29 มี.ค. 2025
29 มี.ค. 2025
Club Friday 108 คำถามหัวใจ | 28 มีนาคม 2568
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
Loading...
04 มี.ค. 2025
“โรสว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราถูกทำร้ายอยู่ทุกวัน คือการนึกถึงอดีต อยากให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญเสียงเพราะมีเสน่ห์ “โรส ศิรินทิพย์” เจ้าของเพลงรักที่โด่งดัง เช่น มากกว่ารัก ก้อนหินก้อนนั้น เกิดมาแค่รักกัน ฟ้าเปลี่ยนสี อย่าเปลี่ยนไป ซึ่งเธอไม่ได้มีดีแค่ด้านการร้องเพลง แต่ยังมีความสามรถในการเล่นกีต้าร์และเปียโนอีกด้วย พร้อมมีรางวัลการันตีมาหลายเวที และผลงานเพลงคุณภาพที่กลายเป็นที่จดจำ และเป็นพลังใจให้กับแฟนคลับมากมาย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการโรส ชื่อนี้มีที่มา“ตอนแรกแม่จะตั้งว่า Ruth (รูท) เพราะว่าพ่อแม่เป็นคริสเตียนอยู่ในโบสถ์ แล้วจะมีชื่อในคัมภีร์ อย่างพี่ชายโรสก็ชื่อ เดวิด มาจากกษัตริย์เดวิด แม่ก็อยากจะให้เราชื่อรูท แต่เหมือนคุณแม่มีเพื่อนชื่อรูทเยอะ เลยตั้งชื่อว่า โรส ก็แล้วกันลูกจะได้สวย ก็เลยออกมาเป็นโรส แล้วโรสก็ไม่ชอบชื่อตัวเองเลยตอนเด็ก ๆ เพราะว่าโรสเป็นคนที่ออกเสียงชัด เพราะฉะนั้นมันเป็น ร.เรือ มันเป็น ส.เสือ เราจะต้องออกว่าโรสทุกครั้ง แล้วรู้สึกว่าพอแนะนำตัว ชื่อโรส มันขัดกับลุค เราไม่ชอบเลย จนกระทั่งจบ ม.3 จะต้องไปเรียนต่อ ม.4 แล้วก่อนที่จะไปเข้าโรงเรียนใหม่ เราได้ไปเข้าค่ายที่หนึ่ง แล้วคนทั้งค่ายไม่มีใครรู้จักกัน ทุกคนต้องแนะนำตัวกันใหม่ 200 คน เราก็เลยคิดว่าชื่ออะไรดี ใช้ชื่อ โอ๊ต แล้วกัน แล้วก็เข้าโรงเรียนไปด้วยชื่อโอ๊ต พอจบ ม.ปลาย ก็เป็นนักร้อง เราก็ยังได้ยินเพื่อน ๆ หรือว่ารุ่นน้อง ยังเถียงกันว่า คนนี้ไงรุ่นพี่ที่เป็นนักร้อง เค้าชื่อโรส ไม่ใช่เค้าชื่อโอ๊ต เธออย่ามาเถียงฉัน ก็ต้องขอโทษที่สร้างความแตกแยกด้วยนะคะ ชื่อจริง ๆ ชื่อโรสค่ะ แต่ชื่อโอ๊ตก็ได้ เรียกได้ทั้งคู่ค่ะ”โรส ตัวตน และการยอมรับจากคนในครอบครัว“จริง ๆ เวลาอยู่บ้านก็เป็นตัวโรสเลยค่ะ ไม่ได้มีการต้องใส่กระโปรง คือเราก็เป็นแค่ตัวเราที่ผมยาวแค่นั้น บุคลิกเราก็ยังเป็นแบบนี้แหละ ขี้เล่น พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีอะไรที่ฝืนค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ โรสคิดว่าเค้าก็รู้มาตลอด ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นยังไง เพียงแต่ว่ามันอาจจะพูดไม่ได้ความเป็นผู้ใหญ่ บางคนเค้าก็รู้สึกว่าไม่พูดดีกว่า ต่อให้รู้ก็เงียบ ๆ ไว้ดีกว่าการเปิดใจ ก็เคยได้คุยกับคุณแม่ พอเราโตมาประมาณนึง เราก็จะคิดว่ายังไงเราก็คงต้องแต่งงาน ก็คงต้องมีครอบครัว เพราะว่าโลกมันเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาประมาณหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราเคยพยายามที่จะคุยกับผู้ชาย แต่พอคุยไปมันก็ไม่ใช่ เราก็เลยคุยกับคุณแม่ ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโต เค้าก็จะบอกว่าไม่ได้นะ มันไม่โอเคหรอก เพราะว่าเราจะต้องมีครอบครัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่เค้าก็ได้รับสาย คล้าย ๆ กับฮอทไลน์ ที่ต้องคุยปรึกษาปัญหา แล้วเค้าก็จะได้รับหลาย ๆ สายที่จะโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้าง ปัญหาครอบครัวบ้าง ปัญหางานบ้าง แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แล้วก็เลยได้คุยกัน แล้วเค้าก็บอกเราว่า แม่ก็เริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามันก็มีหลายสายที่โทรเข้ามา แล้วก็มีบางสายที่เป็นลูกที่แม่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นผู้หญิงได้ไหม ทีนี้พอคุณแม่อยู่ตรงกลาง เค้าก็เลยเริ่มได้มองเห็นมุมที่ทั้งคู่มาบรรจบกันว่า ไม่ได้มีใครที่เลือกที่จะเป็นแบบนี้ เหมือนกับที่เราเลือกไม่ได้ว่า เราจะเกิดเป็นผู้หญิงหรือเกิดมาเป็นผู้ชาย โรสก็เลยได้คุยกับคุณแม่ และบอกเค้าตรง ๆ ว่า ก็รู้ว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่โอเค แต่ว่าถ้าโรสไม่ได้คุยกับแม่แบบนี้ เราก็อาจจะไม่ได้คุยกันเลย โรสก็อาจจะไม่มีวันที่จะได้คุยเรื่องไหนกับเค้าอย่างจริงใจ พอได้คุยกันจริง ๆ เวลามีอะไรเราก็สามารถที่จะคุยกับเค้าได้มากขึ้น เหมือนกำแพงที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้ว”โรส ศิรินทิพย์ กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“ตอนนั้น ม.5 ค่ะ เป็นครั้งแรกที่โรสเดินเข้าตึกซีมิค เพราะว่า พี่ฟั่น เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่แกรนด์ แล้วเราอยู่โบสถ์เดียวกัน แล้วเค้าก็แนะนำโรสให้กับโปรดิวเซอร์คนอื่น ๆ ว่าน้องคนนี้ร้องเพลงเพราะ โรสก็เลยได้ไปอัดเสียง แล้วพี่ปั่นก็เอาไปส่งให้พี่ ๆ โปรดิวเซอร์ฟัง หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเข้าไปตอน ม.5 ค่ะโรสคิดว่าความพิเศษที่ทำให้คนในโบสถ์ร้องเพลงได้ เป็นเพราะว่าอย่างโรสเองเกิดมาก็เป็นคริสต์เลย ไม่เคยเป็นศาสนาอื่น แล้วก็การอยู่ในโบสถ์มันจะมีช่วงที่ต้องนมัสการ คือเป็นช่วงที่ต้องร้องเพลง เราก็เลยโตมากับเสียงเพลง ทุกวันอาทิตย์เราต้องโดนบังคับให้ได้ร้องเพลงเพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนซึมซับเข้าไปในโสตประสาทของเรา เราต้องร้องเพลงได้ แล้วก็เล่นดนตรีได้ เพื่อที่จะสามารถเล่นดนตรีในโบสถ์ได้จริง ๆ นักร้องมันคือ ฝันที่ไม่กล้าฝันของโรสค่ะ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ จนมาถึงโต โรสเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดี และตอนเด็ก ๆ เราจะมีตัวอย่างให้เห็นว่านักร้องตอนนั้น พี่ทัช ทาทา พี่มาช่า แต่ละคนเค้าหน้าตาดีกันหมดเลย เราก็เลยคิดว่าตัวเองอยากทำอะไรในวงการเพลง แต่คงไม่ถึงกับเป็นนักร้อง อาจจะเป็นแค่นักดนตรี หรืออะไรก็ได้ แต่ถามว่าชอบร้องเพลงไหม เราชอบมาก ชอบฟังเพลงแล้วก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่บนเวที แต่ว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เลยคือ การร้องเพลงต่อหน้าคนพอช่วงเรียนมัธยม ตอนนั้นเล่นดนตรีแล้วร้องเพลงกับเพื่อน แล้วเพื่อนบอกว่าเสียงดีนี่นา ไปเป็นนักร้องไหม เราก็เลยลองไปสมัครประกวดร้องเพลง จำได้เลยครั้งแรกที่ไปประกวดแล้วดีใจมากที่ได้เข้ารอบ คือโครงการของพี่แอมดา ตอนนั้นประกวดเพลงเพื่อเธอตลอดไป แล้วเราจำได้ว่าติด 12 คนสุดท้าย ซึ่งดีใจมากเพราะว่า 12 คนนี้ ตอนที่เค้าเรียกเข้าไปที่สตูดิโอ ตอนนั้นมีผู้หญิงแค่ 2 คน แล้วโรส เด็กที่สุด เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนมัธยม แล้วอีกคนที่เป็นผู้หญิง ดูแล้วเค้าต้องเป็นนักร้องกลางคืนที่ช่ำชอง แล้วทุกคนดูเก่งมาก ตอนที่นั่งซ้อมก่อนเข้าอัดรายการ เราก็ร้องแล้วก็ฟังเสียงคนอื่น ก็แอบคิดว่าเราสู้ได้ พอเข้าห้องอัด เจอกรรมการ กลายเป็นว่าเราลืมทุกอย่างเลย เพราะเป็นคนที่ไม่มั่นใจ แล้วพอเห็นคนจ้องมองเรา มีคนตัดสินเราว่าจะต้องหักคะแนนตรงนี้ตรงนั้น แบบนั้นเราจะทำไม่ได้เลยวันนั้นก็ตกรอบเลยค่ะ เพราะร้องแล้วลืมเนื้อ แล้ววันนั้นมันก็ทำให้ความมั่นใจดิ่งลงข้างล่างอีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายพอพี่ฟั่นเรียกเข้ามาที่แกรมมี่ แล้วก็พี่ ๆ ก็ตกลงจะให้เป็นศิลปิน เราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้ละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันน่าจะไม่รอด ก็เลยเริ่มไปร้องเพลงกลางคืน เริ่มสมัครไปร้องเพลงตามร้านอาหาร เพราะเราเล่นกีต้าร์ได้อยู่แล้ว ก็ไปหัดเพื่อที่จะได้ร้องเพลงต่อหน้าคนได้ จนเรารู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองทำได้ เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่มาดูเฉย ๆ แบบคนที่นั่งตามร้านอาหาร เราจะทำได้ แต่ถ้าต้องประกวด หรือมีกรรมการมาจับจ้อง แบบว่าหักคะแนนตรงนี้ เสียงปลิ้นตรงนี้ อะไรแบบนี้โรสทำไม่ได้”เพลงสร้างชื่อ ของ โรส ศิรินทิพย์“จริง ๆ เพลงสร้างชื่อของโรส คือ เพลงก้อนหินห้อนนั้น แต่ไม่ใช่เพลงแรกนะคะ เพราะเพลงแรกชื่อเพลง TOMORROW อยู่ในอัลบั้มรวม ซึ่งตอนแรกอัลบั้มโรสใช้เวลาทำ 4 ปี ซึ่งพอไปฟังประวัติ พี่โบ สุนิตา พี่เค้าใช้เวลาทำ 2 ปี ซึ่งนานมาก ก็เลยมาคุยกับพี่ ๆ ทีหลังว่าทำไมในการทำอัลบั้มถึงนาน ก็ได้รู้เพราะเค้ากลัวว่า ถ้าเราออกอัลบั้มไปโดยที่เราไม่ได้มีนามสกุล หรือเหมือนมีอะไรติดท้าย มันจะกลายเป็นว่า ออกมาได้ยังไง ดังนั้นเค้าก็เลยลองให้โรสไปร้องคอรัสบ้าง หรือว่าให้ออกอัลบั้มที่รวมศิลปินใหม่ ตอนนั้นเป็น จีราฟ เรคคอร์ด โดย พี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล เป็นคนดูแล เป็นอัลบั้มที่เอาศิลปินใหม่มารวม ๆ กัน แล้วเพลง TOMORROW เป็นเพลงที่พี่ฉายเขียน ตอนที่อยู่อเมริกา แล้วเค้าก็เลยบอกว่าให้โรสร้องดีกว่า เพราะว่าตอนที่ออดิชั่นเข้ามา โรสมีทั้งเพลงสากล และเพลงไทย พี่ ๆ เค้าก็ลงความเห็นกันว่า โรสร้องเพลงสากลดีกว่า ก็เลยเอาเพลงนี้ให้โรสร้องส่วนเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ความจริงเลยตอนนั้นไม่ได้ตื่นเต้นที่รู้ว่า พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นคนแต่ง เพราะโรสเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย เราชอบร้องเพลงอย่างเดียว และไม่เคยมานั่งดูว่า เพลงนี้คนแต่งคือใคร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่กดดันว่านี่คือผลงานของพี่ดี้ ถ้ารู้ตอนนี้ว่านั่นคือพี่ดี้ น่าจะเกร็งค่ะ แต่ตอนนั้นไม่รู้เลย ก็เลยร้องไปด้วยความไม่ได้รู้สึกว่าเกร็งอะไร แล้วถ้าดู MV เพลงก้อนหินก้อนนั้น โรสจะโผล่มาสัก 3 วินาที ใส่หมวกผมยาวหลบอยู่หลังเปียโน เพราะฉะนั้นน้อยคนมากที่จะจำโรสได้ แต่คนจะจำได้เมื่อใส่หมวกเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้น เหมือนเป็นการสอนใช่ไหมคะ แต่พี่ดี้เค้าได้คิดไว้แล้ว คือตอนแรกที่เค้าได้ยินเสียงโรส ทุกคนคงนึกภาพไว้ประมาณว่าต้องผมยาว ต้องสวย ต้องดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอได้เห็นตัวจริงว่าเราอยู่ ม.5 พี่ดี้เค้าก็เลยใส่คำว่า เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา ก็เลยกลายเป็นว่า ฉันไม่ได้พูดเอง มันมีคนสอนฉันมาอีกที เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันก็เลยกลายเป็นเหมือนเพลงที่ใครก็ร้องได้ เพราะว่ามีคนบอกฉันมาอีกที ฉันไม่ได้พูดเอง”นักร้อง ที่เสียงร้อง เหมือนเสียงพูด และร้องเพลงไหน คนก็คิดว่าเป็นเพลงตัวเอง“ชอบมีคนบอกโรสว่า ทำไมร้องเพลงไหนก็เหมือนเพลงตัวเอง เพราะว่าโรสพูดกับร้องเหมือนกัน คือโรสไม่ได้พยายามที่จะทำอะไร อย่างสมมติว่าโรสเล่าเรื่อง โรสจะเล่าเรื่องนั้นเป็นเสียงของโรสเอง มันก็เลยทำให้คนอาจจะคิดว่าถ้าโรสร้องเพลงใครแล้วจะฆ่าต้นฉบับ จริง ๆ แล้วมันแค่เหมือนการที่เราพูดในแบบของเราเท่านั้นเองเพลงฟ้าเปลี่ยนสี จริง ๆ จะไม่ใช่เพลงของโรสนะคะ ตอนนั้น พี่นิ่ม สีฟ้า เป็นคนเขียน แล้วพี่นิ่มก็บอกว่า โรสมาร้องเพลงนี้หน่อย พอดีว่าเหมือนละครจะออนแอร์แล้ว แต่พี่แอมไม่สบาย โรสก็เลยได้รับเพลงนี้ไปเลย หรือเพลง มากกว่ารัก เพลงนี้ตอนนั้น พี่พจน์ อานนท์ ทำภาพยนตร์เรื่องซารังเฮเการักที่เกาหลี แล้วก็บอกว่า อยากให้โรสร้อง โรสว่าเพลงนี้ความเพราะของมันมีอยู่แล้วตั้งแต่พีทร้อง แล้วมันเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ แต่อาจจะด้วยความตอนที่โรสเอามาร้องใหม่ มันอยู่ในหนัง คนก็อาจจะได้ยินมากกว่าตอนที่พีทร้อง แต่ก็เคยมีคนที่มาบอกโรสว่า ทำไมฉันฟังรอบแรกแล้วฉันก็ร้องได้เลย มันเหมือนจิตวิทยา ที่จริง ๆ แล้ว เค้าได้ยินเวอร์ชั่นพีทมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้ดัง ทั้ง ๆ ที่ พีท เป็นคนที่ปูทางมาให้ก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับความรู้สึกว่า ตัวเองไม่ดัง“ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโต โรสไม่ได้มีความมั่นใจ แล้วเราไม่ได้หน้าตาพิมพ์นิยม เราก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ๆ แล้วยิ่งเพลงของเรามันเป็นที่รู้จัก เพลงก้อนหินก้อนนั้น คนรู้จักกันเยอะมาก แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มันไม่ใช่เพลงที่เปรี้ยงปร้าง แต่มันเป็นเพลงที่เวลามีคนฟังแล้วเค้าชอบ แล้วเก็บไว้ในใจ จนกว่าเค้าจะเจอคนที่เคยเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเค้า ถึงจะแนะนำกันปากต่อปากมากกว่า เพราะฉะนั้นโรสก็เลยไม่เคยรู้สึกว่าเพลงมันดัง คนน่าจะรู้จักบ้างแหละ แต่ว่าเราคงไม่ได้ดังขนาดนั้นจนกระทั่งโรสไลฟ์ Tiktok แล้วก็คุยกับแฟน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนมีคนหนึ่งมาบอกว่า หนูเคยเจอพี่โรสตอนนานมาแล้ว แต่หนูไม่กล้าคุยเพราะพี่ดังมาก โรสก็เลยประหลาดใจว่าตัวเองดังเหรอ จากนั้นทุกคนใน Tiktok ก็บอกว่าดังมาก แล้วเค้าก็มาพิมพ์บอกเรา ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองดัง ขอบคุณนะคะเพลงของโรสมีเยอะมาก โรสจำไม่ได้เลยว่าโรสร้องไปกี่เพลง และโรสก็ไม่คาดหวังว่ามันจะดัง เพราะว่าถ้ามันจะดังทุกเพลง ป่านนี้โรสคงไม่ได้เดินไปไหนแล้ว แต่เราก็ทำหน้าที่ของเรา นั่นคือร้องเพลง เราเป็นนักร้อง เราก็จะร้องทุกเพลงที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีที่สุด โดยที่จะไม่หวังเลยว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ เรารู้แค่ว่าเราทำดีแล้ว และเราก็พอใจ”ลุคนี้ ที่เป็นตัวตนของโรส ศิรินทิพย์“โรสว่าพี่ ๆ ทีมงานก็งงเหมือนกัน ตอนที่ต้องออกเพลงใหม่ ๆ เพราะว่าถ้าพูดกันตรง ๆ คือโรส ก็ไม่ได้เป็นสาวหวาน แค่ผมยาว แต่เราก็ไม่ได้อยากผมยาว แต่เวลาช่างทำผมเค้าก็อาจจะเคยชินกับการทำผู้หญิงผมยาว โรสเคยถามเค้าว่า อยากตัดผมสั้นได้ไหมคะ เพราะโรสไม่อยากผมยาวมันเสียเวลา พี่เค้าก็บอกว่าไม่รอด ผมหนูตัดไม่ได้เลยเพราะว่าผมหนูฟู แล้วผมหนูหนา ถ้าหนูตัดก็ไม่รอด แล้วพอผมยาว เค้าก็คิดต่อว่าจะทำไงกับลุค จะใส่กระโปรงเหรอ ใส่กางเกงเหรอหรือเสื้ออะไร แต่ด้วยความที่โรสค่อนข้างเป็นคนที่ง่าย ๆ ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็น่าจะได้ แล้วใส่หมวกอะไรง่าย ๆ ก็เลยกลายเป็นลุคที่สบาย ๆ ดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงง่ายโรสตัดผมสั้นตอนไปเรียนที่เกาหลีค่ะ เพราะว่าช่วงนั้นจะหายไป 3 เดือน จะไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว เราก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ฉันจะหายไป 3 เดือน ถ้ามันจะไม่รอด ก็ให้มันไม่รอดที่เกาหลีแล้วกัน แล้วถ้ากลับมาก็น่าจะผมยาวประมาณนึง ก็เลยตัด แล้วรู้สึกชอบ มันไม่ได้แย่อย่างที่เค้าว่า หลังจากนั้นก็เลยไม่ไว้ยาวอีกแล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับบทบาทการให้คำปรึกษา“ช่วงนี้มีคนมาขอคำปรึกษาเยอะค่ะ ก็มีทั้งเพื่อน มีทั้งแฟนคลับ ที่ส่งข้อความมาคุยบ้างเวลาไลฟ์ โรสก็พยายามที่จะให้คำแนะนำ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถามว่าประสบการณ์เรา บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ว่าข้อดีก็คือ โรสเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจโลกด้วยแหละ ก็เลยอาจจะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างกลาง ๆ หลัก ๆ ก็ปรึกษาความรัก แต่อาจจะเป็นความรักเชิงชู้สาว หรือบางทีก็ความรักในครอบครัวที่ไม่เข้าใจคนที่มีความฝัน สำหรับโรสคคิดว่า การทำผิดจะช่วยเราได้เยอะ การทำผิดจะช่วยทำให้รู้ว่า สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ใช่ จนกว่าเราจะเจอสิ่งที่ถูกก็คือทำให้เยอะที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำไมวันนั้นเราไม่ลองทำแบบนี้ ถ้าเราลองทำแบบนี้เราอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ ก็คือลองทำเยอะ ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ โรส ศิรินทิพย์“โรสชอบตอนที่ตัวเองมีความรัก แต่ว่าตอนที่โสดก็ไม่ได้แย่ โรสว่าตอนที่โสดก็เป็นตอนที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่อาจจะทำไม่ได้ตอนที่เรามีคู่ สิ่งไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าตอนที่มีความรักก็ดีอีกแบบหนึ่ง ที่เราสามารถมีคนที่หันไปแล้วเราปรึกษาเค้าได้ทุกเรื่อง ก็เลยคิดว่าถ้าให้เลือก ก็เลือกเป็นตอนมีความรักดีกว่าค่ะที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่ความรักพังมาก จำได้เลยวันนั้นต้องร้องเพลงเกิดมาแค่รักกัน แล้วโรรสร้องไม่ไหว พอใจมันคิดถึงเรื่องอะไร มันไปเลย ก็ค่อนข้างลำบาก แต่ว่าต้องปิดโหมด แล้วก็โฟกัสที่คนดูเท่านั้น เวลาอกหักฟังเพลงตัวเองบ้างค่ะ แล้วการฮีลลิ่งการกินก็ช่วยได้ แต่สำหรับโรส เพื่อนสำคัญ คนรอบข้างสำคัญที่สุด แล้วโรสก็ค่อนข้างโชคดีด้วยที่มีเพื่อนรักที่ดี มันทำให้โรสฮีลลิ่งได้เร็ว เพราะว่าเพื่อนจะรู้ว่าต้องพูดอะไร ต้องทำอะไร ถ้าสมมติว่ามันกำลังจะแย่ เค้าจะบล็อคความรู้สึกนั้น หนึ่งคนนั้นคือ คุณไดอาน่า จงจินตนาการ เค้าจะเป็นคนที่รู้เสมอ บางทีมีช่วงที่เรายุ่งกันทั้งคู่ แต่ถ้าโรสโทรไป เค้าก็จะรู้เลยว่าจะเอาอะไร รู้เลยว่าเราต้องการเค้าความรักตอนนี้ก็ลงตัวทีเดียวค่ะ เพราะว่ามันเหมือนเป็นเพื่อนที่ซัพพอร์ทกันทุกเรื่อง เป็นซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีมาก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเคมีมันตรงกันมาก ศีลมันเสมอกันมาก ๆ เลย มันเคยมีวันที่เราตื่นมาแล้วเราได้ยินเสียงเพลงในหัว ได้ยินอยู่สักพักเค้าก็ร้องออกมา เราก็แปลกใจว่าได้ยินมาจากไหน เค้าบอกว่าเค้าก็ได้ยินในหัวของเค้าเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันเท่จัง หรือว่าบางทีพูดอะไรก็พูดคำเดียวกัน จบประโยคเหมือนกัน มันใช่ไปหมดเลยความรักครั้งนี้ เราเจอกันตอนทำงาน ซึ่งก็ดูอยู่พักใหญ่ ๆ เลย เพราะว่าเราก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเค้าก็เหมือนกับมีท่าทีว่าชอบเราเหมือนกัน สมมติเราอยู่ใกล้เค้าเวลาทำอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึกว่ามันจะมีอาการบางอย่างที่มันทำให้คิดแบบนั้น แล้วเค้ามีความ Professional มาก นี่คือข้อแรกที่เรารู้สึกประทับใจในตัวเค้า แล้วก็เลยเริ่มศึกษากัน เริ่มพูดคุยกัน ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเค้าเก่งมาก ๆ คือตอนที่พี่ชายของโรสเสีย แล้วตอนนั้นทั้งบ้านงงไปหมด เค้าเป็นคนบอกให้เราทำแบบนี้ ไปที่เขต ไปแจ้งเรื่องก่อน เหมือนกับเค้าช่วยทุกคนไว้ได้เลย เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าเก่งมากเลย แล้วก็ประทับใจเค้ามากขึ้นด้วยทำงานกับคนรัก มีปัญหาบ้างไหม มีบ้างค่ะ เพราะว่าความต่างของเราคือ โรสจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ แล้วเป็นคนที่เฉย ๆ มาก มีอารมณ์ศิลปิน ลงรูปเราก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ถ้ารู้สึกอยากจะลงเราก็ค่อยลง แต่เค้าจะบอกว่าไม่ได้ ด้วยความที่เค้าเป็น PR ด้วย กลายเป็นว่าอาชีพก็ส่งเสริมกัน เพราะเค้ารู้ว่าการโปรโมทเราควรจะทำอะไรยังไง เค้าก็จะคอยบอกว่าลงงานด้วยค่ะ ไปงานมาถ่ายรูปแล้วก็ลงด้วยค่ะ แล้วเค้าก็จะคอยตามเก็บรูปโรส เวลาไปงานต่าง ๆ หรือว่าไปเจอศิลปินดารา ก็ถ่ายลง ซึ่งเค้ารู้แหละว่าเราไม่ชอบ แต่ว่าตอนนี้เราไม่มีบริษัทแล้ว เราก็ต้องทำ เพื่อที่คนจะได้เห็นเรา ซึ่งตอนแรกโรสก็ไม่อยากทำเลย แต่พอเราเริ่มทำตามที่เค้าบอก ก็กลายเป็นว่า คนรู้จักเราเยอะขึ้นจริง ๆ แล้วงานก็เข้ามามากขึ้น เราก็เลยเริ่มเชื่อใจกัน”สีสันแรงบันดาลใจจาก โรส ศิรินทิพย์“ความสุขของโรส โรสคิดว่าจริง ๆ มันก็มีเยอะเนาะ การร้องเพลงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คือโรสชอบร้องเพลงจริง ๆ แล้วก็ชอบทำให้คนมีความสุขกับเสียงเพลงของโรสจริง ๆ แล้วการได้อยู่กับคนที่สบายใจ ก็เป็นความสุขมาก ๆ ด้วยค่ะโรสอยากให้ทุกคนมองปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคต อย่าไปมองอดีต โรสว่าหนึ่งสิ่งที่ทำร้ายหลาย ๆ คน ตลอดมาคือการมัวแต่คิดถึงอดีต ถ้ามัวแต่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่โอเค ก็มองถึงชีวิต ณ ปัจจุบัน แล้วก็มองถึงอนาคตว่า เราอยากเป็นแบบไหน เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วก็ทำตัวเองให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้ มีความสุขเยอะ ๆ กับคนรอบข้าง มองสิ่งรอบข้างที่เรามี และชื่นชมในสิ่งที่เรามีค่ะ” - โรส ศิรินทิพย์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
27 ก.พ. 2025
“ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็อยากให้ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ มีระเบียบวินัยในตัวเอง รับผิดชอบตัวเองให้มาก ๆ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพอที่จะทำได้ ถ้าเรารักในสิ่งนั้นจริง ๆ”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญระดับแชมป์โลก “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักกีฬาแบดมินตันหญิงไทยคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์มาแล้วทุกประเภท และประเภทคู่ผสมที่เธอได้รักษามาตราฐานของเธอเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม จนไต่ขึ้นสู่มือวางอันดับ 1 ของโลก แต่กว่าจะมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ และก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางสายแบดมินตันได้นั้นไม่ง่าย เธอต้องผ่านอุปสรรคทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ต้องเสียสละชีวิตวัยรุ่นและเวลาส่วนตัว เพื่อทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมแบดมินตัน เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการการแข่งขัน และรางวัลล่าสุด ของนักตบลูกขนไก่“ล่าสุดเพิ่งได้เหรียญทองแดง เป็นการแข่งขันประเภททีมผสมชิงแชมป์เอเชียค่ะ ซึ่งแมตช์นี้ก็มีความยาก ด้วยทีมเราก็ไม่ได้เป็นทีมที่ดีที่สุด แต่ก็ถือว่าดีสำหรับเราในตอนนี้ ก็พยายามทำหน้าที่ให้เต็มที่ ให้มันดีที่สุดในทุก ๆ แมตช์ที่ได้ลงใน 1 ปี ป้อจะมีแข่งประมาณ 16 Tournament อย่างต่ำเดือนละครั้ง ช่วงที่แข่งถี่สุด ๆ คือตอนโควิด ตอนนั้นไปแข่ง 3 เดือนไม่ได้กลับไทยเลย ตีแบดกันทุกอาทิตย์ แล้วก็บินไปโซนยุโรป กลับมาเอเชีย แล้วก็ไปยุโรป ถึงจะกลับไทย ซึ่งการเดินทางบ่อยมีปัญหาต่อนักกีฬาไหม เรียกว่าต้องปรับตัวหมดทุกคน แต่ถ้าของป้อไม่มีปัญหา สมมติว่าเราไปยุโรป เราเป็นคนนอนได้ง่ายอยู่แล้วเพราะว่าเวลามันช้ากว่าไทย แต่พอกลับมาเอเชียช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มเจ็ทแล็ก บางทีก็ต้องใช้ยาช่วยกันบ้างเรื่องซ้อมก็อาทิตย์ละ 6 วัน ที่จริงมันก็คือ 5 วันครึ่ง เค้าจะหยุดวันอาทิตย์ครึ่งวัน กับจันทร์ทั้งวันแล้ว 1 วัน ต้องซ้อม 5-6 ชั่วโมง เช้า 3 เย็น 3 ส่วนวันว่างบางทีก็นอน ดูหนัง กินข้าว พักผ่อนไปค่ะ”จุดเริ่มต้น ของนักตบลูกขนไก่“ชื่อ ปอป้อ อากงเป็นคนตั้งค่ะ มันมาจากคำว่า เป๊าเป่า เป็นภาษาจีนที่แปลว่า เบบี้ คือทางพ่อของฝั่งแม่ป้อเป็นคนจีน 100% ส่วนทางพ่อก็เป็นครึ่งจีนครึ่งไทย แล้วครอบครัวป้อทำธุรกิจเปิดร้านทอง ขายเพชรขายทองค่ะความฝันตอนเด็ก ๆ ป้อไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นนักแบดมินตัน แต่ด้วยคุณพ่อกับคุณแม่ชอบเล่นแบดมินตัน แล้วก็เป็นนักกีฬาที่เล่นให้กับทางมหาวิทยาลัย ก็เลยเอาป้อไปออกกำลังกายเฉย ๆ แล้วตรงนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ป้อเริ่มเล่นแบดมินตัน แต่เราก็ตีแค่ตีแบดอยู่หน้าบ้าน หรือไปตีที่คอร์ทเพื่อออกกำลังกายกับพ่อแม่ แต่การเป็นนักแบดมินตันของป้อ มันเริ่มจากการที่ลงแข่งเลย ไปแข่งที่ตรังด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนอุดรธานี การแข่งครั้งแรกไปใต้เลย ผลตอนนั้นก็แพ้ 11-0 ,11-1 หรือได้แต้มเดียวก็มี ซึ่งที่แม่พาไปก็เพราะอยากให้ลอง แล้วที่บ้านก็สนับสนุนอยู่แล้ว ถ้าอยากเล่นกีฬาก็เล่นเลยเต็มที่ พอเราแพ้ครั้งนั้น ก็เลยอยากจะกลับมาลองฝึกซ้อมแบบตามตารางจริงจังดูว่า เราจะไปได้ไกลขนาดไหน ก็เลยซ้อมหลังเลิกเรียน 2 ชั่วโมง แล้วก็พักผ่อน ซ้อมแบบนั้นมาเรื่อย ๆ จนอายุ 14 ปี ป้อก็เล่นข้ามรุ่น ไปแข่งรุ่นอายุ 15 ปี แล้วเราได้แชมป์ พออายุ 15 ปี ได้แชมป์รุ่น 18 ปี