ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี

News Updates

GREEN MORNING SHOW

GREEN MORNING SHOW 27 มี.ค. 67

27 มี.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 27 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 26 มี.ค. 67

27 มี.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 26 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 25 มี.ค. 67

27 มี.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 25 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 22 มี.ค. 67

27 มี.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 22 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 21 มี.ค. 67

27 มี.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 21 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 20 มี.ค. 67

27 มี.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 20 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

CLUB FRIDAY

เพื่อนเป็นหมอ

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

18 มี.ค. 2024

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ลุกก็โอยยยย นั่งก็โอยยยยย อาการแบบนี้มันใช่ออฟฟิศโดรมอย่างเดียวจริงหรอ ? แล้วอาการปวดหลัง เป็นเพราะเราอายุเยอะจริงไหม ? มาฟังคำตอบจากหมอเพื่อน พร้อมผู้ช่วยจาก The Selection กันได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเป้ #เวลลี่ #ออฟฟิศซินโดรม #มนุษย์ออฟฟิศ #คนทำงาน #TheSelection #เลือกที่ใช่ให้สุขภาพ

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

19 ก.พ. 2024

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ช็อกโกแลต กินแล้ว FAT ใคร ๆ ก็รู้ แต่มันยังมีแฝงความเสี่ยงในโรคอื่น ๆ ที่คิดไม่ถึงอยู่อีกด้วย แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคุณหมอไม่ได้ฝากไว้แค่อันตรายของช็อกโกแลต แต่ยังฝากถึงข้อดีไว้ด้วยเหมือนกัน แต่จะกินแค่ไหนถึงเสี่ยง หรือต้องกินเท่าไหร่ถึงดี ตามไปหาคำตอบกันใน EP.นี้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจดาด้า #หมอเพื่อน #วาเลนไทน์ #ช็อกโกแลต #เบาหวาน #สุขภาพ

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

07 ก.พ. 2024

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

เปิดปีแบบสุขภาพดี เพราะดีเจเป้ชวนหมอไปออกกำลังกาย แต่ EP.นี้พิเศษ ไม่ได้มีแค่หมอกับดีเจเป้แต่ยังมีต๊อก สุทินาถด้วยยย โอ้โห้ สนุกแน่ ๆ ไม่รู้ว่าหมอจะได้ออกกำลังกาย คุยเรื่องสุขภาพ หรือ ต้องเป็นกรรมการห้ามคู่นี่กันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คุณหมอเพื่อนจะมาฝากเคล็ดลับสุขภาพดีแบบครบสูตร ให้พร้อมลุยกับปี 2024 อย่างแน่นอน !! ใครที่ปีนี้มีเป้าหมายสุขภาพดีติดตามได้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจเป้ #หมอเพื่อน #ต๊อกสุทินาถ #สุขภาพ #ตรวจสุขภาพ #ออกกำลังกาย

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

31 ม.ค. 2024

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

เป็นไหม? กิน Probiotic เหมือนเพื่อน แต่ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เป็นไหม? กิน Probiotic แล้วแต่ยังรู้สึกสมดุลลำไส้ไม่ดี นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า เราต้องการ Probiotic ที่แตกต่างกันไงหละ

เรื่องไตไม่ไกลตัว แค่ลดเค็มอย่างเดียวคงไม่พอ | FULL EP.31

31 ม.ค. 2024

เรื่องไตไม่ไกลตัว แค่ลดเค็มอย่างเดียวคงไม่พอ | FULL EP.31

เรื่องไตต้องระวังแค่เรื่องเค็มอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะมีหลายสาเหตุมากที่ทำให้มีความเสี่ยง ตามไปเช็กกับหมอเพื่อนและดีเจโกกัน ว่าคุณกำลังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงกับโรคไตอยู่รึเปล่า

เครียดนัก ก็พักก่อน | FULL EP.30

31 ม.ค. 2024

เครียดนัก ก็พักก่อน | FULL EP.30

ใครเครียดมาแวะพักกันก่อน กับเพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ หมอเพื่อนกับพี่เป้จะมา #คุยเรื่องความเครียดแบบไม่เครียด พร้อมเทคนิคจำกำจัดความเครียด

HEALTHY LIFESTYLE

Hair Trick เลือกทรงที่ใช่ ภายใน 1 นาที

19 มี.ค. 2024

Hair Trick เลือกทรงที่ใช่ ภายใน 1 นาที

เป็นเรื่องหนักใจไม่เบาเลย สำหรับสาว ๆ เวลาจะเลือกทรงผมให้ตัวเองแต่ละที มันเลือกยากเลือกเย็นซะเหลือเกิน แล้วยิ่งช่วงนี้อากาศร๊อนร้อนนนน หลาย ๆ คนมีแพลนตัดผมสั้นกันด้วยใช่ไหมหละ มา ๆ เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปส่องเคล็ดลับ เลือกทรงผมที่ใช่กับใบหน้าของเรากัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยยยยSTEP 1 เช็กรูปหน้าของตัวเองก่อนที่จะได้ทรงผมที่เหมาะกับเราขั้นตอนแรกเราก็ต้องมาเช็กรูปหน้าของตัวเองกันก่อน ว่าเรามีรูปหน้าแบบไหน ทรงกลม หรือ ทรงไข่ หรือทรงรูปหัวใจ โอ้ยนี่ยังไม่หมดนะเนี่ย ยังมีอีกหลายรูปร่างเลย ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่า GOGO!หน้าทรงกลม สาว ๆที่มีรูปหน้าทรงกลมจะมีสัดส่วนใบหน้าที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านซ้าย ด้านขวารวมไปถึงความกว้างและก็ความยาวที่เท่ากัน ยิ่งสาว ๆ คนไหนมีแก้มเยอะด้วยแล้วละก็ ใบหน้าอาจจะดูกลมยิ่งขึ้นได้นะหน้ารูปไข่ เป็นใบหน้าที่โค้งมนได้รูป ช่วงหน้าผากจะกว้างกว่าส่วนคางเล็กน้อยส่วนกรามและคางมีลักษณะ โค้งมนเรียว มีอัตราส่วนความยาวช่วงหน้าผาก จมูก และคางที่เท่ากันหน้าทรงเหลี่ยม สาวหน้าเหลี่ยม หรือเราอาจจะเรียกได้ว่าสาวหน้าเก๋ก็แหมสาว ๆ ที่หน้าเหลี่ยมมักจะดูเก๋ เท่ ชิค มีสไตล์ลักษณะรูปหน้าจะมีมุมและมีความคมของกรอบใบหน้าค่อนข้างมากเห็นส่วนกามชัดเจนสัดส่วนความกว้างและความยาวเท่ากันพอดีหน้าทรงยาว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ารูปหน้าทรงยาวเพราะฉะนั้นสาว ๆ ที่มีรูปหน้าทรงนี้ใบหน้าก็จะมีความยาวมากกว่าความกว้าง ด้านข้างใบหน้าจะดูแคบ หน้าผาก แก้ม คาง จะดูเท่ากันหน้ารูปหัวใจ สาว ๆ ที่มีใบหน้ารูปหัวใจ ลักษณะใบหน้าจะคล้าย ๆ กับรูปสามเหลี่ยมคว่ำจะมีช่วงหน้าผากกว้างแต่โค้งมนได้รูป ช่วงใบหน้าเรียวจนถึงคาง ส่วนคางก็จะเป็นคางที่แหลมหรือให้เข้าใจง่าย ๆ จะมีส่วนบนกว้างกว่าส่วนล่างนั่นเองหน้ารูปเพชร สาว ๆ ที่มีทรงหน้ารูปเพชร จะมีโหนกแก้มที่โดดเด่นก็คือโหนกแก้มจะกว้าง แต่หน้าผากและคางจะแคบและเล็กSTEP 2 ได้เวลาเลือกทรงที่ใช่!เอาหละ หลังจากเช็ครูปหน้ากันไปแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะมาหาทรงที่ใช่กันแล้ว ไหน ๆ ดูซิแต่ละคนมีรูปหน้าแบบไหนกันบ้าง แล้วทรงผมที่ควรจะเลือก ต้องเป็นทรงไหนที่เหมาะกับเราไปดูกันหน้าทรงกลมเนื่องจากสาวหน้าทรงกลม จะมีแก้มที่เยอะจนทำให้หน้ายิ่งดูกลมเพราะฉะนั้นทรงผมที่จะเหมาะก็ควรเป็นทรงที่ปิดแก้มได้ และช่วยหลอกตาให้หน้าดูเรียวทรงผมที่แนะนำสไลด์ผมเป็นเลเยอร์ให้รับกับใบหน้าถ้าใครอยากตัดผมสั้น ก็สามารถตัดได้ โดยจะเป็นผมบ๊อบ ระดับความยาวก็ควรประบ่า หรือระดับคาง เพราะถ้ามากไปกว่านี้อาจจะทำให้หน้าดูสั้นและก็กลมได้ถ้าใครอยากตัดหน้าม้า ให้ตัดผมด้านหน้าบังบริเวณช่วงขมับและกรอบหน้า หรือจะตัดด้านข้างในเป็นฟีลเหมือนมีลูกผม ก็จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงได้ถ้าจะทำผม ก็ให้เลือกเป็นทรงผมลอนคลาย ๆ มีวอลลุ่ม หรือทรงดังโงะสูง ช่วยยกให้หน้าดูยาวขึ้น และอย่าลืมเลือกเป็นผมหน้าม้าแบบปัดข้างจะทำให้หน้าดูได้รูปทรงต้องห้ามผมบ๊อบสั้นตัดตรงแบบทื่อ ๆ และหน้าม้าตรง เพราะจะเปิดทรงหน้าและทำให้แก้มเด่นได้ หน้ารูปไข่สาวที่มีใบหน้ารูปไข่ถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะทำทรงอะไรก็ดูจะเข้าหมดเลยเพราะมีใบหน้าเข้ารูปไม่มีจุดไหนต้องกังวล โอ้ยน่าอิจฉาาาาาาา เก๋เกินนนนทรงผมที่แนะนำจะบ๊อบสั้นแบบสาวเท่ หรือสาวแซ่บ ก็รอด!จะผมยาว แสกกลาง เชิ่ด ๆ มั่น ๆ ก็เอาอยู่!จะทำผมลอนเล็ก ลอนใหญ่ ลอนมาม่า ก็ปัง!จะหน้าม้า แสกกลาง แหวกข้าง ก็น่ารักทรงต้องห้ามถ้าจะตัดหน้าม้าต้องระวัง ไม่ตัดหน้าม้าที่ตรงและหนาเกินไปด้วยนะ เพราะอาจจะทำให้หน้าสั้นได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ^^หน้าทรงเหลี่ยมอย่างที่บอกว่าใบหน้าของสาวทรงเหลี่ยม จะมีความเท่ และความเก๋อยู่เพราะฉะนั้นทรงผมถ้าจะทำออกไปทางแนวเท่เลย หรือเปรี้ยวเลยก็เริ่ดทรงผมที่แนะนำอาจจะเป็นผมยาวแบบมีเลเยอร์ ลอนสักหน่อย ก็จะลดความคมของกรอบใบหน้าและทำให้หน้าดูละมุนขึ้นได้หรือถ้าใครอยากรวบผมก็อาจจะมัดเป็นดังโงะ แต่ต้องปล่อยผมปอยข้าง ๆ ลงมาข้างแก้มนิดนึงจะช่วยทำให้ใบหน้าไม่ดูเหลี่ยมจนเกินไปใครอยากตัดผมสั้นก็สามารถทำได้เหมือนกัน อาจจะเป็นบ๊อบสั้นแล้วแสกข้างการเลือกตัดหน้าม้าแบบซีทรูก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะช่วยทำให้ใบหน้าดูเล็กลง และก็ละมุนมากขึ้นทรงต้องห้ามไม่ตัดผมที่สั้นจนเกินไปไม่ทำผมหน้าม้าตัดตรงหรือผมบ๊อบตรงทื่อ เพราะจะเพิ่มความเหลี่ยมให้กับใบหน้าไม่มัดผมรวบตึง เพราะจะเพิ่มเหลี่ยมมุมให้หน้าดูแข็งและมีเหลี่ยมเข้าไปอีก หน้าทรงยาวสาว ๆ รูปหน้าทรงนี้จะมีใบหน้าที่ยาว เพราะฉะนั้นการเลือกทรงผมก็ต้องเป็นทรงที่ช่วยลดความยาวของใบหน้าเพราะถ้าเราใบหน้าสั้นก็ช่วยให้ดูเด็กลงได้ด้วย และต้องเป็นทรงที่ช่วยเพิ่มความกว้างทางด้านข้างด้วยนะทรงผมที่แนะนำทรงผมควรเป็นทรงประบ่า หรือทรงที่มีความยาวปานกลาง เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสมดุลอาจจะเพิ่มการดัดลอนคลาย ๆ หรือผมตรงดัดปลายงุ้ม ตัดผมหน้าม้าเพื่อช่วยพรางช่วงหน้าผากลดความยาวของใบหน้าได้ดัดลอนบริเวณด้านข้างของหน้าจะช่วยให้ใบหน้าดูกว้างขึ้นได้เลือกทำผมด้านหน้าเป็นปัดข้าง หรือหน้าม้าตรงที่ไม่หนามากก็ได้ทรงต้องห้ามไม่ตัดผมสั้นมากจนเกินไป และไม่ไว้ผมยาวมากจนเกินไป เพราะผมที่สั้นหรือผมที่ยาวมากเกินไป จะทำให้เห็นความยาวของโครงหน้าที่ชัดเจนหน้ารูปหัวใจจริง ๆ สาว ๆ ที่มีรูปหน้าทรงนี้ค่อนข้างเลือกทรงผมได้หลากหลายถ้าอยากบาลานซ์ให้ใบหน้าสมดุลก็ปิดหน้าผากนิดหน่อย เพื่อเน้นให้ช่วงหน้าผากดูสั้นลงรับกับช่วงคางที่มีพื้นที่น้อยก็ได้ทรงผมที่แนะนำความยาวของผมควรจะยาวเลยคาง อยู่ที่ประมาณช่วงบ่าจะซอยเป็นผมสั้น หรือสไลด์ไล่ระดับก็ได้หรือจะไว้ผมหน้าม้าปิดหน้าผากสักหน่อย แล้วดัดลอนให้เป็นวอลลุ่มเล็ก ๆ ใบหน้าก็จะดูสมส่วนขึ้นได้ทรงต้องห้ามไม่ควรไว้ผมสั้นหรือผม ที่ตรงแบบทื่อ ๆ เพราะผมที่ตรงจนเกินไป จะทำให้หน้าดูแข็งหน้ารูปเพชรสาว ๆ ที่มีทรงหน้ารูปเพชร จะมีโหนกแก้มที่โดดเด่น เพราะฉะนั้นทรงผมก็จะต้องเป็นทรงที่มาช่วยปิดโหนกแก้มของเรา ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าดูสมส่วนมากขึ้นทรงผมที่แนะนำการไว้ผมสั้นประมาณคางจะเป็นตัวเลือกที่ดี ช่วยให้ใบหน้าดูสมส่วน และรับกับหน้าได้ดีทำทรงที่มีเลเยอร์ มีวอลลุ่ม จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับใบหน้าช่วงล่างใครอยากตัดผมสั้นก็เลือกเป็นผมซอยสั้นมีหน้าม้าก็ได้เหมือนกันตัดหน้าม้า หรือปอยผมที่ช่วยปิดโหนกแก้มของเราจะยิ่งเหมาะมาก นอกจากช่วยลดโหนกแก้มแล้วยังช่วยให้หน้าไม่แข็งจนเกินไปได้อีกด้วยทรงต้องห้ามไม่แสกกลาง เพราะจะทำให้เห็นโครงหน้าชัดเจนขึ้นไม่แนะนำให้ดัดลอน เพราะการดัดก็จะทำให้โครงหน้าของเราดูชัดขึ้นกว่าเดิมเป็นยังไงกันบ้างสาว ๆ ใครพร้อมที่จะเปลี่ยนลุคไปด้วยกันแล้วบ้าง ทีนี้เวลาที่ใครอยากตัดผม หรือเปลี่ยนทรงผม เราก็มีวิธีเช็กพร้อมกับทรงผมมาให้เรียบร้อย แต่อย่างว่า ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ตายตัว ทรงผมก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราตัดทรงไหนแล้วมั่นใจ หรือผมทรงไหนที่ทำแล้วรู้สึกว่าชอบก็ไม่ติดเลยน้า เพราะนี่เป็นแค่แนวทางให้กับทุกคนเฉย ๆ อยู่ที่สาว ๆ แล้วว่าจะเลือกมาทางไหน ถ้าหาทางเลือกไม่ได้ บทความของเราก็น่าจะช่วยคุณเลือกทรงผมได้อยู่น้าาาาา

ทำยังไงให้ไตแข็งแรง

11 มี.ค. 2024

ทำยังไงให้ไตแข็งแรง

1.รักษาระดับอารมณ์ ให้คงที่อยู่เสมอแพทย์แผนจีนกล่าวไว้ว่า ความกลัวทำร้ายไต คนที่เป็นโรคไตไม่ควรเครียด ต้องทำจิตใจให้สงบ ทำให้สดชื่น รู้จักผ่อนคลาย คนที่มีปัญหาทางด้านไต จะเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อย น้อยใจง่าย2.ไม่หักโหมกับการทำงานการทำงานหามรุ่งหามค่ำ เป็นบ่อเกิดแห่งความเครียด และการพักผ่อนน้อย ทำให้สมองแล่นตลอดเวลา การที่สมองเราเแล่นตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน จะทำให้เราสูญเสียพลังชี่และพลังจิงที่บำรุงสมองไตเป็นอวัยวะที่สร้างสารจิงไปเลี้ยงสมองสมองคิดช้า เพราะไตไม่สามารถส่งสารจิงไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ คนที่มีปัญหาทางไตจะมีอาการคิดอะไรช้า คิดไม่ออก และเครียดง่ายค่ะ3.อย่าให้ระบบทางเดินอาหารขาดสมดุลคนที่มีปัญหาระบบไตพลังจากไตจะไม่ส่งผลไปที่กระเพาะอาหารและม้าม จะทำให้มีอาการท้องอืดบ่อยถ่ายไม่ออกคลื่นไส้ง่าย อาการเหล่านี้เป็นเพราะในแพทย์แผนจีนไตกำกับปัสสาวะและอุจจาระการที่ไตไม่มีพลังชี่เพียงพอกับการขับปัสสาวะจะทำให้ปัสสาวะออกช้ากระปิดกระปอยออกน้อยไม่สุดปัสสาวะกลางคืนบ่อยถ้าหากไตไม่มีพลังชี่ไปขับอุจจาระ จะท้องผูกง่ายท้องอืดบ่อยเหนื่อยง่ายการบำรุงไต ได้ด้วยวิธีง่ายๆ1.ถูเอวบำรุงไตการถูให้ความร้อนบริเวณเอวบ่อยๆจะช่วยเสริมพลังหยางให้กับไต เหมาะสำหรับปัสสาวะบ่อยเวลากลางคืน2.นวดท้องน้อยเพิ่มพลังชี่นวดบริเวณใต้สะดือ จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้นค่ะ3.นวดใบหูเสริมไตให้แข็งแรงการนวดใบหูให้นวดจากบนลงล่าง จะช่วยสะท้อนจุดต่างๆของใบหู เสริมร่างกายและเสริมพลังไตได้ค่ะนอกจากดูแลใจแล้วอย่าลืมดูแลไตด้วยนะคะ เพราะไตถือเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่สำคัญมาก ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายดังนั้นการดูแลไตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญไม่แพ้ใจเลยค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ทำสวย-ทำหล่อ บริจาคโลหิตได้หรือไม่?

20 ก.พ. 2024

ทำสวย-ทำหล่อ บริจาคโลหิตได้หรือไม่?

เรื่องของความสวยงามกับคุณสุภาพสตรีมักเป็นของคู่กัน แต่ในยุคปัจจุบันคุณสุภาพบุรุษได้เริ่มหันมาดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพื่อคงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์ และความกระจ่างใสของผิวพรรณและใบหน้า ตัวช่วยในการเพิ่มความสวย ความหล่อ เพื่อเสริมความมั่นใจให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น หลาย ๆ คนคงนึกถึงการเสริมความงามด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่เรียกว่า หัตถการความงามทาง ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จึงมาชวนทุกท่านร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกันว่า “คนสวยหล่อใจบุญ สามารถบริจาคโลหิตได้หรือไม่?” หัตถการแบบไหนสามารถบริจาคโลหิตได้ทันทีหลังเข้ารับบริการ หรือแบบไหนต้องงดบริจาคโลหิต หรือต้องเว้นระยะเวลานานแค่ไหน มาไขข้อสงสัยไปพร้อมกันเลย 1. ทำทรีตเมนต์ ยกกระชับผิว : หลังเข้ารับบริการสามารถบริจาคโลหิตได้ 2. การรักษาสิว กระ จุดด่างดำ ขี้แมลงวัน ริ้วรอย แผลเป็น เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง ติ่งเนื้อ หูด ปาน ไฝ รอยสัก และกำจัดขนด้วยเลเซอร์ : หากไม่มีการอักเสบหลังเข้ารับบริการ สามารถบริจาคโลหิตได้ แต่ถ้ามีการอักเสบ รอให้แผลหายดีก่อนจึงจะบริจาคโลหิตได้ 3. การฉีดวิตามิน ฉีดโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดเมโส ฉีดกลูตาไธโอน ปรับรูปหน้าเรียว วีเชฟ กดสิว ฉีดสิว ร้อยไหม : หากเสริมความงามจากคลินิกทั่วไป ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล หลังเข้ารับบริการให้งดบริจาคโลหิต 4 เดือน แต่ถ้าทำที่โรงพยาบาล สามารถบริจาคโลหิตได้ 4. รับประทานยารักษาสิว (Anti-acne) ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีสิว ได้แก่ เตตราซัยคลิน (tetracycline) คลินดาไมซิน (clindamycin) มิโนไซคลีน ( minocycline) ด็อกซีไซคลิน(doxycycline) อีรีโทรมัยซิน (erythromycin) ไลมีไซคลีน (lymecycline) และ ออกซีเตตราไซคลีน (oxytetracycline) เป็นต้น ในกรณีเป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบ แต่มีการใช้ยาทั้งชนิดรับประทานและทาผิวหนัง หรือใช้ชนิดทาผิวหนังเพียงอย่างเดียว หลังใช้สามารถบริจาคโลหิตได้ แต่!! หากอยู่ระหว่างการใช้ยาเพื่อรักษาภาวะอักเสบของสิว ต้องรอจนกว่าอาการอักเสบหายดีแล้ว อย่างน้อย 2 สัปดาห์ และใช้ยาครบจำนวนตามสั่งของแพทย์ มาแล้วอย่างน้อย 1 สัปดาห์ จึงจะบริจาคโลหิตได้ ยา Retinoids (กลุ่มอนุพันธ์วิตามิน เอ) : ต้องงดบริจาคโลหิตชั่วคราว เนื่องจากยาในกลุ่มนี้ มีผลทำให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ มีเงื่อนไขการหยุดยาก่อนการบริจาค ดังนี้ - ยา Isotretinoin (Roaccutane®) ต้องหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน - ยา Acitretin (Neotigason®) ต้องหยุดยาอย่างน้อย 2 ปี - ยา Etretinate (Tigason®) งดบริจาคโลหิตถาวร 5. รับประทานอาหารเสริม และ สมุนไพร : วิตามินทุกชนิด เวย์โปรตีน แอลคาร์นิทีน คอลลาเจน กลูตาไธโอน เลซิตินอี อาหารเสริมที่มีไบโอติน ฟ้าทะลายโจร โสม ถั่งเช่า สามารถบริจาคโลหิตได้ 6. แต่หากเป็นน้ำมันตับปลา น้ำมันปลา และขมิ้นชัน ต้องงด 3 วัน ก่อนบริจาคโลหิต เพราะมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดรู้อย่างนี้แล้ว คนสวยหล่อ ใจบุญ ไม่ต้องกังวลใจไป ขอเพียงปฏิบัติตามเกณฑ์การรับบริจาคโลหิต แล้วเตรียมร่างกายให้พร้อมทุกครั้งที่บริจาค โลหิตของเราก็จะมีคุณภาพ เพียงพอที่จะช่วยต่อลมหายใจ ให้ผู้ที่เจ็บป่วยได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการบริจาคโลหิตยังมีประโยชน์อีกมากมายต่อตัวผู้บริจาคเองด้วยซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ทั้งยังช่วยเพิ่มไขมันดี ยับยั้งการทำลายหลอดเลือดของไขมันไม่ดี ที่สำคัญยังช่วยลดการสะสมของเหล็กที่ผิวหนัง ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส และชะลอความร่วงโรยของผิวหนัง ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยเสริมสุขภาพ และความงามอีกด้วย “ให้โลหิต ให้ชีวิต ให้ประจำ ทำได้ทุก 3 เดือน” พร้อมแล้วเราไปบริจาคโลหิตกันเลย*******************************ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากฝ่ายจัดหาโลหิตและสื่อสารองค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยโทรศัพท์ 02 256 4300, 02 263 9600-99 ต่อ 1760, 1761

เรื่องสิวสิวจากนมวัว

07 ก.พ. 2024

เรื่องสิวสิวจากนมวัว

ใคร ๆ ก็บอกว่าการดื่มนมทุกวันมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แล้วมันดีต่อสุขภาพจริงไหม ทำไมดื่มแล้วสิวถึงขึ้นล่ะ แล้วนมทำให้สิวขึ้นจริงหรือเปล่า วันนี้เรามาตอบข้อสงสัยกันนมวัวมีประโยชน์จริงหรือเปล่า ?นมวัวมีประโยชน์จริง เพราะอุดมไปด้วยสารยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด หลัก ๆ ก็คือแคลเซียมที่ช่วยดูแลกระดูก และช่วยให้ฟันแข็งแรง มีโพแทสเซียมช่วยป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงวิตามินบี แร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวานการดื่มนมวัวทำให้สิวขึ้นจริงเหรอ ?จากการวิจัยของแพทย์ผิวหนังที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า “นมวัว” มีส่วนทำให้ผู้ที่เป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน เป็นสิวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยนมของร่างกายนั้นจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตขึ้นมา ทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวอย่าง แอนโดรเจน ก็ถูกผลิตขึ้นมาเพิ่มด้วย นอกจากนั้นในนมวัวที่รีดออกมาจากแม่วัวที่เพิ่งคลอดลูก ก็จะมีฮอร์โมนสูง ทำให้เวลาที่คนเราดื่มนมเข้าไป ฮอร์โมนในนมวัวเหล่านี้กลับไปกระตุ้นต่อมไขมันของเราให้ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการหน้ามัน และเป็นสิวตามมา สำหรับคนที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน ควรจะเปลี่ยนมาดื่มนมที่เป็นสารสกัดจากพืชแทน เช่น นมถั่วเหลือง หรือนมข้าว เป็นต้นตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าผลข้างเคียงจากนมวัวสามารถทำให้สิวเราขึ้นได้เหมือนกัน แต่เราไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องงดการดื่มนมไปเลย ซึ่งเราสามารถเลี่ยงไปดื่มนมแพะ นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือน้ำนมข้าวแทนได้ เพราะคุณค่าทางสารอาหารมีประโยชน์ วิตามิน ที่สามารถทดแทนนมวัวได้เหมือนกันที่มา https://www.wongnai.com/articles/6-acne-treatment-doubthttps://www.sanook.com/health/31693/Author : DODOMILK

เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

06 ก.พ. 2024

เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

ในปัจจุบันเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “วงไอดอล” กันมาบ้างอยู่แล้วเป็นคำที่เราเห็นคุ้นชินถึงบุคคล หรือ กลุ่มคน ที่เก่งทั้งเต้น ร้อง มอบความสดใส และส่งต่อกำลังใจให้แก่ผู้ชมอย่างเรา ๆ ได้เป็นอย่างดีจะทั้ง ไอดอลชาย หรือไอดอลหญิง ก็เป็นที่โด่งดังมากในยุคสมัยนี้ แล้วไอดอล LGBTQ+ ละเราเคยรู้จักกันหรือเปล่า?“ Idol ” หรือ ไอดอล เป็นคำสั้น ๆ แต่กลับมีความหมายแฝงมากมาย หากอ้างอิงตามหลักพจนานุกรมของไทยเรานั้น แปลได้ว่า “คนหรือสิ่งที่ได้รับความชื่นชมหรือคลั่งไคล้อย่างมาก” หรือ “รูปเคารพ เทวรูป” แต่หากพูดกันตามความเข้าใจของทุกท่านนั้น คงจะหมายถึง บุคคลแบบอย่าง หรือ บุคคลที่จะมอบความ สดใส และเป็นแรงบัลดาลใจให้กับใครหลายๆคนวันนี้ Green Wave จะพาทุกท่านมารู้จักกับ คุณพิณ พินเนอร์ เรณุกา ปัญญาคุ้มวงศ์ หรือ พินเนอร์ ‘STARDASH’(สตาร์แดช) ไอดอล LGBTQ+ คนแรกของประเทศไทย ที่จะทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายของคำว่า “ไอดอล”จุดเริ่มต้นการเป็น Idol“ตัวพินเนอร์เอง เคยได้รับโอกาศจากผู้ใหญ่เป็นไอดอลอยู่ในค่ายๆนึง แต่ในตอนนั้นตัวพินเนอร์เอง ด้วยความที่อายุยังน้อย และการควบคุมอารมณ์ กับปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ทำให้ พินเนอร์เองไม่เป็นตัวเองเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปต่อ ทำให้พินเนอร์มีปมในใจว่า ตัวเราเองนั้นยังไม่เคยขึ้นเวทีเลยสักครั้ง แต่ด้วยความฝันและความชอบที่อยากเป็นไอดอล พินเนอร์จึงได้ตัดสินใจทำวงไอดอลขึ้นมา ทำให้เกิดวง STARDASH ขึ้นมา และมีเพลงแรกออกมาในปี 2019 ค่ะ”ที่มาของชื่อ ‘STARDASH’(สตาร์แดช)“คำว่า STARDASH (สตาร์แดช) นะคะ มาจากคำว่า Stardust (สตาร์ดัช) ที่แปลว่า ละอองดาว เปรียบกับคนที่ไล่ตามความฝัน แต่แตกสลายไม่รู้จนกี่ครั้ง แต่ไม่อยากหยุดฝัน พุ่ง DASH ตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามความฝันต่อไป จาก STARDUST จึงกลายมาเป็น STARDASH ค่ะ”Idol ในมุมมองของคุณพินเนอร์นั้นคืออะไร“คำว่าไอดอล แปลตรงตัวสำหรับคนไทยเลย นั้นคือ บุคคลตัวอย่างค่ะ แต่สำหรับตัวพิณเองนั้นชอบดูการ์ตูนค่ะ เป็นการ์ตูนแนวไอดอล อย่าง Love Live! School Idol ทำให้เรามองว่า ไอดอล คือเหล่าผู้คนที่เปล่งประกาย ที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความฝันให้แก่ผู้อื่นได้ เราจึงอยากเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นแรงบัลดาลใจ เป็นความสุข เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ และสร้างพลังบวกให้กับพวกเขาได้ค่ะ”Idol กับ LGBTQ+“ในมุมมองของพิณเอง มองว่า LGBTQ+ เป็นอะไรที่ปกติมาก ก็เหมือนมนุษย์อย่างเราๆที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะทั้ง ความเชื่อ ทั้งนิสัย เพศก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน พิณจึงมองว่าจะ หญิง หรือ ชาย หรือ LGBTQ+ เองนั้นไม่มีความแตกต่าง หรือต้องแบ่งแยกกันเลยค่ะ เหมือนกับความเป็นไอดอลที่แต่ละวงก็จะมีความชอบ นิสัย แนวเพลงที่แตกต่างกัน ทำให้พิณมองว่า ไม่ว่าคุณจะเป็น ชาย หญิง กระเทย LGBTQ+ หรือไอดอล หรือเพศใด ๆ ก็ตาม ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือน ๆ กัน มีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ ดีใจ ขอให้เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ให้เกียรติกันและกันไม่สร้างความเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะพิณเป็นไอดอลคนแรกๆเป็น LGBTQ+ ในไทย อย่างญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิดไอดอลนั้น วงLGBTQ+ ก็มีมานานแล้วค่ะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พิณก็ผ่านอะไรมาหลาย ๆ อย่างเลย แต่รู้สึกดีใจที่ได้ทำตามความฝัน ไม่อยากให้ LGBTQ+ ในไทยมองว่า เป้าหมายของเรามีแค่ เวทีนางงาม เพียงอย่างเดียว อยากให้เห็นว่า เราเป็นได้ทุกอย่างตามที่ความฝันเราอยากจะเป็นไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน หรือเป็นไอดอลเองก็ตาม”รู้สึกอย่างไรหากมีคนเรียกเราว่าเป็น กะเทย ตุ๊ด สาวสอง“พิณมองว่า มันเป็นอัตลักษณ์ทางเพศของเราค่ะ จะเรียกว่ากะเทย ตุ๊ด สาวสอง หรืออะไรก็ตาม พิณไม่ได้มองว่า คำเหล่านี้มันกลายเป็นคำดูถูกหรือเหยียดหยาม เราจะเป็นผู้ชายแต่งหญิง กะเทยแต่งหญิง ถ้ามันเป็นความชอบของตัวเราเอง ก็ให้เกียติตัวเองให้เกียติผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะ”ความเป็นไอดอล ในแบบของตนเอง“ตัวพิณเอง ก็ไม่ถือว่าเป็นไอดอลตรงตามฉบับที่คนอื่น ๆ คุ้นเคยเท่าไหร่ พิณค่อนข้างจะมีความพูดตรง ๆ หรือบางครั้งก็พูดแรงออกไปบ้าง ภาพลักษณ์เลยอาจจะดูเป็นไอดอลแรง ๆ ซึ้งพิณเองก็ยอมรับว่าในบางครั้งมันก็ไม่ดีหรอก แต่แฟนคลับหลาย ๆ คนก็เข้าใจเราค่ะ เราอยากให้เห็นถึงความหลากหลายของไอดอลเหมือนกัน ว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ และความรู้สึกเหมือนกันให้เห็นถึงความหลากหลายของการเป็นไอดอลค่ะ ไม่ได้ติดภาพจำว่าไอดอลต้องเป็น บุคคลที่น่ารักสดใสเพียงอย่างเดียว พิณเองก็มีกลุ่มคนที่ไม่ชอบพิณ โดนพิมพ์คอมเม้นต์แย่ๆใส่อยู่บ่อยครั้ง แต่พิณมองว่า หากเค้าไม่ให้เกียรติเรา เราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ชอบเรา ทำยังไงเค้าก็ไม่ชอบเราอยู่ดี อยากให้เราใส่ใจตัวเองรักตัวเอง ลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนดีกว่าค่ะ สร้างความสุข สร้างแรงบัลดาลใจ สร้างความฝัน ให้กับผู้อื่นดีกว่า อย่าเอาคำเหล่านั้นมาด้อยค่าตัวเองเลย ภูมิใจกับความเป็นตัวเองไว้ดีกว่า เพราะก็ไม่รู้ว่า ‘เราจะอยู่กับการไม่ภูมิใจในตัวเองไปทำไม’ ”รูปร่างหน้าตาไม่ดี จะมาเป็นไอดอล ?“พิณ มองว่าทุกคนสามารถดูดีได้สามารถ สวย หล่อ เท่ น่ารักได้หมดค่ะ แต่การที่เราจะดูดี ก็ขอให้เรานั้นดูดีเพื่อตัวเราเอง สวยเพื่อตัวเราเอง อย่าพยายามสวยเพื่อให้ผู้อื่นมองว่าสวยแต่ตัวเรานั้นเหนื่อยหรือทุกข์ใจ เพราะพิณ เชื่อว่า ความสวยที่เรามอบให้แก่ตนเองนั้น มันหมายถึง การที่เรารักตัวเอง เพราะเรารักตัวเองจึงได้ดูแลตัวเอง อยากให้ทุกคนทำอะไรเพื่อตัวเอง เพราะทุกคนมีชีวิตนี้แค่ครั้งเดียว อายุ 26 ครั้งเดียว 27 ครั้งเดียว เลยอยากให้ทุกคนกล้าที่จะทำอะไรเพื่อตนเอง รักตัวเองให้มากๆ และมีความกล้าที่จะทำความฝันค่ะ”หากในอนาคตมี มีวง ไอดอล LGBTQ+ เกิดขึ้นมาในประเทศไทยมากขึ้น“พิณอยากให้ทุกคนเปิดรับให้มากขึ้นค่ะ ไม่อยากให้ไอดอล จำกัดอยู่แค่เพศใดเพศหนึ่ง และก็อยากฝากว่า อย่าล้อเล่นกับความฝันของคนอื่น ไม่ว่าจะจากทางบริษัทเอง ไม่อยากให้เปิดรับเพียงเพราะเอากระแสหรือด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่า ไอดอลก็เป็นมนุษย์ และพวกเขามีความฝัน ความเสียใจ ความดีใจ ความผิดหวัง เหมือนอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ หรือทั้งจากผู้ที่อยากเป็นไอดอลเองก็ตาม ไม่อยากให้ทำเล่นๆ เพราะเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็จะมีคนที่ไม่ได้รับเลือกด้วยเช่นกัน อยากให้เต็มที่และเต็มใจที่จะเป็นไอดอล ผู้ที่มอบ แรงบัลดาลใจ ความฝัน ความสุข ความสนุก และรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นค่ะ”“ขอฝากวง STARDASH วงไอดอลที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความสุข ความสนุก ร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคนด้วยนะคะ เร็วๆนี้ภายในปี 2024 ก็จะมีเพลงใหม่ๆออกมากันด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะคะ”IG : pinnerz.stardashFackbook : PinNerz STARDASHTIKTOK : @pinnerz_stardashAuthor : MIKA_MIKAZUKI สิริชัย จันทร์เจริญ

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

18 ม.ค. 2024

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

ในชีวิตของการทำงานผู้คนมักเร่งรีบ แข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ เลยอาจจะมักทำพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายจนเป็นเรื่องปกติ และเผลอละเลยสุขภาพของตนเองไป1. นั่งท่าเดิมนานเกินไปโรคออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่ชาวออฟฟิศหลายคนรู้จักกัน เพราะเกิดจากการนั่งทำงานตลอดวันแบบไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบจนมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดหลัง ไหล่ คอ และบ่า รวมถึงการจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่งผลให้ปวดตา ปวดกระบอกตา และเสี่ยงโรคไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน2. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอคนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนดึกมักไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และไม่ทราบถึงภัยอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพหลายคนอาจคิดว่านอนดึก เดี๋ยวค่อยตื่นสายก็ได้ แต่พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้นาฬิกาชีวิตพังหรือร่างกายทำงานไม่เป็นระบบ เพราะอวัยวะในแต่ละส่วนของร่างกายมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง ฮอร์โมนในร่างกายอีกหลายชนิดหลั่งเป็นเวลา ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การนอน เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่ซึกหรอ รวมไปถึงฟื้นฟูร่างกายให้พร้อม การที่นอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น จะทำให้มีปัญหาในระยะยาวได้ เช่น นอนตื่นมาแล้วไม่สดชื่น สมาธิสั้น รวมถึงเสี่ยงต่อโรคร้ายอีกหลายโรค3. อดอาหารเช้า/ทานอาหารไม่ตรงเวลาเพื่อที่จะได้เข้างานตรงเวลา หลายคนเลยมองข้ามการทานอาหารเช้าไป หรือว่าทำงานจนลืมเวลาอาหาร ทานไม่ตรงเวลา หรือกระทั่งอดมื้อนั้นๆไปเลย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน และโรคท้องผูกเรื้อรังได้4. ทานอาหารไม่มีประโยชน์ชีวิตประจำวันที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา คนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารรสจัด ของมัน ของทอด น้ำอัดลม อาหารJunk Food หรืออาหารสำเร็จรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการทำงานจนดึกดื่นแล้วค่อยมากินข้าวทีเดียวก่อนนอน พฤติกรรมแบบนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคตับ โรคอาหารไม่ย่อย และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูงมาก รวมไปถึงปริมาณน้ำตาลและโซเดียมที่สูงกว่าอาหารทั่วไป5. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงาน ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและความสัมพันธ์ที่ดี แต่การสังสรรค์ที่มากจนเกินไป อาจเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษและทำให้ร่างกายพังได้ รวมถึงส่งผลให้พักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือโรคหัวใจได้ นอกจากนี้บางคนยังนิยมสูบบุหรี่ระหว่างการทำงานด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต6. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำการนั่งเป็นเวลานานและไม่หยุดพัก นอกจากจะเสี่ยงในเรื่องของออฟฟิศซินโดรมแล้ว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย เนื่องจากการนั่งทำงานจนไม่ลุกไปไหนแม้แต่การเข้าห้องน้ำและกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและกรวยไตอักเสบขอบคุณข้อมูลจาก:https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/7-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9Ehttps://www.bangkokhospital.com/content/7-popular-diseases-that-threaten-workersAuthor : สามสิบสิงหา

LOVE INSPIRED

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN HEART

SEXUAL LITERACY เรื่องเพศ ยิ่งไม่พูด ยิ่งมีปัญหา

25 มี.ค. 2024

SEXUAL LITERACY เรื่องเพศ ยิ่งไม่พูด ยิ่งมีปัญหา

SEXUAL LITERACYเรื่องเพศ ยิ่งไม่พูด ยิ่งมีปัญหาเรื่องเพศเป็นสิ่งทีสังคมไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะมองว่า เป็นเรื่องส่วนตัว มองว่าเป็นเรื่องน่าอาย ทำให้คนส่วนใหญ่เรียนรู้ด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูก หรือ ปฏิบัตต่อกันและกัน แบบคิดไปเอง“แต่สุดท้ายเรื่องส่วนตัว กลับสร้างปัญหาตามมาในระดับสังคม” ทั้งๆที่ปัญหาหลายอย่างสามารถป้องกันได้ เมื่อเรามีวุฒิภาวะทางเพศ (Sexual Maturity) ที่เราสามารถเพิ่มวุฒิภาวะทางเพศ ได้ เมื่อเรามีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเพศ ประเด็นต่างๆ ดังนี้ :1.SEX เป็นเรื่องของความหลากหลายรสนิยมทางเพศเป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถเอาบรรทัดฐานรสนิยมทางเพศของตัวเอง ไปตัดสินรสนิยมทางเพศของคนอื่นได้อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) ก็เช่นกัน ทุกคนมีการแสดงออกทางเพศ (Gender Expression) ที่หลากหลาย โลกนี้ไม่ได้มีแค่ชายแท้ หญิงแท้ แต่ละคนมีส่วนผสมของอัตลักษณ์ทางเพศที่ต่างกันไป ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ จะไม่มีการเหยียดเพศ ดูถูก ล้อเลียน (Sexual Bullying) ไม่ว่าจะมีการแสดงทางเพศอย่างไร รสนิยมทางเพศอย่างไร ก็มีความเป็นคนเท่ากัน2.SEX เป็นเรื่องการ ปกป้องสิทธิของตัวเองเราได้ยินเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ในสังคมกันอยู่เรื่อยๆ โดยที่เคสต่างๆที่เราได้ยิน เป็นแค่เสี้ยวส่วนน้อยที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เพราะคนส่วนใหญ่ที่ถูกกระทำเลือกที่จะไม่แจ้งความ ไม่เอาความ เพราะอับอาย ทั้งๆที่ คนที่ควรอับอาย ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำที่เลวร้ายไปกว่านั้น ผู้ล่วงละเมิดทางเพศ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนแปลกหน้า จากการเก็บข้อมูลพบว่า 2 ใน 3 ของผู้กระทำคือคนใกล้ชิดที่ผู้ถูกกระทำไว้ใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ลุง อา ญาติสนิท สามี แฟน เพื่อน ครู คนไว้ใจ ในขณะที่ผู้ถูกกระทำก็มีแผลใจไปตลอดชีวิตเข้าใจเรื่องการให้ความ“ยินยอม” (Sexual Consent)ว่าร่างกายเป็นของเรา เรามีสิทธิ์อนุญาตให้ใครสัมผัส แตะต้อง หรือไม่ให้ใครแตะต้องก็ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราควรปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็ก ให้เคารพในสิทธิ์บนร่างกายของตนเองและสิทธ์บนร่างกายผู้อื่นให้เข้าใจว่าร่างกายบริเวณใด ที่คนทั่วไปสัมผัสได้ และบริเวณไหนที่ไม่ควร เรามีสิทธิ์ปกป้อง ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว เกรงใจ เมื่อเรารู้สึกไม่ปลอดภัยเรื่องสิทธิ์บนร่างกายของตัวเองมีการสอนตั้งแต่วัยเด็ก เด็กควรรู้จัก สิทธิบนร่างกายตนเอง ว่าเรามีสิทธิ์ไม่อนุญาตให้ใครมาจับต้องในแบบที่เราไม่ต้องการได้ ซึ่งผู้ใหญ่บางคนโดนละเมิดตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ตัว และปล่อยให้มันเกิดขึ้นหลายครั้ง จนในที่สุด รู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่าในตัวเองก็มี เมื่อไม่รู้ว่าต้องจัดการกับสถานการณ์ยังไง เมื่อถูกละเมิด แค่ไหนที่ละเมิดแล้ว และต้องหยุดอย่างไร คุยกับใคร ป้องกันอย่างไรหรือแม้ว่าเราได้ให้ความยินยอมไปแล้ว แต่ถ้าต่อมารู้สึกไม่ปลอดภัย ก็มีสิทธิ์ปฏิเสธ ให้หยุดได้ในทันที อย่าปล่อยเลยตามเลย ไม่ต้องรู้สึกผิด เพื่อป้องกันผลร้ายที่อาจตามมาแล้วสายเกินแก้ เช่น สถานการณ์ดูหมิ่นเหม่, มีการสัมผัสที่ไม่ปลอดภัย ให้รีบออกจากสถานการณ์นั้นโดยทันที หรือ แม้แต่ขณะมีเพศสัมพันธ์ เช่น คู่นอนเริ่มใช้ความรุนแรง (Sexual Violence), เริ่มมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศมากขึ้น เช่น ถอดถุงยางอนามัยขณะร่วมเพศ, ใช้สารเสพติด, แอบหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่าย และแม้แต่สามีผู้จดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย ก็ยังเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศได้ หากไม่ได้รับความยินยอมจากภรรยาการไม่สอนเรื่องสิทธิบนร่างกายตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ถูกล่วงละเมิดทางเพศตั้งแต่เด็ก ไปจนถึงวัยทำงาน และจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้นไม่เป็น เกิดเป็นเคสล่วงละเมิดทางเพศ เริ่มจากในบ้านบ้าง ที่โรงเรียนบ้าง ไปจนถึงเมื่อโตขึ้น ก็ไปถูกล่วงละเมิดที่ทำงานบ้าง เช่นถูกเจ้านาย ผู้มีอำนาจเหนือกว่า จับก้น จับหน้าอก ถูกกอด ลูบหลัง ลูบหัว อ้างว่า ทำด้วยความเอ็นดูบ้าง ล้อเล่นบ้าง บางรายถูกกระทำเป็นประจำ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตต่อผู้ถูกกระทำในระยะยาว ฉวยประโยชน์ทางเพศ จนถึงหมดอนาคตในหน้าที่การงานในที่สุดซึ่งองค์กรต้องให้ความสำคัญ และให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติทางเพศที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ หรือ การใช้เรื่องเพศในการคุกคาม ต่อรอง (Sexual Threat) ผลประโยชน์ หรือ ใช้เป็นอำนาจในองค์กร3.SEX เป็นเรื่องของความรู้ และความมีวุฒิภาวะทุกคนควรรู้ถึงผลที่ตามมาของการมีเพศสัมพันธ์ และสามารถป้องกันปัญหาที่ตามมาได้ ไม่ใช่มองแค่ความสนุกชั่วครั้งคราว แต่สร้างปัญหาระยะยาวตลอดชีวิต ควรมีความเรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศ การคัดกรองคู่นอน รับมือความเสี่ยงที่ไม่คาดฝัน เช่นความรุนแรงทางเพศ การถูกคุกคาม ข่มขู่ทางเพศ เพื่อเอาผลประโยชน์ เป็นต้นเรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบต่อตนเอง คู่ของตน (Sexual Responsibilities) ว่าควรจัดการอย่างไร เพราะเมื่อมีปัญหาตามมา อาจใช้ทั้งเวลา ค่าใช้จ่ายที่ตามมาอีกมหาศาลมีตัวอย่างเคสที่เกิดขึ้นจริงที่อเมริกา คือ มิจฉาชีพแฮคเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของผู้หญิงจำนวนมาก และเอารูปเปลือย หรือ คลิปส่วนตัวของเหยื่อไป แบลคเมล์เพื่อเรียกเงิน บังคับข่มขู่ทางเพศ หรือ ให้คนส่งรูปคลิปส่วนตัวของแฟนเก่ามาแฉออนไลน์ ผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมาก ไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้ บางคนเสียงาน เสียอนาคต ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตายเมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันแบบนี้เกิดขึ้นกับเรา เราจะรับมืออย่างไร เรามีวุฒิภาวะในการจัดการหรือไม่ หรือ ผู้คนรอบข้าง หรือ สังคมของเรา มีความเข้าใจต่อเรื่องนี้อย่างไร เป็นสิ่งที่เราควรพิจารณา ก่อนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น“เซ็กซ์ไม่ใช่ด้านมืดของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องน่าอายมันเป็นธรรมชาติมนุษย์ ที่ต้องศึกษาอย่างมีวุฒิภาวะ”4.SEX เป็นเรื่อง ความเข้าใจตัวเอง การรักตัวเองมีคนจำนวนมาก สับสนระหว่าง คุณค่าในตัวเอง กับ เซ็กซ์ เราทุกคนมีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะมี หรือ ไม่มีเซ็กซ์กับใคร การที่เราถูกปฏิเสธทางเพศ หรือ การมีเซ็กซ์ ไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวเราเปลี่ยนไปเซ็กซ์ของแต่ละคน อาจมีความหมายต่างกัน บางคนใช้เซ็กซ์ทดแทนความเหงา ใช้เป็นที่ยอมรับ การเป็นที่รัก ใช้เป็นการผูกมัด ใช้เป็นสิ่งชดเชยสิ่งที่ขาดในใจ ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่สามาถทนแทนกันได้ เราจึงควรเผชิญหน้ากับปัญหาทางใจให้ถูกจุด เช่น ถ้ารู้สึกเหงา ซึมเศร้า หรือ ความรักตัวเองน้อยลง เพราะการมีเซ็กซ์นอกจากจะไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับรู้สึกว่างเปล่ามากขึ้น และอาจถูกผู้ไม่หวังดี ฉวยประโยชน์ทางเพศได้หรือในกรณีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็เช่นเดียวกัน คุณค่าในตัวเรา ไม่ได้หายไป และไม่ใช่ความผิดของเรา หากพบว่าเราคิดวนเวียนซ้ำๆ สภาพจิตใจดิ่ง มีภาวะซึมเศร้า ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ5.SEX เป็นเรื่อง ของความสัมพันธ์Sex เป็นอีกมุมหนึ่งของความสัมพันธ์ มันคือการเชื่อมโยงในมิติที่เป็นส่วนตัวที่สุด เป็นการสื่อสารทางกาย และใจ ในระดับที่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันแต่ระดับความสำคัญของเรื่องนี้ ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคู่ เปรียบเทียบกันไม่ได้หลายคู่ไปกันต่อไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องเพศก็มีไม่น้อย บางคู่มีปัญหาเรื่องนี้จริงๆ เพราะมีความแตกต่างกัน แต่หลายคู่ก็สามารถปรับเข้าหากันได้ เพียงเพราะทั้ง 2 ฝ่ายได้สื่อสารกัน ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเข้าใจไปเองฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ถามความรู้สึกจากคู่ของเรา และหากลองปรับแล้วไม่ได้ อาจพิจารณาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้วยก็ได้โดยสรุปแล้ว หากสังคมไทยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศมากขึ้น ปัญหาหลายอย่างจะถูกป้องกัน และ แก้ไขได้ ไม่ลามบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องนี้จะเริ่มต้นได้ นอกจากการให้ความรู้ความเข้าใจในสังคมแล้วจุดเริ่มต้นแรก ที่สำคัญที่สุด คือ“ระบบการศึกษาไทย”

ลดอุณหภูมิกทม.ได้มากถึง 5 องศา ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว

13 มี.ค. 2024

ลดอุณหภูมิกทม.ได้มากถึง 5 องศา ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว

ลดอุณหภูมิกทม.ได้มากถึง 5 องศา ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวKey Summary :• นักวิจัยพบว่าพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะสวนสาธารณะที่มีต้นใหม่ใหญ่ ลดอุณหภูมิโดยรอบลงได้ มากถึง 5 องศา• สวนสาธารณะขนาดใหญ่ของกทม. กระจุกตัวอยู่แค่ภายในเขตชั้นใน• การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกทม.ต่างๆให้เป็นประโยชน์จริงๆ มีโจทย์ต้องแก้ 2 ประเด็นคือ 1.พื้นที่สีเขียวนั้น ต้องเป็นพื้นที่ ที่ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้งานได้จริง และ 2.ต้องกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ อยู่ใกล้ชุมชน ให้คนสะดวกใช้งานได้ง่าย• พื้นที่สีเขียว ลดร้อนทำให้เมืองเย็นขึ้น ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึมซับน้ำส่วนเกิน ลดมลพิษทำความสะอาดอากาศ เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คน• ควรส่งเสริมให้ภาคเอกชน และครัวเรือน ช่วยกันปลูกต้นไม้ตามองค์กร บ้านเรือน ตามรั้ว และทุกสถานที่ ที่ทำได้ในวันที่กรมอุตุนิยมวิทยา ออกมาประกาศว่าปัจจุบัน บางพื้นที่ในกทม. เช่นบางนา อุณหภูมิได้พุ่งขึ้นไปสูงถึง 50 กว่าองศาแล้ว แล้วเราทำอะไรได้บ้างมาเริ่มต้นกันที่งานวิจัยที่พิสูจน์แล้วจากหลายเมืองทั่วโลกพบว่า..........................................................................................ลดอุณหภูมิเมืองได้ด้วยพื้นที่สีเขียวนักวิจัยพบว่าสวนต้นไม้ที่มีพื้นที่ใหญ่ เช่นสวนสาธารณณะเป็นวิธีลดอุณหภูมิเมืองได้ดีที่สุด ซึ่งลดอุณหูมิในพื้นและบริเวณโดยรอบได้ถึง 5 องศา หรือ การมีพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ทุ่ง หนอง บึงต่างๆ สามารถอุณหภูมิได้ 4.7 องศามหาวิทยา Surrey Global Center for Clean Air Research พบว่า ปรากฏการณ์ลดอุณหภูมิเมือง สามารถทำได้จริง แม้กระทั่งสวนหย่อมตามบ้านขนาดเล็กก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งงานวิจัยกำลังศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดว่า ต้นไม้ประเภทไหนลดอุณหภูมิได้มาก ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบเช่น ประเภทของร่มเงาของต้นไม้ การระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ แนวการปลูกต้นไม้ เช่น การจัดน้ำตกจะลดอุณภูมิรอบข้างได้เฉลี่ย 4.5 องศา ขณะที่สวนแนวตั้งลดอุณหภูมิได้ 4.1องศา และต้นไม้ตามถนน ลดอุณหภูมิได้ 3.8 องศาแล้วกทม.จะทำบ้างได้มั้ย?ปัจจุบัน อัตราพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากรในกรุงเทพ ตามข้อมูลของ กทม. คือ 7.49 ตรม./คน และตั้งเป้าหมายไว้ ว่าจะเพิ่มให้ถึง 9 ตร.ม./คน ภายในปี 2030 ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) แม้ปัจจุบัน พื้นที่สีเขียวในกทม. ดูเป็นตัวเลขที่สูง แต่ทำไมเราไม่ได้รู้สึกว่ากรุงเทพ เขียวขนาดนั้น?พื้นที่สีเขียว กับสวนสาธาราณะที่ประชาชนเข้าถึงได้ คนละเรื่องกันที่เรารู้สึกว่าความเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้น้อย ทั้งๆที่สถิติ กทม. ดูเยอะ เพราะ กทม.นับ‘พื้นที่สีเขียว’ ทั้งหมด โดยรวมเอา ‘ทุกพื้นที่ที่มีสีเขียว’ เช่น สวนถนนอาจหมายถึงต้นไม้บนเกาะกลางถนน หรือต้นไม้ริมถนน สวนหย่อมขนาดเล็กอาจเป็นสวนหน้าบ้านใครสักคน หรือ สวนประเภทอื่นๆ อาจอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวที่คนทั่วไปเข้าไปใช้งานไม่ได้ตามข้อมูลของ กทม. ระบุว่าเขตพระโขนง คือเขตที่มีจำนวนสวนมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงพระโขนงไม่มีสวนสาธารณะที่ประชาชนใช้งานได้เลยแม้แต่สวนเดียว แต่เป็นเขตที่มี “สวนหย่อมหน้าบ้าน” มากที่สุดหรือ เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายที่มีพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากรตามข้อมูล กทม. อยู่ที่ 6.36 ตร.ม./คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว Rocket Media Lab พบว่า พื้นที่สวนสาธารณะที่เข้าถึงได้ ต่อจำนวนประชากร ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ไม่มีสวนสาธารณะที่ประชาชนเข้าถึงได้เลยหรือเขตทวีวัฒนา ที่ กทม.ระบุว่ามีพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากร อยู่ที่ 22.83 ตร.ม./คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่ Rocket Lab พบว่า พื้นที่สวนสาธารณะที่เข้าถึงได้ต่อจำนวนประชากรมีเพียง 3.72 ตร.ม./คน เท่านั้น“เราจะมองแค่อัตราส่วนของพื้นที่สีเขียวต่อประชากรอย่างเดียวไม่ได้ การเข้าถึง และ ความสามารถใช้งานของพื้นที่สีเขียวก็สำคัญ”โครงการ Green Bangkok 2030 นอกจากต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวต่อประชากร ให้ได้ถึง 9 ตร.ม./คน ภายในปี 2030 แล้ว ยังมีเป้าหมายการเพิ่มสวนสาธารณะขนาดเล็ก (Pocket Park) ให้เข้าถึงได้ในระยะ 400-800 เมตรอีกด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพชั้นในRocket Media Lab แจงข้อมูลสวนสาธารณะที่เข้าถึงได้ทั้ง 133 แห่งของกทม. ว่าสวนสาธารณะที่เข้าถึงได้ และมีระยะการเข้าถึงตามเกณฑ์ที่กำหนด กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ชั้นในและพื้นที่เศรษฐกิจเกือบทั้งหมด และบางส่วนของพื้นที่กรุงเทพตอนใต้"ปัญหาการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของ กทม. คือ ไม่มีที่ดิน และไม่มีงบฯ จัดซื้อที่ดินในการสร้างสวนสาธารณะ"แม้กทม.จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่ในยุคสมัยต่างๆของผู้ว่าราชการจังหวัดคนก่อนๆต่อเนื่องกันมา ได้มีการแก้ปัญหา เพิ่มพื้นที่สีเขียวในหลากหลายลักษณะ ทั้งใช้ที่ดินกทม.เอง หรือ เช่าที่ มาทำสวนสาธารณะ บางที่ได้รับพระราชทานมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 และยังมีการบริจาคมาจากภาคเอกชน หรือได้รับความร่วมมือจากพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งานจากหน่วยงานรัฐต่าง ๆ อีกด้วยความท้าทายจึงยังไม่ได้จบลงที่แค่การเพิ่มพื้นที่ แต่เป็นการ "กระจาย" พื้นที่สีเขียวให้ครอบคลุม เข้าถึงทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียมอีกต้วยโดยปกติแล้วเมืองใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่า ใช้ทรัพยากรมากกว่า เป็นสาเหตุในการเร่งภาวะโลกร้อนรอบโลกมากกว่าพื้นที่ชุมชนอื่นๆพื้นที่สีเขียวจึงจำเป็นที่ต้องอยู่คู่กับเมืองไปด้วย เพราะนอกจากจะทำให้เมืองคลายร้อนให้เมืองเย็นขึ้น ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึมซับน้ำส่วนเกิน ลดมลพิษทำความสะอาดอากาศ ก็ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คน ในเชิงความงดงาม และ คลายเครียดได้ด้วยต้นไม้ทุกต้นจึงมีความสำคัญ นอกจากเราจะปลูกเองที่บ้านได้แล้ว หากเราช่วยกันดูแล เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนของตนเองอีกทางหนึ่งด้วย จะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ และหากคุณสนใจเรื่องการดูแลปกป้องต้นไม้ใหญ๋ในเมือง ก็สามารถเข้าร่วมได้ที่ กลุ่ม Big Trees Project บน Facebook ครับ https://www.facebook.com/BIGTreesProjectข้อมูล:• WEF• The Standard

