงามมันก็จะต้องมีมาตรฐานความเป็นนางงามอยู่ ดังนั้นการเดิน บุคลิกภาพ เราต้องเรียน แล้วปี 2016 ตอนนั้นคนที่ประกวดได้ต้องอายุไม่เกิน 25 ปี แล้วตอนนั้น โม อายุ 25 พอดี มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเราใส่เต็ม แล้วในปีนั้นกระแสการเชียร์นางงามกำลังมา น้ำตาล ชลิตา, โม จิรัชยา แล้วก็ ฝ้าย สุภาพร จะมีแต่ตัวเต็งของเวทีเกิดขึ้นต้องขอบคุณสังคม คือเราเรียนแฟชั่นมา เราก็จะรู้จักแบรนด์ต่าง ๆ หรือรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วย เคยฝึกงานพร้อมกัน แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เราชอบจากที่เราเรียนก็คือการแต่งตัวแฟชั่น หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ เรารู้ว่าตัวเองใส่อะไรแล้วสวย ใส่สีอะไรแล้วเราดูดี แล้วในยุคที่โมประกวด มันเป็นยุคที่การออกงานต่าง ๆ จะต้องมีการถ่ายรูป ชุด หน้าผม แล้วก็แท็กชื่อคน ชื่อห้องเสื้อ แล้วช่วงนั้นเรารู้สึกว่าสนุกกับการประกวด เราเตรียมเสื้อผ้า วางลุคไว้แต่ละวัน ไม่ซ้ำแบรนด์กันเลย ทำการบ้านว่าเราจะต้องนำเสนอสิ่งที่เราชอบ ทรงผม การแต่งหน้า การแต่งตัว การเดิน กริยาต่าง ๆ มันต้องเป็นตัวเราที่สุด แล้วตอนนั้นการประกวดมันก็ค่อนข้างเข้มข้น เพราะว่ามันเป็นยุคที่คนเริ่มมาดูนางงาม นางงามต้องมีการเตรียมตัวแบบสุด ๆ นอกจากบุคลิกภาพ เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ก็ยังมีเรื่องของน้ำหนัก เพราะแต่ก่อนเราผอม อยู่บนเวทีมันก็จะยิ่งตัวเล็ก แต่นางงามมันต้องมีน้ำมีนวล มีความเป็นควีน แม่ชาติก็พาไปกินทุเรียนทุกวันตอน 4 ทุ่ม กินขนมปังเนยนม ให้มันมีเนื้อมีหนัง แล้วการประกวดนางงามมันเหนื่อยมาก 7 โมงเช้าเราต้องเข้ากอง ดังนั้น ตี 4 ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผม แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะได้ตื่นตี 4 ทำกิจกรรมเสร็จกว่าจะกลับบ้านรถติด ต้องเตรียมของ ถึงบ้านก็ตี 1 แล้ว ตอนนั้นเรานอนน้อยมาก แล้วโมเป็นภูมิแพ้ เวลาแต่งหน้าน้ำตาก็จะไหล ขนตาก็จะหลุด ระหว่างแต่งหน้าเราก็จาม บอกเลยว่าการเป็นนางงามมันที่สุดในชีวิตเลย นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เราเหนื่อยหน้าที่เราจะต้องคอยยิ้มหวาน เหนื่อยสมองเวลามีสัมภาษณ์ ต้องตอบให้ดูเป็นคนฉลาด มีความรู้ ต้องมีโครงการเพื่อสังคม เข้าใจเลยว่าถ้าเห็นนางงามคนไหนหน้าบูด ไม่ต้องไปโกรธเค้านะคะ เพราะเค้าเหนื่อย ให้เค้าพักบ้างอย่างปีนี้ Miss Tiffany’s Universe 2025 มาในธีม Moving Forward พุ่งทะยานสู่วันใหม่ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่นางงาม โมมองว่ายุคนี้สิ่งที่ต้องการมาก ๆ มันคือโลกโซเชียล ทุกอย่างมันต้องเร็ว ต้องสมัยใหม่ นางงามจะต้องทันโลก แล้วหนูเคยฟัง คุณจ๋า พูดในรายการหนึ่งว่า เค้าชอบคนที่กระฉับกระเฉง มีไหวพริบ ฉับไว ดังนั้นถามอะไรตอบให้ตรง ไม่ต้องไปอ้อมโลก เราอยากจะให้น้อง ๆ นางงาม คิดว่าถ้าสมมติตัวเองเป็นเจ้าของเวที เราจะเลือกใครมง แล้วเราก็จงเป็นคน ๆ นั้น ต้องดูว่าเวทีต้องการอะไร เราจะต่อยอดได้ยังไง ถ้าตอบโจทย์ก็มงได้ค่ะ”จากตัวแทนประเทศไทย สู่ชัยชนะบนเวที Miss International Queen 2016“การประกวดในประเทศ และต่างประเทศ ความยากเย็นมันแตกต่างตรงที่ว่า ในประเทศเราทำเพื่อตัวเอง ส่วนต่างประเทศ มันต้องแบกภาระ มันมีความคาดหวัง มีคำแนะนำเยอะ จนเราสับสนว่าต้องทำให้ใครก่อน แล้วมันกดดัน แต่ตอนนั้นโมรู้สึกว่า การได้เข้ามาเป็นตัวแทนที่สวมสายสะพายไทยแลนด์ มันมีโอกาสเดียว แล้วน้อยคนมากที่จะเข้ามาได้ ก็เลยอยากทำให้มันเต็มที่ ต้องทำทุกอย่าง หาสปอนเซอร์ชุด ช่างหน้า ช่างผม ทุกอย่างต้องอินเตอร์ขึ้น ต้องซ้อมการแสดงความสามารถ ต้องหาเงินเพื่อจองตั๋วเครื่องบิน อย่างรอบไฟนอลก็ได้สปอนเซอร์ชุดจาก พี่ฉอด ต้องขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่แบบซัพพอร์ตเรา แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน จนวินาทีสุดท้ายก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมงลงเหมือนกันหลังจากนั้น พ่อแม่ภูมิใจกับเรามาก ๆ เหมือนลูกเป็นดาราแล้ว พอเรากลับพ่อแม่ก็จะดีใจ อวดไปสามบ้านแปดบ้านว่า โมกลับมาแล้ว มาถ่ายรูปไหม เหมือนเด็กอวดของ เราก็ดีใจแล้วนั่นมันกลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ได้กำลังใจ”เมื่อความภูมิใจ คือการได้ส่งต่อโอกาส“ณ ตอนนี้ สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการที่เราทำอะไรให้สังคม แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง พอเราโตขึ้นมา แล้วผ่านการประกวด สิ่งต่าง ๆ ที่เราพูดออกไป มันออกไปสู่สังคมได้มากขึ้น คือตอนนี้หนูได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “Feline Agency” เป็นเอเจนซี่เกี่ยวกับโมเดลล้วน ๆ ที่เปิดรับทุกเพศตั้งแต่เกย์ ทรานส์ หญิง ชาย หรือ Nonbinary ทุกอย่างครบหมดเลย มันเริ่มมาจากที่เราทำงานมา แล้วเรารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานของทรานส์ในวงการนางแบบมันมีน้อยมาก แล้วเราก็ถูกปิดโอกาส จนได้มาเจอ พี่มี่ มิลิน กับ พี่เล็ก สองคนก็มาคุยกันว่า มีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง หนูก็เล่าชีวิตหนูไป แล้วก็เลยเกิดมาเป็น “Feline Agency” มีเด็กในสังกัด 20-30 คน เป็นการให้โอกาส แล้วก็ต่อยอดเส้นทางความฝันของน้อง ๆ ทำมาประมาณ 4 ปี แล้วเรารู้สึกว่าทำแล้วเกิดเป็นพลังงานดี ๆ กับคนอื่น เป็นความภูมิใจของเรา ก็เลยรู้สึกว่า “Feline Agency” เป็นสิ่งที่ภูมิใจอย่างประสบการณ์ของโม แต่ก่อนเราก็เคยโดนปิดกั้น ตอนเด็กเราอยากเป็นพริตตี้มาก 10 ปีก่อน การเป็นพริตตี้นี่คือเป็นอาชีพที่ทำเงินมาก ๆ แล้วเรารู้สึกว่าคนสวยเท่านั้นที่จะได้เป็น แล้วเราก็ส่งไลน์ไปสมัคร แล้วเค้าก็บอกว่ารับแต่ผู้หญิงแท้อย่างเดียว ซึ่งเราก็รู้สึกว่าพริตตี้บางงานมันไม่ต้องพูด มันไม่จำเป็นจะต้องใช้เสียง แล้วคุณสมบัติอื่น ๆ เรามีนะ แล้วเราสามารถทำได้ แต่ว่าตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าสังคมมันค่อนข้างที่จะปิดโอกาส เราก็เลยถูกปฏิเสธ จนเรารู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมา หากมีโอกาสก็อยากให้เรื่องการทำงาน หรือความฝันของแบบทรานส์ หรือคนทุก เพศ หากอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร ต้องได้ทำ”เพราะฉันเป็นฉัน“สมัยก่อนมันไม่มีคำว่าทรานส์ ไม่มีคำว่า LGBTQ+ มันจะมี ชาย หญิง ตุ๊ด กะเทย ส่วน เกย์อาจจะมีช่วงหลัง ๆ มันจะมีแค่นี้ แล้วพอเราโตมา เราก็ถูกสังคมมองว่าทุกอย่างจะต้องเหมือนผู้หญิง ต้องผมยาว ต้องมีหน้าอก ต้องมีสรีระที่คล้ายผู้หญิงมากที่สุด ต้องมีกิริยาที่เหมือนผู้หญิง ต้องมีการแต่งตัวให้เหมือนผู้หญิง ต้องใช้เสียงโทนผู้หญิง มีช่วงหนึ่งที่เราก็พยายามทำตามสังคม แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ฉัน เพราะว่าเราเป็นคนฉับไว กระฉับกระเฉง ด้วยนิสัยของเราเป็นคนตลก สนุก เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองถูกกดด้วยสังคมอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้หญิงก็ได้ เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นอะไร คนอื่นรู้หรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา มันเป็นเรื่องมุมมองของเขาที่มองกลับมาหาเรามากกว่า ดังนั้นเราทำให้ตัวเองสบายใจ ส่วนคนอื่นจะมองยังไง นั่นคือเรื่องของความรู้ อุดมคติ การใช้ชีวิต และการมองโลกของเค้า ที่มองเข้ามาหาเรา ใครที่จะมาเรียกเราว่า กะเทย ตุ๊ด ผู้หญิง หรือทรานส์ แล้วแต่เลย เราไม่รู้สึกอะไร และฉันเป็นฉันแค่นั้นเอง”ความรัก หัวใจ และความสุขที่ใช่ จากเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว“ความรัก ตอนนี้โมโสดมา 7 ปี ก้าวเข้าปีที่ 8 เรามองว่าอาจจะเจอคนที่ไม่พร้อมสำหรับเรา เหมือนมันก็มีคนเข้ามานะ แต่ว่าโมรู้สึกว่า มันมีคนเข้ามาน้อย เพราะคนส่วนมากจะคิดว่าเป็นคนสวยจะต้องมีคนจีบเยอะเลย แต่จริง ๆ เราไม่มีคนคุย เพราะโมเป็นคนที่ไม่คุยไปเรื่อย แล้วถ้าสมมติเราไม่ชอบ เราก็จะไม่พยายามไปชอบเค้า เพราะว่าเรามองมุมกลับ ถ้าสมมติเราไปชอบคน ๆ หนึ่ง แล้วเค้าพยายามคุยให้เราสบายใจ มันคือการทำร้ายเค้าทางอ้อมแต่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันก็จะเข้ามาป๊บเดียวก็หายไป ไม่ได้เรียกว่าแฟน หรือมีสถานะที่จริงจัง แต่การเป็นโสด เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แต่กลับมีความสุขมาก ๆ พอเราโตขึ้นเราจะรู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ และเราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมากเลย โมรู้สึกว่าตอนนี้เราเป็น Best Version มาก ๆ เราตื่นมาอยากไปยิมก็ไป เล่นยิมเสร็จอยากกินอะไรอร่อย ๆ โมก็ขับไปกินคนเดียว ง่ายมากเลย ทุกอย่างคือความสุขรอบตัว เราหยิบจับอะไรก็เป็นความสุข คนอื่นพยายามไปหาว่าอะไรคือความสุข แต่สำหรับโม แค่กินของอร่อยก็มีความสุขแล้ว ถ้ากินไม่อร่อยก็ทิ้งไป ไปซื้อใหม่แค่นั้นก็มีความสุขแล้วตอนนี้กำแพงหัวใจของเราไม่สูงนะ แต่กำแพงอาจจะมีหลายชั้น คือเราค่อนข้างที่จะเลือก บอกตามตรงว่าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แค่หน้าหล่อ แต่รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วย มันต้องมีความกลมกล่อม สิ่งสำคัญมากคือ เรามองว่าการมีแฟนต้องคุยรู้เรื่อง ถ้าถามปูตอบปลาก็ไม่เอา คุยให้มันตื่นเต้น รู้สึกสนุกกับชีวิต อยากทำอะไรไปทำด้วยกัน ไม่ต้องเครียด เพราะไม่อยากเอาความเครียดมาใส่หัว อนาคตเธอจะวางแผนยังไง ไม่ต้องยุ่งฉันดูแลตัวเองได้ ขอแค่มาเป็นเพื่อนที่เข้าใจกัน มันที่สุดแล้วสำหรับโม”ความฝันต่อไป ของ โม จิรัชยา“ตอนนี้โมรู้สึกมีแพชชั่นกับการใช้ชีวิตของตัวเองมาก ๆ แต่ก่อนการเป็นทรานส์ จะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกาย กลัวมีกล้ามมี Six Pack ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบเข้ายิมเลย แต่ตอนนี้เรากลับมาเข้ายิมได้ประมาณ 5 เดือน แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่เรารู้สึกว่า ทำไมมุมมองสมัยก่อนเรามองตัวเองว่าจะต้องเป็นคนไม่มีกล้ามเนื้อ เป็นคนตัวนิ่ม ๆ เหลว ๆ แต่พอตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยน เรารู้สึกว่ารักร่างกายตัวเองที่มันมีกล้ามเนื้อที่ดี แล้วอารมณ์ดีขึ้น ไม่เครียด และมันมีความสุข แล้วโมก็กลับมาตีเทนนิส ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบทรานส์ที่ตีเทนนิสเก่ง ๆ แล้วพอมานั่งคิดก็รู้สึกว่า ถ้าเราเก่งแล้วเราจะลงแข่ง เราจะอยู่ประเภทไหน ชายเดี่ยวหรือหญิงคู่ หรือว่าผสม รู้สึกว่ามันเป็นอะไรใหม่ ๆ ที่เราอยากลองทำดู”สีสันแรงบันดาลใจจาก โม จิรัชยา“โมมองว่าทุกคนมีฝันหมด แต่ถ้าสมมติมันไปไม่ถึงฝัน ก็อย่าคิดว่าความฝันของเรามันมีแค่ความฝันเดียว มันมีอีกหลากหลายเส้นทาง เราบอกกับทุกคนเสมอว่า ถ้ามีฝันก็พยามไปให้ให้ถึง อาจจะต้องทำจนเหนื่อย ก็ลองทำไปเลย แต่ถ้าสมมติท้อเมื่อไหร่ ไม่ต้องทำ เพราะถ้าท้อมันจะเป็นทุกข์ หรือลองหันไปทำอย่างอื่น ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบเลย เราอาจจะกลายเป็นชอบขึ้นมาก็ได้ และสุดท้ายสิ่งที่เราทำได้ดี มันอาจจะเป็นความฝันของเราอีกทางก็ได้ บนโลกนี้มีหลากหลายอาชีพ มีหลากหลายความฝัน คนก็เหมือนกัน ทักษะเรามีเยอะแยะ ลองทำหลาย ๆ อย่าง และอย่าลืมว่าความฝันอย่างอื่น ก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน” - โม จิรัชยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

กว่าจะเป็น “มิ้วกี้ ไปรยา” ตัวแม่สุดเซ็กซี่ซู่ซ่า กับการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกเพศ หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง

07 ก.พ. 2025

กว่าจะเป็น “มิ้วกี้ ไปรยา” ตัวแม่สุดเซ็กซี่ซู่ซ่า กับการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกเพศ หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง

“หนูยังอยากให้ผู้หญิงทุกคน มีหน้าที่การงานของตัวเอง สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเอง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกกัน มันจะไม่แค่เสียใจที่จากกัน แต่มันจะวุ่นวายกว่านั้นมาก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “มิ้วกี้ ไปรยา” ยูทูบเบอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุคที่ทั้งเก่งทั้งเซ็กซี่ ปัจจุบันเป็นเจ้าของช่องยูทูบ Milky Praiya เป็นไอดอลของสาว ๆ รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์สุดปัง กว่าจะมีวันนี้ เธอเคยผ่านความอุปสรรค และความยากลำบากมาก่อน จนพบจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเรื่องยากในชีวิต ที่ต้องผ่านไปให้ได้“เรื่องยากที่สุดของปีนี้ เพิ่งเกิดขึ้นเลยค่ะ คุณพ่อเสียชีวิตกะทันหันมากเลยแบบเราไม่ได้ตั้งตัว คือคุณพ่อรู้สึกแน่นหน้าอกตอน 11 โมง แล้วรู้สึกหายใจไม่ออก น้องสาวก็พาไปหาหมอ พอไปหาหมอได้สักพัก น้องสาวก็โทรมาบอกว่า คุณหมอบอกว่าคุณพ่ออาการ 50:50 เราก็ตกใจว่าเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนแรกเราก็คิดว่าคุณหมอน่าจะช่วยคุณพ่อได้ เพราะว่าคุณพ่อเคยผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจมาแล้วตอนนั้นคุณพ่อก็รอดชีวิตมาได้ ครั้งนี่เราเลยคิดว่าคุณหมอก็น่าจะช่วยได้ มิวกี้ กับ คุณแม่ เลยรีบไปโรงพยาบาล ไปถึงน้องสาวก็บอกว่าคุณพ่อหยุดหายใจไป 20 นาทีและ ทีนี้มันเป็นฉากเหมือนในละครเลยค่ะ มิวกี้ น้องสาว และคุณแม่ นั่งอยู่ในห้องที่ปิดกระจกแล้วให้เรานั่งรอ เค้าก็จะมีจอทีวีให้เราเห็นการผ่าตัด สักพักก็มีพยาบาลท่านนึงเดินมาแล้วก็เปิดจอทีวี จังหวะนั้นเราก็หันไปคุยกับคุณแม่แป๊บเดียว ไม่ถึง 2 นาที หันกลับมาอีกที ก็มีคุณหมอสองท่านมายืน แล้วก็มีพยาบาลอีกประมาณ 4-5 ท่านมายืนแล้วก็บอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราช่วยชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้ ด้วยความที่มิ้วกี้ตกใจมาก ๆ ก็เลยถามกลับไปด้วยความตกใจมาก ๆ ว่า หมายความว่าไงคะ คุณหมอพ่อเสียชีวิตเหรอคะ เค้าก็บอกว่า ใช่ครับ ด้วยความช็อกมิ้วกี้ถามย้ำแบบนี้อีก 2 ครั้ง ได้คำตอบเหมือนกันเลย ตอนนั้นมิ้วกี้ปล่อยโฮแล้วก็กอดกับคุณแม่ถามคุณหมอว่า ไม่มีทางช่วยเลยเหรอคะ เพราะเราก็คิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะช่วยได้อีกสัก ครั้ง คุณหมอก็บอกว่า เสียใจด้วยนะครับ คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว นี่คือเรื่องที่เรียกว่ายากมากเลยที่เกิดขึ้นกับมิ้วกี้”มิวกี้ ไปรยา ทำอาชีพอะไรบ้าง?“ก่อนหน้าที่จะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีงานภาพยนตร์ หรือว่ามีละคร หนูเป็นนักธุรกิจหรือแม่ค้านั่นเอง แล้วหนูได้ตำแหน่ง Miss Sexy Leo Girl 2012 แล้วก็ได้อยู่ในวงการมาตั้งแต่ช่วงนั้น แล้วก็ออกจากวงการมาเร็วเพื่อมาทำธุรกิจ เพราะหนูรู้สึกว่า งานในวงการมันไม่ยั่งยืน ตอนที่ได้รับรางวัลหนูก็รีบทำงานกอบโกยแล้วก็รีบออกไป ตอนนั้นโซเชียลยังไม่เป็นที่นิยม ก็เลยไม่ค่อยมีคนรู้จักเรามากนัก แต่ก็จะมีฐานแฟนที่เป็นฐานแฟนจริง ๆ ที่รู้จักว่าเราอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 2012 แล้วก็รู้จักเรามานานแล้ว แล้วหนูก็รีบเก็บเงินให้เร็วที่สุด แล้วก็ออกจากวงการไปเปิดร้านอาหาร ไปทำอาหารเสริมเป็นแม่ค้าทำออนไลน์ จนวันหนึ่งได้กลับเข้ามาทำ Youtube อีกครั้ง จนมีชื่อเสียงกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์อีกครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์เป็นนางเอกอีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นทั้งแม่ค้า เป็นทั้งอินฟลูเอนเซอร์ แล้วก็เป็นตัวแม่ ที่ต้องต่อสู้ค่ะ”ตัวแม่ ผู้อยู่ท่ามกลางความหลากหลาย“หนูอยู่กับพี่สาว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ที่เป็นกะเทย แล้วน้องสาวของหนู ก็เป็นทอม ซึ่งหนูอยู่กับคนใกล้ตัวที่เป็น LGBTQ+ แล้วหนูไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องแปลก หรือแตกต่างเลย หนูอยู่กับคนเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด เลยไม่ได้รู้สึกว่าการมีเพศที่สาม หรือการมีกะเทย การมีทอม มีเลสเบี้ยน มีหญิงรักหญิง ชายรักชาย มันเป็นเรื่องพิเศษหรือแตกต่างและหนูโชคดีมากเลยที่ทุกคนในครอบครัวเปิดกว้าง อย่างคุณแม่ก็เข้าใจน้องมาก ๆ คุณพ่อก็เข้าใจ ที่บ้านไม่มีการบูลลี่ หรือพูดถึงความหลากหลายในทางที่ไม่ดี รวมถึงตัวหนูเองก็ไม่เคยว่าน้อง เราเข้าใจซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องดีมากที่เราไม่ตัดสินด้วยเพศมากันตั้งแต่แรก แล้วหนูก็อยู่กับพี่สาวที่เป็นกะเทยนางโชว์ หนูก็จะซึมซับความเป็นกะเทยมาเยอะ ก็เหมือนสนิทกัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกแตกต่าง มันเป็นธรรมชาติมาก ๆ”คอนเทนต์ที่ไม่ได้สร้างแค่ความบันเทิง“ที่คนชอบดูคอนเทนต์หนู หนูคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่า หนูไม่ได้ให้แต่ความบันเทิง หนูอาจจะให้แรงบันดาลใจ เพราะว่าหนูจะชอบเขียนแคปชั่น หรือพูดถึงเรื่องราวของตัวเอง ลงไปในช่องทางของตัวเอง ว่าเราเคยผ่านอะไร หรือเราเคยเจออะไรมาบ้าง เพื่อให้เป็นแนวทาง หรือสมมติว่ามีคนที่กำลังดาวน์อยู่ จากการเจอเรื่องราวแบบเดียวกับเรา แล้วเค้าผ่านมาเจอข้อความของหนู แล้วมันอาจจะช่วยเหลือเค้าได้ในวันที่เค้าแย่ที่สุด ซึ่งหนูได้รับข้อความจากแฟนคลับเยอะมาก ๆ ที่บอกว่า พี่มิ้วกี้หนูเคยคิดสั้นเพราะหนูเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หนูไม่มีงานทำ หมดสิ้นหนทางแล้ว หนูไปต่อไม่ได้แล้ว แต่พอหนูมาเจอพี่แล้วพี่ทำให้หนูรู้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แล้วก็ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง เราได้ข้อความเหล่านี้เยอะมาก ซึ่งหนูรู้สึกดีมาก ๆ เลย แล้วอีกแรงผลักดันที่ทำให้หนูอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป เพราะหนูรู้ดีว่าถ้าเราได้พูดอะไรแล้วเสียงมันมักจะดังกว่า ซึ่งหนูอยากจะทำให้คนที่เลิกกับสามี หรือว่ามีปัญหาอะไรก็ตามที่หากหนูได้พูดให้เค้าฟังแล้วเค้าสามารถเอาสิ่งที่หนูพูด ไปเป็นแรงบันดาลใจ หนูจะมีความสุขที่วันนี้หนูได้ช่วยเค้าเหล่านั้น ซึ่งความบันเทิงก็มีค่ะ มีให้ตลอด แต่หนูอยากให้อะไรที่มันมากกว่านั้น”การช็อปปิ้ง ตามแบบฉบับของ มิวกี้ ไปรยา“หลายคนคิดว่าหนูเริ่มมาจากการทำคลิปช็อปปิ้งเลย ซึ่งบอกก่อนเลยว่าคลิปแรกมันคือคลิปที่หนูพาลูกพาสามีเก่าไป Dreamworld แล้วหนูก็นั่งคิดว่าคลิปต่อไปทำอะไรต่อดี หนูก็เอาของที่หนูใช้อยู่มารีวิว ซึ่งหนูไม่ได้เสียเงินอะไรเลย หนูเสียแค่ค่าตัดต่อ แล้วพอดีว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนูจะต้องไปต่างประเทศกับสามีพอดี ก็จะมีการไปเที่ยวกัน แล้วก็คุยกันเล่น ๆ แซวกันว่า วันนี้หนูจะช็อปปิ้ง พี่ให้หนูเท่าไหร่ไหนบอกมาซิ แล้วเค้าก็บอกว่า ล้านนึง หนูก็ตอบไปว่า ล้านนึงไม่พอหรอก ต้อง สองล้าน มันเหมือนสามีภรรยาแซวกันเล่น ๆ แล้วก็เริ่มไวรัลจากจุดตรงนั้น คนก็ชอบดูเวลาหนูช็อปปิ้งเพราะว่าหนูช็อปสนุก หนูช็อปแบบให้ความรู้ด้วย แล้วหนูก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า หนูจะทำอะไรที่ทำให้หนูอยู่ตรงนี้ได้ยาว ๆ เพราะหนูยิ่งทำไปได้เรื่อย ๆ หนูก็ยิ่งรักในช่องของหนู เริ่มรักในตัวตนของมิ้วกี้ ไปรยา หนูก็เลยคิดว่างั้นเราต้องเป็นตัวเอง หนูชอบช็อปปิ้ง ก็เลยทำคลิปช็อปปิ้ง กลายเป็นตัวแม่แห่งการช็อปปิ้งไปเลยแรก ๆ อาจจะโดนด่าว่าอวดรวยบ้าง อวดความแพงบ้าง แต่ตอนหลัง ๆ ไม่ค่อยโดนด่าแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ปลอม หนูซื้อจริง ทุกอันที่ทำคลิปหนูซื้อจริง ๆ ตอนแรกที่โดนด่า หนูเคยอยากด่ากลับ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย หนูรู้สึกว่าแม้คนด่าเราทุกวันแต่เราไม่ได้ยิน เราแค่ไม่อ่านมันก็จบ ก็ปล่อยไป บางทีมันรำคาญตามากก็ลบไปเลย แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องอ่าน เราก็เลือกอ่านแต่คอมเมนท์ดี ๆ เมื่อก่อนหนูเคยพยายามอธิบายกับทุกคอมเมนท์เลย แต่หนูรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะทำ ถ้าคนไม่ชอบเค้าก็ไม่ชอบอยู่ดี แล้วเค้าเป็นใครก็ไม่รู้ หลัง ๆ ก็เลยปล่อยวางค่ะ”กว่าจะรวยมาก ชีวิตก็ผ่านความลำบากมาก่อน“ย้อนกลับไปก่อนหนูจะมีชีวิตเหมือนทุกวันนี้ ตอนนั้นหนูไม่มีบ้าน จนอายุ 23-24 หนูอยู่บ้านเช่ามาหลายปี ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านหลังแรกจะเป็นบ้านที่เหมือนคุณพ่อไปปลูกร่วมกับญาติคุณพ่อ เป็นบ้านหลังเล็กมาก ๆ หนูก็อยู่กันพ่อแม่ แล้วก็น้องสาว หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านคุณยาย ก็จะมีหลายห้อง แต่ก็จะมีคุณน้า หลาย ๆ คนอยู่ จนวันหนึ่งหนูก็บอกพ่อกับแม่ว่า เราน่าจะย้ายได้แล้วนะ เพราะว่าหนูกับน้องสาวก็เริ่มโตแล้ว เราจะอยู่ห้องรวมแบบนี้ไม่น่าจะได้ ก็ย้ายออกมามาอยู่บ้านเช่าซึ่งเป็นตึกแถว ค่าเช่าห้องละ 3,000 บาทแต่หนูมุ่งมั่น หนูมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ว่าถ้าโตขึ้นหนูจะทำให้พ่อแม่ไม่ต้องลำบาก พ่อแม่หนูจะต้องไม่อยู่บ้านเช่า จะต้องอยู่ดี กินดี อยู่สบาย หนูจะทำทุกอย่างไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม เป้าหมายของหนูคือพ่อแม่จะสบายโดยที่ไม่ได้คิดว่าฉันจะมาเป็นนักช็อปปิ้ง แต่ทุกครั้งที่หนูผ่านตึกใหญ่ ๆ สูง ๆ หนูจะนั่งมองทุกครั้ง แล้วหนูก็จะคิดว่า สักวันหนึ่งหนูจะเป็นเจ้าของตึกพวกนี้ให้ได้ คิดโดยที่ไม่ได้บอกใคร เก็บเอาไว้ในใจ แล้วพอวันหนึ่งที่มันชัดภาพมันชัด หนูก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ และหนูจะพูดคำนี้เสมอว่า อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร หลายคนชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ เช่น ตอนนี้ฉันอายุ 35 แล้ว ยังไม่มีอะไรเลย แต่ดูมิวกี้เค้ามีทุกอย่างเลยตอน 35 ซึ่งจริง ๆ แล้ว ความสำเร็จเค้าไม่ได้วัดแค่ตอนอายุ 35 หรือ 40 เค้าวัดกันทั้งชีวิต ช่วงเวลาของคุณอาจจะไม่ใช่ 35 แต่อาจจะเป็นช่วง 50 ก็ได้ ตอนคุณอายุ 50 คุณอาจจะมีทุกอย่าง มีบ้านที่มันมั่นคง มีรถ มีทุกอย่างที่มันมั่นคงก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แล้วข้อดีของหนูคือหนูไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านเลย หนูโฟกัสหน้าที่ของหนู หนูทำงานของหนู แล้วหนูก็ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ด้อยค่าตัวเอง แม้ว่าหนูจะเจอเรื่องหนักแค่ไหนก็ตาม หนูไม่เคยด้วยค่าตัวเอง คนเราเจอปัญหาได้ คนเราล้มได้ ล้มแล้วต้องลุก คนตายเท่านั้นที่จะไม่สู้ เรายังไม่ตายเราต้องสู้”ทำงานกับ มิวกี้ ต้องอย่าลืมความ Beauty“หนูรู้สึกว่า การแต่งหน้า มันเป็นพลังอย่างหนึ่ง แล้วไม่ได้เกิดพลังแค่กับตัวเรา มันเกิดพลังกับคนรอบตัวด้วย ตัวอย่างเช่นเวลาเราไม่แต่งหน้า เราจะหลบหน้าผู้คน เราจะไม่อยากเจอใคร หรือฉันขอใส่แมสก์ดีกว่า แต่ถ้าเราแต่งหน้า เราจะมั่นใจ วันนี้ลูกค้ามาฉันพร้อมเปิดรับ ดังนั้นมันเลยกลายเป็นกฎเหล็กกับทุกคนในบริษัทหนูว่า ทุกคนต้องแต่งหน้า เราขายความสวยความงามอยู่ ถ้าหน้าลูกน้องยังไม่พร้อม แล้วเราจะขายอะไร ดังนั้นทุกคนต้องแต่หน้า ตื่นมาพอเค้าได้แต่งหน้าทาปาก แล้วมันจะได้มีความมั่นใจ เพิ่มพลังให้ตัวเอง และสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเจอด้วย”ความรักครั้งเก่า ที่ต้องก้าวผ่าน“ความรักกับสามีเก่า มันเป็นการเลิกรากันที่ก็ไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกัน หนูเคยมีความคิดมาตลอดว่า คน ๆ หนึ่งจะสามารถอยู่กับอีกคนได้นานขนาดที่จะแก่ไปด้วยกันเท่ารุ่นพ่อแม่เราไหม จนวันหนึ่งหนูก็ได้ใช้ชีวิตครอบครัว แล้วก็อยู่กันมา 9 ปีแล้วหลังจากเลิกรากันไป มันค่อนข้างแย่พอสมควร เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของหนู และอดีตสามี แต่มันดันเป็นเรื่องของประชาชนด้วย มันกลายเป็นการเข้าใจผิดมากมายหลายอย่าง คนเดากันไปหลายอย่างมาก แต่ว่าคะแนนคนด่ามันมาทางหนูที่เป็นฝ่ายผิด หลายคนมองว่าหนูมีคนอื่นณ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า ความรัก ถ้ามันไม่เท่าเดิม มันควรจะเพิ่มขึ้น และต้องไม่น้อยลง แล้วตอนนั้นเราต่างทำงานเยอะมากกันทั้งคู่เหมือนกัน แล้วเค้าก็เหมือนอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา จากที่เมื่อก่อนเราคุยกัน ไปช็อปปิ้งด้วยกัน มันกลายเป็นก้มดูโทรศัพท์ตลอดเวลา จนหนูก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเลยที่เค้ามากับเรา แล้วมันก็มีอีกหลายปัญหาที่ยิบย่อย ที่ทำให้หนูรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่อยู่คนเดียว หลายคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ ก็จะมาว่าหนูว่า เค้าดีจะตาย เค้าน่ารัก ซึ่งหนูไม่เถียงเลย เค้าเป็นสามีที่ดี ตั้งแต่เราอยู่กันมา 9 ปีไม่เคยมีเรื่องชู้สาว เราไม่เคยมีเรื่องนี้เลยทั้งคู่ แล้วก็ความรักมันไม่ใช่แค่เรื่องชู้สาว มันมีรายละเอียดอีกมากมายที่มันเกิดขึ้นระหว่างทาง และตอนหลัง ๆ เราเริ่มคุยกันคนละเรื่อง หลาย ๆ อย่างที่เราเคยทำร่วมกัน หนูกลายเป็นทำคนเดียว หนูก็เลยเลือกอยู่คนเดียวดีกว่าต้องบอกก่อนว่า หนูเป็นผู้หญิงที่ทำงานและหาเงินเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก และหนูอยากจะบอกผู้หญิงทุกคนเลยว่า ถ้าคุณโชคดีที่มีสามีที่รวยมาก แล้วเลี้ยงคุณได้ เนี่ยแล้วคุณมั่นใจมาก ๆ ว่าชีวิตนี้เค้าจะเลี้ยงคุณไปตลอดก็ไม่เป็นไร แต่หนูยังอยากให้ผู้หญิงทุกคนมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง สามารถยืนได้ด้วยขาตัวเอง เพราะว่าวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนหนูก็ไม่ได้ตั้งตัวเหมือนกัน หนูก็ไม่ได้อยากให้เรื่องราวจบแบบนี้ แต่หนูโชคดีมากที่หนูทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ใช่แค่เสียใจที่จากกัน มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในตอนที่เลิกกันมันกลายเป็นกระแส หนูโดนด่าหนักมาก จนประสาทเสียมาก ๆ ตอนนั้นหนูยอมรับว่าหนูเซมาก ๆ หนูต้องจิตแข็งมากถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ขนาดนี้ ทำไมชีวิตเราต้องมาเจอกับคนเหล่านี้ด้วย ที่เค้าด่าหนูเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่เคยรู้จัก บางคนไม่เคยเจอ ไม่เคยคุยกับเราด้วยซ้ำ”ล้มไม่ได้ เพราะต้องพายเรือส่งอีกหลายชีวิต“มรสุมชีวิตช่วงนั้น หนูก็ลืมนึกไปเลยว่าสามารถผ่านมันมาได้ยังไง แต่ว่ามันยากมากกับภาวะจิตใจ รวมถึงหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนอ่ะหนูเป็นคนคิดเร็วทำเร็วมาก ๆ พอเจอปัญหาตรงไหน หนูจะรีบแก้ไขทันทีไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่เรื่องของชีวิตคู่ เรื่องของความรักครั้งนี้ที่มันพังลง หนูยอมรับเลยว่าตัวเองเพิ่งจะเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่อง มันต้องใช้เวลาหนูตั้งสติว่าวันนี้เราตัวคนเดียวแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเรามีลูกที่รอเราอยู่ เรามีแม่ มีพ่อ ที่รอเราอยู่ มีลูกน้องที่รอเราอยู่ หนูเหมือนคนพายเรือ เหมือนหนูมีเรืออยู่ลำนึง แล้วหนูก็พายไปเรื่อย ๆ บนเรือหนูจะมีพ่อและแม่ แล้วก็มีลูกอยู่ด้วย แล้ววันนึงลูกน้องเจอก็อยากขึ้นฝั่ง หนูก็เรียกขึ้นมา จนเต็มเรือไปหมด เพราะฉะนั้นแล้วหน้าที่ของหนูคือ ต้องพายไปอย่างสม่ำเสมอ พายไปอย่างมั่นคง โดยที่ให้ทุกคนบนเรือไปถึงฝั่งแบบปลอดภัย เพราะฉะนั้นหนูจะมาทำตัวเมาเละเทะ ทำชีวิตพังไปวัน ๆ ไม่ได้ เพราะหนูมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องรับผิดชอบ หนูดูแลหลายชีวิตมากเลย หนูรู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่ามาก ๆ สำหรับการที่จะต้องดูแลคนหลาย ๆ คน ฉะนั้นต้องไปต่อ และการก้าวผ่านปัญหาครั้งนั้น มันทำให้หนูเปิดใจให้กับเพศที่สามมากขึ้น เปิดใจให้กับทุกเพศเลยที่เข้ามา มันไม่แปลกเลยถ้าเราจะชอบผู้หญิง ไม่เห็นแปลกเลยที่เรารู้สึกว่าอยู่กับผู้หญิงแล้วเรามีความรู้สึกดี คุยกันแล้วมันเข้าใจ คุยกันแล้วรู้เรื่อง เจอกันแล้วรู้สึกดีจังเลย เราก็เปิดใจได้ ไม่เห็นจะต้องปิดตัวเองสำหรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย”ความสุขแสนง่าย ของ มิ้วกี้ ไปรยา“ความสุขของหนูง่ายมากเลย มันคือการตื่นมาแล้วแม่คลุกข้าวกับปลาดุกย่างให้หนูกิน แค่นั้นหนูก็มีความสุขแล้ว การที่หนูได้กินของที่ชอบ หนูก็มีความสุขแล้ว หนูรู้สึกว่าดีจังเลยที่วันนี้ตื่นมาแล้วไม่ปวดหัว เพราะหนูเป็นไมเกรน หนูเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรที่ง่ายมาก ๆ อย่างผู้ชายที่มาจีบ หรือใครที่มาจีบจะเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างงั้น หาสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อให้หนู คือได้ของเราดีใจนะ แต่ถ้าถามตัวหนูจริง ๆ ความสุขของหนูคือง่ายมาก หนูเจอมิตรภาพที่ดี เจอผู้จัดการที่ดี หนูรู้สึกว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เรามี ณ ขณะนี้ มันดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องทะเยอทะยานมากจนเกินไป รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ มีสติอยู่กับมัน แค่นี้ก็โอเคแล้ว”ความเป็นคุณแม่ ของ มิ้วกี้ ไปรยา“หนูค่อนข้างเลี้ยง น้องกาเนส แบบแมน ๆ ค่อนข้างเป็นแม่ที่มีความเป็นผู้ชายสูงมาก หนูจะไม่แบบลูกขา ทำอย่างนี้ค่ะ หนูเป็นแม่ที่ค่อนข้างมีความเป็นผู้ชายในตัวอยู่ด้วยแล้ว น้องกาเนส เหมือน มิ้วกี้ ในเวอร์ชั่นจิ๋ว เวลาพูด เวลาทำอะไร คำศัพท์ต่าง ๆ ที่พูดออกมา รู้เลยใครเลี้ยงลูก และ มิวกี้ สอนลูกเสมอว่า ลูกต้องห้ามดูถูกเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม เราไม่ชอบก็ห้ามว่า ให้เก็บไว้ในใจ แล้วโลกมันไปไกลมาก แม่จะมีแฟนเป็นผู้หญิงก็ได้ แล้วเค้าก็เห็นน้าสาวที่มีแฟนเป็นผู้หญิงเค้าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาสงสัย แต่ มิ้วกี้ จะคุยกับเค้าเรื่องเพศบ่อยมากว่า ตอนนี้มันเปิดกว้างมาก สอนตลอดเพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกโตไปจะเป็นเพศไหน เผื่อวันหนึ่งเค้าสับสนในตัวเอง เค้าจะได้รู้ว่าแม่สอนเรามาแบบนี้ และเค้าจะได้กล้าเปิดกับเราว่า เค้าชอบอะไรก็อยากจะบอกเค้าว่า หม่ามี้ รัก กาเนส มาก ๆ แล้วก็อยากให้กาเนส สามารถอยู่กับคนได้ อยากให้กาเนสเป็นคนที่อยู่ง่ายกินง่ายเข้าใจง่าย แล้วก็เข้าใจทุกคน ทำตัวสบาย ๆ ยอมรับความหลากหลายและความแตกต่าง แม่อยากให้กาเนสอยู่กับใคร แล้วใคร ๆ ก็รักเค้า” - มิ้วกี้ ไปรยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