ก็เลยติดทีมชาติ ตั้งแต่อายุ 15 ปี ซึ่งเป้าหมายแรก เชื่อว่าทุกคนก็อยากจะติดทีมชาติอยู่แล้ว แล้วพอเราเริ่มมีเป้าหมายคือเราติดทีมชาติแล้ว เราก็อยากจะได้แชมป์โลกเรา อยากจะเป็นมือหนึ่งของโลก เราอยากจะคว้าแชมป์เวิลด์ทัวร์กี่รายการ เราก็เริ่มแพลน เริ่มตั้งเป้าหมายเอาไว้ทักษะที่สำคัญของแบดมินตัน เป็นเรื่องของเบสิคค่ะ ป้อรู้สึกว่าทุกกีฬา เรื่องเบสิคสำคัญที่สุด และแต่ละกีฬามีการเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน ถ้าเบสิคใครดี มันสามารถต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ เช่น แบดมินตัน อาจจะมีเรื่องของการจับไม้ และการวิ่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมันก็จะเหมือนกับจับไม้หน้าเดียว ตีได้แค่โฟร์แฮนด์อย่างเดียว แต่ถ้าต้องตีแบ็คแฮนด์ แล้วตีไม่ทันอย่าง ถ้ามันไม่ได้ฝึกการหมุนไม้ พลิกไม้ มันก็พัฒนาได้มากขึ้น ทำให้เราเล่นเก่งขึ้นได้ค่ะ”ปอป้อ กับการรับมือกับความผิดหวัง“กว่าจะมาถึงวันนี้ ระหว่างทางมันก็มีผิดหวังเยอะค่ะ บางทีเรารู้สึกว่าตัวเองตั้งใจซ้อมมาก ๆ แล้วอยู่ดี ๆ เราแพ้เกม 3 บางทีเราก็มีเฟลไปบ้าง ว่าทำไมเราทำไม่ได้ อุตส่าห์ตั้งใจซ้อมมาเยอะมาก ทำไมแค่นี้ทำไม่ได้เวลาผิดหวัง ป้อก็คุยกับครอบครัว พ่อแม่ แล้วเพื่อน ๆ ก็ให้กำลังใจกัน เพราะว่าสุดท้าย แบดมินตัน มันมีการแข่งขันอยู่ตลอด เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราเสียใจได้ไม่นาน มันต้องมูฟออนต่อไปเรื่อย ๆ เวลาคุยก็เป็นเชิงระบายความรู้สึกเราออกมา แล้วคนรอบข้างก็จะคอยปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่แมตช์หนึ่ง ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจออยู่แล้วในนักกีฬา”เป้าหมายต่อไป ของ ปอป้อ“แมตช์ที่ภูมิใจที่สุดของป้อ ก็การเป็นแชมป์โลกปี 2021 ค่ะ ตอนนั้นแข่งที่สเปน ค่ะ ก็คือรู้สึกว่าเอ๊ยเราก็ทำได้นะ แล้วปีนั้นคือเป็นแชมป์โลกแล้วก็ได้ขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกด้วยในปีเดียวกัน เลยรู้สึกว่าเราทำได้ มันเป็นเป้าหมายของเราอยู่แล้วที่เราอยากจะได้ และเป้าหมายต่อไป ป้อก็อยากได้เหรียญโอลิมปิกค่ะจากโอลิมปิก 2024 ก็มีนั่งวิเคราะห์ว่า ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ณ สถานการณ์ตอนนั้นเราอาจจะแก้ปัญหาได้ไม่ดีพอ หรือว่าอะไรก็ตาม คือกีฬามันจะมีเรื่องของไหวพริบแค่เสี้ยววินาที เพราะเราวางแผนไปเพื่อจะไปเล่นกับเค้า พอเค้าแก้เกมมา เราก็ต้องแก้กลับ แต่ถ้าเราตั้งหลักไม่ทัน แป๊บเดียวแต้มมันไหลไปแล้วแน่นอนว่าในยุคนี้มันจะมีคอมเมนต์จากคนในโลกโซเชียล แต่ป้อเป็นคนที่ไม่เทคคอมเมนต์ลบอยู่แล้ว ถ้าเรารู้สึกว่าอ่านแล้วรู้สึกไม่ดี เราก็ไม่ต้องอ่าน ก็อันไหนที่มันดี ก็เอาเป็นกำลังใจ และจะชอบรับกำลังใจจากคนรอบข้างดีกว่า คนที่เราใกล้ชิด แล้วเค้ารู้ว่าเราทำอะไร คือกว่าเราจะมาถึงตรงนี้ เบื้องหลังไม่มีใครรู้ ทุกคนจะดูแค่หน้างาน ณ วันนั้น ถ้าชนะก็ชม ถ้าแพ้ก็ด่า เป็นเรื่องปกติความตั้งใจจากนี้ ป้อวางไว้อีก 4 ปีข้างหน้า โอลิมปิก ที่ ลอสแอนเจลิส ป้ออยากจะไปอีกครั้งป้อจะพยายามทำให้เต็มที่ และตอนนี้ก็พยายามรักษาร่างกายตัวเอง แล้วก็ Maintain ร่างกายทุกอย่างให้มันดีที่สุดค่ะ”สิ่งที่นักกีฬา กลัวที่สุด“สำหรับนักกีฬา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดเลยก็คือการบาดเจ็บ ซึ่งป้อเคยเจ็บหนักสุด ๆ คือปี 2017 ค่ะ ที่ซีเกมส์รอบชิงแมตช์สุดท้ายพอดี ก็คือกระโดดลงมาแล้วเข่าบิด เอ็นไขว้หน้าขาด พักไป 8 เดือน ต้องผ่าตัด กายภาพ หลายเดือนเลยป้อไม่ได้เดิน 3 เดือน แต่พอเดินเริ่มลงน้ำหนัก เดือนที่ 4 แล้วเดือนที่ 5 แข่งเลย ตอนนั้นต้องพักฟื้น 8 เดือน กว่าจะหายจริง ๆ คือ 1 ปี จนตอนนี้ก็ปกติแล้ว นั่ง วิ่ง เล่นแบดมินตัน ทำได้ทุกอย่างทุกท่า ไม่ได้รู้สึกติดอะไร ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ”เปิดตารางซ้อม พร้อมทริคการเป็นนักแบดมินตัน“ทุกวันนี้ก็ซ้อมเป็นลูทีนอยู่แล้ว ต้องรับผิดชอบตัวเอง ปกติก็จะซ้อม 8 โมงครึ่งถึง 11 โมง แล้วก็ซ้อมอีกทีบ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งแบดมินตันใช้ความแข็งแรงของทุกส่วนทั้ง แขน ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ลำตัว แม้กระทั่งขา มันใช้ทั้งตัวจริง ๆ แล้วแบดมินตันมันใช้ข้อมือ แต่ก็จะคนละรูปแบบกับเทนนิส อาจจะใช้อีกวงหนึ่ง ซึ่งมันคนละวงกันซ้อมทุกวันก็มีเบื่อบ้างค่ะ แต่บางทีเบื่อป้อก็จะขอพักหรือว่าขอไปเที่ยวบ้างสัก 2-3 วัน ซึ่งถ้าได้เที่ยวนี่คือไม่ออกกำลังกายนะคะ แล้วมันจะเหมือนได้เติมพลังให้ตัวเอง เรื่องอายุในการเป็นนักแบดมินตัน ในอยู่ที่ว่าใครรักษาร่างกายได้ดีกว่ากัน ที่จริงอายุสูงสุดเคยเห็นถึง 40 ปี นะคะ แต่ก็อาจจะทรมานเกินไป ถ้ายังจะเล่นให้ได้อันดับโลก ซึ่งนักกีฬาส่วนใหญ่อายุก็จะอยู่ประมาณ 35-36 ปี หรือถ้าใครรักษาร่างกายดี ๆ หน่อยก็ 38 ปี แต่มีไม่เยอะค่ะเรื่องน้ำหนัก ไม่มีผลค่ะ บางคนอาจจะตัวใหญ่ น้ำหนักเยอะแต่มือดี คนสูงกับคนไม่สูง ก็จะมีสรีระของแต่ละคน และจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ไม่เหมือนกัน แล้วแบดมินตัน มันเป็นกีฬาลดความสามารถด้วย สมมติว่าคนตัวเล็กอาจจะชอบแบบตีเร็ว ๆ คนตัวสูงบางทีก็เคลื่อนตัวช้า แต่ถ้าเค้าได้ตบสูง ๆ เค้าจะชอบ แล้วเราจะทำยังไงให้เค้าไม่ได้ตบโดยในการซ้อมจุดเหนื่อยของป้อวัดด้วยจากแบบชีพจร คือป้อจะมีจุดที่เหมือนเราไปสุดแล้ว จนเรารู้สึกว่าเราไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่จุดนี้มันสามารถขยับได้ทีละนิด แต่ก่อนอาจจะแบบ จาก 1 ไป 4 ได้ พอมันไปถึง 4 ขึ้นไป 10 แต่หลังจากนั้นมันอาจจะไม่ได้ขึ้นไป 13 เลย มันจะค่อย ๆ ขึ้นแบบช้า ๆ แต่มันก็จะแล้วแต่คนเวลาแข่งมันก็เจอความกดดัน หรือความคาดหวังของใครหลาย ๆ คน แต่มันก็อยู่ที่ตัวเราด้วย ว่าเราสามารถขจัดมันได้รึเปล่า เพราะสุดท้ายนักกีฬาทุกคนมันต้องเจอทั้งแรงกดดัน หรือความคาดหวังอยู่แล้ว แล้วตัวเราเองก็คาดหวังกับตัวเราเองอยู่แล้ว แล้วบางทีเราไปเอาความคาดหวังคนอื่นมาใส่ด้วย มันก็อาจจะทำให้แย่ขึ้นไปอีกป้อเคยไปปฏิบัติธรรมด้วยนะคะ เพราะว่าบางทีที่แข่ง เวลาเรามองลูก ถ้าเรามีสมาธิ มีสติมาก ๆ เราจะเห็นลูกเป็นภาพสโลว์โมชั่น เราจะเห็นตั้งแต่รูปกระทบจากฝั่งโน้นมาเลย แต่เราจะมองแค่ลูกอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องมองมุมกว้างด้วย ต้องรู้ว่าจุดไหนเป็นช่องว่างที่เราจะตีไปให้ได้แต้ม มันต้องมองเปิด ๆ เพื่อวางแผนการเล่นสำหรับป้อมองว่า เล่นเดี่ยว ยากกว่า เล่นคู่ เพราะว่าเล่นคนเดียว รับผิดชอบคนเดียว แล้วก็ต้องมีระเบียบของตัวเองคนเดียวจริง ๆ เพราะแบดมินตันจากสมัยก่อนจนถึงสมัยนี้ มันเหมือนอัพเกรดขึ้นไปเยอะมาก แต่ก่อนมันอาจจะแบบเราช้า แต่เดี๋ยวนี้มันทั้งหนัก ทั้งเร็ว ทั้งทน ใครอึดกว่าได้เปรียบ แต่ก่อนอาจจะต้องมีทักษะแค่สองอย่าง แต่ตอนนี้ 4-5 อย่างต้องมีในคนเดียว แต่ด้วยความที่ต้องดีคู่ เราซ้อมเยอะเลยรู้ใจกัน ลูกนี้ใครตี ลูกนี้ใครไม่ตี มันจะรู้กันอยู่แล้ว และด้วยสไตล์การเล่นที่มันคล้าย ๆ กัน การเล่นมันก็จะดูเข้าขากัน”เสียงเชียร์ กับการแข่งขันของนักกีฬา“ก็มีบ้างค่ะที่เสียงเชียร์มีผลต่อการเล่น เวลาเราตีโต้ไปก็มีร้องเชียร์ดังขึ้น แล้วเวลาแข่งกันเอง ก็อาจจะมีแบบการกวนกันอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ที่ว่าใครควบคุมอารมณ์ได้ บางทีกวนแล้วเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจอะไร ก็ไม่มีผล แล้วบางทีอาจจะไม่ใช่ฝั่งตรงข้าม แต่อาจจะเป็นกรรมการก็ได้ คือสมมติว่าเราตีไป เราเห็นว่าลูกไปโดนตัวฝั่งโน้นแล้วมันออก แต่กรรมการไม่เห็น แล้วกรรมการให้แต้มฝั่งโน้น เราก็จะงงว่าไม่เห็นเหรอว่าโดน แต่กรรมการก็เค้าตัดสินไปแล้วไงว่าเราเสียแต้ม ซึ่งกล้องมันดูได้แค่ลูกลงกับลูกออก ลูกโดนตัวดูไม่ได้”จากนักแบดมินตัน สู่เส้นทางสายบันเทิง“ที่เลือกเรียน นิเทศศาสตร์ เพราะป้อมองว่ามันเป็นความรู้รอบตัว แล้วมันง่ายดี ป้อเรียนปริญญาตรี PR ต่อปริญญาโท MC พอได้เรียนก็รู้สึกว่าตัวเองกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูดมากขึ้น ตั้งแต่เรียนจบมา เพราะตอนแรกคือถ้าถามคำตอบคำเลย ไม่ได้มีพูดต่อส่วนช่องยูทูบ ก็เหมือนอยากให้ทุกคนเห็นในมุมที่ไม่มีใครเห็น เวลาเราไปแข่ง แล้วเราทำอะไรบ้าง หรือว่ามุมพักผ่อนของนักกีฬาต่างชาติที่ป้อสนิทด้วย ว่าเค้าเป็นคนยังไง ซึ่งบางทีคนดูเค้าอยากรู้ จากคนขี้อาย แต่พอได้มาลองทำยูทูบเบอร์ การพูดมันก็ง่ายขึ้น ป้อรู้สึกว่ามันเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งที่ป้อได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้พูดกับตัวเอง มันเลยเป็นการผ่อนคลายไปด้วย”เปิดหัวใจ ส่องสเป็ก ของ ปอป้อ“ตอนนี้ไม่มีค่ะ โสดอยู่ โฟกัสที่เรื่องงาน และป้อไม่เคยอกหักแรง ๆ ค่ะ อาจจะมีเคยคุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงอะไรลึก เพราะสุดท้ายด้วยแบดมินตันเราต้องซ้อมทั้งวันจริง ๆ ไม่มีเวลาเลย แล้วส่วนใหญ่นักแบดมินตัน ก็จะมีแฟนเป็นนักแบดมินตันกันเองซะส่วนใหญ่ถ้าสเป็กของป้อ ก็ชอบคนน่ารัก มีเสน่ห์ พูดเก่ง เข้ากับเราได้ ถ้าคุยเข้ากันได้ก็โอเค ส่วนเพื่อนสนิทมีประมาณ 2 คนค่ะ ที่สนิทกันจริง ๆ และคุยได้”นักกีฬา กับสิ่งที่ต้องแลก“ก็ต้องเสียสละเรื่องเวลา ที่เราแบบไม่ได้เจอเพื่อน แต่ป้อไม่คิดว่าเราเสีย เพราะว่าการเล่นกีฬามันมีอายุการใช้งานของมัน ถ้าวันหนึ่งเราเลิกไป เราอยากจะไปเที่ยว ไปพัก มันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ ณ ตอนนี้ เราโฟกัสตรงนี้ เราะว่าเรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะแบดมินตัน แพลนในอนาคตก็เคยมีคิดบ้างว่า บางทีอยากเปิดคาเฟ่ หรือว่าขายของออนไลน์ หรือว่าเปิดร้านอาหาร ก็มีคิดแต่มันก็ยังไม่ได้เจาะจงอะไร ก็คิดไปเรื่อย ๆ ปรึกษาเพื่อนไปเรื่อย ๆ”ป้อป้อ และความภาคภูมิใจของตัวเอง“ถ้ารู้ตัวว่าเราชอบอะไร แล้วพอทำสิ่งนั้นแล้วเรามีความสุข ก็อยากให้มุ่งมั่นทุ่มเทให้เต็มที่เลย เพราะว่าความสำเร็จ ป้อรู้สึกมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าเราทำแล้วเรามีความสุข เราจิตใจดี ร่างกายดี ทุกอย่างดี มันประสบความสำเร็จอยู่แล้วทุกวันนี้ป้อรู้สึกดีใจ และภูมิใจในตัวเองที่เราอดทน เรามุ่งมั่น เรารับผิดชอบตัวเองได้มากขนาดนี้ แล้วทำให้เรามีทุกอย่างวันนี้ได้ก็เพราะกีฬานี้ และป้อรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ได้นำเสนอในทุก ๆ เวลาเราออกไปแข่ง เราทำเพื่อประเทศไทยจริง ๆ ไปทำเพื่อชาติ แล้วพอเราได้กลับมา มันก็เป็นชื่อเสียงของประเทศเรา ป้อก็เลยรู้สึกภูมิใจในตรงนี้ แล้วก็เหมือนเป็นชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลและครอบครัวด้วยทุกวันนี้ความสุขของป้อ ก็คือการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วได้เป็นตัวเองที่สุด เหมือนเป็นสนามของตัวเองในทุก ๆ อย่างที่เราทำ แล้วเรารู้สึกว่าเราทำทุกอย่างด้วยความเต็มที่ มุ่งมั่น ไม่ท้อ อดทนทุกอย่าง จนมาวันนี้เรามีความสุขแล้วค่ะ”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ปอป้อ“ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ว่าจะแบดมินตัน หรือว่ากีฬาอื่นไร หรือแม้แต่อาชีพทุกอย่าง ถ้าสมมติรู้ว่าเราชอบ เราทำแล้วเรามีความสุข ก็อยากให้ทุ่มเทมันให้เต็มที่ แล้วก็มีระเบียบวินัยในตัวเอง รับผิดชอบตัวเองให้มาก ๆ เพราะว่าป้อเองรู้สึกว่า ทุกคนมีศักยภาพและความสามารถพอที่จะทำได้ แล้วก็คิดว่ามันไม่ยาก ถ้าเรารักมันจริง ๆ เราอยู่กับมันจริง ๆ เชื่อว่าเราทำได้อยู่แล้ว” - ปอป้อ ทรัพย์สิรีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
17 ก.พ. 2025
“การที่เรายอมรับตัวตนของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมายอมรับเรา บางทีมันก็มีความสุขได้เลย เพราะเงื่อนไขบางเงื่อนไข มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่หลายคนคิดถึง “ซิน Singular” ศิลปินหน้าหวานผู้มีเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์ กับการเติบโตระหว่างทางกว่า 15 ปีในวงการ วันนี้ซินกลายเป็นศิลปินอิสระที่จัดการงานเองแทบทุกอย่างตั้งแต่เบื้องหน้าถึงเบื้องหลัง และตั้งเป้าหมายเพียงแค่อยากทำงานอย่างมีความสุข เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ10 ปีที่หายไป ของ ซิน Singular“จริง ๆ ที่หายไปเป็นช่วงรอยต่อตอนที่เป็นวง กับตอนที่ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวก็คือ 2 ปี แต่ว่านั่นก็เมื่อ 10 ปีได้ที่หายไป เพราะหลังจากนั้นก็อาจจะมีช่วงหนึ่งที่ซินไปทำงานที่ญี่ปุ่น คือเราไปออกเพลงที่ญี่ปุ่น และก็ยังทำเพลงตลอด แต่ที่มันอาจจะรู้สึกว่าหายไป เพราะมันก็มีเพลงที่ดังบ้างไม่ดังบ้างที่ห่างหายไม่ค่อยได้ออกรายการสัมภาษณ์ ถ้าให้เราเดาก็คือ ตามรายการต่าง ๆ อาจจะคิดว่าเราไม่ค่อยอยากไปออกด้วยส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ ซินไม่เคยปฏิเสธเลยนะ ถ้ามีคนติดต่อมาแทบไม่ปฏิเสธเลย และมันอาจจะเป็นภาพไปก่อนที่ช่วงแรก ๆ ซินอาจจะดูเป็นคนแบบพูดไม่เก่ง คิดว่าเป็นภาพจำแต่ซินคิดว่าตัวเองมีหลายโหมด ถ้าสนิทก็จะมีความคุยเก่ง คุยได้ทั้งวัน แต่บางวันไม่มีพลังก็จะนิ่ง ๆ ถ้าถามว่าเป็น Introvert ไหม ก็ใช่แหละ แต่เป็นมานานแล้ว ก่อนที่มันจะมาฮิตคำว่า Introvert เสียอีก”ย้อนวัยเด็กสุดขี้อาย ของ ซิน Singular“ซินเป็นเด็กขี้อายมาก จำได้เลยว่าตอน ม.1 เวลาออกไปรายงานหน้าชั้น เราไม่สามารถที่จะออกไปได้เลย สมมติว่ามันถึงคิวแล้ว เราจะไม่สบตาใครเลย แล้วก็อ่านโพยเท่านั้น เคยมีครั้งนึงที่มือไม้สั่นแล้วเป็นลมไปเลยจริง ๆ ช่วงแรกที่ขึ้นเวทีร้องเพลงมันก็ยังเป็นอาการประมาณนี้อยู่นะ แต่เราต้องคิดว่า The Show must go on แต่ถ้าถามว่ามันตื่นเต้นไหม มันตื่นเต้นมาก ควบคุมอะไรไม่ได้เลย ถ้าไปดูโชว์แรก ๆ ของซิน จะรู้เลยว่าเราตื่นเต้นมาก มันค่อยมาลดลงตอนที่เราชินกับบรรยากาศแล้ว หรือชินกับเวทีแล้วซินชอบร้องเพลงมาตั้งแต่จำความได้ ตอนนั้นเราก็ร้องอยู่ที่บ้าน ร้องให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง หรือตอนนั่งรถไปโรงเรียนก็ร้องไปเรื่อย แต่ถ้าหน้าห้อง หรือ งานโรงเรียน ก็คือไม่ร้องเลย ไม่มีเด็ดขาดที่คนจะได้เห็นเราร้องเพลง ตอนเด็ก ๆ เพลงที่ชอบร้องคือ เพลงรุ้งตัวอ้วน ของพี่อุ้ย รวิวรรณ จินดา เหมือนเราฟังตามคุณพ่อคุณแม่แล้วจำได้นักร้อง เป็นความฝันเดียวเลยที่ซินอยากจะเป็น แต่มันก็เป็นแค่ความฝันที่เราเก็บเอาไว้ในใจ เพราะเรารู้สึกว่ายุคนั้น การเป็นนักร้องมันน่าจะยากเหมือนกันที่จะเป็นศิลปิน มันไม่เหมือนยุคนี้ที่ใครก็ร้องเพลงลงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ แต่เด็กยุคก่อนแทบไม่รู้เลยว่า การจะเป็นนักร้องมันจะต้องเริ่มยังไง”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“มันเริ่มมาจากที่เราชอบร้องเพลง แล้วเราก็อินกับเพลงที่ร้อง ว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง และเราชอบดูเนื้อเพลง เราชอบเก็บสะสมแผ่นซีดีดูว่าแบบใครเป็นโปรดิวเซอร์ แล้วจำได้ว่าวันเกิดอายุ 14 ซินก็ลองแต่งเพลงของตัวเองดูเล่นๆ แล้วก็แต่งมาเรื่อย ๆ ซึ่งเราไม่ได้นึกหรอกว่า นี่มันคือการที่เรากำลังทำตามความฝันอยู่รึเปล่า เราแค่ลองทำเพราะเราชอบ จนแบบได้ลองมาทำเพลงเป็นเดโม่จริง ๆ แล้วก็ลองเข้าห้องอัดดู พอเจอพี่ที่ห้องอัดเค้าก็เหมือนมีคอนเน็คชั่นกับค่ายเพลง ก็เลยแนะนำเราให้ส่งเดโม่ไปที่ค่ายดูสิ ซินก็ส่งไปที่ค่ายโซนี่มิวสิค แล้วเค้าก็ได้เรียกเข้ามาคุยรายละเอียด มีกระบวนการอยู่ประมาณ 6 เดือน กว่าจะได้เดบิวต์เป็นศิลปิน”กว่าจะเป็นวง Singular“ตอนแรกต้องบอกว่าซินเข้าไปคนเดียว แล้วก็ถ้าพูดตามตรงคือตอนนั้นด้วยลุคของซิน ทำให้ทางค่ายยังไม่รู้ว่าจะขายออกมายังไง เค้าก็เลยลองเติมสมาชิกอีกคนนึงดู สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นวงก็ต้องขอบคุณทุกคนฮะ ที่ทำให้เพลง เบาเบา ดังมาก ไม่คิดเลยเพราะถ้าส่วนตัว ซินชอบเพลง 24.7 ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกที่ปล่อยมา แต่กับเพลงเบาเบา เรารู้สึกว่ามันก็เพราะดี ตอนที่เราแต่งเราก็รู้สึกว่าเพลงนี้ก็ดีนะ แต่ไม่ได้คิดไปถึงขนาดว่ามันจะดังขนาดนี้ ที่มาของเพลงเบาเบา คือถ้าสมมติเราให้สัมภาษณ์กันสมัยก่อน เราจะบอกว่าเพลงนี้มีที่มาจาก เพื่อนมาปรึกษาหลังทะเลาะกับแฟน ซึ่งอันนั้นก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ที่มาของท่อนฮุค มาจากซินนั่งรถไฟฟ้าอยู่ แล้วก็เจอคู่รักวัยใส กำลังกอดกันแบบแทบจะจูบกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว แล้วคนในขบวนก็คือมีมวลของความแบบ เบา ๆ กันหน่อยมั้ย เราก็เลยปิ๊งไอเดียซึ่งมันก็เวิร์คเหมือนกัน ก็เลยเอามาเขียนต่อให้เป็นเพลงในยุคที่วงดังมาก ก็จะมีแฟนคลับที่ติดตามเราแบบเกือบทุกการใช้ชีวิต แต่ด้วยตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีช่องทางให้เราปกป้องสิทธิ์ตัวเองขนาดนั้น จริง ๆ แฟนคลับมีหลายรูปแบบ มีทั้งถ้าไปงานต่างจังหวัดแล้วเราต้องนั่งรถตู้กลับบ้าน ก็จะมีแฟนคลับขับรถตาม ซึ่งซินว่าอันนี้อันตรายไปนิดนึง บางครั้งเราก็จะบอกให้คนขับหยุดรถก่อน ให้เค้าแซงไปเลย แล้วเราก็ค่อยไป ซึ่งมันก็มีความคิดว่าฉันจะต้องลำบากขนาดนี้เลยเหรอในการเดินทาง ศิลปินมันก็เป็นอาชีพ ๆ หนึ่ง ซินว่ามันต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ที่คนอื่นต้องเคารพพื้นที่นั้นของเราด้วย พอมีเรื่องคนตามคุกคามความเป็นส่วนตัว มันก็ทำให้ซินแย่ไปเลยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องสภาพจิตใจ มันสะสมมาเรื่อย ๆ จนช่วงรอยต่อระหว่างตอนที่เป็นวงกับตอนที่เป็นศิลปินเดี่ยว พอซินปล่อยอัลบั้มชุดแรกออกมาแล้วไปขึ้นโชว์ ซินก็จะมีความแบบแพนิคประมาณนึง แล้วมันบวกกับการที่ซินเป็นคนขี้อายด้วย แล้วจะต้องไปอยู่ในสภาวะที่ต้องไปอยู่ท่ามกลางมวลชน เราต้องสู้จริง ๆ เพราะว่าเรารักที่จะทำเพลง รักที่จะร้องเพลง ก็เลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ หน่อย ถ้าเป็นช่วงนี้ ซินจะรู้สึกโอเคกับโชว์ของตัวเองมาก ๆ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ มันต้องมีการเขียนเป็นสคริปต์เลยว่าวันนี้ถ้าจบเพลงนี้เราจะพูดอะไรบ้าง เราต้องเตรียมตัวและมีการท่องที่วงเราดัง เราก็ตกใจ และก็ดีใจไปด้วย จนท้ายที่สุดเมื่อ Singular ต้องแยกวงกัน ซินคิดว่ามันเป็นเรื่องของการที่เรามองกันไปคนละทิศทาง เหมือนเราโฟกัสกันคนละอย่าง แล้วก็คิดว่าเป็นการพูดคุยกันระหว่างวงเอง แล้วก็ค่ายด้วยว่า ถ้าเรายังฝืนทำต่อไป คิดว่าน่าจะไม่ไหว เลยตัดสินใจแยกย้ายไปทำในสิ่งที่แต่ละคนชอบดีกว่า”ซิน Singular กับการถูกตั้งคำถามจากสังคม“คอมเมนต์คลาสสิคที่จะเห็นตลอด 15 ปี คือ พี่เค้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะครับ คำถามนี้จะมีมาตลอด ซึ่งซินไม่เคยอธิบายนะ อาจจะด้วยความที่ว่ายุคนั้นมันเป็นยุคงง ๆ ของหลาย ๆ อย่าง ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งวงการเพลง วงการข่าว มันยังเป็นยุคที่เปลี่ยนผ่าน คนยังไม่รู้ว่าจะต้องรีแอ็คยังไง รวมถึงตัวศิลปินด้วยก็ยังไม่รู้ว่ามีคำถามแบบนี้แล้วฉันพูดได้มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าจริง ๆ ซินก็เป็นตัวของซินเองอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นมันไม่ได้มีช่องทางอะไรที่จะให้เราได้อธิบาย แล้วซินจะเป็นสายที่ไม่ค่อยเข้าไปอ่านคอมเมนต์มากนัก เพราะว่าถ้าอ่านเยอะก็จะรู้สึกไม่โอเค จะไวกับเรื่องเหล่านี้ เราเลยพยายามเอาโฟกัสไปไว้กับจุดที่เราสามารถทำให้มันดีขึ้นได้มากกว่าอาจจะเพราะตอนนั้นซินไว้ผมยาวด้วย ทำให้เวลาไปเข้าห้องน้ำ คุณป้าแม่บ้าน หรือพนักงานก็จะบอกว่าอันนี้ห้องน้ำชายนะคะ ซึ่งเค้าก็ไม่รู้จริง ๆ อันนี้มันก็ไม่เป็นไร อย่างตอนนั้นมีครั้งหนึ่งซินไปขึ้นคอนเสิร์ต ซินไม่แน่ใจว่ามันอาจจะเป็นในแพลตฟอร์มที่สามารถขึ้นคอมเมนต์ได้ แล้วมันก็จะมีคอมเมนต์เด้งขึ้นมา แล้วมีทีมงานเล่าให้ฟังว่า มันมีคอมเมนต์เด้งขึ้นมาตอนที่เราโชว์อยู่ว่า ไม่ต้องแอ๊ปก็ได้ค่ะ ซินก็งงว่านี่เราแอ๊ปอยู่เหรอตอนนี้ ก็แปลก ๆ ดี แต่ซินก็ไม่ได้ไม่ค่อยได้ไปคิดอะไรกับมันมาก ซึ่งคำถามแบบนี้ สมมติว่าเป็นคนรู้จักกัน ซินว่าเรื่องพวกนี้ เราแค่มองหน้ากัน คุยกัน เราก็น่าจะรู้และเข้าใจอยู่แล้วซินคิดว่ายุคนี้เรื่องระบบความคิด หรือว่าการยอมรับหลาย ๆ อย่าง มันก็พัฒนาตามวันเวลาไปด้วย เพราะฉะนั้นซินว่ายุคนี้เป็นยุคที่เหมือนเราจะเห็นว่าศิลปินหลาย ๆ คน ก็แบบสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่มาก ซึ่งซินเห็นแล้วก็ดีใจแทนคนเหล่านั้น ที่เค้าสามารถเป็นตัวเองได้เลยแบบเต็มที่ แต่ยุคก่อนเหมือนแฟนคลับเค้าจะมีตัวตนเราในความคิดที่เค้าสร้างขึ้นมาว่า ช่วงนึงที่เพลงเบาเบา ดังมาก หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าซินเป็นคนแบบเบาเบา อบอุ่น แต่เปล่าเลย จริง ๆ แล้ว ซินเป็นคนที่มีหลายเลเยอร์ บางทีก็เป็นคนเครียด เป็นคนดุ และเป็นคนสนุกได้”โควิดพลิกชีวิตให้ ซิน Singular ได้มีผลงานที่ญี่ปุ่น“ช่วงโควิดพอดีเลย ที่เหมือนมันมีโอกาสเข้ามาหาซินตอนช่วงปี 2019 ที่ซินได้ทำอัลบั้มญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ไปญี่ปุ่นนะ จะเป็นการทำงานออนไลน์ เพลงที่ปล่อยมาจะเป็นแอนนิเมชั่นของซินกับศิลปินที่ซินฟีทเจอริ่งด้วย เป็นศิลปินญี่ปุ่น ซึ่งก็ให้เค้าถ่ายเป็นวีดีโอมา แล้วก็ให้ศิลปินไทยของเราเป็นคนวาด ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป เพราะว่าตอนนั้นมันยังบินไม่ได้ เพลงที่ทำที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มีให้ฟังในทุกสตรีมมิ่ง ชื่ออัลบั้ม Self Portrait ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย”มุมมองการเปลี่ยนผ่านของวงการเพลง“ตอนที่ Singular มีเพลงดัง ตอนนั้นมันจะเป็นยุคที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่ยุคโซเชียล ตอนนั้นก็เพิ่งจะเริ่มมีอินสตราแกรม ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ เพิ่งจะมามีอินตราแกรมตอนที่เป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว ซินคิดว่ายุคนี้มันยากขึ้นที่จะมีเพลงร้อยล้านวิว เหมือนสมัยก่อนจะมีเพลงร้อยล้านวิวมาเรื่อย ๆ แต่ซินรู้สึกว่าพอเป็นยุคนี้เราะจะเห็นเพลงร้อยล้านวิวน้อยลง เพราะว่าคนฟังจะแยกไปฟังในแนวเพลงที่เค้าชอบ ในแพลตฟอร์มที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีเพลงฮิตแตกต่างกัน แล้วแต่ช่วงวัยด้วย ถามว่ามันมีข้อดีไหม ซินก็คิดว่ามันก็มีข้อดีนะ คือมันมีความหลากหลายมากขึ้น คนก็ไปรวมกลุ่มของตัวเองในกรุ๊ปเดียวกัน กรุ๊ปฮิพฮ็อพ กรุ๊ปป๊อบ กรุ๊ปเพลงสไตล์ต่าง ๆ ซินว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันในเรื่องการหาแรงบันดาลใจ ถ้าเป็นเพลงประกอบหนัง หรือประกอบซีรี่ส์ ซินรู้สึกว่ามันเป็นความสนุกอีกแบบหนึ่ง เพราะเหมือนเราได้สวมคาแรกเตอร์ลงไป หรือการจะเขียน มันต้องอ่านเนื้อเรื่องก่อน คือเราต้องเข้าไปอินในโลกนั้น ก็รู้สึกสนุกดี แต่ว่าถ้าเป็นเพลงที่มาจากตัวเอง อาจจะมีบ้างที่เพลงนี้เราเคยพูดไปแล้ว มันก็จะต้องหาอะไรใหม่ ๆ หรืออาจจะต้องมีไปหาแรงบันดาลใจที่ไม่ได้มาจากตัวเราล้วน ๆ อย่างเช่นอาจจะต้องไปดูหนัง ฟังเพลง หรือไปลองพูดคุยกับคนอื่น ๆ ดูบ้าง หรืออย่างการได้ไปฟีทเจอริ่งกับศิลปินอื่น ๆ ก็เหมือนได้รู้จักกับคนใหม่ ๆ ได้รู้จักกับศิลปินบางคนที่ถ้าเราไม่ได้ไปฟีทเจอริ่งกัน เราอาจจะแบบไม่ได้เจอกัน เพราะมันคนละแนวเพลงกันซินน่าจะทำเพลงไปจนกว่าเราจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ซึ่งยังไม่ได้คิดนะว่าจะทำไปถึงอายุเท่าไหร่ คิดว่าถ้าสมมติไม่ได้ทำงานเบื้องหน้าแล้ว ก็จะไปทำเบื้องหลัง จริง ๆ ซินชอบหมดเลยเกี่ยวกับวงการเพลง ถ้าถามว่าให้ไปลองบริหารค่ายเพลงดูอยากทำไหม ถ้ามีโอกาสในวันหนึ่งก็อยากลองดูเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ที่ได้ทำไปแล้วก็คือเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินอื่น ๆซินคิดว่าเพลงน่าจะเหมือนกับแฟชั่น หลาย ๆ เพลง ซินคิดว่ามันน่าจะวนกลับมา แล้วก็มีบางเพลงที่หายไป อย่างถ้าเป็นยุคนี้คนจะชอบทำเพลงสั้น ๆ ยุคถัดไปไม่แน่คนอาจจะอยากฟังเพลงยาวขึ้น อาจจะกลับมาชอบฟังเพลง 5 นาที เหมือนสมัยก่อนก็ได้”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ ซิน Singular“ความรักตอนนี้ไม่ได้โฟกัสขนาดนั้น ซินไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมานานแล้ว มีคนที่เหมือนศึกษาดูกันเรื่อย ๆ ในตลอดระยะเวลาที่เป็นโสดมาก็ไม่ได้ปิดไม่คุยกับใครเลย แต่แค่เหมือนคุยกัน แล้วมันก็ยังไม่ได้จริงจังขนาดที่จะเป็นเรียกใครว่าเป็นแฟนซินคิดว่าซินเป็นแฟนที่เข้าใจยาก ปกติก็เป็นคนคิดเยอะประมาณนึงอยู่แล้ว สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วนะ พอยิ่งเป็นแฟนกับใครก็จะยิ่งมีความซับซ้อนไปใหญ่ มันจะยากนิดนึงนะสำหรับซิน แล้วซินไม่รู้สึกว่าชอบตัวเองตอนที่มีแฟนเท่าไหร่ เพราะมันจะดูทุกสิ่งทุกอย่างมันยุ่งเหยิง การใช้ชีวิตของเรามันดูทำไมมันยากจัง หรือเป็นเพราะว่ายังไม่เจอคนที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายด้วยตอนนี้ซินคิดว่าตัวเองมีความสุขดี แล้วชีวิตก็เต็มได้ด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาหาคน ๆ นั้นสักเท่าไหร่”ซิน Singular กับการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น“สมัยก่อนตอนซินเป็นศิลปินใหม่ ๆ เราจะเป็นคนคิดเยอะ เวลาขึ้นเวทีจะคิดเยอะมาก มันก็เลยอาจจะดูไม่ได้สบายตัวขนาดนั้น แต่ว่าถ้าเป็นช่วงหลัง ๆ ด้วยประสบการณ์ ด้วยอายุที่เยอะขึ้นเรื่องบางเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็ตัดออก หรือแค่วางลง แล้วทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นณ วันนี้ ความสุขของซิน คือการที่ยังได้ทำงานเพลงอยู่ แล้วก็รวมถึงได้ทำหลาย ๆ อย่าง ที่เรามีเป้าหมายว่าอยากจะทำ อย่างทำเพลงที่ญี่ปุ่นนั่นก็เป็นเป้าหมายหนึ่ง หรือว่าในอนาคต มันอาจจะมีงานบางส่วนที่ซินรู้สึกว่าเราอยากเข้าไปลองทำ ความสุขคงจะเป็นการที่เรายังมีแพชชั่นกับการทำงานอยู่ ณ วันนี้ไม่รู้จะขอบคุณยังไง ที่แฟนคลับยังฟังเพลงเรามายาวนานหวังว่าเราจะฟังกันต่อไปเรื่อย ๆ ซินก็ยังคงทำหน้าที่ของซิน ทำเพลงที่ซินคิดว่าดีที่สุดออกไปให้ทุกคนฟังอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าซินรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรจะพูด หรือว่าไม่มีใครฟังแล้ว ตอนนี้มีเพลงที่เพิ่งปล่อยก็มี เป็นเพลงประกอบซีรี่ส์ เรื่อง Us รักของเรา ชื่อเพลงว่า ไม่อยากจูบเธอในฝัน ก็ฝากทุกคนฟังกันเหมือนเดิม”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ซิน Singular“ซินคิดว่าบางครั้งเราต้องการการยอมรับจากครอบครัว ซึ่งมันจำเป็นกับการที่เราจะมีความสุข แต่ซินมองว่า บางทีถ้าเรายอมรับตัวเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมายอมรับเรา บางทีมันก็มีความสุขได้เลย เพราะถ้าเกิดว่าเค้าไม่ยอมรับเลยในชีวิตนี้ แล้วเราจะต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตรึเปล่า ซินว่ามันก็ไม่จำเป็นนะ บางทีเราก็มีความสุขได้เลย ณ ตอนนี้ ถ้าเราไปโฟกัสที่สิ่งที่เราชอบหรือไปโฟกัสกับสิ่งที่เราอยากทำคนหลาย ๆ คนจะชอบอะไรที่มันชัดเจน ฉันสามารถแปะป้ายได้ว่านี่คือแอปเปิ้ล นี่กล้วย นี่ส้มจริง ๆ แล้ว ซินว่าประชากรโลกเรามี 7,000 ล้านคนเลยนะ มันไม่มีทางที่คนมันจะเหมือนกัน หรือว่าชอบอะไรเหมือนกันขนาดนั้น ถึงแม้ว่าคุณไปแปะป้ายว่าลูกนี้เป็นส้ม คุณยังจะต้องไปดูอีกนะว่าส้มลูกนี้มันพันธุ์อะไร แล้วมันเป็นพันธุ์ที่มีเม็ดมาก เม็ดน้อย เป็นสีอะไร เพราะฉะนั้นซินว่ามันแบบเออก็เหมือนกัน แค่เรายอมรับในความหลากหลายและทำความเข้าใจมัน” - ซิน Singularพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
