ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี

News Updates

GREEN MORNING SHOW

GREEN MORNING SHOW 17 ก.ค. 67

18 ก.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 17 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 16 ก.ค. 67

16 ก.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 16 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 15 ก.ค. 67

15 ก.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 15 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 12 ก.ค. 67

15 ก.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 12 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 11 ก.ค. 67

15 ก.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 11 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 10 ก.ค. 67

15 ก.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 10 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

CLUB FRIDAY

เพื่อนเป็นหมอ

รู้ทันก่อนเป็น #โรคความดันสูงงง ️| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 พ.ค. 2024

รู้ทันก่อนเป็น #โรคความดันสูงงง ️| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

รู้ทันก่อน #ความดันสูง ️ ก่อนจะถึงวันความดันโลหิตโลก หมอเพื่อนกับดีเจเฟี๊ยต ขอพาทุกคนไปเช็กอาการ และตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกัน #โรคความดันสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอันตรายด้วยกัน ใครที่เคยร้อนจนเหมือนจะเป็นลม หรือไม่แน่ใจว่ากำลังเข้าข่ายโรคความดันรึป่าว มาเช็กกันได้ที่ เพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ กับหมอเพื่อนและดีเจเฟี๊ยต บอกเลยว่าความรู้อัดแน่นตามสไตล์เพื่อนเป็นหมอเหมือนเดิม #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเฟี๊ยต #วันความดันสูงโลก #โรคความดัน #สุขภาพ #ความดัน

ส่องไอเดียซื้อของขวัญ ให้คนที่บ้าน ซื้อฝากได้ตั้งแต่เด็ก - ผู้สูงอายุ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 พ.ค. 2024

ส่องไอเดียซื้อของขวัญ ให้คนที่บ้าน ซื้อฝากได้ตั้งแต่เด็ก - ผู้สูงอายุ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ใครกำลังหาซื้อของขวัญให้กับที่บ้านมาดูเพื่อนเป็นหมอ EP.นี้กัน ได้ของถูกใจแบบดีต่อสุขภาพด้วยแน่นอน! #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจพียู #ไอเดียเลือกของขวัญ #สุขภาพ #ความดัน

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

18 มี.ค. 2024

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ลุกก็โอยยยย นั่งก็โอยยยยย อาการแบบนี้มันใช่ออฟฟิศโดรมอย่างเดียวจริงหรอ ? แล้วอาการปวดหลัง เป็นเพราะเราอายุเยอะจริงไหม ? มาฟังคำตอบจากหมอเพื่อน พร้อมผู้ช่วยจาก The Selection กันได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเป้ #เวลลี่ #ออฟฟิศซินโดรม #มนุษย์ออฟฟิศ #คนทำงาน #TheSelection #เลือกที่ใช่ให้สุขภาพ

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

19 ก.พ. 2024

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ช็อกโกแลต กินแล้ว FAT ใคร ๆ ก็รู้ แต่มันยังมีแฝงความเสี่ยงในโรคอื่น ๆ ที่คิดไม่ถึงอยู่อีกด้วย แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคุณหมอไม่ได้ฝากไว้แค่อันตรายของช็อกโกแลต แต่ยังฝากถึงข้อดีไว้ด้วยเหมือนกัน แต่จะกินแค่ไหนถึงเสี่ยง หรือต้องกินเท่าไหร่ถึงดี ตามไปหาคำตอบกันใน EP.นี้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจดาด้า #หมอเพื่อน #วาเลนไทน์ #ช็อกโกแลต #เบาหวาน #สุขภาพ

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

07 ก.พ. 2024

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

เปิดปีแบบสุขภาพดี เพราะดีเจเป้ชวนหมอไปออกกำลังกาย แต่ EP.นี้พิเศษ ไม่ได้มีแค่หมอกับดีเจเป้แต่ยังมีต๊อก สุทินาถด้วยยย โอ้โห้ สนุกแน่ ๆ ไม่รู้ว่าหมอจะได้ออกกำลังกาย คุยเรื่องสุขภาพ หรือ ต้องเป็นกรรมการห้ามคู่นี่กันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คุณหมอเพื่อนจะมาฝากเคล็ดลับสุขภาพดีแบบครบสูตร ให้พร้อมลุยกับปี 2024 อย่างแน่นอน !! ใครที่ปีนี้มีเป้าหมายสุขภาพดีติดตามได้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจเป้ #หมอเพื่อน #ต๊อกสุทินาถ #สุขภาพ #ตรวจสุขภาพ #ออกกำลังกาย

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

31 ม.ค. 2024

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

เป็นไหม? กิน Probiotic เหมือนเพื่อน แต่ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เป็นไหม? กิน Probiotic แล้วแต่ยังรู้สึกสมดุลลำไส้ไม่ดี นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า เราต้องการ Probiotic ที่แตกต่างกันไงหละ

HEALTHY LIFESTYLE

3 โรคเสี่ยง หากจ้องคอมนาน

05 ก.ค. 2024

3 โรคเสี่ยง หากจ้องคอมนาน

ในยุคดิจิทัลที่เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การใช้เวลาไปกับหน้าจอมากจนเกินไปอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพที่ไม่คาดคิด วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่ามีโรคอะไรบ้างที่เกิดจากการจ้องจอคอมนาน ๆโรค CVS หรือคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) โรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS คือกลุ่มของอาการทางตาและการมองเห็น ที่มีผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเลต หรือโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงพฤติกรรมการมองจอคอมพิวเตอร์ที่ใกล้จนเกินไป เกิดได้ทั้งเด็กแหละผู้ใหญ่อาการของโรค·รู้สึกแสบตา ไม่สบายตา มีอาการระคายเคืองตา เจ็บตา·ตาพร่าจากการจ้องมองที่ไม่ค่อยกระพริบตา·มีอาการตาแห้ง ซึ่งเป็นอาการเพียงชั่วคราวการป้องกัน·พักสายตา เช่น หลับตาทุก 10 นาทีต่อการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง หรือพักทุก 15 นาทีต่อการทำงานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง เป็นต้น·ควรจัดสถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงสว่างพอเหมาะ เพื่อช่วยให้สบายตา·ควรใช้แผ่นกรองแสงเพื่อลดแสงจ้าและแสงสะท้อน จะช่วยลดความล้าของสายตาลงได้โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndorme)ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนทำให้เกิดความผิดปกติของระบบในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบกระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือดวงตา ที่ต้องรับบทหนักขณะทำกิจกรรมเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานหรือนักเรียนนักศึกษาที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานกันมากขึ้นอาการของโรค· อาการบาดเจ็บเริ่มต้นเริ่มต้นจากอาการเมื่อยที่เมื่อเราพักผ่อน นวด ยืดเหยียดในบริเวณดังกล่าว หรือเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ก็จะหายหรือทุเลาลงได้·อาการบาดเจ็บซ้ำ ๆทุกครั้งที่อาการปวดเมื่อยเริ่มเป็นซ้ำ ๆ ระหว่างทำงาน นี่คือสัญญาณเตือนภัยว่าออฟฟิศซินโดรมกำลังเป็นอันตราย ในระยะนี้ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาอาการบาดเจ็บแต่เนิ่น ๆ·อาการเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นแม้ในเวลาไม่ได้ทำงานเมื่ออาการเจ็บปวดบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายเพิ่มมากขึ้น แม้ตอนที่ไม่ได้ทำงานก็ยังเจ็บ และแม้จะลองพัก ลองยืดเหยียดอย่างไรก็ไม่หาย ลามไปถึงกระทบกระเทือนต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน นี่คือระดับอาการที่ควรพบแพทย์โดยด่วนการป้องกัน·ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง·หยุดพักการทำงานทุกหนึ่งชั่วโมงเพื่อยืดคลายกล้ามเนื้อด้วยการลุกเดิน หรือเปลี่ยนท่าทาง·กายบริหารด้วยอุปกรณ์ใกล้ตัวโรคกระดูกต้นคอเสื่อม (Cervical Spondylosis)โรคกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นภาวะที่ส่วนประกอบของกระดูกต้นคอเสื่อมลง ทั้งจากอายุที่เพิ่มขึ้นและจากการใช้คอในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องเป็นประจำ ซึ่งเมื่อกระดูกต้นคอเสื่อมก็จะส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาทต่าง ๆ ในร่างกาย การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กระดูกคอเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติอีกด้วยอาการของโรค·มีอาการคอติด หันซ้าย-ขวาไม่สะดวก เหมือนมีอะไรยึดรั้งไว้·ปวดตึงต้นคอ เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง·ปวดร้าวตามแนวเส้นประสาท ตั้งแต่หัวไหล่และบ่า·ปวดร้าวบริเวณข้อศอกด้านข้าง ปวดร้าวไปถึงปลายนิ้วมือ·มีอาการชาตามแขน ขา มือ และเท้า·มีอาการอ่อนแรงจนเคลื่อนไหวไม่สะดวกการป้องกัน·ปรับเก้าอี้และโต๊ะทำงานให้เหมาะสมกับร่างกาย·หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานนานๆ โดยไม่ขยับร่างกาย·การออกกำลังกายเฉพาะส่วนคอและหลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและนี่ก็คือ 3 โรคเสี่ยงหากคุณจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจนเกินไป การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคปัจจุบัน แต่หากเรามีการดูแลสุขภาพร่างกายให้เหมาะสมจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้ได้อย่างมากทีเดียว เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยนั้น สามารถสร้างผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวให้กับตัวเราได้นั้นเองที่มา :https://www.phyathai.com/th/article/3743-computer_vision_syndrome_%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%AD_%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8https://kdmshospital.com/article/office-syndorme/https://www.phyathai.com/th/article/symptoms-of-cervical-spondylosis

‘เสียงในหัวตอนอ่านหนังสือ’ มีที่มา…ใครกันนะที่พูดกับเรา?

03 ก.ค. 2024

‘เสียงในหัวตอนอ่านหนังสือ’ มีที่มา…ใครกันนะที่พูดกับเรา?

‘ถ้าเสียงที่พูดอยู่ในหัวคือตัวเราเอง แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนฟัง ?’เป็นคำถามเชาว์ปัญญาที่ชวนให้ขบคิดอยู่ไม่น้อย กับการที่ใครหลายคนบนโลกนี้สามารถอ่านออกเสียงในใจได้ และแน่นอนว่าในตอนที่เรากำลังอ่านบทความนี้อยู่ เสียงในหัวก็อาจกำลังทำหน้าที่ของมันเช่นกัน‘Subvocalization’ หรือ การอ่านออกเสียงในใจ เป็นมากกว่า ‘การคิด’ แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ตา ริมฝีปาก ลําคอ ลิ้น เส้นเสียง กล่องเสียง และขากรรไกร เชื่อหรือไม่ว่าในตอนที่เรากำลังอ่านออกเสียง ‘ในใจ’ ตัวเราเองก็ยังคงเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ คล้ายกับตอนที่เปล่งเสียงพูดอย่างไม่รู้ตัวในปี 2004 นักวิทยาศาสตร์จากนาซ่า ได้มีการทดลองติดเซ็นเซอร์ขนาดเล็กไว้ที่อวัยวะต่างๆของอาสาสมัคร เช่น บริเวณใต้คางและลูกกระเดือก พบว่า สมองของอาสาสมัครมีการตอบสนองราวกับว่ากำลังพูดอยู่จริงๆ ถึงแม้จะไม่มีการเปล่งเสียงออกมาเลยก็ตาม โดยการอ่านออกเสียงในใจสามารกระตุ้นสมองส่วน Broca ที่มีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้ภาษาทุกรูปแบบให้ทำงานได้การอ่านออกเสียงในใจ คือส่วนหนึ่งในพัฒนาการของเด็กเบธ ไมซิงเกอร์ และ โรเจอร์ เจ. ครอยซ์ รองศาสตราจารย์และอาจารย์สาขาจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเม็มฟิส กล่าวไว้ว่า ในตอนเด็กเรามักจะเริ่มอ่านหนังสือด้วย ‘การออกเสียง’ เพราะการฟังเสียงของตัวเองสามารถช่วยให้เราทำความเข้าใจข้อความได้ง่ายมากขึ้น เมื่อโตขึ้นมาหน่อย เราอาจเปลี่ยนเป็น ‘การอ่านพึมพํา’ กระซิบ หรือขยับริมฝีปาก แต่พฤติกรรมนี้จะจางหายไปในตอนที่ทักษะด้านการอ่านพัฒนาขึ้น เราจะสามารถอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ‘ในหัวของตัวเอง’ ได้ และในตอนนั้นเอง คือตอนที่เสียงภายในหัวเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการพัฒนาทักษะการอ่าน ที่เด็กๆจะสามารถทำได้ดีในชั้นประถมสี่หรือห้า โดยการเปลี่ยนจากการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านในใจนั้น คล้ายกับวิธีที่เด็กพัฒนาทักษะการคิดและการพูดนั่นเองทั้งนี้ เลฟ วีโกสกีนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย ได้นิยามพฤติกรรมนี้ว่า ‘การสนทนาส่วนตัว’ เขากล่าวว่าไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่มีพฤติกรรมนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่ที่กำลังประกอบเครื่องดูดฝุ่นอันใหม่ บางทีเราอาจได้ยินพวกเขาพึมพํากับตัวเอง ในตอนที่กำลังทําความเข้าใจคําแนะนําในคู่มือดังนั้นเมื่อเด็กๆ กลายเป็นนักคิดที่ดีขึ้น พวกเขาจึงเปลี่ยนไปพูดในหัวแทนที่จะพูดออกมาดังๆ เมื่อเราเป็นนักอ่านที่ดีแล้ว การอ่านออกเสียงในใจจะง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังอาจช่วยให้อ่านได้เร็วขึ้นเพราะไม่จําเป็นต้องพูดออกมา และมีความยืดหยุ่นมากกว่า ช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่สําคัญที่สุดได้นั่นเองแล้วเสียงในหัวของเรา คือเสียงของใคร?การได้ยินเสียงตัวเองในหัวนั้นเป็นเรื่องปกติ งานศึกษา Characteristics of inner reading voices โดย Ruvanee P. Vilhauer พบว่าผู้คน4 ใน 5 บอกว่าพวกเขามักจะได้ยินเสียงในหัวตอนอ่านหนังสือในใจ นอกจากนี้เสียงในหัวยังมีหลายประเภทอีกด้วยซึ่งอาจเป็นเสียงพูดปกติของตัวเราเอง หรืออาจเป็นโทนเสียงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงการศึกษาผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ พบว่าเสียงที่ได้ยินในหัวอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเรากําลังอ่าน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตัวละครในหนังสือกำลังพูดบางอย่างอยู่ เราอาจได้ยินเสียงของตัวละครนั้นในหัวดังนั้นอย่ากังวลไป ถ้าได้ยินเสียงมากมายในหัวตอนที่กำลังดําดิ่งลงไปในหนังสือ มันอาจหมายความได้ว่า คุณกลายเป็นนักอ่านออกเสียงในใจที่มีทักษะแล้ว

9 วิธี ทำแล้วสุขภาพดีขึ้นแน่นอน

01 ก.ค. 2024

9 วิธี ทำแล้วสุขภาพดีขึ้นแน่นอน

1.หัดเดินถอยหลังจะทำให้สันหลังงอไปด้านหลัง ช่วยลดการปวดเอว แก้อาการปวดหลังได้ดี เพราะการเดินถอยหลังเราจะงอสันหลังไปทางด้านหลัง มีแรงโน้มถ่วงไปทางด้านหลัง จะทำให้ไม่ปวดหลังค่ะ2.ยกส้นเท้า 30 ครั้ง ค้างไว้ช่วยบำรุงไตและแก้ปวดเข่า จุดไตจุดแรก คือจุดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า จุดแรกของไตนั้นบำรุงไตดีที่สุด นอกจากเราจะนวดแล้ว เรายังสามารถยกส้นเท้าค้างเอาไว้ เพื่อช่วยบำรุงไตถ้าหากกล้ามเนื้อแถวนั้นแข็งแรง ก็ช่วยลดอาการปวดเข่าปวดข้อได้อีกด้วย จะยืนทำ หรือนั่งทำก็ได้นะคะ ไม่มีได้ข้อห้ามอะไรค่ะ3.ตื่นเช้าดื่มน้ำอุ่น 1 - 2 แก้วเพื่อช่วยเพิ่มการทำงานของเมทาบอลิซึมและช่วยล้างสิ่งสกปรกในร่างกาย การที่ดื่มน้ำหลังตื่นนอน จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้ร่างกาย ช่วยลดความอ้วน และล้างสิ่งสกปรก ลดความเป็นกรดในร่างกายได้อีกด้วย และยังช่วยให้การทำงานของไตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ4.ทานเนื้อน้อย ทานผักมากเพื่อป้องกันโรคไขมันอุดตันและลดความเป็นกรดในร่างกาย การที่ทานเนื้อสัตว์น้อยๆ ทานผักเยอะๆ จะช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันหลอดเลือด ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดหัวใจ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ยังป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ และลดความเป็นกรดในเลือดอีกด้วยค่ะ5.แช่เท้าก่อนนอน 20 นาทีจะช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยให้หลับได้ดีขึ้น และนวดฝ่าเท้าเบาๆ จะช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ช่วยบำรุงไตได้อีกด้วย เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมประสาท และเป็นจุดของไตค่ะ6.นั่งให้ตัวตรง น่องตั้งฉากลดอาการปวดหลังได้ค่ะ การนั่งที่ดี ต้องนั่งตัวตรง อกผาย ไหล่พึงอาจจะเมื่อยนิดนึง แต่ถ้าชินแล้ว จะทำให้อาการปวดหลังที่มาจากการนั่งตัวไม่ตรงจะดีขึ้น แนะนำให้เอาหมอนมาลองหลังด้วยนะคะ เพราะป้องกันอาการปวดหลังได้อีกทางค่ะ7.ดื่มน้ำขิงทุกเช้าเพื่อป้องกันโรคหวัดและภูมิแพ้ การทานขิงไม่ว่าจะเป็นน้ำขิงตอนเช้า หรือไก่ผัดขิง เมนูขิงต่างๆ ขิงในแพทย์แผนจีน ช่วยไล่ลม ขับความเย็น ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหมาะสำหรับคนที่ขี้หนาว ท้องอืดบ่อยๆ8.ทำสมาธิหลังตื่นนอน และก่อนนอนจะช่วยให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ลดอาการเวียนศีรษะและความดันต่ำ ให้เรากำหนดลมหายใจ สักพักเราก็หลับไปเอง การที่เราฝัน ในแพทย์แผนจีนเรียกว่า พลังหยางไม่เข้าในอิน ฟังแล้วอาจจะไม่เข้าใจ พลังหัวใจกับตับและไตทำงานไม่ปกตินั้นเองค่ะ อาจจะมาจากหัวใจที่ร้อน ตับที่ร้อน หรือพลังไตส่งไม่ถึงหัวใจและพลังหัวใจส่งไม่ถึงไต จะทำให้เราฝันร้ายง่าย9.ใช้น้ำอุ่นสลับน้ำเย็นล้างหน้าช่วยป้องกันหวัด และช่วยกระชับรูขุมขน การที่เราใช้น้ำอุ่นล้างหน้าก่อนและตามด้วยน้ำเย็นจะช่วยให้หน้าไม่มัน ไม่มีสิว รูขุมขนเปิดกว้างก่อน น้ำอุ่นล้างฝุ่นละอองที่ติดข้างในออก ค่อยตามด้วยน้ำเย็นเพื่อมากระชับรูขุมขน และการล้างแบบนี้ช่วยให้เรามีภูมิต่อปัจจัยภายนอกที่ทำให้ก่อโรค เช่น ลมร้อน และลมเย็น หน้าเป็นส่วนแรกที่เจอกับปัจจัยเหล่านี้ เพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวจะทำให้เราไม่สบายง่าย ถ้าเรารับกับความเย็นความร้อนได้ เราจะมีภูมิไม่เป็นหวัดง่ายค่ะ9 วิธีง่ายๆ ทำตามได้ไม่ยาก คุณผู้ฟังลองเอาไปทำตามดูนะคะ เราจะสุขภาพดีไปด้วยกันค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

รู้หรือไม่ กินผิด ปวดกระเพาะ

07 พ.ค. 2024

รู้หรือไม่ กินผิด ปวดกระเพาะ

กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่เชื่อมกับปากของเรา และเป็นส่วนกลางระหว่างปากกับก้น จึงมีความสำคัญมากกับระบบย่อยอาหาร การรับประทานอาหารเข้าไป แบบเดิมๆ อาจจะทำให้กระเพาะอาหารของคุณมีปัญหาได้ มาดูกันว่าอะไรบ้างที่ทำให้กระเพาะของคุณมีปัญหาค่ะ1.ทานอาหารเร็วเกินไปการรับประทานอาหารนั้นควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยกลืน อย่างน้อยควรเคี้ยว 20 ครั้งนะคะ2.ทานอาหารไม่ตรงเวลาเมื่อทานอาหารเข้าไปถุงน้ำดีจะหลั่งน้ำดีเผื่อที่จะมาย่อยอาหารที่เรารับประทาน เวลาหิวน้ำดีก็จะหลั่งออกมาเหมือนกัน แต่เมื่อเราทานไม่ตรงเวลาน้ำดีจะหลั่งออกตามเวลา แต่พอไม่มีอาหารย่อย น้ำดีจะค่อยๆกัดกระเพาะ ทำให้กระเพาะเป็นแผลค่ะ3.เดี๋ยวกินอาหารที่ร้อน เดี๋ยวกินอาหารที่เย็นสลับกันไปกระเพาะอาหารปรับสภาพไม่ทัน ทำให้ปวดท้องได้ง่าย4.ทานขัาวแล้วดื่มน้ำตามทำให้การย่อยของกระเพาะอาหารทำได้ยากขึ้น ควรดื่มน้ำหลังอาหาร 30 นาทีนะคะ5.ชอบทานอาหารที่เผ็ดร้อนความเผ็ดร้อนจะไปกระตุ้นกระเพาะอาหารทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้ค่ะ6.ทานอาหารเวลากลางคืนกระเพาะอาหารทำงานหนักกว่าปกติ แทนที่จะได้พักผ่อน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วนด้วยนะคะรู้แบบนี้แล้วเราควรปฏิบัติตัวให้ถูกสุขอนามัยนะคะ เพื่อป้องกันรักษาไม่ให้กระเพาะอาหารของเราทำงานหนัก เพราะปกติเขาก็ทำงานหนักอยู่แล้วน๊า ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

Fit check เลือกสูทแบบไหนคือ ใช่ สำหรับคุณผู้ชาย

03 พ.ค. 2024

Fit check เลือกสูทแบบไหนคือ ใช่ สำหรับคุณผู้ชาย

SUITSสูท หรือ ชุดสูท หากเรานึกถึงคำนี้กันแล้ว หลายคนอาจคิดถึงเสื้อผ้าที่มีดีไซต์ที่เอกลักษณ์เฉพาะตัว มักสวมใส่ ใช้กันในการทำงาน หรือวันสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะในงานรื่นเริงอย่าง งานแต่ง หรือจะจริงจังอย่าง งานพิธี ผู้คนก็มักสวมใส่ชุดสูทกันอยู่เสมอ ๆ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าทำไม ต้อง “ชุดสูท”Suit (สูท) คือเครื่องแต่งกายแบบที่หลากสไตล์ สากล ที่ต้องประกอบไปด้วย Suit Jacket (แจ๊คเก็ตสูท) ใส่คู่กับ Suit Trousers (กางเกงสูทขายาว) โดยใช้เนื้อผ้าและโทนสีที่เหมือนกันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือพูดกันง่ายๆว่า สูท คือ ชุดที่ตัดมาจากผ้าผืนเดียวกันนั้นเอง ประวัติศาสตร์ของสูทนั้นมีมานานตั้งแต่สมัยตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เลยทีเดียว ในยุคสมัยนั้น สูท เป็นดั่งตัวแทนความมีอารยะ ความหรูหราฟู่ฟ่า และเสริมความสง่างาม ให้ผู้สวมใส่มี บุคลิกภาพที่ดี ดูภูมิฐานทางปัญญาด้วยความเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่แปลกเลยที่ สูท จะกลายเป็นเครื่องแต่งกายยอดนิยมตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนถึงยุคสมัยปัจจุบันเราจะมาแนะนำกับรูปแบบ สูท ยอดฮิต มีอะไรกันบ้าง และเหมาะกับใครSingle-Vent หรือ สูท แบบกระดุม แถวเดียว เหมาะกับทุกรูปร่าง มีแบบ 1 / 2 / 3 กระดุม1 กระดุมเอกลักษณ์ แฟชั่นสูทแนวแคชชวล สมัยใหม่ ใส่สบาย เหมาะสำหรับผู้ชายรูปร่างเล็ก ใส่แล้วดูหุ่นดี เน้นรัดช่วงเอวให้ดูเข้ารูปเข้าทรงมากขึ้น ช่วยให้ดูหุ่นเพรียวขึ้นข้อแนะนำ สามารถเลือกติดหรือไม่ติดกระดุมก็ได้ หากอยู่ในงานทางการควรติดกระดุมตลอดเวลา ปลดกระดุมเมื่อต้องการนั่ง2 กระดุมเอกลักษณ์ แฟชั่นสูทสุภาพ ทางการระดับสุด มาตรฐานสูทสากลนิยมใช้ในปัจุบัน เหมาะสำหรับผู้ชายทุกรูปร่าง / รูปร่างใหญ่ข้อแนะนำ เมื่อติดกระดุมให้ติดเม็ดบนสุดเม็ดเดียวเท่านั้น ปลดกระดุมเมื่อต้องการนั่ง3 กระดุมเอกลักษณ์ ลุคทางการ สูทสไตล์วินเทจย้อนยุค สูทสไตล์คลาสสิค เหมาะสำหรับ ผู้ชายสูงช่วงตัวยาว ช่วยบาลานซ์ส่วนสูงได้ดี ใส่แล้วช่วยเพิ่มความโดดเด่น เพิ่มแฟชั่นให้ดูมีมิติข้อแนะนำ หากติดกระดุม ให้เลือกติด สองเม็ดบน หรือติดแค่เม็ดกลางอย่างเดียว เท่านั้นปลดกระดุมเมื่อต้องการนั่งเสมอDouble-Vent หรือ สูท แบบกระดุม สองแถว เหมาะกับรูปร่างสมส่วนและ รูปร่างใหญ่ มักมี 4 / 6 / 8 กระดุม4 กระดุมเอกลักษณ์ สไตล์ที่ให้ความวินเทจสูง สามารถออกงานทางการ หรือลำลอง ใส่คู่กับกางเกงชิโน่ หรือกางเกงยีนส์เพื่อให้ดูลำลองมากขึ้น เหมาะกับผู้ชายรูปร่างสมส่วน / รูปร่างใหญ่ ช่วยปกปิดช่วงลำตัวทำให้ดูสูงโปร่งขึ้นได้ข้อแนะนำ เลือกติดกระดุมเพียง สองเม็ดแถบบนสุด ไม่นิยมติดกระดุมเม็ดล่าง ไม่ต้องปลดกระดุมเมื่อนั่ง เพราะออกแบบช่วงตัวให้กว้างกว่าแบบมาฐาน6 กระดุมเอกลักษณ์ สไตล์ที่ให้ความวินเทจ คลาสสิก โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ออกแบบช่วง อก กว้าง และมีความยาวสูท มากกว่าแบบมารฐานข้อแนะนำ เลือกติดกระดุมเพียง สองเม็ดแถบบนสุด และเม็ดซ่อนไม่นิยมติดกระดุมเม็ดล่าง ไม่นิยมปลดกระดุมเมื่อนั่ง เพราะออกแบบช่วงตัวกว้างกว่าแบบมาฐานCredits :https://www.dgrie.com/blog/double-breasted-single-brested-suit/https://www.dgrie.com/blog/big-size-suit-guide/https://www.suitcube.com/double-breasted-suit/https://www.dgrie.com/blog/how-to-pick-buttons-for-a-suit/https://www.kaidee.com/blog/how-to-choose-suit/Author : MIK_MIKAZUKI