ความเหงาฆ่าเราได้

13 มี.ค. 2024

ความเหงาฆ่าเราได้

ความเหงาฆ่าเราได้องค์การอนามัยโลกออกมาประกาศภัยแห่งความเหงา ว่าเป็นโรคที่กำลังคร่าชีวิตผู้ใหญ่กว่า 2 ล้านคน รอบโลก ในการวิจัยกว่า 90 ขิ้น ติดตามผู้คนในการสำรวจตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 25 ปี พบความเชื่อมโยงว่าการปลีกตัวจากสังคม ทำให้ตายก่อนวัย 32% และ คนที่เหงาตายก่อนวัย 4%ความเหงาคืออะไรความเหงา (Loneliness) เป็นความรู้สึกการขาดความสัมพันธ์ทางสังคม ที่ไม่ได้เพียงพอ หรือ ตรงกับที่ตนเองต้องการ ซึ่งบางทีไม่ได้อยู่ที่จำนวนความสัมพันธ์ แต่อยู่ที่คุณภาพความสัมพันธ์ ที่สำคัญกว่า ต่างจากการปลีกตัวทางสังคม เป็นการตัดขาดทางสังคม เพราะเงื่อนไขต่างๆเช่น อยู่ในสถานที่ห่างไกล สถานที่ที่ผู้คนเข้าถึงยาก เป็นต้น“คนที่มีครอบครัว มีแฟน มีเพื่อนเยอะ แต่ไม่มีคุณภาพความสัมพันธ์ หรือ ไม่เป็นที่น่าพอใจ ตรงแบบที่ต้องการก็อาจเเหงาได้มากกว่า คนเพื่อนน้อย แต่มีความสัมพันธ์ที่ตอบโจทย์ช่วยเหลือ สนับสนุนกันได้“ความเหงาทำให้เรารู้สึก ว่างเปล่า โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่ต้องการ และความเหงายังเกี่ยวข้องกับการแยกตัวจากสังคม การขาดทักษะทางสังคม บุคลิกการเก็บตัว และ อาการซึมเศร้าความเหงาแบ่งได้เป็น 3 ประเภท :1.ความเหงาแบบชั่วคราว (Transient Loneliness) คือ ความเหงาในชีวิตประจำวันเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เป็นความเหงาประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดแต่อาจจะไม่ได้มีความรุนแรง2.ความเหงาจากสถานการณ์ (Situational Loneliness) เป็นความเหงาที่มักจะเกิดขึ้นหลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อชีวิต เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การหย่าร้าง การจบความสัมพันธ์กับใครสักคน หรือการย้ายถิ่นฐานของคนที่มีความผูกพันต่อกัน3.ความเหงาแบบเรื้อรัง (Chronic Loneliness) เป็นความเหงาที่มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่นเป็นระยะเวลายาวนานติดต่อกัน และไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ ความเหงาประเภทนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มีปัญหาในด้านการปรับตัวความเหงามันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?โดยปกติแล้ว ถ้าเราจัดการความเหงา ประเภท 1 และ 2 ได้ มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร จนกระทั่งมันเกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน จนเกิดเป็นความเหงาแบบเรื้องรัง และเริ่มส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันสาเหตุของความเหงาไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยเดียว แต่ละคนมีสาเหตุที่แตกต่างกันไปเช่น1.ความเหงาสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตาม “วิธีคิด และ วิธีมอง”ของเรา เช่นการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล, การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่น, รวมถึงประสบการณ์ในอดีตอาจทำให้บุคคลมีความคาดหวังต่อความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่น ทำให้เกิดการรับรู้และตีความว่าตนเองกำลังรู้สึกเหงาขึ้นมาได้2.กรรมพันธุ์ (Genetics) เคยมีการศึกษาพบว่า ความเหงาได้รับอิทธิพบจากกรรมพันธุ์ ตั้งแต่ 37-55%3.ลักษณะบุคลิกภาพ (Personality) ของบุคคลที่มีความแตกต่างกัน เช่น บุคลิกภาพแบบขี้อาย (shyness) หรือการขาดทักษะทางสังคม ก็อาจจะทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดความรู้สึกเหงาได้ง่ายกว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบมั่นใจ (confidence)4.ค่านิยมและบรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรม (Culture Social Values) ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสังคม เช่น วัฒนธรรมของคนตะวันตกเน้น ความเป็นปัจเจกสูง (individualism) ก็อาจจะมีแนวโน้มที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหงาได้มากกว่า วัฒนธรรมของคนเอเชียที่เน้นการอยู่ร่วมกัน (Collectivism) และช่วยเหลือกันภายในสมาชิกของครอบครัว แต่อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อสรุปว่าค่านิยมแบบไหนสร้างความเหงามากกว่ากัน5.สถานการณ์ทางสังคมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (Social Events)ในขณะนั้น เช่น ความเครียดของคนว่างงาน ความรู้สึกไม่พึงพอใจในสถานภาพสมรส การสูญเสียคนรัก การย้ายที่อยู่ใหม่อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ส่งผลให้บุคคลรู้สึกเหงาได้"ความเหงาที่มีผลกระทบกับชีวิต คือ ความเหงาแบบเรื้อรังที่อันตรายกว่าโรคอ้วนถึง 2 เท่ามีความรุนแรงเท่ากับ สูบบุหรี่ 15 มวน/วันและรุนแรงเท่าการไม่ออกกำลังกาย ความดันโลหิตสูง และ การดื่มเหล้าหนัก"ผลกระทบของความเหงาความเหงาเรื้อรังส่งผลกระทบทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต :• เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความจำเสื่อม• เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ และการใช้สารเสพติด• ส่งผลต่อคุณภาพการนอน ทำให้มีคุณภาพในการนอนไม่ดี และรบกวนการนอนหลับ• ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความเครียด อยากฆ่าตัวตาย• ทำให้อาการอัลไซเมอร์หนักขึ้น• ส่งผลให้มีความพึงพอใจในชีวิตต่ำ• ความจำ การเรียนรู้ลดลง ตัดสินใจผิดพลาด• เสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรความเหงาเรื้อรังอาจทำให้ป่วย แต่ความป่วยเอง ก็ทำให้เหงาได้ด้วยเช่นกัน เพราะสุขภาพที่ไม่ดี ทำให้ขาดการติดต่อจากสังคม และผู้ป่วยต้องการซัพพอร์ทจากสังคมมากกว่าคนไม่ป่วยด้วยสัญญาณของความเหงาหลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังเจอกับสภาวะความเหงาเรื้อรัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อาจมีภาวะซึมเศร้า หรือ มีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อตัวเองไปแล้ว จากการวิจัยพบว่า คนที่มีอาการเหงาเรื้อร้ัง มักมีอาการเหล่านี้อาการทางกายได้แก่ :• กินมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาล และไขมัน เพราะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้เร็ว• ออกกำลังกายน้อยลง เคลื่อนไหวตัวน้อยลง• ไถหน้าจอไปเรื่อย ดูทีวีไปเรื่อยๆ• เสพติด ไม่ว่าจะเป็นการ ช็อปปิ้ง ซื้อของออนไลน์ ซื้อของไม่จำเป็น ติดเกมส์ หรือ ยาเสพติด• สูบบุหรี่ ดื่มเหล้ามากขึ้น• เสพติดเซ็กซ์ มีเซ็กซ์ไปเรื่อยๆอาการทางใจได้แก่ :• ปลีกตัวจากผู้คน• รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า ขาดความเคารพและชอบในตัวเอง ขาดความมั่นใจ• เก็บอารมณ์ ความรู้สึก ความเครียดเพิ่มขึ้น• เข้าสังคมอย่างหนัก• โกรธแบบไม่มีเหตุผล• แกล้งทำเป็นมีความสุข• พฤติกรรมต่อต้านสังคมวิธีป้องกันและรับมือกับความเหงา1.ทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นของตน ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น คือความเหงา ความเศร้า ความโดดเดี่ยว หรือเป็นความรู้สึกอะไร เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไปของความรู้สึกที่เกิดขึ้น และเป็นสัญญาณที่บอกให้เราเริ่มใส่ใจเรื่องของความสัมพันธ์2.กลับมาทบทวนความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มองหาความสัมพันธ์ที่ตนเองต้องการหรือความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ปริมาณของความสัมพันธ์อาจไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของความสัมพันธ์ที่มีอยู่3.พัฒนาความสัมพันธ์เดิมที่เราอาจละเลย ไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับคนรอบข้างมานาน การพัฒนาฟื้นฟูความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ บอกเล่าความรู้สึก เรื่องราวในชีวิตประจำวันกับความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจ กับคนที่มีค่านิยม ทัศนคติ ที่คล้ายกัน จะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ในเชิงคุณภาพมากขึ้น4.เปิดโอกาสให้ตนได้เรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์ใหม่ ๆ และไม่ปิดกั้นตัวเองในการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบๆข้าง5.หากิจกรรม งานอดิเรกทำเพิ่มเติม การกลับมาอยู่กับตัวเอง ให้เวลาตัวเอง บางครั้งสามารถทำให้ความเหงาชั่วครั้งชั่วคราวลดลงได้ และได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ ที่ใจตรงกัน6.เลี้ยงสัตว์เลี้ยง การมีสัตว์เลี้ยงสักตัวจะทำให้เกิดความผูกพัน เกิดความสัมพันธ์ที่มีความหมายและช่วยลดความเหงาลงไปได้7.พูดคุยปรึกษากับนักจิตวิทยา เพื่อหาวิธีรับมือกับความเหงาเพิ่มเติม8.มองโลกด้านดีไว้ คนเหงาส่วนใหญ่ มักกลัวการโดนปฏิเสธ จึงไม่กล้าเริ่มต้นสร้างสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ และการที่เรารู้ตัว และลุกขึ้นมาจัดการกับความเหงา ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการจัดการกับความรู้สึก ทำให้เราเข้าใจตัวเอง และคนอื่นมากขึ้น ซึ่งจะต้องค่อยๆไปทีละก้าว เพื่อความแข็งแรงของใจในระยะยาว มันไม่ได้สำเร็จเพียงชั่วข้ามคืนงานวิจัยพบว่าคนที่เหงาน้อย มักเป็นคนที่แต่งงานแล้ว มีรายได้สูงกว่า และมีการศึกษาที่สูงกว่า ขณะที่ความเหงาระดับสูงสัมพันธ์กับ สุขภาพทางกาย การอยู่คนเดียว การมีสังคมขนาดเล็ก และมีคุณภาพความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่ดีถ้าเรามีความเข้าใจเราจะรู้ว่า ความเหงา ไม่ใช่ความอ่อนแอ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของชีวิต ความเหงาเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าสถานะไหน การศึกษาอย่างไร เป็นคนมีสังคม หรือ ไม่มีสังคมก็ตามมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่สมัยไหน แต่สภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกคนมีความเป็นส่วนตัว เป็นปัจจเจกมากขึ้น ทำให้ผู้ใหญ่จำนวนมากไม่มีเพื่อนสนิทเลย ซึ่งการมีเพื่อนสนิท และได้พบหน้า เจอตัวกัน ช่วยคลายความเหงาได้มาก และดีต่อสุขภาพกายและใจ ทั้งกับคนที่มีสุขภาพปกติ และคนป่วย ทำให้อาการป่วยไม่หนักขึ้น เราควรฝึกสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ มากกว่าชินชาไปกับความเหงาไปเองถ้าเราต้องกินข้าว ออกกำลังกาย นอนพักผ่อน เพื่อสุขภาพกายที่แข็งแรงอย่างไร การบริหารสุขภาพใจ ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ก็มีค่าอย่างนั้น เพราะคุณภาพของความสัมพันธ์ กำหนด คุณภาพของชีวิตนั่นเองข้อมูลจาก• Nature• CNN• WHO• Verywell Mind

หนอนนกยักษ์ทางออกขยะพลาสติก

05 มี.ค. 2024

หนอนนกยักษ์ทางออกขยะพลาสติก

พลาสติก เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และเคยหยิบจับกันอยู่แทบทุกวัน ทั้งถุงพลาสติก ขวดน้ำ แก้วน้ำ หลอด หรือแม้แต่กล่องข้าว ก็ล้วนแล้วแต่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น พลาสติกเป็นวัสดุที่นำมาใช้งานได้กว้าง และหลากหลาย สามารถทำให้อ่อนนุ่ม เหนียว ยืดหยุ่น หรือจะทำให้แข็งแรง คงทน ถึงขนาดเป็นชิ้นส่วนของยานอวกาศได้เลยทีเดียวพลาสติก คืออะไรพลาสติกจัดเป็นวัสดุพอลิเมอร์ที่เป็นสารประกอบอินทรีย์สามารถสังเคราะห์ได้จากกระบวนการ พอลิเมอร์ไรเซชั่น (polymerization) โดยใช้แหล่งวัตถุดิบจากปิโตรเคมีเป็นหลัก เช่น เอธิลีน (Ethylene) , พรอพพิลีน (Propylene) เป็นต้นเมื่อพลาสติกโดนความร้อน จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ“เทอร์โมเซตติ้ง (Thermosetting)” พลาสติกจะแข็งตัวถาวรไม่ว่าจะถูกความร้อนมากแค่ไหนก็ตาม ทำให้ไม่สามารถหลอมเพื่อขึ้นรูปใหม่ตามที่ต้องการได้“เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic)” พลาสติกจะเกิดการอ่อนตัวเมื่อถูกความร้อน และจะกลับไปแข็งเมื่อพลาสติกเย็นขึ้น ทำให้สามารถนำไปหลอมขึ้นรูปใหม่ได้ ซึ่งพลาสติกที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ คือ“เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic)ปัญหาการจำกัดขยะพลาสติกในปัจจุบันนั้นส่วนหนึ่งเกิดจาก พลาสติกเป็นวัสดุที่ต้องใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายนานถึง 500 - 650 ปี หรือพูดกันง่ายๆว่า ถุงพลาสติกที่เราใช้ในวันนี้ มีอายุยืนยาวกว่าตัวเราเองจนถึงรุ่นหลานของเราเลยทีเดียว อีกทั้งหากจะนำขยะพลาติกไปรีไซเคิล เป็นปุ๋ยชีวภาพ หรือแปลเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ก็จำเป็นต้องใช้ทั้งพลังงานแถมผลที่ได้มานั้น หากทำไม่ถูกวิธี ขยะพลาสติก ก็จะแปลเปลี่ยนเป็น มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ มลพิษทางดินอีกด้วยปัญหาของขยะพลาสติกไม่ใช่แค่การย่อยสลายที่ใช้เวลานาน หรือกำจัดยาก แต่ยังมีเรื่องของปริมาณที่เยอะขึ้นทุกวัน ทุกที่ และทุกเวลา หากเราลองคิดกันง่ายๆ ว่าใน 1 วัน เราทิ้ง 1 ชิ้น ต่อ 1 คน ประเทศไทยเรานั้นก็จะเกิด ขยะวันละ 66.9 ล้านชิ้นต่อวันเลยทีเดียวประเทศไทยเรานั้นมีขยะพลาสติกเกิดขึ้น โดยเฉลี่ยปีละ 2 ล้านตันแต่กลับนำมาใช้ประโยชน์ได้แค่เพียง 0.5 ล้านตันต่อปี ขยะในส่วนที่เหลือนั้น มักเป็นขยะที่ใช้งานได้เพียงครั้งเดียว เช่น ถุงหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก ถ้าหากไม่มีการจัดการอย่างถูกวิธี ขยะก็จะกลายเป็นผลเสียที่จะกลายเป็นมลพิษต่อโลกไปนี้ต่อไปแล้วเราจะมีทางไหนไหมนะ?ที่จะย่อยสลายพลาสติกได้เป็นอย่างดีไม่เกิดมลพิษต่อระบบนิเวศมารู้จักกับ “หนอนยักษ์” ที่สามารถย่อยสลายพลาสติกได้หนอนยักษ์คืออะไร ?โซโฟบัส โมริโอ (Zophobas morio) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า หนอนนกยักษ์ หรือ ซูเปอร์เวิร์ม (superworm) สามารถ ใช้ชีวิตได้ด้วยการกินพลาสติกโพลิสไตรีนpolystyrene เป็นอาหาร เพราะเอนไซม์หลายชนิดในลำไส้ของพวกซูเปอร์หนอน สามารถย่อยสลายได้หนอนนกยักษ์ มีการแพร่กระจายทั่วทุกแห่งในอเมริกากลาง ในบางพื้นที่ ของอเมริกาใต้ และพบมากทางตะวันตกของหมู่เกาะอินดีส (Indies) และแม็คซิโก (Mexico) โดยมี มูลค้างคาวและเศษซากพืชซากสัตว์ในธรรมชาติเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หรือมีการอยู่รวมกันใต้เปลือก ของต้นไม้ที่ตายแล้วและเมื่อโตเต็มไว จะกลายเป็นด้วงปีกแข็งสีดเราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาของเจ้า หนอนนกยักษ์ นี้กันอยู่แทบตลอดเวลา เพราะมันมักจะกลายเป็น อาหารของ นก กิ่งก่า และสัตว์ฟันแทะ ในกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ มักนิยมนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เพราะมีโปรตีนที่สูง และขนาดตัวที่พอเหมาะย่อยขยะได้อย่างไร ?จากการทดลอง และวิจัยพบว่าเจ้าหนอนนกยักษ์นี้ สามารถกัดกินและย่อยสลาย พอลิสไตรีน (polystyrene)และสไตรีน (styrene) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเภทของพลาสติกที่เป็นตัวตั้งต้นในการผลิต ถุงพลาสติก หลอด โฟม และอีกมากมาย อีกทั้งยังค้นพบเอนไซม์หลายตัวในลำไส้ของหนอนเหล่านี้ที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายพลาสติก นอกจากนั้นไม่ใช่แค่การย่อยสลายเพียงอย่างเดียว เจ้าหนอนนกยักษ์นี้ ยังสามารถแปรเปลี่ยนพลาสติกเป็นพลังงานที่เลี้ยงชีพตนได้ แต่เจ้าหนอนที่กินพลาสติกเป็นประจำนั้นก็ไม่ได้มีสุขภาพที่ดีซักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับหนอนที่กินอาหารที่เหมาะสมอย่าง รำข้าว แนวทางการศึกษาการกำจัดดขยะในอนาคตในปัจุบันมีหลายองค์กร ที่พยายามวิจัยวิธีที่สามารถกำจัดขยะพลาสติกได้อย่างดีเพื่อแก้ปัญหามลพิษขยะพลาสติกล้นโลก และเจ้าหนอนนกยักษ์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะสามารถแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกได้อย่างยั่งยืน เพราะสามารถย่อยสลายพลาสติกได้อย่างดีไม่มีพิษตกค้างหรือมลพิษพลาสติกหลงเหลือที่ยั่งยืนไปมากกว่านั้นคือ ไม่ใช่แค่การหาวิธีในการสกัดหาเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายได้ หรือการทำฟามหนอนนกยักษ์เพื่อย่อยสลายเพียงอย่างเดียว แต่เหล่านักวิจัยกำลังพยายามหาเอนไซม์ ที่จะเป็นตัวตั้งตนในการผลิตสารพิเศษที่จะผสมลงไปในตัวเนื้อพลาสติก เพื่อเร่งระยะเวลาในการย่อยสลายพลาสติกจาก 500 ปี ให้เหลือเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นAuthor : สิริชัย จันทร์เจริญข้อมูลจากhttps://maitreeplastic.com/types-of-plastics/#%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81_Plastic_%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3http://env_data.onep.go.th/blogs/subject/view/11https://www.ipst.ac.th/knowledge/17182/plastic-waste.htmlhttps://www.bbc.com/thai/international-61763694http://env_data.onep.go.th/blogs/subject/view/11https://www.tcr-plastic.com/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81Plastic_%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86https://entomophagy.fandom.com/wiki/Zophobas_morio

ลดกินวัว ลดโลกร้อน

01 มี.ค. 2024

ลดกินวัว ลดโลกร้อน

Key Summaries:1.ลดกินวัว จะลดคาร์บอน จากมื้ออาหารของเรา ได้เกินครึ่ง2.ลดกินสัตว์เนื้อแดง เพิ่มผัก ผลไม้ ดีต่อสุขภาพ ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง3.ลดการดื่มน้ำผลไม้ แต่กินผลไม้สดแทน ดีกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพมากกว่า4.ดื่มนมธัญพืช ดีกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ดื่มนมวัว5.กินอาหารที่ผลิตใกล้ฉัน ลดการขนส่ง ดีต่อสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมอาหารสร้างคาร์บอนในโลกประมาณ 30% ของกิจกรรมมนุษย์ทั้งหมด และ 60% ของคาร์บอนเหล่านั้นมาจากการผลิตเนื้อสัตว์ การทำลายป่า เพื่อปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะฟาร์มวัว ซึ่งตอนนี้เรามีวัวอยู่ในโลกประมาณ 1.5 พันล้านตัว และใช้พื้นที่มากกว่า 13 ล้าน ตรกม.ในการดูแล และปลูกพืชมาเลี้ยงสัตว์นอกจากนี้ยังมีก๊าซมีเธน ซึ่งผลิตจากลำไส้ของวัว ซึ่งเป็นก๊าซที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และรุนแรงกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ 80 เท่า ซึ่งถ้าคำนวนเฉพาะการผลิตเนื้อวัว 1 กิโล เราจะสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 79-101กก. เทียบกับ เนื้อไก่ ทั้งกระบวนการ รวมขนส่งด้วยแล้ว จะสร้างคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 3-21 กก. ต่อเนื้อไก่ 1 กก. เท่านั้นการเลี้ยงวัวปล่อยก๊าซ มากกว่า เนื้อไก่ 7 เท่า และใช้พื้นที่ในการผลิตมากกว่า เนื้อไก่ 7 เท่า และถ้าเทียบกับการปลูกธัญพืช การผลิตเนื้อวัวปล่อยก๊าซมากกว่า 20 เท่า และใช้ พื้นที่มากกว่า 20 เท่าเช่นกันจากข้อมูลของ FAO ในปี 2022 มีการบริโภคเนื้อวัวทั่วโลกประมาณ 80 ล้านตัน/ปี ซึ่งแนวโน้มการบริโภคเนื้อวัวเพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ไปในทิศทางเดียวกับจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ทั้งๆที่มีการศึกษาจำนวนมาก ที่พบว่าการบริโภคเนื้อแดง มีความสัมพันธ์ กับ ความเสี่ยงโรคเบาหวาน หัวใจ และ มะเร็งเพิ่มขึ้นก็ตามถึงแม้บางภูมิภาค จะมีแนวโน้มจะบริโภคเนื้อวัวลดลง แต่เอเชียกลับกลายเป็นภูมิภาคที่มีอัตราเร่งสูงขึ้น เมื่อลองมาศึกษาวิจัยว่า เมนูอาหารไหน สร้างคาร์บอนเท่าไหร่ ก็เห็นได้ชัดว่า“เพียงเราตัดเนื้อวัว ออกไปมื้อเดียวคาร์บอนจากมื้ออาหารของเราวันนั้น หายไปเกินครึ่ง”การเปลี่ยนแปลงอาหารของเราเพียงเล็กน้อย ในระยะยาวเมื่อผู้บริโภคทำพร้อมๆกัน ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาล เช่น การกินผลไม้ทั้งลูก ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าดื่มน้ำผลไม้ และดีต่อสุขภาพมากกว่า หรือ การดื่มนมธัญพืช ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า นมวัว (แต่การผลิตอัลมอนด์ ใช้น้ำเยอะกว่า การเลี้ยงวัว แนะนำดื่มนมถั่วเหลืองดีที่สุด)ข้อมูลจาก:-FAO-Nature Food-American Journal of Clinical Nutrition-Bloomberg-Global Food Security

GREEN CHARITY

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

15 มี.ค. 2022

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย

CLUB PRIDE DAY

Club Pride Day x นินจา จารุกิตต์ | 21 มี.ค. 67

21 มี.ค. 2024

Club Pride Day x นินจา จารุกิตต์ | 21 มี.ค. 67

ฟังเรื่องราวสุด POP ของ “นินจา จารุกิตต์” ลีดเดอร์วง ‘4MIX’ บอยแบนด์ LGBTQ+ ที่พา T-POP ดังกระหึ่มเวทีโลก!!! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #นินจา #นินจาจารุกิตต์ #Ninja4MIX #ninja #njcha #4MIX #411records #tpop #unix #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x พชร์ อานนท์ | 14 มี.ค. 67

14 มี.ค. 2024

Club Pride Day x พชร์ อานนท์ | 14 มี.ค. 67

Club Pride Day x พชร์ อานนท์ | 14 มี.ค. 67 . เปิดหน้าพงศาวดารไทยฉบับใหม่ไปกับ "พชร์ อานนท์" ผกก.หนังตัวตึง ยืนหนึ่งในจักรวาล..หอแต๋วแตก!!! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #พขร์ #พชร์อานนท์ #poj #ตัวแม่ #หอแต๋วแตก #pojarnon #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x คุณ ปีใหม่ Miss Tiffany's Universe 25th | 7 มี.ค. 67

08 มี.ค. 2024

Club Pride Day x คุณ ปีใหม่ Miss Tiffany's Universe 25th | 7 มี.ค. 67

Club Pride Day x คุณ ปีใหม่ Miss Tiffany's Universe 25th | 7 มี.ค. 67 . พฤหัสนี้พบกับ Miss Tiffany's Universe คนล่าสุดของเมืองไทย!! 'ปีใหม่ - ศรุดา ปัญญาคำ' ดีกรีแอร์โฮสเตสหญิงข้ามเพศคนแรก จากสายการบิน American Airline . เตรียมบินไปกับปีใหม่ พี่อ้อย และก๊อตจิ 3-4 ทุ่ม ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ปีใหม่ #ปีใหม่ศรุดา #มิสทิฟฟานี25th #มิสทิฟฟานี #MissTiffany #MissTiffanysUniverse #MTU25th #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจพี่อ้อยนภาพร #ก๊อตจิ #ตัวแม่ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #LGBTQ #LGBT #ตัวมัม

Club Pride Day x โอวา ธนาวัฒน์ | 29 ก.พ. 67

29 ก.พ. 2024

Club Pride Day x โอวา ธนาวัฒน์ | 29 ก.พ. 67

ถือเคียว สตาร์ทรถไถ เตรียมมาเปิดไมค์เมาท์ กับตัวแม่จากท้องนา “โอวา ธนาวัฒน์” กะเทยขายข้าว ผู้เปลี่ยนข้าวเปลือก กก. ละ 8 บาท สู่รายได้หลักล้าน! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #โอวา #ธนาวัฒน์ #ovaricesurin #กะเทยขายข้าว #โอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์100% #worldequality #LGBTQ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x มิกซ์ เฉลิมศรี | 22 ก.พ. 67

23 ก.พ. 2024

Club Pride Day x มิกซ์ เฉลิมศรี | 22 ก.พ. 67

Club Pride Day x มิกซ์ เฉลิมศรี | 22 ก.พ. 67 . My Suger Daddy โปรดฟังทางนี้ กรุณาวางสัมภาระไว้กับที่ เพราะ "มิกซ์ เฉลิมศรี" จะขอเปิดไมค์เม้าท์! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #มิกซ์เฉลิมศรี #MIX #Badmixy #ตัวแม่ #ฟ้ารักพ่อ #DragQueen #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x คุณ จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์ | 15 ก.พ. 67

16 ก.พ. 2024

Club Pride Day x คุณ จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์ | 15 ก.พ. 67

Club Pride Day x คุณ จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์ | 15 ก.พ. 67 . เตรียมใจฟู!! กับคลับไพร์ดเดย์วีคนี้!! พบกับ ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry คุณ "จูดี้!!" . 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม พฤหัสนี้ ใจฟูไปพร้อมๆกันกับพี่อ้อย และก๊อตจิ(ผู้ดำเนินรายการ) ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #จูดี้ #คัลแลน #พี่จอง #คัลแลนพี่จอง #CullenHateBerry #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจพี่อ้อยนภาพร #ก๊อตจิ #ตัวแม่ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #LGBTQ #LGBT #ตัวมัม

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตที่ไม่อิงบท ของ “พชร์ อานนท์” ผู้กำกับที่บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับย่อ ผ่านจักรวาลหอแต๋วแตก

21 มี.ค. 2024

เปิดชีวิตที่ไม่อิงบท ของ “พชร์ อานนท์” ผู้กำกับที่บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับย่อ ผ่านจักรวาลหอแต๋วแตก