31 ม.ค. 2025

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

“การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จำเป็นต้องรอ และวันนี้ปิงมีลูก เพื่อทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ในอนาคตเราจะต้องเจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกมากมาย ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรในรุ่นต่อไป จึงอยากให้มีการทำความเข้าใจ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฝัน และมันไม่ผิดแปลกเลยที่ปิง อยากจะมีลูก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ปิงลี่ เฟมัส” แม่ค้าขายของออนไลน์สุดปัง อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง แถมดีกรีเน็ตไอดอลพี่กระเทย ที่โด่งดังในโลกโซเชียล เคยปรากฏตัวตามในรายการดัง และเป็นเพื่อนของแก๊งอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เอม ตามใจตุ๊ด, นินิว เพชรด่านแก้ว และ มิกซ์ เฉลิมศรี นอกจากนี้แล้วยังมีดีกรีเป็นนางงาม เจ้าของตำแหน่ง มิสขี้เมา ปี 2024 กับบทบาทล่าสุดคือการเป็นคุณแม่ป้ายแดงอีกด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการปิงลี่ เฟมัส ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“ต้องบอกว่าตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ปิงลี่ ฮะโหน่ง เพราะว่า มิกซ์ เฉลิมศรี เป็นคนตั้งให้ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนติดดูดวงมาก ก็เลยได้หมอดูคนดังมาดูดวงให้ ทีนี้เค้าเลยบอกว่าให้ตั้งชื่อว่า ปิงลี่ เฟมัส แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะอยู่ในวงการนี้ได้นาน และค่อย ๆ ก้าวไปแบบมั่นคง ถ้าใช้ชื่อว่า ฮะโหน่ง คนก็จะจําแบบไม่นาน หมอดูก็เลยให้ใช้เป็นชื่อนี้ จะได้วางตัวดี ๆ หน่อยส่วนชื่อ ปิง ได้มาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นกะเทยหัวโปก แล้วไปเห็นว่ามีรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ต่างโรงเรียนกัน แล้วน้องชื่อ น้องปิง เป็นดาวโรงเรียน สวยชนิดที่ว่า ถ้าพูดชื่อนี้ที่พิษณุโลก คือรู้จักเลย แล้วเราก็อยากให้คนรู้จักบ้าง ก็เลยใช้ชื่อ น้องปิง จากนั้นก็กลายเป็นว่าใช้ชื่อนี้มาจนถึงเรียน ม.กรุงเทพ แล้วพอมาเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นใครมีชื่อสองพยางค์มันน่ารักเลย ก็เลยใช้ชื่อ ปิงลี่ก่อนเป็น ปิงลี่ เราชื่อ วัด เพราะตอนเด็ก ๆ ป่วยบ่อย คุณแม่ก็เลยเอาไปเป็นลูกบุญธรรมของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อบอกว่าให้เอามาถวายให้หลวงพ่อ จะทำให้แข็งแรงขึ้น ผีจะได้ไม่เอาไป”มาถึงวันนี้ ปิงลี่ ภาคภูมิใจอะไรที่สุดในชีวิต“ปิงภูมิใจเรื่องของ ความอดทน ของตัวเอง เพราะปิงใช้คําว่าช่างมันกับตัวเองค่อนข้างเยอะมาก จนสามารถผ่านเรื่องที่เลวร้าย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย แล้วมันก็เกิดขึ้นกับเรา จน ปิงลี่ ก็ใช้คําว่า ช่างมัน และ อดทน จนผ่านมันมาปิงเกิดในครอบครัวที่ พ่อแม่เป็นกรรมกร แล้วตั้งแต่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณแม่ก็จะเป็นคนที่หาเงินคนเดียว ได้เงินเดือนละ 3,000 บาท แล้วแม่ต้องเลี้ยงลูกสองคน ดังนั้นเรื่องที่เราจะต้องได้เสื้อผ้าใหม่ หรือของเล่นอะไรใหม่ ๆ คือเกิดขึ้นน้อยมาก หรือบางครั้งขาดไปเลยก็มี เพราะต้องใช้เงินเพื่อกินไปวัน ๆ เท่านั้นแล้วปิงมองว่ามันน่าจะเป็นทุกบ้านที่จะมีลูกรักของพ่อ หรือลูกรักของแม่ ซึ่งปิงเองเป็นลูกของแม่ แล้วตั้งแต่พ่อเลิกกับแม่ไป พี่สาวก็จะได้เจอกับคุณพ่อบ่อย ส่วนเราก็ไม่เจอเลย แต่เราก็เป็นคนเลือกที่จะไม่เจอนะ เพราะเรารู้สึกว่าทําใจไม่ได้กับการเลิกกันของทั้งคู่ และไม่สบายใจเวลาที่เห็นแม่ร้องไห้นอกเหนือจากความอดทนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวแล้ว อีกอันคือ ในยุคนั้นการบูลลี่ การแกล้ง โดยเฉพาะเป็นเพศนี้ ก็จะโดนแกล้ง ซึ่งต้องใช้ความอดทนกว่าจะผ่านมาได้ มันเลยเป็นสิ่งที่เราภูมิใจค่ะ”ที่เข้มแข็งในวันนี้ เพราะเคยโดนบูลลี่มาก่อน“ตอนเด็ก ๆ ปิง โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งบ่อย มีครั้งหนึ่งคือถูกเอาปืนแก๊ป ที่มันเป็นหลุมยิงได้ 6 นัด เอามายิงใส่เสื้อเสื้อเราจนขาดเพราะมันเป็นประกายไฟ พอกลับไปบ้านก็โดนแม่ตี เรื่องนี้แหละนำให้ปิงไปสู่การที่ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง เพราะตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากเลย กับการโดนแกล้ง จนไม่อยากออกไปเจอเพื่อนเลย ไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซึ่งคนที่ทำให้ปิงฮึดสู้คือพี่ชายค่ะ ตอนนั้นเค้าเห็นว่าเราไม่สู้คนเลย แล้วเค้าก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราโตไปโดยที่เราไม่ปกป้องตัวเองเลย มันจะทำให้เราเสียเปรียบ แล้วเราก็จะโดนแกล้งอยู่ตลอด เค้าก็เลยพาเราไปสอน ซึ่งตอนนั้นมันจะเป็นมวยคาดเชือก คือเอาเชือกมากั้นเป็นเวที แล้วก็ให้เราขึ้นไปยืน จากนั้นก็ให้เด็กที่ใส่นวมต่อยเรา แล้วเราต้องยืนอยู่ตรงกลาง แล้วก็ต้องทนให้เค้าต่อย จนทำให้ร่างกายมันจํา จะโดนต่อยตรงไหนก็ต้องเกร็งตรงนั้น ถ้าล้มก็ต้องเริ่มใหม่ แล้วเค้าก็จะมาสอนเราว่า ถ้าเราไปสู้มันจะเจ็บแบบนี้ ให้เราได้รู้ก่อนว่าความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง พอเราจําว่าเราจะต้องเจ็บยังไง วันต่อมาเราก็ต้องเริ่มที่จะชก เริ่มที่จะต้องปัด ฝึกแบบนั้นตั้งแต่ 9 ขวบค่ะ”เป็นคนรักเพื่อน เพราะมีเพื่อน ถึงมีปิงลี่วันนี้“หลากหลายครั้งที่ ปิงลี่ เจ็บตัว มันแลกมากับการที่เราพยายามปกป้องเพื่อนเรา เพราะปิงโตมากับเพื่อน เพราะตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อ มันทำให้ปิงมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่แค่แป๊บเดียว เพราะแม่ต้องทำงาน แล้วช่วงที่เราเข้ามัธยม ปิงก็ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหมดเลย กลายเป็นว่า เพื่อนพาไปนอนบ้าน พาไปกินข้าว พาไปโรงเรียน พาไปเที่ยว มันก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน จนเพื่อนเปรียบเสมือนครอบครัวไปเลยที่ปิงเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ก็เป็นเพราะเพื่อนเลย ตอนนั้นเรามีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 12 คน ซึ่งทุกคนช่วยกันลงขันคนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันจ่ายค่าเทอมให้ปิง ตอนนั้นค่าเทอมประมาณ 40,000 บาท แล้วพวกเราช่วยกันเรียน ช่วยกันทํางานส่งอาจารย์ จนเรียนจบมาด้วยกันได้แล้วในชีวิต ปิงรู้สึกว่า มีเพื่อนอยู่สองคน ที่ปิงทักไปหา แล้วอยากเป็นเพื่อนกับสองคนนี้มาก จนทักไปบอกว่า เราขอเป็นเพื่อนเธอได้ไหม ซึ่งสองคนนั้นคือ นินิว เพชรด่านแก้ว และ เอม วิทวัส หรือ เอม ตามใจตุ๊ด ในตอนนั้นปิงรู้สึกว่าพวกเรามันคือไทป์เดียวกัน ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันคงจะตลก แล้วปิงอยากมีเพื่อนตลก แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยที่เป็นเพื่อนกับทั้งสองคน ปิงทักไปหา นินิว ก่อน แล้วถึงจะทักไปหา เอม ซึ่งนางสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว พอได้คบกันแล้วไลฟ์สไตล์เราเข้ากันได้ ก็คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”คลิปสุดปัง เปลี่ยนชีวิตปิงลี่“ถ้าเป็นคลิปที่ดังที่สุดเลย ตอนนั้นก็ต้องเป็น Socialcam เลย ย้อนไป 12 ปีก่อน ตอนนั้นมี Socialcam ก็จะเป็นแอปพลิเคชัน ที่คล้าย Tiktok ที่จะมีการโพสต์วิดีโอลงไป แล้วก็จะมีคลิปที่ปิงถ่ายคู่กับ ธาวิน ก็คือแฟนคนปัจจุบัน มันเป็นคลิปเล่นกันปกติเลย คือปิงตั้งกล้องไว้ แล้วก็จะทํากับข้าวไป อยู่ดี ๆ ธาวิน ก็วิ่งมาผลักเราลงเตียง แกล้งกันแค่นี้เลย แล้วเราก็อัพโหลดคลิป ลงไป กลายเป็นว่าเกิดเป็นไวรัล ยอดผู้ติดตามขึ้นมาเกือบ 200,000 คน กลายเป็นว่าปิงก็ดังข้ามคืนไปเลยจากนั้นหลังจาก Socialcam ปิด ปิงก็เงียบไปเลย เราก็ไปเป็นแม่ค้า แล้วช่วงนั้น นินิว มีโปรเจกต์อยากทํา สตุ๊ดจ๊อบ แล้วก็มาชวนกันทํา เพราะ นินิว บอกว่า เห็นเราอยู่เฉย ๆ ซึ่งรายการนี้ เกิดมาเพราะว่าเพื่อนมองว่าหนูอยู่เฉย ๆ แต่จริง ๆ เราเป็นแม่ค้าอยู่นะ แต่เพื่อนไม่คิดว่าเราเป็นแม่ค้า มันคิดว่าเราว่างงาน แล้วดูน่าสงสารจัง เพื่อนก็เลยชวนว่ามาทํารายการกันไหม เป็นรายการ สตุ๊ดจ๊อบ ซึ่งตอนนั้น เอม เค้าก็มีรายการตามใจตุ๊ดอยู่ด้วย ก็เลยเกิดเป็นรายการที่แก๊งเพื่อนไปลองทําอาชีพต่าง ๆ จนคนรู้จักปิงมากขึ้น แล้วคนก็มาติดตามเรามากขึ้น แล้วปิงก็เริ่มกลับมาสู่เส้นทาง อินฟลูเอนเซอร์ และ ยูทูบเบอร์ อีกครั้งหนึ่งค่ะ”จากจริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ ของ ปิงลี่ เฟมัส“แรงบันดาลใจในการมีลูกส่วนหนึ่งก็คือ แฟนนี่แหละค่ะ เพราะว่าธาวินเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นคุณพ่อ แล้วเขาก็เลือกแล้วว่าต้องเป็นเรา เขาก็เลยบอกกับเราบ่อย ๆ ว่าเขาอยากมีลูก มีให้หน่อยได้ไหมเรา แล้วเขาศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นกะเทย ดังนั้นการมีลูกมันต้องตอบคําถามหลายอย่างมาก ต้องตอบลูกไม่พอ ยังต้องตอบคำถามกับสังคมอีก จะต้องทํายังไงให้คนได้รู้ว่า มันมีเด็กที่เกิดจาก LGBTQ+ ที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมเราแล้วนะ เราต้องทําให้คนเข้าใจก่อนว่ากระบวนการ และ วิธีการอะไรบ้างที่ทําให้เกิดเด็กแบบนี้ขึ้นได้ในช่วงแรกที่ปิงคิดจะมีลูก ปิงกลัวว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง ต่อให้เรารู้สึกว่าเราจะเป็นแม่ แต่เราไม่ได้คลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องตั้งคําถามกับตัวเองว่า แล้วเวลาที่คนอื่นมองเข้ามา เค้าก็จะมองว่าเราไม่ใช่แม่อยู่แล้ว เพราะเราคลอดไม่ได้ เราไม่ได้อุ้มท้อง สิ่งเหล่านี้มันทําให้ปิงรู้สึกกลัวมากเลยกับการที่จะต้องมานั่งบอกกับลูกซึ่งก่อนหน้านั้นปิงก็ไม่ได้เป็นคนรักเด็ก เวลาเด็กเจอหน้าเราก็จะกรี๊ดเลย เพราะว่าเด็กกลัว เราก็เลยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าอุ้ม ขนาดเป็นลูกของเพื่อน ต่อให้เอ็นดูกับขนาดไหน เราก็จะไม่อุ้ม แต่ในวันที่อยากมีลูก ปิงต้องทําการบ้านเรื่องเด็ก ไปพร้อม ๆ กับการหาคําตอบให้เขา ซึ่งมันยากมากเลย ซึ่งปิงก็จะเล่าให้ฟังหมดเลยว่า เค้าเกิดมาจากความรัก ทุกคนต้องการที่จะให้หนูเกิด และเชื่อว่าหนูจะได้รับความรักจากทุกคนเลยบนโลกใบนี้พอเราตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการ โดยลูกเค้าก็ต้องรู้ทั้งหมดว่า เค้าเกิดมาจากพี่สาวของเราที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน เป็นดีเอ็นเอเดียวกัน แล้วเค้าเกิดมาจากการที่พี่สาวของปิงอุ้มบุญให้ โดยกว่าที่กระบวนการทุกอย่างจะสำเร็จ ปิงก็ผิดหวังมาหลายรอบมาก แล้วพี่สาวก็ทุ่มเทมาก ในการที่จะต้องรักษาตัวเอง รักษามดลูก แล้วทุกวิธีกามันบั่นทอนจิตใจพี่สาวมากเลย ทั้งการเก็บไข่ การขูดมดลูก การเตรียมฉีดฮอร์โมนเข้าตัวเอง แล้วพี่สาวก็อดทนมาก ๆ เพื่อที่จะทำให้ปิงมีลูกให้ได้ ซึ่งตอนนั้นพี่สาวก็อายุ 40 แล้วด้วย ทำให้การดูแลตัวเองต้องเยอะมาก แล้วต้องมีกระบวนการปฏิสนธิในหลอดแก้ว เพราะฉะนั้นพี่สาวก็จะต้องขยับตัวให้น้อย และต้องทานอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเยอะมาก ต้องมีกฎระเบียบกับตัวเองมาก ๆ เลย เพื่อบํารุงครรภ์ ซึ่งในกระบวนการกว่าจะมีลูกได้ ปิงผิดหวังและพลาดไปสองครั้ง ซึ่งถ้าพลาดแล้วทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมดเลย ตั้งแต่การเตรียมพร้อมร่างกาย การฉีดฮอร์โมน จนมันทําให้เรารู้สึกเสียใจและไม่อยากทําแล้ว เพราะว่าเราเป็นห่วงพี่สาว เป็นห่วงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเค้ามาก ๆ เลยในวันที่ มาร์เบลล์ คลอดออกมา เราขอบคุณทุกอย่างเลย ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณแฟน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างเลยที่ทำให้ลูกของปิงได้เกิดมา หลังจากลูกเกิดมา ก็โชคดีที่น้องของปิงที่เค้ามีลูกมาแล้ว และก็มีพี่สาวของปิงเอง คอยให้คําแนะนําในการเลี้ยงลูกอยู่ตลอด ว่าต้องให้นมแม่นะ ให้นมทำยังไง การอุ้มต้องประคองยังไง ซึ่งปิงอยากอุ้มเขาให้ได้เยอะที่สุด เพราะปิงรู้ว่าตัวเองทํางานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เลยค่อนข้างมีเวลาอยู่ที่บ้านน้อย ปิงก็เลยพยายามอุ้มเค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทําได้ ส่วนแฟนของปิงด้วยความที่เค้ามีความเป็นผู้นําครอบครัว แล้วก็มีความเป็นคุณพ่อแบบ 100% คือเค้าเตรียมให้ลูกหมดเลยทุกอย่าง แล้วเค้าก็หาข้อมูลมาหมดเลยว่า ต้องใส่ใจลูกยังไง ไปจนถึงขั้นที่ว่า ไปตรวจความสามารถลูก เพื่อวางแผนอนาคตให้ลูกว่า เค้าจะเติบโตไปในทิศทางไหน เตรียมผลักดันเค้าให้ถูกต้อง ทําทั้งหมดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นพ่อที่ดีให้กับกับเด็กคนหนึ่งได้มาถึงวันนี้ปิงมองว่า การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จําเป็นต้องรอ เพราะคําว่าพร้อมมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเรามัวแต่รอ โดยที่ไม่มีการเริ่มขึ้นมาก่อนเลย ไม่ได้ลองผิดลองถูกก่อนเลย มันก็ยังเป็นแค่ลม แต่ที่ปิงมีลูก ก็ไม่ใช่การมีลูกเพื่อที่จะต้องมาเรียกร้องกฎหมาย แต่ปิงมีลูกเพื่อที่จะทําให้ทุกคนได้รู้ว่าในอนาคตต่อไป เราจะต้องได้เจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกเยอะมาก ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรของประเทศไทยในรุ่นต่อไป แล้วเค้าก็ต้องได้กฎหมายคุ้มครองเหมือนกันกับทุกคนในสังคม ซึ่งก็เป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าไม่เริ่มขึ้นเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้แล้วปิงก็ใช้การเป็นนางงามของปิง ทําให้ทุกคนได้รู้ว่า เรากําลังจะได้เป็นแม่ แล้วการที่จะเป็นแม่ของเรา มันจะต้องทําให้ทุกคนได้เข้าใจว่า การเป็นแม่ของ LGBTQ+ หรือการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมันต้องเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และลูกต้องเข้าใจว่าเค้าเกิดมาได้ยังไง และการเกิดมาเป็นลูกกระเทย มันก็ไม่ได้แย่ ปิงคิดว่า เราควรที่จะต้องมีการปลูกฝังพื้นฐาน ให้สังคมเข้าใจก่อน อย่าเพิ่งแอนตี้ อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนปิงมีลูกแล้ว และเราทําให้ดูอยู่ด้วย แล้วปิงเชื่อมั่นว่าในอนาคตข้างหน้า ทุกคนจะเข้าใจ และเปิดใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”ย้อนเส้นทางนางงาม ของ ปิงลี่ เฟมัส“มิสขี้เมา 2024 มันเป็นเวทีของเพื่อน เอม และแฟนเอม จัดการประกวดนี้ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก กับการที่เราเข้าไปประกวดเวทีของเพื่อน แล้วเพื่อนจะให้เราผ่านเข้ารอบ ในสายตาเพื่อน มันแทบจะตัดเราออกไปเลย แล้วพื้นฐานการเป็นนางงามของปิงแย่มาก เราก็เลยต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น ซ้อมจนกว่าการเดินของเรามันจะดีขึ้น การวางตัว การวางท่า เราต้องปรับใหม่ทั้งหมดเลย แล้วมันกินเวลาเยอะมาก และมันมีช่วงที่ท้อด้วยนะที่ปิงคว้ามงได้ คิดว่าเป็นเพราะวันนั้นปิงมีสติ คือเพื่อนจะพูดเสมอว่า ปิงเป็นคนพูดอะไรแล้วจะพูดไม่จบ ไม่สามารถที่จะลงท้ายแบบจบได้สวย แต่กลายเป็นว่าวันนั้นมันเป็นวันของเราจริง ๆ ทุกอย่างมันก็เลยออกมาดีไปหมดเลย ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปิงทำอย่าเต็มที่ในทุกรอบการประกวด เพราะปิงคิดว่าลูกจะต้องกลับมาดูคลิป แล้วถ้าแม่เดินทุเรศมันอายคนนะ ปิงอยากทำให้ดีที่สุด อยากทำให้ลูกเห็น ก็เลยกลายเป็นว่า ทุก ๆ การเดินของปิง ปิงเต็มที่กับทุกก้าว ทำให้ดี ทำให้สง่า เพราะวันข้างหน้าเราอยากให้ลูกภูมิใจในฐานะนางงามรุ่นพี่ ปิงรู้สึกว่า นางงามในรุ่นต่อไป มันคือการแข่งขันที่สูงมาก แล้วนางงามก็จะต้องสร้างทั้งฐานแฟนคลับด้วย แล้วก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วย เพราะฉะนั้นปิงอยากให้ทุกคนมีใจที่จะเป็นนางงามจริง ๆ ไม่ได้นึกถึงแค่ชื่อเสียง แต่มันจะต้องดีจากภายใน ดีโดยเนื้อแท้จริง ๆ แล้วเวลาเราทําอะไรแล้ว เราจะไม่หลุดไปเป็นคนอื่น การดีจากเนื้อในมันจะทําให้ทุกกิริยาของเรา มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่มองเห็นง่ายทะลุปรุโปร่ง”ชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังจากได้เป็นคุณแม่“ตอนนี้ มาร์เบลล์ จะ 4 เดือนแล้วค่ะ และปิงก็ยังเป็นคุณแม่ที่ดูแลใกล้ชิด คอยดูพัฒนาการของลูกอยู่ตลอด เรียนรู้ทุกวัน แล้วก็ต้องเป็นนักคาดเดาด้วย สมมติว่าถ้าเค้าร้องไห้ สิ่งแรกที่เราต้องเริ่มดูเลยก็คือ หิวไหม ผ้าอ้อมเปียกรึเปล่า ถ้าเราเช็คแล้วแต่เค้ายังร้องอีก มันก็ต้องเริ่มใหม่อีกรอบ ทุกวันนี้ปิงก็เลยสนุกอยู่กับการคาดเดากับลูกเชื่อไหมว่า ปิงปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มันต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะมาก แล้วปิงปรับตัวไม่ทัน เพราะเวลาเราอยู่กับลูก เราอ่อนโยนมาก เราไม่พูดคําหยาบเลย ให้เค้าฟังเพลงเบา ๆ แต่พอกลับเข้ามาอยู่กับพวกเพื่อนเราก็ต้องพูดแบบใช้พลัง แล้วกลายเป็นว่าเราไม่ทันเพื่อน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไปถึงไหน หรือว่าเพื่อนกําลังพูดเรื่องอะไร เวลาไปออกรายการ เราจะช้าแล้วก็ประมวลยากกว่าเดิม กลายเป็นการกดดันตัวเองมากช่วงนั้นปิงปรึกษาเพื่อนหมดเลย แล้วก็เลยต้องเลี้ยงลูกแบบแบ่งเวลาดี ๆ จนตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”ความภูมิใจ จาก ปิงลี่ สู่ ลูกสาว“ถ้าวันหนึ่งลูกของปิงโตขึ้น และได้มาดู Club Pride Day ในวันนี้ แม่อยากให้หนูภูมิใจในตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ ใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุขมาก ๆเพราะว่าแม่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่กับหนูได้ทั้งชีวิต แล้วก็ตอนนี้ หลายคนรู้จักกับหนูแล้ว และก็เป็นกําลังใจให้หนูอยู่เสมอ อยากให้หนูใช้ชีวิตให้ดี เลือกชีวิตตัวเองให้ถูก แล้วแม่ก็มั่นใจว่าหนูจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนเปิดรับแล้วก็ซัพพอร์ทหนูเหมือนกับที่แม่ได้รับแน่นอน” - ปิงลี่ เฟมัสพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

GREEN MORNING SHOW

GREEN MORNING SHOW 7 ส.ค. 67

07 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 7 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 6 ส.ค. 67

06 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 6 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 5 ส.ค. 67

06 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 5 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 2 ส.ค. 67

05 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 2 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 1 ส.ค. 67

05 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 1 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 31 ก.ค. 67

04 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 31 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

CLUB PRIDE DAY

Club Pride Day x โรส ศิรินทิพย์ | 27 ก.พ. 68

27 ก.พ. 2025

Club Pride Day x โรส ศิรินทิพย์ | 27 ก.พ. 68

Club Pride Day x โรส ศิรินทิพย์ | 27 ก.พ. 68 . ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอคนนี้ เพราะเธอคือศิลปินเสียงดีและเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวของตัวเอง "โรส ศิรินทิพย์" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #โรส #โรสศิรินทิพย์ #Rose #ก้อนหินก้อนนั้น #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #รวมไฮไลท์ .

Club Pride Day x ปอป้อ ทรัพย์สิรี | 20 ก.พ. 68

20 ก.พ. 2025

Club Pride Day x ปอป้อ ทรัพย์สิรี | 20 ก.พ. 68

เปิดสนาม เตรียมลูกขนไก่ มารับแรงบันดาลใจจาก “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักสู้ผู้ครองแชมป์แบดมินตันระดับโลก! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ปอป้อ #ปอป้อทรัพย์สิรี #poporsapsiree #แบดมินตัน #badminton #โอลิมปิก #olympics #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x ซิน Singular | 13 ก.พ. 68

14 ก.พ. 2025

Club Pride Day x ซิน Singular | 13 ก.พ. 68

Club Pride Day x ซิน Singular | 13 ก.พ. 68 . เปิดไมค์ออนแอร์ พร้อมแชร์เรื่องราวที่ไม่ได้ (เบาเบา) เหมือนชื่อเพลง ของศิลปินหนุ่มเสียงนุ่ม ที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิน "ซิน Singular" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ซิน #sinsingular #ซินซิงกูลาร์ #เบาเบา #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #รวมไฮไลท์ .