10 ก.พ. 2025
“พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ เราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมาก ๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย และรู้ว่าความสุขมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว และมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่สวยระดับโลก “โม จิรัชยา” อินฟลูเอนเซอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุค ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง สู่ความทุ่มเทตั้งใจจนได้เป็น Miss Tiffany's Universe 2016 พ่วงกับตำแหน่ง Miss International Queen 2016 เพราะพลังที่สำคัญที่สุด คือพลังที่อยู่ในตัวเอง และ ณ วันนี้ เธอพบว่าความสุขในชีวิตมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส ของ ด.ช.อัครพล“ตอนเด็ก ๆ ชื่อ โจ้ อัครพล แล้วมาเปลี่ยนเป็น โม จิรัชยา ตอนประกวดนางงามแล้ว คือจริง ๆ เราไม่อยากเปลี่ยนชื่อเล่นเลย แต่ว่าพอโตขึ้นเราอยากให้ชื่อมันลื่นหูขึ้น เพราะตอนเข้าโรงพยาบาลแล้วโดนเรียกชื่อคนไข้ คุณอัครพล เราจะต้องเจอสายตาที่งง ๆ เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนชื่อให้มันลื่นหูก็น่าจะดี เพื่อความสบายใจของตัวเอง ก็เลือกชื่อ โม แล้วกันง่าย ๆ แล้วชื่อจริงก็ตั้งเองด้วย พยายามหา สละ พยัญชนะ ที่เราใช้ได้ แล้วเราก็มาเลือกชื่อที่ชอบโม เกิดในครอบครัวคนจีน มีพี่ชายหนึ่งคน แล้วเราก็เป็นน้องชาย ซึ่งกว่าที่โมจะได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้หญิง ก็คือตอนเรียนปี 1 แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเรากดดันนะ ทั้งเรื่องที่เราแอบทานยาคุม หรือมีเพื่อนที่เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ที่บ้านเราจะกีดกันหมด ในตอนที่รู้ว่าโมทานยาคุม ที่บ้านก็คือค้นโต๊ะ ค้นทุกอย่าง แล้วให้ทุกคนในครอบครัวมานั่งคุยเลยว่าจะเอายังไง ยานี้มันอันตรายไหม ซึ่งตอนนั้นเค้าก็คงเป็นห่วงเรามาก ๆ แล้วความเป็นฮอร์โมน เค้าก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ แล้วพอโตขึ้นมา เค้าก็เห็นเราไปอยู่กับเพื่อนกะเทยเยอะ ซึ่งก็เป็นที่มาของการที่โมตีเทนนิสในปัจจุบันนี้ เพราะเค้าจับหนูให้ไปเรียนเทนนิส เพื่อที่จะไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนหลังเลิกเรียน ทำให้เราต้องอยู่บ้าน แต่เป็นชีวิตที่คุยกับที่บ้านน้อยมาก พออยู่บ้านเราจะเป็นอีกคนที่ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยไม่กล้าแสดงความเป็นตัวเองแบบ 100% เพราะเรากลัวว่าเค้าจะมองเราไม่ดี แล้วเราจะโดนดุ เราก็เลยต้องพยายามทำตัวเป็นคนเรียบร้อย จะได้แต่งเป็นผู้หญิง ใส่กางเกงขาสั้นแค่ตอนจะออกจากบ้าน แต่ตอนจะกลับบ้านก็ต้องกลับสู่ปกติ แต่การใช้ชีวิตในแต่ละวันมันต้องลุ้น และระแวงว่าเพื่อนของพ่อจะเจอเราไหม พ่อจะเจอเราข้างนอกบ้านไหม มันกลัวไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าตอนเรียนมัธยมเป็นช่วงที่ตัวเองรู้สึกอึดอัดที่สุด จนผ่านมาถึงมหาวิทยาลัย”เขียนจดหมายเปิดใจ จนได้เจอความสุขที่แท้จริง“ความภูมิใจแรก ๆ มันเกิดขึ้นตอนสอบติดมาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อแม่ก็รู้สึกประหลาดใจด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน โม สอบติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรียนแฟชั่นดีไซน์ ศิลปกรรม ซึ่งตอนปี 1 ต้องไปเรียนที่องครักษ์ จ.นครปฐม นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง เพราะต้องอยู่หอ พ่อแม่ไม่เจอเรา ก็เลยได้ใช้ชีวิตแบบเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อชั้นใน ใส่ชุดนิสิตหญิง จนถึงวันที่เราต้องกลับมาเรียนปี 2 ที่ ประสานมิตร เราทำใจไม่ได้ถ้าต้องกลับมาแต่งชาย เพราะเรารู้สึกว่าสังคมเพื่อน คนรอบตัวมองเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ถ้าเราจะกลับไปเป็นผู้ชาย เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มาก ๆ ก็เลยกลับไปคุยกับที่บ้าน เป็นการคุยโดยการเขียนจดหมาย เพราะว่าเราไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง วันนั้นเป็นคาบเรียนสุดท้าย เรียนเสร็จเราก็นั่งเขียนจดหมายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นแบบไหน อยากให้พ่อแม่เข้าใจ ตอนนั้นเขียนไปแล้วร้องไห้น้ำตาท่วม แต่สุดท้ายมันง่ายมาก เพราะพ่อบอกว่าก็รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยงงว่าทำไมทุกคนเข้าใจง่ายจัง หลังจากได้อ่านจดหมาย วันรุ่งขึ้นแม่พาไปซื้อเสื้อชั้นในเลย หลังจากนั้นมันกลายเป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนเราไม่มีอะไรที่ต้องโกหก ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง พอมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราก็อยากเล่าสู่ครอบครัว เดี๋ยวจะไปกับเพื่อนนะ เราสามารถพูดได้เลย มันไม่เหมือนกับตอน ม.ปลาย และยิ่งโตขึ้นมามันยิ่งแฮปปี้ขึ้น เพราะที่บ้านกลายเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างสนิทกันมาก คุยเล่นได้หมดเลย พ่อแม่จะกลายเป็นเหมือนเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่องแม่กระทั่งตอนจะไปหาผู้ชาย ก็เปิด Instagram ผู้ชายให้แม่ดูได้เลย แม่ก็จะบอกเลยคนนี้หล่อดีนะ คนนี้ไม่โอเคนะ เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ครอบครัวเราน่ารัก พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง เช่น ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 อยากทำหน้าอกมาก เราก็ตื้อจนพ่อก็พาไปโรงพยาบาล ไปจ่ายเงินให้ ทำทุกอย่างให้ แม้แต่ตอนจะทรานส์พ่อก็ไปรับไปส่ง ดูและเราอย่างดี มันคือความสุขที่เกิดขึ้นและเราสัมผัสได้”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงาม“จุดเริ่มต้นบนเส้นทางนางงามของโม คือ ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนที่เล่นโซเชียล ไม่ได้เป็นคนที่ดูนางงาม แต่แค่มองอนาคตว่า เราชอบวงการบันเทิง แล้วเราจะทำยังไงดีให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงได้ เราก็เลยรู้สึกว่าการประกวดนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำได้ และทำให้เรารู้สึกว่ามันได้นำทักษะที่เราเรียนมา เอามาใช้ในการประกวดด้วย ก็เลยไปประกวด Miss Tiffany’s Universe ตอนปีแรกที่ประกวดคือ 2014 ตอนนั้นไม่พร้อม ตกรอบ 30 คนสุดท้าย เดินชุดราตรีสวย ๆ แล้วก็กลับบ้าน แต่พอปี 2016 มีรุ่นพี่ที่แนะนำเราให้กับค่ายนางงามที่ชื่อ พี่ชาติ ซึ่งค่อนข้างที่จะคร่ำหวอดในวงการนางงาม ซึ่งตอนเราประกวด เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่ง เพราะว่าเค้าไม่มีเวลาแต่เราก็บอกว่า แม่จะส่งหนูไหม ถ้าแม่ส่ง แม่แค่แต่งหน้าให้หนู เรื่องชุด เรื่องสไตล์ลิส เดี๋ยวหนูจัดการเอง พี่ชาติ ก็เลยตกลงส่งเราประกวด วันที่เจอกันครั้งแรกคือวันออดิชั่น และเป็นวันที่ไวรัลที่สุด เพราะมันจะมีรูปที่คนแชร์กันเยอะมากในโซเชียล เป็นรูปที่โมใส่ชุดสีขาว แล้วก็จะมี แปรงแต่งหน้าจากมือแม่ชาติ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้เล่นโซเชียล แล้วเราก็ไม่ได้รู้เรื่องว่ารูปมันเป็นไวรัล จนกลับมาจากออดิชั่นถึงเริ่มรู้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคนถึงรู้จักเรา เหตุผลมาจาก พี่ช่า ไดอารี่ตุ๊ดซี่ แชร์รูปของเรา แล้วหลังจากนั้นคน 20,000 คน ก็เริ่มมาติดตามเรา แล้วเราก็เริ่มมาสนใจโซเชียลมากขึ้น และมาคิดได้ว่าการจะเป็นที่รู้จักของคนในโซเชียลมันเร็วมากเลยตอนกลับไปประกวดปี 2016 เราเตรียมตัวมาอย่างดี เรียนบุคลิกภาพ แล้วก็เข้าใจประโยคที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เพราะว่าการเป็นนางงาม มันก็จะต้องมีความเป็นนางงามอยู่โมก็พยายามคิดว่า เราจะนำเสนออะไรที่มันเป็นรูปแบบใหม่ ๆ แต่สุดท้ายนางงามมันก็จะต้องมีมาตรฐานความเป็นนางงามอยู่ ดังนั้นการเดิน บุคลิกภาพ เราต้องเรียน แล้วปี 2016 ตอนนั้นคนที่ประกวดได้ต้องอายุไม่เกิน 25 ปี แล้วตอนนั้น โม อายุ 25 พอดี มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเราใส่เต็ม แล้วในปีนั้นกระแสการเชียร์นางงามกำลังมา น้ำตาล ชลิตา, โม จิรัชยา แล้วก็ ฝ้าย สุภาพร จะมีแต่ตัวเต็งของเวทีเกิดขึ้นต้องขอบคุณสังคม คือเราเรียนแฟชั่นมา เราก็จะรู้จักแบรนด์ต่าง ๆ หรือรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วย เคยฝึกงานพร้อมกัน แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เราชอบจากที่เราเรียนก็คือการแต่งตัวแฟชั่น หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ เรารู้ว่าตัวเองใส่อะไรแล้วสวย ใส่สีอะไรแล้วเราดูดี แล้วในยุคที่โมประกวด มันเป็นยุคที่การออกงานต่าง ๆ จะต้องมีการถ่ายรูป ชุด หน้าผม แล้วก็แท็กชื่อคน ชื่อห้องเสื้อ แล้วช่วงนั้นเรารู้สึกว่าสนุกกับการประกวด เราเตรียมเสื้อผ้า วางลุคไว้แต่ละวัน ไม่ซ้ำแบรนด์กันเลย ทำการบ้านว่าเราจะต้องนำเสนอสิ่งที่เราชอบ ทรงผม การแต่งหน้า การแต่งตัว การเดิน กริยาต่าง ๆ มันต้องเป็นตัวเราที่สุด แล้วตอนนั้นการประกวดมันก็ค่อนข้างเข้มข้น เพราะว่ามันเป็นยุคที่คนเริ่มมาดูนางงาม นางงามต้องมีการเตรียมตัวแบบสุด ๆ นอกจากบุคลิกภาพ เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ก็ยังมีเรื่องของน้ำหนัก เพราะแต่ก่อนเราผอม อยู่บนเวทีมันก็จะยิ่งตัวเล็ก แต่นางงามมันต้องมีน้ำมีนวล มีความเป็นควีน แม่ชาติก็พาไปกินทุเรียนทุกวันตอน 4 ทุ่ม กินขนมปังเนยนม ให้มันมีเนื้อมีหนัง แล้วการประกวดนางงามมันเหนื่อยมาก 7 โมงเช้าเราต้องเข้ากอง ดังนั้น ตี 4 ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผม แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะได้ตื่นตี 4 ทำกิจกรรมเสร็จกว่าจะกลับบ้านรถติด ต้องเตรียมของ ถึงบ้านก็ตี 1 แล้ว ตอนนั้นเรานอนน้อยมาก แล้วโมเป็นภูมิแพ้ เวลาแต่งหน้าน้ำตาก็จะไหล ขนตาก็จะหลุด ระหว่างแต่งหน้าเราก็จาม บอกเลยว่าการเป็นนางงามมันที่สุดในชีวิตเลย นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เราเหนื่อยหน้าที่เราจะต้องคอยยิ้มหวาน เหนื่อยสมองเวลามีสัมภาษณ์ ต้องตอบให้ดูเป็นคนฉลาด มีความรู้ ต้องมีโครงการเพื่อสังคม เข้าใจเลยว่าถ้าเห็นนางงามคนไหนหน้าบูด ไม่ต้องไปโกรธเค้านะคะ เพราะเค้าเหนื่อย ให้เค้าพักบ้างอย่างปีนี้ Miss Tiffany’s Universe 2025 มาในธีม Moving Forward พุ่งทะยานสู่วันใหม่ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่นางงาม โมมองว่ายุคนี้สิ่งที่ต้องการมาก ๆ มันคือโลกโซเชียล ทุกอย่างมันต้องเร็ว ต้องสมัยใหม่ นางงามจะต้องทันโลก แล้วหนูเคยฟัง คุณจ๋า พูดในรายการหนึ่งว่า เค้าชอบคนที่กระฉับกระเฉง มีไหวพริบ ฉับไว ดังนั้นถามอะไรตอบให้ตรง ไม่ต้องไปอ้อมโลก เราอยากจะให้น้อง ๆ นางงาม คิดว่าถ้าสมมติตัวเองเป็นเจ้าของเวที เราจะเลือกใครมง แล้วเราก็จงเป็นคน ๆ นั้น ต้องดูว่าเวทีต้องการอะไร เราจะต่อยอดได้ยังไง ถ้าตอบโจทย์ก็มงได้ค่ะ”จากตัวแทนประเทศไทย สู่ชัยชนะบนเวที Miss International Queen 2016“การประกวดในประเทศ และต่างประเทศ ความยากเย็นมันแตกต่างตรงที่ว่า ในประเทศเราทำเพื่อตัวเอง ส่วนต่างประเทศ มันต้องแบกภาระ มันมีความคาดหวัง มีคำแนะนำเยอะ จนเราสับสนว่าต้องทำให้ใครก่อน แล้วมันกดดัน แต่ตอนนั้นโมรู้สึกว่า การได้เข้ามาเป็นตัวแทนที่สวมสายสะพายไทยแลนด์ มันมีโอกาสเดียว แล้วน้อยคนมากที่จะเข้ามาได้ ก็เลยอยากทำให้มันเต็มที่ ต้องทำทุกอย่าง หาสปอนเซอร์ชุด ช่างหน้า ช่างผม ทุกอย่างต้องอินเตอร์ขึ้น ต้องซ้อมการแสดงความสามารถ ต้องหาเงินเพื่อจองตั๋วเครื่องบิน อย่างรอบไฟนอลก็ได้สปอนเซอร์ชุดจาก พี่ฉอด ต้องขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่แบบซัพพอร์ตเรา แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน จนวินาทีสุดท้ายก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมงลงเหมือนกันหลังจากนั้น พ่อแม่ภูมิใจกับเรามาก ๆ เหมือนลูกเป็นดาราแล้ว พอเรากลับพ่อแม่ก็จะดีใจ อวดไปสามบ้านแปดบ้านว่า โมกลับมาแล้ว มาถ่ายรูปไหม เหมือนเด็กอวดของ เราก็ดีใจแล้วนั่นมันกลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ได้กำลังใจ”เมื่อความภูมิใจ คือการได้ส่งต่อโอกาส“ณ ตอนนี้ สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการที่เราทำอะไรให้สังคม แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง พอเราโตขึ้นมา แล้วผ่านการประกวด สิ่งต่าง ๆ ที่เราพูดออกไป มันออกไปสู่สังคมได้มากขึ้น คือตอนนี้หนูได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “Feline Agency” เป็นเอเจนซี่เกี่ยวกับโมเดลล้วน ๆ ที่เปิดรับทุกเพศตั้งแต่เกย์ ทรานส์ หญิง ชาย หรือ Nonbinary ทุกอย่างครบหมดเลย มันเริ่มมาจากที่เราทำงานมา แล้วเรารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานของทรานส์ในวงการนางแบบมันมีน้อยมาก แล้วเราก็ถูกปิดโอกาส จนได้มาเจอ พี่มี่ มิลิน กับ พี่เล็ก สองคนก็มาคุยกันว่า มีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง หนูก็เล่าชีวิตหนูไป แล้วก็เลยเกิดมาเป็น “Feline Agency” มีเด็กในสังกัด 20-30 คน เป็นการให้โอกาส แล้วก็ต่อยอดเส้นทางความฝันของน้อง ๆ ทำมาประมาณ 4 ปี แล้วเรารู้สึกว่าทำแล้วเกิดเป็นพลังงานดี ๆ กับคนอื่น เป็นความภูมิใจของเรา ก็เลยรู้สึกว่า “Feline Agency” เป็นสิ่งที่ภูมิใจอย่างประสบการณ์ของโม แต่ก่อนเราก็เคยโดนปิดกั้น ตอนเด็กเราอยากเป็นพริตตี้มาก 10 ปีก่อน การเป็นพริตตี้นี่คือเป็นอาชีพที่ทำเงินมาก ๆ แล้วเรารู้สึกว่าคนสวยเท่านั้นที่จะได้เป็น แล้วเราก็ส่งไลน์ไปสมัคร แล้วเค้าก็บอกว่ารับแต่ผู้หญิงแท้อย่างเดียว ซึ่งเราก็รู้สึกว่าพริตตี้บางงานมันไม่ต้องพูด มันไม่จำเป็นจะต้องใช้เสียง แล้วคุณสมบัติอื่น ๆ เรามีนะ แล้วเราสามารถทำได้ แต่ว่าตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าสังคมมันค่อนข้างที่จะปิดโอกาส เราก็เลยถูกปฏิเสธ จนเรารู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมา หากมีโอกาสก็อยากให้เรื่องการทำงาน หรือความฝันของแบบทรานส์ หรือคนทุก เพศ หากอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร ต้องได้ทำ”เพราะฉันเป็นฉัน“สมัยก่อนมันไม่มีคำว่าทรานส์ ไม่มีคำว่า LGBTQ+ มันจะมี ชาย หญิง ตุ๊ด กะเทย ส่วน เกย์อาจจะมีช่วงหลัง ๆ มันจะมีแค่นี้ แล้วพอเราโตมา เราก็ถูกสังคมมองว่าทุกอย่างจะต้องเหมือนผู้หญิง ต้องผมยาว ต้องมีหน้าอก ต้องมีสรีระที่คล้ายผู้หญิงมากที่สุด ต้องมีกิริยาที่เหมือนผู้หญิง ต้องมีการแต่งตัวให้เหมือนผู้หญิง ต้องใช้เสียงโทนผู้หญิง มีช่วงหนึ่งที่เราก็พยายามทำตามสังคม แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ฉัน เพราะว่าเราเป็นคนฉับไว กระฉับกระเฉง ด้วยนิสัยของเราเป็นคนตลก สนุก เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองถูกกดด้วยสังคมอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้หญิงก็ได้ เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นอะไร คนอื่นรู้หรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา มันเป็นเรื่องมุมมองของเขาที่มองกลับมาหาเรามากกว่า ดังนั้นเราทำให้ตัวเองสบายใจ ส่วนคนอื่นจะมองยังไง นั่นคือเรื่องของความรู้ อุดมคติ การใช้ชีวิต และการมองโลกของเค้า ที่มองเข้ามาหาเรา ใครที่จะมาเรียกเราว่า กะเทย ตุ๊ด ผู้หญิง หรือทรานส์ แล้วแต่เลย เราไม่รู้สึกอะไร และฉันเป็นฉันแค่นั้นเอง”ความรัก หัวใจ และความสุขที่ใช่ จากเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว“ความรัก ตอนนี้โมโสดมา 7 ปี ก้าวเข้าปีที่ 8 เรามองว่าอาจจะเจอคนที่ไม่พร้อมสำหรับเรา เหมือนมันก็มีคนเข้ามานะ แต่ว่าโมรู้สึกว่า มันมีคนเข้ามาน้อย เพราะคนส่วนมากจะคิดว่าเป็นคนสวยจะต้องมีคนจีบเยอะเลย แต่จริง ๆ เราไม่มีคนคุย เพราะโมเป็นคนที่ไม่คุยไปเรื่อย แล้วถ้าสมมติเราไม่ชอบ เราก็จะไม่พยายามไปชอบเค้า เพราะว่าเรามองมุมกลับ ถ้าสมมติเราไปชอบคน ๆ หนึ่ง แล้วเค้าพยายามคุยให้เราสบายใจ มันคือการทำร้ายเค้าทางอ้อมแต่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันก็จะเข้ามาป๊บเดียวก็หายไป ไม่ได้เรียกว่าแฟน หรือมีสถานะที่จริงจัง แต่การเป็นโสด เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แต่กลับมีความสุขมาก ๆ พอเราโตขึ้นเราจะรู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ และเราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมากเลย โมรู้สึกว่าตอนนี้เราเป็น Best Version มาก ๆ เราตื่นมาอยากไปยิมก็ไป เล่นยิมเสร็จอยากกินอะไรอร่อย ๆ โมก็ขับไปกินคนเดียว ง่ายมากเลย ทุกอย่างคือความสุขรอบตัว เราหยิบจับอะไรก็เป็นความสุข คนอื่นพยายามไปหาว่าอะไรคือความสุข แต่สำหรับโม แค่กินของอร่อยก็มีความสุขแล้ว ถ้ากินไม่อร่อยก็ทิ้งไป ไปซื้อใหม่แค่นั้นก็มีความสุขแล้วตอนนี้กำแพงหัวใจของเราไม่สูงนะ แต่กำแพงอาจจะมีหลายชั้น คือเราค่อนข้างที่จะเลือก บอกตามตรงว่าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แค่หน้าหล่อ แต่รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วย มันต้องมีความกลมกล่อม สิ่งสำคัญมากคือ เรามองว่าการมีแฟนต้องคุยรู้เรื่อง ถ้าถามปูตอบปลาก็ไม่เอา คุยให้มันตื่นเต้น รู้สึกสนุกกับชีวิต อยากทำอะไรไปทำด้วยกัน ไม่ต้องเครียด เพราะไม่อยากเอาความเครียดมาใส่หัว อนาคตเธอจะวางแผนยังไง ไม่ต้องยุ่งฉันดูแลตัวเองได้ ขอแค่มาเป็นเพื่อนที่เข้าใจกัน มันที่สุดแล้วสำหรับโม”ความฝันต่อไป ของ โม จิรัชยา“ตอนนี้โมรู้สึกมีแพชชั่นกับการใช้ชีวิตของตัวเองมาก ๆ แต่ก่อนการเป็นทรานส์ จะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกาย กลัวมีกล้ามมี Six Pack ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบเข้ายิมเลย แต่ตอนนี้เรากลับมาเข้ายิมได้ประมาณ 5 เดือน แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่เรารู้สึกว่า ทำไมมุมมองสมัยก่อนเรามองตัวเองว่าจะต้องเป็นคนไม่มีกล้ามเนื้อ เป็นคนตัวนิ่ม ๆ เหลว ๆ แต่พอตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยน เรารู้สึกว่ารักร่างกายตัวเองที่มันมีกล้ามเนื้อที่ดี แล้วอารมณ์ดีขึ้น ไม่เครียด และมันมีความสุข แล้วโมก็กลับมาตีเทนนิส ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบทรานส์ที่ตีเทนนิสเก่ง ๆ แล้วพอมานั่งคิดก็รู้สึกว่า ถ้าเราเก่งแล้วเราจะลงแข่ง เราจะอยู่ประเภทไหน ชายเดี่ยวหรือหญิงคู่ หรือว่าผสม รู้สึกว่ามันเป็นอะไรใหม่ ๆ ที่เราอยากลองทำดู”สีสันแรงบันดาลใจจาก โม จิรัชยา“โมมองว่าทุกคนมีฝันหมด แต่ถ้าสมมติมันไปไม่ถึงฝัน ก็อย่าคิดว่าความฝันของเรามันมีแค่ความฝันเดียว มันมีอีกหลากหลายเส้นทาง เราบอกกับทุกคนเสมอว่า ถ้ามีฝันก็พยามไปให้ให้ถึง อาจจะต้องทำจนเหนื่อย ก็ลองทำไปเลย แต่ถ้าสมมติท้อเมื่อไหร่ ไม่ต้องทำ เพราะถ้าท้อมันจะเป็นทุกข์ หรือลองหันไปทำอย่างอื่น ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบเลย เราอาจจะกลายเป็นชอบขึ้นมาก็ได้ และสุดท้ายสิ่งที่เราทำได้ดี มันอาจจะเป็นความฝันของเราอีกทางก็ได้ บนโลกนี้มีหลากหลายอาชีพ มีหลากหลายความฝัน คนก็เหมือนกัน ทักษะเรามีเยอะแยะ ลองทำหลาย ๆ อย่าง และอย่าลืมว่าความฝันอย่างอื่น ก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน” - โม จิรัชยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
07 ก.พ. 2025