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

28 เม.ย. 2024

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

วันนี้เราจะมาพูดถึงทฤษฎีนึงที่ที่หลายคนอาจจะรู้จักนั่นก็คือ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)ต้องขอถามก่อนว่าทุกคนเคยจำความฝันตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ?เราขอเดาว่ามันอาจจะมีส่วนใหญ่ก็อาจจะพอจำได้แต่คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือบางคนอาจจะจำไม่ได้เลย แต่ทุกคนรู้ไหมว่ามีผู้คนบางกลุ่มที่สามารถรู้ว่าตัวเองกำลังฝันหรือควบคุมตัวเองในความฝัน และเมื่อตื่นมาพวกเขาก็สามารถเล่าความฝันของตัวเองเกือบทั้งหมดและนั่นก็คือการฝันแบบ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)ลูซิดดรีม (Lucid Dream) ความฝันที่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่และลูซิดดรีมก็ยังสามารถช่วยเราพัฒนาความคิดสร้างด้วยเพราะสามารถ ควบคุมหรือกำหนดเรื่องราวที่เราจะฝันได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงภาวะหลับลึกก็คือช่วง REM (Rapid eyes movement) และมักจะไม่ได้รู้ตัวตั้งแต่ต้น แต่จะมารู้ตัวในช่วงกลาง-ปลายของความฝัน โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นโดยจิตแพทย์ชาวดัตช์ เฟร็ดเดอริก แวน อีเด็น (Frederik Van Eeden) ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ศึกษาความฝันในลักษณะนี้เป็นคนแรก หลังจากนั้นก็เริ่มมีนักจิตวิทยาให้ความสนใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้นจาดภาพยนตร์ดังอย่าง Inception ที่เอาไอเดียนี้ไปพัฒนาเป็นเรื่องราวอ้างอิงรูปภาพ : https://www.vecteezy.com/vector-art/11263251-man-counting-sheepและด้วยความที่เราสามารถควบคุมความฝันได้ออกแบบเหตุการณ์ต่างๆได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ขณะที่เราฝัน มีการใช้ ‘สมองซีกขวา’ มากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ จากความฝัน ไปใช้แก้ปัญหาหรือนำไปใช้กับงานของตัวเองรวมถึงยังช่วยควบคุมอารมณ์ได้อีกด้วยเพราะช่วงเวลาขณะที่หลับ ถือว่าเป็นอะไรที่ควบคุมยากที่สุด ดังนั้นการที่เราสามารถมีสติได้ในขณะที่เราฝัน เราก็จะสามารถควบคุมจิตใจได้ถึงแม้จะเป็นช่วงที่เราโกรธหรือเสียใจจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้นอกจากนี้ ลูซิดดรีมยังช่วยขจัดความกลัวในจิตใจของเราได้อีกด้วย แน่นอนว่าทุกคนต้องมีความกลัวที่ซ่อนอยู่หรือเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ฝังใจ แต่ในความฝัน เราสามารถควบคุมความกลัวและอันตรายเหล่านั้นได้ ทำให้ชีวิตจริงเรามีแนวโน้มที่จะกลัวสิ่งนั้นน้อยลงนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Lucid Dream เดนโฮล์ม แอสปาย (Denholm Aspy)เคยกล่าวไว้ว่า“บางคนอาจค้นพบพลังวิเศษหรือความสามารถพิเศษขณะที่กำลังฝัน พวกเขาสามารถต่อสู้หรือจัดการกับสิ่งที่มาทำ ร้ายได้ เช่น บินหนี หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายนั้น”ความเสี่ยงของ Lucid DreamLucid Dream อาจไม่เหมาะกับหลาย ๆ คน เช่นกลุ่มผู้มีจิตเปราะบาง มีความผิดปกติของคลื่นสมอง มีอาการเห็นภาพหลอน (Schizophrenia) หรือหลงผิด (Delusions) อาจยิ่งทำให้ยากต่อการแยกแยะโลกแห่งความจริง และโลกแห่งความฝัน หรือสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการนอน ที่ควรให้ความสำคัญกับการนอนหลับลึก นอนให้เต็มอิ่ม ยิ่งฝันให้น้อยยิ่งดี มุ่งเน้นการนอนระดับ N-REM (Non-rapid Eye Movement) ไม่ใช่ REM (Rapid Eye Movement)อ้างอิงรูปภาพ : https://www.freepik.com/free-vectorหากใครอยากลองทำนักวิจัยเขาก็มีวิธีมาให้ทดลองกันแต่ก็อย่าลืมเรื่องความเสี่ยงกันนะต้องดูเรื่องสุขภาพตัวเองกันด้วย1.นั่งสมาธิก่อนนอนซักประมาณ 20-30 นาที ก่อนนอน เพ่งจิตไปที่การหายใจ มีสติทุกลมหายใจ2.ลองจดบันทึกความฝัน เพื่อจดจำรายละเอียดความฝันในแต่ละครั้งของเรา3.ใช้เสียงเพลงมาขับกล่อมขณะหลับ โดยคลื่นความถี่ของเสียงเพลง มีส่วนในการทำให้คลื่นสมองเปลี่ยนไปได้ โดยเป็นเพลง เป็นจังหวะดนตรีที่เรียกว่า ‘binaural beats’ ความถี่ 4 – 8 Hz โดยควบคุมการหายใจให้สอคคล้องกับความถี่และนี่ก็คือ Lucid dream ความฝันที่รู้ตัว แต่ใดๆก็ตามถึงแม้เราจะสามารถควบคุมความฝันได้ด้วยตัวเองทุกคนอาจจะได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจแต่ก็อย่าลืมตระหนักว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝันไม่ใช่ความจริง ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทางเราหวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยให้ผู้อ่านทุกคนได้รับทฤษฎีความรู้ใหม่ๆแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยที่มา : https://thematter.co/brief/goodsmorning/goodsmorning-1590107400/112552https://rabbitcare.com/blog/lifestyle/lucid-dream-in-different-context-benefit-and-how-tohttps://www.medicalnewstoday.com/articles/323077#definitionhttps://www.facebook.com/brandthink.me

LOVE INSPIRED

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN HEART

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

16 ก.ค. 2024

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

การท่องเที่ยวเมืองโคเปนเฮเก้น เปิดตัวแคมเปญทดลอง “Copenpay” เที่ยวฟรี ถ้านักท่องเที่ยวช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวหรือ ผู้อยู่อาศัยในเมือง ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม แลกกับ อาหารฟรี และ ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ฟรีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถทำได้อย่างเช่น เก็บขยะ ใช้ขนส่งสาธารณะ ใช้จักรยานในการเดินทางรอบเมือง หรือ เป็นอาสาสมัครให้ฟาร์ฺมในเมืองสิ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถแลกได้ เช่นอาหารกลางวัน กาแฟ ไวน์ หรือ พายเรือคายัคฟรี เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง พิพิธภัณฑ์ บาร์ต่างๆ หรือ ที่อื่นๆฟรีโดยสถานที่ท่องเที่ยวเอกชนเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการสมัครใจเข้าร่วมโครงการซึ่งตอนนี้มีประมาณ 24 หน่วยงานเอกชนที่เข้าร่วม โครงการนำร่องนี้ซึ่งการแลกจริงๆ ก็ไม่ได้มีการตรวจเช็คหลักฐานใดๆ จากนักท่องเที่ยว อาจจะต้องมีการโชว์ภาพขี่จักรยานบ้าง หรือ ตั๋วโดยสารขนส่งสาธารณะบ้าง แต่โดยหลักจะใช้ระบบ ความเชื่อใจนักท่องเที่ยวโครงการนี้ทำขึ้นมาเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว แค่การบินไปเที่ยวต่างประเทศก็ทำลายสภาพชั้นบรรยากาศแล้ว แต่ นักท่องเที่ยวสามารถไปลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางเป็นการชดเชยโคเปนเฮเกน เป็นเมืองที่ได้รับคะแนนความยั่งยืนลำดับต้นๆของโลก ที่นี่มีจำนวนจักรยานมากกว่า รถยนต์ถึง 4 เท่า ประชากร 62% เดินทางโดยใช้จักรยาน ในเมืองมีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้จักรยาน โรงแรมส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานรักษาส่ิงแวดล้อม คลองสะอาดว่ายน้ำได้ น้ำประปาสะอาด ใช้ดื่มได้ พลังงานไฟฟ้า 70% มากจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานความร้อนที่ใช้ มาจากวัสดุย่อยสลายทางธรรมชาติโดยหน่วยงานการท่องเที่ยวโคเปนเฮเกนหวังว่า โครงการนี้จะจุดประกายให้ขยายไปเมืองต่างๆ ทั่วเดนมาร์ค หรือ แม้กระทั่งไปยังเมืองต่างๆทั่วโลกถ้าใครอยากเข้าร่วมโครงการนี้ ก็จะต้องรีบหน่อย เพราะโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึง 11 ส.ค. นี้เท่านั้น แต่ถ้าโครงการประสบความสำเร็จอาจจะมีการขยายไปจนถึงปลายปีนี้ด้วยแหล่งที่มา :BBC https://www.visitcopenhagen.com/copenpayhttps://youtu.be/KbZYnnXoSVs?si=_8huK7nS5NkE4Nqe

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

09 ก.ค. 2024

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

ทั่วโลกมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 50 ล้านคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจาก กว่า 1.19 ล้านคนต่อปีและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ของผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 5-29 ปีนอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิต คือคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และ ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์92% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มาจากประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ ประเทศกำลังพัฒนา มีจำนวนรถเพียง 60% ของทั้งโลกประเทศไทยเองก็มีการเก็บสถิติ ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวัน เฉลี่ยวันละหลายสิบราย และ บาดเจ็บเฉลี่ยวันละ 2 พันกว่าคนโดดช่วงเวลาที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด คือ ช่วง 17.00-21.00 น. โดยผู้เสียชีวิต 75% เป็นเพศชาย และ ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุ 82% คือ มอเตอร์ไซค์ และจังหวัดที่มีอุบัติเหตุลำดับต้นๆได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุท้องถนน ปีละ 17,000 คน และ มีผู้พิการจากอุบัติเหตุกว่า 15,000 คน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้านบาทซึ่ง UN ได้ออกมารณรงค์ เรียกร้องเป็น ทศวรรษที่ 2 ให้ทุกคนใส่ใจ เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน เช่นการใส่หมวกกันน็อค การไม่ขับขี่ขณะมึนเมา หรือ แม้แต่การคาดเข็มขัดนิรภัย ที่ลดอัตราการเสียชีวิตได้มากถึง 50%และยังพบว่าพฤติกรรมคนขับรถ ที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุขึ้น 4 เท่านอกจากนี้ยังมีการรณรงค์ให้ภาครัฐของทุกประเทศ ช่วยกันปรับปรุงเส้นทางการคมนาคมขนส่ง และ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมายการลดอุบัติเหตุลงให้ได้ครึ่งนึง ภายในปี 2030พวกเราในฐานะผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน สิ่งที่พอจะควบคุมได้ หากเพียงผู้ขับขี่ยานพาหนะ เคารพกฏจราจร ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย และมีสติขณะขับขี่ หรือ ขณะใช้ท้องถนนอยู่เสมอ ก็จะสามารถลดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นลงไปได้มากแล้วข้อมูลจาก :WEFมูลนิธิเมาไม่ขับ

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

03 ก.ค. 2024

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

กีฬาโอลิมปิคที่ปารีสในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่าง 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดกว่า 40⁰C เพราะเป็นช่วงที่เป็นฤดูร้อนของยุโรปในซีกโลกเหนือพอดีมหกรรมกีฬาโอลิมปิคในคราวนี้ ฝรั่งเศสตั้งเป้าไว้ให้เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่เขียวที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ (ย้อนไปอ่านบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ได้)หมู่บ้านนักกีฬา เป็นสถานที่ใช้รับรองนักกีฬา และเจ้าหน้าที่กว่า 15,000 คนในกีฬาโอลิมปิค และใช้รับรองนักกีฬา และ เจ้าหน้าที่กว่า 9,000 คนในกีฬาพาราลิมปิค สถานที่นี้ถูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำแซน ใช้กระแสลมธรรมชาติพัดผ่านให้ความเย็นกับกลุ่มอาคาร ประกอบกับการใช้ระบบระบายความร้อนในอาคาร ที่มีการติดตั้งหลังคาสีเขียวลดความร้อน มีบานประตู หน้าต่าง ป้องกันแสงแดด และความร้อนในเวลากลางวัน รวมทั้งมีการปลูกต้นไม้รายรอบอาคาร เพิ่มร่มเงา และความเย็นในพื้นที่ ส่วนภายในห้องพักจัดไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียง และ พัดลม คือ...มีทุกอย่าง แต่ไม่มีแอร์ เครื่องปรับอากาศซึ่งเหตุผลของการไม่ติดตั้งแอร์ เพราะแอร์อาจทำให้นักกีฬาเย็นได้จริง แต่จะสร้างความร้อนให้กับพื้นที่รอบข้าง และการตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยกว่าโอลิมปิกลอนดอน 2012 ให้ได้ 50%ทำให้นักกีฬาหลายประเทศ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค อังกฤษ กรีก และ อิตาลี ประกาศว่า จะยกแอร์ไปติดเอง ส่วนนักกีฬานิวซีแลนด์ ก็จะเอาแอร์เคลื่อนที่ไปติดเองเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ทุกห้อง จะกระจายไปในหลายอาคารที่พวกเขาพักในกีฬาโอลิมปิคครั้งล่าสุด ในปี 2021ที่ญี่ปุ่น ที่ว่าร้อนแล้ว สภาพอากาศปีนั้นอุปสรรคอย่างมากกับนักกีฬา มีผู้เข้าแข่งขันหลายคน ทั้งอาเจียน และ เป็นลมขณะแข่งขัน เพราะความร้อน แต่ครั้งนี้ สภาพอากาศก็จะร้อนยิ่งกว่า จากการพยากรณ์อากาศ มีแนวโน้มมากถึง 70% ที่อากาศปารีสจะร้อนกว่าปกติ และเมื่อรวมกับความชื้นในอากาศที่สูง ยิ่งทำให้ ความร้อนที่รู้สึก สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งมีคำเตือนว่า กรณีเลวร้ายที่สุด อาจทำให้นักกีฬาเสียชีวิตและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “คลื่นความร้อน (Heatwave)” ที่อาจเกิดขึ้นขณะที่จัดการแข่งขัน ซึ่งจากสถิติตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ปารีสโดนคลื่นความร้อนเล่นงานไปกว่า 50 ครั้งแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อน กว่า 14,000 คนซึ่งสาเหตุของคลื่นความร้อน ก็มาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง และเป็นการเตือนโลกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกมหกรรมกีฬา จะต้องประสบปัญหาเรื่องความร้อนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดปัญหาโลกร้อนจึงไม่ใช่แค่ปัญหาของวงการสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้มันพิสูจน์ชัดแล้ว ว่ากระทบไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาการแข่งขันที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่การแข่งกีฬา หรือ การแก่งแย่งกันเอง แต่เป็นการแข่งขันที่มนุษยชาติต้องร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำทุกวิถีทาง เพื่อเข้าเส้นชัย หยุดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เร็วที่สุด โดยที่มีชีวิตเพื่อนมนุษย์ทุกคนเป็นเดิมพัน

European Green Deal คืออะไร? เมื่อ ‘ฝาขวดน้ำ’ ก็ช่วยโลกได้

01 ก.ค. 2024

European Green Deal คืออะไร? เมื่อ ‘ฝาขวดน้ำ’ ก็ช่วยโลกได้

การได้ไปเที่ยวยุโรป เปิดขวดเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบในวันที่อากาศร้อน นับเป็นหนึ่งในความสุขสดชื่นอีกแบบ แต่ในฤดูร้อนปีนี้ประสบการณ์ดื่มคงจะแตกต่างออกไป จากการกำหนดนโยบาย‘ลดโลกร้อน’และการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของยุโรปครั้งใหม่ ที่จะมีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 นี้European Green Deal คืออะไร ?ในเดือน ก.ค. 2021คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission)มีแผนการทำงานเพื่อสนับสนุนให้อุณหภูมิของโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ และในปี 2050 ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทำให้เกิดเป็น‘European Green Deal’ หรือมาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 55 ในปี 2030 หรือFit for 55 Packageซึ่งเป็นร่างกฎหมายเพื่อรับรองเรื่อง- การปรับปรุงสิทธิการซื้อขายและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก- การส่งเสริมการคมนาคมสีเขียวทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ- การกำหนดอัตราภาษีธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม- การกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน- การตั้งเป้าหมายการดูดซับก๊าซเรือนกระจก- และการออกมาตรการCBAM(Carbon Border Adjustment Mechanism)มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป คือการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป European Union (EU)EU Green Deal – EU-ASEAN (euinasean.eu)สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ ‘ฝาขวดน้ำ’นโยบายดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุโรป ดังล่าสุดที่หลายประเทศกำลังบอกลาฝาขวดพลาสติกแบบเก่า และหันมาใช้ขวดน้ำที่มีฝาติดอยู่ ตามกฎของ European Green Deal ที่จะมีข้อบังคับในวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 กำหนดให้เครื่องดื่มที่มีขนาดไม่เกิน 3 ลิตร ต้องใช้ฝาน้ำดื่มที่ติดอยู่กับตัวห่วงและขวดบรรจุภัณฑ์ (Tethered Caps)เพื่อลดการหลุดรอดไปยังสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสัตว์โดยโฆษกกระทรวงสิ่งแวดล้อมสภาพภูมิอากาศและการสื่อสารแห่งไอร์แลนด์ กล่าวว่า“ฝาจํานวนมากถูกแยกออกจากขวดหลังการใช้งาน และฝาที่อยู่ในถังรีไซเคิลก็มักจะมีขนาดเล็กและเบาเกินไปสําหรับอุปกรณ์คัดแยกที่จะจัดการ และกลายเป็นขยะตกค้างไม่ได้นำไปรีไซเคิลในที่สุด”“รายงานจาก National Litter Pollution Monitoring System แสดงให้เห็นว่า ขยะจากฝาเครื่องดื่ม คิดเป็นประมาณ 15% ของขยะบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนของฝาขวดน้ำ ที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปนั้นมีอิสระในข้อกําหนดตนเอง ตราบใดที่ "ฝาปิดยังคงติดอยู่กับภาชนะในระหว่างใช้งาน ตามวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์"ดังนั้น หากคุณกำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวในแถบยุโรปช่วงเดือนกรกฎาคม คุณได้อาจเจอกับฝาพลาสติกรูปแบบใหม่ที่ติดอยู่กับขวด เป็นส่วนช่วยทำให้ขบวนการรีไซเคิลเกิดขึ้นได้ง่าย ลดอันตรายต่อสัตว์โลก และเป็นการลดโลกร้อนอีกทางหนึ่งอีกด้วย

นักศึกษาพฤติกรรมสัตว์พบว่า “ช้างมีชื่อเรียกกันเอง”

14 มิ.ย. 2024

นักศึกษาพฤติกรรมสัตว์พบว่า “ช้างมีชื่อเรียกกันเอง”

ในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มี “ชื่อ” เอาไว้เรียกกันและกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการวิจัยสัตว์ชนิดอื่น เช่น นกแก้ว หรือ ปลาโลมา เวลาจะเรียกเพื่อน จะต้องส่งเสียงเลียนแบบเสียงเอกลักษณ์ที่เพื่อนทำก่อน เพื่อเรียกความสนใจ แล้วค่อยสื่อสาร ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่การเรียกชื่อซะทีเดียวต่อยอดจากงานวิจัยนั้น ล่าสุด Mickey Pardo นักศึกษาพฤติกรรมสัตว์จาก Cornell University ได้ลองศึกษาเสียงของช้าง สัตว์ที่มีการแสดงออกทางอารมณ์ และเป็นหนึ่งในสัตว์สังคมมากที่สุด พวกมันมักแสดงออกทางอารมณ์ เวลาเจอเพื่อน เจอพี่น้อง ครอบครัว หรือ แม้กระทั่งแสดงความดีใจ เมื่อได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานนักชีววิทยา เริ่มสังเกตจากการที่เวลาช้างส่งเสียง บางครั้งทั้งฝูงมีการตอบสนอง แต่บางครั้งเวลามันส่งเสียง มีเฉพาะบางตัว หรือ ตัวเดียวที่ตอบสนอง เลยทำให้มีการตั้งสมมุติฐานว่า ช้างสามารถเรียก ช้างอื่น แบบเฉพาะเจาะจงได้ จึงเริ่มทำการบันทึกเสียงช้างใน อุทยานแห่งชาติAmboseli National Park และ Samburu National Reserve ประเทศเคนยาMickeyใช้ AI วิเคราะห์เสียงเหล่านั้น เพื่อหาแพทเทิร์นของเสียง และหาชื่อช้าง และนำมาทดสอบโดยเปิดเสียงผ่านลำโพง และพบว่า ช้างบางตัว ตอบสนองต่อเฉพาะบางเสียงเท่านั้น ที่ความแม่นยำ 28%ซึ่งชื่อของช้าง ไม่ได้เป็น ชื่อเป็นคำๆ แบบที่มนุษย์เราใช้เรียกกัน แต่มันเป็นโทนเสียงฮัมต่ำ ที่คลื่นความถี่นี้ ได้ยินเฉพาะช้างกันเองเท่านั้นโดยเมื่อทำการทดลองพบว่า ช้างตอบสนองต่อเสียงช้างที่เฉพาะเจาะจงถึงมันมากกว่า เสียงที่ช้างสื่อสารกับกลุ่มทั่วไป หรือ พูดง่ายๆ ก็คือในเสียงนั้นมี “ชื่อ” ของมันอยู่นั่นเองเบื้องต้นนักชีววิทยาลัย ตั้งสมมุติฐานว่า ช้างอาจจะได้ชื่อมาจากแม่ของมันนั่นเอง ซึ่งทีมวิจัยหวังว่า การได้เรียนรู้ชื่อ ภาษา และการสื่อสารของช้าง จะนำไปสู่การปกป้อง และอนุรักษ์พันธุ์ช้างที่นับวันยิ่งใกล้การสูญพันธุ์ขึ้นไปทุกทีข้อมูล: Nature Ecology Evolution Journey, CBC-Canada

ปะการังอ่าวไทยฟอกขาวไปแล้วกว่า 50%

13 มิ.ย. 2024

ปะการังอ่าวไทยฟอกขาวไปแล้วกว่า 50%

รู้หรือไม่ว่า อากาศบริสุทธิ์ที่สัตว์โลกหายใจกันอยู่ ส่วนใหญ่ มากจากการสังเคราะห์แสงของพืชในทะเล มากกว่าป่าทั้งโลกรวมกันเสียอีกรายงานล่าสุดพบว่า ภาวะโลกเดือดกำลังคุกคาม แหล่งอาหาร และแหล่งผลิตอากาศบริสุทธิ์ของโลก เมื่อมาดูสถิติการจดบันทึก ล่าสุดอุณหภูมิผิวน้ำของอ่าวไทยตะวันออก เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ถึง 32.73⁰C ในเดือน พฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา อุณหภูมิใต้น้ำวัดได้ถึง 33⁰Cชาวประมงริมทะเลอ่าวไทย บอกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอปะการังฟอกขาวเยอะมากขนาดนี้ และทำให้จับสัตว์น้ำได้น้อยลง และเริ่มมีรายได้จากการจับสัตว์น้ำลดลง ต้องออกไปหาปลาไกลขึ้น และ นานขึ้นกว่าปกตินักวิจัยทางทะเลได้สำรวจพบปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตั้งแต่กลางเดือน เมษาปีนี้ และเริ่มขยายแผ่เป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอุณหภูมิน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปะการังฟอกขาวโดยปะการังเกือบทุกชนิดที่ฟอก ปะการังส่วนใหญ่สีซีด 20-30% กำลงฟอกขาวอยู่ และ ปะการังบางส่วนเริ่มตายแล้ว“ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว คือ ภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางลง จนมองเห็นเป็นสีขาว เป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่ายที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) สาหร่ายขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง ดํารงชีวิตอยู่ ร่วมกับปะการัง “แบบพึ่งพากัน”โดยสาหร่ายจะทําหน้าที่สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ช่วยเร่งกระบวนการสร้างหินปูน รวมถึงการสร้างสีสันให้แก่ตัวปะการัง ส่วนปะการังก็ให้ที่อยู่”และจากสถิติโลกตอนนี้ พบว่าปะการัง 2 ใน 3 ของโลก กำลังเผชิญกับ ภาวะโลกเดือดที่คุกคามการอยู่รอดของปะการัง โดยเฉพาะในทะเลแอตแลนติก ปะการังฟอกขาวไปแล้วกว่า 99.7% ส่วนในอ่าวไทยของเรา ฟอกขาวไปแล้วกว่า 50%แม้ปะการังจะปกคลุมพื้นที่ใต้ทะเลน้อยกว่า 1% แต่มันเป็นบ้านของสัตว์น้ำ และรักษาสมดุลระบบนิเวศใต้ทะเล ที่พยุงมูลค่าทางเศรษฐกิจ กว่า 2.7 ล้านล้าน เหรียญสหรัฐ ต่อปี ทั้งยังช่วยปกป้องชายฝั่ง จากพายุ และการเซาะกร่อนจากคลื่นทะเลในปี 2009 เคยมีการสำรวจว่าโลก ได้สูญเสียปะการังไปแล้ว กว่า 14% และ ในปี 2050 หรือ อีก 26 ปีข้างหน้า 90% ของปะการังที่เรามีอยู่จะหายไปหมดสิ้นนอกจากนี้ WHO ยังออกมาเตือนเรื่องภาวะโลกเดือด ล่าสุด มนุษยชาติได้เข้าสู่ ภาวะโลกเดือด อุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่ ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ปี คศ.1850) เป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกันแล้ว (มิย 2023 - พค. 2024)หนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตปะการังไว้ได้ คือ การช่วยการลดโลกร้อน และแม้จะมีความพยายามสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึง สตาร์ทอัพ กว่า 1,000แห่ง ขึ้นมาเพื่อช่วยลดโลกร้อน ภายในปี 2030 ปัญหาคือ แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่เราจะช่วยโลกได้ทันมั้ย ถ้าต้นตอปัญหายังไม่เคยลดลงเลยข้อมูล: WEF , WHO

GREEN CHARITY

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

15 มี.ค. 2022

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย

CLUB PRIDE DAY

Club Pride Day x เต้ & อาร์ตตี้ Powerpuff Gay | 25 ก.ค. 67

25 ก.ค. 2024

Club Pride Day x เต้ & อาร์ตตี้ Powerpuff Gay | 25 ก.ค. 67

รับพลังจากสองเพื่อนซี้ ‘อาร์ตตี้ และ เต้’ ครีเอเตอร์สุดเก๋ ผู้สร้างสรรค์ความสนุก ปลุกความฮาจากแก๊ง Powerpuff Gay! . เปิดไมค์พร้อมกันพฤหัสนี้ 3-4 ทุ่ม กับ พี่อ้อย และ ก๊อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #อาร์ตตี้ #artymilk #เต้ #เตร็ดเต้ #itistae #powerpuffgay #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x พีท พล | 11 ก.ค. 67

11 ก.ค. 2024

Club Pride Day x พีท พล | 11 ก.ค. 67

Club Pride Day x พีท พล | 11 ก.ค. 67 . มือถือไมค์ แต่หัวใจไม่เคยหยุดฝัน ก็เพราะคนมันอยากไปค้นฟ้าคว้าดาว ️ พร้อมเปิดเรื่องราวของนักร้องเสียงนุ่มลึก "พีท พล" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #พีท #พีทพล #Pete #petepol #พีทthestar #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่ .