Club Pride Day x โม จิรัชยา | 6 ก.พ. 68

06 ก.พ. 2025

Club Pride Day x โม จิรัชยา | 6 ก.พ. 68

เตรียมเมาท์แบบสวยสับ ฉบับตัวแม่ "โม จิรัชยา" นางแบบ บล็อกเกอร์ อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016 พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #โม #โมจิรัชยา #mojiratchaya #MissTiffanysUniverse2016 #MissInternationalQueen2016 #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x มิ้วกี้ ไปรยา | 30 ม.ค. 68

31 ม.ค. 2025

Club Pride Day x มิ้วกี้ ไปรยา | 30 ม.ค. 68

Club Pride Day x มิ้วกี้ ไปรยา | 30 ม.ค. 68 . สวยสับ ลัคชูฯ ไปกับคุณหนูตัวแม่เซ็กซี่ซู่ซ่า "มิ้วกี้ ไปรยา" กับการสร้างแรงบันดาลใจกับผู้หญิงและเหล่า LGBTQ+ หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #มิ้วกี้ #มิ้วกี้ไปรยา #milky #milkypraiya #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #รวมไฮไลท์ .

Club Pride Day x ปิงลี่ เฟมัส | 23 ม.ค. 68

23 ม.ค. 2025

Club Pride Day x ปิงลี่ เฟมัส | 23 ม.ค. 68

เตรียมเม้าท์กับ “ปิงลี่ เฟมัส” ดาวโซเชียล ตัวแม่บนสังเวียนมวย ตัวตึงเวทีนางงาม สู่ก้าวสำคัญของการเป็นแม่สุด Famous แห่งปี เว่าแล้วก็ไป! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ปิงลี่ #ปิงลี่เฟมัส #pingliifamous #LaphitWongthawi #misskeemao2024 #ลูกชิ้นนายปิง #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

CLUB INSPIRED DAY

Club Inspired Day x คิวเท โอปป้า | พุธที่ 5 พ.ย. 68

05 พ.ย. 2025

Club Inspired Day x คิวเท โอปป้า | พุธที่ 5 พ.ย. 68

เปิดไมค์ต้อนรับ “คิวเท โอปป้า” ยูทูบเบอร์เกาหลีหัวใจไทย ที่ชีวิตเคยวุ่นวายจนเกือบหลงทาง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป…เมื่อเขาได้เจอ “ธรรมะ” จากหนุ่มสายฮา สู่คนที่ใช้เสียงหัวเราะและความจริงใจ ส่งต่อพลังบวก และมุมมองชีวิตที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เรื่องราวของผู้ชายที่ค้นพบว่า ความสุขแท้…อยู่ที่ใจ ไม่ใช่ยอดวิว . พบแรงบันดาลใจทุกวันพุธ กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม ที่ Green Wave 106.5 FM Facebook/Tiktok: GreenWave 1065 YouTube: ATIME . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #คิวเท #คิวเทโอปป้า #ธรรมมะ #ศึกษาธรรม #ข้อคิด #พุทธวจน #ยูทุปเบอร์ #kyutaeoppa #ClubInspiredDay #GreenWave #GreenWave1065

Club Inspired Day x อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา | 22 ต.ค. 68

24 ต.ค. 2025

Club Inspired Day x อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา | 22 ต.ค. 68

Club Inspired Day x อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา | 22 ต.ค. 68 . ถอดรหัส “ภาษากาย” อ่านใจคนในชีวิตประจำวัน กลับมาอีกครั้งกับ อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมและภาษากาย ที่จะพาคุณเข้าใจคนรอบตัวได้ลึกขึ้นกว่าที่เคย! จากวิธีอ่านใจคนที่บ้านและคนรัก ไปจนถึงเทคนิคจับโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เจอในชีวิตจริง รวมถึงเคล็ดลับป้องกันตัวจากภัยยุคดิจิทัล . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #ClubInspiredDay #GreenWave1065 #GreenWave #อาจารย์ดรตฤณห์โพธิ์รักษา #ภาษากาย #อ่านใจคน #แรงบันดาลใจชีวิต #ดีเจเป้ #ดีเจแคน #InspiredทุกMoment

Club Inspired Day x ทนายแก้ว | พุธที่ 15 ต.ค. 68

15 ต.ค. 2025

Club Inspired Day x ทนายแก้ว | พุธที่ 15 ต.ค. 68

เปิดไมค์ต้อนรับ “ทนายแก้ว” จากวันที่เคยเกือบทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว สู่ “ทนายโซเชียล” ที่อยากให้ทุกคนเข้าใจกฎหมาย…แบบไม่ต้องเปิดตำรา เขาเชื่อว่า “ความยุติธรรม” ไม่ควรซับซ้อน และ “ความรู้ทางกฎหมาย” ควรเป็นของทุกคน . เรื่องราวของผู้ชายที่เปลี่ยนความผิดพลาด ให้กลายเป็นพลังในการสื่อสารกฎหมายให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงหัวใจคนจริง ๆ . พบแรงบันดาลใจทุกวันพุธ กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม ที่ Green Wave 106.5 FM Facebook/Tiktok: GreenWave 1065 YouTube: ATIME . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #ทนายแก้ว #กฏหมายที่ต้องรู้ #ทนายโซเชียล #ทนายความ #กฎหมายเข้าใจง่าย #ความรู้กฎหมาย #ClubInspiredDay #GreenWave #GreenWave1065

Club Inspired Day x ตู่ ภพธร | 8 ต.ค. 68

08 ต.ค. 2025

Club Inspired Day x ตู่ ภพธร | 8 ต.ค. 68

ค้นหาเหตุผลภายใต้รอยยิ้ม ของ “ตู่ ภพธร” เจ้าของฉายา “สามีแห่งชาติ” ศิลปินเพลงรักสุดอบอุ่น คุณพ่อลูกสองสุดน่ารัก เพราะความสุขของคนฟัง คือแรงพลักดันในการก้าวต่อไป . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #ClubInspiredDay #GreenWave1065 #GreenWave #ตู่ #ตู่ภพธร #2popetorn #แต่ละวันของตู่ภพธร #แรงบันดาลใจ #ความสำเร็จ #เส้นทางชีวิต #ดีเจเป้ #ดีเจแคน #InspiredทุกMoment

Club Inspired Day x จูน กษมา ศิลาชัย | 1 ต.ค. 68

01 ต.ค. 2025

Club Inspired Day x จูน กษมา ศิลาชัย | 1 ต.ค. 68

Club Inspired Day x จูน กษมา ศิลาชัย | 1 ต.ค. 68 . จากแม่ลูก 4 สู่แม่แบบแรงบันดาลใจ “จูน กษมา ศิลาชัย” คุณแม่สุดสตรอง ที่ไม่หยุดอยู่แค่บ้าน แต่ลุกขึ้นสร้างธุรกิจด้วยสองมือ จากความงามสู่ “แกงไก่หม้อแม่จูน” ที่กำลังฮอตทั่วโซเชียล เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าแรงบันดาลใจ…เริ่มได้จากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #ClubInspiredDay #GreenWave1065 #GreenWave #จูนกษมา #แรงบันดาลใจแม่แม่ #หม้อแม่จูน #แม่บ้านนักธุรกิจ #ดีเจเป้ #ดีเจแคน #InspiredทุกMomen

Club Inspired Day x นนท์ อินทนนท์ | พุธที่ 24 ก.ย. 68

24 ก.ย. 2025

Club Inspired Day x นนท์ อินทนนท์ | พุธที่ 24 ก.ย. 68

“นนท์ อินทนนท์” จากเส้นทางที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ สู่ความจริงของชีวิตที่ไม่ขำเลยสักนิด เขาพิสูจน์ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากวันที่เรากัดฟันสู้ แม้มันจะไม่ตลกก็ตาม . เรื่องราวที่จะทำให้คุณเห็นอีกด้านของ “อินฟลูเอนเซอร์สายฮา” ในวันที่เขายืนอยู่บนความสำเร็จของตัวเอง . พบแรงบันดาลใจทุกวันพุธ กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม ที่ Green Wave 106.5 FM Facebook/Tiktok: GreenWave 1065 YouTube: ATIME . ขอบคุณ : เลือกข้าวโอ๊ต เลือกเควกเกอร์ https://th.shp.ee/vGqJg5F . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #นนท์อินทนนท์ #แรงบันดาลใจ #ความสำเร็จ #เส้นทางชีวิต #ClubInspiredDay #GreenWave #GreenWave1065

เพื่อนเป็นหมอ

ไลฟ์สไตล์ไหนไม่อ่อมแก่!? เพราะผู้หญิงแก่ไว แต่ผู้ชายแก่เงียบ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 ส.ค. 2025

ไลฟ์สไตล์ไหนไม่อ่อมแก่!? เพราะผู้หญิงแก่ไว แต่ผู้ชายแก่เงียบ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ความรู้ใหม่! ผู้หญิงมักแก่ไว… ส่วนผู้ชายมักจะแก่เงียบๆ แบบไม่รู้ตัว ทั้งฮอร์โมน พฤติกรรมกิน การนอน และความเครียด ล้วนเร่งความเสื่อมได้ทั้งนั้น แต่ไลฟ์สไตล์แบบไหนที่ทำให้ “ไม่อ่อมแก่”? . จะชะลอวัย ต้องเริ่มจากรู้ทันความเสื่อมก่อน ผู้หญิงต้องระวังอะไร ? ผู้ชายควรสังเกตยังไง ? ที่สำคัญคือ เพศไหนเสี่ยงกว่ากัน ? . มาค้นหาคำตอบ พร้อมรีเซ็ตความเข้าใจเรื่อง “อายุ” เคลียร์ครบ จบทุกข้อ ในเพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ เพราะแก่ไม่กลัว แค่กลัวไม่รู้ว่าแก่ . #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเฟี้ยต #เฟี้ยตธัชนนท์ #อายุเป็นเพียงตัวเลข #ความแก่ #เซลล์เสื่อม #ความเสื่อมของร่างกาย #สุขภาพ #สุขภาพภายใน #ชะลอวัย #antiaging #การกิน #การนอน #ความเครียด #ไม่อยากแก่

กุญแจลับลดความดัน แค่ออกกำลังกาย 30 นาที | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

11 ก.ค. 2025

กุญแจลับลดความดัน แค่ออกกำลังกาย 30 นาที | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

การเดินเร็ว เป็นการออกกำลังที่เหมาะสมและปลอดที่สุดสำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดความดัน มีงานวิจัยพบว่า การเดินเร็วต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที/วัน เป็นจำนวน 5 วัน/สัปดาห์ สามารถลดความดันตัวบน (Systolic) ได้ 10 mmHg แต่รู้ไหมนอกจากการออกกำลังกาย ช็อกโกแลต บีทรูท กระเทียม รวมไปถึงผักใบเขียว ก็ช่วยลดความดันได้เหมือนกันนะ แต่ต้องกินแบบไหน ปริมาณเท่าไหร่ถึงช่วยได้ มาหาคำตอบใน EP.นี้กัน #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเป้ #DJPAE #เคล็ดลับ #สุขภาพ #ความดัน #ออกกำลังกาย #วิ่ง #เดินเร็ว #เวทเทรนนิ่ง

#หลังใหม่ใกล้ฉัน ปวดหลังเพราะนั่งนานไป ทำให้ชีวิตสั้นลง!!| FULL EP พื่อนเป็นหมอ

16 มิ.ย. 2025

#หลังใหม่ใกล้ฉัน ปวดหลังเพราะนั่งนานไป ทำให้ชีวิตสั้นลง!!| FULL EP พื่อนเป็นหมอ

การนั่งนิ่งเป็นเวลานาน 6 - 8 ชั่วโมงต่อวัน ข้าข่ายพฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary behavior) ไม่ว่าจะนั่งบนรถ หรือนั่งทำงานก็กลายเป็นต้นตอทำให้เสี่ยงโรคร้ายแรงได้ โดยเฉพาะมะเร็ง แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องนั่งนาน ควรทำอย่างไร ? นั่งรถ หรือ นั่งทำงานแบบไหนเสี่ยงมากกว่า ? มาค้นหา #หลังใหม่ใกล้ฉัน ไปพร้อมๆกันในเพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจโบ #โบธนากร #ปวดหลัง #ปวดหลังร้าวลงขา #นั่งนาน #กล้ามเนื้อ #สุขภาพ #เส้นประสาท #อาชีพคนขับรถ #พนักงงานออฟฟิศ #ออฟฟิศซินโดรม #officesyndrome

คนไทยป่วยง่ายเพราะติดกินหวาน ? | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

22 พ.ค. 2025

คนไทยป่วยง่ายเพราะติดกินหวาน ? | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

น้ำตาลคือจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของเซลล์ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ โดยฉพาะ NCDs แต่เราไม่ได้ติดแค่ความหวาน เรายังติดของทอดอยู่ด้วย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคอเลสเตอรอล และ LDL แล้วระหว่าง ของหวาน ของทอด เราควรจะเลือกอะไรดีหละ มาฟังไปพร้อมกันในเพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจอ้อม #อ้อมสุนิสา #น้ำตาล #น้ำตาลคือยาพิษ #ความหวาน #ขนม #เบเกอรี่ #สุขภาพ #ภูมิคุ้มกัน

กล้ามเนื้อดี ร่างกายก็แข็งแรง | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

30 เม.ย. 2025

กล้ามเนื้อดี ร่างกายก็แข็งแรง | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

แค่กล้ามเนื้อดี ร่างกายก็แข็งแรง ภูมิคุ้มกันก็ดี ระบบเผาผลาญก็ปัง ใครอยากกล้ามเนื้อดี กล้ามเนื้อเยอะ กล้ามเนื้อแข็งแรง มาดูทริคกันได้ที่ EP. นี้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจแคน #แคนอติรุจ #กล้ามเนื้อ #ออกกำลังกาย #เวทเทรนนิ่ง #WeightTraining #ลดน้ำหนัก #สุขภาพ #ภูมิคุ้มกัน

Routine เสี่ยงความดัน รู้ให้ทันก่อน Stroke | FULL เพื่อนเป็นหมอ

10 เม.ย. 2025

Routine เสี่ยงความดัน รู้ให้ทันก่อน Stroke | FULL เพื่อนเป็นหมอ

เช็กลิสต์ Routine เสี่ยงความดัน ไลฟ์สไตล์แบบไหน ที่จะทำให้เราเสี่ยงเป็น Stroke ทั้งการกิน การใช้ชีวิต รวมถึงฝุ่น PM 2.5 เข้าห้องตรวจพร้อมกันที่ EP.นี้ได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจพี่อ้อย #ความดัน #การใช้ชีวิต #โรคหลอดเลือดสมอง #stroke #สุขภาพ

CLUB FRIDAY

HEALTHY LIFESTYLE

น้ำมูกสีนี้. . . ร่างกายกำลังบอกอะไรกับคุณ ?

21 ต.ค. 2025

น้ำมูกสีนี้. . . ร่างกายกำลังบอกอะไรกับคุณ ?