“หนูยังอยากให้ผู้หญิงทุกคน มีหน้าที่การงานของตัวเอง สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเอง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกกัน มันจะไม่แค่เสียใจที่จากกัน แต่มันจะวุ่นวายกว่านั้นมาก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “มิ้วกี้ ไปรยา” ยูทูบเบอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุคที่ทั้งเก่งทั้งเซ็กซี่ ปัจจุบันเป็นเจ้าของช่องยูทูบ Milky Praiya เป็นไอดอลของสาว ๆ รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์สุดปัง กว่าจะมีวันนี้ เธอเคยผ่านความอุปสรรค และความยากลำบากมาก่อน จนพบจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเรื่องยากในชีวิต ที่ต้องผ่านไปให้ได้“เรื่องยากที่สุดของปีนี้ เพิ่งเกิดขึ้นเลยค่ะ คุณพ่อเสียชีวิตกะทันหันมากเลยแบบเราไม่ได้ตั้งตัว คือคุณพ่อรู้สึกแน่นหน้าอกตอน 11 โมง แล้วรู้สึกหายใจไม่ออก น้องสาวก็พาไปหาหมอ พอไปหาหมอได้สักพัก น้องสาวก็โทรมาบอกว่า คุณหมอบอกว่าคุณพ่ออาการ 50:50 เราก็ตกใจว่าเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนแรกเราก็คิดว่าคุณหมอน่าจะช่วยคุณพ่อได้ เพราะว่าคุณพ่อเคยผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจมาแล้วตอนนั้นคุณพ่อก็รอดชีวิตมาได้ ครั้งนี่เราเลยคิดว่าคุณหมอก็น่าจะช่วยได้ มิวกี้ กับ คุณแม่ เลยรีบไปโรงพยาบาล ไปถึงน้องสาวก็บอกว่าคุณพ่อหยุดหายใจไป 20 นาทีและ ทีนี้มันเป็นฉากเหมือนในละครเลยค่ะ มิวกี้ น้องสาว และคุณแม่ นั่งอยู่ในห้องที่ปิดกระจกแล้วให้เรานั่งรอ เค้าก็จะมีจอทีวีให้เราเห็นการผ่าตัด สักพักก็มีพยาบาลท่านนึงเดินมาแล้วก็เปิดจอทีวี จังหวะนั้นเราก็หันไปคุยกับคุณแม่แป๊บเดียว ไม่ถึง 2 นาที หันกลับมาอีกที ก็มีคุณหมอสองท่านมายืน แล้วก็มีพยาบาลอีกประมาณ 4-5 ท่านมายืนแล้วก็บอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราช่วยชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้ ด้วยความที่มิ้วกี้ตกใจมาก ๆ ก็เลยถามกลับไปด้วยความตกใจมาก ๆ ว่า หมายความว่าไงคะ คุณหมอพ่อเสียชีวิตเหรอคะ เค้าก็บอกว่า ใช่ครับ ด้วยความช็อกมิ้วกี้ถามย้ำแบบนี้อีก 2 ครั้ง ได้คำตอบเหมือนกันเลย ตอนนั้นมิ้วกี้ปล่อยโฮแล้วก็กอดกับคุณแม่ถามคุณหมอว่า ไม่มีทางช่วยเลยเหรอคะ เพราะเราก็คิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะช่วยได้อีกสัก ครั้ง คุณหมอก็บอกว่า เสียใจด้วยนะครับ คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว นี่คือเรื่องที่เรียกว่ายากมากเลยที่เกิดขึ้นกับมิ้วกี้”มิวกี้ ไปรยา ทำอาชีพอะไรบ้าง?“ก่อนหน้าที่จะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีงานภาพยนตร์ หรือว่ามีละคร หนูเป็นนักธุรกิจหรือแม่ค้านั่นเอง แล้วหนูได้ตำแหน่ง Miss Sexy Leo Girl 2012 แล้วก็ได้อยู่ในวงการมาตั้งแต่ช่วงนั้น แล้วก็ออกจากวงการมาเร็วเพื่อมาทำธุรกิจ เพราะหนูรู้สึกว่า งานในวงการมันไม่ยั่งยืน ตอนที่ได้รับรางวัลหนูก็รีบทำงานกอบโกยแล้วก็รีบออกไป ตอนนั้นโซเชียลยังไม่เป็นที่นิยม ก็เลยไม่ค่อยมีคนรู้จักเรามากนัก แต่ก็จะมีฐานแฟนที่เป็นฐานแฟนจริง ๆ ที่รู้จักว่าเราอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 2012 แล้วก็รู้จักเรามานานแล้ว แล้วหนูก็รีบเก็บเงินให้เร็วที่สุด แล้วก็ออกจากวงการไปเปิดร้านอาหาร ไปทำอาหารเสริมเป็นแม่ค้าทำออนไลน์ จนวันหนึ่งได้กลับเข้ามาทำ Youtube อีกครั้ง จนมีชื่อเสียงกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์อีกครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์เป็นนางเอกอีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นทั้งแม่ค้า เป็นทั้งอินฟลูเอนเซอร์ แล้วก็เป็นตัวแม่ ที่ต้องต่อสู้ค่ะ”ตัวแม่ ผู้อยู่ท่ามกลางความหลากหลาย“หนูอยู่กับพี่สาว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ที่เป็นกะเทย แล้วน้องสาวของหนู ก็เป็นทอม ซึ่งหนูอยู่กับคนใกล้ตัวที่เป็น LGBTQ+ แล้วหนูไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องแปลก หรือแตกต่างเลย หนูอยู่กับคนเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด เลยไม่ได้รู้สึกว่าการมีเพศที่สาม หรือการมีกะเทย การมีทอม มีเลสเบี้ยน มีหญิงรักหญิง ชายรักชาย มันเป็นเรื่องพิเศษหรือแตกต่างและหนูโชคดีมากเลยที่ทุกคนในครอบครัวเปิดกว้าง อย่างคุณแม่ก็เข้าใจน้องมาก ๆ คุณพ่อก็เข้าใจ ที่บ้านไม่มีการบูลลี่ หรือพูดถึงความหลากหลายในทางที่ไม่ดี รวมถึงตัวหนูเองก็ไม่เคยว่าน้อง เราเข้าใจซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องดีมากที่เราไม่ตัดสินด้วยเพศมากันตั้งแต่แรก แล้วหนูก็อยู่กับพี่สาวที่เป็นกะเทยนางโชว์ หนูก็จะซึมซับความเป็นกะเทยมาเยอะ ก็เหมือนสนิทกัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกแตกต่าง มันเป็นธรรมชาติมาก ๆ”คอนเทนต์ที่ไม่ได้สร้างแค่ความบันเทิง“ที่คนชอบดูคอนเทนต์หนู หนูคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่า หนูไม่ได้ให้แต่ความบันเทิง หนูอาจจะให้แรงบันดาลใจ เพราะว่าหนูจะชอบเขียนแคปชั่น หรือพูดถึงเรื่องราวของตัวเอง ลงไปในช่องทางของตัวเอง ว่าเราเคยผ่านอะไร หรือเราเคยเจออะไรมาบ้าง เพื่อให้เป็นแนวทาง หรือสมมติว่ามีคนที่กำลังดาวน์อยู่ จากการเจอเรื่องราวแบบเดียวกับเรา แล้วเค้าผ่านมาเจอข้อความของหนู แล้วมันอาจจะช่วยเหลือเค้าได้ในวันที่เค้าแย่ที่สุด ซึ่งหนูได้รับข้อความจากแฟนคลับเยอะมาก ๆ ที่บอกว่า พี่มิ้วกี้หนูเคยคิดสั้นเพราะหนูเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หนูไม่มีงานทำ หมดสิ้นหนทางแล้ว หนูไปต่อไม่ได้แล้ว แต่พอหนูมาเจอพี่แล้วพี่ทำให้หนูรู้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แล้วก็ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง เราได้ข้อความเหล่านี้เยอะมาก ซึ่งหนูรู้สึกดีมาก ๆ เลย แล้วอีกแรงผลักดันที่ทำให้หนูอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป เพราะหนูรู้ดีว่าถ้าเราได้พูดอะไรแล้วเสียงมันมักจะดังกว่า ซึ่งหนูอยากจะทำให้คนที่เลิกกับสามี หรือว่ามีปัญหาอะไรก็ตามที่หากหนูได้พูดให้เค้าฟังแล้วเค้าสามารถเอาสิ่งที่หนูพูด ไปเป็นแรงบันดาลใจ หนูจะมีความสุขที่วันนี้หนูได้ช่วยเค้าเหล่านั้น ซึ่งความบันเทิงก็มีค่ะ มีให้ตลอด แต่หนูอยากให้อะไรที่มันมากกว่านั้น”การช็อปปิ้ง ตามแบบฉบับของ มิวกี้ ไปรยา“หลายคนคิดว่าหนูเริ่มมาจากการทำคลิปช็อปปิ้งเลย ซึ่งบอกก่อนเลยว่าคลิปแรกมันคือคลิปที่หนูพาลูกพาสามีเก่าไป Dreamworld แล้วหนูก็นั่งคิดว่าคลิปต่อไปทำอะไรต่อดี หนูก็เอาของที่หนูใช้อยู่มารีวิว ซึ่งหนูไม่ได้เสียเงินอะไรเลย หนูเสียแค่ค่าตัดต่อ แล้วพอดีว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนูจะต้องไปต่างประเทศกับสามีพอดี ก็จะมีการไปเที่ยวกัน แล้วก็คุยกันเล่น ๆ แซวกันว่า วันนี้หนูจะช็อปปิ้ง พี่ให้หนูเท่าไหร่ไหนบอกมาซิ แล้วเค้าก็บอกว่า ล้านนึง หนูก็ตอบไปว่า ล้านนึงไม่พอหรอก ต้อง สองล้าน มันเหมือนสามีภรรยาแซวกันเล่น ๆ แล้วก็เริ่มไวรัลจากจุดตรงนั้น คนก็ชอบดูเวลาหนูช็อปปิ้งเพราะว่าหนูช็อปสนุก หนูช็อปแบบให้ความรู้ด้วย แล้วหนูก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า หนูจะทำอะไรที่ทำให้หนูอยู่ตรงนี้ได้ยาว ๆ เพราะหนูยิ่งทำไปได้เรื่อย ๆ หนูก็ยิ่งรักในช่องของหนู เริ่มรักในตัวตนของมิ้วกี้ ไปรยา หนูก็เลยคิดว่างั้นเราต้องเป็นตัวเอง หนูชอบช็อปปิ้ง ก็เลยทำคลิปช็อปปิ้ง กลายเป็นตัวแม่แห่งการช็อปปิ้งไปเลยแรก ๆ อาจจะโดนด่าว่าอวดรวยบ้าง อวดความแพงบ้าง แต่ตอนหลัง ๆ ไม่ค่อยโดนด่าแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ปลอม หนูซื้อจริง ทุกอันที่ทำคลิปหนูซื้อจริง ๆ ตอนแรกที่โดนด่า หนูเคยอยากด่ากลับ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย หนูรู้สึกว่าแม้คนด่าเราทุกวันแต่เราไม่ได้ยิน เราแค่ไม่อ่านมันก็จบ ก็ปล่อยไป บางทีมันรำคาญตามากก็ลบไปเลย แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องอ่าน เราก็เลือกอ่านแต่คอมเมนท์ดี ๆ เมื่อก่อนหนูเคยพยายามอธิบายกับทุกคอมเมนท์เลย แต่หนูรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะทำ ถ้าคนไม่ชอบเค้าก็ไม่ชอบอยู่ดี แล้วเค้าเป็นใครก็ไม่รู้ หลัง ๆ ก็เลยปล่อยวางค่ะ”กว่าจะรวยมาก ชีวิตก็ผ่านความลำบากมาก่อน“ย้อนกลับไปก่อนหนูจะมีชีวิตเหมือนทุกวันนี้ ตอนนั้นหนูไม่มีบ้าน จนอายุ 23-24 หนูอยู่บ้านเช่ามาหลายปี ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านหลังแรกจะเป็นบ้านที่เหมือนคุณพ่อไปปลูกร่วมกับญาติคุณพ่อ เป็นบ้านหลังเล็กมาก ๆ หนูก็อยู่กันพ่อแม่ แล้วก็น้องสาว หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านคุณยาย ก็จะมีหลายห้อง แต่ก็จะมีคุณน้า หลาย ๆ คนอยู่ จนวันหนึ่งหนูก็บอกพ่อกับแม่ว่า เราน่าจะย้ายได้แล้วนะ เพราะว่าหนูกับน้องสาวก็เริ่มโตแล้ว เราจะอยู่ห้องรวมแบบนี้ไม่น่าจะได้ ก็ย้ายออกมามาอยู่บ้านเช่าซึ่งเป็นตึกแถว ค่าเช่าห้องละ 3,000 บาทแต่หนูมุ่งมั่น หนูมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ว่าถ้าโตขึ้นหนูจะทำให้พ่อแม่ไม่ต้องลำบาก พ่อแม่หนูจะต้องไม่อยู่บ้านเช่า จะต้องอยู่ดี กินดี อยู่สบาย หนูจะทำทุกอย่างไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม เป้าหมายของหนูคือพ่อแม่จะสบายโดยที่ไม่ได้คิดว่าฉันจะมาเป็นนักช็อปปิ้ง แต่ทุกครั้งที่หนูผ่านตึกใหญ่ ๆ สูง ๆ หนูจะนั่งมองทุกครั้ง แล้วหนูก็จะคิดว่า สักวันหนึ่งหนูจะเป็นเจ้าของตึกพวกนี้ให้ได้ คิดโดยที่ไม่ได้บอกใคร เก็บเอาไว้ในใจ แล้วพอวันหนึ่งที่มันชัดภาพมันชัด หนูก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ และหนูจะพูดคำนี้เสมอว่า อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร หลายคนชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ เช่น ตอนนี้ฉันอายุ 35 แล้ว ยังไม่มีอะไรเลย แต่ดูมิวกี้เค้ามีทุกอย่างเลยตอน 35 ซึ่งจริง ๆ แล้ว ความสำเร็จเค้าไม่ได้วัดแค่ตอนอายุ 35 หรือ 40 เค้าวัดกันทั้งชีวิต ช่วงเวลาของคุณอาจจะไม่ใช่ 35 แต่อาจจะเป็นช่วง 50 ก็ได้ ตอนคุณอายุ 50 คุณอาจจะมีทุกอย่าง มีบ้านที่มันมั่นคง มีรถ มีทุกอย่างที่มันมั่นคงก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แล้วข้อดีของหนูคือหนูไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านเลย หนูโฟกัสหน้าที่ของหนู หนูทำงานของหนู แล้วหนูก็ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ด้อยค่าตัวเอง แม้ว่าหนูจะเจอเรื่องหนักแค่ไหนก็ตาม หนูไม่เคยด้วยค่าตัวเอง คนเราเจอปัญหาได้ คนเราล้มได้ ล้มแล้วต้องลุก คนตายเท่านั้นที่จะไม่สู้ เรายังไม่ตายเราต้องสู้”ทำงานกับ มิวกี้ ต้องอย่าลืมความ Beauty“หนูรู้สึกว่า การแต่งหน้า มันเป็นพลังอย่างหนึ่ง แล้วไม่ได้เกิดพลังแค่กับตัวเรา มันเกิดพลังกับคนรอบตัวด้วย ตัวอย่างเช่นเวลาเราไม่แต่งหน้า เราจะหลบหน้าผู้คน เราจะไม่อยากเจอใคร หรือฉันขอใส่แมสก์ดีกว่า แต่ถ้าเราแต่งหน้า เราจะมั่นใจ วันนี้ลูกค้ามาฉันพร้อมเปิดรับ ดังนั้นมันเลยกลายเป็นกฎเหล็กกับทุกคนในบริษัทหนูว่า ทุกคนต้องแต่งหน้า เราขายความสวยความงามอยู่ ถ้าหน้าลูกน้องยังไม่พร้อม แล้วเราจะขายอะไร ดังนั้นทุกคนต้องแต่หน้า ตื่นมาพอเค้าได้แต่งหน้าทาปาก แล้วมันจะได้มีความมั่นใจ เพิ่มพลังให้ตัวเอง และสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเจอด้วย”ความรักครั้งเก่า ที่ต้องก้าวผ่าน“ความรักกับสามีเก่า มันเป็นการเลิกรากันที่ก็ไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกัน หนูเคยมีความคิดมาตลอดว่า คน ๆ หนึ่งจะสามารถอยู่กับอีกคนได้นานขนาดที่จะแก่ไปด้วยกันเท่ารุ่นพ่อแม่เราไหม จนวันหนึ่งหนูก็ได้ใช้ชีวิตครอบครัว แล้วก็อยู่กันมา 9 ปีแล้วหลังจากเลิกรากันไป มันค่อนข้างแย่พอสมควร เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของหนู และอดีตสามี แต่มันดันเป็นเรื่องของประชาชนด้วย มันกลายเป็นการเข้าใจผิดมากมายหลายอย่าง คนเดากันไปหลายอย่างมาก แต่ว่าคะแนนคนด่ามันมาทางหนูที่เป็นฝ่ายผิด หลายคนมองว่าหนูมีคนอื่นณ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า ความรัก ถ้ามันไม่เท่าเดิม มันควรจะเพิ่มขึ้น และต้องไม่น้อยลง แล้วตอนนั้นเราต่างทำงานเยอะมากกันทั้งคู่เหมือนกัน แล้วเค้าก็เหมือนอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา จากที่เมื่อก่อนเราคุยกัน ไปช็อปปิ้งด้วยกัน มันกลายเป็นก้มดูโทรศัพท์ตลอดเวลา จนหนูก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเลยที่เค้ามากับเรา แล้วมันก็มีอีกหลายปัญหาที่ยิบย่อย ที่ทำให้หนูรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่อยู่คนเดียว หลายคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ ก็จะมาว่าหนูว่า เค้าดีจะตาย เค้าน่ารัก ซึ่งหนูไม่เถียงเลย เค้าเป็นสามีที่ดี ตั้งแต่เราอยู่กันมา 9 ปีไม่เคยมีเรื่องชู้สาว เราไม่เคยมีเรื่องนี้เลยทั้งคู่ แล้วก็ความรักมันไม่ใช่แค่เรื่องชู้สาว มันมีรายละเอียดอีกมากมายที่มันเกิดขึ้นระหว่างทาง และตอนหลัง ๆ เราเริ่มคุยกันคนละเรื่อง หลาย ๆ อย่างที่เราเคยทำร่วมกัน หนูกลายเป็นทำคนเดียว หนูก็เลยเลือกอยู่คนเดียวดีกว่าต้องบอกก่อนว่า หนูเป็นผู้หญิงที่ทำงานและหาเงินเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก และหนูอยากจะบอกผู้หญิงทุกคนเลยว่า ถ้าคุณโชคดีที่มีสามีที่รวยมาก แล้วเลี้ยงคุณได้ เนี่ยแล้วคุณมั่นใจมาก ๆ ว่าชีวิตนี้เค้าจะเลี้ยงคุณไปตลอดก็ไม่เป็นไร แต่หนูยังอยากให้ผู้หญิงทุกคนมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง สามารถยืนได้ด้วยขาตัวเอง เพราะว่าวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนหนูก็ไม่ได้ตั้งตัวเหมือนกัน หนูก็ไม่ได้อยากให้เรื่องราวจบแบบนี้ แต่หนูโชคดีมากที่หนูทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ใช่แค่เสียใจที่จากกัน มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในตอนที่เลิกกันมันกลายเป็นกระแส หนูโดนด่าหนักมาก จนประสาทเสียมาก ๆ ตอนนั้นหนูยอมรับว่าหนูเซมาก ๆ หนูต้องจิตแข็งมากถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ขนาดนี้ ทำไมชีวิตเราต้องมาเจอกับคนเหล่านี้ด้วย ที่เค้าด่าหนูเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่เคยรู้จัก บางคนไม่เคยเจอ ไม่เคยคุยกับเราด้วยซ้ำ”ล้มไม่ได้ เพราะต้องพายเรือส่งอีกหลายชีวิต“มรสุมชีวิตช่วงนั้น หนูก็ลืมนึกไปเลยว่าสามารถผ่านมันมาได้ยังไง แต่ว่ามันยากมากกับภาวะจิตใจ รวมถึงหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนอ่ะหนูเป็นคนคิดเร็วทำเร็วมาก ๆ พอเจอปัญหาตรงไหน หนูจะรีบแก้ไขทันทีไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่เรื่องของชีวิตคู่ เรื่องของความรักครั้งนี้ที่มันพังลง หนูยอมรับเลยว่าตัวเองเพิ่งจะเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่อง มันต้องใช้เวลาหนูตั้งสติว่าวันนี้เราตัวคนเดียวแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเรามีลูกที่รอเราอยู่ เรามีแม่ มีพ่อ ที่รอเราอยู่ มีลูกน้องที่รอเราอยู่ หนูเหมือนคนพายเรือ เหมือนหนูมีเรืออยู่ลำนึง แล้วหนูก็พายไปเรื่อย ๆ บนเรือหนูจะมีพ่อและแม่ แล้วก็มีลูกอยู่ด้วย แล้ววันนึงลูกน้องเจอก็อยากขึ้นฝั่ง หนูก็เรียกขึ้นมา จนเต็มเรือไปหมด เพราะฉะนั้นแล้วหน้าที่ของหนูคือ ต้องพายไปอย่างสม่ำเสมอ พายไปอย่างมั่นคง โดยที่ให้ทุกคนบนเรือไปถึงฝั่งแบบปลอดภัย เพราะฉะนั้นหนูจะมาทำตัวเมาเละเทะ ทำชีวิตพังไปวัน ๆ ไม่ได้ เพราะหนูมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องรับผิดชอบ หนูดูแลหลายชีวิตมากเลย หนูรู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่ามาก ๆ สำหรับการที่จะต้องดูแลคนหลาย ๆ คน ฉะนั้นต้องไปต่อ และการก้าวผ่านปัญหาครั้งนั้น มันทำให้หนูเปิดใจให้กับเพศที่สามมากขึ้น เปิดใจให้กับทุกเพศเลยที่เข้ามา มันไม่แปลกเลยถ้าเราจะชอบผู้หญิง ไม่เห็นแปลกเลยที่เรารู้สึกว่าอยู่กับผู้หญิงแล้วเรามีความรู้สึกดี คุยกันแล้วมันเข้าใจ คุยกันแล้วรู้เรื่อง เจอกันแล้วรู้สึกดีจังเลย เราก็เปิดใจได้ ไม่เห็นจะต้องปิดตัวเองสำหรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย”ความสุขแสนง่าย ของ มิ้วกี้ ไปรยา“ความสุขของหนูง่ายมากเลย มันคือการตื่นมาแล้วแม่คลุกข้าวกับปลาดุกย่างให้หนูกิน แค่นั้นหนูก็มีความสุขแล้ว การที่หนูได้กินของที่ชอบ หนูก็มีความสุขแล้ว หนูรู้สึกว่าดีจังเลยที่วันนี้ตื่นมาแล้วไม่ปวดหัว เพราะหนูเป็นไมเกรน หนูเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรที่ง่ายมาก ๆ อย่างผู้ชายที่มาจีบ หรือใครที่มาจีบจะเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างงั้น หาสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อให้หนู คือได้ของเราดีใจนะ แต่ถ้าถามตัวหนูจริง ๆ ความสุขของหนูคือง่ายมาก หนูเจอมิตรภาพที่ดี เจอผู้จัดการที่ดี หนูรู้สึกว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เรามี ณ ขณะนี้ มันดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องทะเยอทะยานมากจนเกินไป รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ มีสติอยู่กับมัน แค่นี้ก็โอเคแล้ว”ความเป็นคุณแม่ ของ มิ้วกี้ ไปรยา“หนูค่อนข้างเลี้ยง น้องกาเนส แบบแมน ๆ ค่อนข้างเป็นแม่ที่มีความเป็นผู้ชายสูงมาก หนูจะไม่แบบลูกขา ทำอย่างนี้ค่ะ หนูเป็นแม่ที่ค่อนข้างมีความเป็นผู้ชายในตัวอยู่ด้วยแล้ว น้องกาเนส เหมือน มิ้วกี้ ในเวอร์ชั่นจิ๋ว เวลาพูด เวลาทำอะไร คำศัพท์ต่าง ๆ ที่พูดออกมา รู้เลยใครเลี้ยงลูก และ มิวกี้ สอนลูกเสมอว่า ลูกต้องห้ามดูถูกเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม เราไม่ชอบก็ห้ามว่า ให้เก็บไว้ในใจ แล้วโลกมันไปไกลมาก แม่จะมีแฟนเป็นผู้หญิงก็ได้ แล้วเค้าก็เห็นน้าสาวที่มีแฟนเป็นผู้หญิงเค้าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาสงสัย แต่ มิ้วกี้ จะคุยกับเค้าเรื่องเพศบ่อยมากว่า ตอนนี้มันเปิดกว้างมาก สอนตลอดเพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกโตไปจะเป็นเพศไหน เผื่อวันหนึ่งเค้าสับสนในตัวเอง เค้าจะได้รู้ว่าแม่สอนเรามาแบบนี้ และเค้าจะได้กล้าเปิดกับเราว่า เค้าชอบอะไรก็อยากจะบอกเค้าว่า หม่ามี้ รัก กาเนส มาก ๆ แล้วก็อยากให้กาเนส สามารถอยู่กับคนได้ อยากให้กาเนสเป็นคนที่อยู่ง่ายกินง่ายเข้าใจง่าย แล้วก็เข้าใจทุกคน ทำตัวสบาย ๆ ยอมรับความหลากหลายและความแตกต่าง แม่อยากให้กาเนสอยู่กับใคร แล้วใคร ๆ ก็รักเค้า” - มิ้วกี้ ไปรยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
31 ม.ค. 2025
“การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จำเป็นต้องรอ และวันนี้ปิงมีลูก เพื่อทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ในอนาคตเราจะต้องเจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกมากมาย ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรในรุ่นต่อไป จึงอยากให้มีการทำความเข้าใจ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฝัน และมันไม่ผิดแปลกเลยที่ปิง อยากจะมีลูก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ปิงลี่ เฟมัส” แม่ค้าขายของออนไลน์สุดปัง อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง แถมดีกรีเน็ตไอดอลพี่กระเทย ที่โด่งดังในโลกโซเชียล เคยปรากฏตัวตามในรายการดัง และเป็นเพื่อนของแก๊งอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เอม ตามใจตุ๊ด, นินิว เพชรด่านแก้ว และ มิกซ์ เฉลิมศรี นอกจากนี้แล้วยังมีดีกรีเป็นนางงาม เจ้าของตำแหน่ง มิสขี้เมา ปี 2024 กับบทบาทล่าสุดคือการเป็นคุณแม่ป้ายแดงอีกด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการปิงลี่ เฟมัส ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“ต้องบอกว่าตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ปิงลี่ ฮะโหน่ง เพราะว่า มิกซ์ เฉลิมศรี เป็นคนตั้งให้ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนติดดูดวงมาก ก็เลยได้หมอดูคนดังมาดูดวงให้ ทีนี้เค้าเลยบอกว่าให้ตั้งชื่อว่า ปิงลี่ เฟมัส แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะอยู่ในวงการนี้ได้นาน และค่อย ๆ ก้าวไปแบบมั่นคง ถ้าใช้ชื่อว่า ฮะโหน่ง คนก็จะจําแบบไม่นาน หมอดูก็เลยให้ใช้เป็นชื่อนี้ จะได้วางตัวดี ๆ หน่อยส่วนชื่อ ปิง ได้มาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นกะเทยหัวโปก แล้วไปเห็นว่ามีรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ต่างโรงเรียนกัน แล้วน้องชื่อ น้องปิง เป็นดาวโรงเรียน สวยชนิดที่ว่า ถ้าพูดชื่อนี้ที่พิษณุโลก คือรู้จักเลย แล้วเราก็อยากให้คนรู้จักบ้าง ก็เลยใช้ชื่อ น้องปิง จากนั้นก็กลายเป็นว่าใช้ชื่อนี้มาจนถึงเรียน ม.กรุงเทพ แล้วพอมาเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นใครมีชื่อสองพยางค์มันน่ารักเลย ก็เลยใช้ชื่อ ปิงลี่ก่อนเป็น ปิงลี่ เราชื่อ วัด เพราะตอนเด็ก ๆ ป่วยบ่อย คุณแม่ก็เลยเอาไปเป็นลูกบุญธรรมของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อบอกว่าให้เอามาถวายให้หลวงพ่อ จะทำให้แข็งแรงขึ้น ผีจะได้ไม่เอาไป”มาถึงวันนี้ ปิงลี่ ภาคภูมิใจอะไรที่สุดในชีวิต“ปิงภูมิใจเรื่องของ ความอดทน ของตัวเอง เพราะปิงใช้คําว่าช่างมันกับตัวเองค่อนข้างเยอะมาก จนสามารถผ่านเรื่องที่เลวร้าย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย แล้วมันก็เกิดขึ้นกับเรา จน ปิงลี่ ก็ใช้คําว่า ช่างมัน และ อดทน จนผ่านมันมาปิงเกิดในครอบครัวที่ พ่อแม่เป็นกรรมกร แล้วตั้งแต่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณแม่ก็จะเป็นคนที่หาเงินคนเดียว ได้เงินเดือนละ 3,000 บาท แล้วแม่ต้องเลี้ยงลูกสองคน ดังนั้นเรื่องที่เราจะต้องได้เสื้อผ้าใหม่ หรือของเล่นอะไรใหม่ ๆ คือเกิดขึ้นน้อยมาก หรือบางครั้งขาดไปเลยก็มี เพราะต้องใช้เงินเพื่อกินไปวัน ๆ เท่านั้นแล้วปิงมองว่ามันน่าจะเป็นทุกบ้านที่จะมีลูกรักของพ่อ หรือลูกรักของแม่ ซึ่งปิงเองเป็นลูกของแม่ แล้วตั้งแต่พ่อเลิกกับแม่ไป พี่สาวก็จะได้เจอกับคุณพ่อบ่อย ส่วนเราก็ไม่เจอเลย แต่เราก็เป็นคนเลือกที่จะไม่เจอนะ เพราะเรารู้สึกว่าทําใจไม่ได้กับการเลิกกันของทั้งคู่ และไม่สบายใจเวลาที่เห็นแม่ร้องไห้นอกเหนือจากความอดทนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวแล้ว อีกอันคือ ในยุคนั้นการบูลลี่ การแกล้ง โดยเฉพาะเป็นเพศนี้ ก็จะโดนแกล้ง ซึ่งต้องใช้ความอดทนกว่าจะผ่านมาได้ มันเลยเป็นสิ่งที่เราภูมิใจค่ะ”ที่เข้มแข็งในวันนี้ เพราะเคยโดนบูลลี่มาก่อน“ตอนเด็ก ๆ ปิง โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งบ่อย มีครั้งหนึ่งคือถูกเอาปืนแก๊ป ที่มันเป็นหลุมยิงได้ 6 นัด เอามายิงใส่เสื้อเสื้อเราจนขาดเพราะมันเป็นประกายไฟ พอกลับไปบ้านก็โดนแม่ตี เรื่องนี้แหละนำให้ปิงไปสู่การที่ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง เพราะตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากเลย กับการโดนแกล้ง จนไม่อยากออกไปเจอเพื่อนเลย ไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซึ่งคนที่ทำให้ปิงฮึดสู้คือพี่ชายค่ะ ตอนนั้นเค้าเห็นว่าเราไม่สู้คนเลย แล้วเค้าก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราโตไปโดยที่เราไม่ปกป้องตัวเองเลย มันจะทำให้เราเสียเปรียบ แล้วเราก็จะโดนแกล้งอยู่ตลอด เค้าก็เลยพาเราไปสอน ซึ่งตอนนั้นมันจะเป็นมวยคาดเชือก คือเอาเชือกมากั้นเป็นเวที แล้วก็ให้เราขึ้นไปยืน จากนั้นก็ให้เด็กที่ใส่นวมต่อยเรา แล้วเราต้องยืนอยู่ตรงกลาง แล้วก็ต้องทนให้เค้าต่อย จนทำให้ร่างกายมันจํา จะโดนต่อยตรงไหนก็ต้องเกร็งตรงนั้น ถ้าล้มก็ต้องเริ่มใหม่ แล้วเค้าก็จะมาสอนเราว่า ถ้าเราไปสู้มันจะเจ็บแบบนี้ ให้เราได้รู้ก่อนว่าความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง พอเราจําว่าเราจะต้องเจ็บยังไง วันต่อมาเราก็ต้องเริ่มที่จะชก เริ่มที่จะต้องปัด ฝึกแบบนั้นตั้งแต่ 9 ขวบค่ะ”เป็นคนรักเพื่อน เพราะมีเพื่อน ถึงมีปิงลี่วันนี้“หลากหลายครั้งที่ ปิงลี่ เจ็บตัว มันแลกมากับการที่เราพยายามปกป้องเพื่อนเรา เพราะปิงโตมากับเพื่อน เพราะตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อ มันทำให้ปิงมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่แค่แป๊บเดียว เพราะแม่ต้องทำงาน แล้วช่วงที่เราเข้ามัธยม ปิงก็ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหมดเลย กลายเป็นว่า เพื่อนพาไปนอนบ้าน พาไปกินข้าว พาไปโรงเรียน พาไปเที่ยว มันก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน จนเพื่อนเปรียบเสมือนครอบครัวไปเลยที่ปิงเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ก็เป็นเพราะเพื่อนเลย ตอนนั้นเรามีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 12 คน ซึ่งทุกคนช่วยกันลงขันคนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันจ่ายค่าเทอมให้ปิง ตอนนั้นค่าเทอมประมาณ 40,000 บาท แล้วพวกเราช่วยกันเรียน ช่วยกันทํางานส่งอาจารย์ จนเรียนจบมาด้วยกันได้แล้วในชีวิต ปิงรู้สึกว่า มีเพื่อนอยู่สองคน ที่ปิงทักไปหา แล้วอยากเป็นเพื่อนกับสองคนนี้มาก จนทักไปบอกว่า เราขอเป็นเพื่อนเธอได้ไหม ซึ่งสองคนนั้นคือ นินิว เพชรด่านแก้ว และ เอม วิทวัส หรือ เอม ตามใจตุ๊ด