Club Pride Day x นก ยลลดา | 4 ก.ค. 67

04 ก.ค. 2024

Club Pride Day x นก ยลลดา | 4 ก.ค. 67

เปิดไมค์สยายปีกต้อนรับนางพญา เจ้าของฉายาควีนนกฟินิกซ์ "นก ยลลดา" หญิงข้ามเพศหัวใจแกร่ง สู่ตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2024 พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . ก ับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . . Club Pride Day ค ุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #นก #นกยลลดา #ควีนนกฟินิกซ์ #นางงามร้อยเวที #MissFabulousThailand #มิสฟ้าบุญเลิศ #Activist #worldequality #สมรสเท่าเทียม #รับรองเพศสภาพ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม

Club Pride Day x ไจ๋ ซีร่า | 27 มิ.ย. 67

28 มิ.ย. 2024

Club Pride Day x ไจ๋ ซีร่า | 27 มิ.ย. 67

Club Pride Day x ไจ๋ ซีร่า | 27 มิ.ย. 67 . โชว์ลีลาอลังการไปกับตำนาน Drag Queen พันหน้า "ไจ๋ ซีร่า" เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ไจ๋ #ไจ๋ซีร่า #Sirawigs #มาดอนน่าเมืองไทย #Dragqueen #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x อาร์ต อารยา | 20 มิ.ย .67

20 มิ.ย. 2024

Club Pride Day x อาร์ต อารยา | 20 มิ.ย .67

Club Pride Day x อาร์ต อารยา | 20 มิ.ย .67 . You’ve got she-mail ! CLUB PRIDE DAY สัปดาห์นี้พบกับตัวแม่แฟชั่นของประเทศไทย ‘อาร์ต อารยา อินทรา‘ เรื่องราวชีวิตของเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย . 3-4 ทุ่ม พฤหัสนี้ มาทอล์กสไตล์ตัวแม่กับ ก๊อตจิและดีเจอ้อย ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #CLUBPRIDEDAY #GREENWAVE1065 #GREENWAVE #อาร์ตอารยา #อ๊าทอารยา #ArtAraya #DragRaceThailand #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจอ้อยนภาพร #ดีเจอ้อย #ก๊อตจิ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #LGBTQ #LGBT #ตัวแม่ #ตัวมัม

Club Pride Day x ธัญญ่า-หนิง | 13 มิ.ย. 67

13 มิ.ย. 2024

Club Pride Day x ธัญญ่า-หนิง | 13 มิ.ย. 67

Club Pride Day x ธัญญ่า-หนิง | 13 มิ.ย. 67 . หลบหน่อยจ้า เพราะคุณแม่ทั้งสองจะมาโชว์ความฟิน ความจิ้น และความแซ๋บ กับคู่จิ้นคู่ใหม่ของวงการยูริไทย "ธัญญ่า-หนิง" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #หนิง #ธัญญ่า #หนิงธัญญ่า #Deepnighttheseries #เมจิเฟรญ่า #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day Recap

เปิดเซฟโซนสุดอบอุ่น ของ “เบิร์ดมิล” อินฟลูเอนเซอร์สาว กับเรื่องราวของการเป็น LGBTQ+ ในครอบครัวจีน

24 ก.ค. 2024

เปิดเซฟโซนสุดอบอุ่น ของ “เบิร์ดมิล” อินฟลูเอนเซอร์สาว กับเรื่องราวของการเป็น LGBTQ+ ในครอบครัวจีน

“ขอบคุณที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนของเบิร์ด ขอบคุณที่สนับสนุนทุกอย่าง เวลาชวนอากงอาม่าไปถ่ายคอนเทนต์ที่ไหนไม่เคยบ่นเลย”เมื่อ 'เซฟโซน' ไม่ใช่แค่พื้นที่ แต่คือความรู้สึกที่ต้องสร้างไปด้วยกัน...เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิตรับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดอบอุ่น “เบิร์ดมิล พร้อม อากง และอาม่า” โดยทั่วไปสำหรับครอบครัวเชื้อสายจีนแล้ว การที่ลูกหลานในบ้านเปิดเผยตัวว่าเป็น LGBTQ+ โดยเฉพาะกับหลานชาย อาจไม่ใช่เรื่องที่คนในครอบครัวอยากจะยอมรับ โดยเฉพาะในบ้านที่ยังคงมี อากง-อาม่า ในวัยเกือบ 90 ปี ที่เป็นเจอเนอเรชันเก่าแก่ แต่นั่นไม่ใช่กับขอบครัวของเบิร์ดมิล สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ“เบิร์ดมิล” หมวยเล็กสุดคิ้วท์ ของครอบครัวสุดน่ารักเบิร์ด : “ชื่อเบิร์ดมิล มาจากตอนมัธยม ช่วงนั้นเบิร์ดก็แบบแมน ๆ แล้วชื่อเบิร์ด ก็เลยคิดว่าอยากจะเสริมความหวาน อยากจะมีคำสร้อยนิดนึง เบิร์ดมี่ ก็ดูแปลก ๆ เบิร์ดมิ ก็ไม่ได้ ก็คิดว่าชื่อ เบิร์ดมิล แล้วกันน่าจะลงตัวสุด เป็นชื่อที่อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาเอง แล้วชื่อก็ดูหวานดูมีคำ 2 พยางค์ ก็เลยเรียกติดปากว่า เบิร์ดมิล ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของเบิร์ดเป็นแบบจีนแท้ ๆ เลย เบิร์ดมีพี่น้อง 4 คน เบิร์ดมีพี่สาว 2 คน พี่ชาย 1 คนเราเป็นคนสุดท้องเป็นน้องเล็กค่ะซึ่งบ้านเบิร์ดก็สนิททุกคนเลยนะคะ ตั้งแต่เด็ก ๆ บ้านเบิร์ดจะอยู่รวมกันหมดเลยทั้ง ป๊า ม้า อาแปะ อาโก แล้วก็หลาน ๆ ก็คืออยู่บ้านเดียวกันหมดเลย บ้านมี 4 ชั้น แล้วทุกชั้นก็ต้องมีคนอยู่เมื่อก่อนหนูเครียดแล้วก็กลัวว่าในสิ่งที่เราชอบ หรือสิ่งที่เราเป็น อากงอาม่า จะยอมรับไม่ได้ ว่าสิ่งที่เราชอบมันดีมั้ย มันถูกต้องมั้ย ช่วงแรก ๆ หนูยังไม่บอกใคร คุยกับตัวเองมากกว่า”อาม่า : “ตอนเล็ก ๆ อีเหม็นที่สุด รังแกคน รังแกพี่น้อง คนเป็นพี่ยังถูกอีรังแก เราเลยเรียกอีว่า อาเหม็น”อากง : “ก็เท่าที่บอก มันชอบรังแกเค้า แล้วทีนี้อากงก็เลยตั้งชื่อเค้าว่าชื่อ ไอ้เหม็น เพราะว่าชอบไปรังแกเค้า ก็อยู่บ้านเดียวกัน เรื่องอ้อนมันก็ไม่อ้อนนะ เพราะหลานผมเยอะ ไม่รู้ใครจะมาอ้อน ก็จะมีมานั่งกินข้าว มาคุยกันอย่างเงี้ย”เบิร์ดมิล กับการยอมรับตัวตน จากคนในครอบครัวเบิร์ด : “เบิร์ดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเพราะว่า เบิร์ดไม่ได้ Come Out เอง แต่ว่าป๊ากับม้าเป็นฝ่ายเลือกเดินเข้ามาคุยกับเบิร์ดก่อน เหมือนเค้าก็เริ่มจะรู้ลักษณะท่าทางของเบิร์ดแล้วว่า สิ่งที่เบิร์ดต้องการเป็น สิ่งที่เบิร์ดชอบ เป็นสิ่งที่เบิร์ดชอบจริงรึเปล่า เลยเป็นการคุยเปิดใจ สุดท้ายเค้าก็เหมือนถามเชิงเป็นห่วงว่าถ้าโตไปเราจะใช้ชีวิตได้มั้ย เราจะอยู่รอดมั้ย แบบนั้นมากกว่าส่วน อากง กับ อาม่า เบิร์ดก็ไม่ได้บอก แต่กลายเป็นว่า อากงกับอาม่า อยู่ดี ๆ ก็เรียกเบิร์ดว่า อาเจ้ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ครอบครัวเรารวมตัวกัน แล้วอากงก็เป็นฝ่ายเรียกก่อนว่า อาเจ้ เราก็งง เลยถามว่าอาเจ้ไหน อากงบอกว่า ก็ลื้อไงเป็นอาเจ้แล้วไม่ใช่เหรอ จุดนั้นมันเหมือนจุดที่ได้ปลดล็อคว่า อากงอาม่าหรือที่บ้าน ยอมรับเราในสิ่งที่อยากเป็นจริง ๆ”อากง : “ที่เรียก อาเจ้ เพราะว่าเวลาที่เค้าไปไหนมาไหนก็กลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว เราก็เลยชอบเล่น เรียกเล่น ๆ ว่า อาเจ้ลื้อไปไหนมา ซึ่งในใจกงคิดว่าเค้ากลายเป็นผู้หญิงก็ดี ไม่เป็นไร เพราะว่า เค้าไม่เป็นคนเกเร พอเค้าเป็น อาเจ้ เราก็ไม่ว่า เพราะว่าหลานผมมีเยอะ มีตั้ง 10 กว่าคน”อาม่า : “ก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก ก็เห็นอีเป็นอย่างงี้แล้ว ก็เป็นตามอย่างงี้ไปเถอะ ใคร ๆ ก็ถามว่า ลื้อคิดแล้วว่าอยากเป็นอะไร เค้าจะเป็นแบบนี้ก็ให้อีเป็นไป ก็ไม่เสียหายอะไร”อากง : “ที่รุ่นอากงหนุ่ม ๆ เพื่อน ๆ อะไรไม่เคยเป็นแบบนี้ คือถ้ามีบ้านนึงลูกเป็นกะเทย พ่อแม่เค้าก็จะต้องด่า จะต้องตี ทำให้เค้าเปลี่ยนไปไม่ได้ แต่ว่าสมัยนี้ มันไม่เหมือนกันแล้ว บ้านนี้ก็มีคนนึง บ้านโน้นก็มีคนนึง แล้วเราจะไปพูดอะไร เค้าก็ต้องรับตามแบบนี้ไป”เมื่อ ครอบครัว คือเซฟโซนที่ดีที่สุดของ เบิร์ดมิลเบิร์ด : “สำหรับตัวเบิร์ดเองไม่ค่อยโดนเรื่องบูลลี่สักเท่าไหร่ค่ะ อาจจะมีโดนเค้าแซวบ้าง แต่เบิร์ดก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาเก็บมาคิดว่าเค้าบูลลี่เราถ้ากับเรื่องครอบครัวก็จะมีความเซ้นท์ซิทีฟ เบิร์ดรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้จะรู้สึกว่าสิ่งใหม่ ๆ ที่ผู้ใหญ่ไม่รู้จัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเล่าให้เค้าฟัง หรือมาปรึกษาให้เค้าฟัง เราคุยกับเพื่อน หรือคุยกับใครก็ได้ที่อยู่ในอายุเจนเดียวกับเรา ไม่จำเป็นต้องมาคุยกับพ่อแม่ แต่เบิร์ดก็ลองมองย้อนกลับ ถ้าเราเป็นพ่อแม่แล้วเรามีลูกมีหลาน เราก็อยากจะได้รับฟังในทุก ๆ เรื่องของลูกหลานเราเหมือนกันเบิร์ดก็อยากจะแชร์ว่า คนในครอบครัวของเรา ไม่ว่าเค้าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย เบิร์ดรู้สึกว่าเราควรจะสนับสนุน หรือซัพพอร์ทเค้า ให้เค้าได้เป็นตัวตน และเป็นตัวเองได้เต็มที่ มันทำให้คน ๆ นั้น ได้มีความสุข และเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่จริง ๆ อยากจะให้ทุกคนสนับสนุนเค้า ในสิ่งที่เค้าชอบและเค้าเป็นค่ะ และที่เบิร์ดมีวันนี้ได้ เพราะว่าครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งที่ซัพพอร์ทเบิร์ดตลอดมา”ที่มาคลิปสุดไวรัล “ลื้อลืมอั๊วะไว้ที่บางปู”เบิร์ด : “เหตุการณ์วันนั้นคือ เราไปรถ 2 คัน คันนึงอากงนั่งไป คันนึงอาม่านั่งไป แล้วพอเข้าบางปูเสร็จปุ๊บ อากงออกมาเข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้บอกใคร แล้วรถอากงก็คิดว่าอากงขึ้นแล้ว อีกคันก็คิดว่ารถอากงออกไปแล้ว ก็เลยขับออกไป สักพักพี่ชายของอากงโทรมาบอกว่า ลื้อเอาน้องชายอั๊วะไปไหน คืออากงยืมโทรศัพท์แม่ค้าเพื่อโทรหาเบอร์พี่ชาย แล้วพี่ชายก็โทรมาหาอาม่าว่า ลื้อเอาน้องชายอั๊วะไปไหน อาม่าก็งง บอกว่ามาเที่ยวบางปู พี่ชายของอากงก็บอกว่า เค้ายังอยู่ที่บางปูนะ เท่านั้นแหละ เรารีบวนรถกลับมาเจออากงที่บางปู คือเหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจค่ะ และคลิปนั้นคนดูประมาณ 4 ล้านเลย”อากง : “เรื่องที่ว่าไปทิ้งไว้ที่ไหนเราว่าเดี๋ยวก็กลับได้ ผมคิดแล้วว่า แม้ว่าโทรศัพท์ผมไม่มี แต่ว่าถ้าเค้าไปถึงคลองลาน เพราะว่าวันนั้นจะไปกินข้าวที่คลองลาน เค้าก็ต้องรู้ว่าหายไปคนนึง เดี๋ยวเค้าก็กลับมา แต่เผอิญมีแม่ค้าอยู่แถวนั้น เราเลยถามแม่ค้าว่ามีโทรศัพท์รึเปล่า ขอยืมติดต่อหน่อยได้มั้ย แล้วไม่รู้จะโทรไปไหน เลยโทรไปหาพี่ชาย บอกพี่ชายว่าให้โทรเข้าอาม่าหน่อยว่าลืมผมอยู่ที่บางปู”เบิร์ดมิล : “หลังจากคลิปเป็นไวรัล ทุกคนก็ชอบใจที่มีอากงอาม่าในคลิป เบิร์ดก็เลยรู้สึกว่างั้นชวนอากงอาม่ามาทำคอนเทนต์ดีกว่า เพราะเราจะได้ใช้เวลาร่วมกันอากงอาม่ามากขึ้น และเหมือนได้แชร์ความรู้สึกว่า พอเราอยู่กับอากงอาม่า แล้วเวลาคนมาดูเค้าก็จะรู้สึกกลับมาคิดถึงอากงอาม่า หรือครอบครัวที่บ้าน และอยากกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัว เหมือนกับเบิร์ดเอง”ล้วงเบื้องหลัง กว่าจะเป็นคอนเทนต์กับอากงอาม่าอากง : “เวลาอีชวนไปถ่ายคอนเทนต์ ผมชอบพูดเล่นกะอีว่าไม่ไป แต่สุดท้ายก็ไป”อาม่า : “อาม่าเหนื่อยเพราะว่าอาม่าเป็นโรคหัวใจ ถ่ายนานเกินไป หรือว่าถ้าเดินเร็ว แล้วอาม่าเหนื่อย แล้วถ้าเหนื่อยก็จะพูดไม่ออก พูดไม่ได้เลย ถามว่าสนุกไหมก็สนุก แต่บางทีทำนานเกินไปก็เหนื่อย เลยทำให้ไม่อยากทำนาน ๆ”เบิร์ด : “คลิปที่คนดูเยอะ ๆ คือ ตอนพาอากงไปถ่ายรูปที่เยาวราชค่ะ ใช่ใส่ชุดจีน แล้วชาวต่างชาติก็เดินมาทักอากง ทักว่าเป็นท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ซึ่งอาม่าก็บอกว่าเหมือน ส่วนคอนเทนต์ที่ทำมาแล้วชอบที่สุด คือตอนที่ถ่ายคู่กับอากงอาม่า เบิร์ดตั้งใจทำประเด็นนั้นให้เหมือนเค้าทำพรีเวดดิ้ง เพราะว่ายุคสมัยก่อนได้คุยกับอากงอาม่า เค้าไม่เคยมีพรีเวดดิ้งเหมือนสมัยนี้ แล้วก็ถ่ายเป็นรูปฟิล์ม แล้วก็ได้คุยกับเค้าว่ารู้จักกันได้ยังไง จีบกันยังไง เบิร์ดรู้สึกว่ามันน่ารักมาก ๆ อากงใส่เป็นสูทสีขาว อาม่าใส่เดรสสีขาว ถือช่อดอกไม้น่ารักมากเบิร์ดเคยพาอากงอาม่าไปดูขบวน Pride Month พอเบิร์ดเล่าให้อากงอาม่าว่า จะมีขบวนเค้าก็อยากดู แล้วอากงก็ไปเดินขบวนกับเบิร์ด ส่วนอาม่านั่งรอเชียร์ สุดท้ายพอเบิร์ดเดินจนเสร็จ อาม่าบอกว่ายังไม่อยากกลับ อยากดูขบวนต่อเรื่องสมรสเท่าเทียม เบิร์ดเล่าให้อากงอาม่าฟังค่ะ แล้วท่านก็ติดตามตลอด วันที่ประกาศ เรากลับมาบ้าน อาม่าอากงบอกเราว่า เค้าประกาศออกมาแล้วนะสมรสเท่าเทียม”อากง : “เวลานี้ประเทศเราก็เจริญ คนเรามันก็เจริญด้วย แล้วพูดถึงว่าเค้าสนับสนุนเราก็เห็นดีด้วย รัฐบาลสนับสนุนมันก็ดี ไม่ต้องไปกังวลอะไรต่ออะไร ปล่อยให้เค้าเสรีไป เราก็เห็นดีด้วย”ย้อนความรัก 63 ปี ของ อากง และ อาม่าอากง : “ผมแต่งงานตั้งแต่อายุ 27 ปี เวลานี้ก็ 90 ก็ 63 ปี แล้วครับ เจอกับอาม่าเพราะอยู่บ้านติดกัน”อาม่า : “ไม่ใช่ข้างบ้าน ห่างกัน 10 กว่าห้อง เราคิดว่าคนนี้เป็นยังไง ยังไม่ค่อยรู้นิสัยเค้า แต่ทำไมเวลาเราเจออี ทำไมชอบมองอีก็ไม่รู้ เวลารถอีขับมาเราก็จำเสียงรถอีได้”อากง : “สมัยนั้นไม่รู้ว่าเค้ามอง ก็เหมือนกับว่าได้เจอกันทุกวัน ๆ เพราะว่าเช้าผมก็ขับรถอยู่ เค้าก็ไปทำงานนั่งรถเราไป เจอกันทุกวัน บ้านก็ใกล้กัน ว่าง ๆ ก็มาคุยกัน เพราะว่าเพื่อน บ้าน 10-20 คนรู้จักกันหมด ว่าง ๆ ก็ชวนกันไปเที่ยว”อาม่า : “ไปดูหนังบ้าง ไปกันเป็นกลุ่ม 6 ปีเคยออกไปกับเค้า 2-3 ครั้งเอง”อากง : “สมัยนั้นไม่ค่อยกล้าไป 2 คนหรอกไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มันอิสระ สมัยก่อนเวลาเราจะทำอะไรมันต้องคิดเผื่อว่า บ้านคนนี้มันจะมาด่าเรารึเปล่า บ้านคนนี้มันจะมาว่าเรารึเปล่า ทีนี้เราก็เลยไม่ค่อยกล้าไปไหน เวลาไปก็ไปกันหลายคนก็เรามีลูกแล้ว เรามีงานทำแล้ว พอคุยกันรู้เรื่องก็ทำให้เรารักกัน แล้วพ่อแม่เค้ากับพ่อแม่เราก็สนิทกัน เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน สมัยก่อนยิ่งเป็นครอบครัวคนจีน ถ้ามีลูกก็ต้องมีภาระ เราก็ต้องดูแลกันเจ้าเบิร์ด ยังไม่มีผัว เค้าบอกเค้าจะแต่งผัวจะไม่แต่งเมีย ก็ถ้าเค้ามีก็แต่งมาดิ หาผัวก็ต้องหาผัวดี ๆ หน่อย หาผัวไม่ดีหาไปทำไม”อาม่า : “ก็โอเค ถ้ามีก็รีบ ๆ แต่งมา”อากง : “หลาน ๆ ตั้ง 10 กว่าคนนะ มีแต่งคนเดียวเอง นอกนั้นก็อายุมากแล้ว 30 กว่ายังไม่ได้แต่งสักคน มีแต่งคนเดียวคือพี่ชายเบิร์ด คนเดียวเอง”เปิดเคล็ดลับดูแลสุขภาพของอากงอาม่าอาม่า : “กินข้าว 2 ช้อน ต่อมื้อ มีผักก็กินผัก มีปลาก็กินปลา มีหมูก็กินหมู 2-3 ชิ้น แล้วมีไปเดินสวนลุมไปทุกวัน เดี๋ยวนี้เดินไม่ค่อยไหวแล้ว สมัยก่อนเดินเยอะ ตอนนี้เดินได้ประมาณ 3-4 ร้อยเก้าเอง ต้องเข็นรถนะ พอเหนื่อยแล้วก็ให้ลูกเข็น อั๊วะก็นั่งดูต้นไม้เขียว ๆ เวลา 7 โมง อั๊วะชอบออกมารับแดด”อากง : “ที่ไปเดินสวนลุมไปนานแล้ว อย่างต่ำก็ 20-30 ปีแล้ว การดูแลสุขภาพของผมคือ ผมไม่ได้กินเหล้าแล้ว สมัยก่อนกินก็จริง ผมกินก็กินมีเพื่อนฝูงมากินกันนะ กินสังสรรค์ แต่ตอนนี้ไม่กินแล้ว”สีสันแรงบันดาลใจจาก เบิร์ดมิลเบิร์ด : “เบิร์ดว่าการที่จะทำคอนเทนต์ในโลกโซเชียล คิดแล้วต้องทำเลยค่ะ ทำแล้วดูว่ากระแสตอบรับเป็นยังไง คนชอบหรือไม่ชอบ แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทำเป็นประจำ ห้ามหยุด เบิร์ดคิดว่าเป็นหลักสำคัญเลยและถ้าใครคิดอยากจะทำคอนเทนต์กับครอบครัว เบิร์ดคิดว่ามานั่งคุยกับอากงอาม่าหรือคนในครอบครัวได้หมดเลยค่ะ เริ่มแรกก็ทำสิ่งที่บ้านเราเป็น โชว์ความเป็นตัวเองให้ทุกคนเค้ารู้ว่า บ้านเราอยู่กันแบบนี้นะ บางคนเค้าดูก็อาจจะคิดว่าทำเหมือนครอบครัวเราเลย แต่เบิร์ดว่าต้องเริ่มทำก่อนถึงจะดีที่สุด ต้องลองค่ะ”คำขอบคุณจากใจ เบิร์ดมิลเบิร์ด : “เบิร์ดต้องขอขอบคุณอากงอาม่าค่ะ ที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนของเบิร์ด แล้วก็อยากบอกว่าเบิร์ดรักอากงอาม่านะที่สนับสนุนทุกอย่างเลย ชวนแบบไปถ่ายคอนเทนต์ที่โน่นที่นี่ อากงอาม่าไม่เคยบ่น ไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยเลย ต้องขอขอบคุณอากงอาม่า ในทุก ๆ เรื่องค่ะ”อากง : “เค้าเป็นแบบนี้แล้วเราก็ต้องสนับสนุน ขอให้เค้าเป็นคนดี แม้ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง มันก็เหมือน ๆ กันแหละ เราก็ไม่ต้องไปบังคับเค้า เค้าจะเป็นผู้ชายก็ดี เป็นผู้หญิงก็ดีอย่าเกเร อย่าออกไปก่อเรื่อง ทำมาหากิน เป็นคนบริสุทธิ์ ก็ชื่นใจแล้ว”อาม่า : “อากงพูดหมดแล้ว รู้สึกเหมือนกัน”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “พีท พล” ศิลปินเสียงนุ่มลึก กับเส้นทางสู่ฝันที่ถูกลิขิตมาเพื่อค้นฟ้าคว้าดาว

18 ก.ค. 2024

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “พีท พล” ศิลปินเสียงนุ่มลึก กับเส้นทางสู่ฝันที่ถูกลิขิตมาเพื่อค้นฟ้าคว้าดาว