รู้หรือไม่ น้ำมูกประกอบขึ้นมาจาก น้ำ โปรตีน แอนติบอดี้ และเกลือ ซึ่งสีของมันสามารถชี้วัดสุขภาพของเราได้สำหรับสีของน้ำมูกแบ่งออกเป็นตามนี้ค่ะ1. น้ำมูกใสเป็นอาการปกติของคนสุขภาพดี อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่ออากาศหนาวมาก เจอลม คนที่เป็นภูมิแพ้ก็จะเกิดน้ำมูกใสๆไหลตอนเช้าได้ แพทย์แผนจีนแนะนำดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกเช้าค่ะ2. น้ำมูกขาวขุ่นเป็นอาการของคนเริ่มจะมีอาการหวัด น้ำมูกไปคลั่งอยู่ในโพรงไซนัสก่อนจะออก ทำให้สะสมและหนาแน่น มักจะเหนียว หรือแห้งไปแล้ว ก็เลยทำให้เวลาสั่งก็จะออกมาพร้อมกับน้ำมูกใสๆ เริ่มจะไม่สบาย แพทย์แผนจีนแนะนำกินน้ำเก๊กฮวย น้ำใบหม่อน น้ำขิงได้เหมือนกันค่ะ3. น้ำมูกเหลืองบางคนเหลืองมาก เหลืองน้อย บางคนเขียวเลย เป็นก้อนๆ คืออยู่ในขั้นที่ติดเชื้อไวรัสมา และแอนติบอดี้กำลังต่อสู้กับเชื้อโรคไข้หวัด เราอาจจะทานวิตามินซี ยาแก้แพ้ และนอนหลับให้เพียงพอ ถ้าแพทย์แผนจีนจะให้ยาขับปอดร้อน เพราะเชื่อว่าปอดร้อนหรือลมร้อนมากระทบปอด เป็นสาเหตุทำให้น้ำมูกเขียวข้น บางคนนอนไม่พอทำให้ภูมิคุ้มกันถอย ก็อาจจะทำให้เป็นหวัดมีไข้จริงๆได้ แพทย์แผนจีนแนะนำ เก๊กฮวยใบหม่อน ดอกสายน้ำผึ้งช่วยลดปอดร้อนได้นะคะ4. น้ำมูกเขียวเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของเราต่อสู้กับเซลล์เชื้อโรค แต่ในระยะที่น้ำมูกสีเขียวนี้ นอกจากติดเชื้อแล้วสำหรับบางคนอาจมีไข้ไปแล้วก็ได้ เริ่มมึนๆ ร้อนๆ หนาวๆในแพทย์แผนจีนเรียกว่าร้อนลงปอด มีเสมหะขุ่นข้น ความร้อนค้างอยู่ในปอด ทำให้เกิดเสมหะร้อน และปอดชื้น ระยะนี้เราควรลดความร้อนในปอด ขับเสมหะที่อยู่ในปอด และบำรุงปอดให้แข็งแรง แต่หากแข็งแรงมากๆ อาจจะสีนี้อยู่ไม่กี่วัน ล้างจมูกและนอนให้เพียงพอ แพทย์แผนจีนแนะนำ เก๊กฮวย หวีซิงเฉ่า เปลือกส้ม ช่วยลดปอดร้อน ขับปอดชื้น5. น้ำมูกใสมีสีแดงหรือเป็นก้อนแดงๆแสดงว่าภายในจมูกมีแผลอยู่ เนื่องมาจากเส้นเลือกฝอยในโพรงจมูกแตก อาจจะมาจากเราเอานิ้วไปแคะ หรือภายในโพรงจมูกมันแห้งมาก อยู่ประเทศที่มีอากาศหนาวและแห้ง และมีอีกสาเหตุคือถ้าผู้ป่วยที่เพิ่งผ่าตัดโพรงจมูกในระยะแรกก็อาจจะมีก้อนเลือดที่ยังค้างอยู่ข้างในถูกขับออกมาก็ได้ค่ะ บางคนเป็นภูมิแพ้ก็ทำให้มีเลือดออกได้เหมือนกันนะคะ แพทย์แผนจีนเรียกว่าปอดร้อนแห้งกระทบเส้นเลือด แนะนำกินถั่วเขียว มะระ น้ำแกงต่างๆเป็นประจำ ไม่รับประทานของเผ็ดร้อนอย่างพวกขิง พริก ที่ทำให้ร่างกายร้อนจัด6. น้ำมูกสีน้ำตาลสีนี้ก็ยังคงเป็นเซลล์เม็ดเลือดนะคะ แต่ว่าอาจจะมอยู่นานใกล้จะหมดแล้วค่อยออก ก็เลยเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำตาล อาจจะมาจากมีน้ำมูกสีแดง และเปลี่ยนเป็นน้ำตาลค่ะ7. น้ำมูกสีดำปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำมูกสีดำมีหลายอย่าง กรณีแรกเป็นผู้ป่วยที่ชอบสูบบุหรี่ มีอาการติดเชื้อของระบบหายใจของร่างกายได้ อีกกรณีคือคุณไปเจอมลภาวะคือ เดินอยู่ข้างถนนมีควันรถท่อไอเสียต่างๆ อากาศในเมือง อีกทั้งแม้แต่นักเคมีหรือวิศวกร ช่างเทคนิคที่ทำงานอยู่ในไซท์งานที่ต้องเจอฝุ่นละออง กลับบ้านพบว่าน้ำมูกมีสีดำๆ เขม่าๆได้เช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ก็ควรล้างจมูก ไม่ควรเอานิ้วไปแคะแกะเองนะคะ ล้างจมูกเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก แพทย์แผนจีนแนะนำ กินเก๊กฮวย แปะฮัก กิกแก้(桔梗) เหล่านี้ช่วยบำรุง ลดปอดร้อน ทำให้ปอดแข็งแรงสีของน้ำมูกสามารถช่วยบอกสัญญาณสุขภาพเบื้องต้นได้นะคะ แต่ถ้ามีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น ไข้สูง ปวดหัว หรือไอเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

3 โรคเป็นง่าย ในวันที่อากาศเปลี่ยน ร่างกายอ่อนแอ

17 ก.ค. 2025

3 โรคเป็นง่าย ในวันที่อากาศเปลี่ยน ร่างกายอ่อนแอ

1. ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อที่อยู่ในน้ำมูกน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอจาม หรือสัมผัสกับสิ่งที่ปนเปื้อนเชื้อโรค มักมีอาการไข้สูงตัวร้อนกลัวหนาวปวดตามกล้ามเนื้อเบื่ออาหารอ่อนเพลียปวดศีรษะ คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆไอแห้งจะมีอาการขมคอและจุกแน่นท้องวิธีป้องกัน ให้ล้างมือเป็นประจำ หลีกเลี่ยงเอามือเข้าปากแล้วขยี้ตาไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่นสวมผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจามถ้าหากมีอาการให้นอนพักผ่อนเยอะๆ ไม่ควรที่จะออกกำลังกายควร ดื่มน้ำเปล่าให้มากควรดื่มน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เพื่อป้องกันหวัดดื่มน้ำซุปที่ร้อนๆน้ำขิงจะช่วยปรับสมดุลของกระเพาะอาหารและช่วยไล่หวัดได้ดี2. อุจจาระร่วงเกิดจากการกินการดื่มอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน หรือมีเชื้อโรคที่มือ แล้วเอามือไปหยิบอาหารเข้าปากหลังจากนั้น 3 - 4ชั่วโมง จะเกิดอาการถ่ายบ่อยมีไข้หรือมีมูกในอุจจาระบางคนจะมีอาการไข้ขึ้นสูงถ้าหากทานไม่ถูกสุขลักษณะมีแมลงวันมาตอมก็จะสามารถแพร่ให้กับผู้อื่นทำให้เกิดการระบาดได้ค่ะวิธีป้องกันให้ล้างมือเป็นประจำถ้าหากมีอาการถ่ายไม่ควรซื้อยาประเภทหยุดถ่ายมากินเองควรดื่มน้ำเกลือแร่ดื่มบ่อๆให้เพียงพอกับของเสียที่ออกไป ถ้าหากไม่ดื่มเกือแร่จะทำให้ร่างกายขาดสมดุลของเกลือแร่ จะทำให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลันได้เนื่องจากขาดน้ำควรดื่มน้ำให้สะอาดปรุงอาหารให้สุกล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร หรือเข้าห้องน้ำทุกครั้ง藿香(ฮั่วเซียง)เป็นยาจีนที่ช่วยเรื่องการปรับสมดุลย์ของลำไส้ช่วยหยุดคลื่นไส้อาเจียนและช่วยหยุดถ่ายแพทย์แผนจีนจะใช้ในการไล่ลมให้ความร้อนแก่กระเพาะอาหาร และลำไส้และช่วยลดไข้ได้ด้วย3.ปอดบวมเกิดจากการติดเชื้อของปอดเพราะการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ตามอากาศเข้ามาในลำคอจากปากพูดลงไปในปอด หรือคนที่มีเสมหะเป็นประจำ ก็ทำให้ปัญหาได้อาการจะมีไข้สูงไอเป็นประจำเจ็บหน้าอกหายใจหอบมีเสมหะมาก ถ้าเป็นเด็กจะมีอาการตัวร้อนหายใจจนชายโครงบุ๋มถ้ามีลักษณะแบบนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีนะคะวิธีป้องกันควรหมั่นดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอกินอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกายเป็นประจำพักผ่อนให้เพียงพอหลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ หลีกเลี่ยงไปในที่แออัดมันล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ“เพราะฝนที่ตกอยู่ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้” ฝนตกเกือบทุกวัน ดูแลสุขภาพร่างกายกันเยอะๆนะคะ ส่วนเรื่องใจให้พี่อ้อยพี่ฉอดและ GREEN WAVE ช่วยดูแลค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ท้องผูกเรื้อรังทำไงดี?

23 มิ.ย. 2025

ท้องผูกเรื้อรังทำไงดี?

5 อาหาร ยิ่งกิน ยิ่งถ่ายดี1. ลูกพรุน (Prunes)สรรพคุณ: ลูกพรุนมีไฟเบอร์สูงและมีซอร์บิทอล (sorbitol) ซึ่งช่วยเพิ่มความถี่ในการขับถ่ายและปรับปรุงความสม่ำเสมอของอุจจาระงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการบริโภคลูกพรุนและไซเลียม พบว่าลูกพรุนมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการท้องผูกได้ดีกว่าวิธีบริโภค: รับประทานลูกพรุนแห้งประมาณ 50 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 5-6 เม็ดค่ะ2. งาดำ (Black Sesame Seeds)สรรพคุณ: งาดำมีโอเมก้า 3 และแมกนีเซียม ซึ่งช่วยหล่อลื่นผนังลำไส้และส่งเสริมการขับถ่ายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: การศึกษาพบว่างาดำสามารถปรับปรุงการเคลื่อนไหวของลำไส้และบรรเทาอาการท้องผูกได้วิธีบริโภค: โรยงาดำคั่วบนข้าว โจ๊ก หรือผสมในสมูทตี้ก็ได้ค่ะ3. ฟักทอง (Pumpkin)สรรพคุณ: ฟักทองมีไฟเบอร์สูงและน้ำช่วยเพิ่มปริมาณและความนุ่มของอุจจาระงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: การศึกษาพบว่าซุปฟักทองสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในผู้สูงอายุได้วิธีบริโภค: ทำซุปฟักทองหรือเพิ่มฟักทองในเมนูอาหารประจำวัน4. ข้าวกล้อง (Brown Rice)สรรพคุณ: ข้าวกล้องมีไฟเบอร์สูง ช่วยเพิ่มความถี่ในการขับถ่ายและลดเวลาที่อาหารอยู่ในลำไส้งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: การศึกษาพบว่าการบริโภคข้าวกล้องช่วยปรับปรุงการทำงานของลำไส้ได้อย่างมีนัยสำคัญวิธีบริโภค: ใช้ข้าวกล้องแทนข้าวขาวในมื้ออาหารประจำวันค่ะ5. เมล็ดเจีย (Chia Seeds)สรรพคุณ: เมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูงและเมื่อแช่น้ำจะเกิดเจลที่ช่วยให้อุจจาระนิ่มลงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: แม้จะไม่มีการศึกษาที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเมล็ดเจียและอาการท้องผูก แต่ไฟเบอร์ในเมล็ดเจียเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยในการขับถ่ายวิธีบริโภค: แช่เมล็ดเจียในน้ำหรือนมพืช แล้วผสมในโยเกิร์ตหรือสมูทตี้ท้องผูกอาจจะเหมือนเรื่องเล็ก แต่ถ้าสะสมไปนานๆ อาจทำให้เกิดหลายโรคได้เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น โรคริดสีดวงทวาร, แผลปริรอบทวารหนัก, กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ, ไส้เลื่อน, ลำไส้อุดตัน และอาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มาเริ่มปรับ เปลี่ยน เพิ่มอาหารที่จะช่วยให้เราท้องผูกน้อยลงดีกว่าค่ะขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

นิ่วในไต อย่าให้เป็นซ้ำๆ

27 พ.ค. 2025

นิ่วในไต อย่าให้เป็นซ้ำๆ

นิ่วในไต (Kidney Stones) คือโรคที่เกิดจากแร่ธาตุแข็งชนิดต่างๆ ที่รวมตัวกันเป็นก้อน โดยมักเกิดขึ้นบริเวณไต แต่พบได้ตลอดระบบทางเดินปัสสาวะ และมีโอกาสเกิดได้สูงหากปัสสาวะมีความเข้มข้นจนตกตะกอนจับตัวเป็นนิ่ว นิ่วในไตอาจสร้างความเจ็บปวดทรมานให้ผู้ป่วยได้อย่างมาก หากก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่จนเกินไป ปิดกั้นและสร้างแผลบาดเจ็บที่ท่อไต และอาจส่งผลให้ปัสสาวะออกมาเป็นเลือดได้ รู้หรือไม่? การมีนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลง และอาจร้ายแรงจนถึงเกิดภาวะไตวายเรื้อรังและโรคไตระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้ถึงแก่ความตายได้นะคะ อาการจะประกอบด้วย การปวดแบบเฉียบพลันเสมือนถูกมีดบาดในบริเวณช่วงเอวหรือท้องน้อย และมีปัสสาวะเป็นเลือด อาการปวดอาจอยู่นานราว 2 – 3 นาที แล้วหายไป ปวดเป็นๆ หายๆ หรืออาจปวดนานเป็นชั่วโมง หรือกว่านั้นก็ได้ค่ะ มักจะปวดตั้งแต่บริเวณเอวช่วงไตร้าวลงมาท้องน้อยฝั่งเดียวกันลงไปจนถึงท่อปัสสาวะ หรืออวัยวะเพศภายนอกได้ หรือบางรายอาจเลยไปจนถึงต้นขาด้านในก็ได้ มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย หรืออาจถึงขั้นเป็นลมหมดสติได้ค่ะปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่ว1. ดื่มน้ำน้อยเกินไป2. พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีสารก่อนิ่วในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง เช่น เกลือ น้ำตาล และโปรตีนสูง3. ภาวะอ้วน น้ำหนักมากเกิน4. มีโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหาร เช่น ไตอักเสบ โรคหลอดเลือดในท่อไต ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ โรคลำไส้อักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง และโรคเกาต์5. ปัจจัยทางพันธุกรรม คือพ่อแม่มีประวัติเป็นโรคนิ่วมาก่อนป้องกันยังไงไม่ให้เป็นนิ่วในไตซ้ำ1. ควรดื่มน้ำปริมาณมาก ในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่า 8 แก้วต่อวัน หรือให้ได้ปริมาตรของปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน2.อาหารจำพวกผักและผลไม้ เป็นแหล่งของสารยับยั้งการเกิดนิ่ว และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ช่วยให้ปริมาณของซิเทรต โพแทสเซียม และความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีไฟเบอร์ช่วยลดแคลเซียมในปัสสาวะได้ด้วยค่ะ3.ไขมันจากพืชและไขมันจากปลา สามารถลดปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะได้ดีกว่าไขมันที่ได้จากเนื้อสัตว์อื่นๆ ลดโอกาสการเกิดนิ่วซ้ำได้ค่ะ4.ลดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารหวาน เค็มมาก และอาหารที่มีกรดยูริกสูง ได้แก่ หนังสัตว์ปีก ตับ ไต ปลาซาร์ดีน การบริโภคอาหารโปรตีนสูงจะทำให้เพิ่มสารก่อนิ่วและเพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วสูงมาก5.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีออกซาเลตสูง ได้แก่ งา ผักโขม ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ชอกโกแลต และชา เป็นต้น ในผู้ป่วยชนิดแคลเซียมออกซาเลต หากจำเป็นต้องบริโภคควรรับประทานควบคู่ไปกับแคลเซียมหรือดื่มนมจะช่วยลดปริมาณออกซาเลตในปัสสาวะได้ค่ะ6.เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ปัจจุบันพบว่าการลดอาหารที่มีแคลเซียมในผู้ป่วยโรคนิ่ว นอกจากจะทำให้สมดุลของแคลเซียมเปลี่ยนแปลง ยังเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกในอนาคตและยังทำให้ปริมาณสารออกซาเลตในปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากแคลเซียมจะไปจับและยับยั้งการดูดซึมออกซาเลตทางลำไส้จึงช่วยลดระดับออกซาเลตในปัสสาวะได้7. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นเวลาอย่างน้อย 10-20 นาทีทุกวัน เช่น การเดินจะช่วยทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดได้ การเดินสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ทำให้การทำงานของร่างกายดีขึ้น ลดความเครียด และลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดก้อนนิ่วได้อีกด้วย ศาสตร์การแพทย์แผนจีนพบว่า มีสาเหตุจากการรับประทานอาหารที่มีรสจัด ร้อน หรือมันมากเกินไป หรือดื่มสุรามากเกินไป ก่อให้เกิดความร้อนชื้นไหลลงสู่ไตและกระเพาะปัสสาวะ หรือเกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีของทางเดินปัสสาวะก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อก่อโรค ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในระบบทางเดินปัสสาวะ หากมีการสะสมของความร้อนชื้นเหล่านี้นานจะเปลี่ยนเป็นทราย และก่อให้เกิดก้อนนิ่วขึ้นมาได้ทั้งในไตและกระเพาะปัสสาวะ เกิดการขัดขวางการไหลของปัสสาวะและหน้าที่การขับปัสสาวะตามปกติ รวมถึงขัดขวางการไหลเวียนของชี่ด้วยนะคะนิ่วในไต ป้องกันได้หลายวิธีนะคะ ว่าแล้วแอดไปดื่มน้ำเพิ่มก่อนค่ะขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ถ้าตับเริ่มพัง จะมีอาการแบบนี้