ในตอนนั้นปิงรู้สึกว่าพวกเรามันคือไทป์เดียวกัน ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันคงจะตลก แล้วปิงอยากมีเพื่อนตลก แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยที่เป็นเพื่อนกับทั้งสองคน ปิงทักไปหา นินิว ก่อน แล้วถึงจะทักไปหา เอม ซึ่งนางสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว พอได้คบกันแล้วไลฟ์สไตล์เราเข้ากันได้ ก็คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”คลิปสุดปัง เปลี่ยนชีวิตปิงลี่“ถ้าเป็นคลิปที่ดังที่สุดเลย ตอนนั้นก็ต้องเป็น Socialcam เลย ย้อนไป 12 ปีก่อน ตอนนั้นมี Socialcam ก็จะเป็นแอปพลิเคชัน ที่คล้าย Tiktok ที่จะมีการโพสต์วิดีโอลงไป แล้วก็จะมีคลิปที่ปิงถ่ายคู่กับ ธาวิน ก็คือแฟนคนปัจจุบัน มันเป็นคลิปเล่นกันปกติเลย คือปิงตั้งกล้องไว้ แล้วก็จะทํากับข้าวไป อยู่ดี ๆ ธาวิน ก็วิ่งมาผลักเราลงเตียง แกล้งกันแค่นี้เลย แล้วเราก็อัพโหลดคลิป ลงไป กลายเป็นว่าเกิดเป็นไวรัล ยอดผู้ติดตามขึ้นมาเกือบ 200,000 คน กลายเป็นว่าปิงก็ดังข้ามคืนไปเลยจากนั้นหลังจาก Socialcam ปิด ปิงก็เงียบไปเลย เราก็ไปเป็นแม่ค้า แล้วช่วงนั้น นินิว มีโปรเจกต์อยากทํา สตุ๊ดจ๊อบ แล้วก็มาชวนกันทํา เพราะ นินิว บอกว่า เห็นเราอยู่เฉย ๆ ซึ่งรายการนี้ เกิดมาเพราะว่าเพื่อนมองว่าหนูอยู่เฉย ๆ แต่จริง ๆ เราเป็นแม่ค้าอยู่นะ แต่เพื่อนไม่คิดว่าเราเป็นแม่ค้า มันคิดว่าเราว่างงาน แล้วดูน่าสงสารจัง เพื่อนก็เลยชวนว่ามาทํารายการกันไหม เป็นรายการ สตุ๊ดจ๊อบ ซึ่งตอนนั้น เอม เค้าก็มีรายการตามใจตุ๊ดอยู่ด้วย ก็เลยเกิดเป็นรายการที่แก๊งเพื่อนไปลองทําอาชีพต่าง ๆ จนคนรู้จักปิงมากขึ้น แล้วคนก็มาติดตามเรามากขึ้น แล้วปิงก็เริ่มกลับมาสู่เส้นทาง อินฟลูเอนเซอร์ และ ยูทูบเบอร์ อีกครั้งหนึ่งค่ะ”จากจริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ ของ ปิงลี่ เฟมัส“แรงบันดาลใจในการมีลูกส่วนหนึ่งก็คือ แฟนนี่แหละค่ะ เพราะว่าธาวินเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นคุณพ่อ แล้วเขาก็เลือกแล้วว่าต้องเป็นเรา เขาก็เลยบอกกับเราบ่อย ๆ ว่าเขาอยากมีลูก มีให้หน่อยได้ไหมเรา แล้วเขาศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นกะเทย ดังนั้นการมีลูกมันต้องตอบคําถามหลายอย่างมาก ต้องตอบลูกไม่พอ ยังต้องตอบคำถามกับสังคมอีก จะต้องทํายังไงให้คนได้รู้ว่า มันมีเด็กที่เกิดจาก LGBTQ+ ที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมเราแล้วนะ เราต้องทําให้คนเข้าใจก่อนว่ากระบวนการ และ วิธีการอะไรบ้างที่ทําให้เกิดเด็กแบบนี้ขึ้นได้ในช่วงแรกที่ปิงคิดจะมีลูก ปิงกลัวว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง ต่อให้เรารู้สึกว่าเราจะเป็นแม่ แต่เราไม่ได้คลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องตั้งคําถามกับตัวเองว่า แล้วเวลาที่คนอื่นมองเข้ามา เค้าก็จะมองว่าเราไม่ใช่แม่อยู่แล้ว เพราะเราคลอดไม่ได้ เราไม่ได้อุ้มท้อง สิ่งเหล่านี้มันทําให้ปิงรู้สึกกลัวมากเลยกับการที่จะต้องมานั่งบอกกับลูกซึ่งก่อนหน้านั้นปิงก็ไม่ได้เป็นคนรักเด็ก เวลาเด็กเจอหน้าเราก็จะกรี๊ดเลย เพราะว่าเด็กกลัว เราก็เลยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าอุ้ม ขนาดเป็นลูกของเพื่อน ต่อให้เอ็นดูกับขนาดไหน เราก็จะไม่อุ้ม แต่ในวันที่อยากมีลูก ปิงต้องทําการบ้านเรื่องเด็ก ไปพร้อม ๆ กับการหาคําตอบให้เขา ซึ่งมันยากมากเลย ซึ่งปิงก็จะเล่าให้ฟังหมดเลยว่า เค้าเกิดมาจากความรัก ทุกคนต้องการที่จะให้หนูเกิด และเชื่อว่าหนูจะได้รับความรักจากทุกคนเลยบนโลกใบนี้พอเราตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการ โดยลูกเค้าก็ต้องรู้ทั้งหมดว่า เค้าเกิดมาจากพี่สาวของเราที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน เป็นดีเอ็นเอเดียวกัน แล้วเค้าเกิดมาจากการที่พี่สาวของปิงอุ้มบุญให้ โดยกว่าที่กระบวนการทุกอย่างจะสำเร็จ ปิงก็ผิดหวังมาหลายรอบมาก แล้วพี่สาวก็ทุ่มเทมาก ในการที่จะต้องรักษาตัวเอง รักษามดลูก แล้วทุกวิธีกามันบั่นทอนจิตใจพี่สาวมากเลย ทั้งการเก็บไข่ การขูดมดลูก การเตรียมฉีดฮอร์โมนเข้าตัวเอง แล้วพี่สาวก็อดทนมาก ๆ เพื่อที่จะทำให้ปิงมีลูกให้ได้ ซึ่งตอนนั้นพี่สาวก็อายุ 40 แล้วด้วย ทำให้การดูแลตัวเองต้องเยอะมาก แล้วต้องมีกระบวนการปฏิสนธิในหลอดแก้ว เพราะฉะนั้นพี่สาวก็จะต้องขยับตัวให้น้อย และต้องทานอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเยอะมาก ต้องมีกฎระเบียบกับตัวเองมาก ๆ เลย เพื่อบํารุงครรภ์ ซึ่งในกระบวนการกว่าจะมีลูกได้ ปิงผิดหวังและพลาดไปสองครั้ง ซึ่งถ้าพลาดแล้วทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมดเลย ตั้งแต่การเตรียมพร้อมร่างกาย การฉีดฮอร์โมน จนมันทําให้เรารู้สึกเสียใจและไม่อยากทําแล้ว เพราะว่าเราเป็นห่วงพี่สาว เป็นห่วงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเค้ามาก ๆ เลยในวันที่ มาร์เบลล์ คลอดออกมา เราขอบคุณทุกอย่างเลย ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณแฟน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างเลยที่ทำให้ลูกของปิงได้เกิดมา หลังจากลูกเกิดมา ก็โชคดีที่น้องของปิงที่เค้ามีลูกมาแล้ว และก็มีพี่สาวของปิงเอง คอยให้คําแนะนําในการเลี้ยงลูกอยู่ตลอด ว่าต้องให้นมแม่นะ ให้นมทำยังไง การอุ้มต้องประคองยังไง ซึ่งปิงอยากอุ้มเขาให้ได้เยอะที่สุด เพราะปิงรู้ว่าตัวเองทํางานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เลยค่อนข้างมีเวลาอยู่ที่บ้านน้อย ปิงก็เลยพยายามอุ้มเค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทําได้ ส่วนแฟนของปิงด้วยความที่เค้ามีความเป็นผู้นําครอบครัว แล้วก็มีความเป็นคุณพ่อแบบ 100% คือเค้าเตรียมให้ลูกหมดเลยทุกอย่าง แล้วเค้าก็หาข้อมูลมาหมดเลยว่า ต้องใส่ใจลูกยังไง ไปจนถึงขั้นที่ว่า ไปตรวจความสามารถลูก เพื่อวางแผนอนาคตให้ลูกว่า เค้าจะเติบโตไปในทิศทางไหน เตรียมผลักดันเค้าให้ถูกต้อง ทําทั้งหมดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นพ่อที่ดีให้กับกับเด็กคนหนึ่งได้มาถึงวันนี้ปิงมองว่า การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จําเป็นต้องรอ เพราะคําว่าพร้อมมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเรามัวแต่รอ โดยที่ไม่มีการเริ่มขึ้นมาก่อนเลย ไม่ได้ลองผิดลองถูกก่อนเลย มันก็ยังเป็นแค่ลม แต่ที่ปิงมีลูก ก็ไม่ใช่การมีลูกเพื่อที่จะต้องมาเรียกร้องกฎหมาย แต่ปิงมีลูกเพื่อที่จะทําให้ทุกคนได้รู้ว่าในอนาคตต่อไป เราจะต้องได้เจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกเยอะมาก ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรของประเทศไทยในรุ่นต่อไป แล้วเค้าก็ต้องได้กฎหมายคุ้มครองเหมือนกันกับทุกคนในสังคม ซึ่งก็เป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าไม่เริ่มขึ้นเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้แล้วปิงก็ใช้การเป็นนางงามของปิง ทําให้ทุกคนได้รู้ว่า เรากําลังจะได้เป็นแม่ แล้วการที่จะเป็นแม่ของเรา มันจะต้องทําให้ทุกคนได้เข้าใจว่า การเป็นแม่ของ LGBTQ+ หรือการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมันต้องเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และลูกต้องเข้าใจว่าเค้าเกิดมาได้ยังไง และการเกิดมาเป็นลูกกระเทย มันก็ไม่ได้แย่ ปิงคิดว่า เราควรที่จะต้องมีการปลูกฝังพื้นฐาน ให้สังคมเข้าใจก่อน อย่าเพิ่งแอนตี้ อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนปิงมีลูกแล้ว และเราทําให้ดูอยู่ด้วย แล้วปิงเชื่อมั่นว่าในอนาคตข้างหน้า ทุกคนจะเข้าใจ และเปิดใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”ย้อนเส้นทางนางงาม ของ ปิงลี่ เฟมัส“มิสขี้เมา 2024 มันเป็นเวทีของเพื่อน เอม และแฟนเอม จัดการประกวดนี้ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก กับการที่เราเข้าไปประกวดเวทีของเพื่อน แล้วเพื่อนจะให้เราผ่านเข้ารอบ ในสายตาเพื่อน มันแทบจะตัดเราออกไปเลย แล้วพื้นฐานการเป็นนางงามของปิงแย่มาก เราก็เลยต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น ซ้อมจนกว่าการเดินของเรามันจะดีขึ้น การวางตัว การวางท่า เราต้องปรับใหม่ทั้งหมดเลย แล้วมันกินเวลาเยอะมาก และมันมีช่วงที่ท้อด้วยนะที่ปิงคว้ามงได้ คิดว่าเป็นเพราะวันนั้นปิงมีสติ คือเพื่อนจะพูดเสมอว่า ปิงเป็นคนพูดอะไรแล้วจะพูดไม่จบ ไม่สามารถที่จะลงท้ายแบบจบได้สวย แต่กลายเป็นว่าวันนั้นมันเป็นวันของเราจริง ๆ ทุกอย่างมันก็เลยออกมาดีไปหมดเลย ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปิงทำอย่าเต็มที่ในทุกรอบการประกวด เพราะปิงคิดว่าลูกจะต้องกลับมาดูคลิป แล้วถ้าแม่เดินทุเรศมันอายคนนะ ปิงอยากทำให้ดีที่สุด อยากทำให้ลูกเห็น ก็เลยกลายเป็นว่า ทุก ๆ การเดินของปิง ปิงเต็มที่กับทุกก้าว ทำให้ดี ทำให้สง่า เพราะวันข้างหน้าเราอยากให้ลูกภูมิใจในฐานะนางงามรุ่นพี่ ปิงรู้สึกว่า นางงามในรุ่นต่อไป มันคือการแข่งขันที่สูงมาก แล้วนางงามก็จะต้องสร้างทั้งฐานแฟนคลับด้วย แล้วก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วย เพราะฉะนั้นปิงอยากให้ทุกคนมีใจที่จะเป็นนางงามจริง ๆ ไม่ได้นึกถึงแค่ชื่อเสียง แต่มันจะต้องดีจากภายใน ดีโดยเนื้อแท้จริง ๆ แล้วเวลาเราทําอะไรแล้ว เราจะไม่หลุดไปเป็นคนอื่น การดีจากเนื้อในมันจะทําให้ทุกกิริยาของเรา มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่มองเห็นง่ายทะลุปรุโปร่ง”ชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังจากได้เป็นคุณแม่“ตอนนี้ มาร์เบลล์ จะ 4 เดือนแล้วค่ะ และปิงก็ยังเป็นคุณแม่ที่ดูแลใกล้ชิด คอยดูพัฒนาการของลูกอยู่ตลอด เรียนรู้ทุกวัน แล้วก็ต้องเป็นนักคาดเดาด้วย สมมติว่าถ้าเค้าร้องไห้ สิ่งแรกที่เราต้องเริ่มดูเลยก็คือ หิวไหม ผ้าอ้อมเปียกรึเปล่า ถ้าเราเช็คแล้วแต่เค้ายังร้องอีก มันก็ต้องเริ่มใหม่อีกรอบ ทุกวันนี้ปิงก็เลยสนุกอยู่กับการคาดเดากับลูกเชื่อไหมว่า ปิงปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มันต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะมาก แล้วปิงปรับตัวไม่ทัน เพราะเวลาเราอยู่กับลูก เราอ่อนโยนมาก เราไม่พูดคําหยาบเลย ให้เค้าฟังเพลงเบา ๆ แต่พอกลับเข้ามาอยู่กับพวกเพื่อนเราก็ต้องพูดแบบใช้พลัง แล้วกลายเป็นว่าเราไม่ทันเพื่อน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไปถึงไหน หรือว่าเพื่อนกําลังพูดเรื่องอะไร เวลาไปออกรายการ เราจะช้าแล้วก็ประมวลยากกว่าเดิม กลายเป็นการกดดันตัวเองมากช่วงนั้นปิงปรึกษาเพื่อนหมดเลย แล้วก็เลยต้องเลี้ยงลูกแบบแบ่งเวลาดี ๆ จนตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”ความภูมิใจ จาก ปิงลี่ สู่ ลูกสาว“ถ้าวันหนึ่งลูกของปิงโตขึ้น และได้มาดู Club Pride Day ในวันนี้ แม่อยากให้หนูภูมิใจในตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ ใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุขมาก ๆเพราะว่าแม่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่กับหนูได้ทั้งชีวิต แล้วก็ตอนนี้ หลายคนรู้จักกับหนูแล้ว และก็เป็นกําลังใจให้หนูอยู่เสมอ อยากให้หนูใช้ชีวิตให้ดี เลือกชีวิตตัวเองให้ถูก แล้วแม่ก็มั่นใจว่าหนูจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนเปิดรับแล้วก็ซัพพอร์ทหนูเหมือนกับที่แม่ได้รับแน่นอน” - ปิงลี่ เฟมัสพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
26 มี.ค. 2025
เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment สำหรับ Club Inspired Day กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับคู่อินฟลูสุดปัง “ภาวินท์” และ “หมอแม่” เจ้าของคอนเทนต์ ลูกชายมาปรึกษาปัญหากับคุณแม่ พูดคุยกันเหมือนเพื่อน ได้ทั้งแนวคิด และความประทับใจจากวิธีการเลี้ยงลูก และวิธีการสอนลูกจากคุณหมอแม่ที่ดูเข้าใจโลกและเข้าใจในทุกเรื่องความสัมพันธ์ จนชาวเน็ตคอนเมนต์ออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “หมอแม่ คือ แม่สามีที่ควรมีทุกบ้าน” กว่าจะกลายเป็นที่รู้จัก ทั้งคู่มีกระบวนการทำคอนเทนต์อย่างไร มุมมองการพูดคุยกันในครอบครัวสำคัญขนาดไหน และมีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง ที่อยากแบ่งปันเพื่อจุดไฟฝันให้กับใครหลาย ๆ คน เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการ“ครอบครัว” ในมุมมองของ ภาวินท์ และ หมอแม่หมอแม่ : “ครอบครัว คือที่พักใจ เป็นที่ ๆ ไม่ว่าเราจะถูกทำร้ายจิตใจ หรือร่างกายมาขนาดไหน หรือเราจะผิด เราจะเลวร้ายมากในสายตาคนอื่น แต่ว่าพอกลับมาบ้าน ครอบครัวจะเป็นที่ ๆ เป็นหลักพิงให้เรา เป็นคนที่จะไม่ตัดสินเรา ถึงแม้ว่าเราจะทำไม่เข้าท่า เค้าก็รู้ว่าเราทำไม่เข้าท่า แต่เค้าพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเรา รับผิดชอบไปพร้อมกับเรา ช่วยเรา ไม่สมน้ำหน้า ในครอบครัวต้องไม่มีคำนี้”ภาวินท์ : “คิดเหมือนกับคุณแม่ แต่ว่าพักหลัง ผมรู้สึกว่า ครอบครัว ต้องอยู่ข้างเรา ไม่ว่าเราจะทำถูก หรือทำผิด อยู่ข้างเราไม่ได้แปลว่าต้องอวยเราไปทุกอย่างนะ แต่จะอยู่ข้างเรา คอยให้กำลังใจเราเสมอ ไม่ใช่ว่าเราทำผิด แล้วก็บอกว่าเราถูก แต่ว่าจะอยู่ข้างเรา และให้กำลังใจเราเสมอ”ถอดแนวคิดแม่ลูก ในวันที่ยุคเปลี่ยนไปหมอแม่ : “แม่ว่าแม่อยู่ในวัย อยู่ในเวลาที่พ่อแม่ไม่ได้สอนด้วยการด่า ซึ่งมันเป็นปกติของคนสมัยก่อนอย่างคำว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แล้วก็ด่า แล้วก็สอนแบบทวงบุญคุณ อันนั้นคือเรื่องปกติของคนสมัยก่อน ซึ่งเราโตมาแบบเรารู้สึกว่า ทำไมเวลาเรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิ เราไม่กล้าพูดกับที่บ้าน เราก็เลยบอกกับตัวเองว่า ถ้าเรามีลูก เราจะไม่ให้ลูกเราเจออะไรแบบนี้ จะไม่ให้เจอเหตุการณ์ที่ผู้ใหญ่มากระทบกระเทียบ มึนตึง แบบไม่รู้สาเหตุ เราจะไม่ทำแบบนี้กับลูกเรารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แม่ว่าคำว่าตีในยุคนี้อาจจะเป็นการลงโทษหลังจากมีข้อตกลง คือเราจะไม่ใช่ว่า ลูกทำผิดปุ๊บ เราตีเลย ลงโทษเลย เราจะต้องไม่มีการลงโทษโดยที่เค้ายังไม่รู้มาก่อนว่าการกระทำนี้เค้าผิด แต่ถ้าเค้าทำผิดหลังจากที่เราตกลงกันแล้ว ถึงจะต้องมีการลงโทษสมมติว่า เด็กไปเล่นกับเพื่อนข้างบ้าน แล้วไม่ได้บอกแม่ถ้าเป็นสมัยก่อนเนี่ย โดนตีแน่นอน แต่แม่คิดว่าวิธีการสอนเด็ก มันมีหลายอย่าง สอนแบบลงโทษให้เจ็บก็ได้ ลูกก็จะจำเพราะว่าเจ็บ หรืออธิบายเหตุผลกับเค้า บอกเค้าว่า แบบนี้แม่เป็นห่วงนะ แต่ถ้าคราวหลังทำแบบนี้อีก แม่จะไม่ให้ไปเล่นอีกแล้วนะ มันมีวิธีการลงโทษที่เค้าสามารถยอมรับได้ โดยที่ไม่ต้องเจ็บใจ และไม่ต้องเจ็บตัว”ภาวินท์ : “การคุยกันเยอะ ๆ ผมรู้สึกว่ายิ่งคุยกันมันยิ่งได้ประโยชน์นะครับ เราได้พูดในสิ่งที่อยู่ในใจของเรา มันน่าจะดีกว่าการไม่พูด แต่ถ้าสมมติว่า เราอาจจะเป็นคนที่สื่อสารไม่เก่ง การที่เราพูดออกมาทั้งหมดเลยโดยที่ไม่ได้กลั่นกรอง หรือว่าเรียบเรียง หรือว่าคำนึงถึงคนฟัง มันก็อาจจะทำร้ายจิตใจอีกฝั่งได้เหมือนกัน”หมอแม่ : “แม่ว่าต้องเลือกเวลา แล้วถ้าไม่เคยคุยกันมาก่อน มันต้องเลือกเวลาที่ทั้งสองฝ่ายอารมณ์ดี ไม่ใช่แบบทั้งคู่กำลังปรี๊ดเรื่องอื่นมา แล้วก็จะมานั่งคุยกัน อย่างนี้แม่ว่ามันอาจจะไม่พร้อม”ภาวินท์ : “พอเราใช้เวลาอยู่กับแม่เยอะ ๆ เราพอจะจับสัญญาณได้ว่า จังหวะนี้เค้าอยากคุยไหม ถึงเค้าจะยิ้มแย้ม มันก็มีบางจังหวะที่มันเหนื่อยใ พอเราเห็นอย่างนั้น เราก็หยุดไว้ก่อน เก็บเรื่องนี้ไว้ หรือว่าบางทีเค้าจะมาคุยกับเรา แล้วเห็นเราเงียบ ๆ ไป เค้าก็จะเงียบไปเอง แล้วเค้าก็ค่อยมาคุยกับเราใหม่ ในเวลาที่เหมาะสม”เปิดเหตุผล ทำไมคนในครอบครัวถึงคุยกันน้อยหมอแม่ : “เพราะลูกกลัวว่าจะโดนดุ คือ ถ้าเราเป็นลูกอาจจะรู้สึกว่า พ่อแม่มาตั้งความหวังกับเราไว้มาก เราจะต้องเป็นคนดี จะต้องไม่ทำอะไรผิด ซึ่งถ้าเราทำอะไรผิดปุ๊บ เหมือนเราจะทำให้พ่อแม่เสียใจ แล้วเราจะต้องโดนดุ ไม่ก็ต้องโดนตี กลายเป็นว่าพ่อแม่ไปสร้างตัวตนให้ลูกว่า ลูกจะต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ แต่สำหรับหมอแม่เอง เราพยายามให้ลูกเป็นคนธรรมดาที่ผิดได้ สมมติตอนเด็ก ๆ แม่ก็จะให้เค้าลองเรียนพิเศษไปเรื่อย ๆ พอไปเรียนแล้วเค้าไม่ชอบ แม่ก็จะไม่เคยว่า เค้าไม่ชอบก็เลิกไป แล้วก็ไปเรียนอย่างอื่น ซึ่งมันก็มีสิ่งที่เค้าทำได้ และมีสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ แต่แม่ก็ไม่เคยว่า เพราะแม่เชื่อว่า มันต้องมีสักกอย่างที่ลูกทำได้”ภาวินท์ : “แรก ๆ ด้วยเรื่องของอายุ ผมว่ามันปฏิเสธไม่ได้เลยที่บางอย่างเค้าอาจจะไม่เข้าใจเรา และบางอย่างที่เราอาจจะไม่เข้าใจเค้า แต่ว่าด้วยความที่เค้าก็เปิดรับอะไรใหม่ ๆ แต่มีหลาย ๆ อย่างที่เราลองเนอว่า ทำอย่างนี้ไหมแม่ แล้วแม่ก็จะถามว่า จะดีเหรอลูก แต่สุดท้ายแล้วเค้าก็ทำอยู่ดี มันก็เลยทำให้เราสามารถที่จะเข้ากับแม่ได้ง่ายขึ้น”ให้การคุยกัน เป็นเรื่องปกติในครอบครัวภาวินท์ : “Deep Talk ผมเพิ่งได้ยินคำนี้ ก็ตอนทำคอนเทนต์นี่แหละ ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันคือ Deep Talk คือเรารู้สึกว่า มันเหมือนกับการที่เราคุยกันตอนนั่งรถด้วยกัน ตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน เราคุยกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่คุณแม่เค้าก็เป็นคนที่มีเหตุผล แล้วผมก็อยากรู้ว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วทำไมเค้าถึงคิดแบบนี้ มันก็เลยเหมือนคุยกันลึกมากขึ้น ซึ่งมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ผมเด็กแล้ว”หมอแม่ : “เหมือนตอนเด็ก ๆ เราจะเลี้ยงเค้า เหมือนเค้าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เวลาเราจะสอนอะไร เราจะไม่สั่ง เราจะบอกเค้าก่อนว่าเพราะอะไร จนกระทั่งเค้าติดเป็นนิสัยว่า ถ้าเราจะให้เค้าทำอะไรสักอย่าง เค้าจะถามว่าเพราะอะไร แล้วเราก็บอกเหตุผลเค้า อธิบายให้เค้าเหมือนเค้าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เด็ก ๆ ก็อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พอโตเค้าก็ชินว่า ถ้าเค้าทำอะไรสักอย่าง มันจะต้องมีเหตุ มีผล มีข้อดี มีข้อเสีย”จุดเริ่มต้นคอนเทนต์ Deep Talk สร้างพลังใจภาวินท์ : “คือแรกสุดเราไม่ได้ตั้งใจจะมานั่งคุยกันเป็นรายการแบบนี้ คือวันนั้นผมตั้งใจจะถ่ายรูปรับปริญญา แต่ด้วยความที่ผมจบมานานแล้วถึงจะได้ถ่าย ก็เลยไม่ค่อยอิน แล้วด้วยความที่นัดเพื่อน แต่เพื่อนไม่มา ก็เลยให้คุณแม่มากดชัตเตอร์ให้หน่อย เดี๋ยวผมตั้งค่ากล้องให้ ก็เลยตั้งกล้องถ่ายภาพเบื้องหลังไว้ แต่พอลงโพสต์แล้ว คนดูเค้าก็ชอบ แล้วก็มีคอมเมนต์ว่า หมอแม่เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนเลย ผมก็เลยหยิบประเด็นนี้มาคุยกับคุณแม่ว่า เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนจริงไหม ทำไมถึงเลี้ยงแบบนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของคอนเทนต์ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วครับ”หมอแม่ : “ความตั้งใจของการเลี้ยงลูกให้เหมือนเพื่อน มันมาจากที่เราตั้งใจไว้เลยว่า เราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเค้า เพื่อนที่ต้องไม่มีวันหักหลังเรา และเป็นเพื่อนที่เราไว้ใจที่สุด แทนที่เค้าจะมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่แม่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของเค้า เราอยากเป็นแบบนั้น เพราะเรารู้สึกว่า ตอนเราโตมา เวลาเรามีปัญหา เราไม่รู้จะไปหาใคร เพื่อนก็อายุเท่า ๆ กัน ก็ไม่ค่อยรู้ว่าต้องจัดการปัญหายังไง แล้วพ่อแม่สมัยก่อน เค้าก็ไม่คุยกับลูกแบบนี้ เราเลยรู้สึกว่า ถ้าเรามีลูก เราจะต้องเป็นที่พึ่งพิงของลูกให้ได้ ลูกมีเรื่องอะไร ต้องหันมาหาเราก่อน สมมติโดนเพื่อนรังแก ต้องมาบอกแม่ก่อน”ภาวินท์ : “แต่ก่อนตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่รู้สึกว่า แม่จะมาเป็นเพื่อนเราขนาดนั้น แต่ว่าพอเราเริ่มโตขึ้น เวลาที่เราไปปรึกษาเค้า ไปคุยกับเค้า เค้าไม่ตัดสิน เค้าเป็นเหมือนเป็นเพื่อนที่ดีของเราคนหนึ่งจริง ๆ เราก็เลยสนิทใจที่จะพูดอะไรกับเค้า อย่างสมมติมันเป็นเรื่องที่เราคิดว่าต้องโดนว่าแน่ ๆ เป็นเรื่องที่เราตัดสินใจผิด แต่ว่าพอเราไปพูดให้เค้าฟัง เค้าก็ไม่ได้บอกว่าเราผิด แต่เค้าก็จะคอยอยู่ข้าง ๆ เรา แล้วก็ให้กำลังใจเรา เรื่องที่คุยกันตอนเด็ก ๆ มันก็อาจจะเป็นเรื่องลืมของตอนไปโรงเรียน แต่พอตอนโต ก็จะเป็นเรื่องการตัดสินใจ เรื่องอาชีพ เรื่องการเงิน เรื่องแฟน เรื่องความรัก เค้าก็รับฟังในทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ตัดสินเราจริง ๆ”ในวันที่ความเห็นไม่ตรงกัน มันจะลงเอยกันได้ยังไงหมอแม่ : “มีบางครั้งที่เห็นไม่ตรงกัน เราก็จะบอกว่า แม่คิดแบบนี้นะ ข้อดีคืออะไร ข้อเสียคืออะไร เค้าก็จะบอกว่า แต่เค้าคิดแบบนี้ แล้วเราก็มาปรับจูนกัน คือเราจะไม่ปรี๊ดใส่กัน เราจะไม่คุยตอนที่โมโห เนื่องจากแม่คุยกับเค้าเหมือนเค้าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งมาตลอด มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาว่า เธอต้องมาฟังฉันนะ ฉันเป็นแม่เธอนะ เพราะแม่รู้สึกว่า เราเกิดมานานกว่าเค้า แต่บางอย่าง เราก็ไม่ได้รู้เท่าเค้านะ เพราะว่ามันก็เป็นมุมมองของเรา ประสบการณ์ของเรา แต่ลูกเค้าเจอคนเยอะกว่าเรา บางทีเค้าดูคนเก่งกว่าเราด้วยซ้ำ”ภาวินท์ : “ทะเลาะกันไหม ? ใช้คำว่าน้อยใจดีกว่า ส่วนมากก็เป็นเรื่องงาน ที่บางทีผมก็ใช้คำพูดที่มันอาจจะอยู่ในหมวดการทำงานมากเกินไป เป็นเรื่องที่มันซีเรียสมาก ๆ แล้วผมก็อยู่ในหมวดทำงาน ก็เลยเผลอพูดสิ่งที่มันอาจจะตรงเกินไป เค้าก็น้อยใจ”หมอแม่ : “เวลาน้อยใจ เราก็จะเฉย ๆ ก็จะไม่พูด แต่ว่าพออยู่กันสองคน เราก็ร้องไห้ แต่ไม่ได้บ่อยนะ เพระไม่อยากให้กลายเป็นว่า เราเก็บความน้อยใจของเราไว้ไง และลูกก็จะไม่รู้ว่าเค้าทำผิดอะไร และการร้องไห้มันต้องไม่บ่อย มันถึงจะมีความหมาย แต่พอได้คุยได้ปรับความเค้าใจกัน ใครผิดก็ขอโทษกัน เท่านั้นเลย”ภาวินท์ : “เคยน้อยใจคุณแม่ไหม ? ไม่ถึงกับน้อยใจ มันก็มีเห็นต่างบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับน้อยใจอะไร แล้วก็คุยกันได้”เมื่อบางครั้ง ครอบครัว ไม่ใช่เซฟโซนหมอแม่ : “แม่ว่าแต่ละครอบครัวก็ถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน แล้วแต่ละครอบครัวก็มีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน ถ้าครอบครัวไหนเป็นเซฟโซนได้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดี แต่ถ้าไม่ได้ แม่ว่าเราก็อาจจะต้องปรับที่ตัวเรา อาจจะต้องปรับความคิดเราว่า ถ้าเราไม่สามารถที่จะพึ่งใครได้ เราก็ต้องพึ่งตัวเรา แล้วก็หาทางทำยังไงก็ได้ให้ชีวิตเราอยู่อย่างมีความสุขให้ได้ ภายใต้เงื่อนไขเยอะแยะมากมาย ซึ่งเงื่อนไขของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ก็เพียงแต่ว่าพยายามดูแลจิตใจ และร่างกายเราให้ผ่านมรสุมชีวิตไปให้ได้”ภาวินท์ : “ผมว่าลูกก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน ที่จะเข้าหาพ่อแม่ แต่ด้วยความที่มันมีความห่างกันของอายุ จึงทำให้ลูกอาจจะไม่ค่อยอยากเข้าหาพ่อแม่ เพราะรู้สึกว่ามันไม่สนุกเหมือนการอยู่กับเพื่อน แต่ผมรู้สึกว่า พ่อแม่ก็มีบางมุมเหมือนกันที่เราอยู่ด้วยแล้วมันดี ดีกว่าการที่อยู่กับคนในวัยเดียวกัน ถ้าเราปรับในส่วนนี้ได้ ก็น่าจะทำให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้น”หมอแม่ : “แม่ว่าความรุนแรงในครบครัวมันอันตรายนะ ถ้ามีมันต้องเลี่ยง ต้องออกมาจากสถานการณ์นั้น การทำร้ายกันระหว่างคนในครอบครัว แม่ว่ามันรุนแรงมากกว่าจากคนนอกด้วยซ้ำ พ่อแม่ จริง ๆ แล้ว เค้ารักเรา แต่เค้าปฏิบัติตัวไม่ดี หรือเค้าไม่รู้จะปฏิบัติตัวกับเรายังไง หรือบางคนอาจจะไม่รักเราเลยก็ได้ แม่ว่ามันก็อาจจะเป็นทางหนึ่งที่เราอาจจะเอาตัวออกมา เพราะเราไม่เหมาะที่จะอยู่กับคนที่เค้าไม่รักเรา”แม่ กับ แฟน ต้องเลือกอะไรดี?