“การค้นหาตัวเองวิธีง่าย ๆ เลยคือถ้าเราอยากทำอะไร ให้ลองทำไปเลย เพื่อค้นหา Passion ของตัวเอง แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอ หรือสมมติว่าเจอแล้ว ไปถึงแล้ว คุณอาจจะมี Passion ใหม่ ๆ ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด”เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิตรับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสับ “พีท พล” ศิลปินหนุ่มเสียงลุ่มลึก ที่ผนึกทุกอารมณ์เข้าสู่หัวใจผู้ฟัง ด้วยเทคนิคการร้องเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และประจักษ์ต่อทุกสายตา พร้อมการันตีด้วยหลากหลายบทบาททั้งศิลปิน, นักแสดง, นายแบบ และเชฟ นอกจากนี้ยังมีผลงานเพลงฮิตอย่าง มากกว่ารัก, First Kiss และ ออเจ้าเอย ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เขาได้ผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต เพื่อก้าวไปสู่ความฝันให้กลายเป็นจริง พร้อมยังมีหลากหลายข้อคิดแรงบัลดาลใจ ที่ได้แชร์ไว้ในรายการอีกด้วย“นักร้อง” ความฝันตั้งแต่เด็กที่ พีท พล อยากทำให้สำเร็จ“นักร้อง คือความฝันตั้งแต่เด็กเลยครับ เราเป็นคนที่ชอบร้องเพลง เท่าที่จำความได้ก็คือ ตัวเองถือวิทยุที่มีช่องใส่เทปของคุณแม่ แล้วเทปทุกอันพังหมด เพราะว่าเราชอบอัดเสียงตัวเองลงเทปคาสเซ็ท อัดเล่นทับเทปของแม่ จนแม่ต้องเก็บไปซ่อนซึ่งนักร้องที่ชอบที่สุด คือ พี่มิ้นท์ มาลีวัลย์ ถ้าเป็นต่างชาติก็จะเป็น วิตนีย์ ฮิวสตัน ทั้งคู่คือที่สุดในดวงใจแล้ว ซึ่งในตอนเด็กเวลาเห็นเวทีที่ไหนก็จะคิดว่าเราต้องขอขึ้นแสดงความสามารถ เคยมีครั้งหนึ่งคุณป้าพาไปเห็นเวที แล้วเราขอขึ้นไปบนเวที เดินไปเองด้วย แล้วป้าเห็นอีกทีก็คืออยู่บนเวทีร้องเพลงอยู่บนนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีรูปที่คุณป้าเก็บไว้ เป็นรูปที่อยู่บนเวที ซึ่งที่บ้านก็เหมือนกับว่าอยากทำไรก็ทำ เค้าไม่บังคับว่าเราจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แต่เรารู้สึกว่า การได้ร้องเพลงได้แสดงคือการที่เราได้ทำสิ่งที่ชอบครับ”พีท พล กับตัวตนที่ฉันเป็น“สมัยเด็กเราโตมาในแบบที่เราไม่เข้าใจหรอกว่า ตุ๊ด คืออะไร เราแค่รู้สึกว่าเหมือนเราชอบผู้หญิง เคยมีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แล้วเราก็ค่อย ๆ ถูกมองว่าเป็นเพื่อนตุ๊ด แต่เราไม่รู้ว่าทำไม เราชอบผู้หญิงไม่ได้เหรอ จนเราเพิ่งมามีแฟนเป็นผู้ชายคนแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งสมัยก่อนคุณพ่อไม่โอเคเลย แต่เราก็ยังเป็นตัวของตัวเองนะ เค้าไม่โอเคแต่เราก็สู้ แล้วคุณแม่ก็จับแต่งหญิงเล่น จับไปถ่ายรูปกับพี่สาวด้วย ซึ่งเค้าก็ไม่คิดหรอกว่า มันจะส่งผลอะไรบ้าง แต่สำหรับพีท เรามองว่ามันเป็นเรื่องของสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วด้วยโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งคุณแม่เค้าก็อยากได้ลูกผู้ชายแหละ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราก็เป็นตัวเองแค่นั้นเรื่องการถูกบูลลี่ ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนเด็ก เรามองว่ามันไม่ได้ถึงขั้นที่เรียกว่าบูลลี่ เพราะว่าถ้าโดนบูลลี่เราจะโต้ตอบไม่ได้ แต่เราเป็นคนสู้คน ก็เลยรู้สึกว่าจะเรียกว่าบูลลี่ก็ไม่ได้ เค้าด่าเรา เราก็ด่ากลับ เราก็ปากแซ่บอยู่เหมือนกัน”เส้นทางสู่ฝัน จากนักแสดงละครเวที เล่นโฆษณา สู่ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว“งานแรกเลยในชีวิตเลยคือ พีทไปเล่นละครเวทีถวายให้ ควีนอลิธซาเบธที่ 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2535 พีทก็ไปเล่นละครเวทีรับบทเป็นพระนเรศวรตอนเด็ก พอได้เล่นละครเวทีแล้วก็รู้สึกว่าชอบจังเลย สนุกมาก ตอนนั้นมีข่าวลงมติชน เราก็ดีใจว่าฉันได้ลงหนังสือพิมพ์ แล้วแม่ซื้อเก็บไว้เป็น 10-20 เล่มเลย หลังจากนั้นก็กลับมาเรียน แล้วมีกิจกรรมที่โรงเรียน วันนั้นเราก็เต้น ซึ่งเต้นแรงมาก แล้วตอนเดินลงเวที ก็มีรุ่นพี่มาเรียกบอกว่าว่า มีพี่จากโมเดลลิ่งอยากเจอ เราก็คิดว่าชีวิตฉันกำลังจะได้เป็นดาราละ ก็ตัดสินใจไป พอไปถึงเค้าบอกว่าช่วยไปเรียกเพื่อนอีก 2 คนให้หน่อย 2 คนที่เต้นด้วยกันที่หล่อ ๆ ตามมาให้หน่อย ตอนนั้นเราก็รู้สึกพารานอยด์ แต่เค้าก็คงสงสารว่าเห็นหน้ามันจ๋อย ๆ ก็เลยเอาเราไปด้วย ก็ได้ไปแคสโฆษณา ซึ่งไปแคสตอนแรกเราไม่เข้าใจเลยว่าจินตนาการมันคืออะไร พี่เค้าจะบอกว่าให้วิ่งแล้วเดี๋ยวมันมีส้มหล่นมาจากลัง แล้วให้เรากระโดดข้ามส้ม ซึ่งเราก็เก้ ๆ กัง ๆ มาก จากนั้นก็ได้แคสติ้งไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่ามันคือเรื่องของภาพในหัวเรา จนเราเล่นโฆษณาไปประมาณ 20 กว่าตัวจนเราได้เข้าไปถ่ายละคร และเซ็นสัญญากับ พี่หน่อง อรุโณชา แล้วหลังจากนั้นก็เล่นละคร และครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่อยากเล่นละครต่อ เพราะเคยเจอผู้กำกับที่ดุร้ายมาก คือค่อนข้างไปในแนวใช้ความรุนแรงนิดนึง แล้วเราก็ยังใหม่กับการเป็นนักแสดง แล้วมันมีซีนที่ต้องมีคนมาสะกิดหลัง แล้วเราต้องสะดุ้ง แต่คนมันรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวฉันจะโดนสะกิดหลัง ฉันต้องตกใจ เวลาเล่นจังหวะของเรามันไม่ได้ เค้าก็สะกิดเราไปเรื่อย ๆ สะกิดแรงขึ้น จนทุบหลังเราแรงมาก วันนั้นก็เลยบอกแม่ว่าไม่เล่นแล้วมารับกลับบ้านเดี๋ยวนี้ จนพี่หน่องก็เลยส่งคนมาคุย มาขอโทษว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เราก็เลยทนเล่นไป และหลังจากนั้นเราก็เลิกเล่นละครไปเลยพักหนึ่งจนรู้สึกว่าเราอยากเป็นนักร้อง Passion ของเรากลับมา เลยไปประกวด First Stage Show Project ปี 2 ซึ่งคนที่ผ่านเวทีนี้ก็จะมี ไอซ์ ศรัณยู, ตั๊กแตน ชลดา และ ป๊อบ แคลอรี่บลาบลา เป็นต้น ซึ่งพีทไปปีที่สอง แต่เราก็ไม่ได้ มันเหมือนจังหวะของดวงด้วย ซึ่งวันนั้นเราคิดว่ายังไงฉันก็ได้ เพราะตื่นมาตี 3 ซ้อมร้องเพลงแล้วเสียงใสมาก แล้วพอตื่นอีกทีเสียงหายไปหมดเลย แล้วก็ต้องไปแข่ง พอแข่งจบเราก็แพ้เรื่องเสียง แล้วตอนนั้นมีประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 1 และเราเป็นแฟนคลับ นิวจิ๋ว เราก็ไปดูไปเชียร์แล้วชอบมาก ก็เลยไปประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 2 ซึ่งเราติดสัญญาอยู่ด้วย แต่ขอพี่หน่องว่า เราอยากเป็นนักร้องจริง ๆ ขอไปได้ไหม ซึ่งพี่หน่องก็ใจดีมาก ๆ ยอมให้เราไปทำตามความฝันของเรา”การประกวด The Star กับคำครหาว่า ครอบครัวระดมโหวตให้ตัวเองเข้ารอบ“ตอนที่พีทไปประกวด The Star เราไปด้วยมายด์เซ็ทที่ว่า พีทอยากเรียนรู้ อยากรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้น ฉันอยากลองไปดูว่ากรรมการจะคอมเมนต์ฉันว่าอะไร ฉันจะได้นำกลับมาปรับปรุงมาทำให้มันดีขึ้น กลายเป็นว่าตอนที่ไปประกวดมันกดดันมาก เพราะว่ากรรมการคอมเมนต์กันรุนแรงมาก และแรงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นรอบร้องสดยิ่งหนัก จนเรารู้สึกว่าฉันทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักที มันจะไม่มีอะไรที่ดีเลยเหรอ เราว่ารอบนี้เราดีขึ้น แต่มันก็ยังดีไม่พอ ตอนนั้นอยากกลับบ้าน แล้วเราจะเสียใจทุกครั้งที่เวลาคนอื่นตกรอบแล้วไม่ใช่ตัวเรา เพราะเรารู้ว่า ณ เวลาตรงนั้น เราอ่อนที่สุดด้วยสิ่งที่เห็น แต่คนก็โหวตเราให้เข้ารอบไปเรื่อย ๆจนช่วงนั้น 94 EFM มีงานเปิดคลื่น แล้วเราโดนนักข่าวสัมภาษณ์ถามว่า จริงไหมที่คุณให้ที่บ้านโหวตตัวคุณเองเข้ารอบ แล้วด้วยความที่เราเป็นคนปากแซ่บ ก็เลยตอบนักข่าวไปว่า บ้านพีทไม่ใช่คนรวย ไม่มีฐานะมาก ถ้าพีทมีเงินพอที่จะโหวตตัวเองเข้ารอบขนาดนั้น พีทเอาเงินไปเปิดค่ายแล้วออกเพลงเองดีกว่าไหม แล้วก็ผ่านมาได้ตอนที่ตกรอบ เป็นรอบเดียวที่เราไม่ร้องไห้ เพราะเมื่อก่อนมันไม่มีโซเชียล ถ้าอยากอ่านคอมเมนต์ก็อ่านได้จากแค่ในเว็บของแกรมมี่ ที่ชื่อเว็บจีเม็มเบอร์สแลซเดอะสตาร์ แล้วในเว็บถ้ามีคอมเมนต์ที่เป็นบวกก็จะเป็นสีเขียว ส่วนคอมเมนต์ไหนเป็นลบจะเป็นสีแดง แล้วมีวันนึงพีทขอรายการกลับบ้านเพื่อกลับไปสอบ รายการเค้าก็ให้กลับไป ก็ใช้จังหวะนั้นเปิดอินเตอร์เน็ต เพราะปกติรายการเค้าไม่ให้ดูเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคนเกลียดเราขนาดไหน พอเราเข้าไปอ่านปรากฎว่าเค้าด่าเรามีแต่ตัวแดง ไม่มีสีเขียวเลยซึ่งเราแค่แปลกใจ เพราะถ้าเค้าคอมเมนต์ว่าเราร้องไม่ดี มันก็จริง มันร้องไม่ดีเหมือนที่กรรมการเค้าพูด แต่เราก็สงสัยว่า แล้วตัวเองทำไมยังไม่ตกรอบสักที ช่วยเอาฉันออกไปจากตรงนี้สักที จนทุกครั้งที่คนอื่นตกรอบพีทจะร้องไห้ตลอด กระทั่งวันที่พีทตกรอบเป็นวันเดียวที่พีทไม่ร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าอิสระของฉันมาแล้วพีทเป็นคนชอบการประกวด เพราะเราอยากรู้เสมอว่าตอนนี้ฉันอยู่ในระดับไหน สิ่งที่ฉันพยายามมามันดีขึ้นหรือยัง ถ้าถามว่าทุกวันนี้ให้กลับไปประกวดหรือไปแข่งขันอีก พีทก็ยังชอบและอยากไป ซึ่งสุดท้ายแล้วการแข่งขันมันก็มีผู้แพ้ผู้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่เราตกรอบ The Star เราแค่รู้สึกว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของความชอบ เป็นเรื่องของรสนิยม เพราะฉะนั้นทุกคนจะชอบนักร้องคนเดียวกันหมดก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนอาหารก็ยังกินไม่เหมือนกันเลย”จาก “มากกว่ารัก” , “ออเจ้าเอย” สู่ “เคยอมแล้ว” เพลงใหม่จากใจของ พีท พล“หลังจากประกวด The Star จบ แล้วเราก็เซ็นสัญญากับแกรมมี่ จะมีช่วงหนึ่งที่เวลามีเรื่องอะไร เค้าจะมีโปสเตอร์หน้าลิฟท์ เป็นโปสเตอร์ที่เขียนว่า งานส่งช้า มีปัญหาเพื่อนร่วมงาน หรือเจอปัญหาอะไรในการทำงาน สามารถส่งเมล์มาได้ที่ เทลไพบูลย์แอดจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ดอทคอม แล้วเรากลายเป็นตำนานหนึ่งเดียวของศิลปิน ที่ส่งอีเมล์หาคุณไพบูลย์ ส่งไปด้วยถ้อยคำประมาณว่า ผมชื่อพีทนะครับ เป็น The Star ปี 2 เซ็นสัญญามาที่นี่ 3 ปีแล้ว ถ้าจะไม่ทำอะไรให้ผม ก็ช่วยยกเลิกสัญญาแล้วปล่อยผมไปด้วย หรือถ้าจะทำขอแค่ 1 เพลง เพราะจะได้วัดเลยว่าเราจะสามารถเป็นศิลปินได้ไหมหลังจากนั้นเค้าตอบพีทภายในวันเดียว ซึ่งเลขาคุณไพบูลย์โทรมาว่า เดี่ยวพรุ่งนี้นัดให้ไปเจอพี่อ๊อด กิตติศักดิ์ และได้ทำโปรเจ็กต์วอยซ์เมล์ ระหว่างการทำงานก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ เป็น หมอเอิ้น พิยะดา ก็เลยเกิดเป็นเพลง มากกว่ารัก ขึ้นมา พีทว่ามันเป็นเพลงที่มีความหมายที่ดี แล้วทุกครั้งที่มีงานแต่งงานคนก็จะนึกถึงเพลงนี้ ขอบคุณมาก ๆ ที่ทำให้เพลงนี้เกิดขึ้นในเรื่องเพลงประกอบละคร พี่หน่องจะกรุณาให้พีทร้อง เราร้องเพลงละครทุกปี ปีละเพลงสองเพลง อย่างเพลง ออเจ้าเอย บอกเลยว่าไม่ได้คาดคิดไว้เลย เป็นเพลงที่แอบอัด เพราะเหมือนพี่หน่องจินตนาการขึ้นมาว่าอยากให้มันมีเพลงนี้ แล้วละครกำลังจะออนแอร์ แล้วมันมีซีนที่พระเอกนางเอกอยู่บนเรือ ซึ่งพีทไม่เคยดูละครเลย ตอนนั้นพีทกำลังจะบินไปร้องเพลงที่อังกฤษ พี่หน่องก็ทักมาบอกว่า ส่งเพลงไปให้ฟัง แล้ววันอัดก็คือคืนวันที่บินเลย ก่อนอัดเค้าก็เล่าให้พีทฟังว่าเรื่องมันเป็นยังไง พีทก็เลยพยายามคิดว่าเราคือพี่หมื่น แล้วร้องออกมา ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเพลงมันดังมาก มารู้ตอนที่เพลงปล่อยมาแล้ว แล้วก็ได้กลับไปดูละครตอนแรก ถึงรู้สึกว่า ตอนแรกก็ปังขนาดนี้เลยเหรอ เข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็ร้องเพลงประกอบละครมาเรื่อย ๆพีทร้องเพลงมา 20 ปีแล้ว มีเพลงที่เป็นเพลงเดี่ยวของตัวเองน่าจะประมาณ 8-9 เพลงเอง จนปีนี้เราอยากจะมีเพลงความหมายดี ๆ ให้กับแฟน ๆ ให้เป็นเหมือนคำขอบคุณ ก็เลยกลายเป็นเพลงใหม่ล่าสุด เคยอมแล้ว ออกมาครับ อยากให้ฟังเพราะว่าชอบมาก ๆ เปิดฟังสบาย ๆ ในกรีนเวฟได้บ่อย ๆ เลยครับ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พีท พล“ความรักตอนนี้ดีครับ ความรักของพีทหลาย ๆ รอบ พีทจะระลึกถึงพี่อ้อยคนแรกเสมอ เพราะปรึกษาความรักกับพี่อ้อยตลอด อย่างตอนนั้นที่เรารักเพื่อนแล้วคิดว่าเราจะบอกเค้ายังไงดี ซึ่งเป็นที่มาของเพลง First Kiss แล้วพี่อ้อยก็บอกว่า 70% เค้ารู้อยู่แล้ว อีก 30% คือแค่เราบอก แต่ว่ามันก็ต้องชั่งน้ำหนักดี ๆ ว่าเราพร้อมจะรับผลจาก 30% นั้นไหม พีทก็เลยไม่บอกแต่ความรักทุกวันนี้ดีครับ มีคุยกัน ตีกันบ้าง มีไม่ค่อยเข้าใจกันบ้าง ซึ่งความรักของพีท จริง ๆ แล้วสิ่งที่พีทรักที่สุดก็คือสุนัข คือกำลังจะบอกว่าไม่มีอะไรที่สามารถทดแทนสุนัขของพีทได้เพราะว่านั่นคือดวงใจของพีทจริง ๆ พีทบอกเลยว่า ใครที่จะเข้ามาในชีวิตก็แล้วแต่ เราก็จะบอกให้เค้ารับรู้ว่า หมาคือนัมเบอร์วันของเรา Love me love my dogและความรักพีทมองว่า เราต้องให้ 50:50 ทั้งสองฝ่ายมันถึงจะเต็มร้อย และไม่ได้ใช้แค่ใจ มันต้องใช้สมองด้วย เพราะบางครั้งถ้าเรารักด้วยหัวใจ มันจะทำอะไรที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง จนเราอาจจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง”ยิ่งเรามี Multitalent ก็จะทำให้เราเอาตัวรอดได้“ตอนนี้พีทใช้ชีวิตอยู่ 2 ที่ ไทย และออสเตรเลีย ไปกลับ วันศุกร์กลับมาที่ไทย อยู่เสาร์-อาทิตย์ แล้วบินกลับ พีทไปเรียนทำอาหาร เรียนเป็น Cookery แล้วก็กำลังจะเรียนต่อเรื่อง Kitchen Management แล้วก็อยากต่อด้วย Hotel Management การเรียนทำอาหารมันเริ่มจากที่พีทถูกเชิญไปแข่งมาสเตอร์เชฟเซเลบริตี้ แล้วตอนนั้นติดล็อคดาวน์ ก็เลยโดยยกเลิกกรุ๊ปสุดท้าย เราไม่ได้แข่งต่อ เกิดเป็นความคับแค้นใจ ฉันอุตส่าห์ซ้อม และเราชอบทำอาหารมาก ที่บ้านเปิดร้านอาหาร แล้วก็คลุกคลีกับอาหารมาตลอด ก็เลยตัดสินใจไปเรียนเลย พอได้ไปเรียนเรื่องอาหาร มันเหมือนกลายเป็นคนบ้าไปเลย เพราะการรู้เยอะมันจะทำให้เรากินยากขึ้น เพราะมันจะระแวดระวังไปหมด ทั้งความปลอดภัยในการบริโภค หรือในการปรุงอาหารส่วนงานด้านแฟชั่น มาในช่วงที่พีทเป็นนักร้อง แล้วก็รู้สึกว่าฉันอยากเดินทาง อยากไปต่างประเทศ จนได้ไปเจอ พี่หญิง ที่ดับเบิ้ลยูเอ็ม ด้วยความบังเอิญ เราก็เลยบอกเค้าว่าอยากไปเมืองนอก เค้าก็เลยส่งไปสิงคโปร์ แล้วก็ได้โดดไปที่มิลาน ไปทำงาน ไปแคสติ้ง จนเหมือนเราไปทำงานปกติเลยพีทมองว่าโอกาสมันไม่ได้มาหาเราเสมอไป เราต้องวิ่งไปหามัน คือพยายามคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาเสมอ โดนปฏิเสธบ่อยมาก ยิ่งถ้าทำอาชีพเป็นโมเดลลิ่ง อย่างไปเป็นนายแบบ บางงานแคส 800 คนเอา 2 คน แต่เราก็ยังไป ยังอยู่เพื่อที่จะให้เค้าเห็น เราต้องทำตัวให้เหมือนตุ๊กตาล้มลุก คือพอเราล้มเราก็แค่ลุก เสียใจได้แต่อย่านาน เพราะว่าเวลาคือสิ่งที่มีค่าที่สุด และเวลาไม่เคยรอเราถ้าถามว่าชอบงานอะไรมากที่สุด มันเลือกไม่ได้จริง ๆ เพราะทุกครั้งเวลาที่ได้ไปทำอะไรใหม่ ๆ พีทก็จะมีความคิดถึงสิ่งที่เคยทำ อย่างตอนที่พีทเรียนอาหาร พีทก็คิดถึงกองละคร อยากกลับไปเล่นละคร ร้องเพลงเราก็ยังชอบ ก็ยังร้องเพลงอยู่เรื่อย ๆ มันก็ยังเป็นความฝันที่เราทำได้ไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทิ้งมันและพีทเป็นคนที่ชอบหา Passion ใหม่ ๆ ให้ตัวเอง เหมือนมีช่วงที่พีทดูโปรเจกต์รันเวย์ แล้วเราตัดสินใจซื้อจักรเย็บผ้า แล้วก็ไปลงเรียนเย็บผ้า ทุกวันนี้ก็พยายามเย็บเอง บางครั้งถ้าเรายิ่งมี Multitalent มีสกิลเยอะ ๆ มันจะทำให้เราเอาตัวรอดได้ อย่างไปอยู่เมืองนอก ฉันมีสกิลเย็บผ้า ฉันสอยผ้าได้ เราก็รับจ้างสอยผ้า ล่าสุดมีอาชีพใหม่คือเก็บของเก่า ก็ไปตามคอนโด เค้าทิ้งอะไร เราก็เอาไปโพสต์ขาย ขายต่อ ได้เงินมาเพิ่มอีก”สีสันแรงบันดาลใจจาก พีท พล“อยากให้ลองทำเยอะ ๆ บางครั้งการทำศิลปะ สมมติว่าถ้าคุณชอบวาดรูป คุณวาดรูปไปเลย คุณอยากทำอะไร คุณลองทำ ทำหลาย ๆ อย่าง เพื่อค้นหา Passion ของตัวเองว่าอะไรที่เหมาะกับเรา อะไรคือสิ่งที่เราชอบ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอ หรือสมมติว่าถ้าเจอแล้ว ไปถึงแล้ว คุณอาจจะมี Passion ใหม่ ๆ ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องผิด” - พีท พลพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต สู่การเรียกร้องสิทธิ์เพื่อความเท่าเทียม ของ “นก ยลลดา” หญิงข้ามเพศหัวใจแกร่ง สู่ตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2024

11 ก.ค. 2024

เรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต สู่การเรียกร้องสิทธิ์เพื่อความเท่าเทียม ของ “นก ยลลดา” หญิงข้ามเพศหัวใจแกร่ง สู่ตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2024