04 เม.ย. 2025

ถ้าตับเริ่มพัง จะมีอาการแบบนี้

ชี่ตับ ติดขัด ทำให้เกิดโรคหลายโรค หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชี่ติดขัด แพทย์แผนจีนกล่าวว่า สิ่งที่ติดขัดในร่างกายมักจะทำให้เกิดโรค วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่า ชี่ติดขัด มักจะมีอาการอะไรบ้างค่ะ1.อารมณ์เสียบ่อย หงุดหงิดง่าย2.มีอาการท้องอืดเป็นประจำ3.ปวดชายโครง4.ชอบถอนหายใจบ่อยๆ5.ถ้าหากเป็นผู้หญิงประจำเดือนมักจะไม่มีตามปกติคนส่วนใหญ่ที่มีอาการของชี่ติดขัด ถ้าหากเป็นเวลานานๆมักจะเป็นโรคความดัน ไทรอยด์ กระเพาะอักเสบ กรดไหลย้อน โรคที่เกี่ยวกับตับ เข้ามาเกี่ยวข้องกลุ่มอาการเหล่านี้รักษาได้ไม่ยากค่ะ อาจจะใช้ 柴胡疏肝散 逍遥散 小柴胡汤 ซึ่งเป็นยาในทางแพทย์แผนจีนแพทย์แผนจีนแนะนำคนที่มีอาการแบบนี้บ่อยๆ ควรนอนให้เป็นเวลา ออกกำลังกายแบบแรงๆได้ เพราะต้องได้ปล่อยพลัง การกินจะเน้นกินเกี่ยวกับส้ม เปลือกส้ม ส้มโอ ส้มเช้ง ชากุหลาบ ชามินต์ ชาเก๊กฮวย ชามะลิ ทานบ่อยๆ จะช่วยบำรุงตับ ช่วยลดความเครียดได้ค่ะตับร้อน พลังตับสูงขึ้นจนปวดหัวหลายคนมีปัญหาเรื่องตับร้อน ส่วนใหญ่จะมีอาการแบนี้ค่ะ1.อารมณ์เสียง่าย2.ปวดเบ้าตา ปวดหัว3.นอนไม่หลับฝันบ่อย4.ใจสั่น5.ขี้ลืม6.หนักหัวเหมือนจะวูบ ซึ่งคนที่มีอาการตับร้อน มักจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับความดันสูง ไทรอยด์ ไมเกรนเมื่อมีอาการเครียดบ่อยๆ ความร้อนในตับจะสูงขึ้น และทำให้ปวดหัวอยู่เป็นประจำ จะปวดปริเวณเบ้าตา ขมับ ตาจะพร่า บางคนเป็นจนเส้นเลือดในสมองแตกได้ ถ้าหากมีอาการของความดันสูงแพทย์แผนจีนแนะนำสมุนไพรหาง่ายกินป้องกันตับร้อนได้ เช่น เก้ากี้ เก๊กฮวย ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ใบหม่อน ลูกหม่อน ยาที่กินในตับหรับยาจีน จะเป็น 天麻钩藤汤 桑菊饮 逍遥散 ต้องอยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์แผนจีนด้วยนะคะแพทย์แผนจีนได้กล่าวไว้ว่า ตับช่วยกักเก็บเลือด ถ้าหากตับไม่กักเก็บเลือด จะมีอาการ1.เวียนศีรษะบ่อยๆ2.มีเสียงในหู(เสียงเบา)3.ตับเป็นทวารของตา มักจะมองไม่ชัด ตาพร่ามัว4.ตับเป็นธาตุไม้ มักจะทำให้เกิดลม มือเท้าชอบสั่น5.มือชา เท้าชา6.กล้ามเนื้อชอบกระตุก เนื่องจากลมในร่างกายเยอะ ใครที่มีอาการแบบนี้ แนะนำพบแพทย์แผนจีนเพื่อบำรุงตับนะคะอาหารที่บำรุงเลือดตับได้ดีมาก คือ เลือดเป็ด เพราะมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดร้อนในตับได้ คนที่อ่อนเพลียเป็นประจำ หรือแขนขาไม่มีแรง ลองทานได้นะคะ อย่างอื่นก็มี เก๋ากี้ บ๊วย พุทราจีน อาหารเหล่านี้ช่วยบำรุงเลือดในตับได้ด้วยค่ะแต่ถ้าคุณ1.ปวดหัวบ่อยๆ2.หน้าแดงเป็นประจำ3.ปากขม4.โมโหง่าย5.มีเสียงดังในหู6.นอนไม่หลับแสดงว่ากำลังเข้าขั้นของตับร้อน ที่เรียกว่าไฟในตับลุกโชน จึงทำให้ปวดหัวค่ะปวดหัวจะเป็นด้านข้างขมับ และตรงกลางกระหม่อม ความร้อนของเลือดขึ้นสูง ทำให้หน้าดูแดงกล่ำ ส่วนใหญ่ กระเพาะอาหารจะไม่แข็งแรง เพราะกระเพราะอาหารโดนพลังไฟของตับเผาไปด้วย จะทำให้เกิดปากขมในตอนเช้า การที่ตับร้อนมาจากอารมณ์ที่แปรปรวน โมโหง่าย นอนไม่หลับ เป็นประจำ หรือฝันบ่อย ตื่นง่าย มีเสียงดังในหู ดังเหมือนมีจิงหรีด ทั้งหมดนี้คืออาการไฟตับลุกโชน ปัญหามาจากตับที่ไม่แข็งแรงคนที่มีอาการแบบนี้ จะเป็นโรคความดันสูง อัมพาต โรคหัวใจ กรดไหลย้อนได้ง่ายแพทย์แผนจีนแนะนำ มะระ ความขมของมะระจะช่วยลดพลังไฟตับได้ เราอาจจะเอามะระไปทำอาหาร ต้มน้ำแกง ยัดไส้หมู ผัดไข่ ได้หมด อย่างอื่น อาจจะทานดอกเก๊กฮวย ถั่วเขียว ซาลารี่ ซานจายาจีนที่สามารถรักษาได้ดี คือ 柴胡疏肝散,逍遥散,天麻钩藤饮,天王补心丹ไม่ควรดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือทานของเผ็ดมันบ่อยๆ จะทำให้การพัฒนาของโรคเป็นมากขึ้นค่ะไหนใครมีอาการอะไร กี่ข้อกันบ้างคะ แอดเป็นหลายข้อเลย ขอตัวไปกินมะระก่อนนะคะ ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ใช้ชีวิตสิ้นเปลือง ต่อไประวังไตอ่อนแอ

06 มี.ค. 2025

ใช้ชีวิตสิ้นเปลือง ต่อไประวังไตอ่อนแอ

หลายคนอยากให้ตัวเองมีความหนุ่มสาวในระยะเวลายาวนานมีอายุให้ยืนยาวเป็นสิ่งที่ทุกคนไฝ่ฝันไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก จึงมีการเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะและวิธีหลากหลายมาช่วยดูแลบำรุงรักษาชะลอความเหี่ยวย่นความชราเพื่อให้อายุยืนยาวอยู่ได้นานๆไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ต้องมีต้นทุนทรัพย์สินหากไม่มีต้นทุนจะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ และพบกับความยุ่งยากชีวิตก็เหมือนกับเราแต่ละคนมีต้นทุนที่ต่างกันต้นทุนชีวิตซึ่งได้มาจากพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษหรือในแพทย์แผนปัจจุบันเราเรียกว่า DNAแต่ในแพทย์แผนจีนจะเรียกว่า”ทุนก่อนกำเนิด”และ”ทุนก่อนกำเนิด”นั้นมักจะสะสมอยู่ในไต ถ้าหากคุณอยากมีการเจริญเติบโตที่แข็งแรง เฉลียวฉลาดไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยมีอายุยืนยาว ต้องเรียนรู้ในการดูแลบำรุงต้นทุนของตัวเองให้ดีนะคะไตในแพทย์แผนจีนนอกจากเป็นต้นทุนก่อนกำเนิดแล้ว ยังเก็บสะสมพลังงานที่กินจากกระเพาะ ม้ามที่ย่อยแล้วส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกายเสมือนแบตเตอร์รี่ของร่างกายแต่เมื่ออวัยวะอื่นถูกใช้พลังงานไปจนหมดจนไตต้องส่งพลังงานไปเสริมถ้าหากใช้พลังงานไปมากใช้จนเกินตัวใช้ชีวิตสิ้นเปลืองเพราะตอนวัยหนุ่มสาววัยรุ่นนั้นใช้ยังไงก็ไม่หมด ไม่รู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัวเองบ่อยๆหลายๆรอบต่อวันการมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งดื่มเหล้า เมายาทำงานหนัก นอนน้อยจนกระทบกระเทือนกับร่างกาย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ร่างกายเสื่อมถอยลง พลังงานที่อยู่ในไตก็เริ่มหมด ถึงตอนนั้นคุณจะมีหมอเป็นที่พึ่งมีโรงพยาบาลเป็นที่ท่องเที่ยวอย่างแน่นอนค่ะแพทย์แผนจีนนั้นเน้นย้ำถึงการบำรุงไต เพราะการบำรุงไตนั้นยากมาก และต้องใช้เวลาเพราะเราใช้พลังงานของมันไปจนหมดแล้วสำหรับผู้สนใจในแพทย์แผนจีนซึ่งมองเห็นความสำคัญในการดูแลไตจึงมีอาหารเสริมออกมามากมาย ผู้คนเข้าถึงกันง่าย ซื้อกินกันราคาก็สูงลิบลิ่วหลายคนไปเที่ยวต่างประเทศถูกต้อนให้ไปตรวจแมะ และซื้อยาแพงๆ โดนหลอกกลับมากลับมาแล้วก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะกระทบกับร่างกาย เก็บไว้จนหมดอายุหลายคนไปซื้อยาที่คนขายยาอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นยาดีรักษาไต ได้เกิดความหลงเชื่อแต่สุดท้ายเมื่อกินไป กลับทำให้ไตเสื่อมหนักกว่าเดิมฉะนั้นแพทย์แผนจีนแนะนำถ้าอยากจะดูแลเรื่องไตอย่างจริงจัง ให้มาปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์แผนจีนที่มีใบประกอบจะดีกว่านะคะเพราะไตในแพทย์แผนจีนประกอบไปด้วยชี่ของไตไตอินไตหยางเพราะคำว่าโป๊วเสียงปู่เสิ้น补肾ไม่ใช่การรักษาในระยะสั้นแน่นอน พยายามบริหารเวลากันให้พอดี ดีกว่านะคะ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำงานหนักเกินไป ไตจะได้ไม่ทำงานหนัก หรือจะทำงานไปเปิด Green Wave ไป ผ่อนคลายไปในตัวนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

LOVE INSPIRED

แฟนจะมีกี่คนก็ได้ แต่ฟุตบอลใจมันรักได้ทีมเดียว

02 ต.ค. 2025

แฟนจะมีกี่คนก็ได้ แต่ฟุตบอลใจมันรักได้ทีมเดียว

Photo Credit: https://x.com/LaLigaEN/status/985182744526368769แฟนจะมีกี่คนก็ได้ แต่ฟุตบอลใจมันรักได้ทีมเดียวในชีวิตหนึ่งเราเกิดมาจะมีแฟนได้สักกี่คน 3คน? 4คน? 8คน? หรือคนเดียวในชีวิตเพราะเขาคือรักแท้ แต่ทุกคนเคยได้ยินวลีนี้หรือไม่ “คนเราจะเปลี่ยนภรรยากี่คนก็ได้ เปลี่ยนความคิดทางการเมือง เปลี่ยนศาสนา แต่เปลี่ยนทีมฟุตบอลเชียร์มันเปลี่ยนไม่ได้”Photo Credit:https://www.theguardian.com/football/2017/jul/24/premier-league-25-best-player-eric-cantonaวลีสุดคลาสสิกของ Eric Cantona กองหน้าเพชรฆาตของปีศาจแดง Manchester United เป็นวลีที่กล่าวถึงความรัก ความเป็นแฟนพันธุ์แท้ฟุตบอลตัวจริง และจงรักภักดีต่อทีมฟุตบอลที่เชียร์ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ตกอยู่ในภวังค์ของโลกฟุตบอลแล้ว ‘จะรักแมนยู หรือใจอยู่ที่หงส์แดง’ ในวันที่ทีมที่รักจะมีฟอร์มที่แย่สักแค่ไหน หรือทีมจบฤดูกาลที่กลางตาราง หากในข้อสอบมีชอยส์ในการเปลี่ยนทีมเชียร์ ในหัวของคอลบอลตัวจริงจะตัดชอยส์นั้นเป็นชอยส์แรกทันที#เพราะฟุตบอลมันเป็นมากกว่าฟุตบอลหากใครเคยดูคอนเทนต์จาก “ตัวเทพฟุตบอล” รับประกันว่าต้องเคยได้ยินประโยคนี้แน่นอน กับประโยคเปิดตัวที่เป็นที่น่าจดจำ “ตัวววว เทพฟุตบอล…” และวลีสุดคลาสสิค “เพราะฟุตบอลมันเป็นมากกว่าฟุตบอล” เชื่อว่าคอบอลทุกคนคงจำ First impression ของการได้รู้จักกับฟุตบอลได้ การได้หลงรักทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง คอยเฝ้ารอวันสุดสัปดาห์เพื่อรอทีมที่เรารักกลับมาลงสนาม เหมือนกับการรอคนที่รักกลับมาหลังจากทำงานเพื่อใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ร่วมกัน ซึ่งเราพิสูจน์คำตอบนี้ได้ง่าย ๆ หากคุณมีเพื่อน พ่อ พี่ชาย หรือน้องชาย สักคนหนึ่งที่ชอบดูฟุตบอลเอามาก ๆ ลองถามคำถามเพียงคำถามเดียวว่า“ทำไมถึงชอบดูฟุตบอล” แน่นอนว่าคุณอาจได้นั่งคุยกับเขายาวนานนับชั่วโมง แต่คุณอาจได้เห็นสายตาอันเป็นประกายจากคน ๆ นั้นราวกับว่าเขากำลังพูดถึงคนที่รักมากที่สุดในชีวิตคนหนึ่งเลยก็เป็นได้Photo Credit:https://www.alongcomenorwich.com/articles/ipswich-fan-march/และความรักที่สวยงามแบบนั้น ช่างเหมือนกับคุณปู่ท่านหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ แห่งเกาะอังกฤษ ในสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อว่า นอริช ซิตี้ เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1902 อยู่ที่เมืองนอริช ประเทศอังกฤษ แต่เรียกได้ว่า นอริช เป็นหนึ่งทีมเล็ก ๆ ที่มักจะวนเวียนอยู่ในลีกล่างเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อใดที่ได้ขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดก็จะอยู่ประคองได้เพียงไม่กี่ปี ซึ่งประวัติศาสตร์ของทีมเคยคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้เพียง 2 สมัยเท่านั้นในปี ค.ศ.1962 และ ค.ศ.1985Photo Credit:https://www.bbc.com/news/newsbeat-51078427นอริช ซิตี้แทบจะไม่มีประวัติศาสตร์ที่งดงาม หรือเสน่ห์อันน่าหลงใหลในทีมให้น่าติดตามเชียร์เลยก็ว่าได้ แต่มีคุณปู่คนหนึ่งชื่อว่า Barrie Greaves สำหรับเขา นอริช ซิตี้ คือทั้งหมดของชีวิตที่ส่งต่อความชอบเป็นเหมือนกับสมบัติของครอบครัว แม้แต่หลานของเขายังบอกว่าคุณปู่นั้นชอบที่จะเล่าเรื่องของ นอริช ซิตี้ ให้ฟังอยู่เป็นประจำคุณปู่ Barrie Greaves คือหนึ่งในแฟนพันธุ์แท้ของนอริชซิตี้จริง ๆ เพราะตั้งแต่อายุ 10 ขวบคุณปู่ก็จะซื้อตั๋วปีเข้าไปดูนอริช ในทุกซีซั่น และผ่านช่วงของการคว้าแชมป์ ลีกคัพ ทั้ง 2 สมัยมาแล้ว รวมถึงช่วงเวลาที่แสนจะขมขื่นในการที่นอริชต้องวนเวียนอยู่ในลีกระดับล่างแต่คุณปู่ Barrie Greaves ก็ยังคงตามเชียร์นอริชเหมือนเดิมและเข้าไปดูในสนามทุกนัดPhoto Credit:https://www.bbc.com/news/newsbeat-51078427แต่ในปี 2018 ภาพของชายชราที่ตามไปดูนอริช ซิตี้ก็ได้หายไป แต่สิ่งนี้มันไม่อาจไม่ใช่รักที่จืดจาง แต่กลับเป็นสังขารที่ร่วงโรยที่ทำให้คุณปู่ Barrie Greaves ไม่ได้ตามเข้าไปดูนอริชถึงในสนามแล้วและในเดือนธันวาคมปี 2019 คุณปู่ Barrie Greaves ก็ได้เสียชีวิตลง ในวัย 83 ปีหลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ฝากหัวใจทั้งหมดไว้กับนอริช ซิตี้ และด้วยความรัก ที่ชัดเจนและมั่นคงทั้งหมดนี้ หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไป ส่วนหนึ่งในพินัยกรรมของคุณปู่ Barrie Greaves ได้เขียนเอาไว้ว่า“จะขอบริจาคเงินมูลค่า 100 ปอนด์ สำหรับใช้เลี้ยงเครื่องดื่มให้กับเหล่านักเตะของทีมนอริช ซิตี้ แทนคำขอบคุณที่ทุ่มเทให้กับสโมสร ขอบคุณที่เราเคยผ่านทั้งความสุข และความทุกข์มาด้วยกัน”ความรักที่สวยงามแบบนี้ที่เหมือนกับวลีสุดคลาสสิกของ Eric Cantona ที่เรายกมาข้างต้น และในโลกฟุตบอลยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่น่าหลงใหล น่าประทับใจเฉกเช่นเดียวกับคุณปู่ Barrie Greaves แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในสนามฟุตบอล และฟุตบอลสำหรับท่านคงเป็นมากกว่าชีวิต ความรัก และความตาย ฟุตบอลนั้นอยู่ในจิตวิญญาณของท่านไปแล้วAuthor : คุณบทกลอนแหล่งข้อมูล :https://www.youtube.com/watch?v=50KSsRaqeCchttps://www.bbc.com/news/newsbeat-51078427https://m.allfootballapp.com/news/EPL/Lifelong-Norwich-City-fan-Greaves-leaves-%C2%A3100-in-his-will-to-buy-players-a-drink/2174989

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN HEART

“Food waste กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวโลก !”