หมอแม่ : “แม่ตอบว่าไม่เลือก แม่จะไม่บีบบังคับให้ลูกอยู่ในสถานะที่ต้องเลือก เพราะเราก็เคยเห็นนะ บางบ้านคือต้องให้เลือก แล้วสุดท้าย ไม่ว่าลูกจะเลือกใคร ลูกก็ไม่มีความสุข คือจุดประสงค์ของเรา เราอยากให้ลูกมีความสุข ไม่ได้อยากให้ตัวเรามีความสุข เพราะฉะนั้นถ้าสมมติเค้าเลือกแม่ คนก็จะมองว่าลูกกตัญญู แล้วถามแม่ว่าจริง ๆ แม่มีความสุขเหรอที่เค้าจะต้องจากคนที่เค้ารัก ต้องแยกจากแฟนเค้า แม่อาจจะดีใจแค่ว่าลูกรักเรามากกว่า แต่จริง ๆ แม่ว่า มันคนละสถานะกัน คือ แม่กับแฟนมันไม่น่าจะต้องเลือก เราสามารถมีความรักของแม่ มีความรักแฟน มีความรักของลูก ซึ่งมันคนละสถานะกัน”ภาวินท์ : “จริง ๆ ผมเคยคุยกับแม่เรื่องนี้นะว่า ถ้าต้องเลือกจริง ๆ มันก็ต้องเลือกแม่ มันเป็นคำกล่าวที่ยากนะ แต่ผมคิดว่า ถ้าเกิดต้องเลือก ก็ต้องเลือกแม่ แต่ผมก็คิดว่า แม่คงไม่ให้ผมเลือกหรอก”หมอแม่ : “ใช่ ๆ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า คำพูดที่ลูกเลือก มันไม่ได้ทำให้เค้ามีความสุข เมื่อเราเป็นแม่ เราก็ต้องอยากให้ลูกเรามีความสุข คือแม่กำลังจะบอกว่า เราอย่าบีบให้ลูกเราไปอยู่ถึงจุดนั้น ถ้าสมมติว่ามันมีท่าทางมา มันจะต้องแก้ปัญหากันก่อน อย่าไปถึงจุดที่ว่ามันร้ายแรงจนกระทั่งต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง ซึ่งคนที่จะเป็นคู่ชีวิตกับลูกเรา ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งแม่เองพอจะรู้ว่าเค้าชอบแบบไหน แต่ว่าแม่อยากให้เค้าอยู่กับคนที่เค้าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อยู่แล้วเค้าเป็นตัวของตัวเองได้ ไม่ต้องระวังว่าเดี๋ยวเค้าจะงอน เดี๋ยวจะต้องไปง้อ ก็คือต้องเป็นคนที่อยู่ด้วยกันแล้วสบาย ๆ คือใครก็ได้นะ จะผู้หญิง หรือผู้ชายก็ได้ หรือเป็นใครก็ได้ แต่ว่าขอให้ลูกเราอยู่กับเค้าแล้ว ลูกเรามีความสุข”ภาวินท์ : “ผู้หญิงที่อยากอยู่ด้วย เวลาที่มีคนถามว่ามีสเป็กแบบไหน ก็ตอบเลยง่าย ๆ ว่าเหมือนแม่ แบบพูดอะไรไม่ตัดสิน มีอะไรพูดกันตรง ๆ ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่มีครับ”หมอแม่ : “เรื่องแฟน แม่ว่ามันเป็นช่วงอายุ แม่ก็จะบอกเค้าว่า ตอนนี้อาจจะชอบผู้หญิงแบบนี้ แต่อย่าเพิ่งไปคิดไกลถึงว่า ต้องแต่งงาน ต้องสร้างครอบครัว ขอแค่ว่าวันนี้เรามีความสุขกับการอยู่กับเค้า เพราะพอแม่แก่มาถึงป่านนี้ แม่ถึงรู้ว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องวางแผนไกลมาก เพราะว่าเราไม่รู้ว่าอีกเดือนสองเดือน ใครจะเปลี่ยน พยายามดูแลความรู้สึกทั้งเราและเค้า ดูแลจิตใจเราให้มีความสุขกับช่วงเวลานี้แม่บอกเค้าเลยว่า คนเราไม่จำเป็นต้องแต่งงาน ถ้าจะแต่งก็เพราะเราอยากจะแต่ง แต่เราต้องมีคู่ชีวิต ซึ่งคู่ชีวิตเราเป็นใครก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนเราก็ได้ แต่ต้องมีคนที่เราสามารถที่จะเปิดอกได้ พร้อมซัพพอร์ทเรา คุยกับเราได้ ซึ่งคนนี้แม่อยากให้เค้า มีเพราะแม่ก็อาจจะอยู่กับเค้าอีกไม่นานหลายคนบอกว่าเป็นแม่สามีดีเด่น เพราะเราก็อยากให้ลูกสะใภ้มีที่พึ่ง และแม่ก็อยากจะปลูกฝังคนที่จะเป็นแม่สามีในอนาคตว่า เราเลือกที่จะเป็นได้นะ แม่สามีไม่จำเป็นต้องดุ แล้วถ้าลูกสะใภ้เราเค้ามีความสุข เค้าก็จะปฏิบัติกับลูกชายเราดีถ้าลูกเราเป็นผู้ชาย เราอาจจะต้องคิดแค่เรื่องของความรับผิดชอบ และจะต้องปลูกฝังให้ลูกเรารับผิดชอบ ในกรณีที่วันหนึ่งผู้หญิงท้องขึ้นมา ลูกเราต้องรับผิดชอบเค้าให้ได้นะ แล้วก็ต้องรับผิดชอบ ต้องดูแลเค้า ถ้าอาจจะถึงขนาดที่ต้องตัดสินใจอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าในกรณีที่เรามีลูกสาว ก็อาจจะต้องคุยเยอะนิดนึงว่า การที่จะไปอยู่กับเค้า ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราจะต้องพึ่งผู้ชายคนนี้ การตัดสินใจอะไรในชีวิตเราหลังจากนี้ ต้องขึ้นกับผู้ชายคนนี้ ลูกโอเคไหม แล้วถ้าเกิดมีปัญหา มีลูกขึ้นมา ผู้ชายคนนี้เค้าจะดูแลเราไหม แม่ว่าเรื่องนี้ ที่ผู้หญิงจะต้องคิดเยอะ ๆ”ภาวินท์ : “แต่งก่อนอยู่ กับ อยู่ก่อนแต่ง ผมเลือก อยู่ก่อนแต่งครับ เรื่องนี้เคยคุยกับแม่ครับ แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ แม่เค้าก็ไม่ได้เห็นด้วยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเค้าคำนึงในเรื่องของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเลย แม่จะปลูกฝังมากเลยเรื่องการคุมกำเนิด แต่ผมก็คิดว่าถ้าอยู่ก่อนแต่ง มันก็จะได้เรียนรู้กันก่อนที่จะไปแต่งงาน แต่จากมุมมองของคุณแม่ ผมรู้สึกว่าน่าสนใจเลยในเรื่องการปลูกฝังในเรื่องการคุมกำเนิด ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ดี”หมอแม่ ที่แท้แล้วเป็นหมออะไร?หมอแม่ : “จริง ๆ ตอนก่อนจะเลือกเนี่ย พอเรียนจบแล้ว เราก็จะวนไปทุก ๆ สาขา ตอนนั้นอยากจะเรียนสูตินรีแพทย์ แต่ปรากฏว่ามันมีครั้งหนึ่งตอนที่เราดูคนไข้ เราได้ดูเค้าตั้งแต่มาฝากท้อง แล้วเค้าอายุใกล้ ๆ กับเรา เราก็คุยกันเหมือนเป็นเพื่อน เพราะว่าเดือนหนึ่งเค้าก็จะมาครั้งหนึ่ง ดูแลจนกระทั่งคลอด คือเราก็สนิทกับเค้ามาก ปรากฏว่าวันนั้นเราอยู่เวรพอดี เค้ามาด้วยอาการหมดสติ ความดันสูงมาก แล้วก็เราต้องรีบผ่าตัด ปรากฎว่าช่วยได้แค่ลูก คุณแม่เค้าเสียชีวิต เราก็เลยรู้สึกว่าที่เราดูแลเค้ามา คือเราช่วยอะไรเค้าไม่ได้เลย แล้วเราก็รู้สึกเหมือนกับว่า เราทำใจไม่ได้ เหมือนกับเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่กับคนไข้มากเกินไป จนเรารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ในอนาคต เราทำอาชีพนี้ไม่ไหวแน่ ๆ เราก็เลยเลือกสาขาที่ไม่ต้องมีคนไข้เสียชีวิตในมือเรา คือ จักษุแพทย์ เราอยู่กับคนไข้สูงอายุเป็นหลัก และทำหน้าที่ดูแลดวงตาให้คนไข้ดีกว่า”ก่อนเป็น อินฟลูฯ ภาวินท์ ทำอาชีพอะไร?ภาวินท์ : “ผมจบวิศวะ ด้วยความที่ตอนแรกชอบฟิสิกส์ เราก็เลยเรียนวิศวะมา แล้วก็ทำงานวิศวกรอยู่นิดหน่อย เขียนโปรแกรมได้นิดหน่อย ตอนนี้อายุ 26 เรียนจบตอนอายุ 21 แล้วก็เป็นฟรีแลนซ์ เขียนโปรแกรมบ้าง ไปลองถ่ายวีดีโอบ้าง ลองทำมาหลายอย่างเหมือนกัน วนไปทำสายโปรดักชั่นเฮ้าส์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็วนกลับมาอยู่กับคุณแม่ มาทำบริษัทกับคุณแม่ตั้งแต่รับเป็นฟรีแลนซ์ ถ่ายทำตัดต่อ ทำโฆษณา เราก็มีอุปกรณ์อยู่แล้ว และพอจะมีความรู้ในเรื่องการจัดแสง การจัดภาพ เราก็เอามาทำกับคอนเทนต์ของเรา ตอนแรกคือตั้งกล้องสองตัว แต่หลัง ๆ ใช้มือถือเครื่องเดียว บางทีไม่ใช้ไมค์ด้วย เหมือนกับรูปแบบของการทำสื่อมันเปลี่ยนไป แต่ก่อนคนจะชอบดูภาพสวย แต่ว่าพอเรายิ่งทำไป กลายเป็นว่า คนชอบความ Real ผมเลยยอมให้ภาพสวยน้อยหน่อย เสียงอาจจะดีไม่เท่า แต่ว่าเราได้ตัวคอนเทนต์ เราได้ความ Real เข้ามา”หมอแม่ : “เรียนจบวิศวะ มาเป็นอินฟลูฯ แม่ไม่ว่าเลย พอเราเห็นว่าเค้าทำงานแล้วมีความสุขกับการทำงาน เค้าเป็นคนที่ชอบทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งมันไม่เหมาะกับงานประจำ มันอาจจะไม่ตอบโจทย์เค้า แม่ก็คิดว่าสิ่งที่เค้าเรียนมา เค้าก็ได้ความรู้ และก็ได้ใช้นำมาใช้ในชีวิต มันอาจจะเป็นวิชาชีพเฉพาะ ก็เป็นทางเลือกว่า วันหนึ่งถ้าไปทางนี้ไม่ได้ อย่างน้อยเราก็มีทางสำรอง แต่ว่าเราก็ให้เค้าลองหลาย ๆ อย่าง ถ้าเค้ารู้สึกว่าทำอะไรแล้วมันมีความสุขก็ทำเลย ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยาวมากนะ อะไรที่ทำแล้วมีความสุข แม่ว่าให้เค้าทำไปเถอะ ถ้าไม่ดีเดี๋ยวเค้าก็เลิก แต่แม่ว่าสถานการณ์แต่ละคนไม่เท่ากัน เค้าอาจจะมีทางเลือกเยอะกว่าเพราะว่าเค้าไม่ต้องรับผิดชอบแม่ในเวลาที่แม่ยังแข็งแรงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันถ้าสมมติว่า เราเป็นแม่บ้านเฉย ๆ แล้วเค้าต้องดูแลครอบครัว เค้าก็อาจจะตัดสินใจลองผิดลองถูกไม่ได้ไง เพราะฉะนั้น แต่ละครอบครัวก็คือเงื่อนไขต่างกัน”ภาวินท์ : “ในการพัฒนาคอนเทนต์ผมรู้สึกว่า มันเป็นรูปแบบการนำเสนอเฉย ๆ ตัวเนื้อในมันอาจจะมีการปรับเปลี่ยนแล้วแต่ความสนใจในแต่ละช่วงของเรา อย่างช่วงนี้เราอยู่กับแม่เยอะ เราอินเรื่องความสัมพันธ์ เราอินเรื่องสุขภาพ เราก็สื่อสารไปในแนวทางนี้ แต่ว่าหลังจากนี้ เราอาจจะมีการปรับรูปแบบ คือพอเราคุยกันไปเรื่อย ๆ ก็จะมีบางครั้งที่คิดไม่ออกว่าจะคุยอะไรกันดี เราก็ต้องมีการปรับรูปแบบให้เนื้อหามันยังดูน่าสนใจอยู่ เราก็อาจจะมีการปรับรูปแบบ แต่คิดว่าการทำคอนเทนต์ก็จะทำไปเรื่อย ๆ ทำเท่าที่เราทำไหวผมมีความสุขกับการที่อยู่กับคุณแม่ แล้วมันก็เป็นงานไปด้วย ได้งาน ได้ใช้เวลากับครอบครัว ผมรู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่โอเคสำหรับผมมาก ๆ”ความรัก คำขอบคุณ จาก ภาวินท์ และหมอแม่หมอแม่ : “ทุกวันนี้เค้าทำเกินความคาดหวังนะ จริง ๆ คือ เราก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แค่เค้าดูแลตัวเองได้ก็พอ เราไม่ได้คาดหวังว่า วัยนี้เค้าจะมาดูแลแม่ได้ แต่ปรากฏว่าที่เราคิดมันเกินความคาดหมาย คือเค้าสามารถดูแลตัวเอง จัดระเบียบชีวิตของเค้าเองได้ แล้วก็ดูแลแม่ได้ในวัยที่แม่ยังไม่ต้องการการดูแลมากด้วยซ้ำ แต่เค้าก็ดูแลเราเป็นอย่างดี ซึ่งมันเกินความคาดหมาย”ภาวินท์ : “ขอบคุณแม่ เพราะว่าบางอย่าง เค้าก็จะมีคำถามว่าทำแบบนี้จะดีเหรอ จะทำดีไหม แต่สุดท้ายเค้าก็เห็นด้วย เค้าก็ยอมลองไปกับผม ในวันที่อายุก็เริ่มไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังแบบยอมมาเล่นกับเด็ก ๆ ผมก็รู้สึกขอบคุณมาก ๆ ขอบคุณที่พูดกันได้ขนาดนี้ เป็นห่วงเรื่องสุขภาพแม่ เพราะว่าผมรู้สึกว่าสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ทุกอย่างมันจะพังไปหมดเลยถ้าสุขภาพไม่ดี แต่ถ้าสุขภาพเค้าดี เราก็น่าจะได้อยู่ทำคอนเทนต์ด้วยกันไปนาน ๆ”หมอแม่ : “ก็อยากจะบอกเค้าว่าไม่ต้องห่วงแม่มาก แม่ดูแลตัวเองได้ อยากให้ลูกไปเที่ยวกับเพื่อน ไปใช้ชีวิตให้เต็มที่ แต่เค้าก็จะห่วง เราก็อยากบอกว่า เราไม่อยากจะเป็นตัวแปรสำคัญในการที่ลูกจะตัดสินใจทำอะไรในชีวิต”เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
20 มี.ค. 2025
“รัก และศรัทธาในอาชีพที่เราทำ วันนึงมันจะสำเร็จ ทุกวันนี้มดดำขอพรให้ตัวเองมีงานทำจนถึงลมหายใจสุดท้าย เพราะความสุขจริง ๆ ของมดดำ คือการได้ทำงาน”เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment สำหรับ Club Inspired Day กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “มดดำ คชาภา” ตัวมัมเรื่องแฉ ที่จะมาแชร์ เส้นทางชีวิต ของพิธีกรฝีปากกล้าบนสังคมที่พร้อมเสิร์ฟดราม่า จนมาเป็นความสำเร็จที่ใคร ๆ ก็จดจำ กว่าจะมีวันนี้ มดดำ มีวิธีคิดและมุมมองการใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ และมีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง ที่อยากแบ่งปันเพื่อจุดไฟฝันให้กับใครหลาย ๆ คน เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยเด็ก ของ มดดำ คชาภา“มดดำไม่ได้เป็นเด็กที่ร่างเริงขนาดนั้น แต่เป็นเด็กชอบอยู่กับเพื่อน เป็นคนติดเพื่อน และโชคดีที่เราก็ได้เพื่อนดี มดดำมีทุกวันนี้ ก็เพราะได้เพื่อนดี อย่างเงินที่ได้มาทุกวันนี้ ไม่น้อยเลยนะที่ได้เงินทุนจากเพื่อนมดดำ มักจะทะเลาะกับพ่อ และเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อได้เลยตั้งแต่เด็ก เราโตมากับปู่กับย่า และเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่พ่อไม่รัก ที่เราโตมาคนที่เลี้ยงดูเราคือปู่กับย่า จนมีวันนึงทะเลาะกับพ่อ จนรู้สึกว่าฉันไม่เอาอะไรแล้ว ตบโต๊ะ แล้วบอกว่าพ่อจำไว้นะ วันหนึ่งหนูจะกลับมาซื้อบ้านพ่อให้หมดเลยนั่นคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีวันนี้นะ สิ่งที่เราคิดว่าพ่อไม่รัก สิ่งที่คิดว่าพ่อไม่ใส่ใจ อย่างตอนไปอยู่นิวซีแลนด์ มดดำต้องทำยังไงก็ได้ให้โดนส่งกลับ เพราะเรารู้สึกว่าพ่อเอาเราไปทิ้งทำไม แต่ปรากฎว่า แรงบันดาลใจแรกของมดดำ คือการทำยังไงก็ได้ให้พ่อตัวเองชมว่าเก่ง จนมดดำอายุ 30 ยังไม่มีคำชมเลย วันที่แฉแต่เช้าประสบความสำเร็จ ยังไม่มีคำชมเลย การจะมีคำว่าดัง ของครอบครัวมดดำ ด้วยความที่ทุกคนเป็นนักการเมืองหมด คือทุกคนอยู่กับการเมือง ไม่คนใดก็คนหนึ่ง ลุงป้าน้าอาก็ต้องเป็น สจ. อย่างน้อยก็ต้องเป็น สว. หรือ สส. ดังนั้นความคิดของเค้าคือลูกจะต้องเป็นนักการเมืองนะ แต่วันหนึ่งเราเป็นคนที่แหกกฎทุกอย่าง เรากลายเป็นกะเทยคนเดียวของตระกูล ที่วันหนึ่งอยากจะมีสามี วันหนึ่งฉันอยากจะไปเป็นดารา คือฉันแหกกฎทุกอย่างที่เค้ามี จนเค้าก็รู้สึกว่าอกหักกับเราพอสมควรแต่วันนี้ มดดำมารู้ว่าพ่อรักเรา ตอนอายุ 40 แล้วนะ วันที่เราได้เปิดใจกัน วันนั้นมันเป็นวันแรกที่ร้องไห้ เพราะพ่อจำทุกเหตุการณ์ได้หมดเลยว่าเราทำอะไร แล้วเค้าก็บอกเหตุผลว่าทำไมเหตุการณ์วันนั้นเค้าถึงชินชา ทำตัวเฉยชาต่อเรา ตอนนั้นพ่อเป็นรัฐมนตรี ของขวัญวันเกิดแทนที่มดดำจะได้นาฬิกาหรู บอกเลยว่าเราไม่เคยได้จากพ่อเลย พ่อให้เงิน หนึ่งหมื่นบาท กับคำที่บอกว่า เชื่อว่าลูกคนนี้เก่งพอแล้ว เดี๋ยววันหนึ่งเอาเงินหมื่นที่พ่อให้ ไปต่อยอดให้เป็นเงินล้านนะจนวันที่มดดำเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว เริ่มมีเงินแล้ว คำที่เราพูดว่าวันนึงเราจะซื้อบ้านพ่อ ก็ได้กลับไปซื้อบ้านพ่อจริง ๆ จากเงินที่หามาจากวงการบันเทิงล้วน ๆ”บอกรัก และให้กำลังใจ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน“พ่อเริ่มจะมาบอกรัก และให้กำลังใจ ในวันที่มดดำอายุ 30 ปลาย ๆ จะ 40 แล้ว พ่อบอกว่าเก่งแล้ว ทำได้แค่เนี้ยพ่อภูมิใจแล้ว พอได้ยินประโยคนี้มันเหมือนโลกทั้งใบหยุด เหมือนกับว่าสิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมด ฉันต้องการแค่คำ ๆ นี้ ตั้งแต่วันนึงที่ฉันเป็นคนแรงที่สุด ทำให้คนเกลียดที่สุด จนวันนึงทำให้ตัวเองดังที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด ที่จริงชีวิตเราต้องการรอแค่คำ ๆ นี้ จากพ่อ แล้วชีวิตมดดำมันเปลี่ยนเลยนะ มันทำให้เราอยากจะพัฒนาไปให้ไกลกว่าเดิม เพราฉะนั้นวันนี้ ถ้าคุณเป็นพ่อแม่คน คุณเป็นปู่ย่าตายายคน คุณเป็นลุงป้าน้าอาคน มันหมดยุคแล้วที่จะเก็บความในใจ บางทีบอกไปสักนิด ไม่แน่นะ คำพูดสั้น ๆ มันอาจจะเป็นกำลังให้ก้าวเดินต่อไปได้จริง ๆ สรุปสิ่งที่ฉันทำมาตั้งแต่อายุ 20 ตั้งแต่จัดรายการวิทยุ จนมาเป็นพิธีกร สิ่งเดียวที่ต้องการในชีวิตคือ เริ่มจากพ่อตัวเองยอมรับ ซึ่งกว่าจะมายอมรับได้ ก็ตอนอายุจะ 40 แล้ว ทุกวันนี้ มดดำรักหลาน ก็จะชมว่าภูมิใจในตัวหลานมากนะ เก่งมากนะ คอยเป็นกำลังใจให้กัน ไม่ต้องเก็บไว้จนใกล้ตาย บอกไปเลยในวันที่ยังอยู่ด้วยกันถ้าสมมติวันนั้นมดดำได้ยินคำพูดบอกรัก คำพูดให้กำลังใจ มดดำอาจจะเปลี่ยนตัวเองได้เร็วกว่านี้ แต่มันก็มีคำตอบนะว่า ยุคสมัยเค้าอาจจะไม่ใช่ยุควันนี้ เค้าถึงแสดงออกไม่เหมือนกับยุคนี้ก็ได้”ย้อนจุดเริ่มต้น ของพิธีกรฝีปากกล้า“มดดำไม่ได้เหมือนพี่เป้ ที่การเป็นดีเจเกิดมาจากเสียงที่ดี น่าฟัง อยู่ในกรอบระเบียบที่ถูกต้องของดีเจทุกอย่าง มดดำไม่ได้เหมือนแคน ที่เกิดมาจากเดอะสตาร์ มาจากผลโหวต มาจากความรัก แต่มดดำเกิดมาจากสมัยที่ Pantip เกลียดมดดำมาก เราเกิดมาพร้อมเสียงที่แหบมาก เป็นคนที่ไม่ได้เกิดมาจากคนรักและซัพพอร์ท และเส้นทางการทำงาน มันไม่ได้เกิดจากความรักตัวเอง มันเกิดจากคนที่รู้สึกว่ามันแรง สมมติคนฟังกรีนเวฟฟังเสียงมดดำ อาจจะกดปิดเสียงไปเลยก็ได้ เราเป็นคนที่สาระแน เป็นคนอยากรู้อยากเห็น และเรารู้สึกว่าพิธีกรต้องเสียงดัง แล้วความเป็นกะเทยมันต้องแจ๋น ต้องสาระแนเรื่องชาวบ้าน ต้องด่าคน นี่คือความคิดในยุควันนั้น ถ้าสมมติมาเป็นแบบนั้นในวันนี้ มดดำคงโดนไล่ออกจากวงการไปนานแล้ว แต่ยุคนั้นก็ต้องขอบคุณสื่อที่มีแค่หนังสือพิมพ์ มีทีวี มี Pantip มีซ้อเจ็ด แค่นี้เลย เราเป็นพิธีกรแรง ๆ จนวันนึง เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ทำไมคนต้องเกลียดเรา ทำไมคนเจอเราแล้วไม่กล้าร่วมงาน จนเริ่มมานั่งทบทวนชีวิตตัวเองว่า เป็นคนแรงแล้วได้อะไร คนเกลียดแล้วได้อะไร ถ้าสมมติเราเปลี่ยนไปทำตัวให้คนไม่ต้องเกลียด ไม่ต้องรัก ให้คนรู้สึกกลาง ๆ แล้วเราอยู่กันได้สบาย ๆ ดีกว่าไหม”มดดำผู้สร้างตำนาน…รายการที่ฉีกทุกกฎ!“บอกเลยว่าสมัยจัดรายการแฉแต่เช้า ขนาดรายการเข้า 8 โมงเช้า พอ 7 โมงเช้า พี่ฉอดจะต้องนั่งที่โต๊ะทำงานแล้วนะ เพื่อรอว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันนี้ ซึ่งเมื่อก่อนถ้าดีเจพูดผิด สาย 4 จะดังเสมอ ซึ่งเมื่อก่อนสาย 4 เป็นเรื่องปกติสำหรับมดดำเลย แล้วเดี๋ยวตอนเย็นวันนั้นผู้ใหญ่ก็จะต้องเอากระเช้าเดินสายขอโทษเวลามดดำก่อเรื่องแรง ๆทุกวันนี้ไม่มีความแรงหลงเหลือแล้ว แต่รายการแฉแต่เช้า ณ ตอนนั้น ถ้ามันมีการฟ้องร้องแบบทุกวันนี้ แฉแต่เช้า ต้องเป็นรายการที่โดนฟ้องร้องเยอะที่สุด แต่ตอนนี้ด้วยอายุขนาดนี้ มันทำไม่ได้แล้ว และยุคสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว สังคมทุกวันนี้เรากำลังอยู่กับสังคมสะใจ สังคมที่ล้มไม่ได้ เมื่อ 20 ปีที่แล้วเรายังล้มได้ มันยังไม่มีคนซ้ำเติมเยอะ แต่วันนี้ถ้าลองล้ม รับรองว่าทัวร์ลงหนักมาก ซึ่งมดดำก็ต้องขอบคุณกาลเวลาในช่วงนั้น ๆทุกวันนี้มดดำจะต้องเป็นคนที่หาข้อมูล คิดเสมอว่าทำยังไงให้คนดู เพราะว่าทุกวันนี้เราส่งสายตาอ้อนคนดูได้ แต่เมื่อก่อนมันคือวิทยุ 100% เพราะฉะนั้นมันจะมีแต่เสียง แล้วเสียงเราอัปลักษณ์มากเลย คือเราเสียงแหบ เราต้องคิดว่าวันนี้ต้องทำยังไงก็ได้ให้มีคนฟังเรา แต่ขณะเดียวกันยิ่งเราแรงคนยิ่งกลัว คนยิ่งไม่อยากร่วมงาน ก็ต้องคิดอยู่เสมอว่าจะต้องทำอย่างไร”แรงบันดาลใจในการเป็นพิธีกรของมดดำ คือ…“ถ้าจะถามว่า แรงบันดาลใจในการเป็นพิธีกรมาจากใคร มดดำกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่า หนุ่ม กรรชัยก็ วันหนึ่งที่ได้ทำรายการด้วยกัน พี่หนุ่มปิดประตูห้อง แล้วถามเราว่า มดอยากเป็นพิธีกรไหม มดจำคำพี่ไว้คำนึงนะ คนดูเค้าไม่ได้อยากดูมดดำพูด แต่เค้าอยากดูมดดำถาม แล้วเค้าอยากจะฟังคำตอบว่าคนที่มาอยู่กับมดดำตอบว่ายังไง คำพูดพี่หนุ่มมันทำให้มดดำกลับมาทบทวนตัวเอง ดังนั้นมดดำถึงบอกว่า ณ วันนี้ที่มดดำเป็นพิธีกรรายการทอล์กได้ ก็เพราะ พี่หนุ่ม กรรชัย กับคำสอนทุกอย่างที่มันใช้ได้ในชีวิตจริง ๆ”ทุกวันนี้ อยากเห็นคนรอบข้างเจริญเติบโตมากกว่าเรา“แปลกนะ ในอายุ 46 กลับกลายเป็นว่า เราอยากจะเห็นคนที่อยู่รอบข้าง เจริญเติบโตมากกว่าเรา คือเมื่อก่อนอายุ 20 กว่า มดดำยังรู้สึกว่าฉันจะต้องทำอะไรให้ตัวเองดีที่สุด ฉันจะต้องแรงที่สุด ฉันจะต้องดังที่สุด แต่วันนี้ทบทวนตัวเองจนได้เจอคำตอบว่า คน ๆ เนี้ยอาจจะเป็นหลานคุณก็ได้ คนนั้นอาจจะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างคุณมาตั้งแต่แรกก็ได้ แล้วยิ่งเห็นคนเหล่านั้นเติบโต มันมีความสุขมากกว่าเราเติบโต บางทีเราอาจจะไม่โตไปกว่านี้แล้ว การปล่อยให้คนรุ่นใหม่โตขึ้น มดดำว่าดีกว่านะคะเหมือนกับวันหนึ่งมดดำเคยกราบขอบคุณพี่ฉอด เพราะพี่ฉอดคือแรงบันดาลใจในการทำงานที่ เป็นภาพจำของผู้หญิงที่ชื่อสายทิพย์ มันเป็นภาพจำตั้งแต่มดดำอายุเด็ก ๆ ตั้งแต่มาจัดรายการวิทยุ เราก็จะมีคำถามในใจว่า คนเราต้องทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ ขนาดวันหยุดยังทำงาน แล้วอีกสิ่งที่พี่ฉอดสอนให้มดดำจำจนถึงวันนี้ คือ ให้รักและศรัทธากับสิ่งที่เราทำจริง ๆ วันนี้คุณจะทำอาชีพอะไร คุณขายบะหมี่ คุณขายเกี๊ยว คุณขายอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งหนึ่งต้องรู้ว่าเราทำไปเพื่อเงิน หรือเราทำไปเพราะรักและศรัทธา วันหนึ่งไม่ต้องไปมูที่ไหนหรอก ถ้าเราเริ่มจากรักแล้วก็ศรัทธาในอาชีพ เดี๋ยวมันจะรวยของมันเอง”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ มดดำ คชาภา“วันนี้ไม่เชื่อเรื่องรักแล้ว พอมานั่งทบทวนชีวิตตัวเอง ถึงรู้ว่าวัย 20 กว่า อาชีพหลักของมดดำคือวิ่งตามผู้ชาย ฉันเต็มที่มาก สมมติฉันหาเงินได้ 10 บาท ฉันพร้อมจะให้ผู้ชาย 5 บาทเลย แต่วันนี้ในวัย 46 เอาแค่ว่าเรารักตัวเองให้เป็น บางทีก็บอกว่าให้รักตัวเองให้เป็น ถามกลับไปว่ารักตัวเองให้เป็นออกกำลังกายบ้างหรือยัง เหงื่อออกจากตัวบ้างหรือยัง นอนหลับเป็นเวลาหรือยัง วันนี้มดดำมีเพื่อนดี ๆ อยู่รอบตัวเรา แต่จะพูดว่าทุกเรื่องที่เคยผ่านมาทั้งหมด วันนี้ไม่มีคำว่าเสียดายเลย ขอบคุณที่ตัวเองผ่านมาหมดแล้ว วันนี้มดดำมีเพื่อนที่เป็นเพื่อนสนิทกันจริง ๆ ที่เค้ามีลูกมีเมียแล้ว แต่เวลาไปเที่ยวเมืองนอกแล้วเราสามารถเดินแก้ผ้าอาบน้ำได้ ข้อดีคือเราได้เพื่อนที่เราไว้ใจกันได้มาจนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณในการวิ่งตามหาความรักในวันนั้น แต่ขณะเดียวกัน ตอนนี้ฉันวัย 40 หยุดวิ่งตาเถอะ ถ้าดวงมันมี เดี๋ยวมันก็มา”เปิดจุดเริ่มต้น ของตัวแม่สายมู“จุดเริ่มต้นก็คือตอนที่ตัวเองได้เป็นดารานี่แหละ เมื่อก่อนจะมีสายการบินชื่อภูเก็ตแอร์ เค้าก็จะเปิดทริปหนึ่งไปพม่า แล้วตอนนั้นภูเก็ตแอร์เค้าเป็นเจ้าของเบียร์ด้วย มดดำตัดสินใจไปทริปเพื่อที่จะดื่ม ปรากฏไปถึงพม่า เราก็เมา แล้วตกบันไดที่ ชเวดากอง แล้วมีคนทักว่า เดี๋ยวไปเนี่ยจะเป็นคนดังแล้ว ซึ่งพอกลับจากทริป ก็มีช่อง 5 ติดต่อมาจริง ๆ เริ่มต้นจากเป็นพิธีกร 5 นาที ชื่อรายการเป็นข่าว แล้วสักพัก วู้ดดี้ก็ติดต่อขอให้มาเป็นไฮโซบ้านนอก แล้วก็ดังจริง ๆมดดำจำได้ว่าตอนตกบันได อย่างแรกตอนตัวเองเงยหน้ามาก็เห็นเป็นพระจกบาตร เป็นพระอุปคุต ตั้งแต่วันนั้นมดดำก็เลยเชื่อเรื่องอุปคุต ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่าพระจกบาตรคืออะไร มารู้ตอนหลัง คือรู้แต่ว่าเราชอบพระองค์นี้ ถึงขนาดมีความคิดว่าถ้าตัวเองมีเงินก็จะสร้างพระองค์นี้ จนมาได้คำตอบว่าเป็นพระอุปคุต ถ้าใครบูชาแล้วจะไม่อดไม่อยาก บูชาแล้วมีกินมีใช้ แล้วจำได้ว่าพระที่เราตกบันไดลงมา คือจุดของพระอุปคุต จนถึงทุกวันนี้ก็ยังต้องกลับไปที่พม่าอยู่ ไปไหว้ท่าน เราก็เชื่อของเรา แล้วความเชื่อทำให้เรามีชีวิตวันนี้ได้”ความสุขที่แท้จริง ของ มดดำ คชาภา“เมื่อก่อนเวลาขอไหว้พระ มดดำจะขอให้เด่นขอให้ดังขอให้มีแต่คนรัก แต่ทุกวันคำอธิษฐานของมดดำคือ ขอให้ตัวเองทำงานไปจนลมหายใจสุดท้าย มดดำเจอแล้วว่าความสุขจริง ๆ ของเรา คือการทำงาน เพราะฉะนั้นก็จะขอทำงานไปจนตายเจอแล้วความสุขจริง ๆ ที่มันทำให้ตัวเองมีคุณค่า ทุกวันนี้ตื่นมาแล้วขอให้มีอะไรให้ทำ แล้วก็รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่วันนี้ตื่นขึ้นมาแล้วมันมีอะไรให้ทำ เพราะฉะนั้นเวลาไปขอพรพระ จะขอว่า ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มีจริง ขอให้ฉันมีงาน ให้ฉันทำงานจนวันที่ฉันตายความกลัวของมดดำคือ กลัวตัวเองฟุ้งซ่าน ซึ่ง ณ วันนี้ มันทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า เมื่อก่อนเราทำงานเพื่อชื่อเสียง เราทำงานเพื่อความดัง เราทำงานเพื่อเงิน แต่วันนี้มันได้คำตอบแล้วเราทำงานเพราะความสุข เรามีความสุขที่เห็นคนอื่นที่เจริญเติบโต เรามีความสุขที่การทำงานของมดดำมันคือโอกาสที่เราได้ยื่นให้คนอื่น แล้วการทำงานของเรา มันไปต่อชีวิตให้คนได้อีกเยอะนะ” - มดดำ คชาภาเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
17 มี.ค. 2025