เปิด Club แชร์เรื่องราวสีสันชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ ที่มีโอกาสเปิดไมค์ต้อนรับแขกเชิญสุดพิเศษ “พชร์ อานนท์” ผู้ที่มีหลากหลายฉายา ทั้งบรรณาธิการมือโปร, นักปั้นมือทอง, ผู้กำกับหนังกะเทย, ผู้กำกับร้อยล้าน ฯลฯ ที่การันตีว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีรายชื่อหนังภายใต้ฝีมือมากที่สุดในแวดวงหนังไทย ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ที่รู้จักกันดีในเรื่องของความสด แบบคิดบทพูดกันตรงหน้าฉาก ไม่มีการเขียนสคริปต์ก่อนเหมือนหนังทั่วไป ซึ่งกวาดรางวัลอันทรงคุณค่ามานับไม่ถ้วน กว่าจะประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ เขาผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง รวมถึงมีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ได้แชร์เอาไว้ในรายการอีกด้วยย้อนวัยใส ของ ด.ช.พชร์ อานนท์“ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะได้เป็นผู้กำกับ เพราะว่าแต่ก่อนตัวเองเป็นเด็กบ้านจน เราโตจากสลัมซอยนานา ที่มันเป็นทางด่วนแถวเพลินจิต แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาไล่ที่เพราะจะมีการทำทางด่วน ที่บ้านก็พากันย้ายไปอยู่สำโรง ในซอยแบริ่ง แล้วก็เวลาเรียนหนังสือ ป.1 - ป.4 เราก็ช่วยที่บ้านหาเงินไปด้วย ตอนนั้นคุณพ่อรับจ้างก่อสร้าง พอเราขึ้น ม.1 ก็เริ่มทำงานรับจ้างหาเงินไปด้วย ขึ้น ม.6 ก็เริ่มเป็นกระเป๋ารถเมล์, ขายเรียงเบอร์ หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟ พอจบ ม.6 ก็คิดว่าจะไปเอ็นทรานซ์คณะอะไรดี แม้จะรู้ว่าถ้าเรียนมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินเยอะ แต่เราก็ลองไปสอบดูเพราะเขาต้องให้สอบเอ็นทรานซ์ทุกคนอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีเงินเรียนก็เลยไปทำงานที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ เป็นพนักงานเสิร์ฟเวลาเขามีงานจัดเลี้ยง ทำงานได้วันละประมาณ 80 – 100 บาท ก็ทำไปเพราะต้องใช้เงิน”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางบรรณาธิการ“ในตอนที่ทำงานที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ มีวันหนึ่งพอเลิกงาน 5 ทุ่มเราก็เปลี่ยนใส่ชุดนักเรียนกลับบ้าน ซึ่งมันต้องเดินผ่านบางกะปิเทอเรซ ไปขึ้นรถเมล์ตรงข้างหน้าโรงแรมโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ แล้วพอเราเดินผ่านก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเรา แล้วก็ชวนเราไปถ่ายแบบ ไปถ่ายแนะนำตัว ตอนนั้นหนังสือนิตยสารต่าง ๆ มันต้องมีการให้ถ่ายแนะนำตัวก่อน เราก็ไปถ่าย จนเริ่มพูดคุยสนิทสนมกับทีมงาน เราก็บอกพี่ ๆ ทีมงานว่าอยากทำงาน เขาก็ถามว่าหาโฆษณาเป็นไหม แล้วก็ให้ลองไปหาโฆษณาลงหนังสือแต่ละหน้า เราก็เลยได้เริ่มเป็นเซลล์ขายโฆษณาในหนังสือก่อน แล้วก็ทำสไตลิสต์หาเสื้อผ้ามาถ่ายแบบให้กับหนังสือ เมื่อพ.ศ.2527 ทำมาสักพักตอนนั้นมันจะสอบอยู่แล้ว ซึ่งเราได้เงินเดือน 14,000 บาท ซึ่งเยอะมาก เราก็ตัดสินใจว่าจะไม่เรียนแล้ว แต่ก็ลงเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เอาไว้ ก็ไปเรียนแต่ก็ไม่จบ จากนั้นพอเราทำงานอยู่ประมาณ 2 ปี บรรณาธิการคนเก่าเขาลาออก พี่ ๆ ก็ถามเราว่าสนใจเป็นบรรณาธิการบริหารไหม เราก็ตกลงรวบตึงเป็นบรรณาธิการจนถึงปีพ.ศ. 2529 แล้วสมัยนั้นนายแบบนางแบบมันก็เริ่มถ่ายวนไปวนมา เราก็เลยตั้งใจว่าไปหาเด็กใหม่ดีกว่า ซึ่งเป็นเล่มแรกเลยที่หาเด็กใหม่มาถ่าย จน พ.ศ 2533 ก็ไปเจอ มอส ปฏิภาณ เต๋า สมชาย โมทย์ ปราโมทย์ ซึ่งเราไม่ใช่แมวมองหรอก เพราะต้องการคนมาถ่ายหนังสือมากกว่า เราไม่ใช่โมเดลลิ่ง แล้วเราก็ได้น้องพวกนี้มา”จากบรรณาธิการ สู่นักปั้นมือทอง“เรื่องเด็กที่เราหาสามารถอยู่ได้ยาวนานในวงการบันเทิง เราว่าเป็นดวงสมพงษ์กันมากกว่า อย่าง แอนดริว ทีแรกก็ไม่ยอมมา แต่เราก็ปั้นจนไปเป็นดารา อย่าง เต๋า ทีแรกก็สงสัยแล้วสงสัยอีกว่าเราเป็นใคร ตอนนั้น เต๋า เป็นคนเรียบร้อยมาก จะทำอะไรก็ต้องถามย่าก่อน อย่างตอนเจอ มอส ครั้งแรก ตอนนั้นมอสเป็นเด็กอุเทน แล้วพี่ก็แต่งตัวแบบกางเกงยีนส์ เสื้อขาวเซอร์ ๆ มอสเลยคิดว่าพชร์เป็นจิ๊กโก๋ คิดว่าเราจะหาเรื่อง เราก็เลยให้ผู้หญิงไปขอเบอร์ เพราะว่าเราก็กลัวตอนนั้นเค้าอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ พอได้เบอร์มาเราก็โทรไปคุยซึ่งการเลือกว่าจะปั้นใครคือถ้าเห็นจะรู้เลยว่าคนนี้ใช่รึเปล่า แล้วเมื่อก่อนมันไม่มีศัลยกรรม ไม่มีฉีดโบท็อก ถ้าเราเห็นแววว่าหน้าตาดีเป็นดาราได้ก็จะเลือกมาปั้น ซึ่งเยอะมากในวงการ อย่างเช่น ออย ธนา, ฝันดี ฝันเด่น, มอส, เต๋า, โมทย์, โด่ง สิทธิพร, ต่อ ณัฐวัฒน์, อั้ต อัษฎา, ฟลุ๊ค เกริกพล อย่างผู้หญิงก็มี เต๋า สโรชา, ชาช่า อัลเทอร์เมท, หญิง ฌัชฌา, อั้ม ฐนิชาอย่างคำว่า แมวมอง เกิดจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขียนให้ นักปั้นมือทองแมวมองระดับประเทศ แต่เราไม่ชอบคำนี้ เพราะว่าเราคือบรรณาธิการบริหารเธอกับฉัน เราก็รู้สึกว่ามาเรียกแมวมองแล้วมันไม่ใช่ เราไม่ได้ทำโมเดลลิ่ง เพราะเราไม่ได้หาเงินเลย รับเงินเท่าไหร่เด็กก็รับกันไปเอง เราก็แค่คุยเรื่องราคาให้ เรามีเงินเดือนของเราอยู่แล้วตอนเป็นบรรณาธิการ แต่เราก็เป็นผู้มีอิทธิพลในวัยรุ่นสมัยนั้น เมื่อก่อนไปเดินสยามไม่ได้เลยเด็กเดินผ่านพยามยามให้เราเห็นเต็มไปหมดเลย แล้วเรารู้เลยว่าเด็กคนนี้พรีเซนต์ตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้ไง ถ้ามันได้เราจะเดินเข้าไปหาเองอย่างตำนานบันไดหน้าสยาม มีอยู่จริง เพราะเราเจอ จอห์น ดีแลน ที่นั่น เพราะเขาประกวดเต้นเสร็จแล้วเขาก็ไปนั่งหน้าบันไดสยาม แล้วพวกพชร์ชอบนั่งเล่นกันเพราะว่าพวกวัยรุ่นสมัยก่อนเขาจะไปนั่งหน้าบันไดสยาม เราก็ชวนน้องไปเป็นดาราไหม น้องก็ตกลงก็ได้เป็นดารา แต่ปัจจุบันมันไม่มีแล้วเขากั้นไปหมดแล้ว ตอนนี้มันถูกจัดให้สวยไปแล้ว เมื่อก่อนมันจะเป็นบันไดธรรมดาแล้วรถเมล์ก็จะมาจอด คนก็จะมานั่งรอนั่งเล่น เป็นที่รวม ฝันดีฝันเด่น และ ออย ธนา พชร์ก็เจอที่นั่น”จุดเริ่มต้น ของผู้กำกับร้อยล้าน“ตอนนั้นพ.ศ.2535 ผมมีเด็กหลายคน แล้วทางบริษัทเขาก็อยากได้เด็กไปเล่นหนัง ก่อนหน้านั้นแก๊งมอส ที่เป็นเด็กปั้นเรา ก็เอาไปเล่นหนังให้บริษัท Five Star เรื่องสะแด่วแห้ว เรื่องนั้นเราไม่ได้ทำแต่พาเด็กไปเล่น ก็มีเด็กเราหมดเลย 5 คนเล่น เพราะตอนนั้นพวก กระโปรงบานขาสั้น ยังไม่มา แล้วหนังมันทำเงิน หลังจากนั้นเราก็พาเด็กไปเล่นหนัง ถ้าว่างจากทำหนังสือก็จะพาเด็กไป จากนั้นเจ้าของ Five Star ชื่อคุณเชน ที่เสียชีวิตไปแล้วเรียกเราเข้าไปคุยว่าสนใจเป็นผู้กำกับไหม ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าตอนเรียนเราอยากเป็นคุณครู อยากสอนหนังสือเพราะว่าเราชอบ และเรื่องทำหนังเราไม่ได้เรียนมา ก็เลยปฏิเสธไป แต่ในตอนที่เราไปกับเด็ก เราก็ไปดูว่าเขาทำยังไง เขาเล่นยังไง ถ่ายยังไงแล้วเราก็ชอบ คอยจำว่าเขาถ่ายยังไง แสงมันมาตรงไหน นักแสดงเดินออกมายังไง หลังจากนั้น อาเปี๊ยก พิศาล ก็ชวนไปเที่ยวกอง แล้วก็ชวนเราไปเป็นผู้กำกับ เราก็บอกว่าได้ครับ เพราะอยากลองดู จากนั้นเราก็ไปเล่าให้เขาฟังว่าเราอยากทำเรื่องอะไร เพราะว่าตอนนั้นหนังเด็กนักเรียนมันเยอะ เราก็เลยไม่ทำหนังนักเรียน เลือกไปทำหนังแฟนตาซี ถ่ายประมาณปี พ.ศ.2538 พอปีพ.ศ.2539 ก็ฉายต้อนรับปีใหม่ ก็กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดของปีพ.ศ.2539 ซึ่งสมัยก่อนหนังทำรายได้ 60 ล้านบาท ก็เยอะแล้ว เพราะว่าค่าตั๋วมัน 70-80 บาทเอง แล้วหนังปีพ.ศ.2539 มีแต่หนังใหญ่ ๆ เต็มไปหมด แต่ของเราชนะที่ 1 ก็เลยได้เป็นหนังยอดเยี่ยม หนังทำเงินสูงสุดแห่งปี”หนังพี่พชร์ ไม่ต้องมีบท จริงไหม?“จริง ๆ มันก็ไม่มีตั้งแต่เริ่มเข้าวงการเลย ตั้งแต่เรื่อง สติแตกสุดขั้วโลก คนจะนิยมว่าถ้ามีบทที่ดีจะเป็นหนังที่ดี แต่เราไม่ชินกับการมีบท เราเคยเขียนบทมาแล้วปรากฏว่าถ่ายไม่ได้เลย เพราะว่าคนเขียนคนนึง คนกำกับคนนึง มันก็ไปคนละทาง เราก็จะไปกำกับตามจินตนาการของคนเขียนบทมันก็ไม่ใช่เพราะว่าเราจินตนาการว่าหนังเราต้องเป็นแบบนี้ เราก็ต้องคิดเอง ก็เลยทิ้งบทเลย หลังจากนั้นเรื่อง 18 ฝน ก็ไม่มีบท แต่การมีบทก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งจริง ๆ แล้วตามหลักมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป มันแล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล โดยปกติถ้าหนังไม่มีบททำไม่ได้เพราะมันยาก ทุกคนต้องจดต้องจำอะไรที่เขียนมา แต่ของเรามันจำอยู่ในหัวอยู่แล้วโดยในการทำงาน เราจะไปสำรวจโลเคชั่นก่อน จากนั้นเราก็จะประชุมว่าสถานที่นี้จะเกิดอะไรบ้าง ก็จะเล่าให้ทีมงานฟัง แล้วมอบหมายว่าทีมงานไปหาปืนมานะ ไปหารองเท้ามานะ พอไปถ่ายเราก็ไม่มีบทเลย เราก็แค่บอกนักแสดงว่าใครเข้าฉากบ้างก็เล่นเลย โดยจะบอกนักแสดงก่อนถ่ายว่าจะพูดอะไรบ้าง แล้วเดี๋ยวจะมีนักแสดงหลักที่จะเติมบทให้แต่ห้ามนอกเรื่อง ซึ่งมันมีบทให้พูดให้จำอยู่แล้ว จากนั้นก็ช่วยเติมนิด ๆหน่อย ๆ แต่เค้าโครงของเรามันไม่ได้เขียนขึ้นมาเป็นกระดาษ มันอยู่ในหัวแล้ว ซึ่งมันไม่ได้ทำกันง่าย ๆ และก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำได้ยังไง แล้วก็เคยได้รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยนะ เรื่องเพื่อนกูรักมึงว่ะ ได้ไปเมืองนอกอย่างเรื่องเอ๋อเหรอ ได้รับรางวัลเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเมื่อก่อนเราไปเทศกาลหนังเยอะมาก แต่มันไม่ค่อยเป็นข่าว มันมีแต่ข่าว พชร์ อานนท์ ทำหอแต๋วแตก”คำด่าเชิงลบ ที่ไม่กระทบจิตใจแล้ว“ปกติเราเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้ว เป็นคนตลก บ้า ๆ บอ ๆ แต่พอดีเราไม่ได้อยู่ค่าย เราไม่ได้มีแบ็คอัพ เราคือตัวคนเดียวตลอด และคนก็จะมองว่าเราดุ จริง ๆ แล้วมันก็คือการป้องกันตัวเองไม่ให้ใครมายุ่ง จนหลายคนมองเหมือนว่าเราดุ เราหวงเด็ก แต่จริง ๆ พชร์เป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหนังตลกแบบนี้หรอกแล้วเมื่อก่อนมันไม่มีโซเชียล มันมีแต่พันทิป นั่นคือเริ่มเลย เข้าพันทิปก็จะเจอคนด่าทุกเรื่อง แต่เราก็เฉย ๆ ไม่สนใจ เพราะว่าหนังเราประสบความสำเร็จ ด่าไปเลย ยิ่งด่าหนังยิ่งดังไม่เป็นไร หลังจากนั้นพอเราทำหนังมีสาระ อย่าง 18 ฝนคนอันตราย คนก็เลิกด่าเราไปพักนึง พอมาเรื่อง ว๊ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก คนก็กลับมาด่าเราอีก โดนด่ามาตลอด แต่หมอดูเคยทักว่า เราเป็นคนที่ถ้าโดนด่าแล้วจะดัง ก็เลยคิดว่าด่าได้ด่าไปเถอะ ถ้าเราคิดมากคงไม่อยู่มาถึงทุกวันนี้หรอก”เปิดคลังหนังในดวงใจ ของ พชร์ อานนท์“หนังในดวงใจก็ชอบหลายเรื่อง อย่าง Life is Beautiful ที่เป็นหนังสงคราม เราชอบมากสมัยเด็ก ๆ หรืออย่าง Titanic ก็ชอบ เพราะว่าหนังยุค 90 มีหนังดี ๆ เยอะมาก อย่างเรื่อง Notting Hill เราก็ชอบมากเพราะรู้สึกว่าเค้าเก่งเรื่องเขียนบท ดูสามชั่วโมงยังไม่เบื่อเลย ส่วนตัวชอบหนังดราม่า หนังชีวิตคน หนังจริงจัง แต่พอได้ทำหนัง กลับเริ่มจากหนังตลก จนกลายเป็นผู้กำกับหนังตลก แต่พอได้ทำหนังดราม่าเราก็เต็มที่เลยอย่าง เอ๋อเหรอ หรือ 18 ฝน ก็ถือว่าเป็นหนังดราม่าจัด ๆ เลย เราชอบหนังแนวดราม่าอยู่แล้ว แต่พอได้ทำหนังจริง นาน ๆ ครั้ง นายทุนถึงจะให้เราทำดราม่า ส่วนใหญ่ก็จะได้ทำแต่ หอแต๋วแตกถ้าเป็นหนังที่ตัวเองทำ แล้วกลายเป็นหนังในดวงใจเลยก็คือเรื่อง เอ๋อเหรอ และ 18 ฝน เพราะเราได้ใช้ฝีมือเยอะ และเราถนัดหนังแบบนั้น ถ่ายกันสบาย ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่อง เพื่อนกูรักมึงว่ะ เวลาเราถ่ายต้องรอเมฆ รอฟ้า รอฝน มันต้องรอหลากหลายองค์ประกอบ แต่เรื่องเอ๋อเหรอ หรือ 18 ฝน เรารู้สึกว่ามันง่าย ไม่ต้องมาเครียดที่จะทำให้คนหัวเราะ จริง ๆ ทำหนังดราม่าง่ายกว่ามาก เพราะเวลาทำหนังตลกเรื่องความขำของคนมันไม่เท่ากัน บางคนก็ไม่ตลกกับหนังของเราก็มี”จุดกำเนิดของ จักรวาลหอแต๋วแตก“ตอนนั้นเราทำหนังเรื่อง เพื่อนกูรักมึงว่ะ แต่อยู่ในช่วงรอเข้าฉาย แล้วเราก็ต้องหางานทำเรื่องต่อไป ตอนนั้นเราอยู่ สหมงคลฟิล์ม ก็นั่งคิดงานอยู่กับเสี่ยเจียง คิดชื่อแรกไปเสนอ เสี่ยเจียงก็บอกว่า ชื่อมันขายไม่ได้ เดี๋ยวคิดชื่อให้ใหม่ ทีแรกจะชื่อ โกยเถอะกะเทย เพราะตอนนั้นโกยเถอะโยมมันดัง เราก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอทำเรื่อง หอแต๋วแตก ดีกว่า แต่เสี่ยเจียงปฏิเสธว่าไม่ทำ เราก็เลยบอกว่า งั้นขอกลับไปทำที่เก่าดีกว่า ที่ Five Star เราก็กลับไปทำ แล้วเริ่มต้นด้วย หอแต๋วแตก ก็เล่าเรื่องให้ทีมงานฟัง ว่าเป็นเรื่องที่ กะเทยเป็นเจ้าของหอ อยู่ ๆ ก็มีคนตาย โครงเรื่องมีเท่านี้ เค้าก็ถามว่าต้องใช้งบเท่าไหร่ พอเราเสนองบไป เค้าก็ตกลงบอกว่าเอาเลยทำเลย เราก็เปิดกองเลย นัดคิวดารานักแสดง เราก็เลือก พี่จตุรงค์ โก๊ะตี๋ แล้วก็ชวน อาจารย์ยิ่งศักดิ์ เพราะตอนนั้นท่านก็ดังจาก คุยแหกโค้ง ส่วน พี่เอกชัย ตอนนั้นเค้าไม่ค่อยทำเพลง แต่เราเคยเห็นเค้าเล่นตลกแล้วแต่งเป็นกะเทยก็ลองติดต่อ แล้วพี่เอกชัยก็โอเค จนได้ครบสี่คน หาลูกพี่จตุรงค์คนนึง ก็ได้ อาโคย เป็นเด็กวัยรุ่นซื่อ ๆ พูดอีสาน จากนั้นก็เปิดกองเลย ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะถ่ายอะไร แต่เราหาโลเคชั่นได้แล้ว เราก็ให้ทีมงานเตรียมชุดมาเยอะ ๆ แล้วเริ่มปั้นทีละนิด เก็บทีละหน่อย จนมันสำเร็จเป็นหอแต๋วแตกตอนคุยกับนักแสดงเราก็พูดว่า เล่นเป็นเจ้าของหอสี่คน ตอนแรกเราก็นึกชื่อตัวละครกันไม่ออก แต่พี่จตุรงค์เค้ามีชื่ออยู่แล้วว่า แต๋ว เพราะเรื่องเกิดที่หอของเจ๊แต๋วไง แต่ โก๊ะตี๋ ยังไม่มีชื่อ แล้วตอนนั้น แพนเค้ก เขมนิจ กำลังดัง ก็เลยให้โก๊ะตี๋ชื่อแพนเค้กไปละกัน และช่วงนั้น มดดำ คชาภา ก็กำลังดังเหมือนกัน ก็ให้พี่เอกชัยชื่อมดดำ ส่วนเจ๊การ์ตูน ก็มาจาก การ์ตูน อินทิรา นั่นเองต้องบอกว่าคำว่า LGBTQ+ สังคมในยุคนั้นคนยังไม่สนับสนุนหรอก แต่คนก็มองว่า หอแต๋วแตก เป็นหนังตลกมากกว่า ตลกกะเทยมันเพิ่งจะกลับมา ก่อนหน้านั้นหนังกะเทยมันก็มี สตรีเหล็ก และต่อมาก็หนังของเรา คนก็มองว่าเป็นหนังตลก กะเทยแต่งตัวแปลก ๆ บ้า ๆ บอ ๆ แล้วก็สนุกสนาน แล้วตอนถ่าย ถ้าเค้าคิดอะไรได้เราก็พูด สำหรับหอแต๋วแตกทุกภาคที่ผ่านมา ภาคที่ประสบความสำเร็จที่สุด ก็คือ ภาค 2 ที่มีตัวละครอุษามณี ภาคนั้นได้ 100 ล้านบาท เฉพาะกรุงเทพได้ 70 ล้าน ต่างจังหวัดอีก 30 ล้านแล้วทุกครั้งที่มีภาคใหม่ ๆ เวลาติดต่อนักแสดง ก็มีคนอยากเล่นบ้าง ไม่เล่นบ้าง ตามสไตล์เค้า อย่างภาค 2 อาจารย์ยิ่งศักดิ์ ก็ไม่เล่น เราก็เอา แอนนา ชวนชื่น มาเล่น ซึ่งพออาจารย์ยิ่งศักดิ์ไม่เล่น เราก็เขียนบทให้เค้าไปเมืองนอกก่อน แต่พอเค้าตัดสินใจกลับมาเล่นทีหลัง เราก็เขียนบทไปว่า กลับมาจากเมืองนอกพร้อมผัวฝรั่ง ส่วน พี่แอนนา เค้าเล่นกะเทยไม่ได้ พอนักแสดงคนอื่นเค้าเล่นกัน พี่แอนนา เค้าก็ยืนหัวเราะ เราก็เลยให้ พี่ติ๊ก พา พี่แอนนา เข้าห้องแล้ว ก็ให้พี่ติ๊กออกมาคนเดียว แล้วก็เล่นมุก ใครฆ่าอารยา ทำให้พี่แอนนากลายเป็นศพอยู่ในห้องน้ำแล้วทิ้งปริศนาว่าใครฆ่าอารยา เพราะในเรื่อง พี่แอนนา ชื่ออารยา อย่างดีเจนุ้ย เค้าเป็นดีเจ ต้องจัดรายการทุกวัน แล้วมันหาคิวยาก เราก็จัดการปัญหาโดย ให้ ดีเจนุ้ย กับ ตั๊ก บงกช ใส่หมวกกันน็อคไว้ แล้วทำเป็นว่าหมวกกันน็อคมันมีระเบิด แล้วมีรถจอดอยูคันหนึ่ง ก็ให้ทั้งคู่เดินเข้าไปในรถ ปิดประตูอยู่เฉย ๆ แป๊ปนึงนะ พอถ่ายเสร็จก็บอกว่านุ้ยกลับบ้านได้เลย พี่ถ่ายเสร็จแล้ว หลังจากนั้นเราก็ให้ฝ่ายตัดต่อ ไปใส่ CG รถระเบิด ให้ดีเจนุ้ยตายอยู่ในรถ คิวดีเจนุ้ยก็เลยเคลียร์เสร็จ ไม่มีปัญหาละแต่มันก็มีตัวละครที่ตายไปแล้ว แต่ก็กลับมาได้เหมือนกัน อย่าง แพนเค้ก ช่วงนั้นภาค 6 ก็ทะเลาะกับโก๊ะตี๋ เลยให้มันตาย ๆ ไป ไม่ทำต่อแล้ว แต่พอหนังได้เงิน 100 ล้าน นายทุนให้เงินมาทำต่อ เราก็คิดว่าทำยังไงดี แพนเค้กมันตายไปแล้ว ก็เลย เอาให้มันโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ แล้วก็บอกว่า ยมทูตเค้าจับผิดตัว เค้าจับอีกแพนเค้กนึง ไม่ใช่แพนเค้กนี้ ทำให้ หอแต๋วแตก มันมีมาเรื่อย ๆ เจ้แต๋ว ก็อยู่กับเรานานมาก เพราะเป็นตัวหลักไงมันไม่ต้องตาย”หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด กับตำนานตัดต่อเพิ่มเพียงข้ามคืน“ตอนนี้ หอแต๋วแตก แหกสะหยด เป็นหนังรายได้อันดับหนึ่งของปีพ.ศ. 2567 แต่ภาคนี้สนุกจริง คนส่วนใหญ่จะรอดูฉาก สุขุมวิท11 ซึ่งนัดกอง 1 ทุ่ม ถ่ายเสร็จประมาณ 5 ทุ่ม พอเสร็จก็เอาไปตัดต่อ ถึงมือตัดต่อประมาณตี 2 ตื่นเช้ามา 8 โมง มือตัดต่อบอกว่าเสร็จแล้ว เขาทำเร็วเพราะว่ามันชิน ทำมาประมาณ 32 ปีแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 ทำตั้งแต่เรืองสติแตกสุดขั้วโลก มันก็เลยเป็นอะไรที่ไม่ได้ยากสำหรับพชร์แล้วพชร์ เป็นผู้กำกับตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 อย่าง หอแต๋วแตก เราสามารถปั้นได้ โดยเอาเหตุการณ์ปัจจุบันมาใส่ ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิด เราแค่ทำเพื่อให้ตัวเองทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตกยุค ก็เอาเรื่องนั้นมาใส่ เรื่องนี้มาเติม ผูกกันไปเรื่อยเพราะเราไม่ได้เขียนบท อย่างล่าสุดฉาก สุขุมวิท11 ตอนนั้นเพื่อนกำลังมิกซ์หนัง แล้วก็มีเพื่อนอีกคนโทรมาบอกว่า ดูสิมีมอันนี้กำลังมา เรื่องราวซอยสุขุมวิท 11 ที่กะเทยทะเลาะกัน เอาไปใส่ในหนังเลย แล้ววันนั้นเป็นวันที่ 4 ตอนกลางคืน แล้วหนังจะเข้าโรงภาพยนตร์วันที่ 14 ซึ่งมันไม่ทันแล้วเพราะหนังจะฉายแล้ว มิกซ์เสร็จต้องไปทำดนตรี ปรับเสียง ถ้าให้เติมคงไม่ทันแล้ว จากนั้นเราก็มานั่งไถฟีดในโซเชียล เลยเห็นว่าทำไมมันเยอะแบบนี้ แล้วมีแต่คนเชียร์ให้เราเอาไปใส่ไว้ในหนัง เราก็ตัดสินใจรับสมัครกะเทย 50 คน มาถ่ายฉากสุขุมวิท 11 เลย ซึ่งทีแรกหานักแสดงไม่ได้ แล้วเราดูรายการโหนกระแสอยู่ เลยติดต่อ พี่หนุ่ม กรรชัย ส่งข้อความไปหาพี่หนุ่มเพื่อขอเบอร์แขกรับเชิญหน่อย พชร์จะเอามาเล่นหนัง พี่หนุ่มบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ เขาก็เอาเบอร์มาให้เรา เราก็ให้ลูกน้องโทรติดต่อ จากนั้นก็ไปหาโลเคชั่นโลเคชั่น ทีแรกไปที่ สุขุมวิท 11 เขาไม่ให้ถ่าย เพราะมันยังอยู่ในรูปคดี เราก็ไปตระเวนหาเพิ่ม ก็ไปเจออยู่ที่หนึ่ง ตรงเดอะฮับ พหล-อารีย์ ก็ไปถ่ายตรงนั้น ให้โก๊ะตี๋ไปเล่นเป็นฟิลิปปินส์ แล้วให้พี่จตุรงค์เล่นเป็นคนไทยที่ไปช่วย เก็บรายละเอียดทุกเม็ด แล้วเราต้องส่งเซ็นเซอร์ ก่อนหน้านั้นหนังเราส่งเซ็นเซอร์ไปแล้วรอบหนึ่ง พออยากได้ฉากนี้เพิ่มเข้าไป ถ้าอย่างนั้นต้องเซ็นเซอร์ใหม่ เราก็ยอมส่งเซ็นเซอร์ใหม่ ดูตั้งแต่ต้นม้วนยันท้ายม้วนใหม่ แล้วก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด 11 ซึ่งก็คือสุขุมวิท11ตามระบบของการส่งเซ็นเซอร์ แล้วนักแสดงสมทบก็มาเกือบหมดเลย มีพี่ตุ้มนักมวย มาเป็นสาวไทยทำท่าชกมวย แต่วันที่เกิดเหตการณ์จริง พี่ตุ้มเขาไม่ได้ไป แล้วมีหลายคนจากเหตุการณ์จริง ก็มาอยู่ในหนังของเราด้วยซึ่งวิธีการของสอดแทรกฉากต้องมีอะไรเป็นลูกเล่น พอหนังเราจบก็เอาฉากนี้แทรก แล้วเราก็บอกว่า ข้อคิดดี ๆ จากหอแต๋วแตก แหกสัปะหยด สามัคคีคือพลัง หยุดความรุนแรง ทดแทนด้วยรอยยิ้มและความรัก เป็นห่วงนะ พชร์ อานนท์”เมื่อ ‘เจ๊แต๋ว’ โทรมาเซอร์ไพรส์กลางรายการมี 1 สายสุดพิเศษ ที่โทรเข้ามาแชร์เรื่องราวสุดประทับใจจากการถ่ายทำภาพยนตร์หอแต๋วแตก นั่นคือสายของ คุณจตุรงค์ มกจ๊ก ผู้รับบท เจ๊แต๋ว โดย คุณจตุรงค์ ได้แชร์ความประทับใจว่า “ตั้งแต่มีหอแต๋วแตกมา ชอบภาค 10 ที่สุด เพราะว่าภาคอื่นมันชอบให้ แพนเค้ก, เจ๊การ์ตูน และ เจ๊มดดำ พูดว่า เจ๊เห็นอย่างที่ฉันเห็นไหม, เจ๊ อย่าบอกนะ ว่าา!!! ซึ่งมันพูดแต่ประโยคนี้จนเราไม่อยากพูดประโยคต่อไป เราแบบเบื่อมาก ก็เลยชอบภาค 10 ที่สุด เพราะภาคนี้ มันประหลาด ภาคอื่นมันวิ่งอยู่กันแต่ในหอ แต่ภาคนี้มันไปเรื่อย ไปต่างจังหวัด ไปน้ำตก ไปวิ่งดงอ้อย ไปสุดมากเลย หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด ภาคนี้คือต้องดูเลย เพราะมันแปลกที่สุด มันสนุก แล้วสถานที่เราไปถ่าย มันก็ออกมาสวยมาก” สีสัน แรงบันดาลใจ จาก พชร์ อานนท์“เราก็พยายามทำหนังออกมาให้มันดีที่สุด ทุกคนทำหนังเค้าก็ตั้งใจทำ บางครั้งหนังของเรามันอาจจะไม่ใช่รสชาติที่ถูกใจใครทั้งหมด แต่ก็ต้องเข้าใจ และให้กำลังใจ เราเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องให้กำลังใจกันนะ เราก็จะพยายามทำผลงานให้ผู้ชมได้ชมกัน เพราะถ้ามันไม่แน่จริง หอแต๋วแตกมันไม่มีมาถึง 10 ภาค เราก็ตั้งใจทำ ยังไงก็ฝากกันเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ด่าอย่างเดียว เพราะคนที่ด่า ก็ไม่ใช่คนที่ดูหนังของเรา อย่าเอา หอแต๋วแตก ไปเทียบกับ เพื่อนกูรักมึงว่ะ หรือ เอ๋อเหรอ มันเเทียบกันไม่ได้อยู่แล้วเพราะหนังคนละสไตล์กัน เราก็พยายามที่จะคุมโทนในหนัง เหตุการณ์ในเรื่องมันเยอะ แต่มันก็ไม่ทำให้เสียหนังนะการดูหนังมันเป็นเรื่องของรสนิยม คนชอบหนังดราม่าไปดูหนังตลกเค้าก็ไม่ชอบ ส่วนคนชอบหนังตลกไปดูหนังดราม่า เค้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน ความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน และเทียบกันไม่ได้ อย่างหอแต๋วแตก เป็นหนังที่โดนด่าเยอะมาก แต่ก็เป็นหนังทำเงินเยอะที่สุด และคนชอบก็เยอะมากที่สุด แรก ๆ เราก็สนใจคำด่า แต่หลัง ๆ เราไม่สนใจละ เรามาสนใจคนที่ดูหนังของเราดีกว่า ทำหนังที่เอาใจกลุ่มคนเหล่านี้ที่ชอบดูหนังของเราดีกว่า” - พชร์ อานนท์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันของชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “ปีใหม่ ศรุดา” Miss Tiffany's Universe คนที่ 25 กับดีกรีแอร์โฮสเตสสาวทรานส์

13 มี.ค. 2024

เปิดสีสันของชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “ปีใหม่ ศรุดา” Miss Tiffany's Universe คนที่ 25 กับดีกรีแอร์โฮสเตสสาวทรานส์