“โลกนี้มันมีความลากหลายของมนุษย์เยอะมาก ไม่ใช่เกิดมาแล้วทุกคนจะเก่ง สวย หรือดีเหมือนกันหมด ขอเพียงเรายอมรับคนอีกคน ยอมรับในความเป็นมนุษย์ของเค้า ไม่ต้องไต่เส้นความดี แค่เป็นคนธรรมดาที่มีความสุข แค่นี้ก็ได้”รายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญขวัญใจชาว Fabulous เจ้าของตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2024 นางพญาเจ้าของฉายา ควีนนกฟินิกซ์ “นก ยลลดา” หญิงข้ามเพศผู้คร่ำหวอดในวงการนางงามมากว่า 20 ปี ก่อนหน้านี้เธอเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมสตรีข้ามเพศแห่งประเทศไทย และมีบทบาททางการเมือง คือได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน ที่ยึดมั่นเรื่องการเรียกร้องสิทธิให้ LGBTQIA+ กว่าจะมีวันนี้เธอเคยผ่านเรื่องราวมากมาย และได้เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต จนได้มุมมองวิธีคิด พร้อมแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้นำมาแชร์ไว้ในรายการอีกด้วยเพราะการอกหัก กลายเป็นแรงผลักดันให้กลับมาประกวดนางงามอีกครั้ง“เรียกว่าช่วงจังหวะชีวิตมันได้พอดี เพราะนกเพิ่งเลิกกับสามีที่คบกันมา 11 ปี แล้วสิ่งที่เคยวางแผนไว้มันล้มไปหมด เราก็เลยต้องรีสตาร์ทตัวเองใหม่ ซึ่งช่วงเยียวยาหัวใจมันก็จะต้องหากิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับตัวเราทำ แล้วก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้กับสังคมด้วย และเราเป็นคนที่ชอบประกวดนางงามอยู่แล้ว ต่อให้เราแขวนส้นสูง คิดว่าตัวเองคงจะไม่ประกวดนางงามต่อแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 คิดว่าการประกวดครั้งนั้นคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว สำหรับ มิสอัลคาซ่า แต่ความเป็นนางงามมันยังอยู่ในใจ อยู่ในจิตวิญญาณของเรา บางทีแค่นั่งดูนั่งเชียร์นางงามมันก็ไม่พอ อยากจะขอเดินสักหน่อย เวลาอยู่บ้านเราก็ชอบเดินเล่นแบบนางงาม แต่พอเลิกกับสามี ก็เลยคิดว่าการประกวดนางงามน่าจะเป็นโอกาสของเราย้อนกลับไป 11 ปีที่คบกับสามี เราแต่งงานจดทะเบียนตามกฎหมายด้วย เพราะว่าสามีเป็นชายข้ามเพศ แล้วเค้ามีคำนำหน้าเป็นนางสาว ส่วนเราเป็นผู้หญิงข้ามเพศ คำนำหน้าเป็นนายตามกฎหมาย ทำให้สามารถจดทะเบียนได้ เราก็จดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่คบกันได้ 3 ปี ตอนนั้นเค้าตัดสินใจอยากจะผ่าตัดแปลงเพศ แล้วต้องเอามดลูกออก เราก็ได้นั่งคุยกันว่าแล้วเราจะมีลูกไหม บทสรุปคือเราอยากจะมีลูก ซึ่งพวกเราต้องเข้าสู่กระบวนการอุ้มบุญ แล้วกระบวนการอุ้มบุญตามกฎหมายของไทย จะต้องเป็นคู่สามีภรรยากัน เราสองคนก็เลยจูงมือกันไปแต่งงานจดทะเบียน แล้วเราก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการทำอุ้มบุญตามกฎหมาย ได้ตัวอ่อนมา 4 ตัวอ่อน ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี แล้วนกก็ไปเป็นนักการเมือง เป็นนักธุรกิจ ไปเปิดร้านอาหาร และทำรีสอร์ทที่ จ.น่าน ซึ่งเป็นบ้านเกิด เพื่อเตรียมตัวว่าปีหน้าเราจะได้เป็นแม่คนแน่ ๆ แต่มันก็มีเหตุไม่คาดคิดขึ้น คือจริง ๆ แล้วใบอนุญาตอุ้มบุญสำหรับคู่ของนก ได้มาตั้งแต่ก่อนจะมีโควิด แล้วเราก็กำลังจะทำอุ้มบุญกัน ซึ่งแม่อุ้มบุญเป็นลูกพี่ลูกน้องมาอุ้มบุญให้ โดยที่นก ใช้เชื้อของพี่ชาย ผสมกับไข่ของคุณแซม (สามี) ได้ตัวอ่อนมา พอกำลังจะใส่ตัวอ่อนเข้าไปในแม่อุ้มบุญ ปรากฏว่าโควิดมา ทำให้มีปัญหาเรื่องของการเดินทางข้ามจังหวัด บวกกับตอนนั้นมีกระแสคนไม่นิยมมีลูกแล้ว ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เราตัดสินใจเบรคไว้ก่อน พอโควิดหายซึ่งกินเวลากว่า 3 ปี แม่อุ้มบุญจากตอนนั้นน้ำหนัก 70 กิโลกรัม แต่พอจบโควิดแม่อุ้มบุญน้ำหนัก 102 กิโลกรัม คือกักตัวอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร แล้วเค้าน้ำหนักขึ้นมา 30 กิโลกรัม เราก็พาเค้าไปตรวจ คุณหมอก็บอกว่าสามารถใส่ตัวอ่อนได้นะแต่ว่าสุ่มเสี่ยงมากเลย คุณมี 4 ตัวอ่อนถ้าใส่ไป 2 แล้วถ้าเกิดว่าแม่อุ้มบุญผนังมดลูกหนาไม่พอ ก็ต้องเสียตัวอ่อนเลยนะ เราก็เลยไม่กล้าเสี่ยง เลยให้ลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่งมาอุ้มบุญแทน โดยที่เราจะต้องขออนุญาตใหม่ทั้งหมดทุกกระบวนการ กินเวลาไปอีก 1 ปี และในช่วง 1 ปีนั้น นกก็อยู่ห่างกับคุณแซม ด้วยความที่เราเป็น สจ. จังหวัดน่าน ด้วย ซึ่งพอขออนุญาตครั้งที่ 2 ได้ ก็เกิดเหตุนกเลิกกับคุณแซม เป็นจังหวะครั้งที่ 2 แล้ว ตอนนั้นเราก็คิดว่าจะทำไงต่อดี เราก็จะอายุ 45 ปี แล้วนะ เราก็อยากมีลูก เราเลยตัดสินใจเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครว่าเลิกกับคุณแซม แล้วก็จะดูแลลูก ปรากฏว่าวันที่เราตัดสินใจจะทำอุ้มบุญ ที่จะต้องใส่ตัวอ่อนให้กับแม่อุ้มบุญคนที่ 2 ปรากฏว่าแม่อุ้มบุญหนีตามผู้ชาย มันกลายเป็น 3 ครั้งที่เราทำอุ้มบุญไม่สำเร็จ ก็เลยตัดสินใจยั้งไว้ก่อน แล้วกลับมาฮีลใจตัวเอง ธุรกิจ บ้าน รถ ทุกสิ่งทุกอย่างที่วางแผนให้ลูกล่มสลายไปหมด แล้วเราก็ต้องกลับมาฮีลใจตัวเอง แม้นกจะใช้เวลาตัดใจเลิกกับคุณแซมเพียงแค่หนึ่งคืน แต่การฮีลหัวใจมันไม่ได้ง่ายเลย จะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังก็ไม่ได้ เพราะเราไม่อยากเพิ่มคนเสียใจ แม้แต่เพื่อนสนิท เราก็รู้สึกว่าเพื่อนสนิทก็ไม่ใช่คนที่ควรจะมานั่งฟังเรื่องทุกข์ ๆ ของเรา นกก็เลยคิดว่าไม่พูดดีกว่า แต่ถ้าไม่พูดเลยมันอัดอั้นตันใจจนเราได้มาเจอ Tiktok เมื่อเราเจอสภาวะที่เจอวิธีคิดบางอย่างขณะที่เราดาวน์ เสียใจ หรือโกรธ แล้วเราสามารถตัด ระงับ แล้วฮีลใจจากความรู้สึกเหล่านั้นได้ มันสามารถที่จะส่งต่อถ่ายทอดได้ในระยะเวลา 30 วินาที พอเราได้เล่าเรื่องของเราลงไปใน Tiktok ปรากฏว่ามีคนติดตาม มีคนเข้ามาให้กำลังใจเรื่อย ๆ เริ่มเรียกร้องให้เราไลฟ์ ทีแรกนกก็ทำไม่เป็น จนได้เริ่มไลฟ์ ได้เจอคอมมูนิตี้ใหม่ ที่มีทั้งคนที่มาให้กำลังใจ และมีทั้งคนที่อกหักด้วย ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อช่องว่า ชมรมคนอกหัก ถึงแม้ว่าชื่อมันจะดูดีพนิดนึง แต่เราพยายามจะนำพาทุกคนไปในรูปแบบที่ Good Mood และมีความหวัง เวลาเราฟังเรื่องของคนอื่น เราก็มีความรู้สึกว่า บางทีบางมุมเค้าหนักยิ่งกว่าเราอีกนะ หรือบางเรื่องมันก็ช่วยเยียวยาหัวใจคนอื่นได้เหมือนกัน มันน่าแปลกที่เรื่องอกหักของคนสองสามคน สามารถช่วยฮีลลิ่งกันและกันได้”เกือบตัดสินใจบวช ก่อนจะมาประกวด Miss Fabulous“ก่อนหน้าที่จะมาประกวด Miss Fabulous นกตัดสินใจว่าอยากจะลองไปบวชดู ซึ่งเป็นความตั้งใจตั้งแต่ตอนเป็นสาวแล้ว เพราะเราหลงใหลกับเรื่องของ Philosophy, Mentality และ Psychology เราเคยศึกษาหลาย ๆ ด้าน แล้วก็มันยังมีคำถามกับเรื่องของศาสนาอยู่ว่าถ้าเราปฏิบัติ ณ เวลาที่เราเป็นฆาราวาส กับการที่เราละเพศฆาราวาส ไปเป็นภิกษุณี มันจะมีความแตกต่างในเรื่องการปฏิบัติอย่างไรบ้าง ซึ่งหลายปีก่อนด้วยความที่เรามีสามี แล้วเราก็ตั้งใจจะมีลูก เราสร้างครอบครัว แล้วก่อนหน้าที่เราจะใส่ตัวอ่อนเข้าไปในแม่อุ้มบุญ นกเคยคิดแว๊บนึงว่าจะเอาจังหวะนี้แหละขอไปบวชแป๊บนึงได้มั้ย เพราะเรารู้ว่าเดี๋ยวลูกคลอด ไม่มีทางที่ชีวิตนี้จะได้บวชอีกแล้ว ซึ่งก่อนจะไปบวชก็เลยถาม 3 คน ถามคุณแม่ก่อน ว่าแม่ขออนุญาตไปบวชได้มั้ย แม่ไม่ตอบอะไร แต่เค้าเหมือนมีเครื่องหมายคำถามอยู่ตรงหน้า ถ้าให้นกเดาก็คือ ตอนนั้นเปิดร้านอาหาร เปิดรีสอร์ทอยู่ที่น่าน แม่ก็คงคิดว่าแล้วร้านอาหารกับรีสอร์ทใครจะดูแล ถัดมาไปถามคุณสามี คุณสามีบอกว่าได้ ไปกี่วันล่ะ 5 วันหรือ 7 วัน แล้วเราบอกว่าไม่รู้เหมือนกันเพราะเราไม่ได้บวชชีพราหมณ์ เราจะไปบวชโกนหัว เพราะเป้าหมายปลายทางคืออยากบวชเป็นภิกษุณี แต่ว่าการบวชเป็นภิกษุณี จะต้องบวชชีมาก่อน 2 ครั้ง เราต้องเคยศึกษาเรื่องการบวช แล้วก็วินัยต่าง ๆ มาก่อน เราก็เลยบอกสามีว่าจะไปบวชโกนหัวนะ ทีนี้เรื่องใหญ่เลย สามีถามว่าจะบวชได้ยังไง แล้วโกนหัวได้ยังไง กลับมาแล้วจะทำงานได้ยังไง หัวก็ไม่มีผมนะ เลยไปถามคนที่สาม ตอนนั้นกำลังทำเรื่องของสมรสเท่าเทียมแล้วก็กฎหมายรับรองของเพศสภาพอยู่ เลยถาม พี่แดนนี่ นายกสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย แล้วพี่แดนนี่ก็บอกว่า จะบวชห่มเหลือง กับบวชเป็นฆาราวาส ก็น่าจะคล้าย ๆ กันนะ กลายเป็น 3 เอ๊ะ จาก 3 คน ก็เลยไม่ได้บวชแต่พอก่อนหน้าที่จะประกวด Miss Fabulous ร้านอาหารก็ปิด รีสอร์ทก็ปิด สามีก็เลิกแล้ว ส่วนเรื่องสมรสเท่าเทียมเรารู้ว่าเดี๋ยวได้แน่นอน เพราะสัญญาณมันมาดี ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกคน 3 ผ่านหมดเลย แต่ มิถุนายน 2566 นกไปเดินพาเหรดงาน Pride Month ของพี่ลูกเกด ไปกับพี่แดนนี่ แล้วงานนั้นนกดันไปเจอ พี่ไบรอัน ตัน แล้วเราก็ปลื้มเค้าในฐานะเจ้าของเวที ก็เลยไปสวัสดี แล้วบอกพี่ไบรอันว่า หนูอยากไปประกวดเวทีพ่อจังเลย เค้าแหงนหน้ามาดูแล้วบอกว่า เอาสิ แบบเนี้ยไปก็ได้เลย เค้าว่าอย่างงี้ แล้ววันถัดมา เวที Miss Fabulous ก็ประกาศว่า เปิดรับสมัครผู้เข้าประกวดอายุตั้งแต่ 18-80 ปี แล้วถัดไปอีกวัน Miss Fabulous ภาคเหนือ เปิดรับสมัคร Miss Fabulous Northern นกตัดสินใจลงสมัครเลย เรื่องบวชคือลืมไปเลย นกสมัครไปเลย โดยที่ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง”กว่าจะเป็น “ควีนนกฟีนิกซ์” เจ้าของตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2024“ด้วยความที่ขาไม่ได้ใส่ส้นสูงมานาน แล้วก็ไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นเวลา 20 ปี ตั้งแต่ปี 2548 จนถึง 2567 ที่เราเดินรองเท้าส้นแก้วอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เป็นการฝึกที่มันจริงจัง ไม่ได้ไปออกกำลังกาย ไม่ได้ฝึกตอบคำถาม เราก็แค่นั่งดูแล้วก็วิเคราะห์ว่านางงามคนนี้ตอบดีหรือตอบไม่ดี หรือบางทีก็ไปเป็นกรรมการบ้าง พอตัดสินใจลงประกวด Miss Fabulous นกทำการบ้านแบบเร็วมาก ต้องไปซ้อมเดิน ต้องไปออกกำลังกาย และต้องไปเสริมจมูกด้วย จากเป็นคนที่ไม่เคยศัลยกรรมเลย เพราะยุคก่อนนางงามคนไหนทำศัลยกรรมคนนั้นตกรอบ เพราะถือว่าสวยไม่จริง แต่ยุคนี้ถ้าจมูกไม่พุ่ง กรามไม่ชัด หน้าบาน ๆ ใหญ่ ๆ อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราทำจมูกก่อนเลย ต้องบอกว่ามันกดดันมากที่เราต้องไปสู้กับเด็ก ซึ่งตอนประกวดภาคเหนือยังพอได้ เพราะด้วยความที่ภาคเหนือมันจะมีความต่อนยอน ซึ่งเราก็ยังทำได้อยู่ แต่พอเข้าเวทีกลางและเก็บตัว แล้วต้องทำกิจกรรม 12 แคมเปญ เราก็คิดว่าจะเอาอะไรไปขายเค้าดี แล้วเวลาที่เราทำกิจกรรม คนเค้ารู้ว่านกเป็นนักร้องมาก่อน เคยออกเทปมาก่อน คนก็คาดหวังว่าแคมเปญที่ต้องเต้น พี่นกต้องเต้นสะบัดแน่เลย แต่ลืมไปว่าเราอายุ 45 แล้วนะ มันผ่านมาหลายปีแล้ว แล้วในแคมเปญมันไม่ได้เต้นธรรมดา มันต้องเต้นกับสายฝน มีเปลวไฟขึ้น แล้วต้องเต้นคลุกกับน้ำคลำ คือถ้าเราเดินไม่ดีอาจจะข้อเท้าพลิกได้เลย แล้วการรักษาของเรามันไม่เหมือนเด็ก บวกกับการที่เราไม่ได้ออกกำลังกาย เราต้องระวังตัวเองมาก ๆ ทำให้กิจกรรมบางอย่าง นกต้องทำด้วยความระมัดระวัง เราต้องเซฟตัวเองว่าเราไหวไหม เพราะถ้าพลาดแล้วได้รับบาดเจ็บ เราอาจจะไม่ได้กลับเข้ามาในการประกวดอีกเลย เพราะฉะนั้นเวลาทำกิจกรรมบางอย่างมันอาจจะดูเหมือนว่าเราทำไม่เต็มที่ แต่จริง ๆ เราเต็มที่นะ เพราะเรารู้ว่าถ้าเกินกว่านี้เราไม่ปลอดภัยละ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้คะแนนเราไม่ดี คะแนนเราสู้น้อง ๆ เค้าไม่ได้”ไม่ต้องไต่เส้นความดี แค่เป็นคนธรรมดาที่มีความสุขแค่นี้ก็ได้“ในการประกวด Miss Fabulous Thailand 2024 รอบไฟนอล ที่นกต้องตอบคำถาม ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเราเข้ารอบเป็นคนแรก แล้วก็ต้องตอบคำถามเป็นคนแรก กับคำถามที่ว่า การไต่เส้นความดีงามของระบบกะเทย หรือความเป็นกะเทย เป็นสิ่งที่ฉุดรั้งตรึงตรวน ให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้รับการยอมรับและถูกตีตราจากสังคมหรือไม่ เพราะเหตุใด บอกได้เลยว่า นกจับคำได้คำเดียวคือ ไต่เส้นความดี นกเลยเริ่มตอบด้วยการแนะนำคุณแม่ เพราะการประกวดนี้ เป็นครั้งแรกที่คุณแม่มาเชียร์ แล้วด้วยความที่แม่มา แล้วเราก็จับใจความได้จากคำในคำถามที่ว่า ไต่เส้นความดี ก็เลยนึกถึงแม่ว่า แม่เป็นคนที่บอกเราตลอดตั้งแต่เรายังเด็กเลยว่า เป็นอะไรก็ได้ก็ขอให้เป็นคนดี แล้วก็ขอให้เรียนเก่ง ๆ นะลูก จะเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยเป็นอะไรก็ไม่เป็นไร เรียนเก่ง ๆ เข้าไว้ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน ตอนที่แนะนำแม่มันคือความรู้สึกปลื้มใจกับแม่มาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดถัดจากนี้ เป็นสิ่งที่ฝืนคำแม่มาก ๆ แต่เราแค่อยากจะบอกว่า นกก็เป็นลูกคนหนึ่งที่กตัญญูแล้วก็มีความรักให้คุณแม่แบบเต็มหัวใจ แล้วก็อยากบอกคุณแม่ด้วยว่า สิ่งที่กำลังจะพูดต่อจากนี้ ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะฝืนคำแม่ เราเติบโตมาได้ขนาดนี้เพราะเราเชื่อแม่มาตลอด เราก็ไต่เส้นความดีมาตลอด พยายามเรียนให้เก่ง ทำหน้าที่ของเรามาตั้งเยอะ และจากที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหว การทำงานอยู่กับชุมชน เราเลยรู้ว่า การที่จะเป็นคน 1 คน มันมีความหลากหลายของมนุษย์เยอะมาก มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะเก่งเหมือนกันหมด ทุกคนจะสวยเหมือนกันหมด หรือมีโอกาสเหมือนกันหมด แล้วเรากำลังจะนำพาสังคมของเราไปสู่การยอมรับเฉพาะคนเก่ง ยอมรับเฉพาะคนดี ยอมรับเฉพาะคนสวยเท่านั้นเหรอ แท้ที่จริงแล้วแค่เป็นมนุษย์หนึ่งคน ที่เรายอมรับคนอีกคนในฐานะที่เค้าเป็นมนุษย์ก็ได้ใช่ไหม ไม่ต้องไต่เส้นความดีก็ได้ใช่ไหม แล้วในคำถามวันนั้น เหมือนมีประเด็นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สุขุมวิท 11 ด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องของความรุนแรง แต่สำหรับนก นกก็ไม่ได้บอกว่าความรุนแรงจะสามามารถแก้ปัญหาอะไรได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเข้าใจด้วยว่ามนุษย์เรามันมีความแตกต่างหลากหลาย และเราก็ต้องไม่เหมารวม และก็ต้องยอมรับด้วยว่า กะเทยก็มีทั้งกะเทยที่ดี กะเทยที่อาจจะดีครึ่งไม่ดีครึ่ง หรือแม้แต่กะเทยที่ไม่ดี ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องของความเป็นมนุษย์ เราทุกคนก็เท่ากันหมด เพราะถ้าเปรียบเทียบกับชายหญิงทั่วไปมันก็เหมือนกันหมด แล้วกะเทยจะเป็นอะไรก็ได้ เป็น Sex Worker ก็ได้ เพราะในใจนกก็คิดว่านั่นคืออาชีพของเค้า เราอยู่ตรงนี้เราเคยรู้จักหลายคนที่เค้าเลือกที่จะเป็นแบบนั้น ตั้งแต่ยุคที่นกเป็นสาว ตอนที่เราเริ่มต้นทำเรื่องรับรองเพศสภาพ ตอนนั้นก็มีเพื่อนหลายคนที่สู้ไปด้วยกัน แล้ว ณ เวลานั้นพอไม่สำเร็จ เพื่อนหลายคนก็เลือกที่จะไปเป็น Sex Worker อยู่ที่ต่างประเทศ แล้วทุกวันนี้เค้าก็มีชีวิตที่อาจจะดีกว่าเราด้วยซ้ำ ได้รับการรับรองเพศสภาพ คำนำหน้าเป็น Miss บางคนเป็นมาดาม มีสามี มีครอบครัวที่ดี แต่หันกลับมามองตัวเอง เรายังคงอยู่ที่เดิม ยังต่อสู้เพื่อให้ได้ได้รับการรับรองเพศสภาพเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะไปปรามาสว่าใครได้ว่า เค้าเลือกทางเดินแบบนั้นแล้วมันจะไม่ดี กับการที่เป็นเรา เก่งดีมีอาชีพที่ได้รับการนับหน้าถือตา แล้วตอบไม่ได้ว่าปลายทางชีวิตเรามันจะดี มันตัดสินไม่ได้เลยค่ะ”ข้อผิดพลาด ที่กลายเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ 7 วันติด!“ย้อนกลับไป ที่นกได้จับพลัดจับผลูมาประกวดเวทีผู้หญิงเพราะสมัยก่อน ยังมีคำว่าแมวมองอยู่ คือแมวมองที่เป็นพี่เลี้ยงนางงาม เค้าไปเจอนกตอนที่ประกวดนางนพมาศที่มหาวิทยาลัย ซึ่งที่ ม.ธรรมศาสตร์ เปิดกว้างเรื่องเพศมาก แล้วเราประกวดได้ตำแหน่งขวัญใจ แล้วแมวมองที่เป็นพี่เลี้ยงนางงามก็ตื๊อเรา เราก็พยายามเลี่ยง จนเลี่ยงไม่ได้ เลยบอกว่าหนูไปประกวดเวทีนี้ให้พี่ก็ได้ แล้วถ้าหนูประกวดเสร็จไม่ว่าจะได้มงกุฎหรือไม่ได้ หนูจะไม่ประกวดต่อแล้ว หนูขอประกวดแค่เวทีเดียวนะคะพอไปสมัคร ตอนนั้นบัตรประชาชนไม่มี เพราะเราเอาไปเช่าหนังสือ เลยถามว่าใช้บัตรนักศึกษาแทนได้ไหม แล้วบัตรนักศึกษาธรรมศาสตร์ไม่มีคำนำหน้า กองก็รับสมัคร แล้วจำได้เลยว่าเวทีแรกในชีวิตที่ประกวดกับผู้หญิงคือ ดิโอลด์สยาม แล้วเวทีนั้นเราได้ที่ 1 หลังจากนั้นเราขออนุญาตคืนคำ จากที่บอกแมวมองว่าจะไม่ประกวดต่ออีก เพราะตอนนั้นเราคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ตำแหน่ง เราเป็นเด็กบ้านนอก ไม่เคยประกวดกับผู้หญิง แล้วเราจะได้ตำแหน่งได้ยังไง แต่พอได้ที่ 1 มันทำให้เราอยากประกวดต่อพอประกวดไปเรื่อย ๆ เราเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง แล้วมีเพื่อนที่สนิทกัน เค้าแนะนำว่าไปทำบัตรประชาชนไหม มีเอเจนซี่นะ ไปสวมบัตรคนตาย แล้วมันใช้ได้จริง ๆ เลย เราก็เก็บตังค์ไปทำ ซึ่งตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ 19 ปี เราตัดสินใจบนความคิดของเด็กอายุ 19 ปี ในเมื่อเราแปลงเพศแล้ว ทำอะไรแล้วทุกอย่างแล้ว เป้าหมายเดียวของฉันคือการเป็นผู้หญิงจริง ๆ ได้ใช้ชีวิตแบบผู้หญิงจริง ๆ ไม่ได้ต้องการไปหลอกอะไรใคร แต่เมื่อเราไปสวมบัตรแล้ว เราไม่สามารถหยิบบัตรประชาชนใบนั้นมาบอกว่าฉันสวมบัตรมานะเพราะมันผิดกฎหมาย เราจำเป็นที่จะต้องเก็บความลับนั้นไว้ และใช้ชีวิตแบบผู้หญิงที่เราต้องการต่อไปซึ่งเราใช้ชื่อในบัตรประชาชนใบนั้น ในการเรียนจนจบปริญญาโท ได้เป็นตัวแทนประเทศไปประกวด Miss Tourism International และได้รางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยมกลับมา ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ระยะเวลา 6 ปีที่เราใช้ชีวิตแบบผู้หญิงทั่วไป มันมีโอกาสมากมายเลยจริง ๆ เพราะถ้าเราอยู่ในสภาวการณ์กะเทยคนหนึ่ง แค่เราจะไปสมัครเป็นพนักงานอะไรสักอย่าง อย่าว่าแต่แอร์โฮสเตสเลย เค้ายังไม่รับเราเลยในยุคนั้น ซึ่งตอนนี้นกไม่ได้ทำการเมืองแล้ว ก่อนหน้านั้นนกเป็น สจ. มา 8 ปี และตอนนี้นกรับหน้าที่เป็น คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วาระดำรงตำแหน่ง 3 ปี ซึ่งจะได้รับการร้องเรียนเข้ามาด้วยเรื่องพวกนี้ตลอด เพราะฉะนั้นที่บอกว่าสังคมเปิดกว้าง แต่สำหรับทรานส์ นกบอกเลยว่ายังไม่เปิดพอเราไปประกวดต่างประเทศกลับมา ปีถัดมาจะต้องจัดประกวดนางงามสยามอีกครั้ง กองก็ให้เราซึ่งเป็นนางงามสยามคนเก่าไปถ่ายโปสเตอร์ ซึ่งก็เริ่มมีต่อมเอ๊ะจากพี่เลี้ยงนางงาม เพราะก็มีพี่เลี้ยงที่รู้จักเราว่าเราเป็นอะไร จึงเกิดคำถามกันว่าสรุปแล้วนางงามสยามเค้าประกวดผู้หญิงหรือประกวดกะเทยกันแน่ หลังจากนั้นนักข่าวตามเรื่องเลย นก หัสดี เป็นใคร ตามจนเจอเรื่องราวความจริง หลังจากนั้น 7 วัน หนังสือพิมพ์ลงข่าวหน้าหนึ่ง เป็นข่าวของนก 7 วันติด แล้วชีวิตนกล่มสลายเลย ทั้ง ๆ ที่ชีวิตตอนนั้นมันดำเนินไปแบบดีอยู่แล้ว แต่มันต้องล่มสลายเพราะความกล้าก๋ากั่นของเราเอง”เรียนรู้ความผิดพลาด สู่การเรียกร้องสิทธิ์เพื่อความเท่าเทียม“ล่าสุดที่นกโพสต์ใน Facebook ของตัวเองว่า จะเอา นางสาว ไปหลอกใครคะ กะเทยนะไม่ใช่ผี ซึ่งถ้ามองกันแค่ชั้นเดียว คนคงคิดว่านกกำลังจะบอกว่าคนก็คิดว่ากะเทยเป็นคนไม่ใช่ผี ผีนั่นแหละที่จะหลอก แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่นกกำลังจะสื่อสารก็คือ มันไม่ใช่นกคนเดียวนะ ช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีแค่ ยลลดา คนเดียวที่ไปสวมบัตรคนตาย ด้วยความที่นกทำงานชุมชน นกรู้ว่ามีสาวข้ามเพศหลายคนที่ต้องถูกจับ จากการที่เค้ายอมเอาตัวเองไปสวมบัตรประชาชน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันผิด แต่เพราะเค้าต้องการที่จะใช้ชีวิตแบบที่ผู้หญิงคนหนึ้งเป็น จนทำให้กะเทยต้องยอมไปเป็นผี คือไปสวมบัตรประชาชนคนตายกลายเป็นผีแล้วเอาไปหลอกคนอื่นแต่ถ้าวันนี้ เราแค่เปลี่ยน Paradigm สังคมสักหน่อยว่า สิทธิมนุษยชนของคน เราไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ภูมิใจในการเกิดหรือการเป็นตัวตนของเรา เพียงแต่ว่าเราพูดถึงเรื่องของการใช้ชีวิต เราไม่มาเถียงกันว่าอดีตที่ผ่านมาคืออะไร แต่เรามาคุยกันว่า ที่ไปของคนที่เป็นทรานส์ เค้าจะไปต่อยังไง แล้วมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ที่ต้องใส่ใจกับมันจริง ๆ แต่ตอนนี้สังคมไทยกำลังคิดว่าสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว จะขออะไรอีก ได้คืบจะเอาศอก แต่จริง ๆ มันคนละเรื่องกัน เรื่องของการแต่งงานก็คือเรื่องแต่งงาน เรื่องของการรับรองเพศสภาพก็คือเรื่องการรับรองเพศสภาพ มันคนละเรื่องกันนกว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องของการรับรองเพศสภาพ ควรจะเป็นเรื่องจากเจตจำนงค์ของบุคคลนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับาการแปลงเพศหรือไม่แปลงเพศด้วยนะ เกี่ยวกับว่าเค้าต้องการเป็นเพศไหน เพราะจริง ๆ แล้วเลเยอร์ของการเป็นทรานส์ มันมีทั้งคนที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว คนที่พยายามผ่าตัดแปลงเพศแล้วแต่ผ่าตัดไม่ได้ และคนที่ไม่ได้ต้องการที่จะผ่าตัดแปลงเพศ แต่สิ่งที่เค้ามีเหมือนกันคือ เค้าดำรงตนและใช้ชีวิตในเพศที่ข้ามมาแล้วจากเพศกำเนิดของเค้าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เค้ากำลังเผชิญเหมือนกัน ก็คือเค้าจะถูดลดทอนคุณค่าต่อการรับรู้ รับทราบ รับรองการเป็นเพศสภาพใหม่ของเค้าในปัจจุบันจริง ๆ แล้วการรับรองเพศสภาพ กับการให้คำนำหน้า มันเหมือนการเปลี่ยนชื่อเลย แล้วเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนที่นกทำเรื่องคำนำหน้าแล้วก็เรื่องการรับรองเพศสภาพ ถ้าเราให้เฉพาะคนที่แปลงเพศแล้ว มันก็เหมือนเรากำลังละทิ้งเพื่อนเราไว้ข้างหลัง เพราะจริง ๆ แล้ววันนี้ การที่เราจะมองเห็นใครสักคนนึงในสังคม เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปเปิดดูว่าเค้ามีอวัยวะอะไร เค้าเป็นเพศอะไร เหมือนกฎหมายฉบับหนึ่ง คือกฎหมาย พรบ.คำนำหน้านามสตรี ที่ถูกเปลี่ยนจากผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องเป็นนาง สามารถที่จะเลือกเป็นนางก็ได้ นางสาวก็ได้ แล้วสามารถใช้นามสกุลสามีหรือไม่ก็ได้ มันคือสิทธิความเป็นส่วนตัวกับผู้หญิง ไม่ตีตราผู้หญิงว่าผู้หญิงคนนี้แต่งงานมาแล้วหรือยัง ซึ่งกฎหมายต้องรับรองบุคคล ไม่ใช่ไปตีตราบุคคล วันนี้ก็เช่นเดียวกัน การรับรองเพศสภาพ มันต้องช่วยซัพพอร์ททุกคน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย กฎหมายก็ต้องรับรองบุคคลนั้น ถ้าคนหนึ่งคนเค้าไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตของเค้า ในการที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ หรือในการเป็นเพศของเค้าได้ กฎหมายต้องรับรองเค้าทุกวันนี้ต่อให้ไม่มี พรบ.รับรองเพศสภาพ การหลอกก็เกิดขึ้น ชายอาจจะไปหลอกหญิงว่ายังไม่มีภรรยาแล้วมีหญิงอีกคนหนึ่ง หรือหญิงก็อาจจะหลอกผู้ชายว่ายังไม่เคยมีลูก แต่อาจจะมีลูกมาแล้ว 3 คน หรือชายคนหนึ่งอาจจะหลอกว่าไม่เคยติดคุกมาก่อน แต่ที่จริงเคยผ่านการติดคุกมาแล้ว หรือแม้แต่หญิงข้ามเพศไปหลอกผู้ชายว่าเป็นผู้หญิง ต่อให้ไม่มีบัตรประชาชนก็หลอกได้ แต่นกกำลังจะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่นกทำมาเพราะไม่อยากให้สังคมผลักให้กะเทยกลายไปเป็นผีอีก เราไม่อยากจะต้องสวมบัตรใคร เราไม่ต้องการจะทำผิดกฎหมาย แล้วเป็นข้อตกลงที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข แล้วมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้งั้นกลับไปเราก็คงต้องใช้กฎหมายตราสามดวงเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นหากกฎหมายเดิมล้าสมัยและมันไม่ทันกับโลกแล้ว ก็ต้องปรับแก้เท่านั้นเอง” - นก ยลลดาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

ล้วงลึกลุคสุดปัง พร้อมรับพลังใจ จาก “ไจ๋ ซีร่า” Drag Queen พันหน้า เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย

05 ก.ค. 2024

ล้วงลึกลุคสุดปัง พร้อมรับพลังใจ จาก “ไจ๋ ซีร่า” Drag Queen พันหน้า เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย

“ชีวิตที่ผ่านมาของไจ๋ มีทางแยกหลายทางมาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไป ทางแยกเหล่านั้น มันเป็นตัวสร้างเรา ให้มาเป็นตัวเราอยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยเสียใจเลยกับทุกโมเมนต์ กับทุกทางเลือกที่ผ่านมาของตัวเอง”ยังเป็นคลับที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “ไจ๋ ซีร่า” Drag Queen พันหน้า เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย และเจ้าของแบรนด์วิกผม SiraWigs ที่ชาวแดร็ก และนักแต่งหญิงทุกคนยอมรับในความเนียน ความละเอียด และปังทุกทรง แต่กว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวที่เป็นเหมือนสีสันของชีวิต พร้อมมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ มาแชร์เอาไว้ในรายการอีกด้วยจากที่ต้องปิดบังตัวตน สู่การเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจ“สมัยก่อนไจ๋ ปิดบังเรื่องที่ตัวเองเป็นแดร็กควีนกับทางบ้านมาโดยตลอด เค้ารู้แค่ว่าเราหอบข้าวหอบของออกจากบ้านไปทำงานเป็นแดนเซอร์ เพราะไจ๋จะบอกเค้าว่าไปเต้นงาน แล้วแต่ก่อนไจ๋ก็ปฏิเสธรายการฟรีทีวีเยอะมาก เพราะกลัวที่บ้านจะรู้ จนมีรายการดังรายการหนึ่งติดต่อมา ซึ่งมันต้องไปแล้ว เพราะรายการดังมาก ก็เลยตัดสินใจไปออกรายการนั้น ปรากฎว่าคุณแม่ไปซื้อส้มตำ แล้วพ่อค้าส้มตำหน้าปากซอยคุยกับแม่ว่า ลูกชายเจ๊ไปออกทีวี เค้าเก่งมากเลยนะเจ๊ แม่ก็งงว่าไปออกทีวีได้ยังไง พอแม่กลับมาบ้าน เค้าก็ไปคาดคั้นเอาคำตอบจากแฟนว่าไจ๋ออกรายการอะไร ไม่เห็นบอกแม่บ้างเลย ซึ่งตอนนั้นไจ๋ทำงานอยู่ต่างประเทศ ก็เลยตัดสินใจบอกกับแฟนว่า ให้แม่เค้าดูไปเถอะ มันถึงจุด ๆ นี้แล้ว ตอนนั้นมันเหมือนเรากังวลไปก่อน เพราะตอนกลับบ้านมา พ่อก็ถามว่าเป็นยังไงเหนื่อยมั้ย แล้วพ่อก็แซวบอกว่า วันหลังเอาหมาที่บ้านไปช่วยแสดงด้วยนะเวลาออกทีวี แล้วตอนที่ไจ๋ไปออกทีวีมันเป็นช่วงที่ต้องเปิดแผ่นป้าย แล้วพอเปิดออกมาดันได้คำว่า ลูกคุณเป็นแดร็กควีน แล้วก็เปิดตัวเราอย่างยิ่งใหญ่มาก ซึ่งกลับกลายเป็นว่าคุณแม่ชอบ แล้วคุณแม่กลายเป็นแฟนคลับของเราไปเลย ทุกวันนี้คุณแม่จะตามคอมเมนต์ใน Tiktok อยู่ตลอดว่า สุดยอดมาก สวยมาก เค้ากลายเป็นแฟนคลับตัวยงไปเลย”เปิดความหมาย “Drag Queen” ตามแบบฉบับของ “ไจ๋ ซีร่า”“Drag Queen คือศิลปิน ซึ่งเป็นทุกอย่างที่อยู่ภายใต้คำว่า เอ็นเตอร์เทนเนอร์ ซึ่งสามารถที่จะสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น คอมเมเดียน โฮสม พิธีกร หรือนักร้อง ซึ่งมันดิ้นออกไปในจักรวาลนี้ไปได้หลายทางมาก ๆ มันก็เลยไม่มีคำจำกัดความว่า แดร็กควีนจะต้องทำแบบนั้น ทำแบบนี้ และทุกคนสามารถเป็นแดร็กควีนได้ ไม่จำกัดเพศด้วยอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากของแดร็กควีน คือการสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม สามารถสร้างสรรค์ผลงานแล้วกลายเป็นที่ยอมรับได้”ออกงานทุกครั้ง ต้อง “ปัง” เท่านั้น“ปัง มันเป็นคำที่เราได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำให้เราตั้งมาตรฐานของตัวเองไว้ว่า ถ้าเราจะปรากฎตัวที่ไหนมันต้องปัง การเป็นแดร็กควีนมันจะต้องใช้ Wow Factor เป็นหลัก ซึ่งเราผัน Wow Factor มาเป็นคำว่า ปัง การที่เราปรากฎกายแต่ละครั้ง หรือไปงานไหน ทุกคนจะต้องร้องอุ้ย มาขนาดนี้เลยเหรอ นั่นคือเป็นสิ่งที่ไจ๋พยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้นซึ่งถามว่ากดดันไหม ต้องขอใช้คำว่ากดดันมาก เพราะว่า ด้วยความที่เราเคยสร้างมาตรฐานไว้แบบนี้ แล้วเป็นมาตรฐานที่สูง มันทำให้เราสิ้นเปลืองเอ็นเนอร์จี้ สิ้นเปลืองเงิน บางทีเราทำงานนึงเชื่อมั้ยว่า บางครั้งค่าตัวไม่เหลือเลย หมดไปกับเสื้อผ้าหน้าผม แล้วลุคที่เราคิดขึ้นมา มันจำเป็นที่จะต้องใช้ของที่ไม่ได้มีอยู่ทั่วไป มันจะต้องประกอบใหม่ ทำใหม่ แล้วอาชีพแดร็กควีนเป็นอาชีพที่จะต้องขายภาพใหม่อยู่เสมอ มันขายภาพซ้ำไม่ได้ เพราะเป็นงานศิลปะ เราเป็นศิลปิน ถ้าเกิดเราใส่ชุดเดิมซ้ำ ๆ แฟนคลับก็จะเบื่อ แล้วก็ไปดูอย่างอื่น เราก็เลยต้องสร้างจุดสนใจจากตรงนี้ให้ได้เยอะ ๆจริง ๆ แล้วแดร็กควีนมีอยู่ในไทยมานานแล้ว แต่ว่าแค่อาจจะไม่ได้มาออกสื่อ ไม่ได้มีการพูดถึงเพราะว่าเค้าจะอยู่ตามคลับ หรือสถานบันเทิง แต่ว่า ไจ๋ เป็นคนแรก ๆ เลย ที่กล้าออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ ทำผลงานในโซเชียล แล้วก็ได้รับความสนใจ กลายเป็นช่วงจังหวะที่ดี ณ เวลานั้นด้วยเวลาจะออกงาน หรือทำคอนเทนต์หนึ่งครั้ง มันก็เริ่มตั้งแต่ตั้งโจทย์ก่อนว่า รูปลักษณ์ของเราอยากจะให้ออกมาเป็นรูปแบบไหน แล้วเราจะหาอะไรมาประกอบชุดบ้าง ชุดจะไปในทิศทางไหน แล้วก็เริ่มไปหาของมา ซื้อเครื่องสำอางมาแต่งหน้า แล้วก็หาวิกผมอีก ซึ่งแต่งหน้าเราใช้เวลา 2 ชั่วโมง แต่งตัวอีก 1 ชั่วโมง รวมเป็น 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ซึ่งที่เคยแต่งนานที่สุด ก็ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งพอแต่งนาน ๆ มันจะทำให้เราพลังหมด เพราะเราไปทุ่มพลังกับการแต่งหน้าแต่งตัวมากเกินไป กับกลายเป็นว่าพอไปอยู่หน้างานเราจะอ่อม ไม่มีแรง ไม่มีเอนเนอร์จี้”กว่าจะเป็น SiraWigs วิกทอมือ เจ้าแรกของไทย!“วิกผมมันเป็นของคู่กับกะเทยมาช้านาน ซึ่ง ไจ๋ ได้ประสบการณ์ใส่วิกมาตั้งแต่สมัยเราทำงานเป็นนางโชว์ที่เมืองนอก แล้วได้ไปเห็นนวัตกรรมการใส่วิกที่มาจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งมันมีการทอมือ แล้วใช้วิธีการติดกาว ทำให้วิกมันเนียนมากกว่าปกติ แล้วถ้าได้ดูเบื้องหลังการแต่งตัวของเซเลบฮอลลีวู้ดต่าง ๆ จะเห็นว่าเค้าใส่วิกทอมือกันเยอะมาก รวมถึงศิลปินระดับโลกไม่ว่าจะเป็น ตัวแม่ในการใส่วิกเลยก็คือ บียอนเซ่ เค้าใส่วิกบ่อยมากช่วงประมาณ 10 ปีที่แล้ว ใส่วิกแล้วผมสะพรึงตลอด พอเราไปเห็นนวัตกรรมนี้จากเมืองนอก แล้วเราตื่นตาตื่นใจมันมหัศจรรย์เหมือนเปิดโลกใหม่ มันคือยุคใหม่ของการใส่วิก แล้วพอเรากลับมาเมืองไทย ก็เอาวิกนั้นมาใส่ที่ไทย ทุกคนก็เริ่มทักว่าทำไมเนียนจังเลย หรือทำไมไปโกรกสีผมมา ซึ่งจริง ๆ แล้วเราใส่วิก จนมีคำถามจากเพื่อนว่าแล้วทำไมไม่ทำขาย เราจึงเริ่มเห็นช่องทางรวย ก็เลยเริ่มติดต่อกับเพื่อนที่เคยเจอที่ออสเตรเลีย แล้วเค้าย้ายไปอยู่เยอรมัน เริ่มติดต่อกัน แล้วก็เริ่มทำเป็นแบรนด์วิกผมของเราเอง ชื่อว่า SiraWigsในยุคเก่าวิกผมมันจะเป็นลักษณะของวิกไหมไฟเบอร์ซึ่งมันจะมีความเงาแบบการ์ตูน เป็นวิกสำหรับปาร์ตี้ แล้วก็พัฒนามาเป็นไหมไฟเบอร์ที่ไม่เงา แต่ก็พันกันง่าย แล้วไหมของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งไจ๋ก็ไปทำรีเสิร์ชมาหมดแล้ว อย่างจีนก็จะมีหลายเกรดหลายรูปแบบ ส่วนญี่ปุ่น ไหมของเค้าจะเหมาะกับการทำวิกครอสเพลย์ ซึ่งเป็นวิกที่ถ้าเอามาแต่งเป็นแดร็กควีนหัวใหญ่ ๆ บึ้ม ๆ มันจะอลังการมาก แล้วถ้าเป็นไหมของเกาหลีจะเสมือนผมจริงมาก มันจะเป็นไหมฟอก ซึ่งเราทำรีเสิร์ชเยอะมากก่อนที่จะคลอดมาเป็นแบรนด์ของตัวเอง แล้วเราก็คุยกับเพื่อนที่อยู่เยอรมันในเรื่องของไหมที่จะเอามาทำวิก ฉันขอตัวที่ดีที่สุด ขอตัวที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดกาวเป็นเรื่องใหญ่มากของ SiraWigs ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า กาวมันจะต้องเป็นกาวที่อ่อนโยนกับผิวแพ้ง่ายด้วย ซึ่งร้านไจ๋เป็นร้านวิกที่หวงกาวมาก เพราะว่าสั่งผลิตทีเราต้องอ้อนวอนโรงงาน เพราะว่าใช้โรงงานที่ทำอุตสาหกรรมของภาพยนตร์ที่ฮ่องกง คือต้องใช้คอนเน็คชั่นเยอะมากกว่าจะฝ่าด่านไปหาเค้าได้ แล้วให้เค้าผลิตเป็นกาวของแบนด์เรา คนที่ได้ใช้กาวของเรา กาวมันจะต้องมีความเหนียวความทน แล้วก็จะต้องมีส่วนผสมที่ไม่แพ้ง่าย ตั้งแต่ตั้งร้านมาสิบกว่าปี มีคนที่แพ้กาวเราประมาณ 5 คนเอง แล้วก็มักจะมีคนขอซื้อแค่กาว แต่เราต้องอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า เราไม่สามารถขายกาวแยกได้ เพราะถ้ากาวหมดสต็อก วิกจะขายไม่ได้ ฉะนั้นวิกมันต้องมาคู่กับกาว ถ้าคุณจำเป็นจะต้องใช้กาว แล้วไปได้วิกมาจากร้านอื่น เราก็จะแนะนำว่าลองปรึกษาร้านที่ซื้อมาได้ไหมคะอะไรแบบนั้นการใส่วิก มันเหมือนกับการทำเล็บ คือใส่เพื่อเสริมบุคลิกภาพ แต่การใส่วิกทุกวันนี้ มันเพื่อความสนุก เพื่อการเปลี่ยนโฉม บางคนไม่อยากทำสีผมก็ใส่วิกก็ได้ ซึ่งเราต้องทำออกมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่ต้องการเปลี่ยนลุคของตัวเองด้วย ไจ๋ใช้เวลากว่า 2 ปี เรารีเสิร์ชเยอะมาก เพราะจะต้องหาไหมตัวที่ดีที่สุด ด้วยความที่ส่วนตัวเป็นคนที่ทำอะไรต้องสุด กลับกลายเป็นว่าตัวที่ดีที่สุด แพงที่สุดเลย ณ เวลานั้น และทำเพื่อลูกค้าคนแรกเลยคือ พี่ม้า อรนภา เป็นวิกผมราคา 20,000 บาท พี่ม้าพูดว่าอย่ามาพูดเรื่องเงินกับฉัน ฉันต้องการความสบายใจและความเป๊ะ ฉันเชื่อมือเธอ เราเลยบอกว่าได้ค่ะพี่ ลูกค้าคนแรกจัดให้ค่ะ แล้วก็สวยปัง จนวิกเราเริ่มเป็นที่พูดถึงมาเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ราคาวิกผมอยู่ที่ 1,900 บาท ทุกคนอาจจะคิดว่าราคาวิกผมต้องแพงมาก ซึ่งมันหมดยุคแล้ว ที่แพงคือราคาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว นวัตกรรมมันดิ้นไปเรื่อย ๆ วัตถุดิบมันก็ถูกลงเพราะว่ามีโรงงานแข่งกันผลิต เกิดการสู้กันในตลาด มันก็เลยส่งผลมาถึงเราด้วย เราสามารถผลิตด้วยต้นทุนที่น้อยลง ก็เลยลดราคาลงมาตามยุคซึ่งตลาดวิกผม เมื่อก่อนเราจะรู้จักกับวิกประตูน้ำ วิกสำเพ็ง แต่ด้วยความที่ว่า พอไจ๋นำวิกทอมือเข้ามา เราเป็นคนคิดคนแรก ซึ่งเมื่อก่อนมันก็จะมีวิกชาร์ม ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่า วิกชาร์ม คืออะไร มาจากคำว่าชาร์มมิ่งเหรอ แล้วก็จะมีวิกลูกไม้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันลูกไม้ตรงไหน ก็เลยเลือกใช้คำใหม่เลยแล้วกันว่า วิกทอมือ ตั้งแต่เริ่มเปิดร้านจนมาถึงปัจจุบันนี้ แล้วร้านอื่นเค้าก็เริ่มเอาวิกประเภทนี้มาขายกันเยอะมากขึ้น เค้าก็ใช้คำของเรา แต่เราก็ไม่มีหน้าที่ไปหวงห้าม ไม่มีหน้าที่ไปจดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าพูดถึงตลาดวิกผมตอนนี้ก็คือเป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น คนรู้จักเยอะแล้วค่ะ”คนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัล Showgirl’s Choice จาก DIVA Awards“พอเรียนจบปริญญาตรี ไจ๋ก็ไปทำงานเฉิดฉายอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเราก็มีความฝันว่า เราอยากจะไปตามรอยภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งแต่เด็ก ๆ ชื่อว่า The Adventures of Priscilla เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแดร็กควีน ซึ่งถ่ายทำที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว เราอยากไปเห็นของจริง สถานที่ถ่ายทำจริง ก็เลยตัดสินใจว่าถ้าเราจะไปเรียนต่อปริญญาโท เราอยากจะไปประเทศออสเตรเลีย แล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียค่ะเรื่องการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่นั่นเปิดกว้างมากค่ะ แต่สำหรับคนที่เกลียด ก็เกลียดรุนแรงเลย ซึ่งในเรื่องของการยอมรับไจ๋ต้องขอบอกว่า นอกจากประเทศเค้าจะฟรีในเรื่องของ LGBTQ+ แล้ว ประเทศเค้าค่อนข้างฟรีในเรื่องของเชื้อชาติ เพราะว่าตอนที่เราไป เราก็ไปทำงานเป็นแดร็กควีนที่นั่น ซึ่งทุกคนอาจจะจินตนาการว่าเราจะต้องโดนเหยียด เพราะเราเป็นเอเชีย แล้วไปแย่งงานฝรั่ง กลับกลายเป็นว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทุกคนดีกับเรามาก กลายเป็นว่าเราอยู่ที่โน่นแล้วเราสบายใจ เรามีความสุขในการทำงานถ้าพูดถึงรางวัล ตอนนั้นรางวัลสูงสุดที่ไจ๋ได้รับ คือ Showgirl’s Choice ซึ่งประเทศออสเตรเลียเค้าจะมีการประกาศรางวัลทุกปีชื่อว่า DIVA Awards ซึ่งรางวัลนี้เค้าจะมอบให้กับคนที่ทำผลงานดีในแต่ละสาขาในคอมมูนิตี้นี่เกี่ยวกับวงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทั้งหมด ซึ่งตอนที่ไจ๋ไปอยู่เข้าปีที่ 2 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Rising Star เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ แต่พลาดรางวัลนั้นไป แต่พอปีที่ 3 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลที่ใหญ่กว่า เทียบในไทยเหมือนรางวัลตุ๊กตาทอง รางวัลนี้มันทำให้ไจ๋ประทับใจมาก ตรงที่ว่ามันไม่ใช่รางวัลที่คณะกรรมการจะมานั่งเลือก แต่เป็นรางวัลที่แดร็กควีนทั่วประเทศออสเตรเลียเป็นคนเลือกว่าใครต้องได้รับรางวัลนี้ ซึ่งไจ๋เป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลมา ไจ๋ไม่ลืมโมเมนต์ที่ว่ามีคนไทยที่เค้ามาให้กำลังใจเรา แล้วเค้าก็บอกเราว่า ไจ๋เป็นตัวแทนประเทศไทยนะที่จะได้รางวัลนี้ แล้วทำให้ภาพลักษณ์ของ LGBTQ+ ที่อยู่ในออสเตรเลียดีขึ้น แล้วเค้าจะคอยมาเชียร์ทุกอาทิตย์ มันก็เลยทำให้เราฮึดสู้ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เราต่อสู้มาทำผลงานมาทั้งหมดมันต้องไปต่อ เพราะว่ามันไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองอย่างเดียว มันคือการทำเพื่อคนอื่นด้วย”คนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัล Showgirl’s Choice จาก DIVA Awards“พอเรียนจบปริญญาตรี ไจ๋ก็ไปทำงานเฉิดฉายอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเราก็มีความฝันว่า เราอยากจะไปตามรอยภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งแต่เด็ก ๆ ชื่อว่า The Adventures of Priscilla เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแดร็กควีน ซึ่งถ่ายทำที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว เราอยากไปเห็นของจริง สถานที่ถ่ายทำจริง ก็เลยตัดสินใจว่าถ้าเราจะไปเรียนต่อปริญญาโท เราอยากจะไปประเทศออสเตรเลีย แล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียค่ะเรื่องการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่นั่นเปิดกว้างมากค่ะ แต่สำหรับคนที่เกลียด ก็เกลียดรุนแรงเลย ซึ่งในเรื่องของการยอมรับไจ๋ต้องขอบอกว่า นอกจากประเทศเค้าจะฟรีในเรื่องของ LGBTQ+ แล้ว ประเทศเค้าค่อนข้างฟรีในเรื่องของเชื้อชาติ เพราะว่าตอนที่เราไป เราก็ไปทำงานเป็นแดร็กควีนที่นั่น ซึ่งทุกคนอาจจะจินตนาการว่าเราจะต้องโดนเหยียด เพราะเราเป็นเอเชีย แล้วไปแย่งงานฝรั่ง กลับกลายเป็นว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทุกคนดีกับเรามาก กลายเป็นว่าเราอยู่ที่โน่นแล้วเราสบายใจ เรามีความสุขในการทำงานถ้าพูดถึงรางวัล ตอนนั้นรางวัลสูงสุดที่ไจ๋ได้รับ คือ Showgirl’s Choice ซึ่งประเทศออสเตรเลียเค้าจะมีการประกาศรางวัลทุกปีชื่อว่า DIVA Awards ซึ่งรางวัลนี้เค้าจะมอบให้กับคนที่ทำผลงานดีในแต่ละสาขาในคอมมูนิตี้นี่เกี่ยวกับวงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทั้งหมด ซึ่งตอนที่ไจ๋ไปอยู่เข้าปีที่ 2 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Rising Star เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ แต่พลาดรางวัลนั้นไป แต่พอปีที่ 3 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลที่ใหญ่กว่า เทียบในไทยเหมือนรางวัลตุ๊กตาทอง รางวัลนี้มันทำให้ไจ๋ประทับใจมาก ตรงที่ว่ามันไม่ใช่รางวัลที่คณะกรรมการจะมานั่งเลือก แต่เป็นรางวัลที่แดร็กควีนทั่วประเทศออสเตรเลียเป็นคนเลือกว่าใครต้องได้รับรางวัลนี้ ซึ่งไจ๋เป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลมา ไจ๋ไม่ลืมโมเมนต์ที่ว่ามีคนไทยที่เค้ามาให้กำลังใจเรา แล้วเค้าก็บอกเราว่า ไจ๋เป็นตัวแทนประเทศไทยนะที่จะได้รางวัลนี้ แล้วทำให้ภาพลักษณ์ของ LGBTQ+ ที่อยู่ในออสเตรเลียดีขึ้น แล้วเค้าจะคอยมาเชียร์ทุกอาทิตย์ มันก็เลยทำให้เราฮึดสู้ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เราต่อสู้มาทำผลงานมาทั้งหมดมันต้องไปต่อ เพราะว่ามันไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองอย่างเดียว มันคือการทำเพื่อคนอื่นด้วย”ก้าวข้ามคำบูลลี่ เก็บคอมเมนต์ดี ๆ มาเป็นแรงผลักดัน“เรื่องการถูกบูลลี่ส่วนตัวก็โดนทั้งต่อหน้า จากสังคม และจากโลกโซเชียล ตอนสมัยเด็ก ๆ ไจ๋มักจะโดนล้อว่าไอ้มะขามข้อเดียว โดนล้อว่าเป็นกะเทยหุ่นนักมวย ซึ่งเมื่อก่อนมันก็เจ็บนะเวลาเรารับคำล้อพวกนี้มาก ๆ แต่มันโชคดีตรงที่ว่า ไจ๋เองเป็นคนที่สามารถย่อยสลายมันได้ แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย คือมันเหมือนกับว่าพอโดนบ่อย ๆ มันก็จะมีภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้น บวกกับยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมาจนถึงทุกวันนี้ คอมมูนิตี้ของเรามันสอนกันเองว่าอย่าไปยอมกับคำบูลลี่เหล่านั้น แต่ว่าในโลกโซเชียลมันก็จะมีบ้างที่เค้ามาคอมเมนต์เชิงลบต่าง ๆ แต่สิ่งที่โดนแล้วเจ็บที่สุดเลยก็คือคนที่คอมเมนต์ว่าไม่ชอบหน้า ไม่ชอบเรา ซึ่งเราก็สงสัยกับตัวเองว่า ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่ชอบ หรือแค่คนเค้าไม่ชอบเรา ทั้งที่เราพยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคอมมูนิตี้ แต่มันก็วกกลับมาตรงจุดที่ว่า มันมีทั้งคนรักและคนไม่ชอบ ฉะนั้นเราก็ต้องทำความเข้าใจกับมันบางคอมเมนต์มันยังคงเหมือนแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ข้อดีก็คือว่ามันมีพลังอะไรบางอย่างจากโลกโซเชียลที่มันช่วยให้กะเทยต้องลุกขึ้นสู้ กะเทยอย่าไปยอม คือฉันจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของเธออีกต่อไป และไจ๋ก็จะเสพเอาพลังงานดี ๆ จากสิ่งที่มีในคอมมูนิตี้มาเป็นพลังให้ตัวเองเหมือนกัน เรามองว่าเด็กสมัยเนี้ยเค้ามีความกล้า มีความมั่นใจ แล้วเค้าลุกขึ้นสู้ แล้วทำไมเราจะลุกขึ้นสู้บ้างไม่ได้ เราก็เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากโลกโซเชียลปัจจุบันด้วยและคอมเมนต์ที่ไจ๋จะได้รับพลังดี ๆ มากที่สุด ก็คือคอมเมนต์เชิงครอบครัว อาทิเช่น ลูกชายชอบมากเลย ลูกสาวชอบมากเลย หรือคุณป้าคุณน้าคุณอาที่มีอายุเค้าเข้ามาดูเรา แล้วเค้าพยายามที่จะพิมพ์ชมเรา มันทำให้เรามีความรู้สึกว่าตัวเองมีแฟนคลับหลายกลุ่ม มันทำให้เราคิดเสมอว่าจะต้องใส่ใจ แล้วก็ระมัดระวังในการทำคอนเทนต์ เพราะว่าคนดูของเรามีหลายกลุ่ม และถ้าเราได้คอมเมนต์ที่ตั้งใจพิมพ์ เป็นคอมเมนต์เชิงบวก มันก็กลายเป็นพลังงานที่เราได้รับที่มาจากกลุ่มแฟนคลับหลากหลายรูปแบบ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ “ไจ๋ ซีร่า”“ไจ๋ คบกับแฟนมา 14 ปีแล้วค่ะ จากคนรู้จักแล้วก็ลองคุย ได้ลองไปเที่ยว แล้วก็จับพลัดจับผลูตกร่องปล่องชิ้นกัน ก็เลยลงเอยกัน และใช้ชีวิตร่วมกันมา ส่วนตัวไจ๋จะให้ความสำคัญกับการพยายามทำความเข้าใจ ด้วยโลกความรักของเกย์ มันจะมีเรื่องของการที่ว่า พอเราอยู่กับใครสักคนหนึ่งแล้วเรามีความรู้สึกว่ามันขัดหูขัดตาหรือขัดใจ เรามักจะเลิกและหาคนใหม่ดีกว่า และคิดว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่ มันจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นบ่อยมาก ๆ ตอนที่ไจ๋เป็นวัยรุ่น แต่พอเราโตขึ้น เราต้องมองข้ามสิ่งที่มันแย่ ๆ แล้วมองสิ่งที่มันดี ๆ สิ่งหนึ่งที่ไจ๋สัมผัสได้จากการมีชีวิตคู่ก็คือ เวลาที่ไจ๋แย่สุด ๆ เค้าคือคนเดียวที่อยู่เคียงข้าง มันก็เลยใช้ความรู้สึกนั้นอยู่ร่วมกันมาโดยตลอด มันเหมือนจากแฟน จากคนรัก ทุกวันนี้กลายมาเป็นพาร์ทเนอร์แล้วมันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สมัยเราเป็นวัยรุ่น เราจะชอบมองข้อเสียของคนอื่นมากกว่า แล้วกลับกลายเป็นว่า เรามักเอาข้อเสียของเค้ามาบังข้อดีหมดเลย แต่เวลาเราทะเลาะกัน ตัวไจ๋จะนั่งตั้งสติ คิดว่าเค้ามีข้อดีอยู่เยอะนะ แล้วข้อเสียที่เค้ามี ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มี แล้วสมมติว่าวันดีคืนดีไปเจอคนใหม่ เราจะแน่ใจได้ยังไงว่า ข้อดีที่เราไปหามา มันจะชดเชยในข้อเสีย เราก็จะไม่รู้จักสิ่งที่มันลงตัวสักที มันอยู่ที่ว่า เราทำความเข้าใจกับความรู้สึกของเรา ความเป็นตัวตนของเค้า แล้วมาเจอกันตรงกลางได้มากน้อยแค่ไหน”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก “ไจ๋ ซีร่า”“ไจ๋ภูมิใจตรงที่ว่า เรื่องราวในชีวิตของเรา มันมีทางแยกหลายทางมาก ที่ต้องตัดสินใจต่าง ๆ แล้วเป็นการตัดสินใจที่มันยากเหลือเกิน แต่กลับกลายเป็นว่า พอมาเป็นตัวเองทุกวันนี้ มองย้อนกลับไป ทางแยกและการตัดสินใจทั้งหลาย มันเป็นสิ่งที่สร้างให้มาเป็นตัวเราอยู่ทุกวันนี้ มันก็เลยทำให้ตัวเองรู้สึกภูมิใจกับทุกโมเมนต์กับทุกทางเลือกของตัวเอง ไม่เคยเสียใจเลย ไจ๋จะพยายามมองในแง่ดีว่า มันไม่ใช่เรื่องของการผิดพลาด มันเป็นแค่ทางเลือกที่เราต้องเลือก แล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเลือกพลาด ถ้าเราเลือกพลาดเราจะไม่เป็นอย่างเราทุกวันนี้” – ไจ๋ ซีร่าพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวสุดต๊าซ ด้วยความอาร์ตแบบไม่ซ้ำใคร ของ “อาร์ต อารยา” จากเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย

27 มิ.ย. 2024

เปิดเรื่องราวสุดต๊าซ ด้วยความอาร์ตแบบไม่ซ้ำใคร ของ “อาร์ต อารยา” จากเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านเรื่องราวชีวิตของเหล่าตัวแม่ กันในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “อาร์ต อารยา” สไตลิสต์ตัวแม่ความสามารถไม่ธรรมดาที่อยู่ในวงการมากว่า 30 ปี โดดเด่นด้วยสไตล์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับคาแรกเตอร์ที่มั่นใจ แต่ใครจะรู้ว่าก่อนหน้าที่เธอจะมีวันนี้ กลายเป็นตัวแม่ที่หลาย ๆ คนรู้จัก เธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้ในรายการครั้งนี้ด้วยย้อนวัยเด็ก กับการเติบโตที่ต้องพยายาม“วัยเด็กสำหรับเรา เรามองว่าอยู่ในฐานะปานกลางถึงลำบากก็แล้วกัน คืออาร์ตมองว่า เวลาคนอื่นเค้ามีกัน เราก็ไม่ได้มีแบบนั้น แล้วที่บ้านจะมีช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นที่จะได้กินโอวัลตินกับขนมปัง จะไม่ได้กินทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันขาดนะ แค่รู้สึกว่าทำไมความพิเศษมันมาเฉพาะแค่ช่วงสุดสัปดาห์ แต่เราเข้าใจพ่อแม่เรานะ ที่เราต้องกินผัดผักบุ้ง หรือต้องกินผัดถั่วงอกกับเต้าหู้ทุกสัปดาห์ เพราะมันคือของที่ถูกที่สุดในตลาด แต่อาจจะด้วยความที่พ่อแม่มีลูกเยอะ 4 คนพี่น้อง ก็เลยคิดว่าเราโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่ก็ต้องพยายาม ที่สำคัญคือทั้งพ่อทั้งแม่ ก็มีญาติเยอะ คุณแม่มีพี่น้อง 7 คน คุณแม่เป็นพี่สาวคนโต ที่เก่งมาก เป็นที่ 1 ประจำตำบล อำเภอ จังหวัด ทุกคนยกย่องแต่ว่าเงินไม่มี เพราะคุณยายกับคุณตาเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ต่างจังหวัด ทำให้ไม่สามารถเรียนสูงได้ แม่ก็เลยต้องออกมาสอบชิงทุนครู แล้วก็ทำงานเป็นคุณครู ซึ่งก็ต้องส่งเสียเลี้ยงน้อง ส่วนคุณพ่อเองก็ไม่แพ้กัน คุณพ่อเป็นลูกคนที่ 2 ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 7 คนเหมือนกัน คุณพ่อทำงานเป็นหัวหน้ากองช่างเทศบาล แล้วทั้งพ่อกับแม่ก็จะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่เป็นข้าราชการ เราก็มีหน้าที่ตามไป อย่างเช่นอาร์ตเอง เราเกิดที่พิษณุโลก แล้วก็ถูกย้ายไปโตที่เพชรบูรณ์ จน 5 ขวบ ก็ต้องมาอยู่ที่บางบัวทอง นนทบุรี จนพ่อแม่ตัดสินใจว่าซื้อบ้านเถอะไม่ไหวแล้ว เอาลูกกระเด็นกระดอนต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะพ่อต้องย้ายทุก ๆ 2 ปี แล้วแม่ก็ต้องย้ายตาม พวกเค้าก็เลยตัดสินใจเก็บหอมรอมริบผ่อนบ้านที่ปากเกร็ด พวกเราก็เลยลงหลักปักฐานที่ปากเกร็ด และที่เราไม่เคยรู้สึกว่าเราขาด ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มาก เราอยากกินก็ได้กิน อยากไปก็ได้ไป ยกเว้นว่าอยากไปเที่ยวทะเล ก็นาน ๆ ต้องรอวันเกิดใครสักคนคุณแม่ถึงจะจัดให้ เราคิดว่าครอบครัวเราอบอุ่น แล้วตัวอาร์ตเองเป็นเด็กกล้าแสดงออก เวลาเค้ามีดนตรีขึ้น ดิฉันก็จะเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นเต้นในลูก 4 คน กลายเป็นชอบแสดงออกอย่างไม่เคอะเขิน ฉะนั้นคุณครูก็จะให้เราทำกิจกรรมตั้งแต่จำความได้เลยความรักของคุณพ่อคุณแม่ เป็นเรื่องที่เราภูมิใจมากจากที่ได้ฟังเรื่องของทั้งสองท่าน ย้อนกลับไปคุณพ่อด้วยความที่เป็นหัวหน้ากองช่างประจำเทศบาลแล้วท่านก็มีเสน่ห์ ผู้หญิงที่สวย ๆ ก็ผ่านคุณพ่อมาเยอะ จนอยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อก็โดนที่บ้านบังคับว่าจะต้องแต่งงาน ต้องเลือกเอาสักคน พ่อบอกว่าถ้าจะแต่งงานจะต้องเลือกผู้หญิงที่เก่งเท่านั้น เพราะอยากมีลูกฉลาด ส่วนคุณแม่ของเราก็คือ ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงดูน้อง ตั้งใจเล่าเรียน เป็นคุณครูสอนหนังสือ แล้วคุณแม่เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างตัวสูง มีความหมวยแบบคนจีน ซึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาพ่อ แล้วแม่เองก็ไม่ได้สนใจพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อเจ้าชู้ จนมาถึงวันที่แม่จะต้องเลือก ตอนนั้นมีคนมาจีบแม่แล้วก็บอกว่าจะต้องให้แม่ไปอยู่ที่ร้านขายทองที่กรุงเทพ แม่ก็เลยต้องเลือกระหว่างจะพ่อหนุ่มร้านขายทองแล้วไปนั่งขายทองที่กรุงเทพ หรือพ่อหนุ่มเจ้าชู้หัวหน้ากองช่างคนนี้ แล้วสุดท้ายคุณพ่อก็ถึงเวลาที่ถูกครอบครัวบังคับแต่งงาน คุณพ่อก็เลยบอกว่าถ้าจะแต่งงาน ก็ให้ปู่กับย่าไปขอแม่ เพราะว่าทั้งจังหวัด ทั้งตำบล และอำเภอ คุณแม่ของดิฉันฉลาดเบอร์ 1 ขึ้นชื่อว่าไปสอบที่ไหนชนะหมด แม่ก็เลยยืน 1 ด้านความฉลาด คุณพ่อก็เลยบังคับให้คุณปู่คุณย่ามาขอแม่ ซึ่งที่คุณแม่เลือกคุณพ่อ อาจเพราะคุณแม่คิดว่ามันเท่าเทียมกัน มันบรรจบเหมาะกันตรงที่คุณแม่คิดว่าคุณพ่อเค้าก็ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนกัน ก็คงจะไม่ดูถูก เพราะถ้าเกิดไปอยู่บ้านคนรวย แม่อาจจะโดนดูถูกว่าเก่งแต่จน แม่ไม่อยากเป็นพจมานที่อาร์ตมีพี่น้อง 4 คน มันเกิดมาจากตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เค้าแพลนว่า จะมีลูกแค่ 2 คน แต่พี่ชายคนโตดันเสียชีวิต เพราะด้วยความที่คุณแม่เป็นคนเก่ง คุณแม่ก็คิดว่าตัวเองแข็งแรง ก็เลยตัดสินใจคลอดเองได้ ซึ่งคุณแม่ก็ได้พยายามแล้วมันไม่ออก พี่เค้าตัวใหญ่เกินไปเค้าออกไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นคลอดมาได้ 7 ชม.สมองช้ำหมดเลยแล้วก็เสียชีวิต จากนั้นคุณพ่อก็เสียใจพร้อมกับแค้นฝังหุ่น ก็เลยผลิตลูกมาเลย 4 จาก 2 คนที่แพลนไว้”ตัวตน ที่รับรู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็ก“ตั้งแต่ตัวเองจำความได้ คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นบ้า เหมือนมันต้องมีต่อมอะไรบางอย่างในหัวที่มันทำงานผิดปกติ เพราะไปดูรูปเราตอนยังเป็นเด็ก จะเกิดคำถามตลอดว่าทำไมมันต้องเอียงคอ แล้วไปจับดอกไม้มาทัดหู เวลาไปโรงเรียนที่บางบัวทอง จำได้เลยทุกคนถือกระเป๋า แล้วแต่งชุดนักเรียนใหม่กันหมด แต่เราปะแป้งหน้าขาววอก แล้วก็สะพายย่ามพระเฉียงข้างอยู่คนเดียว อาร์ตคิดว่าเราเป็นลูกคนที่ 3 แล้วเหมือนเราไม่ได้เป็นคนโต เราก็จะรับสมบัติจากคนอื่นตลอดเวลา แล้วน้องชายจะได้ของใหม่ตลอด พอเป็นลูกคนที่ 3 เราเลยจะพยายามเรียกร้องความสนใจว่าในเมื่อเราโดดเด่นทางอื่นไม่ได้ ก็ขอโดดเด่นทางนี้แล้วกันพอไปโรงเรียน มันมีการแสดงที่บางบัวทองนี่แหละ ด้วยความที่เราชอบแสดงออก ครูก็ให้เราเต้น มีแถวผู้ชาย 1 แถว ผู้หญิง 1 แถว ตอนนั้นเราเต้นเป็นเด็กผู้ชายนะ เราก็ไปดูก็สงสัยว่าทำไมผู้หญิงถึงได้ผ้าต่วนสีดำมัน แล้วทำไมผู้ชายได้ผ้าด้าน เราไม่ยอม ก็ไปบอกแม่ว่าถ้าไม่ได้ผ้าสีดำมันเราไม่เต้น จนคุณครูก็ต้องยอม แม่ก็ต้องยอม แล้วพอเห็นผู้หญิงแต่งหน้า เราก็บอกแม่ว่าหนูต้องแต่งหน้า ถ้าหนูไม่แต่งหน้าหนูไม่เต้น แล้วเราดันสูงที่สุด ซึ่งมีข้อแม้อีกว่า ถ้าไม่ได้รำหัวแถว เราไม่รำ สำหรับอาร์ต ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเพศใดเพศหนึ่งที่ชัดเจน เพราะเราไม่รู้จักคำว่าเพศ ต่อให้เราเรียนสุขศึกษา เราก็จะรู้แค่ว่าสิ่งนี้เอาไว้ปัสสาวะ รู้ประมาณนั้น เราไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น แล้วเราก็เล่นกับเพื่อนผู้หญิงแบบสนิทสนม แล้วก็ไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายเราก็เตะบอลได้ เล่นตุ๊กตา โดดหนังยาง วิ่งเปรี้ยว ตีวอลเล่ย์บอล ให้ทำอะไรทำหมดเลย แล้วไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเลือกเพศ เพราะมันไม่เคยมีตอนยุคเรา มันไม่เคยมีใครมากำหนดว่า เธอช่วยเลือกเพศด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ปล่อยตัวเอง ปล่อยใจฝัน แล้วพอเราต้องแสดง มันก็เลยกลายเป็นว่า เราไม่มีกรอบอยู่ในตัวว่าตัวเองต้องเป็นผู้ชาย เรามีความรู้สึกว่าผู้หญิงสวย ฉันก็อยากสวย แม่ก็ต้องพาไปแต่งหน้า แล้วก็ไม่กินข้าวเพราะว่ากลัวลิปสติกเลอะ ซึ่งแม่ไม่เคยสอนด้วย แม่ก็จะบอกว่าไปเอามาจากไหนชุดความคิดนี้อยู่ในหัวได้ยังไงว่า ไม่ยอมกินข้าวเพราะกลัวลิปสติกเลอะ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน”ก้าวข้ามคำบูลลี่ เพราะครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดีมาก ๆ“เราจำได้ว่าสมัยก่อน อาร์ตเป็นเด็กที่ผอมบาง แล้วก็เหมือนคนจีน ผิวขาวมาก ก็จะโดนล้อตลอดว่าเจ๊กหัวแดง เพราะว่าผมเราสีอ่อน มันเส้นเล็กบาง แล้วเวลาโดนแดดมันก็จะออกเป็นสีน้ำตาลแดง ๆ ก็จะโดนล้อเป็นเจ๊กหัวแดง เพื่อนก็แต่งเพลงล้อว่า พี่เจ๊กหัวแดง เป็นเด็กขายแกงอยู่หลังตลาด เราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมดิฉันต้องโดนล้อ ดิฉันก็บอกแม่ แต่แม่บอกเราว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นลูก ไม่ต้องไปสนใจ เราก็ออกไปเล่นเหมือนเดิม ต่อมาก็มีคำว่าตุ๊ดซี่ เราก็โดนล้อเป็นตุ๊ดซี่ เราก็วิ่งไปบอกแม่ แม่ก็บอกเราว่าไม่ได้เป็นลูก ทำไรก็ไปทำ เราก็ไปเล่นเหมือนเดิม แล้วต่อมาก็เป็นตุ๊ดฟันเหล็กอีก เพราะตอนนั้นจัดฟันเหล็ก แต่ครอบครัวก็จะบอกว่า ก็เราไม่ได้เป็นจะไปรับคำเหล่านั้นทำไม ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ เราก็ไปเล่นเหมือนเดิม เพราะเรารู้สึกว่าพอแม่พูดแบบนั้นมันกลายเป็นเกราะป้องกันอย่างดี เราทำทุกอย่างปกติ โดยที่ไม่ได้รู้ว่าเรากำลังแบกคำบูลลี่เหล่านั้นอยู่บนบ่าเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบันเรามองย้อนกลับไปเราคงยืนท้าวสะเอวแล้วก็บอกหนูน้อยอาร์ตวันนั้นว่า หล่อนเบา ๆ หน่อยก็ได้ ไม่ต้องโดดเด่นขนาดนั้นก็ได้ แต่สำหรับเราถือว่าครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดีมาก แล้วเราก็โชคดีที่เกิดในครอบครัวซึ่งเรามีพี่ชาย เรามีพี่สาว เรามีน้องชาย แล้วแม่กับพ่อก็คงไม่ได้คาดหวัง เราอยากจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องการโดนเขียนรายงานในสมุดพกนี่คือเรารับไปเต็ม ๆ ตั้งแต่จำความได้เลยว่า ในสมุดพกต้องมีประโยคเขียนว่าอุปนิสัยคล้ายหญิง ชอบเล่นกับผู้หญิง ช่วยเหลืองานดี ตั้งใจเรียนดี ทำกิจกรรมเกี่ยวกับหัตถกรรมเก่ง แล้วเรื่องอุปนิสัยคล้ายหญิงโดนเขียนยัน ม.3 สมุดพกที่มีอยู่ก็จะมีเขียนหมดเลยทุกฉบับ แล้วแม่ก็เอาให้พ่อดูแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับประโยคเหล่านั้น ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า การที่มีอุปนิสัยคล้ายหญิงเป็นเรื่องดี เพราะเราก็คิดว่าเราเป็นผู้หญิง ตอนนั้นรู้ตัวเองแล้วว่าข้างในเราคือผู้หญิงที่มาอยู่ในร่างทรานส์เจนเดอร์ เพราะรูปร่างก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ แต่มันดันมีอวัยวะสำหรับขับถ่ายที่หน้าตาไม่เหมือนคนอื่นตอนอายุ 17 ปี ด้วยควาทที่เราชอบแต่งตัว แล้วก็บ้าบอตั้งแต่เด็ก ชอบคว้าโน่นคว้านี่มาใส่ตลอด พอเข้าเรียน ม.ศิลปากร มันเปิดกว้างมาก ๆ เรามีความรู้สึกว่าจะใส่อะไรก็ได้ พอรับน้องเสร็จมันคือสวรรค์ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ร่ำรวย ก็ต้องเริ่มทำงาน ด้วยความที่บ้านไม่ได้สนับสนุนด้านการเงินที่สูงมาก เราก็ทำงานด้วยการที่เป็นพี่ติวเตอร์ เพราะมันมีเด็กที่อยากจะเข้า ม.ศิลปากร เราก็รับหน้าที่เป็นคนติว แล้วก็จะได้เงินเก็บไปซื้อของจุ๊บจิ๊บ เช่น วัดมหาธาตุมีของมือสอง ก็ไปหาซื้อแล้วก็มาประกอบเป็นร่าง ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เราก็เอาเสื้อเชิ้ตตอนเป็นนิสิตมาเพ้นท์ลาย เพื่อจะให้มีเสื้อใหม่ใส่ไปเรียน แล้วก็ด้วยความเก๋ของเรา เราชอบแต่งตัวแบบจันทร์สีเหลือง อังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว รองเท้ามี 7 สี เสื้อมี 7 สี กางเกงในยังมี 7 สีเลย ตอนนั้นเราคิดว่ามันคือการทดลอง แต่คนในหมู่บ้านก็เริ่มเมาท์ว่าอาร์ตเป็นกะเทยแน่ ๆ เค้าก็เมาท์กัน พอคุณยายซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูเราได้ยินก็ร้องไห้ แล้วเราก็สงสารคุณยาย ก็เลยนัดประชุมทั้งบ้านเลยเพื่อจะเคลียร์เรื่องนี้ เราก็พูดเลยว่าพอดีมีคนมาเมาท์อาร์ต แล้วอาม่าก็เสียใจ จะบอกว่าอาร์ตไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ขอให้ทุกคนรับให้ได้นะ จากนั้นพ่อก็ลุกขึ้นบอกว่าก็นึกว่าเรื่องอะไร อยากเป็นอะไรก็เป็น เป็นคนดีก็พอ แล้วพ่อก็เดินไปเลย แม่ก็ลุก ทุกคนก็ลุกหมดเลย ไม่มีใครตื่นเต้นกับเรื่องของดิฉัน สุดท้ายก็บอกเราก็บอกยายว่าให้บอกคนอื่น ๆ เค้าเลยว่า บอกไปเลยก็แล้วกันว่าอาร์ตมันเป็นบ้า เพราะว่าผมยาวรุงรัง ให้ยายบอกไปแบบนั้นเลย”ชีวิตมหาวิทยาลัย กับการค้นหาความชื่นชอบของตัวเอง“อาร์ตเข้ามหาวิทยาลัยโดยการสอบเทียบ คือพอเราออกจากโรงเรียนชลประทาน ที่นนทบุรี แล้วก็ไปสอบรอบสองที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี พอสอบติดปุ๊บก็ไปเจอครูแนะแนวท่านหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณครูแนะแนวมากเลย ที่แนะนำให้เราสอบเทียบ แล้วเราก็เอ็นทรานส์ติดเลย อายุ 17 ปี ก็เข้ามหาวิทยาลัยปี 1 คณะมัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร ซึ่งครูแนะแนวคนนี้แหละเป็นคนบอกว่าเธอน่าจะไปเรียนมัณฑนศิลป์นะ เพราะว่าเธอวาดรูปสวย แล้วเธอได้วิชาสามัญ คณะนี้น่าจะเหมาะกับเธอ เราก็ไปสอบแล้วก็ออกมาร้องไห้ทุกวัน เพราะว่าพอไปเรียนติวแล้วมันไม่ได้ตรงกับที่สอบ เค้าให้วาดโปสเตอร์ เราก็ไปวาดโปสเตอร์แนวนอน ที่ถูกคือเค้าต้องวาดแนวตั้งออกห้องสอบมาเราก็ร้องไห้ ไปสอบโปรดักส์ เค้าให้วาดโปรดักส์ แล้วเราวาดสามมิติไม่เป็น ออกมาก็ร้องไห้ สอบปลายภาคเราร้องไห้ทุกภาค ตอนเรียนสอบประยุกต์ ดันทำสีหกลงไป ซึ่งเค้าให้วงกลมมาแล้วให้วาดรูปไปในวงกลม แล้วสีดันหล่นตุ๊บลงไป เราก็ต้องวาดรูปเกินออกไปจากวงกลม กลายเป็นว่าเราสอบติดภาคประยุกต์ เพราะว่าสีที่หยดทำให้เราติดภาคประยุกต์พอจะต้องเข้าไปเรียน ตอนแรกเราคาดหวังสูงมากว่าพอเราเข้าไปเราจะหลุดพ้นจากทุกอย่าง เพราะตอนอยู่โรงเรียนเก่าเราโดนบูลลี่มาตลอดในเรื่องความกระตุ้งกระติ้งของเรา แล้ววันแรกที่ไปสอบสัมภาษณ์ อาจารย์นั่งเรียงหน้ากระดานกันสี่ห้าท่าน มีคนนึงถามว่าเป็นกะเทยรึเปล่าเนี่ย ซึ่งเป็นประโยคแรกเลยในรั้วมหาลัย ตอนนั้นเราสวมชุดนักเรียนชายมัธยม เลยตอบว่าไม่ได้เป็นครับ ซึ่งคำทักนั้นมันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราอยากเรียน แล้วความคิดเรามันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ พอเค้าทำให้เราหลาย ๆ อย่าง มันปลดล็อคความบ้าบอในตัวเรามันออกมาเรื่อย ๆ มันก็เลยเหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้รังเกียจ เค้าไม่ได้แอนตี้ แต่เค้าแค่พูดในเชิงหยอกล้อกับเด็กที่เข้ามา เพื่อให้เด็กที่เข้ามาลดความเกร็งตอนสอบสัมภาษณ์เท่านั้น พอได้เรียน ม.ศิลปากร เรารู้สึกว่าพื้นฐานทางด้านศิลปะค่อนข้างแข็งแรง แล้วสามารถเอาไปต่อยอดที่เมืองนอก แล้วก็กลายเป็นบรรทัดฐานที่ดีของเราได้”แฟชั่นสุดจี๊ดจ๊าด ในแบบของ อาร์ต อารยา“ตอนเรียนปี 3 จำได้เลยว่าตัวละคร วิศนี ในเรื่องอุบัติเหตุ ดังมาก นางดัดผมหยิกแล้วมันเก๋มาก กลายเป็นกระแสที่ดีมาก เราก็ผมบางด้วยก็เลยดัดตาม แล้วใส่เสื้อยืดแขนกระดิ่ง 70 บาท ซื้อจากตลาดเก่าวัดมหาธาตุ แล้วตัดกางเกงเป็นขากระดิ่ง แพทเทิร์นทำเอง ตอนนั้นเค้าไม่เรียกขากระดิ่ง เค้าเรียกขาระฆัง เราก็จะสวยมาก ลงจากรถ ปอ.6 จากปากเกร็ดจะไปมหาวิทยาลัยตอนนั้นสะพายย่ามพระด้วย จังหวะจะลงรถก็มีคนวิ่งเข้ามาถามว่าไปไหน ทำอะไร แล้วถกแขนเสื้อเพื่อดูว่าเราฉีดยามารึเปล่า เรางงมาก ก็ตอบเค้าไปว่าเรียนอยู่ที่นี่ค่ะ เค้าก็ถามว่า แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ เราก็ตอบว่าเค้าให้แต่งอะไรก็ได้ค่ะ ก็เลยแต่งมาเรียน เค้าบอกว่า คราวหลังอย่าแต่งตัวแบบนี้อีกนะ แล้วก็มีเสียงจากวิทยุสื่อสารว่าผิดคน ๆ หน้าเราคงเหมือนคนค้ายาเพราะเราผอมมาก แล้วผมยาว อาจจะดูโทรม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยแต่งแบบนั้นอีกเลยแต่ก็ยังมีโดนจับอีกครั้งที่ข้าวสาร ก็แต่งตัวเบา ๆ ใส่จีสตริงตัวเดียว ตอนนั้นมันเป็นวันฮาโลวีน ตอนนั้นเราชอบ บียอร์ค ก็เลยถักผมเปีย ใส่ดอกไม้เอาทองคำเปลวแปะ หน้าก็โล้น ๆ ไม่มีคิ้ว แล้วก็เป็นกางเกงในจีสตริงสีทอง รองเท้าส้นสูง แล้วก็เอาผ้าลูกไม้ขาว ๆ บาง ๆ มาห่มตัว พอลงจากรถแท็กซี่ก็โดนตำรวจเรียกเลย ตำรวจบอกว่าอนาจาร เชิญไปโรงพัก พอไปถึงโรงพัก ตำรวจถามว่าแต่งเป็นอะไรเนี่ย เราตอบว่า แต่งเป็นผีอนาจารค่ะ โดนข่มขืนหมู่แล้วตายค่ะ แล้วตำรวจก็ปล่อยไป แต่เค้าก็หัวเราะกันทั้งโรงพักตอนเรียนเราได้ฉายาว่า อาร์ตอวกาศ ด้วยความที่เราชอบแต่งตัวและชอบทดลอง แล้วเราก็ไม่ได้มองว่าตัวเองต้องปิดกั้น ตอนนั้นบ้าหนังสือเมืองนอก แล้วมันก็จะมี เธียร์รี่ มูแกลร์ กำลังมาแรง ยุค 80 ตอนปลาย เข้า 90 โค้ทแนวอวกาศมาแรง เราเลยตัดชุดจั๊มสูทซิบหน้าปิดคอเต่าไปเรียน ก็เลยโดนล้อว่าจอดยานไว้ที่ไหน แล้วฉายา อาร์ตอวกาศ ก็มาสมัยนั้น ความมี Identity สำคัญที่สุด ยุคนั้นเค้าเชียร์ให้คุณไม่เหมือนคนอื่น เพราะฉะนั้น อาร์ตจะแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น ถ้ามาเรียนแล้วเจอคนใส่เสื้อตัวเดียวกับเรา เรากลับบ้านนะ หรือต้องออกไปวัดมหาธาตุ แล้วซื้อชุดใหม่เดี๋ยวนั้นแล้วเปลี่ยนเลยเพื่อไม่ให้ชนกับคนอื่น สำหรับเรา มองว่ามันคือโอกาสในการที่จะบอกทุกคน การที่เค้าเห็นข้างหลังเราจากร้อยเมตร แล้วเค้าทักถูกว่านั่นแหละอาร์ต มันคือเก๋ แปลว่าเราหาตัวตนของเราเจอ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ อาร์ต อารยา“อาร์ต กับ พี่แมทธิว เราเจอกันผ่านอินเตอร์เน็ต เราสมัครในเว็บไซต์หาคู่ชายหญิง ก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าอย่าปิดกั้นตัวเอง แล้วอาร์ตคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก็เลยไม่แคร์ แล้วตอนนั้นอายุมัน 40 แล้ว มันก็เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าฉันเป็นโสดมานานมาก เราเคยมีแฟนคนแรกคบกันมา 15 ปีแล้วก็เลิกกัน แล้วเราก็เป็นโสดมาอีก 7 ปี แล้วก็มีน้องมาแนะนำว่า พี่อาร์ตสมัครเว็บเถอะ พี่อาร์ตน่าจะเป็นคนที่ต้องมีคู่ เราก็เลยไปลองสมัครเว็บชายหญิงแล้วก็ทิ้งไว้ 1 ปี โดยที่เราไม่ได้ไปดูเลยเพราะว่าเรางานเยอะ จนกระทั่งบ้านเมืองเราไม่สงบช่วงเสื้อแดงเสื้อเหลือง ตอนนั้นงานไม่มี เราก็เลยกลับมานั่งดูเว็บว่ามันเป็นยังไงบ้าง ปรากฎว่ามีคนเข้ามาเยอะมาก แล้วเค้าเป็น 1 คนที่เข้ามาดูแต่ไม่ได้ทักเรา แต่เราไปติดใจเค้าตรงที่รูปโปรไฟล์ของเค้าเป็น Upside Down เราก็เริ่มสนใจ เราก็ 40 แล้ว อยากมีแฟน เลย Text ไปขอบคุณที่เข้ามาดูโปรไฟล์ของเรา แล้วเค้าก็ตอบกลับมาว่า Thank you!แล้วพอเราคุยกันไปกันมาประมาณ 1 เดือน เราก็เปลี่ยนเป็นขอเบอร์เลยแล้วกัน เพราะว่าไม่มีเวลาแล้ว อายุ 40 แล้วอย่ารอ เค้าก็เลยให้เบอร์มา เราก็ชวนเค้าคุยผ่าน WhatsApp เราก็ส่งรูปแรกเลย เป็นรูปเซลฟี่หน้าสด ส่งไปให้เค้าดูแบบอรุณสวัสดิ์นะคะ เค้าก็บอกว่าว้าว ขอบคุณนะที่เราจริงใจกับเค้า ที่เราเอาความจริงมาให้เค้าเห็น เราถือคติว่า การที่จะมีแฟน มันต้องไม่เล่นละคร ไม่ดราม่า คิดอะไรก็พูด มีอะไรก็ตรงไปตรงมา แล้วเราก็บอกเค้าไปตรง ๆ แล้วก็ซื่อตรงกับเค้ามาตลอด แล้วเค้าก็ขอบคุณที่เราจริงใจกับเค้ามาตั้งแต่แรกแล้วตอนเจอ พี่แมทธิว คือตอนที่เรากลับมาไทยแล้ว คือจบ ม.ศิลปากร อาร์ตก็ไปเรียนแฟชั่นที่ฝรั่งเศสปีนั้นเลย ไปถึงปารีสก็เรียนภาษาก่อนปีนึง แล้วก็เรียนดีไซน์ 2 ปี แล้วก็ทำงานอีกปีนึง ถึงกลับไทย ช่วงนั้นเค้าคงใช้ชีวิตของเค้า เพราะตอนที่อยู่ฝรั่งเศส เราไปถึงปีแรกอายุ 21-22 ปีเอง เราก็มีแฟนเป็นคนฝรั่งเศส 15 ปี แล้วเรามาเจอเค้าตอนอายุ 40 ปีแล้ว นั่นแปลว่าช่วงนั้นดิฉันก็มีแฟนคนก่อนหน้านั้นอยู่ 15 ปี แล้วพอเลิกกัน ดิฉันก็เป็นโสดไปอีก 7 ปี ด้วยพื้นฐานเรารู้ว่าเราเป็นคนไม่สวย ไม่ได้มีรูปสมบัติเหมือนคนอื่น ทำให้ยังไม่มีใครจีบ ไม่มีใครเอา ไม่มีใครสนใจ แต่พอไปเมืองนอกปีแรกก็เจอเลย แล้วก็คบกันยาวไปอีก 15 ปี เพราะฉะนั้น ในความที่เรารู้ว่าเราไม่ได้สวย เราก็เลยไม่คาดหวัง และไม่ทำตัวหยิ่ง อารยาจะเป็นคนที่ทำกับข้าวได้ ทำความสะอาดบ้านเก่ง จัดบ้านเก่ง เอาใจแม่สามี เอาใจครอบครัวทั้งหมด คือเป็นภรรยาที่ดี แบบทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ แต่ประโยคแรกที่เจอแม่แฟนเก่า เค้าบอกว่าทำไมเธอเหมือนผู้หญิงจัง ทั้งที่เราเจอกันแบบหน้าสด อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราภูมิใจในตัวเอง ว่าเราไม่ได้แสดง มันเป็นตัวเราจริง ๆ เหมือนตอนเราไปเจอแม่กับพ่อของพี่แมท เค้าก็พูดเหมือนกันเลยว่าเราเหมือนผู้หญิงจัง เราก็โอเคแปลว่าฉันมาสายนี้ถูกแล้ว คือเราเอาใจคนอื่น แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราลำบาก เราก็พยายามจะเอาใจเพื่อให้ความสัมพันธ์มันออกมาเป็นความรักแบบผัวเดียวเมียเดียว อาร์ตเชื่อตรงนั้น เพราะว่าเราเห็นพ่อแม่เรารักกันมานาน เราก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างดูพฤติกรรมภายนอกอาร์ตอาจจะดูพูดแรง พูดจาไม่เกรงใจ เป็นบัวไม่มีเยื่อใย พูดจาขวานผ่าซาก แต่ข้างในคือไม่มีเจตนาร้าย พูดแล้วจบ เป็นคนไม่เอากลับไปคิดค้างคา สมมติว่าเรามีปัญหาเรื่องการทำงานกัน เราเคลียร์กันวันนี้แรงหน่อย แต่พรุ่งนี้เราเจอกันปกติ กินข้าวได้ปกติ คนอื่นเค้าอาจจะเห็นเราจากรายการโทรทัศน์ ที่ก็จะเลือกตัดแต่เฉพาะตอนที่เราเหวี่ยง ตอนที่เราวีน จนมันกลายเป็นภาพจำ แต่เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เพราะเราเป็นมนุษย์แล้วเราก็มีด้านดีด้านแย่เรามีครบพ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม สำหรับอาร์ตมองว่า วันที่ 18 มิ.ย. 2567 ที่กฎหมายผ่าน แล้วอีก 3 เดือนกฎหมายจะถูกบังคับใช้ ตอนนี้ติดต่อชุดเจ้าสาวแล้ว แล้วก็สั่งทอผ้าให้คุณผู้ชายแล้ว แพลนแล้วว่า วันที่กฎหมายใช้ได้ เจอกันที่สถานีดุสิตเพื่อจดทะเบียนค่ะ”สีสัน แรงบันดาลใจจาก อาร์ต อารยา“อาร์ตว่าเวลาที่เรารู้สึกว่าเราต้องรอ ไม่ว่าจะรอโอกาส หรือรออะไรก็ตามแต่ เรารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป มันไม่มีอะไรที่จะมาหาเราง่าย ๆ ไม่มีใครพร้อมที่จะยื่นโอกาสให้เราตลอดเวลา ถ้าเรารอเราก็จะนั่งงอมืองอเท้า แล้วทุกอย่างมันก็จะฝ่อ สิ่งที่อาร์ตจะเชียร์ก็คือ อยากทำไรทำ อยากเป็นไรเป็น โดยเฉพาะคนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน บ้านเมืองมันเปิดโลกมันเปิด ทุกอย่างมันเข้าหากันง่าย คนในประเทศไทยไม่ชอบคุณ ประเทศอื่นก็มี ทำงานในเมืองไทยกลัวว่าไม่มีคนเห็น กลัวไม่มีคนซื้อ กลัวไม่มีคนสนับสนุน เมืองนอกเค้าก็เห็น คือตอนนี้ทุกอย่างมันแคบลงและมันง่ายมาก แล้วอาร์ตมีความรู้สึกว่าอย่ารอในส่วนของความรักก็เช่นเดียวกัน ถ้าเอาอาร์ตเป็นบรรทัดฐาน อาร์ตช้ำรักอยู่กับความผิดหวังมา 15 ปี แต่อาร์ตก็ไม่ย่อท้อ เพราะอาร์ตมีความเชื่อว่าเราต้องมีความรัก จนมาเจอรักตอนอายุ 40 ปี แล้วอาร์ตก็เชื่ออีกอย่างว่า พอเราจริงใจ เราไม่ดราม่า เราไม่โกหก เราเชื่อในความซื่อสัตย์ซื่อตรงของเรา มันก็มีคนที่เข้าใจเรา มันอาจจะต้องมีอุปสรรคบ้าง ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคืออย่าปล่อยมันค้างคา มีปัญหาให้คุยเลยให้มันจบ แล้วมันจะทำให้ความรักของเราไปต่อได้เรื่อย ๆ” - อาร์ต อารยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมอง ส่องวิธีคิดของสองตัวมัม “หนิง ปณิตา” และ “ธัญญ่า ธัญญเรศ” จากเพื่อนรักสุดซี้ สู่คู่จิ้นยูริเพื่อนหญิงพลังหญิง