“งานครีเอทีฟ งานสร้างสรรค์ คนมักจะเข้าใจว่า ต้องคิดเติมเข้าไปให้เยอะที่สุด แต่จริง ๆ ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า งานสร้างสรรค์ คือการเอาออกให้เหลือน้อยที่สุด มันจะทำให้คุณได้ของใหม่มาทันที”เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมายได้ Inspired ทุก Moment สำหรับ Club Inspired Day กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับ แขกรับเชิญที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิธีคิด และแรงบันดาลใจ “ป๋าเต็ด ยุทธนา” เสาหลักของวงการเพลงอินดี้ไทย เจ้าพ่อเด็กแนวผู้สร้างเทศกาลดนตรีระดับตำนานของเมืองไทย กว่าจะมีวันนี้ ป๋าเต็ด มีวีธีคิดและมุมมองอย่างไร เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ และมีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง ที่อยากแบ่งปันเพื่อจุดไฟฝันให้กับใครหลาย ๆ คน เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยเด็ก ของ ป๋าเต็ด ยุทธนา“ผมว่าตัวเองโชคดี ที่อยู่ในครอบครัวที่ได้ออกแบบสภาพแวดล้อม เตรียมให้ผมได้มาทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งตอนเด็ก ๆ บ้านผมเป็นร้านหนังสือ เลยทำให้ผมกลายเป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก แล้วคุณป้าซึ่งเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมเรียกคุณป้าว่าแม่ ท่านเป็นครูมาก่อน ก็จะสอนผมอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่บ้านเป็นร้านขายหนังสือ ก็จะมีหนังสือพิมพ์มาส่งทุกวัน แล้วป้าก็จะสอนผมอ่านพาดหัวข่าวทุกวัน เขาบอกว่าผมอ่านพาดหัวข่าวได้ตั้งแต่อายุ3 ขวบ แล้วคุณพ่อของผมทำงานอาชีพเป็นนักพากย์ ต้องไปพากย์หนังขายยาทั่วประเทศ แล้วเวลาไป เขาก็จะซื้อหนังสือ Pocket Book เอาไว้ไปอ่านระหว่างเวลาว่าง แล้วก็จะเอาหนังสือมาทิ้งไว้ที่บ้าน ผมก็หยิบมาอ่าน ผมเริ่มอ่านหนังสือที่พ่อทิ้งไว้ตั้งแต่ 7 ขวบ โดยหนังสือที่อ่านเป็นเรื่องสั้น ก็เลยทำให้ผมรักการอ่านตั้งแต่เด็กอีกข้อหนึ่งคือ คุณลุงทำโรงหนัง แล้วตอนเด็กผมอยู่โรงหนังใน อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เป็นอำเภอที่เล็กมาก มีโรงหนังอยู่แค่สองโรง แล้วหนังที่เข้าโรงเรื่องหนึ่งจะเข้าประมาณ 2 วัน นั่นหมายความว่า ถ้าคุณดูโรงหนังสลับกันสองโรง คุณจะมีหนังดูทุกวันแบบไม่ซ้ำกันเลย ผมก็เลยสามารถดูหนังฟรีได้ และมีหนังให้ดูฟรีวันเว้นวัน แล้วบังเอิญว่าคุณป้าชอบดูหนัง แล้วเขาพาผมไปดูหนังทุกวัน แล้วการได้ดูหนังทุกวันแปลว่าเราไม่เลือกเลยว่ามีหนังอะไรเข้าอยู่ เพราะว่าเรื่องอะไรเข้ามาก็ต้องดู ผมก็เลยได้ดูหนังทุกประเภท และสนุกกับหนังทุกแบบ ไม่ว่าจะหนังจีน หนังแขก หนังไทย หนังฝรั่ง แม้แต่หนังที่เขาว่าห่วยผมก็ดูได้อย่างสนุกสนาน ดูด้วยความเข้าใจผมอยากเข้าใจว่าทำไมเขาถึงให้สร้างหนังเรื่องนี้ออกมาได้ ถ้ามันห่วยขนาดนั้น หรือบางเรื่องที่เขาว่าห่วย แต่มันทำเงินได้เยอะ แล้วคนแบบไหน ที่จะชอบหนังแบบนี้ แล้วทำไมคนแบบนี้ถึงไม่ชอบหนังแบบอื่น เราก็ได้เรียนรู้ชัด ๆ อีกที ตอนที่ไปทำงานช่วงปิดเทอมกับคุณพ่อว่า หนังขายยามันคือ ฉายหนังเรื่องเดียวแล้วก็วนไปฉายแต่ละหมู่บ้าน มันทำให้ผมได้ดูหนังเรื่องเดิมทุกคืน แต่เปลี่ยนกลุ่มคนดู ไปหมู่บ้านนี้ฉากนี้คนฮามาก พอไปอีกหมู่บ้านฉากนี้ไม่ฮา แต่ไปฮาอีกฉากนึง ไปอีกหมู่บ้านกลับร้องไห้กันแบบถล่มถลาย ซึ่งพอโตขึ้นแล้วมองย้อนกลับไป ถึงเข้าใจว่าจริง ๆ แล้ว พ่อเราสอนเรื่องกลุ่มเป้าหมายมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เรายังไม่ได้เรียนนิเทศาสตร์ แต่ละหมู่บ้านเดโมกราฟฟิกไม่เหมือนกัน หมู่บ้านนี้เด็กเยอะ หมู่บ้านนี้วัยรุ่นเยอะ อีกหมู่บ้านคนแก่เยอะ มันก็จะทำให้เขาชอบหนังเรื่องเดียวกันในคนละจุด หรือเขามีปฏิกิริยาตอบรับกับหนังคนละแบบ และผมก็เข้าใจว่า มันไม่มีคำว่าหนังที่ดีที่สุด หรือหนังที่ห่วยที่สุด มันอยู่ที่ว่าหนังเรื่องไหนมันเหมาะกับใคร หรือกระทั่งหนังเรื่องเดียวกันในแต่ละฉากก็เหมาะกันคนบางกลุ่ม แล้วพอถึงตอน ม.6 ตอนนั้นผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเรียนอะไร แล้วพี่ที่บ้านก็บอกว่า ไปเรียนนิเทศศาสตร์สิ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า นิเทศศาสตร์ คืออะไร เราเลยไปศึกษาดูว่าคณะนี้คืออะไร ก็รู้ว่ามีเรียนทำหนัง ทำวิทยุโทรทัศน์ เรียนประชาสัมพันธ์ มันน่าจะสนุก ก็เลยลองไปเรียนจริง ๆ แล้วพอเข้าไปเรียน มันเหมือนเขาคัดคนที่เหมือนกลุ่มเพื่อนที่เราต้องคบไปตลอดชีวิตให้มาอยู่ด้วยกัน รุ่นพี่รุ่นน้องที่คุณต้องทำงาน และเจอกันไปตลอดชีวิต รวมมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเจอกันอยู่”จุดเริ่มต้นของ “ป๋าเต็ดทอล์ก”“ที่ผมทำรายการ ป๋าเต็ดทอล์ก มาจาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ สาเหตุแรกมันเริ่มจากช่วงที่เริ่มทำป๋าเต็ดทอล์ก เป็นช่วงที่บ้านเมืองมันมีความขัดแย้งกันค่อนข้างสูง ทั้งความคิดในเชิงการเมือง หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นโดยทั่วไปผ่านสื่อ Social Media เราสามารถทะเลาะกันได้เพียงเพราะความเชื่อทางการเมืองเราไม่เหมือนกัน เกิดการทะเลาะกันแบบเอาเป็นเอาตาย มันเป็นการจุดประเด็นแรกขึ้นมา ผมเลยสงสัยว่าทำไมสังคมไทยมันมาไกลขนาดนี้ เพียงเพราะเห็นอะไรไม่ตรงกัน เราเลยเกลียดกันได้ขนาดนั้นอีกประเด็นหนึ่งคือ คุณสุทธิชัย หยุ่น มาสัมภาษณ์ผม แล้วได้ถามความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปในสังคม แล้ววันที่เขามาสัมภาษณ์ผม มันสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมากเลย เพราะคุณสุทธิชัย หยุ่น เป็นปรมาจารย์ด้านข่าว แต่ทุกวันนี้เขาเกษียณแล้ว และไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่เขายังเลือกที่จะทำรายการ แล้ววิธีการทำรายการของเขามันเก๋ามาก มันก็เลยสร้างแรงบันดาลใจให้ผมว่า จริง ๆ เราเป็นคนทำสื่อมาก่อน แล้วตอนนี้เราทำอีเวนต์ เราก็ยังมีนิสัยของคนทำสื่อ เราอยากเอาเรื่องที่อยากให้คนรับทราบ มาเผยแพร่ผ่านมุมมองของเรา เพื่อทำให้คนสนใจ หรือเข้าใจมันได้ง่ายขึ้นมันเลยทำให้เกิดเป็น Concept ของ รายการป๋าเต็ดทอล์ก ก็คือ เอาความเป็นนักเล่าเรื่องของผม ที่อยากทำให้คนหันมาคิดกันว่า เรามีเรื่องอะไรก็ตามที่เห็นไม่เหมือนกัน ก่อนที่เราจะเริ่มเถียงกัน ให้เริ่มจากการทำความเข้าใจก่อน แล้วบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นต้องเถียงกันเลยก็ได้ ซึ่งหลายอย่างมันอาจจะขัดกับความคิดของผู้คนจำนวนหนึ่ง หรือหลายอย่างมันอาจจะทำให้ เราไม่ชอบแขกรับเชิญคนนั้นด้วยซ้ำ แต่คนเราบังคับให้ชอบหรือไม่ชอบกันไม่ได้หรอก แต่คนเราเข้าใจกันได้ เข้าใจกันแล้วจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่มันไม่ต้องเกลียดกันสิ่งที่หลายคนพูดตรงกันเวลาที่มารายการป๋าเต็ดทอล์ก มันเหมือนกันว่า เขาได้มาพบจิตแพทย์ เขาได้เคลียร์ และได้พูดในสิ่งที่เขาอาจจะไม่กล้าพูดมาก่อน ซึ่งทั้งหมดมันอยู่บนพื้นฐานของความไว้ใจซึ่งกันและกัน มันเลยนำมาซึ่งบรรยากาศที่เรียกว่า Deep Talk จริง ๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เก่ง ผมให้เครดิตกับทีมงานทุกคนที่ทำการบ้านมาดี ตัดต่อดี แขกรับเชิญที่ไว้ใจผม แล้วทำให้การสัมภาษณ์มันไปถึงจุดที่เราไม่คาดคิดได้”เจ้าพ่อเด็กแนว กับการเข้าใจคนทุก Gen“การทำงานกับคนรุ่นใหม่ ผมว่าหลัง ๆ ก็เห็นปัญหาพอสมควร ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้อง ๆ แต่มันอยู่ที่ผม ตอนนี้ผมอายุ 57 แล้ว ซึ่งน้อง ๆ ส่วนใหญ่ในออฟฟิศก็อายุ 20 ปลาย ๆ ถึง 30 ต้น ๆ ก็เริ่มเห็นความยากขึ้นเรื่อย ๆซึ่งหลักการในการทำงานกับคนต่างรุ่น มันก็ว่าด้วยเรื่องความเข้าใจ และคนวัยผมมันก็ผ่านการเป็นวัยรุ่นมาแล้วกันทั้งนั้นแหละ เราเองก็เคยผ่านกับการทำงานกับคนต่างรุ่นมาแล้ว ยิ่งคนแก่อย่างผมยิ่งได้เปรียบ เพราะเราผ่านมาแล้วทุกรุ่น เราแค่นึกถึงวันที่คุณอายุเท่าเขา คุณก็เป็นเหมือนกัน คุณเคยไม่เชื่อผู้ใหญ่ เคยตั้งคำถาม บางคนเขาคิดแต่ไม่กล้าพูดออกมา แต่ด้วยสภาพแวดล้อมวันนี้เขาคิดแล้วเขาพูดเลย เขาแสดงออกมาเลย ซึ่งไม่ใช่ความผิดในสภาพล้อมปัจจุบันมันทำแบบนั้นได้ สังคมพร้อมในการที่จะแสดงความรู้สึกออกมาให้ชัดเจน แต่ถ้าเป็นคนรุ่นเราก็จะเก็บไว้ก่อน แล้วก็เอาไปบ่นกับเพื่อน ซึ่งเราก็จะไประเบิดอีกทีหนึ่งในตอนที่ปัญหามันเกิดแล้ว และมันสายเกินจะแก้ เราเลยกลับมาถามตัวเองบ้างว่า ทำไมเด็กมันไม่คิดแบบเรา ทั้งหมดนี้คือการพยายามทำความเข้าใจกัน”ถอดบทเรียนของ 3 Iconic ในชีวิตของ ป๋าเต็ด ยุทธนา“ผมเริ่มทำงาน ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงานเลยครับ เริ่มที่แกรมมี่กับ พี่เล็ก บุษบา ดาวเรือง ตอนคอนเสิร์ตคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด จะบินไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ผมว่า Mind set ของผม มันทำให้ผมกลายมาเป็นผมในทุกวันนี้ ผมเป็นคนกลาง ๆ ไม่ได้เก่งที่สุด และไม่ใช่เกเรที่สุด เราเลยมีเพื่อนทั้งแก๊งเกเร และแก๊งเรียนเก่ง และเราไม่ใช่คนที่สุดขอบ เราไม่ใช่อันดับ 1 เลยทำให้เรามีโอกาส และเราเปิดใจที่จะเรียนรู้เสมอ และถูกปลูกฝังด้วยครอบครัวที่ให้เรามองโลกในแง่ดี เปิดรับทุกสิ่ง ซึ่งเวลาผมได้เรียนรู้กับอะไรสักอย่าง ผมจะพยายามเรียนรู้อย่างจริงจังมากในมุมมองหลังจากที่ผมได้มีโอกาสร่วมงานด้วย พี่เล็ก บุษบา ดาวเรือง ผมได้รับอิทธิพลจากพี่เล็กมาครึ่งตัวเลย ในพาร์ทของการมองโลกในแง่ดี พาร์ทแห่งการยิ้มเข้าหาปัญหา เวลาเราเกิดปัญหาเรามักจะโกรธ หรือโมโห ซึ่งเสียเวลาไป 5 นาทีแล้วกับการโกรธ แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้น แล้วเรามานั่งคุยกันว่าวิธีนี้มันใช้ไม่ได้เราตัดมันออกไปเลย ทุกปัญหามีทางออก ให้ยิ้มแล้วก็สนุกกับมันมากกว่าที่จะหงุดหงิด แล้วมันทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ซึ่งนี้คือสิ่งที่ผมได้จากพี่เล็ก บุษบาสำหรับ พี่เบิร์ด ธงไชย นี่คือตัวอย่างของคำว่ามืออาชีพ พี่เบิร์ดเป็นคนที่รู้หน้าที่ของตัวเอง ในการทำคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดต้องเต้นกี่เพลง ร้องกี่เพลง ใช้พลังงานแค่ไหน พอพี่เบิร์ดรู้ว่าต้องมีคอนเสิร์ต ก่อนหน้านั้น 3 เดือน พี่เบิร์ดจะเดินบนสายพานเป็นเวลาเท่ากับคอนเสิร์ตทุกวัน นี่คือตัวอย่างที่ดีของการมีวินัย อีกอย่างคือเคารพหน้าที่ของทุกคน ผมรู้จักพี่เบิร์ดมา 30 ปีแล้ว จนวันนี้พี่เบิร์ดยังเหมือนเดิมทุกประการ ให้เกียรติกับทีมงานทุกคน พี่เบิร์ดเชื่อว่าคนที่มาทำเสื้อผ้าให้ ก็ต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดแล้วในการมาทำเสื้อผ้า แล้วพี่เบิร์ดเสมอต้นเสมอปลาย ใครทำงานกับพี่เบิร์ดทุกคนก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันทั้งนั้นว่าทำงานด้วยแล้วมีความสุขส่วน คุณไพบูลย์ ดํารงชัยธรรม พี่บูลย์ เป็นสัญลักษณ์ของการเป็นนักธุรกิจที่เท่มาก รสนิยมดี พี่บูลย์เป็นนักการตลาด ณ วันที่ก่อตั้งแกรมมี่ พี่บูลย์ กับ พี่เต๋อ เป็นคู่หูที่ลงตัวที่สุด พี่เต๋อ คือสุดยอดของ Producer ตัวพ่อแห่งวงการเพลง ทุกคนต้องเชื่อพี่เต๋อหมด ในขณะเดียวกัน พี่บูลย์ ก็เป็นสุดยอดนักการตลาด คือเป็นคนที่เล่นดนตรีไม่เป็นเลย แต่เป็นตัวแทนเสียงของประชาชน เวลาคุยกันเรื่องเพลงนี้จะฮิตหรือไม่ฮิต พี่เต๋อ ก็จะฟัง พี่บูลย์ แต่ถ้าในทางวิชาการก็ต้องยกให้ พี่บูลย์ ซึ่งในมุมของความเป็นนักการตลาด ผมว่ามันมีอะไรหลายอย่าง พี่บูลย์ ได้พิสูจน์ให้เห็น แกรมมี่เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ฝีมือพี่บูลย์”Short Cut ความสำเร็จ จากเจ้าพ่อเด็กแนว“ความที่ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง มันก็เลยกลายเป็นอาวุธลับของผม คือผมพร้อมที่จะซึมซับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ผมพร้อมที่จะลดอีโก้ของผม เพื่อที่จะซึมซับสิ่งที่ดี ๆ จากคนที่อยู่รอบ ๆ ข้าง ผมชอบสอนลูกน้องหลายๆ ครั้ง เวลาที่เราเจอความขัดแย้งมาก ๆ ท่าไม้ตายของผมเวลาที่เจอความขัดแย้งระดับสูง ๆ ผมจะบอกว่า เราจงต่อสู้ด้วยวิธีการยอมแพ้ คือบางครั้งถ้าเรารู้ว่าชนไปมันแตกหักด้วยกันทั้งคู่ แล้วไม่เกิดอะไรดีเลย อย่างนั้นเรื่องนี้เรายอมเค้าก็ได้ อย่างน้อย งานโปรเจกต์นี้จะได้เดินต่อไปได้ มองภาพรวมเป็นหลักดีกว่า ความยอมรับได้ว่าบางเรื่องเราก็โง่ได้ บางเรื่องเราก็แพ้ได้ ดีต่อชีวิตในระยะยาวมากกว่า ความพยายามที่จะชนะ แล้วก็ฉลาดไปในทุกเรื่องผมไม่เชื่อเรื่อง ความจริงมีหนึ่งเดียว ถ้าสมมุติคุณชูกําปั้นขึ้นมา แล้วเรามองจากหลายมุม ภาพกำปั้นก็เปลี่ยนไป สิ่งที่เราต้องทำก็เพียงแค่เราลองเปลี่ยนมุมมองดูบ้างไหม และมุมมองที่ผมได้จากพี่ ๆ คือ งานครีเอทีฟ หรือ งานสร้างสรรค์ คนมักจะเข้าใจว่าคิดให้เยอะ ๆ แล้วเติมเข้าไปให้เยอะที่สุด แต่คุณลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ดูว่า งานครีเอทีฟ คือการเอาออกมาให้เยอะที่สุด และให้เหลือน้อยที่สุด คุณจะได้ของใหม่เลยทันที ซึ่งไอเดียที่ได้ ผมไม่ได้บอกว่ามันจะเป็นไอเดียที่เจ๋งที่สุด แต่มันจะเหมาะกับเวาลาที่คุณต้องทำตามโจทย์มากที่สุด เพราะมันคือการคิดจากโจทย์ก่อน แล้วค่อยหาคำตอบ สมมติอีกแบบหนึ่ง คุณอาจจะถมไอเดียคุณไปหมดทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้คือ คุณชอบมาก แต่คอนเสิร์ตนั้นคนอาจจะไม่ซื้อตั๋วเลย หรือคุณอาจจะทำงานไม่ทัน ไอเดียดีมากเลย แต่ผ่านไป 3 วันหมดเวลา แต่คุณทำงานได้ไม่ถึง 10 % ของสิ่งที่คิดไว้ สุดท้ายมันก็เจ๊งอยู่ดี”วิธีการเลี้ยงลูกสุดแนว ของเจ้าพ่อเด็กแนว“ผมว่าผมโชคดีที่บ้านผมอยู่ด้วยเหตุและผลพอสมควร เราสนุกกับการถกเถียงในแบบที่เอาเหตุผลมาถกเถียงกัน แล้วการที่ลูกผมโตขึ้นมา เริ่มตั้งแต่อยู่ในท้อง มันจะมีเครื่องที่เอาไว้ให้พ่อคุยกับลูกในท้อง ตอนนั้นผมเปิดเพลงของ The Beatles ให้ฟัง เพราะผมรู้สึกว่า The Beatles คือวงดนตรีที่เหมาะมาก ที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ดนตรีทุกแนว และก็เข้าใจว่าเพลงที่มีคุณภาพเป็นอย่างไรผมจึงเปิดเพลงชื่อเพลง I Will ของ The Beatles ให้ลูกฟัง แล้วก็เป็นเบบนั้นจริง ๆ พอโตขึ้นมาผมก็รู้สึกว่าลูกฟัง The Beatles แล้วก็ชอบทันทีผมเป็นคนเก็บหนังสือ เก็บ DVD ที่บ้าน แล้วก็เรียงไว้บนชั้นไว้ การ์ตูนอยู่ข้างล่าง ให้เหมาะกับความสูงของเขา พอโตถึงขั้นไหน ผมก็จะใส่หนังที่เขาดูได้ไล่ตามความสูงขึ้นไป ผมว่าผมปลูกฝังโดยไม่ได้ตั้งใจ มันไม่ถึงกับหยิบหนังมาให้ดู แต่วางของไว้รอบตัว เพื่อที่จะให้เขาโดนล้อมด้วยสิ่งเหล่านี้ เหมือนที่ผมโดนล้อมด้วยร้านหนังสือ ด้วยโรงหนัง ผมก็เลยโตมาเป็นแบบนี้ ผมก็เลยล้อมเขาด้วยกองหนังสือ กอง DVD แผ่นเสียง เขาก็เลือกหยิบในแบบที่เขาชอบในการเลี้ยงลูก ผมแบ่งหน้าที่กับแม่เขา ซึ่งบังเอิญพอเป็นลูกสาวคนเดียว ก็จะแบ่งง่ายหน่อย พอเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องความงาม เรื่องแฟน คุณแม่ก็จะรับหน้าที่ไป แล้วตอนที่เขาเริ่มดื่มเบียร์ได้แล้ว ผมพาเขาไปดื่มเบียร์ด้วยกัน ค่อย ๆ ถามวา ขวดแรกเป็นยังไง มึนมั้ย ขวดที่สองเป็นยังไง เริ่มมึนแล้วใช่มั้ย แปลว่าคุณกินได้สองขวดแล้วมึน ถ้าคุณไปขวดที่สาม ต้องมั่นใจว่าคนรอบข้างคุณไว้ใจได้ เราไม่สามารถจะดูแลคุณได้ตลอดเวลา เราก็ต้องหัดให้เขาดูแลตัวเองมากกว่าที่จะไปบอกว่าอย่ากิน ทำยังไงเขาถึงจะอยู่กับสภาพแวดล้อมนี้ได้ปลอดภัยมากกว่าที่จะไปห้ามในสิ่งที่มันห้ามไม่ได้จริง"ความฝันที่ยังไม่ได้ลงมือทำ ของ ป๋าเต็ด ยุทธนา“ผมยังไม่ได้กำกับหนัง เป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาก เพราะโตมากับการดูหนังทุกวัน จริง ๆ เหตุผลสำคัญที่เลือกเรียนนิเทศาสตร์ เพราะอยากทำหนัง ผมไม่ได้อยากเป็นดีเจ สมมติว่าฝันของเราคือ Google Maps มันเหมือนผมกดว่าจะไปเชียงใหม่ ก็เหมือนกับกดว่าจะไปทำหนัง แล้วผมก็ขับรถตามไปตามที่มันบอก แต่ระหว่างทาง ถึงอ่างทอง มีก๋วยเตี๋ยวอร่อย ก็ลองแวะเที่ยวสักสองสามคืน แวะอุทัยธานีกินปลาเผา จนถึงวันนี้ผมยังไม่ถึงเชียงใหม่เลย แต่ผมก็ยังตั้งใจว่าจะไปเชียงใหม่ ผมก็ยังสนุกมากกับสิ่งที่ทำตอนนี้ ผมรู้ว่าการจะทำหนังเรื่องหนึ่งมันไม่สามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ ผมอาจจะต้องหยุดทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกำลังทำอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งถามว่าตอนนี้หยุดได้ไหม ก็หยุดไม่ได้ มันมีความรับผิดชอบที่เราหยุดไม่ได้ แต่เป้าหมายก็ยังอยู่ที่เชียงใหม่เหมือนเดิม”จากเจ้าพ่อเด็กแนว สู่นักเล่นโป๊กเกอร์“ผมเติบโตมาท่ามกลางวงไพ่ ต่างจังหวัด ตามงานเค้าชอบเล่นกัน ผมก็นอนหนุนตักแม่ ดูเขาเล่นกันไป พอแม่ลุกไปเข้าห้องน้ำ เราก็เริ่มดูให้เพราะเราดูเขาเล่นบ่อย จนมาเข้าใจกติกาโป๊กเกอร์ มันเกิดจากการดูหนังโจชิงสือ เราเห็นแล้วน่าสนุก เราก็พยายามไปหาข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย แล้วทำให้เราเข้าใจมากขึ้น จนมีวันหนึ่ง มีคนมาบอกว่า โป๊กเกอร์มันเป็นกีฬา มีแข่งกันอยู่ พอเรารู้ก็เลยเปิดดู มันเหมือนเชียร์กีฬาฟุตบอลนี่แหละ ที่ดูแล้วมีการวิเคราะห์เกม แล้วพอเรารู้ว่าใครก็ไปแข่งได้ ก็เลยลองไปแข่ง ครั้งแรกที่ไปนี่คือ ฮานอย ประเทศเวียดนาม พอลงแข่งครั้งนั้นถึงรู้สึกว่า เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ถึงขั้นวางแผนว่า อาชีพในบั้นปลาย ผมจะประกอบอาชีพเป็นนักโป๊กเกอร์”เป้าหมาย ของ ป๋าเต็ด ยุทธนา“เป้าหมายของผม คืออยากรวย แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แล้วก็เล่นโป๊กเกอร์อย่างเดียว จริง ๆ ผมอยากจะมีชีวิตอิสระ แม้วันนี้มันยังมีภาระต้องทำ แต่วิธีที่จะไปสู่จุดนั้นได้ก็คือ รวยมาก จนทำอะไรก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัด หรือ ต้องการน้อยมาก จนไม่ต้องมีมากก็ได้ ในวันที่หมดไฟ หลักการที่ผมเคยได้ยินมาก็คือ ลองคิดดูว่าวันนี้ถ้าเราตื่นมา แล้วไม่มีรายได้เข้ามาอีกเลย คุณจะใช้ชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน บางคนอาจจะบอกว่าอยู่ได้ 1 วัน นั่นแสดงว่าต้นทุนคุณสูง แต่ถ้าคุณยิ่งอยู่ได้นานเท่าไหร่ ก็แปลว่าต้นทุนคุณต่ำ ซึ่งเกิดจากสองเรื่องบวกกันคือ คุณสะสมไว้เยอะ กับคุณต้องการแต่ละวันน้อย ก็ต้องทำตัวให้คุณอยู่อย่างไรให้ได้นานที่สุด ความเครียดมันก็จะน้อยลง ผมก็ยังคิดว่าผมจะทำได้ไหม แต่นี่มันคือวิธีที่ทำให้ความเครียดน้อยที่สุด ต้องหาตรงกลางให้เจอ” - ป๋าเต็ด ยุทธนาเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง
07 ส.ค. 2024
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
06 ส.ค. 2024
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
06 ส.ค. 2024
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
05 ส.ค. 2024
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
05 ส.ค. 2024
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
04 ส.ค. 2024
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
26 มี.ค. 2025
เปิดซองแดง พร้อมรับแรงบันดาลใจ ไปกับ “หมู ชยนพ” ผู้กำกับอารมณ์ดี ที่พาหนังไทยไปไกลระดับ Masterpiece . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #Clubinspiredday #GreenWave1065 #GreenWave #หมู #หมูชยนพ #ผู้กำกับ #หนัง #SuckSeed #ห่วยขั้นเทพ #เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ #พรจากฟ้า #ซองแดงแต่งผี #TheRedEnvelope #InspiredทุกMoment #ดีเจเป้ #ดีเจแคน
19 มี.ค. 2025
จากคุยในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นคอนเทนต์ประจำตัว อินฟลูคู่แม่ลูก ที่คุยกันจนได้เรื่อง! “ภาวินท์ และคุณหมอแม่” พร้อมเปิดทุกแนวคิดเลี้ยงลูกยังไงให้คุยได้เหมือนเพื่อน . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #Clubinspiredday #GreenWave1065 #GreenWave #แม่ลูกคุยกัน #หมอแม่ #ภาวินท์ #ภาวินท์หมอแม่ #drmom #pawindrmom #InspiredทุกMoment #ดีเจเป้ #ดีเจแคน
12 มี.ค. 2025
พูดแรงแต่จริง พูดตรงแต่โดน!! เปิดคลับต้อนรับ “มดดำ คชาภา” ตัวมัมเรื่องแฉ ที่จะมาแชร์ เส้นทางชีวิต ของพิธีกรฝีปากกล้า บนสังคมที่พร้อมเสิร์ฟดราม่า จนมาเป็นความสำเร็จที่ใคร ๆ ก็จดจำ . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #Clubinspiredday #GreenWave1065 #GreenWave #มดดำ #มดดำชาภา #พิธีกร #ดีเจ #ตัวแม่ #แฉ #InspiredทุกMoment #ดีเจเป้ #ดีเจแคน
05 มี.ค. 2025
เปิดคลับครั้งแรก!! พบเจ้าพ่อเทศกาลดนตรีรุ่นใหญ่หัวใจวัยรุ่น “ป๋าเต็ด ยุทธนา” ผู้ขับเคลื่อนวงการมิวสิคเฟสติวัลไทย พร้อมถอดวิธีคิดสุดแนว ถ้าอยากแหวก ต้องมองให้แตกต่าง . เปิดรับแรงบันดาลใจพร้อมกัน พุธนี้ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม กับดีเจเป้ และ ดีเจแคน ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ “Inspired ทุก Moment” . #Clubinspiredday #GreenWave1065 #GreenWave #ป๋าเต็ด #ป๋าเต็ดยุทธนา #Creative #Bigmountainmusicfestival #InspiredทุกMoment #ดีเจเป้ #ดีเจแคน
28 ก.พ. 2025
Club เปิดใหม่!! ที่มีกฎง่ายๆ คือ “Inspiration” เป็นรายการที่จะพามาคุยกับเหล่า Iconic คนดังในทุกวงการ กับเรื่องราวที่จะจุด Inspired เรารวมไว้ให้แล้ว . มาเปิดรับแรงบันดาลใจได้ทุกวันพุธ 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม ที่ Green Wave 106.5 FM . และช่องทางออนไลน์ Facebook : Greenwave1065 Tiktok : greenwave1065 YouTube : ATIME Application : Atime Fungfin . เริ่มวันพุธ ที่ 5 มีนาคมนี้ จะเป็นเรื่องราวของ Iconic คนไหน หรือยากให้เป็นใคร “พิมพ์ Comment ทิ้งไว้เลย” . เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย…ได้ “Inspired ทุ ก Moment” #GreenWave1065 #clubinspiredday #InspiredทุกMoment #ดีเจเป้ #ดีเจแคน
27 ก.พ. 2025
Club Pride Day x โรส ศิรินทิพย์ | 27 ก.พ. 68 . ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอคนนี้ เพราะเธอคือศิลปินเสียงดีและเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวของตัวเอง "โรส ศิรินทิพย์" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #โรส #โรสศิรินทิพย์ #Rose #ก้อนหินก้อนนั้น #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #รวมไฮไลท์ .
20 ก.พ. 2025
เปิดสนาม เตรียมลูกขนไก่ มารับแรงบันดาลใจจาก “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักสู้ผู้ครองแชมป์แบดมินตันระดับโลก! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ปอป้อ #ปอป้อทรัพย์สิรี #poporsapsiree #แบดมินตัน #badminton #โอลิมปิก #olympics #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่
14 ก.พ. 2025
Club Pride Day x ซิน Singular | 13 ก.พ. 68 . เปิดไมค์ออนแอร์ พร้อมแชร์เรื่องราวที่ไม่ได้ (เบาเบา) เหมือนชื่อเพลง ของศิลปินหนุ่มเสียงนุ่ม ที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิน "ซิน Singular" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ซิน #sinsingular #ซินซิงกูลาร์ #เบาเบา #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #รวมไฮไลท์ .
06 ก.พ. 2025
เตรียมเมาท์แบบสวยสับ ฉบับตัวแม่ "โม จิรัชยา" นางแบบ บล็อกเกอร์ อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016 พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #โม #โมจิรัชยา #mojiratchaya #MissTiffanysUniverse2016 #MissInternationalQueen2016 #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่
31 ม.ค. 2025
Club Pride Day x มิ้วกี้ ไปรยา | 30 ม.ค. 68 . สวยสับ ลัคชูฯ ไปกับคุณหนูตัวแม่เซ็กซี่ซู่ซ่า "มิ้วกี้ ไปรยา" กับการสร้างแรงบันดาลใจกับผู้หญิงและเหล่า LGBTQ+ หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #มิ้วกี้ #มิ้วกี้ไปรยา #milky #milkypraiya #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #รวมไฮไลท์ .
23 ม.ค. 2025
เตรียมเม้าท์กับ “ปิงลี่ เฟมัส” ดาวโซเชียล ตัวแม่บนสังเวียนมวย ตัวตึงเวทีนางงาม สู่ก้าวสำคัญของการเป็นแม่สุด Famous แห่งปี เว่าแล้วก็ไป! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ปิงลี่ #ปิงลี่เฟมัส #pingliifamous #LaphitWongthawi #misskeemao2024 #ลูกชิ้นนายปิง #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่
06 มี.ค. 2025
welcome to Anti-aging Class วันนี้หมอเพื่อนและดีเจแนนจะพาไปรู้จักกับคำว่า ‘ชะลอวัย’ คำที่ ‘มีความหมายมากกว่าแค่หน้าเด็ก’ พร้อมลงลึกถึง 'Epigenetics' ตัวการสำคัญของการเปลี่ยนในร่างกาย และเคล็ดลับโกงอายุแบบครบสูตรที่บอกเลยว่า30+ ก็ Young แจ๋วได้ เตรียมจดกันได้เลย EP.จัดมาให้แบบเต็มๆ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจแนน #ชะลอวัย #AntiAging #หน้าเด็ก #Epigenetic #ริ้วรอย #ร่องลึก #ความสวย #อาหาร #สุขภาพ
20 ก.พ. 2025
งานเยอะ งานหนัก ทำ OT ฉ่ำ มารวมกันตรงนี้ เข้าห้องตรวจกับหมอเพื่อนและดีเจอั๋นเช็กกันหน่อยว่า กำลังมีภาวะออฟฟิศซินโดรม Burnout หรือว่าซึมเศร้ากันอยู่รึเปล่า
27 ม.ค. 2025
ใคร ๆ ก็อยากมีสุขภาพที่ดี แต่จะต้องทำยังไงบ้างหละ มาฟังจากปากคุณหมอด้วยกันใน EP.นี้ได้เลย
14 ม.ค. 2025
เช็กหัวใจกับพี่อ้อย และ หมอเพื่อน ใครที่ชอบมีอาการใจเต้นแรง ต้องมาดูไว้เลย เพราะอาจจะไม่ใช่อาการของความรัก แต่อาจจะเป็นโรคหัวใจ
30 ธ.ค. 2024
ดีเป้ชวนคุณหมอเพื่อนมาเช็กดวงสุขภาพ จากพฤติกรรมที่ทำสะสมมาตลอดทั้งปี ใครอยากรู้ดวงสุขภาพจะเป็นยังไงติดตามได้ใน EP.นี้
26 ธ.ค. 2024
ถึงเวลาของความเป๊ะ ใครที่ชอบดูแลผิว หรืออยากเริ่มดูแลผิวตั้งแต่ปีใหม่นี้ ต้องติดตามเพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ไว้ให้ดี เพราะว่าคุณหมอเพื่อนกับดีเจแนนจะพาทุกคนไปปลดล็อกสกิลดูแลผิว อะไรถูก อะไรผิด เดี๋ยวทั้งคู่จะมาเฉลยกันใน EP. นี้ เตรียมเช็กลิสต์กันไว้ได้เลย .