“อย่าลดขนาดของความฝัน แต่จงเพิ่มขนาดของความพยายาม โอกาสก็เหมือนกับอากาศ ถึงมองไม่เห็นแต่มันมีอยู่จริง”ยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย คอยส่งมอบแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดสีในชีวิตของเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสวย “ปีใหม่ - ศรุดา ปัญญาคำ” สาวงามผู้คว้าตำแหน่ง Miss Tiffany's Universe 25th หลังจากที่เธอเข้าประกวดเวทีนี้มาแล้วรวม 5 ครั้ง และสร้างตำนานทรุดลงกับพื้นทุบเวทีด้วยความดีใจจนกลายเป็นไวรัลฮือฮา นอกจากนี้เธอยังมีดีกรีเป็นแอร์โฮสเตสหญิงข้ามเพศคนแรก จากสายการบิน American Airline อีกด้วย สีสันของชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร แล้วมีข้อคิด แรงบันดาลใจอะไรบ้าง ให้ได้นำมาปรับใช้ เธอได้แชร์ให้ฟังหมดแล้วในรายการปีใหม่ กับการรับรู้ตัวตนมาตั้งแต่เด็ก“ก่อนจะมาสวยเหมือนทุกวันนี้ หนูก็เป็นคนหล่อมาก่อน เพราะแต่งตัวบอย ๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย แต่ด้วยกรอบสังคม แล้วก็บริบทที่เราเกิดมาเป็นเด็กผู้ชายก็จะต้องทำตามขนบธรรมเนียม ไปโรงเรียนเราก็ต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายปกติ ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกของเราก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายมาตั้งแต่แรกแล้วหนูเกิด และเติบโต ที่ อ.พบพระ จ.ตาก สิ่งที่เรารู้สึกได้เลยก็คือ เราไม่ชอบไปเล่นกับเพื่อนผู้ชาย ไม่ชอบไปเล่นกับเด็ก ๆ ข้างบ้าน แต่เราชอบเล่นกับพี่สาวของตัวเอง หนูมีพี่สาว 2 คน ซึ่งก็จะมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก โดยครอบครัวรับทราบ แล้วก็สนับสนุนมาตลอด เค้าไม่เคยมีการตั้งคำถามในการใช้ชีวิตของหนูเลย แต่กลับส่งเสริมสนับสนุน ทั้ง คุณพ่อ คุณแม่ ครอบครัว รวมไปถึงญาติพี่น้องสนับสนุนเราเป็นอย่างดีเลย ซึ่งตอนเรียนหนูเป็นเด็กกิจกรรม เป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานโรงเรียน แล้วก็อยู่ในกลุ่มเด็กเรียน เรียนอยู่ห้อง 1 สายวิทย์-คณิต แล้วก็เป็นตัวแทนโรงเรียน ไปประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการอยู่บ่อยครั้ง”เปิดหู เปิดใจ หากมีบุตรหลานเป็น LGBTQ+“หนูอยากจะขอบคุณครอบครัวที่เป็นพื้นฐานที่ดีมาก ๆ ให้กับตัวเรา เค้าเปิดโอกาสให้เราเป็นตัวเอง และไม่ได้สร้างขีดจำกัดให้กับเรา มันจึงทำให้เรารู้จักตัวตนของตัวเองตั้งแต่เด็ก และหนูอยากจะฝากบอกไปยังผู้ปกครองว่า ถ้าหากคุณมีบุตรหลานที่มีความคิด อยากจะเป็นในสิ่งที่เค้าเป็น หนูอยากจะให้สนับสนุน สร้างความเข้าใจ แล้วก็เปิดใจ เหมือนกับคำถามในรอบ TOP5 ของหนูที่ถามว่า หากผู้ปกครองไม่ได้ยอมรับบุตรหลาน คุณจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งหนูตอบว่า ต้องเริ่มจากการเปิดหูรับฟัง แล้วก็เปิดใจที่จะเข้าใจว่า บุตรหลานต้องการสิ่งไหน แล้วเราสามารถสนับสนุนเค้าไปในทิศทางไหน เพื่อให้เค้าเติบโตไปเป็นเด็กที่มีคุณภาพของสังคมอีกคนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วการที่เราเกิดเป็นเพศอะไร ไม่สำคัญเท่ากับการที่เราสร้าง หรือว่าทำอะไรให้กับสังคมได้บ้าง”“คุณครู” ความฝันในวัยเด็กของ ปีใหม่ ศรุดา“ในตอนเด็ก ความฝันในการเป็นนางงามของหนูไม่เคยมีเลย เพราะว่าเราเกิดในจังหวัดที่ไม่ได้มีการประกวดนางงามอะไรเลย จึงทำให้รู้สึกว่าการเป็นนางงามมันไกลตัวเหมือนกัน หรือแม้กระทั่งการเป็นแอร์โฮสเตสก็ไม่เคยคิด เพราะเรายังไม่เคยเห็นเครื่องบิน ตอนนั้นทั้งหมู่บ้าน มีคอมพิวเตอร์ 4-5 เครื่องเอง หลังจากนั้นหนูก็ตัดสินใจไปเรียนครุศาสตร์ การเป็นคุณครู กลายเป็นความใฝ่ฝัน เพราะหนูรู้สึกว่าเราสามรถเป็นคนที่มีคุณภาพได้ หากได้รับการปลูกฝัง แล้วก็การสั่งสอนมาจากคุณครูในโรงเรียน และครูคือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ณ ตอนนั้น แล้วแต่ก่อน มันไม่ได้มีโลกอินเตอร์เน็ตให้เราได้ไปท่องสืบค้นข้อมูลมากมายเหมือนสมัยนี้ ไม่ได้มีตัวอย่างที่ทำให้เราเห็น ส่วนใหญ่เราก็เห็นจากในทีวี หรือในสื่อ ซึ่งเราก็จะเห็นว่า อาชีพครู เป็นอาชีพที่เป็นที่สุดเหมือนกันซึ่งที่ผ่านมาเรื่องเพศไม่เคยมีปัญหากับการเรียนครูเลย เพราะเราก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงเวลาที่ต้องไปเรียน แต่แต่งตัวแบบถูกระเบียบ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้คนอื่นมาตั้งคำถามกับเรา เหมือนที่เราเคยทำตอนเป็นเด็ก เราก็อยู่ในกฎระเบียบ ดังนั้นก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร และอยากจะบอกน้อง ๆ รุ่นหลังว่า ถ้าหากเราอยากให้เกิดการยอมรับ เราต้องเคารพกฎระเบียบของสังคมก่อน แล้วถ้าคนในสังคมเข้าใจ เค้าก็จะยอมรับในความเป็นตัวเราโดยอัตโนมัติซึ่งหนูมองว่าการที่เราจะเป็น LGBTQ+ มันไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้เลย มันเป็นเหมือนจิตวิญญาณ ที่ไม่สามารถสอนได้ในบทเรียน ถ้าเป็นในทางการแพทย์ที่หนูเคยอ่านมา เค้าบอกว่ามันเหมือนเป็นความผิดปกติในด้านฮอร์โมน หรือโครโมโซมที่เกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ หรือว่าการเป็นแบบอย่างให้กับเด็กรุ่นหลัง เพื่อชวนให้เค้ามาเป็น LGBTQ+ หนูคิดว่ามันไม่สามารถทำแบบนั้นได้”จุดเริ่มต้นความฝัน บนเส้นทางนางงาม“เรื่องการประกวดนางงาม เป็นกิจกรรมที่หนูจะเปิดทีวีดูกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่หนูยังเด็ก หลังจากนั้นมันก็จุดประกายให้หนูเริ่มเอาผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน มาคลุมเป็นชุดราตรี แล้วเดินเป็นนางงามไปทั่วบ้าน ซึ่งพ่อกับแม่ก็เห็น จากนั้นทุกปีเราก็จะนัดกันกับคุณพ่อคุณแม่มาดูการประกวดทุกปี เหมือนเป็นเทศกาลของที่บ้านไปเลย แล้วในปี 2008 หนูเปิดทีวีมาเจอการประกวด Miss Tiffany's Universe พอดูการประกวดครั้งนั้นคือเปิดโลกเลย หนูรู้สึกว่าโอ้โห เค้าเกิดในร่างของผู้ชายมาก่อน แล้วสามารถทรานส์ตัวเองได้สวยขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งยุคนั้นมันเริ่มมี Pantip มีเว็บบอร์ด แล้วเราก็เข้าไปอ่านว่าพี่ ๆ ทำอย่างไร ถึงจะไปอยู่จุดนั้นได้ จนกลายเป็นชนวนไฟที่จุดให้เรารู้สึกว่า เราสามารถก้าวข้ามเพศสภาพของเราได้ หลังจากนั้นพอหนูได้มาเจอรุ่นพี่ที่เค้าอยู่ในวงการนางงาม เค้าก็สอนเราว่าต้องเทคฮอร์โมนยังไง แต่ทั้งนี้ต้องปรึกษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะว่ามันอาจจะส่งผลต่อตับของเรา แล้วหนูอยากบอกไปยังน้อง ๆ ที่อยากจะทรานฟอร์เมชั่นตัวเอง ควรจะไปตรวจฮอร์โมนกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรงก่อน เพราะว่ายุคนี้มันเป็นยุคที่ทันสมัยแล้ว ไม่อยากจะให้มาสุ่มเสี่ยง หรือเทคฮอร์โมนแบบคาดเดาด้วยตัวเอง อยากจะให้รู้สึกว่ามันปลอดภัย แล้วก็ยั่งยืนด้วยหลังจากนั้น ก็มีพี่เลี้ยงนางงามมาเจอหนูในร้านเสริมสวย ชื่อ พี่วี กับ พี่พล เค้าถามเราว่าอยากจะประกวดนางงามรึเปล่า ในหัวเราตอนนั้นยังนึกภาพตัวเองประกวดนางงามไม่ออก เพราะเราผมสั้น ยังไม่เคยแต่งหญิงมาก่อน พี่ ๆ ก็ลองจับเราไปแปลงโฉม ลองแต่งหนูให้กลายเป็นผู้หญิง วันนั้นหนูไม่ล้างหน้า ไม่เอาผมออกเลย กลับบ้านแบบหน้าฉ่ำเพื่อที่อยากจะเอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ดูว่า จริง ๆ แล้วเราก็แต่งเป็นผู้หญิงสวยนะ แล้วพอคุณพ่อคุณแม่เห็นก็บอกว่าลูกเราสวยนี่นา หลังจากวันนั้นหนูก็ประกวดมาเรื่อย ๆ จนที่บ้านเต็มไปด้วยมงกุฎ และสายสะพายเยอะมาก ถ้าลองนับหนูน่าจะประกวดมาเป็นพันเวทีเลยแน่นอนว่าในการประกวด มันก็ต้องมีทั้งสมหวัง และผิดหวัง เวทีแรกี่หนูประกวดก็ไม่ได้ที่ 1 จำได้ว่าเวทีแรกหนูได้ที่ 4 หลังจากนั้นก็ตกรอบบ้าง ได้รางวัลบ้าง สมหวังบ้าง บางครั้งผิดหวังเสียใจ จนนั่งร้องไห้หลังเวทีก็มี ซึ่งตอนที่ผิดหวัง ปีใหม่จะบอกตัวเองว่า เราสามารถดีได้กว่านี้ และจะให้เวลาตัวเองเสียใจแค่ 1 - 2 ชั่วโมง และเราจะไม่เสียใจไปมากกว่านี้แล้ว นอกจากนั้นเราจะไม่โกรธใครด้วย วันพระไม่ได้มีหนเดียว เวทีนี้ไม่ชนะ เราไปต่อเวทีอื่นก็ได้”จากนางงาม พลิกสู่การเป็นแอร์โฮสเตสหญิงข้ามเพศคนแรก ของ American Airline“สิ่งที่จุดประกายให้หนูอยากเป็นแอร์โฮสเตส ก็คือตอนนั้นเราย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพราะว่าผิดหวังกับความรัก แล้วก็ตกรอบ Miss Tiffany's Universe ด้วย หนูประกวดมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดนี้คือครั้งที่ 5 ซึ่งเส้นทางการประกวดมันไม่ได้ราบเรียบเลย หนูไปประกวดตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี เข้าแค่รอบ 30 คนสุดท้าย แล้วก็ไปอีกรอบหนึ่ง ก็เข้า 30 คนสุดท้าย พอไปอีกก็เข้าแค่รอบ 10 คนสุดท้าย ไปอีกรอบก็เข้า 10 คนสุดท้ายอีก 4 ครั้งแล้วที่หนูผิดหวัง ก็เลยรู้สึกว่าเวทีนี้อาจจะไม่ใช่ที่สุดของเรา เลยลองทบทวนว่าเราสามารถไปเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นไหนได้อีกบ้าง จึงตัดสินใจไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกหนูไปเป็นคุณครูแลกเปลี่ยนในวัดไทยที่สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นเราพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้เลย แล้วรู้สึกว่าถ้าเราพูดภาษาอังกฤษได้ มันจะทำให้โลกเรากว้างขึ้นมาก จากนั้นเราก็มุ่งมั่นที่จะพูดและลงเรียนภาษาอังกฤษ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ ก็เลยให้นักเรียนสอนภาษาอังกฤษกับเรา แล้วเราก็สอนภาษาไทยให้กับเด็ก จนวันหนึ่งที่เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แล้วบังเอิญมีผู้ปกครองที่พาลูกมาเรียน เค้าเป็นกัปตัน เค้าบอกว่าเราเหมาะมากนะลองไปเป็น Flight attendant ดูไหม จากนั้นเราก็มาลองคิดดูว่าอาชีพอะไรที่บุคคลข้ามเพศอย่างเราไม่สามารถทำได้ในประเทศไทยบ้าง ซึ่งอาชีพ Flight attendant มันเป็นความคิดแรกเลยที่ผุดขึ้นมา และการเป็นแอร์โฮสเตสนี่แหละ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่สามารถทำได้เวลาเราอยู่เมืองไทย เพราะถ้าเราอยู่ในฝั่งเอเชีย หรือว่าฝั่งประเทศไทย ตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้เพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด จึงทำให้ยังไม่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสได้ส่วนที่บอกว่าผิดหวังจากความรัก ก็เป็นความรักที่รักกันมา 5 ปีแล้ว ซึ่งพอคบกันนาน ๆ ถึงรู้ว่าเราทัศนคติไม่ตรงกัน จึงตัดสินใจที่จะแยกย้ายกันไปเติบโต หนูอยากไปอยู่ในที่ที่แปลกใหม่ดีกว่า จึงปล่อยเวลาให้ตัวเองเสียใจแป๊บเดียว แล้วก็เก็บกระเป๋าบินเดี่ยวเลย ตอนนั้นแอบกังวลในใจว่า ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ดีเยี่ยม แล้วจะไปใช้ชีวิตยังไง จึงตัดสินใจไปอยู่วัดไทยก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยคิดต่อว่าจะใช้ชีวิตยังไงพอเราตัดสินใจที่อยากจะลองเดินบนเส้นทางของอาชีพ Flight attendant ก็เริ่มสมัครเลยทุกสายการบินที่เปิดรับในสหรัฐอเมริกา หนูไม่ได้เข้าโรงเรียนเทรนนิ่ง แต่เปิด Youtube ดูว่าการจะเป็นแอร์โฮสเตสจะต้องทำยังไงบ้าง ต้องทำผมยังไง ต้องแต่งหน้าโทนไหน และด้วยความที่เราผ่านเวทีประกวดนางงามมา เราก็จะรู้พื้นฐานว่าหน้าตัวเองต้องแต่งยังไง ทำผมยังไง เพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกับกรรมการ หลังจากนั้นก็เข้าไปสอบ ปรากฎว่าได้ทั้ง 3 สายการบินเลย แล้วเราก็ลองมาเลือกดูว่าตัวเองจะทำสายการบินไหนดี บทสรุปก็มาเป็นแอร์โฮสเตสที่ American Airlineส่วนในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ด่านแรกที่ต้องเตรียมก็คือเรื่องพาสปอร์ตของเรา ที่มันไม่ได้ตรงกับเพศสภาพ แต่สิ่งนี้เค้าไม่มองเลย ในใบสมัครของทางสายการบินเค้าไม่ได้ระบุเพศ เค้าบอกแค่ว่ารับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีความสามารถในการบริการ ไม่ได้ให้ระบุว่า คุณเป็นเพศอะไร สัดส่วนเท่าไหร่ อายุเท่าไหร่ ไม่มีแล้วพอไปทำงานจริง ๆ หนูสนุกมาก มันเป็นสิ่งที่ตัวเองรอคอยการที่จะได้แต่งตัวสวย ๆ ทำผมทรงกล้วยหอม ทาปากแดง เดินลากกระเป๋าอยู่ในสนามบิน พอได้ทำจริง ๆ มันเป็นอะไรที่ฟูลฟิลในชีวิตมาก และพอไปทำงานจริง ๆ มันก็เหนื่อยบ้าง แต่มันไม่มีงานไหนที่สบายอยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่าการทำงานมันก็ต้องมีเหนื่อยบ้าง สนุกบ้าง แฮปปี้บ้าง แต่เราจะมีความสุขกับงานนั้นยังไงมากกว่า หนูก็เลือกที่จะมีเพื่อน หรือมีความสุขกับผู้โดยสาร เราดีใจมากเวลาที่สามารถนำพาผู้โดยสารไปถึงจุดหมายที่เค้ารอคอยได้อย่างปลอดภัย บางคนหนึ่งปีจะได้เจอพ่อแม่หนึ่งครั้ง บางคนมีงานแต่งงานรออยู่ หรือที่เศร้าไปกว่านั้นก็คือบางคนมีงานฌาปนกิจรออยู่ แล้วเราเป็นคนที่นำเค้าไปยังจุดหมาย ทำให้หนูรู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถนำพาผู้โดยสารของเราไปสู่ปลายทางได้อย่างปลอดภัย”จุดเปลี่ยนสู่การกลับมาประกวด Miss Tiffany's Universe ใหม่อีกครั้ง“ตอนแรกปีใหม่ก็รู้สึกว่าตัวเองฟูลฟิลกับการได้เป็น Flight attendant แล้ว และก่อนหน้านั้นก็ได้มีโอกาสเป็นนางแบบ New York Fashion Week ด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสของเรา เป็นฝันที่เราไม่กล้าฝัน ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราก็แอบฝัน และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง เราดีใจมากที่ได้มีรูปตัวเองอยู่บนบิลบอร์ด ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แหละ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูอยากจะกลับมาประกวด Miss Tiffany's Universe อีกครั้ง ซึ่งตอนแรกความตั้งใจในการประกวดมันล้มหายไปแล้ว แต่ในวันที่เราประสบความสำเร็จจากความมุ่งมั่นด้วยตัวเอง ในดินแดนที่เราไม่รู้จักใครด้วยซ้ำ ภาษาก็ไม่ใช่ภาษาเรา เรายังทำได้เลย หนูจึงอยากนำสิ่งนี้มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน คุณสามารถฝันได้ แต่คุณต้องลงมือทำ เมื่อคุณลงมือทำ ความฝันมันจะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้ หนูอยากจะมายืนบนเวที Miss Tiffany's Universe อีกครั้ง เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงว่า ทุกความฝัน สามารถเป็นไปได้การกลับมาครั้งที่ 5 นี้ ตั้งแต่วันออดิชั่น หนูเป็นตัวเองในแบบฉบับที่รู้สึกว่าสบายใจที่สุด แล้วขับเคลื่อนการประกวดด้วยความสุขในทุกวัน ตั้งแต่วันออดิชั่นหนูได้พูดทุกอย่างในชีวิตที่เราผ่านมาแล้ว ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ที่ชนะ แต่หนูรู้สึกว่าวันนี้ เราได้เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน หลังจากวันออดิชั่น มีคนส่งข้อความเข้ามาใน Inbox ของหนูเยอะมากว่าพี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหนูเลยนะ จุดนั้นทำให้หนูรู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จตามความตั้งใจของเราแล้ว หลังจากนั้นหากเราจะได้ตำแหน่งใดก็ตาม นั่นคือกำไรแล้ว อย่างน้อย ๆ ชีวิตของเราสามารถเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลาย ๆ คน ถ้าหากว่าเราจะได้ตำแหน่งหนูก็มองว่ามันเป็นของขวัญของตัวเองก็แล้วกัน”รอคอยกว่า 10 ปี กับโมเมนต์ดีใจที่กลายเป็นตำนาน“ในตอนที่จับมือรอประกาศผล หนูรู้สึกว่าเป็นชื่อของใครก็ได้ เพราะเรากับน้องที่ได้รางวัลรองอันดับ 1 เป็นคู่ที่หยุดโลกกันมาอยู่แล้ว เพราะ น้องโรส ก็เป็นแพทย์เวชปฏิบัติ ซึ่งเรารู้สึกว่าโปรไฟล์เค้าก็ไม่ได้ธรรมดา ถ้าเค้าจะได้มงกุฎ เราก็โอเคกับผลการตัดสิน แล้วในตอนรันทรู พี่อาร์ต อารยา เป็นโชว์ไดเร็คเตอร์ เค้าก็บรีฟนางงามทุกคนบอกว่าปีนี้เราต้องการหานางงามที่เป็นมนุษย์ เสียใจก็เสียใจเลย ร้องไห้ไปเลย ดีใจก็ดีใจให้สุด แสดงออกมาเลยจน พี่อั๋น ประกาศออกมาเป็นชื่อเรา หนูรู้สึกว่าจะทำยังไงดี มันไม่ได้นัดกับความรู้สึกตัวเองมาก่อน ไม่ได้นัดกับร่างกายเราด้วย มันไม่ได้ห่วงเลยว่าสะโพก หรืออวัยวะเรา จะตกลงไปตรงไหน พอเราฟุบลงไปก็ตั้งใจแค่ว่า จะแตะพื้นขอบคุณพระแม่ธรณี แต่ในคลิปที่ออกมามันกลายเป็นว่าเหมือนเราทุบพื้น แล้วก็มีคนเอาคลิปไปโพสต์ในสื่อบอกว่า เงินรางวัลที่ได้มาทั้งหมด น้องต้องเอาไปซ่อม LED เพราะว่าทุบแตกไปแล้วซึ่งจริง ๆ แล้ว มันเป็นความรู้สึกดีใจ แต่ที่ล้มลงไปรอบแรก มันสไลด์ลงไปเลยเพราะชุดค่อนข้างลื่นเนื่องจากชุดปักจากปล้องอ้อย แล้วกระโปรงมันแคบมาก จากนั้นเราก็อยากจะลุกขึ้นมาสวย ๆ แล้วมาไหว้ขอบคุณ แต่ตัวหนูมันสไลด์ไปอีก ล้มไปอีกครั้ง ตอนนั้นคิดในใจว่าจะลุกขึ้นยังไงดี ลุกท่าไหนดีอายจังเลย แล้วน้องโรส ที่เป็นแพทย์เวชปฏิบัติ ซึ่งยืนข้าง ๆ หนู น้องบอกว่าเตรียมปั๊มหัวใจไว้แล้วส่วนการจูบมงกุฎ ความรู้สึกตอนนั้นคือ ฉันรอเธอมาตั้งนาน ตั้งแต่ฉันอายุ 18 จนตอนนี้ล่วงเลยมา 10 กว่าปีแล้ว ขอจูบทีเถอะ ก็เลยบอกคนมอบมงกุฎว่า อย่าเพิ่งสวมนะเอามาจูบก่อน เพราะเรารู้สึกว่า มงกุฎก็เปรียบเสมือนความภูมิใจที่เราจะได้รับมา ซึ่งมันเป็นเวลากว่า 10 ปีที่เรารอคอยด้วย”การเป็นนางงาม ไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างในชีวิต“ตอนนี้ก็ทาง Miss Tiffany's Organization นำโดย คุณจ๋า อลิสา แล้วก็ คุณปอย ตรีชฎา บอกว่าอยากให้หนูเดินต่อในการทำงานหลักไปด้วย แล้วก็เป็น Miss Tiffany's Universe ไปด้วย เพราะเราสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังต่อไปได้ว่า จริง ๆ แล้วการที่เรามาเป็นนางงาม เราไม่จำเป็นที่จะต้องทิ้งทุกอย่างในชีวิต เราสามารถเป็นนางงามที่มีหน้าที่การงานที่ดี และเราสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังได้ด้วย และตอนนี้ หนูก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของบริษัท ที่ทำงานร่วมกับ UNICEF USA ช่วยเหลือเด็กที่ขาดโอกาส ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา หรือสนับสนุนทุนทรัพย์ต่าง ๆ หนูก็จะใช้ตรงนี้เป็นจุดที่จะไปช่วยเหลือสังคมต่อไป”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ ปีใหม่ ศรุดา“ความรักตอนนี้ดีเลยค่ะ เค้าคอยซัพพอร์ททั้งจิตใจ แล้วก็เป็นกำลังใจด้วย เค้าบินมาเซอร์ไพรส์ในวันประกวดรอบตัดสิน เค้าเป็นลูกครึ่งจีนเวียดนาม เพราะคุณแม่เป็นคนฮ่องกง ส่วนคุณพ่อเป็นคนเวียดนาม ในอนคตก็คาดหวังเรื่องการสร้างครอบครัวไปด้วยกัน เพราเรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่เข้าใจเรามาก ยอมรับในความเป็นตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศกำเนิด หรือเรื่องวัฒนธรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ไม่ได้เป็นคนไปขอฝ่ายชายแต่งงาน ก็ต้องรอว่าจะมีอะไรคืบหน้าไหมปีหน้า หนูจะได้รับ U.S. Citizen ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความฝันที่เรารอคอยมา แล้วในใจลึก ๆ ก็อยากจะให้ประเทศไทย เปิดรับแล้วก็สร้างกฎหมายที่สนับสนุนเรื่องนี้ให้เป็นจริงสักที ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง หรือการทำธุรกรรมต่าง ๆ คำนำหน้าสำคัญมาก เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าหากว่าเราเลือกเกิดได้ เราก็อยากจะเลือกเกิดเป็นผู้หญิง ใช้นางสาว แต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็ควรที่จะมีกฎหมายรองรับ และซัพพอร์ทพวกเราเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคมไทย”การที่เราเป็นทรานส์เจนเดอร์แล้วต้องขึ้นไปให้บริการบนเครื่องบิน เคยเจอเหตุการณ์ในการเลือกปฏิบัติบ้างไหม?มีหนึ่งคำถามจาก คุณลูกมาร์ค ที่โทรเข้ามาพูดคุยกับ ปีใหม่ ศรุดา ซึ่งเธอได้ตอบคำถามนี้ว่า “ไม่เคยเลยค่ะ ทรานส์เจนเดอร์ที่สหรัฐอเมริกา เค้าไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติ แล้วเราเป็นตัวเองได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้ว Flight attendant ก็มีหน้าที่ที่จะบริการและรักษาความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ซึ่งเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเราไม่ได้เป็นตัวกำหนดเลยว่าคุณภาพงานของเราจะดีหรือไม่ แต่จิตใจที่เราสามารถบริการลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยมมากกว่า ที่เป็นสิ่งสำคัญอย่าไปกลัวว่า คนโน้นคนนี้จะมาตัดสินเราแบบไหน หรือว่าสังคมจะตัดสินเราแบบไหน เราจงทำตัวเองให้มีคุณค่า ทำตัวเองให้รู้สึกว่าศักยภาพของเราสามารถเป็นได้ในสิ่งที่เราฝัน ดังนั้นไม่มีอะไรมาหยุดเราได้”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ปีใหม่ ศรุดา“อยากจะบอกกับน้อง ๆ ทุกคนว่า เราสามารถเป็นได้มากกว่าสิ่งที่เราคิด อย่าไปกำหนดกรอบของความฝันของตัวเอง แต่จงทำทุกวันให้ดีที่สุด ในเมื่อพระอาทิตย์ยังขึ้นมาในทุก ๆ เช้า เราก็ยังมีโอกาสในทุก ๆ เช้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าไปยอม อย่าไปกลัว ทุกวันคือวันของเรา” - ปีใหม่ ศรุดาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โอวา ธนาวัฒน์” ตัวแม่จากท้องนา ผู้สร้างรายได้หลักล้าน จากการขายข้าวสารออนไลน์

07 มี.ค. 2024

เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โอวา ธนาวัฒน์” ตัวแม่จากท้องนา ผู้สร้างรายได้หลักล้าน จากการขายข้าวสารออนไลน์