20 ส.ค. 2024

“Food waste กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวโลก !”

ในปัจจุบันนี้ปัญหาขยะอาหาร (food waste) ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงอาหารที่ถูกทิ้งขว้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ นอกจากจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานที่ใช้ในการผลิตแล้ว ยังสร้างปัญหามลพิษจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะอาหารอีกด้วยFOOD WASTE คืออะไร?ขยะอาหาร (Food Waste) หมายถึง อาหารเหลือทิ้งในตอนปลายของห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) จากทั้งในส่วนของผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค ทั้งเศษอาหารที่รับประทานไม่หมด อาหารกระป๋องที่หมดอายุ เศษผักผลไม้ตกแต่งจาน รวมไปถึงอาหารเน่าเสีย และหมดอายุจากการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมของร้านอาหาร ภัตตาคาร และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ​คนไทยสร้างขยะอาหาร (Food Waste) เฉลี่ย 86 กิโลกรัม/คน/ปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 79 กิโลกรัม/คน/ปีในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการสร้าง Food Waste มากขึ้น การแก้ไขปัญหานี้ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปรับปรุงกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียอาหาร และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนแล้วแต่ละที่มีวิธีจัดการยังไงบ้าง ?เนื่องจากปัญหานี้กลายเป็นปัญหาที่ทั่วโลกตระหนักถึง จึงเริ่มมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมปัญหาเช่น· ประเทศสเปน มีการร่างกฎหมายเพื่อลดขยะอาหาร กำหนดให้ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารส่งเศษอาหารเหลือทิ้ง หรือผลไม้ที่สุกมากแล้วให้กับธนาคารอาหารและองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อนำไปแปรรูป· ประเทศจีน ได้มีการตั้งกฎหมายห้ามสั่งอาหารเกินความจำเป็นและมีการห้ามทำไลฟ์สตรีมมิ่งกินจุเกินความจำเป็น· ประเทศฝรั่งเศส มีการออกกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านขยะอาหาร โดยให้ร้านค้าปลีกที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไปจะต้องบริจาคสินค้าอาหารที่ยังทานได้แก่มูลนิธิรับบริจาคอาหาร เพื่อ ให้ผู้ที่ต้องการ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับประมาณ 133,293 บาทไทย ในขณะเดียวกันผู้บริจาคจะได้รับเครดิตภาษี 60% ของมูลค่าอาหารที่บริจาคสุดท้ายนี้หากเราต้องการลดปัญหา food waste เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เริ่มจากการไม่ซื้ออาหารเกินความจำเป็น ดูวันหมดอายุก่อนซื้อ หรือถ้ามีอาหารเหลือ ควรนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือนำไปใช้ทำเมนูใหม่ๆ มาช่วยกันรักษาโลกให้น่าอยู่ด้วยการลด food waste กันค่ะ !Author : Warissแหล่งข้อมูล :https://tdri.or.th/2019/10/food-waste/https://ngthai.com/science/40756/food-waste-food-loss/https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/SBUVol3N8-FB-2024-04-22.aspx?utm_source=SBUVol3N8utm_medium=linkutm_campaign=fbfbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0lbJOIxi7s9jT_oLAJodRNPE3IuvTVhxsM-pB3xX4orrRQzRvt-OSN7oM_aem_wX47GkR5ETVGVPSbmf70SA

‘Greener Bangkok’ กทม. รวมไว้แล้ว ! ความรู้สีเขียวของคนเมือง

19 ส.ค. 2024

‘Greener Bangkok’ กทม. รวมไว้แล้ว ! ความรู้สีเขียวของคนเมือง

ทำยังไงดีอยากแยกขยะให้ถูก ?หาที่พาหมาไปเดินเล่นใกล้ๆบ้าน ?อยากบริจาคอาหารและของใช้ ?เว็ปไซต์ Greener Bangkok รวบรวมข้อมูลไว้แล้วในที่เดียว! ผ่านการเป็นพื้นที่ให้ความรู้สีเขียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองกรุง โดยการร่วมมือกันระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ทุกคนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากต้นทาง หรือ เริ่มต้นจากสองมือของเรานั่นเองในปัจจุบัน เมืองหลวงของเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการจัดการขยะปริมาณ 10,000 ตันในแต่ละวัน โดยขยะส่วนใหญ่ถูกส่งไปฝังกลบที่ต่างจังหวัด เช่น อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และอ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โดยภายในพื้นที่ของกทม.มีจำนวนขยะเพียง 500 ตันเท่านั้นที่ถูกส่งไปที่โรงเผาขยะที่หนองแขม ส่งผลให้จำนวนขยะที่เหลือกลายปัญหาสำหรับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ต้องแบกรับมลพิษทางกลิ่นที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนในเมืองขาดความรู้ความเข้าใจ จากการที่ไม่มีแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่ายหรือรวมเป็นหลักเป็นแหล่งโดยนายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกทม. และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกทม. กล่าวว่า Greener Bangkok เป็นดั่งศูนย์กลางข้อมูลออนไลน์ เสมือนคลังข้อมูลให้ประชาชน องค์กร และทุกภาคส่วนที่ต้องการข้อมูลและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างและดูแลเมืองหลวงของเราให้เป็นเมืองยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถ้าอย่างนั้นมาแอบส่องไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในเว็ปไซต์กันดีกว่า ว่าก้าวแรกที่เราจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทำให้เมืองน่าอยู่ได้ มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?·How to ทิ้ง ช่วยทุกคนจัดการและรีไซเคิลขยะอย่างถูกวิธีให้ความรู้การทิ้งขยะกว่า 115 ชนิด อย่างถูกวิธีง่ายๆ เข้าใจวิธีการจัดการที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง·ตรวจเช็คค่าฝุ่น PM 2.5 เรียกดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ทุกพื้นที่·ให้บริการข้อมูลพื้นที่สีเขียว พิกัดสวนสาธารณะใกล้บ้านที่สัตว์เลี้ยงสามารถเข้าได้·บริการกำจัดขยะชิ้นใหญ่ฟรีกทม.จะทำการส่งรถไปรับบริการถึงที่ เพื่อรับสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าจะทิ้งลงในถังขยะทั่วไป· บริการตัดต้นไม้โดยรุกขกร ตัดต้นไม้โดยช่างตัดแต่งมืออาชีพ·มินิเกมแสนสนุกแฝงความรู้เรียนรู้เรื่องกรีนๆอย่างสนุกสนาน ผ่านมินิเกมที่จะพาประเมินว่าภายในหนึ่งปี ตัวเราปล่อยคาร์บอนสู่โลกนี้ไปมากน้อยแค่ไหน หรือการจำลองแยกชนิดขยะด้วยตัวเอง สู่การนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเองเห็นเลยได้ว่า Greener Bangkok ได้รวมฟังก์ชันที่หลากหลายไว้แล้วครบเครื่องจริงๆ แต่กระซิบไว้ก่อนว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเพียงเท่านั้น ทุกคนสามารถกดเข้าไปลองอ่าน ลองเล่น และค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆได้เพิ่มเติม ที่ greenerbangkok.com รับรองได้เลยว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้นจะมีมากกว่าความรู้อย่างแน่นอน แล้วมาร่วมกันคนละไม้คนละมือ ให้เมืองของเราน่าอยู่มากขึ้นกันเถอะ !Author : L’araอ้างอิงgreenerbangkok.comระบบสารสนเทศด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (pcd.go.th)"ขยะล้นเมือง" คนไทยสร้างขยะเฉลี่ย 7.3 หมื่นตัน/วัน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอสวาระซ่อมกรุงเทพฯ : แผนจัดการขยะกทม. 20 ปี ยังคง 'ล้นเมือง' ต่อไป - ThaiPublicaกรุงเทพฯ กับปัญหาขยะล้นเมือง (arcgis.com)ขยะของคน กทม. ที่ถูกนำไปทิ้งที่บ้านคนอื่น - Rocket Media Lab

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

16 ก.ค. 2024

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

การท่องเที่ยวเมืองโคเปนเฮเก้น เปิดตัวแคมเปญทดลอง “Copenpay” เที่ยวฟรี ถ้านักท่องเที่ยวช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวหรือ ผู้อยู่อาศัยในเมือง ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม แลกกับ อาหารฟรี และ ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ฟรีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถทำได้อย่างเช่น เก็บขยะ ใช้ขนส่งสาธารณะ ใช้จักรยานในการเดินทางรอบเมือง หรือ เป็นอาสาสมัครให้ฟาร์ฺมในเมืองสิ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถแลกได้ เช่นอาหารกลางวัน กาแฟ ไวน์ หรือ พายเรือคายัคฟรี เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง พิพิธภัณฑ์ บาร์ต่างๆ หรือ ที่อื่นๆฟรีโดยสถานที่ท่องเที่ยวเอกชนเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการสมัครใจเข้าร่วมโครงการซึ่งตอนนี้มีประมาณ 24 หน่วยงานเอกชนที่เข้าร่วม โครงการนำร่องนี้ซึ่งการแลกจริงๆ ก็ไม่ได้มีการตรวจเช็คหลักฐานใดๆ จากนักท่องเที่ยว อาจจะต้องมีการโชว์ภาพขี่จักรยานบ้าง หรือ ตั๋วโดยสารขนส่งสาธารณะบ้าง แต่โดยหลักจะใช้ระบบ ความเชื่อใจนักท่องเที่ยวโครงการนี้ทำขึ้นมาเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว แค่การบินไปเที่ยวต่างประเทศก็ทำลายสภาพชั้นบรรยากาศแล้ว แต่ นักท่องเที่ยวสามารถไปลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางเป็นการชดเชยโคเปนเฮเกน เป็นเมืองที่ได้รับคะแนนความยั่งยืนลำดับต้นๆของโลก ที่นี่มีจำนวนจักรยานมากกว่า รถยนต์ถึง 4 เท่า ประชากร 62% เดินทางโดยใช้จักรยาน ในเมืองมีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้จักรยาน โรงแรมส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานรักษาส่ิงแวดล้อม คลองสะอาดว่ายน้ำได้ น้ำประปาสะอาด ใช้ดื่มได้ พลังงานไฟฟ้า 70% มากจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานความร้อนที่ใช้ มาจากวัสดุย่อยสลายทางธรรมชาติโดยหน่วยงานการท่องเที่ยวโคเปนเฮเกนหวังว่า โครงการนี้จะจุดประกายให้ขยายไปเมืองต่างๆ ทั่วเดนมาร์ค หรือ แม้กระทั่งไปยังเมืองต่างๆทั่วโลกถ้าใครอยากเข้าร่วมโครงการนี้ ก็จะต้องรีบหน่อย เพราะโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึง 11 ส.ค. นี้เท่านั้น แต่ถ้าโครงการประสบความสำเร็จอาจจะมีการขยายไปจนถึงปลายปีนี้ด้วยแหล่งที่มา :BBC https://www.visitcopenhagen.com/copenpayhttps://youtu.be/KbZYnnXoSVs?si=_8huK7nS5NkE4Nqe

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

09 ก.ค. 2024

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

ทั่วโลกมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 50 ล้านคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจาก กว่า 1.19 ล้านคนต่อปีและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ของผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 5-29 ปีนอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิต คือคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และ ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์92% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มาจากประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ ประเทศกำลังพัฒนา มีจำนวนรถเพียง 60% ของทั้งโลกประเทศไทยเองก็มีการเก็บสถิติ ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวัน เฉลี่ยวันละหลายสิบราย และ บาดเจ็บเฉลี่ยวันละ 2 พันกว่าคนโดดช่วงเวลาที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด คือ ช่วง 17.00-21.00 น. โดยผู้เสียชีวิต 75% เป็นเพศชาย และ ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุ 82% คือ มอเตอร์ไซค์ และจังหวัดที่มีอุบัติเหตุลำดับต้นๆได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุท้องถนน ปีละ 17,000 คน และ มีผู้พิการจากอุบัติเหตุกว่า 15,000 คน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้านบาทซึ่ง UN ได้ออกมารณรงค์ เรียกร้องเป็น ทศวรรษที่ 2 ให้ทุกคนใส่ใจ เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน เช่นการใส่หมวกกันน็อค การไม่ขับขี่ขณะมึนเมา หรือ แม้แต่การคาดเข็มขัดนิรภัย ที่ลดอัตราการเสียชีวิตได้มากถึง 50%และยังพบว่าพฤติกรรมคนขับรถ ที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุขึ้น 4 เท่านอกจากนี้ยังมีการรณรงค์ให้ภาครัฐของทุกประเทศ ช่วยกันปรับปรุงเส้นทางการคมนาคมขนส่ง และ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมายการลดอุบัติเหตุลงให้ได้ครึ่งนึง ภายในปี 2030พวกเราในฐานะผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน สิ่งที่พอจะควบคุมได้ หากเพียงผู้ขับขี่ยานพาหนะ เคารพกฏจราจร ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย และมีสติขณะขับขี่ หรือ ขณะใช้ท้องถนนอยู่เสมอ ก็จะสามารถลดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นลงไปได้มากแล้วข้อมูลจาก :WEFมูลนิธิเมาไม่ขับ

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

03 ก.ค. 2024

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

กีฬาโอลิมปิคที่ปารีสในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่าง 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดกว่า 40⁰C เพราะเป็นช่วงที่เป็นฤดูร้อนของยุโรปในซีกโลกเหนือพอดีมหกรรมกีฬาโอลิมปิคในคราวนี้ ฝรั่งเศสตั้งเป้าไว้ให้เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่เขียวที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ (ย้อนไปอ่านบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ได้)หมู่บ้านนักกีฬา เป็นสถานที่ใช้รับรองนักกีฬา และเจ้าหน้าที่กว่า 15,000 คนในกีฬาโอลิมปิค และใช้รับรองนักกีฬา และ เจ้าหน้าที่กว่า 9,000 คนในกีฬาพาราลิมปิค สถานที่นี้ถูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำแซน ใช้กระแสลมธรรมชาติพัดผ่านให้ความเย็นกับกลุ่มอาคาร ประกอบกับการใช้ระบบระบายความร้อนในอาคาร ที่มีการติดตั้งหลังคาสีเขียวลดความร้อน มีบานประตู หน้าต่าง ป้องกันแสงแดด และความร้อนในเวลากลางวัน รวมทั้งมีการปลูกต้นไม้รายรอบอาคาร เพิ่มร่มเงา และความเย็นในพื้นที่ ส่วนภายในห้องพักจัดไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียง และ พัดลม คือ...มีทุกอย่าง แต่ไม่มีแอร์ เครื่องปรับอากาศซึ่งเหตุผลของการไม่ติดตั้งแอร์ เพราะแอร์อาจทำให้นักกีฬาเย็นได้จริง แต่จะสร้างความร้อนให้กับพื้นที่รอบข้าง และการตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยกว่าโอลิมปิกลอนดอน 2012 ให้ได้ 50%ทำให้นักกีฬาหลายประเทศ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค อังกฤษ กรีก และ อิตาลี ประกาศว่า จะยกแอร์ไปติดเอง ส่วนนักกีฬานิวซีแลนด์ ก็จะเอาแอร์เคลื่อนที่ไปติดเองเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ทุกห้อง จะกระจายไปในหลายอาคารที่พวกเขาพักในกีฬาโอลิมปิคครั้งล่าสุด ในปี 2021ที่ญี่ปุ่น ที่ว่าร้อนแล้ว สภาพอากาศปีนั้นอุปสรรคอย่างมากกับนักกีฬา มีผู้เข้าแข่งขันหลายคน ทั้งอาเจียน และ เป็นลมขณะแข่งขัน เพราะความร้อน แต่ครั้งนี้ สภาพอากาศก็จะร้อนยิ่งกว่า จากการพยากรณ์อากาศ มีแนวโน้มมากถึง 70% ที่อากาศปารีสจะร้อนกว่าปกติ และเมื่อรวมกับความชื้นในอากาศที่สูง ยิ่งทำให้ ความร้อนที่รู้สึก สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งมีคำเตือนว่า กรณีเลวร้ายที่สุด อาจทำให้นักกีฬาเสียชีวิตและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “คลื่นความร้อน (Heatwave)” ที่อาจเกิดขึ้นขณะที่จัดการแข่งขัน ซึ่งจากสถิติตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ปารีสโดนคลื่นความร้อนเล่นงานไปกว่า 50 ครั้งแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อน กว่า 14,000 คนซึ่งสาเหตุของคลื่นความร้อน ก็มาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง และเป็นการเตือนโลกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกมหกรรมกีฬา จะต้องประสบปัญหาเรื่องความร้อนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดปัญหาโลกร้อนจึงไม่ใช่แค่ปัญหาของวงการสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้มันพิสูจน์ชัดแล้ว ว่ากระทบไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาการแข่งขันที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่การแข่งกีฬา หรือ การแก่งแย่งกันเอง แต่เป็นการแข่งขันที่มนุษยชาติต้องร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำทุกวิถีทาง เพื่อเข้าเส้นชัย หยุดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เร็วที่สุด โดยที่มีชีวิตเพื่อนมนุษย์ทุกคนเป็นเดิมพัน

album

0
0.8
1