29 มี.ค. 2025
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
14 มี.ค. 2025
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
07 มี.ค. 2025
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
28 ก.พ. 2025
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
21 ก.พ. 2025
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
14 ก.พ. 2025
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
31 ม.ค. 2025
30 ก.ย. 2024
31 พ.ค. 2024
31 ม.ค. 2024
07 พ.ย. 2023
31 ก.ค. 2023
30 พ.ย. 2024
31 ก.ค. 2024
29 ก.ย. 2023
31 พ.ค. 2022
06 มี.ค. 2025
หลายคนอยากให้ตัวเองมีความหนุ่มสาวในระยะเวลายาวนานมีอายุให้ยืนยาวเป็นสิ่งที่ทุกคนไฝ่ฝันไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก จึงมีการเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะและวิธีหลากหลายมาช่วยดูแลบำรุงรักษาชะลอความเหี่ยวย่นความชราเพื่อให้อายุยืนยาวอยู่ได้นานๆไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ต้องมีต้นทุนทรัพย์สินหากไม่มีต้นทุนจะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ และพบกับความยุ่งยากชีวิตก็เหมือนกับเราแต่ละคนมีต้นทุนที่ต่างกันต้นทุนชีวิตซึ่งได้มาจากพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษหรือในแพทย์แผนปัจจุบันเราเรียกว่า DNAแต่ในแพทย์แผนจีนจะเรียกว่า”ทุนก่อนกำเนิด”และ”ทุนก่อนกำเนิด”นั้นมักจะสะสมอยู่ในไต ถ้าหากคุณอยากมีการเจริญเติบโตที่แข็งแรง เฉลียวฉลาดไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยมีอายุยืนยาว ต้องเรียนรู้ในการดูแลบำรุงต้นทุนของตัวเองให้ดีนะคะไตในแพทย์แผนจีนนอกจากเป็นต้นทุนก่อนกำเนิดแล้ว ยังเก็บสะสมพลังงานที่กินจากกระเพาะ ม้ามที่ย่อยแล้วส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกายเสมือนแบตเตอร์รี่ของร่างกายแต่เมื่ออวัยวะอื่นถูกใช้พลังงานไปจนหมดจนไตต้องส่งพลังงานไปเสริมถ้าหากใช้พลังงานไปมากใช้จนเกินตัวใช้ชีวิตสิ้นเปลืองเพราะตอนวัยหนุ่มสาววัยรุ่นนั้นใช้ยังไงก็ไม่หมด ไม่รู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัวเองบ่อยๆหลายๆรอบต่อวันการมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งดื่มเหล้า เมายาทำงานหนัก นอนน้อยจนกระทบกระเทือนกับร่างกาย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ร่างกายเสื่อมถอยลง พลังงานที่อยู่ในไตก็เริ่มหมด ถึงตอนนั้นคุณจะมีหมอเป็นที่พึ่งมีโรงพยาบาลเป็นที่ท่องเที่ยวอย่างแน่นอนค่ะแพทย์แผนจีนนั้นเน้นย้ำถึงการบำรุงไต เพราะการบำรุงไตนั้นยากมาก และต้องใช้เวลาเพราะเราใช้พลังงานของมันไปจนหมดแล้วสำหรับผู้สนใจในแพทย์แผนจีนซึ่งมองเห็นความสำคัญในการดูแลไตจึงมีอาหารเสริมออกมามากมาย ผู้คนเข้าถึงกันง่าย ซื้อกินกันราคาก็สูงลิบลิ่วหลายคนไปเที่ยวต่างประเทศถูกต้อนให้ไปตรวจแมะ และซื้อยาแพงๆ โดนหลอกกลับมากลับมาแล้วก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะกระทบกับร่างกาย เก็บไว้จนหมดอายุหลายคนไปซื้อยาที่คนขายยาอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นยาดีรักษาไต ได้เกิดความหลงเชื่อแต่สุดท้ายเมื่อกินไป กลับทำให้ไตเสื่อมหนักกว่าเดิมฉะนั้นแพทย์แผนจีนแนะนำถ้าอยากจะดูแลเรื่องไตอย่างจริงจัง ให้มาปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์แผนจีนที่มีใบประกอบจะดีกว่านะคะเพราะไตในแพทย์แผนจีนประกอบไปด้วยชี่ของไตไตอินไตหยางเพราะคำว่าโป๊วเสียงปู่เสิ้น补肾ไม่ใช่การรักษาในระยะสั้นแน่นอน พยายามบริหารเวลากันให้พอดี ดีกว่านะคะ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำงานหนักเกินไป ไตจะได้ไม่ทำงานหนัก หรือจะทำงานไปเปิด Green Wave ไป ผ่อนคลายไปในตัวนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover
09 ม.ค. 2025
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ่ายแข็งสัญญาณมะเร็งถามหามะเร็งลำไส้คร่าชีวิตคนหลายคน อาจจะเพียงแค่ติ่งเนื้อเล็กๆที่อยู่ในลำไส้ก็อาจจะพัฒนาเป็นมะเร็งได้ ซึ่งถ้าไม่รีบรักษา จะลามไปยังตับปอด ช่องท้อง หรือกระดูกได้อาการที่ฟ้องว่าเป็นมะเร็งลำไส้ง่ายๆถ่ายบ่อย ท้องผูก ถ่ายไม่สุด ปวดเบ่งบางคนมีปัญหาเรื่องท้องผูกมาตั้งแต่เด็กๆ อาจเป็นเพราะพฤติกรรมการกินที่ไม่กินผักผลไม้ ร่างกายไม่ได้รับไฟเบอร์เพียงพอ และดื่มน้ำน้อย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานไม่ดี แต่ในบางคนอาจมีอาการท้องผูกเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตในวัยทำงาน และปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังจนมองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต พฤติกรรมนี้ล่ะค่ะคือสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าคุณมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคตมีอาการท้องเสีย และสลับท้องผูกคือการอุจจาระแข็งและเหลวสลับกัน เป็นติดต่อกันแบบมีอาการเรื้อรัง ถึงแม้ว่าจะกินอาหารที่เหมาะสมไม่ได้เป็นสาเหตุให้ท้องเสียก็ยังมีอาการนี้อยู่ นี่อาจเป็นความผิดปกติที่เกิดจากภายในลำไส้ถ่ายออกมาเป็นเลือดสดๆ หรือเลือดแดงคล้ำออกมาจากอุจจาระอาจเกิดจากอุจจาระที่แข็ง เมื่อเบียดกับติ่งเนื้อที่ขึ้นผิดปกติภายในลำไส้เกิดเป็นแผลทำให้มีเลือดออกและปนออกมาในบางครั้งที่ขับถ่ายท้องอืด ปวดท้องแน่นท้องจุกเสียด มีลมมากน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุเหนื่อย และ อ่อนเพลียง่ายอาจเกิดจากการที่มีเลือดออกในลำไส้ ปนออกมากับอุจจาระ หากเสียเลือดจากการขับถ่ายมาก อาจมีภาวะซีด และโลหิตจางร่วมด้วย และยิ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียอ่อนแรงต่อเนื่องมากขึ้นอีก ถึงแม้โรคมะเร็งลำไส้ จะเป็นมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆในปัจจุบันนี้ แต่หากเราระวังในพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต และหมั่นสังเกตตัวเองได้ทันการ จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้นนะคะระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่แบ่งเป็น 4 ระยะได้แก่ระยะที่ 1 โรคมะเร็งยังอยู่ในเยื่อบุลำไส้ระยะที่ 2 โรคมะเร็งทะลุเข้ามาในชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้และ/หรือทะลุถึงเยื่อหุ้มลำไส้ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียงระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไป หรือลุกลามตามกระแสโลหิตไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ตับ ปอด หรือกระดูกเป็นต้นมะเร็งลำไส้ป้องกันได้ ง่ายๆมีอะไรบ้างหลีกเลี่ยงอาหารไหม้เกรียมหมูกระทะ ปิ้งย่างอาหารทอดหรือปิ้งย่างโดยเฉพาะอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำหรือปิ้งย่างจนไหม้เกรียมหากจะกินควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมทิ้ง จะช่วยลดสารพิษได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรรับประทานบ่อยจนเกินไปนะคะอาหารที่ขึ้นราง่ายเช่น พริกแห้ง กระเทียม และถั่วลิสง ก่อนกินควรดูให้แน่ใจว่าไม่ได้ทิ้งไว้นานจนเกิดเชื้อราค่ะอาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ใส่สี รมควัน หรือใส่ดินประสิวเช่น ไส้กรอก แหนม ปลาร้า ขนม หรือเนื้อแดงที่สีสดมากๆอาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารที่ปรุงไม่สุกอาจทำให้เกิดการติดเชื้อพยาธิ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นมะเร็งได้ค่ะกินผักหลากสีต้านมะเร็งสีแดง อุดมด้วยไลโคปีน (Lycopene) พบมากในมะเขือเทศ พริกแดง บีทรูท และแอปเปิ้ลสีแดงสีเหลืองและส้มอุดมด้วยวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) พบมากใน ฟักทอง แครอท และส้มสีเขียว อุดมด้วยอัลฟ่าแคโรทีน (Alpha Carotene)และคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) พบมากใน ผักโขม คะน้า บล็อคโคลี่สีม่วงอุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน(Anthocyanin) พบมากในกะหล่ำม่วง ดอกอัญชัน บลูเบอร์รี่ ลูกพรุน และข้าวเหนียวดำสีขาว อุดมด้วยสารแซนโทน (Xanthone) พบมากในกระเทียม กล้วย ขิง หัวไชเท้า กะหล่ำ รวมถึงเห็ดต่างๆเพิ่มถั่วและธัญพืชธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสีและถั่วต่างๆ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งวิตามิน เกลือแร่ ไฟเบอร์ และโปรตีน รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ธัญพืชและถั่วที่แนะนำ ได้แก่ ข้าวกล้อง ลูกเดือย อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พิสตาชิโอ ถั่วขาว นอกจากช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้สมดุลแล้ว กากใยในธัญพืชและถั่วยังช่วยในการขับถ่าย ช่วยลดอาการท้องผูก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หมั่นเสริมเครื่องเทศในอาหารเครื่องเทศส่วนใหญ่นอกจากช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้อาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณลดการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เช่นพริก ขมิ้น กระเทียม และขิงเลี่ยงอาหารรสจัด ไขมันสูง เนื้อแดงอาหารรสจัดโดยเฉพาะเค็มจัดและอาหารหมักดองที่ใช้เกลือจำนวนมาก ส่งผลให้ความดันเลือดสูงอาหารที่มีไขมันสูงจะส่งผลให้น้ำหนักตัวเกิน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เช่น เนื้อติดมัน ไขมันสัตว์ เนย และกะทิการบริโภคเนื้อแดงปริมาณมากเป็นประจำส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และอาจกลายเป็นมะเร็งลำใส้ใหญ่ได้ หากต้องการโปรตีนควรรับประทานอาหารประเภทปลา“You are what you eat” “กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น” ยังใช้ได้เสมอนะคะ เพราะส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็มาจากการกินอาหารรสจัด ไขมันสูง เนื้อแดง ในปริมาณที่มากเกินไป มาเริ่มลด ละ ดูแลสุขภาพไปด้วยกันนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover
01 พ.ย. 2024
คนอินพร่อง (ร้อนในบ่อย คอแห้ง มือเท้าร้อน)อินพร่อง คือ ระดับเลือดและน้ำในร่างกายที่ต่ำลง แต่พลังหยางนั้น(ความร้อนในร่างกาย)เท่าเดิม ทำให้เกิดไฟน้อยๆที่เผาพลานร่างกายตลอดเวลา เสมือนเปิดแก๊สไฟวงในเพื่อที่จะต้มน้ำซุป และทำให้น้ำในร่างกายเหือดแห้งไป ร่างกายมีแต่ความร้อน สภาพเหมือนทะเลทราย น้ำน้อย แต่ร้อนมาก ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เสมือนร่างกายเรา ถ้าหากว่าร้อนแบบนี้เป็นเวลานานๆ เราจะกลายเป็นโรคได้ค่ะคนที่มีลักษณะอินพร่อง จะเป็นคนที่มีรูปร่างผอมสูง คอแห้งบ่อย รู้สึกแก้มร้อนบ่อย ใจร้อนง่าย อุ้งมือเท้าจะร้อน นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ร้อนในบ่อย นิสัยของคนที่อินพร่องจะเป็นคนอารมณ์ร้อนง่าย ชอบคิดในเรื่องไม่สบายใจ เป็นคนช่างพูด ลักษณะแบบนี้ในทางแพทย์แผนจีนจำเป็นที่จะต้องบำรุงเหมือนกัน แต่เป็นเพราะว่าการบำรุงที่ต่างกันออกไป ในส่วนที่อินพร่องก็ต้องบำรุงอินเหมือนกับบำรุงน้ำเข้าไปในร่างกาย แต่อินในร่างกายไม่ได้หมายถึงน้ำเท่านั้นนะคะ แต่จะหมายถึงน้ำ และเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคนเรา และจะต้องบำรุงไตบำรุงกระเพาะ ม้ามให้แข็งแรงด้วย เสมือนการปลูกต้นไม่ให้เยอะๆ และเสริมน้ำให้ด้วย ถ้าต้นไม่เยอะเกินไปก็จะดูดแต่น้ำ เราก็กลับมาสู่สภาวะเดิมคือไม่มีน้ำฉะนั้น ยาที่บำรุงอินที่เหมาะกับคนอินพร่องนั้นคือ 六味地黄丸(ลิ้วเว้ยตี้หวงหวาน) 大补阴煎(ต้าปู่หยินเจียน)ยาสองตัวนี้หาได้ตามร้านยาทั่วไปค่ะอาหารที่เหมาะสม จะมีฤทธิ์บำรุงอิน เช่น ข้าวเหนียว งา เต่า ตะพาบ เนื้อปู หอย เนื้อเป็ด นม หนังหมู เห็ดหูหนูขาว สาลี่ ปลาหมึก ไข่ นม เนื้อปลา หอย ปลิงทะเล รังนก ที่สำคัญไม่ควรทานอาหารที่มีรสเผ็ด หรืออาหารที่มีรสจัดค่ะคนอินพร่องจำเป็นต้องเข้านอนให้เร็วกว่าคนที่มีลักษณะอื่น ไม่ควรเล่นกีฬาหนักกลางแจ้ง และซาวน่า ที่ทำให้เหงื่อออกเยอะๆค่ะ เพราะจะทำให้น้ำในร่างกายลดน้อยลง เพราะคนอินพร่องน้ำในร่างกายจะน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว กีฬาที่เหมาะสมกับคนอินพร่องคือ ว่ายน้ำ แต่อย่าว่ายนานเกินไปนะคะ แค่ 30 นาที ก็เพียงพอ เพราะจะทำให้เราขาดน้ำได้เช่นกันค่ะโรคที่พบมากสำหรับคนอินพร่องคือ โรคแห้งทั้งตัว ตาแห้ง เบาหวาน โรคกระเพาะ เพลียง่าย นอนไม่หลับ โรคไต หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอาการคอแห้งปากแห้งเป็นประจำสำหรับใครที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่ ให้ลองปฏิบัติตามคำแนะนำได้นะคะ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ละเลยร่างกายของเราค่ะปล.การช่วยตัวเองบ่อยๆทำให้สารอินในร่างกายลดน้อยลง ไม่ควรถี่เกินไป เพราะจะทำให้ไตอ่อนแอได้นะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover
22 ก.ย. 2024
04 ก.ย. 2024
ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน โดยปกติเม็ดเลือดขาวของคนปกติ อายุ 12 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 3,500 - 10,500 เซลล์ต่อไมโครลิตร ทว่าผู้ป่วยบางคนจะพบอาการข้างเคียงจากการที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำต่อเนื่องจะเกิดการติดเชื้อง่าย ซึ่งอาการที่ปรากฏอาจจะ- มีไข้ หนาวสั่น มีอาการบวมแดง- มีแผลที่ปาก มีปื้นสีแดงหรือฝ้าสีขาวอยู่ภายในปาก- เจ็บคอ มีอาการไออย่างรุนแรง- มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ- ท้องเสียง่าย- รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก- มีอาการบวมแดง และมีหนองออกมาจากบริเวณแผลเป็นประจำ- มีอาการระคายเคืองที่ช่องคลอด หรือคันช่องคลอดผิดปกตินอกจากนี้ หากเป็นภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำเนื่องจากโรค อาจพบอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของโรคร่วมด้วย แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการเหล่านั้น ผลตรวจออกมามีความผิดปกติเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ในทางแพทย์แผนจีนเม็ดเลือดขาวน้อย จะอยู่ในส่วนการรักษาแบบเลือดจาง อวัยวะในร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ ทำให้ภูมิตก อาการมักจะมีเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพออาจทำให้ใบหน้าขาวซีดหรือเหลืองซีดร่วมกับอาการเวียนศีรษะ ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ บางครั้งมีอาการแขนขาชา ในสตรีจะมีประจำเดือนน้อยสีซีด ประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด กระทั่งขาดประจำเดือนได้อย่างไรก็ตาม ในแง่การบำรุงเลือด เสริมภูมิให้กับร่างกายแพทย์แผนจีนเน้นบำรุงเลือด ต้องบำรุงพลังร่วมด้วย บำรุงอวัยวะต่างๆ สร้างเม็ดเลือด ป้องกันการติดเชื้อ บางครั้งต้องเสริมยาบำรุงระบบการย่อยดูดซึมอาหารให้ดี หรือต้องบำรุงจิง บำรุงไต (เพื่อกระตุ้นการทำงานของ ฮอร์โมน) ควบคู่กันไป และแนะนำให้ทานยาปัจจุบันควบคู่กันไปอาหารที่ต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย ได้แก่- นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านการ sterilized หรือ ที่ไม่ใช่นม UHT- โยเกิร์ต ยาคูลท์ ไอศกรีมที่ไม่มียี่ห้อการันตีความสะอาด- น้ำผักสด น้ำผลไม้สดที่ไม่ผ่านการ sterilized- น้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา ที่ไม่ผ่านการต้ม หรือกรอง หรือน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน- อาหารทุกชนิดที่ไม่ได้ปรุงให้สุก หรือ สุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก น้ำสลัด ส้มตำ น้ำพริก และอาหารประเภทยำเป็นต้น- หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงลงในอาหารที่ปรุงสุกแล้วเช่น พริกไทย พริกป่น ถั่วลิสง เป็นต้น- หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จตามร้านอาหารมารับประทาน- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลอื่น- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดหรือผลไม้สด (ผลไม้สดที่อนุโลมให้รับประทานได้คือผลไม้ที่สามารถล้างภายนอกทั้งเปลือกให้สะอาดแล้ว ปอกเปลือกรับประทานทันที ได้แก่ ส้มโอ ส้ม กล้วย เป็นต้น) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนต้องคอยสังเกตตัวเองนะคะ ถ้ามีอาการข้างต้นต้องรีบไปพบคุณหมอนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover
21 ส.ค. 2024
ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่ามีการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมีการใช้คำว่า Alpha, Beta หรือ Omega ทุกคนอาจสงสัยว่าคำพวกนี้มาจากไหนหรือเป็นอาการยังไง วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน ว่าโลกของ Omega Verse มีอะไรบ้าง!Omega Verse คืออะไร ?Omega Verse เป็นแนวเรื่องจักรวาลโลกสมมุติที่ได้รับความนิยมในแวดวงแฟนฟิคชั่นและนิยายแนวโรแมนติก-เหนือธรรมชาติ มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ในจักรวาลนี้ตัวละครจะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ คือ Alpha, Beta และ Omega โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและบทบาทเฉพาะแตกต่างกันไป1. Alpha (A)อัลฟ่า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นชนชั้นที่มีอำนาที่สุดในจักรวาลนี้ มักมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปกครองและปกป้อง ตัวละครที่เป็นอัลฟ่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งและมักเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในความสัมพันธ์ มีบทบาทในการดูแลและปกป้องดูแลโอเมก้า2. Beta (B)เบต้า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะธรรมดาในจักรวาล เป็นชนชั้นกลางหรือชนชั้นทั่วไปและมีสัดส่วนมากที่สุด ไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้า และมักมีบทบาทเป็นตัวละครสนับสนุนในเรื่องราวต่าง ๆ3. Omega (O)โอเมก้า เป็นกลุ่มตัวละครที่โดยส่วนมากมีความอ่อนโยนและถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ต้องการการปกป้อง เป็นชนชั้นที่มีอำนาจน้อยที่สุด โดยส่วนมากจะถูกกดทับจากชนชั้นอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของ Omega Verseกลุ่มจักรวาลประเภทนี้จะมีพฤติกรรมที่คล้ายกับสัตว์ในโลกของเรานั่นเอง1.Pheromone หรือ ฟีโรโมน ในจักวาลนี้อัลฟ่าและโอเมก้ามีกลิ่นติดตัวที่เรียกว่า ฟีโรโมนอยู่ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล2.Soulmate หรือคู่ชีวิต คือการที่อัลฟ่าและโอเมก้าเกิดการจับคู่กันตั้งแต่แรกเจอ เป็นสิ่งที่หากันเจอยากมาก โดยหากเจอกันจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้คือโซลเมทของกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายจะได้กลิ่นของกันและกันอย่างรุนแรงและแสดงอาการฮีทหรือรัทขึ้นมา3.Heat หรือการฮีท คือการที่โอเมก้ามีอาการอยากผสมพันธุ์ และปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาอย่างรุนแรงเพื่อดึงดูดอัลฟ่าที่อยู่ใกล้ ๆ ให้มามีเพศสัมพันธ์ด้วย อาจเกิดจากการที่ได้กลิ่นของโซลเมทหรือเจอฟีโรโมนของอัลฟ่าที่ปล่อยออกมา4.Rut หรือการรัท คือการที่อัลฟ่าเกิดความรู้สึกอยากผสมพันธ์อาจเกิดจากการได้กลิ่นฟีโรโมนในช่วงฮีทของโอเมก้า หรือถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ของตนเอง ฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้โอเมก้าฮีทได้5.Bond หรือการผูกพันธะ เกิดได้จากการที่อัลฟ่านั้นกัดเข้าที่หลังคอโอเมก้า ถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและอำนาจเหนือโอเมก้าของอัลฟ่า เพื่อให้อีกฝ่ายไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตนได้6.Nesting หรือการทำรัง เกิดจากการที่โอเมก้าที่มีครรภ์มีอาการติดกลิ่นคู่ของตัวเอง และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อห่างกัน จึงใช้เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่มีกลิ่นอีกฝ่ายติดอยู่มากองรอบตัวหรือ ‘สร้างรัง’ เพื่อให้ถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นของคู่ เป็นการเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ตนเองของโอเมก้ามีครรภ์ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้จักรวาล Omega Verse มาสร้างบทหรือพล็อตสามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกในเรื่องของการกดขี่หรือการมีชนชั้นวรรณะในสังคมได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการเขียน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถเพิ่มความสนุกให้กับบทได้อีกด้วยAuthor : Warissแหล่งข้อมูล :https://aboth-info.wixsite.com/whatisabohttps://www.phoenixnext.com/guild/omegaversehttps://urbancreature.co/omegaverse-problematic-world/
14 ก.พ. 2023
สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน
05 ก.ย. 2022
ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ
01 ก.ย. 2022
เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!
21 ก.พ. 2022
มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ
20 ม.ค. 2022
ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ
07 มี.ค. 2025
20 ส.ค. 2024
ในปัจจุบันนี้ปัญหาขยะอาหาร (food waste) ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงอาหารที่ถูกทิ้งขว้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ นอกจากจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานที่ใช้ในการผลิตแล้ว ยังสร้างปัญหามลพิษจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะอาหารอีกด้วยFOOD WASTE คืออะไร?ขยะอาหาร (Food Waste) หมายถึง อาหารเหลือทิ้งในตอนปลายของห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) จากทั้งในส่วนของผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค ทั้งเศษอาหารที่รับประทานไม่หมด อาหารกระป๋องที่หมดอายุ เศษผักผลไม้ตกแต่งจาน รวมไปถึงอาหารเน่าเสีย และหมดอายุจากการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมของร้านอาหาร ภัตตาคาร และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆคนไทยสร้างขยะอาหาร (Food Waste) เฉลี่ย 86 กิโลกรัม/คน/ปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 79 กิโลกรัม/คน/ปีในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการสร้าง Food Waste มากขึ้น การแก้ไขปัญหานี้ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปรับปรุงกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียอาหาร และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนแล้วแต่ละที่มีวิธีจัดการยังไงบ้าง ?เนื่องจากปัญหานี้กลายเป็นปัญหาที่ทั่วโลกตระหนักถึง จึงเริ่มมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมปัญหาเช่น· ประเทศสเปน มีการร่างกฎหมายเพื่อลดขยะอาหาร กำหนดให้ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารส่งเศษอาหารเหลือทิ้ง หรือผลไม้ที่สุกมากแล้วให้กับธนาคารอาหารและองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อนำไปแปรรูป· ประเทศจีน ได้มีการตั้งกฎหมายห้ามสั่งอาหารเกินความจำเป็นและมีการห้ามทำไลฟ์สตรีมมิ่งกินจุเกินความจำเป็น· ประเทศฝรั่งเศส มีการออกกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านขยะอาหาร โดยให้ร้านค้าปลีกที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไปจะต้องบริจาคสินค้าอาหารที่ยังทานได้แก่มูลนิธิรับบริจาคอาหาร เพื่อ ให้ผู้ที่ต้องการ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับประมาณ 133,293 บาทไทย ในขณะเดียวกันผู้บริจาคจะได้รับเครดิตภาษี 60% ของมูลค่าอาหารที่บริจาคสุดท้ายนี้หากเราต้องการลดปัญหา food waste เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เริ่มจากการไม่ซื้ออาหารเกินความจำเป็น ดูวันหมดอายุก่อนซื้อ หรือถ้ามีอาหารเหลือ ควรนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือนำไปใช้ทำเมนูใหม่ๆ มาช่วยกันรักษาโลกให้น่าอยู่ด้วยการลด food waste กันค่ะ !Author : Warissแหล่งข้อมูล :https://tdri.or.th/2019/10/food-waste/https://ngthai.com/science/40756/food-waste-food-loss/https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/SBUVol3N8-FB-2024-04-22.aspx?utm_source=SBUVol3N8utm_medium=linkutm_campaign=fbfbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0lbJOIxi7s9jT_oLAJodRNPE3IuvTVhxsM-pB3xX4orrRQzRvt-OSN7oM_aem_wX47GkR5ETVGVPSbmf70SA
19 ส.ค. 2024
ทำยังไงดีอยากแยกขยะให้ถูก ?หาที่พาหมาไปเดินเล่นใกล้ๆบ้าน ?อยากบริจาคอาหารและของใช้ ?เว็ปไซต์ Greener Bangkok รวบรวมข้อมูลไว้แล้วในที่เดียว! ผ่านการเป็นพื้นที่ให้ความรู้สีเขียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองกรุง โดยการร่วมมือกันระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ทุกคนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากต้นทาง หรือ เริ่มต้นจากสองมือของเรานั่นเองในปัจจุบัน เมืองหลวงของเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการจัดการขยะปริมาณ 10,000 ตันในแต่ละวัน โดยขยะส่วนใหญ่ถูกส่งไปฝังกลบที่ต่างจังหวัด เช่น อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และอ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โดยภายในพื้นที่ของกทม.มีจำนวนขยะเพียง 500 ตันเท่านั้นที่ถูกส่งไปที่โรงเผาขยะที่หนองแขม ส่งผลให้จำนวนขยะที่เหลือกลายปัญหาสำหรับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ต้องแบกรับมลพิษทางกลิ่นที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนในเมืองขาดความรู้ความเข้าใจ จากการที่ไม่มีแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่ายหรือรวมเป็นหลักเป็นแหล่งโดยนายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกทม. และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกทม. กล่าวว่า Greener Bangkok เป็นดั่งศูนย์กลางข้อมูลออนไลน์ เสมือนคลังข้อมูลให้ประชาชน องค์กร และทุกภาคส่วนที่ต้องการข้อมูลและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างและดูแลเมืองหลวงของเราให้เป็นเมืองยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถ้าอย่างนั้นมาแอบส่องไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในเว็ปไซต์กันดีกว่า ว่าก้าวแรกที่เราจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทำให้เมืองน่าอยู่ได้ มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?·How to ทิ้ง ช่วยทุกคนจัดการและรีไซเคิลขยะอย่างถูกวิธีให้ความรู้การทิ้งขยะกว่า 115 ชนิด อย่างถูกวิธีง่ายๆ เข้าใจวิธีการจัดการที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง·ตรวจเช็คค่าฝุ่น PM 2.5 เรียกดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ทุกพื้นที่·ให้บริการข้อมูลพื้นที่สีเขียว พิกัดสวนสาธารณะใกล้บ้านที่สัตว์เลี้ยงสามารถเข้าได้·บริการกำจัดขยะชิ้นใหญ่ฟรีกทม.จะทำการส่งรถไปรับบริการถึงที่ เพื่อรับสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าจะทิ้งลงในถังขยะทั่วไป· บริการตัดต้นไม้โดยรุกขกร ตัดต้นไม้โดยช่างตัดแต่งมืออาชีพ·มินิเกมแสนสนุกแฝงความรู้เรียนรู้เรื่องกรีนๆอย่างสนุกสนาน ผ่านมินิเกมที่จะพาประเมินว่าภายในหนึ่งปี ตัวเราปล่อยคาร์บอนสู่โลกนี้ไปมากน้อยแค่ไหน หรือการจำลองแยกชนิดขยะด้วยตัวเอง สู่การนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเองเห็นเลยได้ว่า Greener Bangkok ได้รวมฟังก์ชันที่หลากหลายไว้แล้วครบเครื่องจริงๆ แต่กระซิบไว้ก่อนว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเพียงเท่านั้น ทุกคนสามารถกดเข้าไปลองอ่าน ลองเล่น และค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆได้เพิ่มเติม ที่ greenerbangkok.com รับรองได้เลยว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้นจะมีมากกว่าความรู้อย่างแน่นอน แล้วมาร่วมกันคนละไม้คนละมือ ให้เมืองของเราน่าอยู่มากขึ้นกันเถอะ !Author : L’araอ้างอิงgreenerbangkok.comระบบสารสนเทศด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (pcd.go.th)"ขยะล้นเมือง" คนไทยสร้างขยะเฉลี่ย 7.3 หมื่นตัน/วัน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอสวาระซ่อมกรุงเทพฯ : แผนจัดการขยะกทม. 20 ปี ยังคง 'ล้นเมือง' ต่อไป - ThaiPublicaกรุงเทพฯ กับปัญหาขยะล้นเมือง (arcgis.com)ขยะของคน กทม. ที่ถูกนำไปทิ้งที่บ้านคนอื่น - Rocket Media Lab
16 ก.ค. 2024
การท่องเที่ยวเมืองโคเปนเฮเก้น เปิดตัวแคมเปญทดลอง “Copenpay” เที่ยวฟรี ถ้านักท่องเที่ยวช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวหรือ ผู้อยู่อาศัยในเมือง ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม แลกกับ อาหารฟรี และ ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ฟรีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถทำได้อย่างเช่น เก็บขยะ ใช้ขนส่งสาธารณะ ใช้จักรยานในการเดินทางรอบเมือง หรือ เป็นอาสาสมัครให้ฟาร์ฺมในเมืองสิ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถแลกได้ เช่นอาหารกลางวัน กาแฟ ไวน์ หรือ พายเรือคายัคฟรี เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง พิพิธภัณฑ์ บาร์ต่างๆ หรือ ที่อื่นๆฟรีโดยสถานที่ท่องเที่ยวเอกชนเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการสมัครใจเข้าร่วมโครงการซึ่งตอนนี้มีประมาณ 24 หน่วยงานเอกชนที่เข้าร่วม โครงการนำร่องนี้ซึ่งการแลกจริงๆ ก็ไม่ได้มีการตรวจเช็คหลักฐานใดๆ จากนักท่องเที่ยว อาจจะต้องมีการโชว์ภาพขี่จักรยานบ้าง หรือ ตั๋วโดยสารขนส่งสาธารณะบ้าง แต่โดยหลักจะใช้ระบบ ความเชื่อใจนักท่องเที่ยวโครงการนี้ทำขึ้นมาเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว แค่การบินไปเที่ยวต่างประเทศก็ทำลายสภาพชั้นบรรยากาศแล้ว แต่ นักท่องเที่ยวสามารถไปลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางเป็นการชดเชยโคเปนเฮเกน เป็นเมืองที่ได้รับคะแนนความยั่งยืนลำดับต้นๆของโลก ที่นี่มีจำนวนจักรยานมากกว่า รถยนต์ถึง 4 เท่า ประชากร 62% เดินทางโดยใช้จักรยาน ในเมืองมีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้จักรยาน โรงแรมส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานรักษาส่ิงแวดล้อม คลองสะอาดว่ายน้ำได้ น้ำประปาสะอาด ใช้ดื่มได้ พลังงานไฟฟ้า 70% มากจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานความร้อนที่ใช้ มาจากวัสดุย่อยสลายทางธรรมชาติโดยหน่วยงานการท่องเที่ยวโคเปนเฮเกนหวังว่า โครงการนี้จะจุดประกายให้ขยายไปเมืองต่างๆ ทั่วเดนมาร์ค หรือ แม้กระทั่งไปยังเมืองต่างๆทั่วโลกถ้าใครอยากเข้าร่วมโครงการนี้ ก็จะต้องรีบหน่อย เพราะโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึง 11 ส.ค. นี้เท่านั้น แต่ถ้าโครงการประสบความสำเร็จอาจจะมีการขยายไปจนถึงปลายปีนี้ด้วยแหล่งที่มา :BBC https://www.visitcopenhagen.com/copenpayhttps://youtu.be/KbZYnnXoSVs?si=_8huK7nS5NkE4Nqe
09 ก.ค. 2024
ทั่วโลกมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 50 ล้านคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจาก กว่า 1.19 ล้านคนต่อปีและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ของผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 5-29 ปีนอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิต คือคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และ ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์92% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มาจากประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ ประเทศกำลังพัฒนา มีจำนวนรถเพียง 60% ของทั้งโลกประเทศไทยเองก็มีการเก็บสถิติ ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวัน เฉลี่ยวันละหลายสิบราย และ บาดเจ็บเฉลี่ยวันละ 2 พันกว่าคนโดดช่วงเวลาที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด คือ ช่วง 17.00-21.00 น. โดยผู้เสียชีวิต 75% เป็นเพศชาย และ ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุ 82% คือ มอเตอร์ไซค์ และจังหวัดที่มีอุบัติเหตุลำดับต้นๆได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุท้องถนน ปีละ 17,000 คน และ มีผู้พิการจากอุบัติเหตุกว่า 15,000 คน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้านบาทซึ่ง UN ได้ออกมารณรงค์ เรียกร้องเป็น ทศวรรษที่ 2 ให้ทุกคนใส่ใจ เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน เช่นการใส่หมวกกันน็อค การไม่ขับขี่ขณะมึนเมา หรือ แม้แต่การคาดเข็มขัดนิรภัย ที่ลดอัตราการเสียชีวิตได้มากถึง 50%และยังพบว่าพฤติกรรมคนขับรถ ที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุขึ้น 4 เท่านอกจากนี้ยังมีการรณรงค์ให้ภาครัฐของทุกประเทศ ช่วยกันปรับปรุงเส้นทางการคมนาคมขนส่ง และ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมายการลดอุบัติเหตุลงให้ได้ครึ่งนึง ภายในปี 2030พวกเราในฐานะผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน สิ่งที่พอจะควบคุมได้ หากเพียงผู้ขับขี่ยานพาหนะ เคารพกฏจราจร ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย และมีสติขณะขับขี่ หรือ ขณะใช้ท้องถนนอยู่เสมอ ก็จะสามารถลดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นลงไปได้มากแล้วข้อมูลจาก :WEFมูลนิธิเมาไม่ขับ
03 ก.ค. 2024
กีฬาโอลิมปิคที่ปารีสในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่าง 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดกว่า 40⁰C เพราะเป็นช่วงที่เป็นฤดูร้อนของยุโรปในซีกโลกเหนือพอดีมหกรรมกีฬาโอลิมปิคในคราวนี้ ฝรั่งเศสตั้งเป้าไว้ให้เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่เขียวที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ (ย้อนไปอ่านบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ได้)หมู่บ้านนักกีฬา เป็นสถานที่ใช้รับรองนักกีฬา และเจ้าหน้าที่กว่า 15,000 คนในกีฬาโอลิมปิค และใช้รับรองนักกีฬา และ เจ้าหน้าที่กว่า 9,000 คนในกีฬาพาราลิมปิค สถานที่นี้ถูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำแซน ใช้กระแสลมธรรมชาติพัดผ่านให้ความเย็นกับกลุ่มอาคาร ประกอบกับการใช้ระบบระบายความร้อนในอาคาร ที่มีการติดตั้งหลังคาสีเขียวลดความร้อน มีบานประตู หน้าต่าง ป้องกันแสงแดด และความร้อนในเวลากลางวัน รวมทั้งมีการปลูกต้นไม้รายรอบอาคาร เพิ่มร่มเงา และความเย็นในพื้นที่ ส่วนภายในห้องพักจัดไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียง และ พัดลม คือ...มีทุกอย่าง แต่ไม่มีแอร์ เครื่องปรับอากาศซึ่งเหตุผลของการไม่ติดตั้งแอร์ เพราะแอร์อาจทำให้นักกีฬาเย็นได้จริง แต่จะสร้างความร้อนให้กับพื้นที่รอบข้าง และการตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยกว่าโอลิมปิกลอนดอน 2012 ให้ได้ 50%ทำให้นักกีฬาหลายประเทศ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค อังกฤษ กรีก และ อิตาลี ประกาศว่า จะยกแอร์ไปติดเอง ส่วนนักกีฬานิวซีแลนด์ ก็จะเอาแอร์เคลื่อนที่ไปติดเองเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ทุกห้อง จะกระจายไปในหลายอาคารที่พวกเขาพักในกีฬาโอลิมปิคครั้งล่าสุด ในปี 2021ที่ญี่ปุ่น ที่ว่าร้อนแล้ว สภาพอากาศปีนั้นอุปสรรคอย่างมากกับนักกีฬา มีผู้เข้าแข่งขันหลายคน ทั้งอาเจียน และ เป็นลมขณะแข่งขัน เพราะความร้อน แต่ครั้งนี้ สภาพอากาศก็จะร้อนยิ่งกว่า จากการพยากรณ์อากาศ มีแนวโน้มมากถึง 70% ที่อากาศปารีสจะร้อนกว่าปกติ และเมื่อรวมกับความชื้นในอากาศที่สูง ยิ่งทำให้ ความร้อนที่รู้สึก สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งมีคำเตือนว่า กรณีเลวร้ายที่สุด อาจทำให้นักกีฬาเสียชีวิตและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “คลื่นความร้อน (Heatwave)” ที่อาจเกิดขึ้นขณะที่จัดการแข่งขัน ซึ่งจากสถิติตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ปารีสโดนคลื่นความร้อนเล่นงานไปกว่า 50 ครั้งแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อน กว่า 14,000 คนซึ่งสาเหตุของคลื่นความร้อน ก็มาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง และเป็นการเตือนโลกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกมหกรรมกีฬา จะต้องประสบปัญหาเรื่องความร้อนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดปัญหาโลกร้อนจึงไม่ใช่แค่ปัญหาของวงการสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้มันพิสูจน์ชัดแล้ว ว่ากระทบไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาการแข่งขันที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่การแข่งกีฬา หรือ การแก่งแย่งกันเอง แต่เป็นการแข่งขันที่มนุษยชาติต้องร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำทุกวิถีทาง เพื่อเข้าเส้นชัย หยุดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เร็วที่สุด โดยที่มีชีวิตเพื่อนมนุษย์ทุกคนเป็นเดิมพัน
31 ธ.ค. 2024
31 ต.ค. 2024
31 พ.ค. 2024
31 พ.ค. 2024