“เกษตรกรเป็นแบ็คอัพหนักมาก ในวันหนึ่งที่ใครอาจไม่เห็นว่าเราสำคัญ แต่ โอวา อยากจะบอกว่า คำว่า อย่างน้อยก็มีข้าวกิน อยากให้คำนี้อยู่คู่สังคมไทยต่อไป โดยที่พวกเราจะเป็นแบ็คอัพให้คุณเอง”เกี่ยวเถิดนะแม่เกี่ยว ช้ะ ช้ะ เกี่ยวเถิดนะพ่อเกี่ยว เปิดไมค์ให้ได้ฟังเรื่องราวชีวิต พร้อมรับข้อคิดแรงบันดาลใจกันในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้มีโอกาสทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่จากท้องนา “โอวา ธนาวัฒน์” กะเทยนักสู้ ผู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จนสามารถเปลี่ยนข้าวสารกิโลกรัมละ 8 บาท ให้กลายเป็นรายได้หลักล้านจากการขายข้าวสารออนไลน์ กลยุทธ์ของเธอจะเป็นอย่างไร มีข้อคิดแรงบันดาลใจอะไรให้เราถอดบทเรียนได้บ้าง เธอได้แบ่งปันเอาไว้ในรายการด้วยที่มาของชื่อสุดปัง กับการตลาดแบบขายตรง ๆ“ชื่อ โอวา เป็นชื่อที่ได้มาจากชมรม ตอนเรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้วตอนนั้นในชมรมมีกะเทยชื่อ โอ ทั้งหมด 4 คน แล้วเวลารุ่นพี่เรียกโอ กะเทย 4 คนก็หันพร้อมกันทั้งหมด เลยต้องมีการตั้งชื่อต่อจากตัวเอง ก็จะมี โอเด็ต แล้วก็ โอวา ที่มาจาก โอวาทปาฏิโมกข์ เพราะว่าบ้านเราติดวัด มี โอปอ แล้วก็ โอริโอ้ แล้วไม่มีใครเรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์เพราะมันยาวไป สุดท้ายเลยกลายเป็น โอวาพอตั้งชื่อเพจ เราก็ตั้งตรง ๆ เลยว่า โอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์100% เน้นขายตรง ๆ ชัดๆ ให้คนอ่านไม่ต้องตีความ ไม่ต้องคิดต่อ โอวา กะเทยขายข้าว พอเสิร์ชปุ๊บเจอเพจปั๊บ ทักซื้อข้าวได้ เท่านั้นจบ”การยอมรับ กับตัวตน ของ ด.ช.โอ“ย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ เวลาอยู่กับครอบครัว เราก็จะลั้นลาสนุกสนาน แต่พอไปอยู่โรงเรียนค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว เพราะด้วยความเป็น LGBTQ ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่เข้ากับคนที่เป็นชายหญิงทั่วไป ทำให้เวลาไปโรงเรียนเราก็ตั้งใจเรียน พอกลับบ้านก็ลั้นลาสนุกสนานหนูอาจจะมีปมในใจที่เกิดขึ้นในโรงเรียน จากการโดนเพื่อนแกล้ง เราก็เลยไม่ค่อยที่จะเปิดเวลาอยู่ในโรงเรียน ปมของหนูคือตอนนั้นเป็นงานกีฬาสี ซึ่งเป็นช่วงที่ เพลงประเทือง ของพี่ ไท ธนาวุฒิ ดังมาก ที่ร้องว่า ว้าย ว้าย ว้ายนี่มันประเทืองนี่หว่า แต่เพื่อนชอบแกล้งหนูเค้าจะร้องว้าย ว้าย ว้าย นี่มันกะเทยนี่หว่า ซึ่งเราก็งง และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราไม่อยากให้ใครมาพูดแบบนี้กับเรา เรารู้สึกไม่ชอบแต่เราต่อสู้ไม่ได้ตอนเด็ก คุณพ่อไม่ได้ยอมรับในตัวตนของหนู ก็จะมีการพาไปเข้าค่ายมวยคาดเชือก กะเทยก็ต้องยอมเป็นกระสอบทรายให้เค้าเตะ แล้วต้องตื่นตี 4 วิ่งรอบสนาม 20 รอบ หลังจากซ้อมมวยเสร็จแล้วก็ไปโรงเรียน หนูรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กมันไม่ได้แฮปปี้เลย ณ ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเราไปฝึกมันอาจจะเปลี่ยนตัวเองก็ได้ บวกกับเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ ทั้งสิ้น พ่อให้ไปก็ไป บวกกับเราอยากเป็นที่ยอมรับ แล้วด้วยความเป็นมวยที่พ่อพาไปซ้อม ทำให้เพื่อนไม่กล้าแกล้งเรา แล้วความสุขเดียวในตอนที่ไปค่ายมวย คือที่ค่ายมวยจะเปิดเพลงของ แม่เจินเจิน ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ นั่นคือความสุขของหนู เวลาได้ฟังเพลงของ แม่เจินเจินจริง ๆ หนูรู้ในความเป็นตัวเอง แต่ยังจำกัดความให้กับตัวเองไม่ได้ เพราะตอนแรกหนูไม่ได้อยากแต่งหญิง บวกกับหนูไม่มีคำจำกัดความให้ตัวเอง แล้วในหมู่บ้านกะเทยรุ่นพี่ก็ไม่มีด้วย จากนั้นพอเราได้เปิดทีวี ได้เห็นกะเทยในละคร ถึงรู้ว่าเมืองกรุงมีแบบนี้เยอะนะ แสดงว่าสุรินทร์น่าจะไม่ใช่ที่ที่เราควรอยู่แล้วแหละ แล้วพอมีพี่ ๆ จากค่ายจุฬาชนบทมาจัดค่ายที่โรงเรียนหนู ทำให้หนูได้รู้ว่ามีกะเทยไว้หนวด กะเทยออกสาว กะเทยตุ้งติ้งเต็มไปหมด เราก็คิดในใจว่ามันมีแบบนี้ด้วย แสดงว่ามันมีพื้นที่ที่เปิดรับเราอยู่ส่วนที่บ้านเค้ารู้อยู่แล้ว และพยายามทำความเข้าใจมากเลย แต่เค้าก็ยังหาเรื่องที่จะมาอ้างอิงเราไม่ได้ ทุกคนรักลูก แต่เค้าก็ยังคาดหวังเล็ก ๆ ว่าลูกจะกลับมาเป็นผู้ชาย จะมีเมีย จะมีลูก จะสร้างครอบครัว แต่ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ เค้าก็เปลี่ยนตัวเราไม่ได้ซึ่งหนูคิดว่า คุณแม่ รับได้ตั้งนานแล้ว เค้าเป็นคนห้ามไม่ให้โอวาไปฝึกมวยต่อ เพราะทนเห็นลูกโดนซ้อมไม่ได้ จนทะเลาะกันกับพ่อเพราะไม่ให้ลูกไปซ้อมมวยแล้ว ซึ่งการที่จะมาเรียนต่อในกรุงเทพ คุณแม่ไม่ว่าอะไรเลย เพราะว่าในหมู่บ้านหนูไม่ได้มีใครเข้ามาเรียนในกรุงเทพ แล้วก็เข้ามหาลัยชื่อดังด้วย เค้าก็ภูมิใจในตัวเรา”จากความฝัน สู่การเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุงอย่างที่ตั้งใจ“ชีวิตในเมืองกรุงของหนู เริ่มขึ้นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนแรกสอบได้ คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เราไม่มีคอมพิวเตอร์นะ ที่เลือกเรียนก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองชอบ แล้วก็คะแนนถึง แต่พอเข้ามาเรียนจริง ๆ เราทำไม่ได้ ท่ามกลางเพื่อนของโอวาที่ได้โควตาโอลิมปิค แล้วเด็กโอลิมปิคคอม เวลาเขียนภาษา C ภาษา JAVA เค้าเขียนได้เลย แต่เราเป็นกะเทยที่ไม่มีคอม ไม่รู้ภาษา ก็เลยคิดว่า จริง ๆ แล้วมันมีสิ่งที่เราชอบ แต่เราอาจจะทำไม่ได้ และต้องเปลี่ยนตัวเองก็เลยซิ่ว ไปเรียนวิชาเลือกแทน เป็นการเก็บหน่วยกิต แล้วไปเรียน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เรารู้สึกว่าสังคมสงเคราะห์ เป็นพื้นที่เปิดมากเลย ไม่มีใครตัดสินใคร โอวา จะใส่กางเกงขาสั้นไปเข้าคลาสเรียนก็ได้ มีกะเทยเยอะแยะ แล้วสิ่งที่ทำให้อยากเรียนสังคมสงเคราะห์ศาสตร์คือ เราอยากขับเคลื่อนให้ทุกคนเปิดรับความเป็น Humen Rights ในความเป็นมนุษย์ ถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน มันจะมีผลกับจิตใจเรา เพราะเราอยากลบบาดแผลที่มีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งชีวิตตอนเรียนของโอวา ได้เป็นตัวเองเต็มที่มาก ได้เป็นนางโชว์ ไปสุดทางเลย แล้วก็นาน ๆ ทีถึงจะกลับบ้านพอเรียนจบ โอวา ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง ต้องไปเป็นทหารเรือ 1 ปี ซึ่งไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่หรอก เรารู้สึกว่าตัวเองถูกลดทอน แล้วก็กฎกติกาทุกอย่างต้องฝึกเหมือนชายแท้ แต่เพื่อน ๆ ทหารน่ารักนะคะ ทุกคนเรียกเจ๊หมด แล้วก็ให้เกียรติ มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันพอปลดประจำการ ก็มีรุ่นพี่บอกว่าที่บริษัทมีตำแหน่งว่างให้มาทำงาน หนูเลยตัดสินใจทำงานต่อเลยไม่ได้หยุด ทำงานตำแหน่ง General Service เป็นฝ่ายที่ซัพพอร์ททุกอย่างในบริษัท ทำอยู่ประมาณ 2 ปีครึ่ง ก็ย้ายมาที่ กบข. (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)จริง ๆ ความฝันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย คือ โอวาอยากไป Work and Travel เพราะอยากไปเผชิญโลกกว้าง แต่ยังไม่มีโอกาสไปเพราะว่าตอนนั้นเรายังไม่มีเงิน ตลอดระยะเวลาของการเรียนที่ธรรมศาสตร์ โอวาต้องทำงานไปด้วย ซึ่งเรารับสอนพิเศษ ขนาดปลดทหารแล้ว ต้องมาทำงาน โอวา ก็ยังสอนพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ อีก ไม่มีเวลาหยุดเลย เราเคยจนเลยไม่อยากกลับไปอยู่จุดนั้น เพราะหนูเป็นลูกเกษตรกร เคยกินข้าวคลุกน้ำมันที่ทอดซ้ำจนมันได้รสชาติอร่อย แล้วก็โรยเกลือ โรยพริกผง ซึ่งเราไม่อยากกลับไปอยู่จุดนั้นอีกแล้ว ฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะเติบโต โอวา ก็จะทำทุกอย่างหนูทำงานอยู่ กบข. 6 - 7 ปี ซึ่งงานมัน Challenge เราตลอดเวลา เราได้ไปออกต่างจังหวัดเกือบ 74 จังหวัดแล้ว แล้วก็ได้จัดคอนเสิร์ต จัดสวัสดิการ ติดต่อประสานงาน ซึ่งงานมันแบบวาไรตี้มาก แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ในใจก็เลยลาออก แล้วสมัครงานใหม่ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า ตลอดการเดินทางของกะเทยคนนี้มันไม่มีเวลาหยุดเลยจึงอยากพักสักเดือนสองเดือน ก่อนไปเริ่มงานใหม่ หนูก็เลยขอยังไม่เซ็นสัญญา หนูขอแค่สองเดือน ตอนนั้นคือเดือนพฤศจิกายนที่มี โควิด จาก อู่ฮั่นเข้ามา หนูยังไม่ทันไปเริ่มงานเลย ที่ทำงานก็โทรมาช่วงประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน บอกว่า คุณธนาวัฒน์ สัญญาที่คุยกันไว้ขออนุญาตยกเลิกก่อน แล้วหนูก็ตกงานเลย”เมื่อโควิด ทำให้ชีวิตต้องกลับบ้านเกิด“พอตกงาน เรียกได้ว่าทุกอย่างพัง เราคิดว่าตัวเองวางแผนมาตลอดชีวิตแล้ว เราลดความเสี่ยงในชีวิตตัวเองทั้งหมดแล้ว สุดท้ายเราก็อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงเหมือนเดิม จึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะว่าค่าใช้จ่ายที่กรุงเทพมันสูงมาก พอต้องกลับบ้าน ชีวิตตอนนั้นมันเครียดมาก เพราะด้วยความที่ตัวเองเป็นคนไฮเปอร์ แล้วพอกลับไปอยู่บ้านแล้วเราไม่ได้ทำงาน จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า บวกกับถูกแรงกดดันจากทั้งครอบครัว แล้วคนข้างบ้านก็มากดดันครอบครัวอีกว่า ลูกเธอเมื่อไหร่จะกลับกรุงเทพ จนแม่ก็ไม่รู้จะไปถามใคร แล้วก็มาถามเรา พอเจอแบบนี้บ่อย ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย เราแค่กลับมาพักผ่อน เราแค่หามาพื้นที่ ไม่ต้องเป็นเซฟโซนให้เราก็ได้ แต่อย่าผลักเราออกไปก็พอมันเครียดจนทำให้หนูคิดสั้น ที่บ้านเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆ มันก็จะมียาแก้แพ้เป็นกระปุกขาย หนูก็เดินไปหยิบมา เทใส่มือ แล้วก็นั่งมอง จังหวะนั้นในใจก็คิดว่ากินดีไหมจะได้จบ อีกจังหวะหนึ่งก็ขอให้มีใครสักคนหนึ่งที่มาช่วยดึงเรา เราก็จะหยุด แล้วเหมือนแม่เค้าหายาแก้แพ้ไม่เจอ ก็เลยเดินมาดูเราในห้อง เปิดประตูมาแล้วเห็นเราก็กำลังมองยา เค้าก็หวีดร้องเหมือนจะขาดใจแล้ววิ่งมาปัดยาทิ้ง แล้วก็เอาน้ำอัดลมมากรอกปากกะเทย ตอนนั้นหนูยังไม่ได้กินยาแก้แพ้เลย แล้วน้ำอัดลมก็ออกปากออกจมูก ตอนนั้นถ้าตายก็ไม่ใช่เพราะยาแก้แพ้ แต่คงตายเพราะสำลักน้ำอัดลมพอผ่านเหตุการณ์นั้นมา หนูก็ได้คุยกับแม่ แล้วเค้าก็เข้าใจเรามากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วหนูเครียดมาก หนูพยายามแก้ Resume อยู่ หนูสมัครงานเกือบร้อยกว่าบริษัท แต่ด้วยสายงาน ด้วยสถานการณ์โควิด เราว่าเราพยายามสุดแล้ว แต่ทุกคนเหมือนจะมากดดันว่าเราไม่พยายามเลย ซึ่งพอได้คุยกันแม่ก็เข้าใจ”จุดเริ่มต้น ของ กะเทยขายข้าว“พอหนูได้คุย ได้ทำความเข้าใจกับแม่ ก็เริ่มออกจากห้อง แล้วแม่ก็ใช้ให้ไปสีข้าว หนูก็ได้ไปเห็นใบประทวน คือ ใบจำนำข้าว ของ ธกส. แปะไว้ที่ยุ้งข้าว ซึ่งเค้าจะมาดูข้าวในยุ้งเรา แล้วจะประเมินว่าข้าวยุ้งนี้มีข้าวประมาณกี่ตัน จากนั้นจะทำการตีราคา ซึ่งเราห้ามขายข้าวในยุ้ง เราจะต้องส่งให้เค้า แล้วเค้าจะให้เงินเรามาก่อน โดยราคาประเมินตอนนั้นข้าวในยุ้งประมาณ 10 ตัน ได้ 72,000 บาท หนูเห็นแล้วตกใจว่าทำไมราคาข้าวเปลือกถูกขนาดนี้ หนูเคยเจอข้าวในห้างที่แพ็คใส่ถุงไว้ ถ้าเป็นข้าวกล้องก็ราคาประมาณกิโลกรัมละ 95 บาทขึ้นไป แต่ข้าวเราขายได้กิโลกรัมละ 7-8 บาท แล้วเงินมันหายไปไหนหมดตอนนั้นหนูก็เลยบอกแม่ว่า หนูขอขายข้าวได้ไหม แม่ก็ตกใจนึกว่าจะขโมยข้าวไปขายให้โรงสีแล้วเอาเงินมาใช้เอง หนูก็บอกว่าไม่ใช่หนูจะสีข้าวขาย เพราะข้าวสุรินทร์มันขึ้นชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าเราอยู่กรุงเทพ แล้วเราจะซื้อข้าวหอมมะลิสุรินทร์กิน ต้องไปซื้อกับใคร ซื้อที่ไหน ซื้อยังไง หนูก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นเรามาทำเองดีกว่าช่วงแรกหนูจะเริ่มจากการพรีออเดอร์ก่อน แล้วค่อยสีข้าว จากนั้นก็โพสต์ขายใน Facebook ของตัวเอง คนที่ซื้อก็เป็นเพื่อน ๆ ก่อน อุดหนุนไม่เยอะ คนละ 5 – 10 กิโลกรัม แล้วช่วงนั้นก็จะมีแบบการเปิดกลุ่มจุฬามาร์เก็ตเพลส ธรรมศาสตร์รับฝากร้าน หนูก็บอกว่าเรามีข้าว เอาไปขายให้พี่ ๆ ที่มหาวิทยาลัยดีกว่า ก็ไปโพสต์ในกลุ่ม แต่ไม่มีออเดอร์เลยตอนนั้นเรามานั่งตกตะกอน แล้วพบว่าข้าวเรามีคุณภาพแล้ว แต่เราขาดการส่งเสียงให้มันดัง ขาดการเป็นไวรัล หนูก็เลยทำคลิปเป็นแนวลิปซิงค์เพลงกลางท้องไร่ท้องนา แล้วก็โพสต์ไปในกลุ่มเหมือนเดิม ความคิดตอนนั้นคือไม่ใช่ว่าขายไม่ออกแล้วยอมแพ้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็ต้องมานั่งคิดว่า จริง ๆ แล้วมันขาดอะไร ซึ่งเราอาจจะส่งเสียงไม่ดังพอรึเปล่า”จากความเป็นลูกทุ่ง มุ่งสู่คลิปสุดไวรัล“หนูมองว่า Target ของเราคือคนซื้อข้าวหุง ต้องเป็นกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป เด็ก ๆ หรือวัยรุ่นคงไม่ซื้อข้าว ฉะนั้นการเล่าเรื่องของความเป็นเพลงลูกทุ่ง ความเป็นท้องไร่ท้องนาเอามาผูกกัน คนดูน่าจะชอบ ก็เลยแต่งตัวเป็นทองกวาว เพราะรู้สึกว่าคนใน Target ผ่านกระบวนการ Socialization หรือการขัดเกลาทางสังคม รุ่นหนูทุกคนเคยดูมนต์รักลูกทุ่ง รู้จักพี่คล้าวทองกวาว ซึ่งความเป็นลูกทุ่งมันบ่งบอกเรื่องของความเป็นชาวไร่ชาวนาได้ สุดท้ายโอวาก็เลยเอาสองเรื่องนี้มาผูกกัน แล้วก็ผูกตัวเองไปด้วยพอหลังจากนั้นก็โพสต์คลิป แล้วตอนนั้นในกลุ่มไม่มีใครทำคลิปขายของเลย แต่โอวาเป็นคนแรกที่ทำเป็นคลิปซื้อขาย แล้วยอดมาเยอะมาก เยอะจนน่าตกใจ จากข้าวในยุ้งที่ถูกตีราคาว่าได้ 72,000 บาท แต่โอวาขายข้าวยุ้งนั้นได้เกือบ 400,000 บาท แล้วขายหมดยุ้งภายใน 1 สัปดาห์”กว่าจะเป็น “ข้าวจักรพรรดิ” สินค้าขายดีที่กะเทยขายได้“ในการปลูกข้าว จนได้เป็นข้าวมา ใช้ระยะเวลา 1 ปี โดยใช้เวลา 6 เดือนในการปลูก แล้วจุดเด่นของข้าวโอวา คือเป็นข้าวนาปี เป็นข้าวไวต่อแสง และจะปลูกเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ฉะนั้นเรื่อง ลม ฟ้า ฝน อากาศ มีผลต่อข้าวหมด แล้วข้าวหอมมะลิต้องปลูกในดินทราย โดยน้ำไม่ต้องขัง ซึ่งการปลูกของโอวาก็คือรอน้ำฝน ฝนตกปุ๊บกะเทยไถนาเพื่อกลบเลย แล้วทำไมต้องรอฝนตกก่อน เพราะตอนฝนตกดอกหญ้ามันจะขึ้น เราต้องไถกลบเพื่อให้เป็นปุ๋ยสด ถ้าไม่อย่างนั้นเราต้องใช้สารเคมี แต่ข้าวของเราไม่ใช้สารเคมี หลังจากนั้นก็ต้องรอสักพัก ถ้าฝนยังตกอยู่ ต้องไถกลบอีกรอบ พอปลูกในดินทราย ข้าวมันจะหลั่งสารบางอย่างที่ทำให้ข้าวหอม แล้วก็นิ่มเป็นพิเศษ แต่ถ้าปลูกแบบดินร่วน ข้าวก็จะเต็มเม็ด อวบอิ่ม แต่มันก็จะไม่มีกลิ่นหอม ไม่ค่อยมีความหวานตอนแรกลูกค้าชอบสั่งข้าวโอวาแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวนิล ข้าวกล้องจากนั้นก็มีคนมาแนะนำให้หนูเอาข้าวไปผสม ใส่ลูกเดือย ใส่ธัญญาพืช แล้วเราเห็นว่ามันมี ข้าวสามกษัตริย์ ที่เป็นชั้น ๆ เรียงสวย แต่พอเราเป็นชาวนาเอง เรารู้ว่าข้าวช่วงไหนเป็นยังไง ผสมแบบไหนอร่อยที่สุด แล้วความเป็นกะเทยมันเลยอยากทำเว่อร์ แค่ข้าวสามกษัตริย์มันไม่พอ เราต้องผสมมากกว่านั้น จนกลายเป็น ข้าวจักรพรรดิ ที่เป็นสินค้าขายดีที่สุดของโอวาข้าวจักรพรรดิ มีข้าว 5 ชนิด คือข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวมันปู ข้าวหอมมะลินิล แล้วก็ข้าวกล่ำหรือว่าข้าวลืมผัว หนูใส่ไปเลย 5 ชนิด แล้วแต่ละชนิดมันมีความหอมและคุณประโยชน์ไม่เหมือนกัน อย่างข้าวไรซ์เบอร์รี่ จะมีแอนไทโซยานิน ต่อต้าน Antioxidantพอคนชื่นชอบ และซื้อข้าวของโอวาเยอะขึ้น ยอดขายก็เพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว 4 ล้านบาท นอกจากนั้นเรายังกระจายรายได้ในชุมชน ชวนคนในชุมชนมาร่วมกับโอวาไหม เดี๋ยวโอวาจะรับซื้อข้าวเองในราคาที่สูงกว่า ทำข้าวแบบปลอดสารให้โอวานะ นอกจากนี้โอวายังเอาคนที่มีศักยภาพใกล้ ๆ ตัว ชวนคุณป้า คุณน้า คุณยาย มาช่วยกันแยกข้าวแล้วก็แพ็คข้าวเท่าที่ทำไหว ดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ แล้วไม่มีรายได้ โดยโอวาจะรับคนที่สามารถรับความเสี่ยงกับเราได้ก่อน”ชีวิตคน ก็เหมือนต้นข้าว“เราก็เหมือนข้าว ที่ควรจะมูฟตัวเองไปอยู่ในดินที่เหมาะสมกับเรา เพราะข้าวแต่ละชนิดก็จะมีดินที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน อย่างเช่นข้าวสังข์หยดชอบดินเหนียว ข้าวของปทุมอาจจะชอบดินร่วน ข้าวสุรินทร์อาจจะชอบดินทราย ข้าวแต่ละชนิดมีพื้นที่ดินที่เหมาะสมในการผลิตไม่เหมือนกัน เหมือนกับคนเราโอวาคิดว่า ในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด แล้วถอดบทเรียนจากอดีต เพราะปัจจุบันของเรา มันเกิดจากจุดของอดีตหลาย ๆ จุด แล้วก็ขีดเส้นมาเป็นเรา ณ ปัจจุบันนี้”สายสุดเซอร์ไพรส์ กับกำลังใจที่ต้องสู้ถึงจะชนะมีหนึ่งสายสุดเซอร์ไพรส์ ที่โทรเข้ามาช่วงท้ายของรายการ ซึ่งปลายสายเริ่มต้นประโยคว่า “ต้องสู้” เพียงเท่านี้ ก็ทำให้โอวารู้ว่า สายที่โทรเข้ามาคือ แม่เจินเจิน บุญสูงเนิน ศิลปินผู้ที่เป็นความสุขอย่างเดียวในตอนที่ โอวา ต้องไปซ้อมที่ค่ายมวย ซึ่งแม่เจินเจิน ก็ได้ขอบคุณ พร้อมฝากกำลังใจไว้ว่า “ทุกคนในโลก ต่างคนก็ต่างมีปัญหากันทั้งนั้น แต่เราต้องเรียนรู้ว่าต้องอยู่กับมันยังไง เราอาจจะเสียใจ เจ็บใจ หรือแค้นใจ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับปัญหา เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปัญหาก็แค่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนชีวิตคนที่มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เรียนรู้และเข้าใจ แล้วเราจะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขค่ะ”ส่วน โอวา ก็ได้กล่าวขอบคุณ แม่เจินเจิน ว่า “ขอบคุณแม่เจินเจินมาก ที่อย่างน้อยก็เป็นการฮีลใจให้ในช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย เป็นเพลงที่สามารถทำให้เรามูฟออนไปข้างหน้าได้ ในอดีตแม่ได้ช่วยกะเทยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยู่ในแบบสถานการณ์ที่แย่ที่สุด และไม่รู้ว่าตัวเองจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง ให้ก้าวต่อได้ด้วยเสียงเพลงของแม่ ขอบคุณมากค่ะ เซอร์ไพรส์มาก”สีสันแรงบันดาลใจ จาก โอวา กะเทยขายข้าว“ในทุกสังคม มันมีทั้งคนแพ้และคนชนะ ถ้าเราสู้ในเมืองกรุงแล้วเรากลายเป็นผู้แพ้ บางทีเราอาจจะเป็นผู้ชนะเมื่อเรากลับไปอยู่ต่างจังหวัดก็ได้ อย่าปิดโอกาสตัวเองว่าตรงนี้เท่านั้นคือที่ของฉัน แล้วไม่ต้องควานหาเซฟโซนก็ได้ ในเมื่อเราโตขนาดนี้ ถ้าไม่มีใครให้ ก็สร้างมันเองค่ะ” - โอวา ธนาวัฒน์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “มิกซ์ เฉลิมศรี” จากยูทูบเบอร์ในแก๊งหิ้วหวี สู่ศิลปินคิวทอง เจ้าของเพลง “ฟ้ารักพ่อ”

01 มี.ค. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “มิกซ์ เฉลิมศรี” จากยูทูบเบอร์ในแก๊งหิ้วหวี สู่ศิลปินคิวทอง เจ้าของเพลง “ฟ้ารักพ่อ”

"My sugar daddy หมดใจเลยที่ฟ้าให้พ่อ รักจริงไม่ได้หลอก แค่อยากจะขอให้พ่อช่วยฟ้าหน่อย เงินในบัญชีไม่พอใช้ พ่อโอนให้ฟ้าหน่อยได้ไหม และอยากได้รถคันใหม่นะคะ นะคะ นะ ฟ้ารักพ่อ"รายการ CLUB PRIDE DAY คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดแซ่บ “มิกซ์ เฉลิมศรี” หรือ “Badmixy” จากบิวตี้บล็อกเกอร์สุดปัง สู่ยูทูบเบอร์ชื่อดังหนึ่งในสมาชิกแก๊งหิ้วหวี และในวันนี้เธอกำลังถูกพูดถึงในอีกหนึ่งบทบาท คือการเป็นศิลปินนักแต่งเพลง หลังจากมีผลงานเพลงสุดจึ้ง “ฟ้ารักพ่อ” เพลงฮิตติดชาร์ตยอดวิวสูงทะลุ 20 ล้านวิว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านบททดสอบของชีวิตมากมาย และมีหลากหลายแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้นำมาแชร์ไว้ในรายการด้วย“เฉลิมศรี” “Badmixy” ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“มันเริ่มจากที่หนูอยากจะสร้างตัวตนขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต สมัยก่อนทุกคนก็มีฉายาของตัวเอง แล้วในแก๊งหิ้วหวีทุกคนมีฉายาอย่าง นิสา สะบัดแปรง หรือ เอแคลร์ จือปาก ซึ่งหนูอยู่ในแก๊งเพื่อนมานานมาก แต่ก็ใช้ชื่อแค่ มิกซ์ หิ้วหวี หลังจากนั้นพอหนูมาทำช่องของตัวเอง ก็เลยอยากมีชื่อที่คนจดจำย้อนกลับไปด้วยชื่อจริงหนูชื่อ วันเฉลิม หนูกลัวว่าถ้าเป็น มิกซ์ วันเฉลิม มันจะเป็นชื่อที่ดูธรรมะไป แล้วตอนเรียน เพื่อนหนูเคยถามหนูว่า ถ้ามีชื่อผู้หญิงจะชื่ออะไร เพราะเวลาเล่นนางงามกันเพื่อน ทุกคนจะมีชื่อเหมือนพระตั้งให้ แต่เป็นชื่อที่คิดขึ้นมาเอง ซึ่งหนูคิดไม่ออก เลยบอกเพื่อนว่าลองตั้งให้หน่อย เพื่อนก็บอกว่า เฉลิมศรีส่วน Badmixy มาจากการที่หนูชอบ Rihanna ซึ่งก่อนหน้านั้น Instagram ของหนูโดนแฮ็ค ตอนนั้นหนูใช้ชื่อ มิกซี่บิ๊กเม้าท์ หลังจากโดนแฮ็คหนูก็คิดว่าชื่อต่อไปจะชื่ออะไรดี เพราะหนูไม่อยากเป็น มิกซ์ซี่บิ๊กเม้าท์เวอร์ 2 มันดูเป็นชื่อแอคเคาท์ปลอม ก็เลยใช้ชื่อ Badmixy ก็แล้วกัน”ย้อนวัยใส ของ ด.ช.วันเฉลิม“ตอนเด็กหนูไม่มีความสามารถด้านดนตรีเลย หนูเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และไม่มีความสามารถเรื่องโน้ตเลย ซึ่งที่โรงเรียนก็จะมีสอนเป่าขลุ่ย หรือสอนอ่านโน้ต หนูทำไม่ได้เลย แต่หนูเป็นคนที่ชอบกิจกรรม แล้วก็ไม่ได้เป็นเด็กขี้อาย กล้าแสดงออกมาก หนูมั่นใจว่าหนูเป็นเบอร์ต้น ๆ ของห้อง สมมติว่าใครที่ไม่กล้าออกเสียง สามารถป้อนข้อมูลให้หนู แล้วหนูสามารถพูดแทนได้เลยเชื่อว่ากะเทยทุกคน ความฝันตอนเด็กคืออยากเป็นดารา หนูเป็นหนึ่งในนั้น ชอบดูละคร ชอบแสดงละครกับเพื่อน ชอบนั่งต่อบทกัน เพราะตัวเองอยากเป็นดารา ส่วนการเรียนของหนูอยู่ในระดับปานกลาง แต่หนูเป็นคนชอบไปโรงเรียน ชอบอยู่กับเพื่อน หนูโดดเรียนน้อยมาก หนูเคยโดดเรียนเพื่อไปนอนเล่นกันบ้านเพื่อน แล้วหนูมีความรู้สึกว่าไม่เห็นสนุกเลย แต่พออยู่โรงเรียนได้เห็นรุ่นพี่ ได้พูดคุยแซวคนนั้นคนนี้มันสนุกกว่า หนูเลยชอบไปโรงเรียน”มิกซ์ เฉลิมศรี กับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจากครอบครัว“เรื่องการยอมรับ หนูมั่นใจเลยว่าพ่อยอมรับ 100% พ่อหนูเค้ายังไงก็ได้กับลูกทุกคนเลย เพราะว่าพ่อเค้าไม่ค่อยบังคับ แต่ถ้าแม่จะเป็นแบบคล้อยตามเพื่อน ถ้าสมมติว่าลูกไปทำกิจกรรมอะไรมาแล้วเป็นที่พูดถึง อย่างเต้นแรง เค้าก็จะมาชม พอวันต่อมามีคนมาบอกว่า ลูกตุ้งติ้งเหรอ แม่ก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่แบบวันหลังอย่ามาตุ้งติ้งนะฉันอายคนอื่นเค้า แต่หนูก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้วเพราะพ่อรับได้ แล้วคนอื่นไม่สามารถทำอะไรหนูได้เพราะว่าหนูมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากจากครอบครัว ตอนเด็ก ๆ คนอื่นอาจจะมีปมเวลาเพื่อนล้อว่าเป็นกะเทย แต่หนูมีความรู้สึกว่ากะเทยแล้วมันยังไง หนูไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่หนูเป็นมันผิด เพราะว่าที่บ้านไม่ได้ตีหรือด่าหนู แล้วสิ่งที่หนูเป็นมันไม่ผิดหรือไม่ได้เดือดร้อน ต่อให้ครูเขียนในสมุดพกว่าลูกคุณมีพฤติกรรมตุ้งติ้ง หนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าพ่อไม่ได้มาบังคับตัวหนู ว่าต้องเป็นแบบนั้นนะแบบนี้นะในเรื่องเพื่อน หนูมีเพื่อนหมดเลยทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง ทั้งกะเทย เพราะหนูไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก และหนูเข้าได้กับทุกคน เวลาเพื่อนล้อ หนูก็ล้อกลับเลย เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันว่า วันหลังอย่ามาแหยมกับฉัน”เมื่อต้องหาลู่ทางทำเงินตั้งแต่เด็ก“หนูไม่เคยทราบเลยว่าครอบครัวลำบาก ตอนเด็กหนูกินแบบเต็มที่ จนมีช่วงประสบปัญหาที่แม่ชอบเล่นหวย ก็จะมีการยืมคนโน้นยืมคนนี้แล้วไม่บอกพ่อ แล้วมันประจวบเหมาะกับช่วงที่พ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล มันก็เลยกลายเป็นว่าจากเด็กที่เคยมีเงินใช้ ก็กลายเป็นไม่ได้รวย หนูก็เลยคิดว่าเราจะช่วยตรงนี้ยังไงได้บ้างหนูก็เลยเริ่มจาก ยุคนั้นแถวบ้านเรามันยังไม่มีคนใส่บิ๊กอาย แต่หนูชอบเข้าเว็บที่เวลาคนมาเล่นก็จะมีการโพสต์รูปซึ่งต้องตาโตตาสวย หนูก็เลยไปซื้อโดยหาว่าที่ไหนถูกสุด แล้วก็รับมาขายที่โรงเรียนเลย หนูแอบขายไปเรื่อย ๆ จนถึงฤดูหนาวหนูก็ไปสำเพ็ง ไปเอาเสื้อกันหนาวมาขาย หนูจำได้เลยว่ารับมาตัวละ 20 บาท ซึ่งเป็นผ้าสำลี แต่มันต้องเอามาขายที่โรงเรียน แล้วหนูถือถุงมาใหญ่มาก คิดแค่ว่ามันต้องขายให้หมด พอครูรู้ครูก็บอกว่าห้ามเอาของมาขายที่โรงเรียน ซึ่งหนูก็เลยบอกครูว่า หนูจะไม่เอามาขายถ้ามันขายหมด ปรากฎว่าครูก็เลยช่วยกันซื้อ กับเพื่อนที่โรงเรียนช่วยกันซื้อ เพื่อที่จะไม่ให้หนูเอามาขายอีกแล้วหนูอยากมากรุงเทพเพราะบิ๊กอาย ซึ่งหนูเป็นเด็กต่างจังหวัด เวลามาหาซื้อบิ๊กอายที่กรุงเทพ พี่ที่อยู่ข้างบ้านก็จะพาไปซื้อของ ไปเดินสะพานพุทธ หนูได้กินบุฟเฟต์ที่เป็นอาหารญี่ปุ่น จนหนูมีความรู้สึกว่าทำไมบ้านเราไม่มีอะไรแบบนี้ หนูก็เลยมากรุงเทพทุกอาทิตย์ แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะกับการอยู่กรุงเทพ”โมเมนต์นี้ ที่ทำให้รู้ว่าความลำบากเริ่มจะมาถึง“ตอนนั้นคุณแม่ต้องไปเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาล คุณพ่อความดันสูง แล้วหน้ามืดไปเลย แล้วมีโมเมนต์ที่หนูอยู่กัน 3 พี่น้อง ซึ่งต้องบอกว่าพี่ชายของหนูเค้าทำงานแล้ว เค้าต้องตื่นเช้าไปทำงาน กลายเป็นว่าพอพ่อป่วยพี่ชายต้องตื่นเช้ามากกว่าเดิม ต้องทำกับข้าวให้หนูกินตอนเช้า แล้วไปส่งไปรับหนูที่โรงเรียน แล้วหนูจำได้เลยว่า วันนั้นหนูไปสอบ GAT/PAT พอหนูกลับมา พ่อกำทองยัดใส่มือหนู ซึ่งหนูดูละครเยอะ แล้วรู้สึกว่าการที่ยื่นอะไรให้สักอย่าง มันเหมือนเป็นการสั่งเสีย หนูกลัวว่ามันจะเป็นลางอะไรรึเปล่า ตอนนั้นหนูก็ใจหวิวแล้วเข้าถึงความคิดว่า ถ้าไม่มีพ่อขึ้นมามันคงลำบากน่าดู เพราะตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าจะหาเงินยังไง แล้วเรายังเรียนไม่จบด้วย”มิกซ์ เฉลิมศรี กับวิธีคิดที่ชอบคุยกับตัวเอง“เวลาที่หนูอกหัก หรือเศร้า หนูไม่เคยฮึบไว้แล้วไปต่อเลยนะ หนูจะบิ้วท์ให้ตัวเองเศร้าให้มากที่สุด ร้องไห้ให้เต็มที่ ดูซีรี่ส์ให้มันร้องเพื่อให้ได้ระบายออกมา แล้วทุกเรื่องในชีวิต หนูพูดกับตัวเองหมด ทั้งเรื่องแฟน เรื่องงาน หรือเรื่องต่าง ๆ สมมติว่าพรุ่งนี้มีโปรเจกต์ที่จะต้องทำ หนูก็จะนั่งคุยกับตัวเอง หรือซ้อมไปเรื่อยเลย จะพูดแบบไหน ขนาดมุมหน้าหนูก็ซ้อม แล้วก็พูดกับตัวเองว่า พรุ่งนี้เราต้องทำให้เต็มที่นะเธอ หนูไม่เคยด่าตัวเองเลย แล้วหนูจะขอโทษตัวเองเวลาป่วย ขอโทษนะที่ใช้ชีวิตหนัก จนแฟนหนูเคยคิดว่าหนูเป็นบ้า ถามว่าที่รักคุยกับใครทำปากมุบมิบ หนูก็บอกว่าคุยกับตัวเอง”ย้อนเส้นทาง ก่อนจะมาเป็นศิลปินคิวทอง“หนูเคยทำสไตล์ลิสช่วงสั้นมากเลย เพราะหนูจบสายแฟชั่น จากนั้นก็มูฟตัวเองมาเป็นเน็ตไอดอล แล้วผันตัวสู่การเป็นยูทูบเบอร์ ซึ่งคลิปที่ทำให้คนรู้จักหนู คือคลิปใช้รองเท้าแตะแต่งหน้า เริ่มจากที่เมื่อก่อนมันจะมีบิวตี้บล็อกเกอร์ดังเยอะมาก แล้วส่วนมากจะทำคลิป 15 วินาทีหมดเลย หนูก็เลยลองใช้รองเท้าแตะมาแต่งหน้าบ้าง ซึ่งจริง ๆ มันแต่งไม่ได้ แต่มันก็อยู่ที่การตัดต่อ เพราะว่ายุคนั้นต้องทำยังไงก็ได้ให้คนว้าว แล้วคลิปมันต้องสั้นที่สุด เพื่อให้คนได้แชร์ แต่รองเท้าแตะหนูซื้อใหม่นะ คลิปนั้นมีคนดูประมาณ 2 ล้าน แล้วมีฝรั่งเอาไปคัฟเวอร์ต่อด้วยจากนั้นหนูก็เข้าวงการบิวตี้บล็อกเกอร์ ขายแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสินค้ามันต้องโปรโมทอะไร เพราะว่ายุคนั้นมันเป็นครีมออนไลน์ แต่โจทย์ของเราคือเงิน ดังนั้นทำยังไงก็ได้ให้เราได้เงิน เราต้องทำให้ครีมมันน่าใช้ที่สุด ซึ่งหนูก็รีวิวไปเรื่อยเปื่อยตามที่ลูกค้าอยากได้แล้วก่อนที่จะมาอยู่ในแก๊งหิ้วหวี หนูแอบกลัวว่าจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม เพราะ นิสา เค้าทำอะไรเป็นแพทเทิล แต่หนูไม่เคย หนูเป็นเพื่อนกับทุกคนได้หมด แต่ นิสา เค้าจะเป็นเป็นคนที่ทุกอย่างเป็นแพทเทิล เพราะเค้าโตมากับการทำงาน แล้วพอมาทำรายการหิ้วหวี หนูให้ นิสา ตีลังกา ให้เล่น ให้รำ ซึ่งเค้าก็ทำ พอได้มาทำงาน มาอยู่ด้วยกัน มันเลยกลายเป็นความลงตัวของแก๊งเรา”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางศิลปิน“ตอนที่หนูอยู่กับเพื่อนที่ต่างจังหวัด พวกหนูชอบแปลงเพลง ชอบแต่งกลอนให้กัน แต่งกลอนด่ากันใน Facebook ซึ่งหนูเลยคิดว่าทุกคนทำได้ ทุกคนทำเป็น หนูก็เลยไม่คิดว่านี่คือความสามารถด้วยซ้ำเพลงแรกของหนูคือ เพื่อนไม่ไหว มันมาเป็นเพลงแรกเพราะอยากมีเพลงเป็นของตัวเองตอนนั้นหนูเห็นยูทูบเบอร์คนอื่นมีเพลงหมดแล้ว เสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เราต้องทำอะไรก็ได้ให้มันดีกว่า ซึ่งเวลาแต่งเพลงหนูก็เริ่มจากเนื้อเพลงและเมโลดี้คู่กันไปเลย หนูก็ฮัมเพลง แล้วก็ส่งไปให้คนทำเพลงเลยซึ่งที่เพลงส่วนมากเป็นไวรัล อาจเพราะหนูใช้ภาษาตามยุคด้วย จะเป็นภาษาที่คนเค้าเล่นกันตามคอมเมนต์ ซึ่งภาษาที่หนูใช้บางคนอาจจะมองว่าสวย แต่สำหรับหนู หนูมองว่ามันเป็นภาษาคนที่ใช้สื่อสาร แล้วหนูชอบนั่งมอเตอร์ไซค์ หนูชอบให้ลมโต้ถึงจะนึกคำออก ถ้าอยู่ในห้องอึดอัด น้อยมากที่หนูจะนึกคำออก แล้วถ้าหนูนึกออกก็จะแบบบันทึกเสียงเก็บไว้ จนบางทีพี่ คนขับก็จะคิดว่าหนูแปลก ๆ หนูคุยกับใคร แต่หนูแค่อัดเสียงเก็บไว้ ขนาดแฟนหนูบอกว่าเราไปหาที่พักสบาย ๆ ไหมเผื่อที่รักเขียนเพลง หนูยังบอกว่าคิดไม่ออกหรอกช่วงหลัง ๆ เริ่มมีลูกค้าขอให้แต่งเพลงยอะมาก ซึ่งหนูจะเลือกทำให้ก็ต่อเมื่อถ้าชั่วโมงนั้นหนูคิดออกหนูรับ แต่ถ้าหนูคิดไม่ออกคือไม่รับ อย่างเช่นลูกค้าอยากให้ทำเพลงให้ขนม แล้วบรีฟว่าอยากได้เพลงแบบไหน เราก็จะวางสายหายไปชั่วโมงนึง แล้วก็ส่งให้ลูกค้าเลย ถ้าลูกค้าโอเค หนูถึงจะรับทำต่อ”กว่าจะเป็น เลือดกรุ๊ปบี เพลงแจ้งเกิด “เอิ้ก ชาลิสา”“ยายเอิ๊กเค้าเป็นคนชอบร้องเพลงมาก หนูก็เลยถามว่า เจ๊อยากมีเพลงไหมสนุก ๆ เค้าก็บอกว่ายังไม่อยากสนุก อยากได้เพลงที่หวาน ๆ เศร้า ๆ อยากเป็น อิ้งค์ วรันธร อยากร้องเพลงที่ผู้ชายฟังแล้วรู้สึกว่าเราตัวเล็กน่ารัก คุยกันแค่นั้นเลย แล้วหนูก็บอกว่างั้นเอาเลือดกรุ๊ปบีมาแต่งต่อยอดไหม เพราะว่าใน Tiktok มันกำลังไวรัล เลยถามว่าเลือดกรุ๊ปบี อยากจะให้ตีความเป็นแบบไหน เอิ้ก ก็เลยบอกว่า ที่ไม่มีแฟนอาจจะเป็นเพราะเลือดกรุ๊ปบีรึเปล่า หนูเลยขยายความให้มันกว้างขึ้นโดยการโทษเบอร์ โทษราศี โทษทุกอย่างแต่ไม่โทษตัวเองเลยก่อนจะปล่อยเลือดกรุ๊ปบี หนูคิดว่าเพลงนี้แมส แต่ไม่คิดว่าดังขนาดนี้ หนูคิดว่าหลาย ๆ คนต้องชอบ เพราะว่าหนูตั้งใจให้มันแมสด้วยเมโลดี้ พอปล่อยเพลงออกมา กลายเป็นว่ายอดวิวสูงมาก แล้วคนก็เล่นใน Tiktok เยอะมาก เจอผู้ชายร้องตามผับ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เพลงนี้ใครร้อง หรือว่าใครแต่ง จนได้ไปออกตามรายการสัมภาษณ์ เค้าถึงรู้ว่าเพลงนี้หนูเป็นคนแต่ง ซึ่งหนูแต่งชั่วโมงเดียวหนูรู้สึกดีใจกับเอิ้ก ก่อนหน้านั้นเค้าเป็นคนขี้อายแล้วไม่ทำอะไรเลย เมื่อก่อนกว่าเค้าจะมาออกช่องหนู หนูต้องขอเอาเค้ามาออก จนหนูบังคับเค้าว่า เจ๊ทำช่องตัวเองเถอะ ตัวเองก็เป็นคนพูดสนุก ทำรายการตัวเองได้แล้ว พอเค้าทำรายการตัวเอง เราก็สบายใจแล้ว แต่กว่าจะลุกมาทำรายการตัวเอง กว่าจะอัดแต่ละอาทิตย์ กว่าจะปล่อยเพลงมันนานมาก แต่พอเค้าดังปุ๊บ เค้าจะได้รู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อกับชีวิต ซึ่งหนูก็ดีใจกับเอิ้ก”ฟ้ารักพ่อ เพลงสุดไวรัล จาก มิกซ์ เฉลิมศรี“หนูเป็นคนที่ชอบฟังเพลงดิสโก้ ก็เลยอยากลองทำเพลงเร็ว แล้วด้วยความที่หนูเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ปล่อยหนึ่งเพลงมันเฉยไป เราต้องปล่อยเป็นอัลบั้ม หนูก็ใช้เทคนิคของหนูไปเรื่อย ด้วยการปล่อยท่อนฮุคไปก่อน ปล่อยไปเรื่อย ๆ ทำให้คนอยากฟังเพลงเราหนูปล่อยเพลง ฟ้ารักพ่อตอนตี 2 เพราะคนตัด MV หนูยังไม่เสร็จ แต่พอหลังเที่ยงคืน แฟนคลับทักมาเยอะมากว่าเมื่อไหร่จะปล่อยเพลง แล้วหนูรำคาญมาก เลยโทรบอกคนตัดว่าเอามาปล่อยเลย แล้วไฟล์ที่มาปล่อยลง Youtube ไม่ได้เป็นมาสเตอร์ด้วย ฟังกันไปอย่างงั้น แล้วคนก็ชอบแรงบันดาลใจให้หนูแต่งเพลงฟ้ารักพ่อ เริ่มจากหนูไปนั่งกินข้าวกับเพื่อน ในร้านเปิดเพลงลูกทุ่ง แล้วเพื่อนหนูชอบฟังเพลงลูกทุ่ง หนูก็บอกเพื่อนว่า เพลงแม่ผึ้งสมัยก่อนมันเลิศ ดนตรีจังหวะสนุก แล้วเรื่องราวไม่เห็นเกี่ยวกับความรัก แต่ดังทุกเพลงเลย หนูก็เลยมีไอเดียว่า ฉันจะแต่งฟ้ารักพ่อ หนูพูดแค่นั้น แต่มันยังไม่มีไอเดียเลยว่า ฟ้ารักพ่อ มันจะไปในรูปแบบไหน ซึ่งเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงฟ้ารักพ่อ ก็คือเพลงเงินน่ะมีไหม ของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ฟ้ารักพ่อ หนูจำได้ว่าตัวเองแต่งไว้นานมาก จนหนูก็ไปอัดเพลง น้องเบน วง LUSS บอกว่าไปอัดไว้ก่อนเผื่อหนูได้ยินดนตรีจะได้รู้ว่าอยากใส่อะไรเข้าไปในเพลง แล้วหนูก็ร้องว่า It's me yyy ป๋าสั่งอะไรหรือยัง หนูก็ร้องขึ้นมาแบบนี้ แล้ว พัมกิ้น น้องที่ไปด้วยก็ชอบ เลยให้หนูลองโทรไปชวนพี่ยุ้ย ญาติเยอะ มาฟีทเจอริ่ง หนูก็โทรเลย ซึ่งพี่ยุ้ยก็ตกลง เพราะหนูรู้สึกว่า พี่ยุ้ย เป็นอีกคนที่ชอบร้องเพลงเกี่ยวกับป๋า เกี่ยวกับเสี่ย แล้วหนูอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงที่นักร้องกลางคืนได้เอาไปร้อง เพื่อเล่นกับลูกค้า หนูว่ามันน่ารัก”“ถ้าไม่มีฉัน” อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเธอจะอยู่ได้หรือเปล่า“เพลง ถ้าไม่มีฉัน มันเริ่มจากหนูป่วยเป็นโรคตับอักเสบแบบเฉียบพลัน เพราะว่าหนูเป็นไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน แล้วเป็นช่วงที่หนูภูมิตกก็เลยต้องไปนอนโรงพยาบาล แล้วคุณหมอบอกว่าคนไข้มีสิทธิ์ไตวาย ที่อยู่ ๆ ก็หลับไปเลยได้ พอแฟนหนูรู้เค้าก็โทรไปบอกเพื่อน ๆ หนู แล้วทุกคนมาเยี่ยมหนูเต็มห้อง เค้าก็มาคุยมาเล่น แล้วมันคือช่วงเวลาที่หนูมีความสุขมาก แล้วแอบคิดในใจว่าถ้าสมมติเมื่อกี๊เราตาย เราคงเห็นแก่ตัวมาก เพราะเรามีความสุขแล้วหลับไปเลย แต่ถ้าสมมติว่าเราไม่อยู่แล้ว สงสารเพื่อนนะ มันคงเศร้ากันน่าดู ก็เลยมาเป็นเพลง ถ้าไม่มีฉันส่วนไอเดียการทำ MV เพลงถ้าไม่มีฉัน คือหนูอยากทำ MV เดียว เพราะเปลืองเงิน แล้วก็เกิดไอเดียวว่า ถ้าเอาคนมานั่งรถน่าจะง่าย เล่าว่าชีวิตคนเรานั่งรถมาด้วยกัน ระหว่างทางก็ต้องมีคนลงรถก่อน หนูอยากเล่าแค่นี้ แล้วก็ปรึกษาน้องผู้กำกับ น้องบอกว่าไม่ได้พี่พูดมาเยอะมาก ในทางของผู้กำกับ แล้วก็ลองคิดต่อว่าถ้าเป็นคนจริงมาเล่น คนดูจะต้องรู้สตอรี่ของแต่ละคนอยู่แล้ว อย่าง พี่มิวกี้ กับ พี่แดน ก่อนถ่ายทำหนูแค่บิ้วท์บอกว่า ลองคิดว่าไปเที่ยวด้วยกัน แล้วระหว่างทางจะมีคนหนึ่งลงรถ แล้วพอถ่ายทำเค้าก็ร้องไห้กันเอง หนูซึ่งนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ หนูก็ร้องไห้ทั้งวัน เราอินกับเรื่องราวของคนที่มาเล่น MV มาก”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ มิกซ์ เฉลิมศรี“ความรักกับแฟนคนปัจจุบันดีนะคะ เค้าก็น่าจะชินกับชีวิตหนูแล้ว เพราะหนูเป็นคนแบบไปไหนไปเลย โดยไม่บอก แล้วค่อยมาบอกอีกทีตอนถึงแล้ว เราคบกันมา 3 ปีแล้วค่ะ เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนัดเจอเลย แต่มันเป็นช่วงที่หนูไม่อยากมีแฟนแล้ว คิดว่าตัวเองเหมาะกับการอยู่คนเดียว เพราะไปไหนก็ไม่ต้องพึ่งพาใคร จนหนูมาเจอคนนี้เพลง Next love คือเพลงที่หนูแต่งให้แฟนปัจจุบัน คือต้องบอกว่าหนูมีความสัมพันธ์แบบว่านัดเจอกัน แล้วหนูก็ไม่ได้เจอ แต่เค้าชอบโทรหาหนูบ่อยมาก แต่หนูก็บอกเค้าว่าช่วงนี้ไม่อยากมีแฟน ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่อยากมีเหมือนกัน แต่แค่อยากโทรคุยด้วย เห็นว่าเธอน่ารัก หนูก็คุยรับบ้างไม่รับบ้างตามสไตล์ จนเค้าก็มาหา อยู่ดี ๆ เค้าก็สารภาพมาว่า เค้ามีแฟนนะ แต่ก็เหมือนไม่มีเพราะเค้าไม่ได้อยู่กับแฟน แล้วเป็นช่วงที่เค้ารู้สึกว่าแฟนไม่รักเค้าเหมือนเดิมแล้ว หนูก็เลยบอกว่าถ้าจะทำให้ถูกต้องควรไปบอกเลิกกับแฟน เธอไปเคลียร์ตัวเอง เค้าก็หายไปแล้วเค้าก็กลับมาบอกว่าเค้าเลิกแล้ว แล้วเค้าก็มาอยู่แบบนี้กับหนูไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ เค้าก็บอกว่า ถ้าอยากขอเป็นแฟนต้องทำยังไง หนูก็เลยรับปากส่ง ๆ ว่า ถ้าอยู่ถึงปีก็เป็นแฟน ซึ่งไม่มีการขอเป็นแฟนใดใด แล้วตอนที่หนูป่วยเค้าก็มานอนเฝ้า ตอนนั้นเค้าเป็นวิศวกรสายก่อสร้าง หนูก็จะเหมือนเดิมที่จะบอกว่าไม่ต้องมา ไปทำงาน หนูอยู่ได้ แต่เค้าก็จะมาเฝ้า จน ณ วันนี้เค้าก็ยังอยู่ในชีวิต แล้วก็แฮปปี้ดีค่ะ”แรงบันดาลใจจาก มิกซ์ เฉลิมศรี“หนูอยากบอกน้อง ๆ ทุกคน ที่อยากจะทำอะไรก็ตาม แค่มองเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นผลดีกับตัวเราแค่นั้นพอเลย แล้วก็ลงมือทำเลย เดี๋ยวทุก ๆ ก้าวที่เราลงมือทำ มันจะพาเราเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เอง” – มิกซ์ เฉลิมศรีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์” ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry ขวัญใจชาวด้อมใจฟู

23 ก.พ. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์” ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry ขวัญใจชาวด้อมใจฟู

ยังคงเป็น Club ที่รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดใจฟู “จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์” ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry ช่องของยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีหัวใจไทย คัลแลน-พี่จอง ซึ่งนอกจากสองหนุ่มแล้ว อีกคนที่กลายเป็นขวัญใจชาวช่อง นั่นก็คือ "จูดี้" ที่มาเป็นแขกรับเชิญทีไร ก็จะมาพร้อมสกิลการใช้ชีวิตแบบสุดปัง ทั้งหักอ้อยด้วยมือเปล่า ขับรถซาเล้ง ทำอาหาร จับปลา หรือแม้กระทั่ง ทำข้าวหลาม จนกลายเป็นเอกลักษณ์มัดใจชาวช่อง มีคนรักและชื่นชอบมากมาย ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต และมีข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ได้นำมาแชร์ในรายการด้วยย้อนวัยใส ของ จูดี้ ใจฟู“ตอนเด็ก หนูเป็นเด็กที่คุณแม่ปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว ตั้งแต่อายุ 12-17 ปี เพราะคุณแม่ต้องมาขายของที่ตลาดเมืองไทยภัทร แล้วหนูก็จะรับคำสั่งจากคุณแม่ออนไลน์อย่างเดียว ทุกอย่างในบ้านหนูต้องทำเองหมด หุงข้าวทำกับข้าวด้วยตัวเอง ส่วนการเรียน ด้วยความที่หนูไม่อยากแพ้ใคร เลยเรียนติดท็อป 1 ใน 3 ตลอด แล้วเวลาคุณแม่ให้เงินมากินแล้วไม่พอ ถ้าอยากได้เพิ่มหนูก็จะหาของมาขาย อย่างมะม่วงในป่า หนูก็ไปหาเอามาทำมะม่วงจิ้มพริกเกลือ แล้วขายถุงละ 2 บาท วันนึงขาย 10 ถุง ก็ได้ 20 บาท ทำให้หนูมีเงินกินเยอะกว่าเพื่อนคนอื่นชื่อจริง ๆ ของหนูชื่อ เดี่ยว แล้วที่มาของชื่อ จูดี้ เพราะเอาชื่อหมามาตั้ง คือตอน ม.4 เค้าให้เขียนชื่อ เหมือนเป็นการเขียนชื่อน้องใหม่ ซึ่งตอนเรียนม.ต้น หนูเรียนโรงเรียนตำบล พอมา ม.ปลายย้ายมาเรียนโรงเรียนในเมืองก็เลยใช้ชื่อ จูดี้ เลยเพราะไม่อยากชื่อเดี่ยวแล้วแล้วสกิลต่าง ๆ หนูก็ได้มาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นยูทูปเสิร์ชไม่มี ถ้าอยากรู้ว่าจะเลือกไม้ไผ่ยังไง เราไปเสิร์ชนี่ไม่มี ต้องโทรไปหาแม่แล้วก็ให้น้องไปถ่ายไม้ไผ่กระบอกที่มันใช้ได้ แล้วส่งรูปกลับมา อย่างผ่ามะพร้าว ต้องผ่าครึ่ง ตากแดด แล้วแคะเอาเนื้อในมะพร้าวขายกิโลละ 7 บาท เพื่อหาเงินกินขนม แล้วมันกลายเป็นสกิลที่เราได้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก”ครอบครัว กับการยอมรับตัวตนของ จูดี้“หนูรู้ตัวเองมาตั้งแต่ 5 ขวบ หนูชอบดูลิเกแล้วก็เล่นเป็นลิเก ที่บ้านก็รู้ว่าได้ลูกสาว ซึ่งการบูลลี่จากคนในครอบครัวเป็นศูนย์ ไม่มีใครสามารถมาวิพากษ์หรือว่าวิจารณ์หนูได้ เพราะหนูปิดทุกประตู คือ หนูไม่มีเรื่องเกเร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่มีเรื่องชู้สาว ไม่มีคดีความ เรื่องเรียนหนูก็อยู่ระดับท็อป จะคุณป้าบ้านไหนก็เอาหนูไม่ลง เพราะว่าหนูแพ้ไม่ได้ แล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะมาวิพากษ์หรือวิจารณ์ความเป็นตัวหนู เพราะว่าขนาดแม่เรายังไม่พูดเลย แม่เราให้เกียรติเรามาก ๆ ไม่เคยพูดเรื่องนี้ รู้เต็มอกแต่ไม่พูด แล้วก็ภูมิใจในทุก ๆ สิ่งที่หนูทำในชีวิต”จูดี้ กับการซ้อมเป็นดารามาตั้งแต่เด็ก“หนูรู้ตัวว่าอยากเป็นดารามาตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ตอนนั้นติดรายการแฉแต่เช้ามาก แล้วก็ติดพี่มดดำ แล้วก็คิดว่าต้องทำยังไง ฉันถึงจะไปนั่งตรงนั้นได้ พอจบ ม.6 หนูเลยขอแม่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ โดยที่คุณแม่สนับสนุนทุกอย่าง แต่มีอย่างเดียวที่สนับสนุนไม่ได้คือเงิน หนูก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูทำงานระหว่างเรียน ซึ่งระหว่างที่เรียนหนูทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟด้วย แล้วหลัง ๆ มันก็เริ่มไม่ไหว เลยไปขออาจารย์ว่า ขอเข้าสายครึ่งชั่วโมง ซึ่งอาจารย์น่ารักมาก อาจารย์บอกว่าเข้าใจทำงานด้วยเรียนด้วยมันหนักพอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หนูเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ เพราะอยากเป็นดารา แล้วก็เริ่มส่งเดโม่ ที่แรกเลยคือที่แกรมมี่ ของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง แล้วเป็นช่วงที่พี่ฉอดหาดีเจหน้าใหม่ หนูส่งเดโม่ 2 ครั้ง ตกรอบหมด ครั้งที่ 3 ก็ตึกแกรมมี่ เป็นงานพิธีกร ตกรอบแรก ครั้งที่ 4 ประกวด AF แล้วหนูร้องเพลงไม่ได้ ไปประกวดเค้าก็เชิญตกรอบ นั่นคือความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาเป็นดาราอย่างเดียวแล้วหนูซ้อมเป็นดารามาตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ซ้อมตอบคำถามเรื่องความรัก แล้วถ้าถามเรื่องละคร เราก็จำคนอื่นว่าตอบเรื่องละครเป็นยังไง แล้วก็มาตอบในแบบที่เป็นเรา อย่างถ้าโดนสื่อถามว่า ทำไมพลิกบทมาเล่นร้าย หนูจะต้องตอบว่า เพราะว่าเบื่อแล้วเป็นนางเอก เล่นร้ายมันได้ปลดปล่อย แล้วหนูก็ซ้อมแบบนั้นอยู่คนเดียว นอกจากนั้นหนูก็มาสายพิธีกรตลอด หนูประกวดมาเยอะมาก นอกจากนี้เวลาที่เค้าให้เป็นพิธีกรมหาวิทยาลัย หนูก็เป็น”จากดาราที่เป็นความฝัน ผันสู่การเป็นนักธุรกิจ“ตอนนี้หนูก็ทำงานในสายงานร้านอาหารกึ่งผับ ก็เติบโตตรงนั้นไป มีรายได้จุนเจือครอบครัว เลี้ยงดูตัวเองมาตลอดอย่างยาวนาน หนูรู้สึกว่าเวลาทำธุรกิจอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ หนูน่าจะเหมาะกับการเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นผู้จัดการ แต่ถ้าเปิดร้านเอง ทำธุรกิจเองเจ๊งหมดเลย เพราะหนูไม่มีเวลาลงไปทำแบบเต็มที่ หนูรู้ว่าลึก ๆ แล้วที่หนูเปิดเพราะหนูอยากเปิด เปิดตามเทรนด์ ไม่ได้มีความรู้ แต่ว่าในส่วนงานหลักที่เป็นลูกจ้างเค้าหนูดันทำได้ดี เพราะว่าเรามีเจ้านาย มีเจ้าของร้านที่มองเราอยู่ เราเลยต้องตั้งใจให้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นร้านเราเปิดเองคือปล่อยไปเลยเพราะเงินฉัน จะลงทุนกี่แสนก็เงินฉัน ซึ่งก่อนหน้านี้หนูมีร้านฉีดหน้าจูดี้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อจูดี้ ส้มตำจูดี้ เสื้อผ้าจูดี้ พอใจแล้ว ทำให้รู้ว่าเราทำมาแล้วนะ แล้วก็บอกกับตัวเองว่าอย่าทำอีก ซึ่งปัจจุบันหนูเหลืองานหลักอย่างเดียว คือ ร้านอาหาร ซึ่งเป็นงานประจำ ทำหน้าที่บริหารร้านอาหาร”วันแรกที่ได้เจอ คัลแลน และ พี่จอง“เจอกันเพราะสวรรค์ส่งเค้ามาให้หนู หนูเจอ คัลแลน ก่อน ในตอนเจอกัน เค้าทำงานเป็นดีเจ แล้วเราอยู่ใกล้ ๆ กัน หนูก็วิ่งไปขอคอนแทค เพราะเราก็ชอบเค้า แล้วเวลาหนูมีน้อย ถ้าหนูเจอเค้าแล้วไม่ขอไอจีหรือไลน์ตอนนี้ วันหน้าหนูอาจจะไม่เจอเค้าอีกแล้ว แต่ว่าเราก็คุยเป็นเพื่อนกัน เพราะว่าเค้าชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นผู้ชาย พอคุยก็รู้เลยว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า แล้วมันก็เป็นเพื่อนกันมาตลอด สนุกสนานเฮฮากันเรื่อย ๆ พอคุยเป็นเพื่อนได้สักพักเริ่มเจอปัญหาโควิด ก็เลยได้ปรึกษากัน และได้คุยกันมากขึ้น แล้วช่วงโควิดมันมีเคอร์ฟิว เราเลยได้กินเที่ยวอยู่ด้วยกันส่วน พี่จอง มาที่หลัง หนูเจอพี่จองตอนถ่ายคลิปสุพรรณบุรี พอได้รู้จักกัน หนูว่าเค้าสองคนคงปรับตัวกันเอง รองเท้าที่เคยใส่แบรนด์เนม ก็ต้องเก็บเปลี่ยนมาใส่ที่เดินทางสะดวกมากขึ้น อย่างหนูใส่รองเท้าแตะตลอดกาล กางเกงก็ขาสั้นตลอด เวลาเที่ยวให้ลงน้ำลุยไฟหนูทำได้หมดเลย ซึ่งทั้ง คัลแลน กับ พี่จอง อาจจะต้องปรับตัวหน่อยในการทำคลิปต่าง ๆ มันก็มีโอกาสเข้ามาบ้าง แต่หนูไม่ทำเพราะขี้เกียจถือกล้อง หนูทำสองคลิปหยุด แล้วนาน ๆ ถึงจะกลับมาทำคลิปอีก ซึ่งหนูไม่ได้รู้เรื่องโปรดักชั่น แล้วเวลาจะถ่ายคลิป คัลแลน ก็จะโทรมาบอกว่าจูดี้เตรียมตัวนะ วันนี้ว่างไหม เดี๋ยว 9 โมงครึ่งไปรับ แค่นี้เอง แล้วเค้าก็มารับ แล้วถ่ายคลิปเลย”การทำงานร่วมกันของชาวใจฟู“ในคลิปหนึ่งคลิปทุกอย่างสดหมดเลย หนูไม่รู้ว่าหนูจะต้องทำอะไร สิ่งที่หนูต้องเตรียมคือ ชุดชั้นใน เสื้อ และชุดว่ายน้ำหนูต้องมี เพราะหนูไม่รู้เลยว่าเค้าสองคนจะพาไปไหนบ้าง เค้าไม่สคริปต์ ไม่สำรวจเส้นทาง ไม่บอกล่วงหน้าก่อนเลย ทุกอย่างสดหมดเลยหนูงงในตอนแรก เพราะปกติคนเรามักจะเจอคอนเทนต์ที่มันอาจจะถูกเซ็ท ถูกวางไว้แล้ว หรือเป็นคอนเทนต์ที่คนดูคาดหวังได้ แต่คลิปในช่องของคัลแลนมันเดาไม่ได้เลย เริ่มตั้งแต่ภาษาพูด คนดูไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง แล้วจะพูดผิดหรือพูดถูกก็ไม่รู้ เพราะสคริปต์ก็ไม่มี แล้วอย่าว่าแต่คนดูเลย หนูก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งต้องโดนอะไรบ้าง อย่างคลิปที่ทำข้าวหลาม หนูก็พยายามบอกว่าข้าวหลามมันจะต้องเสร็จก่อนค่ำนะ เพราะในป่ายุงตัวใหญ่กว่ามดอีก ซึ่งพี่จอง กับคัลแลน เค้าไม่เข้าใจ เค้าก็นึกว่าทำไมเหรอ ตะวันตกดินแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าวหลาม แต่ทั้งคู่เค้าเรียนรู้เร็ว แล้วเค้าก็เป็นคนที่ครูพักลักจำ เวลาแกล้งกัน หรือแซวกันเค้าก็ไม่โกรธ เค้าเข้าใจว่าหนูเป็นคนพูดอะไรที่ ชัด ตรง แรง ซึ่งทั้งสองคนเข้าใจ”แม้จะโด่งดัง แต่ยังคงใช้ชีวิตในรูปแบบเดิม“ตอนที่ทุกคนชื่นชอบ แล้วหนูดัง ตอนนั้นหนูตกใจมาก เพราะว่าหนูไม่ได้เตรียมตัวเรื่องนี้ หนูมาเป็นกระแส ขึ้นเทรนด์เอ็กซ์ มีคนรู้จักในช่วงเวลาแค่เดือนเดียว แต่หนูคิดเสมอว่างานประจำต้องทำก่อนเพราะว่าลูกน้องเราเยอะ แล้วเราก็รับปากแล้วว่าเราจะต้องนำพาองค์กร แล้วการมาทำคลิปมันคือโอกาส หากทำได้เราจะทำพอเริ่มมีชื่อเสียงชีวิตมันเปลี่ยนแน่นอนในเรื่องของการไปไหนมาไหนเจอคนรู้จัก คนชื่นชอบเรามากขึ้น แต่มันไม่เปลี่ยนอะไรหนูมาก หนูกินข้าวที่ร้านเดิม นั่งมอเตอร์ไซค์เท่านั้นเหมือนเดิม ไม่ขับรถเหมือนเดิมเพราะว่าหนูมามีชื่อเสียงตอนอายุ 36 ย่าง 37 ปี ซึ่งหนูมีเป้าหมายชีวิตแล้ว แล้วหนูก็ตกผลึกแล้วว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งสวยงามวูบวาบ ดังนั้นดีใจอย่าดีใจแรง เสียใจอย่าเสียใจมาก ผ่านตรงนั้นไปให้เร็ว เดี๋ยวมันต้องผ่านแน่นอน แต่ก่อนที่จะผ่านหนูจะเก็บเกี่ยวอะไรตรงนั้นไว้ได้บ้าง แล้วก็เก็บช่วงเวลานี้ให้มีความสุขยาวนานที่สุด เพราะรู้มันต้องผ่านไปแน่นอนอยู่แล้วคำคมจากพี่อ้อยพี่ฉอด ก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้หนูมีสติขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความรัก ถ้ากลับย้อนไป 10 ปีก่อน คือไม่ยอม สู้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักมา เพื่อให้เค้าพูดให้ได้ว่ารักเราต่อหน้า แต่พอโตขึ้นสติมันมา เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในชีวิต มันจำเป็นต้องครองสติหมด”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ จูดี้ ใจฟู“หนูมีความรักแค่ 3 ครั้ง แต่เป็นแบบรักเค้าข้างเดียวทั้งหมด ผ่านมา 36 ปี ไม่มีความรักเลย ที่เป็นความรักแบบสมบูรณ์ เป็นความรักแบบเราเป็นแฟนกัน อยู่กินด้วยกัน มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น หนูไม่มีเลย เมื่อก่อนหนูค่อนข้างบ้าคลั่งในความรัก หนูหวงเค้า ทั้งที่ไม่ได้เป็นแฟนแต่หวง สืบทุกอย่าง แล้วก็จัดการผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในความรักของเค้า เมื่อก่อนหนูจะบอกว่าเรื่องเดียวที่มีผลต่อชีวิตหนู หนูจะมีความสุขหรือเสียใจได้ คือความรัก เพราะงานหนูทำเป็นอาชีพอยู่แล้ว หนูแก้ปัญหาได้หมด แต่เรื่องรักหนูเคยแก้ปัญหาไม่ได้แต่มาที่คนปัจจุบัน เราก็ดูแลกันปกติ เจอกันทานข้าว เวลาหนูมีปัญหาก็จะคุยกับเค้าคนแรกทุกเรื่อง ซึ่งเค้ามีแฟนผู้หญิงอยู่ด้วยตอนนี้ แต่เค้าจะไม่พูดเรื่องนั้นกับเราเลย ไม่พูดว่ารักกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ไม่พูดถึงผู้หญิงคนนั้น แต่หนูรู้เพราะเราเป็นนักสืบมาก่อน แต่ก็แค่รู้แล้วจบ เราก็ใช้ชีวิตในส่วนที่เค้าว่างเจอเรา แล้วเรามีความสุขในทริปนั้น มีความสุขในการกินข้าว มีความสุขในการท่องเที่ยว เท่านั้นจบ ซึ่งถ้าถามว่าตอนนี้มีความรักไหม ตอบเลยว่ามีความรักแน่นอนค่ะ”ความภูมิใจของ จูดี้ ใจฟู“ณ วันนี้หนูมาถึงฝันของหนูทั้งหมดแล้ว จากที่เคยอยากเป็นคนที่มีคนรู้จัก ซึ่งเมื่อก่อนก็จะคิดว่า เป็นพิธีกรสิจะมีคนรู้จัก เล่นละครสิ แล้วก็รู้อยู่ว่าโซเชียลมันทำให้คนดังง่าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่หนูเป็นคนไม่ปฏิเสธโอกาส แล้วถ้าโอกาสมันมาหาเรายาก ก็พยายามวิ่งใส่มัน อาจจะไม่ต้องมีชื่อเสียงก็ได้ แต่ในเรื่องของงาน ในเรื่องการดำรงชีวิต ในเรื่องของการเป็นคนดีของครอบครัว หนูว่าเราวิ่งหาโอกาสได้ อย่ารอวันสำคัญ เราไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะอยู่กับเราอีกนานไหม เพราะฉะนั้นรีบทำตอนนี้ รีบกระโจนเข้าไปหาโอกาส รีบทำให้พ่อแม่ภูมิใจตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ หนูไม่เสียใจเลยที่ตอนนี้คุณแม่ไม่สบาย เพราะที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ หนูทำทุกอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว”เพลงสุดใจฟู จาก โจ๊ก โซคูล ที่แต่งให้ จูดี้“อยากกินข้าวหลามช่วยที อยากให้จูดี้ช่วยหน่อย อยากกินน้ำหวานแต่ไม่มีใครหักอ้อยให้ฉัน ช่วยมาขูดมะพร้าวให้ที ช่วยทำน้ำกะทิช่วยหน่อย ช่วยมาดูแลผู้ชายตัวน้อยที่ไร้กำลัง” เป็นเพลงที่เพราะและทำให้จูดี้ ใจฟู มาก ๆ เมื่อมีแขกรับเชิญสุดพิเศษ โทรเข้ามาเป็นสายเซอร์ไพรส์กลางรายการ ซึ่งคนนั้นคือ โจ๊ก โซคูล ศิลปินอารมณ์ดีมากความสามารถ และยังเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมของ จูดี้ อีกด้วย ที่นอกจากแต่งเพลงมาฝากแล้ว ยังมีการพูดคุยเรื่องราวประทับใจที่ทั้งคู่เล่าให้ฟังในรายการ เรียกว่าเซอร์ไพรส์นี้ ใจฟูสุด ๆ ไปเลยคำขอบคุณ จาก จูดี้ ใจฟู“ณ วันนี้ไม่มีคำอื่นเลยนอกจากคำว่า ขอบคุณ ขอบคุณที่ชื่นชอบ และหนูไม่มีอะไรตอบแทนนอกจากความเป็นตัวตนซึ่งก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว แต่ว่าแฟน ๆ เพื่อน ๆ หรือว่าทุกคนชอบ จูดี้ก็จะเป็นตัวตนแบบเนี้ย จะสร้างความสุขแบบเนี้ย เป็นการตอบแทนทุกคนแบบนี้ตลอดไป ขอบคุณมากครับ” – จูดี้ ใจฟูพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “ปุ้ย ปิยาภรณ์” และ “แอนโทเนีย โพซิ้ว” สองสาวนักสู้ ผู้พิชิตภารกิจความงามระดับจักรวาล

16 ก.พ. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “ปุ้ย ปิยาภรณ์” และ “แอนโทเนีย โพซิ้ว” สองสาวนักสู้ ผู้พิชิตภารกิจความงามระดับจักรวาล

Hello Universe!...เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับสองแขกรับเชิญสุดสวย “ปุ้ย ปิยาภรณ์” และ “แอนโทเนีย โพซิ้ว” รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 พร้อมกับ ผู้ที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จ เป็นแรงซัพพอร์ทของการพิชิตภารกิจแห่งจักรวาล กว่าจะมาถึงวันนี้ ทั้งคู่เคยผ่านหลายดราม่า ฟันฝ่าหลายอุปสรรค และพร้อมแชร์เรื่องราวเหล่านี้ในรายการไว้ด้วยจุดเริ่มต้นความฝันการเป็นนางงามแอนโทเนีย “ตอนเป็นเด็ก แอนไม่ได้คิดถึงเรื่องนางงามเลย เพราะแอนคิดว่าความงามไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญ มันเป็นแค่ความงามภายนอก แล้วคุณพ่อกับคุณแม่สอนแอนมาเสมอว่า ทุกอย่างที่แอนจะทำในชีวิต ขอให้มีความสุข แอนก็เลยทำทุกอย่างด้วยความสุข ทั้ง ทำกิจกรรม เล่นกีฬา หรือแม้กระทั่งเรียนหนังสือ จากนั้นปี 2015 เป็นปีแรกที่แอนได้มาติดตาม Miss Universe แอนได้ดูรอบชุดว่ายน้ำ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า อยากรู้จังเลยความรู้สึกของคนที่จะได้เป็นผู้หญิงบนเวทีนี้ ได้อย่างมั่นใจในตัวเอง มีความสามารถที่จะโชว์ให้โลกดู ความรู้สึกของพวกเค้าจะเป็นอย่างไร แต่ ณ เวลานั้น แอนไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้หญิงคนนั้น ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ในการประกวดเวทีแรก Miss Supranational Thailand 2019 เริ่มจากที่เพื่อนของแอนมาถามว่าอยากลองลงประกวดไหม แล้วแอนเป็นคนที่ชอบอะไรใหม่ ๆ ก็เลยตอบตกลง แล้วก็ลองทำ สุดท้ายแอนกลายเป็นคนที่ชนะ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีโควิดเลย ณ ตอนนั้น ในมุมมองของแอน นางงามคือผู้หญิงที่ต้องเป็นกระบอกเสียงสำหรับประชาชน เป็นพลังสำหรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ตอนที่ทีม Miss Supranational Thailand ถามว่าแอนมาประกวดทำไม แอนก็บอกว่าแอนมาประกวดเพราะว่าอยากมาช่วยเหลือคน ด้วยความที่แอนได้ทำโครงการของแอนมานานแล้ว แอนก็อยากสานต่อตรงนี้ ซึ่งทีมก็หัวเราะ แล้วก็ถามว่า อยากให้พูดจริง ๆ ว่ามาทำไม แล้วแอนก็บอกว่า ทุกอย่างที่แอนพูดมาคือความจริง ความสวยงามที่อยู่ภายนอกมันเป็นอะไรที่เราปรับได้ และเปลี่ยนได้ แต่ว่าทัศนคคติของเรา ความรักในสิ่งที่เราทำ มันไม่สามารถตื่นขึ้นมาแล้วเปลี่ยนได้เลย แอนมองว่าการที่เราเป็นนางงาม เรามีแพลตฟอร์มที่ยิ่งใหญ่ ที่มีผลกระทบต่อผู้คนเยอะ ซึ่งในช่วงเวลาที่แอนได้เป็น Miss Supranational ได้ทำการกุศล การช่วยเหลือคนอื่น แอนเห็นว่ามันมีประโยชน์เยอะมาก แต่ว่าแอนทำด้วยตัวเองคนเดียวไม่ได้ แอนต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบข้าง เริ่มจากก้าวเล็กน้อย เพื่อที่จะสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่สำหรับสังคม แล้วแอนเห็นว่า Miss Universe Thailand เป็นแพลตฟอร์มที่ Impact มาก ๆ และแอนอยากมาสานต่อในเรื่องของการกุศลที่แอนทำ ก็เลยมาลงสมัครและลงประกวดอีกครั้ง”ปุ้ย ปิยาภรณ์ กับก้าวแรกในการจัดการประกวด Miss Universe Thailandปุ้ย ปิยาภรณ์ “ย้อนกลับไปปี 2018 ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องนางงามเลย เคยแค่ดูตามทีวี เราก็เชียร์ของเราไป จากนั้นมีวันนึงเพื่อนก็ทักมาบอกว่า มาช่วยกันทำหน่อย เพราะตอนนั้นลิขสิทธิ์ของประเทศไทยที่จะเป็นเจ้าภาพ Miss Universe เหมือนกับจะถูกยุติ ตอนนั้นผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ก็คิดว่าจะเอายังไงดี เพราะรัฐบาลก็แถลงข่าวไปทั่วโลกแล้ว ก็เลยชวนกันมาทำ ซึ่งเราไม่เคยทำแต่ก็คิดในใจว่า มันก็คงเหมือนธุรกิจหนึ่งที่เราต้องใส่ใจกับมัน แล้วก็ตั้งใจทำ ณ ตอนนั้นเราทำการบ้านหนักมาก เพราะมีเวลาแค่ 2 เดือนเพื่อประชุมกัน แล้วก็หาเงินจากสปอนเซอร์มาได้ประมาณ 90 ล้าน แต่ที่จะต้องใช้จริง ๆ คือ 200 กว่าล้าน กลายเป็นว่าเราขาดทุน แต่เราก็ให้กำลังใจตัวเอง มองว่าเราขาดทุนวันนี้ แต่สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต มันคือกำไร เช่น ความรู้ หรือว่าสิ่งที่เราได้ก้าวเข้ามาในวงการนี้ ได้มาทำต่อในวงการนี้อีกมากมายหลายแขนง มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ที่เราถือว่าเป็นกำไรชีวิตเราตอนนั้นเราประชุมกับทางฝั่งอเมริกาทุกวัน คุณพอลลา ชูการ์ต บอกว่า ทำเวทีเป็นตัวเอ็กซ์ได้ไหม ทีมงานเราก็เลยต้องจัดหาเจ้าใหญ่ ๆ ทั้งหลายมาทำทั้ง แสง สี เสียง ไฟ ทุกอย่างต้องมาประชุมกันเลยว่าต้องมีรูปแบบยังไงบ้าง แล้วเราก็คิดว่าการประกวดนางงามมันมีอะไรสนุก ๆ เยอะ แล้วถ้าเอาความเป็นไทยใส่เข้าไป ตอน Opening ด้วยเสียงกลองสะบัดชัย ที่มาพร้อมกับร้องแร็พ มันเข้ากันที่สุด แล้วก็ได้เห็นภาพเจดีย์ มีภาพโคมลอย มันคือความเป็นไทยที่สนุก หลังจากจบการประกวด วันรุ่งขึ้นสำนักข่าวต่าง ๆ อย่าง ซีเอ็นเอ็นก็ขึ้นให้เราเลยว่า เราเป็น The Best ที่เคยจัดการประกวด Miss Universe มาทั้งหมด แล้วทาง ททท.ก็แจ้งเรามาว่าสถิติคนเข้าประเทศไทยในช่วงนั้นเยอะมาก เรียกว่าประสบความสำเร็จมากเรื่องราวที่เป็นความภูมิใจอีกอันหนึ่ง คือ กินเนสส์บุ๊กติดต่อผ่านกระทรวงวัฒนธรรมมาว่า ขอขึ้นเร็คคอร์ดตอนนั้นว่า อาหารหวานที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดในโลก ก็คือ ข้าวเหนียวมะม่วง เพราะ ตอนนั้นดุสิตธานีจัดของหวานเป็นข้าวเหนียวมะม่วงทุกวัน แล้วนางงามก็รับประทานกันจน ลืมตัวไปเลย แล้วก็โพสต์รูปคู่กับข้าวเหนียวมะม่วง มีแฮชแท็กขึ้นมา ข้าวเหนียวมะม่วงเลยกลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกเลยตั้งแต่จัดการประกวด Miss Universe Thailand มา เรื่องดราม่ามีแน่นอน แต่ทุกคนต้องคิดไว้เลยว่า โลกนี้มีสองอย่างคือ คนรักกับคนเกลียด สมมติว่าวันนี้นางงามคนที่คุณเชียร์ได้ตำแหน่ง คุณก็จะรักแม่ปุ้ยมากเลย แต่ถ้านางงามที่คุณเชียร์พลาด สิ่งที่ตามมาคือ หาว่าเราล็อคมงบ้าง ดีลมงกับคนนั้นคนนี้บ้าง แต่ขอให้มองว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เราอย่าไปเอาพลังลบเข้าตัวเรา ตราบใดที่เราตื่นมายังมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ ลูกได้การศึกษาที่ดี ชีวิตสุขภาพแข็งแรง แค่นี้ก็โอเคแล้ว จากนั้นก็โฟกัสต่อไปว่า การประกวดครั้งหน้าจะทำอะไรอีกแค่นี้พอ”เมื่อแม่ปุ้ย ได้เจอกับ แอนโทเนีย ครั้งแรกปุ้ย ปิยาภรณ์ “เคยเจอกันเมื่อนานแล้ว ตอนนั้นเราไปเป็นกรรมการของผู้บกพร่องทางการได้ยิน แล้วเราก็เห็นเด็กคนนี้มีสัมมาคารวะดี เป็นคนนิ่ง ๆ ดูเป็นนางพญาอยู่แล้ว จนได้มาเจอ แอนโทเนีย ในกองประกวด ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ว่า เธอทำโครงการมานานหรือยัง เค้าก็บอกว่า ทำมา 11 ปีแล้ว ซึ่งเค้าก็ตอบได้จริง ได้รู้ว่าจุดประสงค์ของการทำโครงการคืออะไร หลังจากนั้นเราก็ส่งคนไปสืบเลย เพราะเรามองว่า คนที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนคนไทย มันต้องทำขับเคลื่อนทุกอย่างให้เกิดความดีงามขึ้นในสังคม ซึ่งเราก็ชื่นชมเค้ามากเพราะว่าไปสืบแล้ว ทุกหน่วยงานตอบตรงกันว่าทำมานานแล้ว และทำจริง สิ่งนี้กลายเป็นจุดที่เราประทับใจในตัวของ แอนโทเนีย ตั้งแต่นั้นมา”ยุคที่เปลี่ยนไป กับมุมมองความงามที่เปลี่ยนตามปุ้ย ปิยาภรณ์ “เมื่อก่อนคนเป็นนางงาม ก็ต้องจิตใจดีอยู่แล้ว แล้วการเป็นนางงามที่สวย ก็ต้องสวยจริง ๆ แต่สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนไป ความสวยมันไม่ใช่ตามแบบพิมพ์นิยมแบบสมัยก่อน มันสวยได้หลากหลายในแบบฉบับของแต่ละคน แต่ว่าภารกิจของการเป็นนางงามมันมากกว่านั้น คือคุณจะต้องเป็น Global Citizen และจะต้องทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ให้กับคนอื่น แล้ว แอนโทเนีย ทำงานงานเยอะมาก ทั้งได้เงิน และไม่ได้เงิน อย่างเช่นบางงานที่เกี่ยวกับการศึกษา หรือเกี่ยวกับสาธารณกุศล ไม่ต้องจ้างสักบาทก็ได้ แต่ขอให้มันเกิดประโยชน์เพื่อสิ่งนั้นจริง ๆ เพราะเราก็อยากจะใช้เสียงตรงนี้ ไปช่วยเหลือซัพพอร์ท แล้ว แอนโทเนีย ก็ทำให้ผู้หญิงได้เห็นความสำคัญของการมี Financial Freedom ที่ต้องลุกขึ้นมาสร้างรายได้ให้ตัวเอง เพื่อความสุขของตัวเอง เป็นผู้หญิงมันต้องเข้มแข็ง ต้องลุกขึ้นมายืนได้ด้วยตัวเอง ต้องมีอิสระทางการเงิน”แอนโทเนีย “ก่อนที่แอนจะมาเป็นนางงาม แอนมีแพลนว่าจะเปิด Advertising Agency ของตัวเองเพื่อที่จะมานำเสนอมุมมองของความสวยความงามในสังคม เพราะแอนเห็นว่าในสังคมของไทยเรายังไม่ก้าวไปข้างหน้า ในเรื่องของ Real Size Beauty แล้วก็การยอมรับในตัวตน ของหลาย ๆ คน หลาย ๆ รูปแบบ แอนพยายามพูดกับทุกคนเสมอว่า Be the change you want to see in the world แล้วแอนเห็นว่าในเมื่อมันไม่เกิดขึ้น แล้วทำไมแอนไม่ทำเอง ก็เลยตัดสินใจไปเรียน Advertising PR ที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด เพื่อที่จะมาสร้าง Advertising Agency ให้ตัวเอง แต่พอต้องมาเข้าวงการนางงาม แอนก็เลยนำความรู้มาปรับใช้ แอนเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันต้องเกิดขึ้นกับตัวเราเองก่อน หลายคนอาจจะบอกว่า ชีวิตนี้แค่ได้สามีรวยก็พอแล้ว จริง ๆ แล้ว แอนไม่ชอบประโยคนี้เลย เพราะว่ามันเป็น The easy way out ทำไมเราต้องอาศัยผู้ชายเพื่อที่จะมาทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ทำไมเราไม่เป็นผู้หญิงที่สร้างรายได้ให้ตัวเอง เพื่อที่จะมาสร้างความสุขให้ตัวเอง ทำไมเราต้องให้ผู้ชายมาทำให้เรา ในเมื่อเราอยู่ในยุคของ Strong independent woman เราควรที่จะทำให้ตัวเองเพื่อตัวเอง แล้วก็เป็นตัวอย่างให้คนรอบข้าง แล้วก็ให้คนรุ่นต่อไปเห็นว่า Everything happens if you make it happen”ภารกิจพิชิตมง 3 กับกลยุทธ์ที่ถูกวางไว้อย่างดีปุ้ย ปิยาภรณ์ “คือเราอยากให้คนเข้าถึงนางงามได้ เพราะเมื่อก่อนเราชินกับภาพนางงามที่ต้องเป็นนางงาม 24 ชั่วโมง ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มี แล้วเวลาเดินทางเราจะต้องต่อเครื่องแต่เช้าตรู่ ต้องวิ่งไกลมาก เราก็บอก แอนโทเนีย ว่าไม่ต้องแต่งหน้าหรอก ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้เลยว่าจะมีคนมารอรับ แต่พอถึงก็เห็นว่าทำไมกล้องตั้งเต็มไปหมดเลย เราก็หันกลับไปบอกให้แอนโทเนียเข้ามุมไปทาลิปสติก หลังจากนั้นก็มีดราม่าเลยว่าทำไมไม่แต่งหน้า แต่วันนั้น ทุกคนที่เอลซัลวาดอร์ชมแอนว่า ทำไมดูเด็ก ผิวดีจัง แล้วเค้าก็ชมกันใหญ่เลย แต่พอมาอ่านคอมเมนต์ของคนไทย กลับโดนแซะว่าทำไมไม่แต่งหน้าไม่เตรียมพร้อมเลย”แอนโทเนีย “จริง ๆ แล้วนางงามทุกคนที่แอนได้คุยด้วยในวันเข้ากอง ทุกคนบอกว่า เราชอบเธอมากเลยที่มาแบบไม่แต่งหน้า เพราะว่ามันโชว์ความเรียลของการเป็นนางงาม ที่เราไม่ต้องจัดเต็มตลอดเวลา และความเป็นนางงามของเรามันมาจากใจเราจริง ๆ”ปุ้ย ปิยาภรณ์ “มันเป็นกลยุทธ์ที่วางมาหมดแล้วว่าเราจะไปถึงก่อน เพราะเราคิดว่าท่านประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์จ่ายเงินตั้งหลายร้อยล้านเพื่อจะโปรโมทประเทศของเค้า ก่อนเดินทางเราก็ทำการบ้านตั้งแต่อยู่เมืองไทย ว่าอาหารประจำชาติที่นั่นคือ Pupusa ซึ่ง แอนโทเนีย ก็ฝึกทำตั้งแต่อยู่ที่บ้าน แล้วพอไปถึงเอลซัลวาดอร์ ก็มีร้านที่นั่นชวนไปเราก็ไปทันทีเลย แอนโทเนีย ก็ถ่ายคลิปทำอาหารประจำชาติเอลซัลวาดอร์ แล้วคลิปเหล่านั้นทำให้ประธานาธิบดี และคนในเอลซัลวาดอร์รักแอนโทเนียมาก หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวของเค้า แล้วเราเอากล้องไปด้วย ตัดต่อทำคลิปออกมาสวยมาก ซึ่งทางเจ้าภาพเค้าพอใจมาก”ความรู้สึกของการจับมือลุ้นมง Miss Universe ในรอบ 35 ปีแอนโทเนีย “ณ เวลานั้นเหมือนความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นในหัวพร้อมกัน และเรารอให้เค้าประกาศชื่อประเทศไทยของเรา เพราะว่าความตั้งใจของเราคือมาเพื่อที่จะชนะอยู่แล้ว แอนรู้ว่าทุกคนกรี๊ดอยู่ แต่ว่าเราไม่ได้ยินอะไรเลย เราแค่รอให้เค้าประกาศว่าไทยแลนด์ แล้วเค้าก็ไม่ได้ประกาศชื่อไทยแลนด์ก็ไม่เป็นไร ในเวลานั้นมันก็รู้สึกอกหักนิดนึง แต่เรารู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แล้วถ้าแอนไม่ได้ชนะวันนี้ มันอาจจะไม่ได้เป็นเส้นทางของเราก็ได้ มันอาจจะเป็นการเรียนรู้ที่เราต้องปรับตัวเอง แล้วก็เห็นอะไรที่กว้างกว่าเดิม ซึ่งไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของเรา เรายังมีโอกาสทำอะไรอีกหลายอย่างที่จะเกิดประโยชน์ต่อคนรอบข้าง”ปุ้ย ปิยาภรณ์ “ตอนที่เรานั่งเชียร์กัน พอแอนถูกประกาศเข้ารอบ 5 คน เราใจฟูและมีความสุขมากเลยเพราะว่ากว่า 35 ปีที่เราไม่เห็นภาพนี้เลย ยิ่ง แอนโทเนีย ถูกเลือกไปจับมือ ตอนนั้นภาพ พี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก โผล่ขึ้นมาเลย แล้วใจเรามันนึกถึงคนไทยทั้งประเทศเลย นึกถึงคนที่ชมอยู่ในโรงภาพยนตร์ ชมผ่านมือถือ วันนั้นเป็นวาระแห่งชาติจริง ๆ เราคิดว่าเราทำสำเร็จแล้ว อย่างน้อยเราได้นำพาชื่อเสียงของประเทศไทย พาธงไทยไปโบกสะบัด พอประกาศคนที่ได้ตำแหน่ง Miss Universe ทุกคนก็เดินมากอดเรา แล้วบอกว่า Almost there คำนี้คือมันที่สุดแล้ว และก็ต้องเคารพกติกาสำหรับผู้ที่เค้าชนะ เราต้องรีบแสดงความยินดีกับเค้า”ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนมีเหตุผล และเราต้องเดินต่อปุ้ย ปิยาภรณ์ “ต้องบอกว่า แอนโทเนีย เก่งมาก เพราะหลังจากประกวดเสร็จวันรุ่งขึ้น แอนต้องบินไปปฏิบัติภาระกิจที่เม็กซิโก ซึ่งเค้าก็ร้องไห้ทำใจอยู่ในห้องแค่แป๊บเดียวเท่านั้น แล้ว แอนก็สตรองพร้อมที่จะเก็บของเพราะวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทาง แล้วก็ไม่มีอิดออดเลย นี่คือสปิริตที่ดีมาก”แอนโทเนีย “แอนเห็นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามันเกิดขึ้นด้วยเหตุผล แล้วมันจะสร้างโอกาสให้เราทำอะไรต่อไปอีก แล้วถ้าเรามัวแต่นั่งอยู่กับตัวเอง แล้วก็บอกว่าทำไมมันไม่เกิดขึ้นแบบนี้ ทำไมมันไม่ไปแบบนั้น เราเสียเวลาสำหรับตัวเองที่จะสร้างความสุขให้ตัวเอง แล้วเราจะไม่มองในมุมมองที่บวก จนไม่มีความรู้สึกอยากจะทำอะไรต่อ ซึ่งแอนเสียใจและมีสิทธิ์ที่จะเสียใจ เพราะว่าเราทำทุกอย่างที่เราจะทำได้แล้ว เราเหนื่อยมามาก ในเวลานั้นแอนก็ร้องไห้แบบร้องทุกอย่างออกมาเลย แล้วก็บอกตัวเองว่า พอแล้ว ไปต่อได้แล้ว”ปุ้ย ปิยาภรณ์ “แอนซ้อมหนักมาก แล้วตอนที่ต้องตอบคำถาม เราไม่รู้ว่าคำถามจะเป็นอะไร แต่คุณต้องมีเรื่อง Global Issues ในสมองเยอะที่สุด แต่ด้วยความที่แอนเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เป็นคนชอบเรียนรู้ ความรู้รอบตัวดี อันนี้มันก็ช่วยได้เยอะ กับการซ้อม ไม่ว่าอะไรที่มันเป็นจุดอ่อนของเค้า แอนก็พยายามซ้อม อาจจะมีบางวันที่ท้อ แต่เค้าก็ดีดตัวขึ้นมาอีกได้ มันต้องทำทุกอย่าง ออกกำลังก็ต้องหนัก ซ้อมก็ต้องซ้อม เวลานอนก็น้อย หน้าผมต้องแต่งเอง เราอย่ามาคาดหวังว่าจะมีพี่เลี้ยงเราต้องช่วยตัวเองหมด แล้วอาจจะต้องช่วยเพื่อน ๆ ด้วย ซึ่งแอนก็ทำได้ดีตรงนี้ แล้วก็กำลังใจห้ามตก เราบอกแอนเลยว่า ไม่ต้องคิดมาก ทำไปเลยให้เต็มที่ แล้วแอนก็พยายามเป็น Soft Power ให้กับประเทศไทยมากเลย”อย่าลืมตัวตนของตัวเอง และสิ่งเล็กๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้แอนโทเนีย : “แอนพูดมาตั้งแต่ก่อนเข้าประกวดว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามีเหตุผล เราอาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ว่าขอให้เราตั้งใจแล้วก็ตามความฝันของเรา แล้วการที่เรามีความฝันมากกว่าแค่อันเดียว อันนี้คือโอเคมาก เราไม่ต้องจัดเป้าหมายให้เราแค่ไปถึงจุดนี้ แล้วก็ไม่มีอะไรต่อจากนั้น เพราะว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยู่รอบข้างเราที่สร้างความสุขให้เราได้ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามันเกิดขึ้นเร็วมาก ภายใต้ความรวดเร็วของโซเชียล แล้วเราลืมตัวตนของตัวเองเพราะว่าเราอยากเป็นเหมือนคนอื่น อยากให้ทุกคนจำไว้ว่า Authenticity ของตัวเองคืออะไร แล้วสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต อย่างเช่น การกุศลหรือว่าการช่วยหลือสังคม ช่วยเหลือคนรอบข้างแล้วสร้างรอยยิ้มให้เค้าในวิธีที่เล็ก ๆ มันยังมีผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้คนอื่น”ปุ้ย ปิยาภรณ์ “นี่คือสิ่งที่แม่ปุ้ยชอบ แอนบอกตั้งแต่แรกเรื่อง Little steps ว่าบางคนคิดแต่จะทำเรื่องราวใหญ่ ๆ แล้วมันใช้แรงเยอะมาก จนในที่สุดมันไม่ได้ทำ แต่หากเราเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ มันจะขยายวงออกไป จากก้าวเล็ก ๆ มันจะก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ที่ยั่งยืนได้”แอนโทเนีย “ถ้าถามว่ามีฝันอะไรอีกไหมที่อยากทำ ณ ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ เพราะว่าแอนชอบโฟกัสในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลานั้น อย่าลืมที่จะเห็นคุณค่าของความสุข ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน ตอนนี้ที่แอนยังไม่อยากบอกว่ามีความฝันอีกอันหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้แอนกำลังอยู่ในความฝันในการเป็นนางงามอยู่ แอนได้รับโอกาสเยอะมาก ที่แอนยินดีที่จะทำ ได้รู้จักคนจากหลายประเทศ จากหลายมุมมอง ได้ทำพรีเซ็นเตอร์ ถ่ายแบบ ได้ทำโฆษณา ได้เป็นนักพูด ได้เป็นพิธีกร ได้ทำหลายอย่างที่แอนไม่เคยคิดว่าแอนจะทำ”ปุ้ย ปิยาภรณ์ “ได้เป็นนางสงกรานต์คนแรกด้วยนะ เพราะกระทรวงวัฒนธรรมแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ให้ แอนโทเนีย เป็นนางสงกรานต์ในปี 2567 นี้ เป็นนางมโหธรเทวีของปีนี้”ต้องสวยก่อน ถึงจะสำเร็จ จริงไหม?แอนโทเนีย “แอนคิดว่า ความคิดนี้เป็น Easy way out ของการไม่อยากยอมรับในความจริงในชีวิต ในเรื่องการด้อยคุณค่าของตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองไม่สวยเท่ากับคนอื่น แอนก็จะบอกเสมอว่า ความสวยความงามมันมาจากภายใน มีบางคนที่หน้าตาสวยมาก ๆ แต่ตอนพูดกับเค้า กลับรู้สึกว่าเค้าไม่มีความน่ารัก เค้าไม่มีเสน่ห์ เค้าพูดจาไม่เพราะ แล้วความสวยเค้าก็จะน้อยลง มันไม่ควรมีมาตรฐานความสวย เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ความสวยมันมาจาก Authenticity ของแต่ละคน”ปุ้ย ปิยาภรณ์ “คำว่า Beauty privileges มันมีก็จริง แต่ว่าบางทีมันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป หลายครั้งที่คนสวย พอคนอยู่ใกล้ ๆ ไปนาน ๆ แล้วรู้สึกว่าความสวยเค้าลดลง แต่อีกคนที่เค้าบอกตัวเองว่าไม่สวย แต่ จริง ๆ เค้ามีเสน่ห์ คิดว่าความสวย อย่าไปนิยามว่าต้องเป็นแบบนั้นสิ แบบนี้สิถึงเรียกว่าสวย”แรงบันดาลใจจาก ปุ้ย ปิยาภรณ์ และ แอนโทเนีย โพซิ้วปุ้ย ปิยาภรณ์ “ทุกอย่างในโลกนี้ พี่ปุ้ยคิดว่าไม่มีคำว่าสุด มันก็จะมีการพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ มันอยู่ที่ตัวเราว่า ตื่นมาทุกวันเราต้องดูว่าวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปยังไง มีเทรนด์อะไรเกิดขึ้น แล้วก็ปรับตัวเราเนี่ยให้เข้ากับโลก เราก็ไม่รู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าวงการนางงามจะเป็นยังไง แต่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แน่นอน”แอนโทเนีย “เวลาที่หนูท้อ ส่วนมากหนูจะบอกตัวเองว่า จำที่เราโดนมา ทุกอย่างตอนที่เราล้ม ตอนที่เราไม่มีใคร ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราโดนมาขนาดไหน แล้วเราจะยอมแพ้ตอนนี้เหรอ แล้วแอนเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ยิ่งกับตัวเองยิ่งไม่ยอม กว่าจะมาถึงจุดนี้เพราะเรามีตัวเอง เราต้องรักตัวเอง แล้วต้องเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันไม่ได้มาง่าย ๆ”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1