20 มิ.ย. 2024

เปิดมุมมอง ส่องวิธีคิดของสองตัวมัม “หนิง ปณิตา” และ “ธัญญ่า ธัญญเรศ” จากเพื่อนรักสุดซี้ สู่คู่จิ้นยูริเพื่อนหญิงพลังหญิง

“อยากให้เด็กสมัยนี้ พยายามอย่าเสพสื่อที่เป็นดราม่า ที่มีคนด่าเยอะ มีคนวิจารณ์กันเยอะ ๆ อย่าไปอ่านเลย แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็เงียบ เพราะเป็นห่วงว่าเด็กสมัยนี้ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ อาจจะเจอกับภาวะซึมเศร้าจนนำไปสู่การคิดสั้นพ่อแม่ชอบคิดว่าลูกมีปัญหา แล้วเอาลูกไปพบจิตแพทย์ โดยที่บางครั้งลืมคิดไปว่าพ่อแม่เองนั่นแหละที่มีปัญหา ดังนั้นถ้าคิดจะพาลูกไปพบจิตแพทย์ตัวเราต้องไปด้วย แล้วถ้าปัญหามันส่งผลถึงใคร คนรอบข้างต้องไปหมด”เปิดคลับให้ได้ฟังสีสันของชีวิต และเติมข้อคิดแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจิ้นที่สร้างความฟินให้กับแฟนคลับทั่วประเทศ “หนิง ปณิตา” และ “ธัญญ่า ธัญญเรศ” สองนักแสดงตัวแม่มากความสามารถ ถูกจับเป็นคู่จิ้นอีกคู่หลังจากเล่นซีรีส์วายเรื่องใหม่ “Deep Night The Series คืนนี้มีแค่เรา” และมีฉากเลิฟซีนจูบสุดหวาน จนกลายเป็นไวรัล และมีด้อม “ธัญญ่า-หนิง” คู่ยูริคู่ใหม่ของวงการ เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจจากทั้งคู่ได้ถูกแชร์ไว้ในรายการด้วยDeep Night The Series กับเรื่องราวของสองเราธัญญ่า “Deep Night The Series เรื่องราวหลักเลย มันเป็นเรื่องราวของผู้ชายซะส่วนใหญ่ แต่ว่าในพาร์ทของตัวละคร มาดามเฟรยา เค้าเป็นเจ้าของบาร์โฮสต์ แล้วก็จะมีเรื่องราวพาร์ทของ เฟรยา กับ เมจิ ในสมัยอดีตตอนเป็นนักเรียนเราเรียนมาด้วยกันแล้วก็เกิดชอบกันขึ้นมา แต่สุดท้ายมาดามเฟรยาจะต้องไปแต่งงานแล้วไปมีลูก ทั้งคู่เลยต้องห่างกันไป แล้วในซีรีส์จะเป็นเรื่องราวพาร์ทที่เรากลับมาเจอกัน แล้วปฏิบัติเหมือนเป็นแฟนกัน แต่ว่าตัวเฟรยาก็เกรงใจลูกด้วย เฟรยา ก็เลยต้องเรียก เมจิ ว่าเพื่อน มันก็เลยจะมีความน้อยใจให้เห็น แล้วพอซีรีส์มันจบไป ก็เกิดกระแส เกิดด้อมของ หนิง-ธัญญ่า เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราสร้างพาร์ทของสองคนนี้ มาเล่าให้มันขนานไปกับเรื่องราวในซีรีส์ดีกว่า ก็เลยเกิดเป็น Side Story ที่จะลงทางช่อง Youtube ของ Deep Night The Series ก็จะเป็นเรื่องราวของเราสองคน ที่ไม่ได้เล่าในซีรีส์ตัวหลัก โดยจะมีทั้งหมด 6 EP. ให้ติดตามกันค่ะ”หนิง “ต้องยอมรับว่าช่วงปีที่ผ่านมาที่หนิงมีข่าว ก็จะต้องมีชื่อพี่ธัญญ่า อยู่เคียงข้างเสมอ แล้วบ้านเราสองคนก็อยู่ใกล้กันมากแบบเดินไปหากันได้ แล้วคนคงชินกับภาพโมเมนต์เวลาพวกเราฟาดฟันเป็นส่วนใหญ่ แต่พอเห็นมุมเลิฟ ๆ มุมหวานของพวกเรา คนก็เลยฟินกัน อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างทำงานกันมาเยอะ ทำให้พอเข้าฉากแล้วมันไม่เขิน”ธัญญ่า “พวกเราอายุใกล้เคียงกัน เจอปัญหาที่ใกล้เคียงกัน เลยทำให้เราสนิทกัน ตอนที่หนิงมีปัญหา ทำให้เราได้คุยกันบ่อย เจอกันบ่อย มันก็สนิทกันไปโดยปริยาย แล้วพอวันที่เราจะเล่นซีรีส์ เราก็ชวนว่าหนิงมาเล่นเป็นแฟนให้หน่อยสิ หนิงก็ตกลง แล้วทีแรกหนิงจะไม่เอาค่าตัวด้วย เค้ามาด้วยใจมาก หลังจากพอได้มาอ่านบทกัน ได้เวิร์คช็อป แล้วลองเล่นมันก็ไปตามฟีลลิ่ง ที่ผู้กำกับแทบจะไม่ต้องบอกอะไรเลย”หนิง “แล้วเรื่องความรัก หนิงมองว่าทุกเรื่องราวความรัก มันไม่ต้องจบลงด้วยเรื่องชู้สาว หรือต้องเป็นแฟนกัน หนิงว่าหมดสมัยแล้ว ความรักสมัยนี้แค่อยู่กันแล้วขอให้แฮปปี้ ไม่ทำผิดต่อศีล 5 ข้อ แค่นั้นก็พอแล้ว”ล้วงเบื้องหลังฉากชวนจิ้น ที่แฟนคลับฟินจนเกิดไวรัลธัญญ่า “มันก็จะมีซีนที่ธัญญ่า กับ หนิง ต้องจูบกัน ซึ่งด้วยฉากเขาเขียนอธิบายว่าให้เอาจมูกชนกัน แล้วในความรู้สึกของธัญญ่าเอง เราก็รู้สึกว่า ถ้าฟีลนี้มันต้องจุ๊บกันแล้ว แต่เราก็ไม่กล้า เหมือนเราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง เพราะว่ามันพึ่งเป็นการเข้าฉากด้วยกันครั้งแรก แล้ววันนั้นพอจมูกชนสักพัก เราก็รู้สึกว่าหนิงก็ยื่นปากมา แล้วในเมื่อยื่นปากมา เราก็จุ๊บซะเลย”หนิง “ในมุมของการเล่น ไม่ว่าจะซีรีส์ หรือละคร พอเวลาที่เราเป็นตัวละครตัวนั้น มันเหมือนเรารู้แล้วว่ามุมกล้องมันจับเรามุมไหน แล้วถ้าเราไม่อยากตายมุมกล้อง มันต้องเล่นตลอดเวลา มันก็ต้องหาลูกเล่นให้มันมีจริตแพรวพราวไว้บ้าง เวลาเล่นถึงต้องเล่นแบบนั้น แต่มันอยู่ที่คู่เล่นด้วย สมมติว่าถ้าเล่นแบบนี้ แล้วคู่ที่เล่นเป็นผู้ชาย เราก็อาจจะไม่เล่นแบบนั้นถ้าในมุมของหนิงที่เป็นผู้จัดด้วย หนิงว่าการแสดงในรูปแบบซีรีส์หญิงกับหญิง กับในรูปแบบละครทั่วไปไม่ต่างกัน เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็ต้องเคมีพระนาง จะเป็น หญิงกับหญิง จะเป็น ชายกับชาย หรือว่า คู่ชายหญิง หนิงว่ามนุษย์มันเปิดกว้างในเรื่องของความรักอยู่แล้ว มันอยู่ที่เคมี ถ้าเคมีมันไม่ได้ มันก็ต้องขยี้เคมี”ธัญญ่า “ในส่วนของธัญญ่าเอง ตอนแรกพอเราต้องเล่นด้วยกัน ก็จะรู้สึกเอ๊ะ เพราะเราไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อน แต่พอมันเป็นกับหนิง เราถึงกล้าเล่น แต่ในความกล้ามันก็มีความแบบเอ๊ะจะดีหรือเปล่า เอ๊ะแล้วภาพมันจะออกมายังไง ลูกจะว่าอะไรรึเปล่าแล้วหนิงจะว่าอะไรไหม แต่พอมันผ่านไปด้วยดีแล้ว เราก็รู้สึกสนุกกับมัน แล้วอยากเล่นฉากต่อไป เราจะเจออะไร หนิงจะเล่นอะไรมา แล้วเราจะเล่นอะไรกลับ แล้วภาพมันจะเป็นยังไง มันชวนให้คิดต่อแล้วอยากเล่นฉากต่อไป”หนิง “สมมติว่าถ้าเราเป็นคนเบื้องหลัง แล้วเราทำงานในการขยี้ฉากเลิฟซีน มันจะมีทริคอยู่อย่างหนึ่งคือ หนิงมักจะไม่บอกพระเอกว่าจะให้นางเอกทำอะไร และจะไม่บอกนางเอกว่าพระเอกจะทำอะไร ให้เรื่องมันเกิดขึ้น ณ โมเมนต์นั้น แล้วดูว่าอีกฝ่ายจะรับมือยังไง แล้วเราจะได้โมเมนต์สดตรงนั้น เวลาเล่นแต่ละครั้งก็จะปล่อยดีไซน์การเล่นที่หลากหลายไป หนิงเชื่อว่าถ้าเราปล่อยไปแล้วมีการทำการบ้านมาล่วงหน้า มันจะได้ความธรรมชาติจากตรงนั้น”ลงพื้นที่จริง เพื่อให้เข้าถึงบทบาทของตัวละครธัญญ่า “เราทำเกี่ยวกับเรื่องบาร์โฮสต์ เลยต้องไปหาข้อมูลจริงโดยการไปเที่ยวบาร์โฮสต์ แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าพาเด็ก ๆ ไปเลยดีกว่า ไปดูว่าบรรยากาศเป็นยังไง แล้วก็ชวนพี่เป๊กไปด้วย แล้วก็ไปดูบรรยากาศว่าข้างในเป็นยังไง”หนิง “หนิงมีความฝัน ว่าอยากเที่ยวบาร์โฮสต์ แต่เห็นแบบนี้ หนิงเป็นเด็กเรียบร้อยมากนะ หนิงเป็นเด็กไม่ปาร์ตี้ ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดื่ม ไปงานคือแค่ถ่ายรูปแล้วก็กลับ ขอนอนดีกว่า แต่ก็มีความฝันว่า วันนึงฉันจะต้องไปบาร์โฮสต์ให้ได้ มันมีความฝันอยู่”ธัญญ่า “น้อง ๆ เขาก็จะมีใส่เป็นชื่อ หรือเบอร์นี่แหละ แล้วก็เดินเรียง ถ้าโต๊ะไหนสนใจก็จะเหมือนเชิญเค้า น้องก็จะถอดป้ายออกมา แล้วก็มานั่งคุยกัน เหมือนเป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนดื่มประมาณนั้นค่ะ”กระแสตอบรับ กับคู่จิ้นยูริระดับตัวมัมธัญญ่า “เรื่องนี้เรื่องที่ 3 ที่ผ่านมาเคยเล่นตอนนั้นเป็นหนัง เล่นกับ ได๋ ไดอาน่า ตอนนั้นธัญญ่าน่าจะอายุ 19 ปี มันก็เป็นเรื่องราวน่ารัก ๆ ของเด็ก ๆ มาอีกเรื่องหนึ่งประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว Club Friday The Series 7 เหตุเกิดจากความรัก ตอน รักออนไลน์ ตอนนั้นเล่นกับ กระแต ศุภักษร แต่เหมือนตอนนั้นก็ยังไม่ได้จิ้นเราสักเท่าไหร่ แต่พอเล่น Deep Night The Series คืนนี้มีแค่เรา เปลี่ยนมากเลย เพราะที่เล่นตอนเด็ก ๆ มันก็ไม่ได้มีกระแสแบบนี้ แต่พอมาครั้งนี้เราก็ตกใจ เพราะว่าในเรื่องซีนเราไม่ได้มีเยอะเลย คือนับจำนวนได้ประมาณ 5-6 ซีน แต่มีไวรัล มีด้อมขึ้นมา ฐานแฟนคลับเรามีตั้งแต่อายุ 11 ปี ไปถึงประมาณ 30 ปี 40 นี่ไม่ค่อยเห็น คงไปเลี้ยงลูกละ ถ้ามากสุดประมาณ 30 ปีค่ะ”หนิง “จริง ๆ เราแอบกังวลด้วยนะ คือแอบมานั่งคุยกันว่า เราแอบไปขโมยซีนเด็ก เพราะจริง ๆ ความตั้งใจของพี่ธัญญ่าเอง อยากจะปั้นเด็กกลุ่มนี้ เราก็กลัวเหมือนกัน แต่สุดท้ายถ้าโอกาสมันมาแล้ว เราก็ต้องเดินหน้า ซึ่งหนิงรู้สึกว่า เรื่องนี้ผู้จัดประสบความสำเร็จ แล้วหนิงก็อยากให้เค้าต่อยอด”ธัญญ่า “เราอยากให้ Deep Night มันเกิด เพราะว่ามันเป็นเรื่องราวของเราสองคนในพาร์ทตอนเป็นเด็ก ซึ่งที่จริงมันก็จะต้องมีพาร์ทที่เป็นเราตอนสมัยสาว ๆ ด้วย มันก็จะต้องเกิดอีกคู่หนึ่ง พอพาร์ทผู้ใหญ่ก็จะเป็นเรา เหมือนจะต้องเล่าย้อนไปย้อนมาอย่างนี้ ก็อยากให้โปรเจกต์นี้เกิดเหมือนกัน อยากทำต่อ อยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ใจดีจะโอเครึเปล่า”หนิง ธัญญ่า กับมุมมองการยอมรับความหลากหลายในสังคมหนิง “ย้อนกลับไป หนิงเรียนโรงเรียนผู้หญิง ซึ่งสมัยนั้นเด็ก ๆ ไม่สามารถที่จะคบเพื่อนต่างเพศได้ ถ้าใครลองไปคบเพื่อนต่างเพศ หรือต่างโรงเรียนเขาแช่งเลยนะ แล้วจะโดนบูลลี่หนักมาก แต่ถ้าเป็นความรักกุ๊กกิ๊ก เขียนจดหมาย พับดาวพับนกกระยางใส่โหล ก็มีบ้าง แต่มันเป็นความรักแบบป๊อบปี้เลิฟแค่นั้นล่าสุดหนิงไปร่วมงาน Pride Month เพราะว่าหนิงติดตามเรื่อง พรบ.สมรสเท่าเทียม มาค่อนข้างนานมาก ๆ แล้วด้วยความที่เราทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ก็จะเห็นความรักที่ไม่สมหวัง แล้วมันเป็นอะไรที่ถูกต่อต้าน หนิงรู้สึกว่าพอมาวันนี้จากประสบการณ์อะไรหลาย ๆ อย่าง สุดท้ายแล้วความรักคือเรื่องสวยงามมาก และความรักมีอีกหลายแบบ มันไม่ต้องมาในรูปแบบแค่ผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น หนิงว่า ความเท่าเทียมกัน คือสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าหาความลงตัวได้ความรักมันก็จะทำให้มีแรงขับเคลื่อนในการทำเรื่องดี ๆ ต่อไป แล้วถ้ามนุษย์เราชีวิตมีความสุข มันก็จะไม่เกิดเรื่องทุกข์ เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรที่มันแย่ ๆ”ธัญญ่า “ที่ต้องมาเล่นซีรีส์ เกิดเป็นคู่จิ้นกับหนิง ลูกไม่ว่าอะไรเลยค่ะ ตอนแรกที่เรากังวลว่าลูกจะเข้าใจไหม แต่เค้าบอกว่าเป็นงานของแม่ เค้าเข้าใจ แล้วพอเป็นน้าหนิงด้วย เค้าก็รู้ว่าเราสนิทกัน แล้ว น้องลียา ก็รู้จัก น้องณิรินด้วย เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน เค้าก็เข้าใจค่ะ”หนิง “ตอนแรกแอบกังวลณิรินมาก เพราะด้วยความที่เค้าก็มีปัญหาหลายเรื่อง แต่พอบอกว่าเป็นป้าธัญญ่า ตอนแรกเค้าก็บอกเอ๊ะยังไง แล้วพอวันที่เค้ามางานเปิดตัวซีรีส์ เพื่อมาดูว่าแม่ทำอะไร เค้าก็สบายใจและโอเคมาก มันเป็นงานของแม่ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร”ธัญญ่า “สำหรับน้อง ๆ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ที่ยังรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น ธัญญ่าเชื่อว่า ความรู้สึกนี้มันอาจจะเกิดขึ้นในอดีต เพราะว่าโลกเรา สังคมเรา ยังไม่ได้เปิดรับขนาดนี้ และอาจจะยังมีบางครอบครัวที่ตอนนี้ คุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่าตายาย ยังรับไม่ได้ ธัญญ่ายังไม่อยากให้ท้อนะคะ อยากให้ทุกคนสู้ต่อไป บางทีมันอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เราจะเปิดได้ ณ วันหนึ่งหากมีโอกาสที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสม เชื่อว่ามันจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ไม่อยากให้ทุกคนท้อ และเชื่อว่าตอนนี้โลกเรามันค่อนข้างที่จะเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวสักวันหนึ่ง พวกเค้าจะเปิดรับเอง อยากให้ทุกคนสู้นะ ๆ”หนิง “หลาย ๆ เรื่องหนิงมองว่า คนสมัยนี้หัดที่จะรู้จักรอแทบจะไม่ได้แล้ว แต่ว่าการรอคอยมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรอบคอบด้วยนะ บางครั้งมันก็ต้องรอเพื่อโอกาสที่ดี จังหวะที่ดี หรือสิ่งที่ดี อีกแค่นิดเดียวเอง แล้วถ้าจะมองว่าการรักชอบกันในเพศเดียวกัน หรือรักกันแบบต่างเพศ เหนือไปกว่านั้นสิ่งที่จะทำให้ความรักเกิดการแตกแยก คือการที่เราไม่เป็นคนดี หนิงว่าเราไปให้ความสำคัญกับตรงนั้นดีกว่า”เปิดวิธีการเลี้ยงลูก ของสองนักแสดงตัวมัมหนิง “หนิงเลี้ยงลูกโดยการปรึกษาจิตแพทย์ค่ะ สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้กับพ่อแม่ทุกคนเลย คือพ่อแม่ชอบคิดว่าลูกมีปัญหาและเอาลูกไปพบจิตแพทย์ โดยที่บางครั้งลืมคิดไปว่า คุณเองนั่นแหละที่มีปัญหา ดังนั้นถ้าคิดจะเอาลูกไปพบจิตแพทย์ ตัวเราเองก็ต้องไปด้วย มันต้องเป็นการปรึกษาแบบทั้งหมด แล้วถ้าปัญหามันส่งผลถึงใครบ้าง คนรอบข้างต้องไปทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้ พี่อ้อม สุนิสา พี่อ้อมน่ารักมาก และรับรู้ปัญหาของหนิงมาตลอดตั้งแต่เด็ก ๆ เลย แล้วพี่อ้อมก็รู้จักกับจิตแพทย์คนนึงที่เก่งมาก เค้าก็บอกว่า อย่าไปนัดเจอกันในคลินิกหรือในสถานที่ที่มันดูเครียด ให้ไปเจอกันข้างนอก มาพูดคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกัน ต้องเป็นลักษณะอย่างนั้น แล้วก็บอกลูกว่า เวลาเราไม่สบาย เรายังต้องไปหาหมอเลย ดังนั้นถ้าเวลาเรากลุ้มใจ คนคนนี้จะรักษาความกลุ้มใจให้เราได้ แต่ไม่ใช่ว่าลูกผิดปกตินะ แม่ก็อาจจะผิดปกติเหมือนกัน ฉะนั้นไปด้วยกันเพราะเรามีกันอยู่แค่สองคน ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า บาง Section ก็อาจจะมีอาม่า เลขา เพื่อนหรือคนรอบข้าง ที่มีผลกับเค้าก็ต้องไปด้วย ต้องให้ความร่วมมือกัน 360 องศาซึ่งพอได้ปรึกษาจิตแพทย์ หนิงเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดมาก จากช่วงที่มีปัญหาคือลูกเหมือนโดนบูลลี่ที่โรงเรียน จากเด็กที่อยู่หน้าห้อง มีความมั่นใจ ชอบเต้น ชอบแสดงออก ชอบร้องเพลง ก็กลายเป็นว่าไม่กล้าที่จะโชว์ต่อหน้าใครที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่งแม่ให้ทำงานกับแม่ เค้าก็จะบอกว่านั่นคือการบังคับเค้าไม่ได้อยากทำ แต่พอได้มีการพูดคุยตอนนี้ก็เริ่มกลับมาอยู่หน้าห้อง และเค้าก็พยายามพิสูจน์ตัวเค้าเอง ในการที่จะบอกว่าเค้าต้องเอาชนะความคิดบูลลี่เหล่านั้น โดยการที่เค้าจะต้องทำให้ตัวเองแข็งแรงให้ได้ เค้าก็เดินเข้าไปออดิชั่นละครเวทีของโรงเรียน และได้รับบทที่เด่นที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เค้าก็ยังมีความกังวลลึก ๆ ว่าจะทำได้ ณ วันที่ต้องแสดงจริง ๆ รึเปล่า ซึ่งก่อนหน้านี้ หนิงไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้เลยนะ เพราะอยากให้เค้าเรียนหนังสือก่อน แต่พอหลังจากที่มีเรื่องมีราวหลายอย่างในชีวิต หนิงรู้สึกว่า ถ้ามันเป็นความสุขของลูก หนิงว่าไม่ผิดอะไร เมื่อลูกพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าจะกลับมาอยู่ตรงนี้ได้ หนิงก็จะผลักดันทุกอย่างเอง ส่วนใหญ่เด็กจะเกิดปัญหาเพราะผู้ใหญ่นั่นแหละที่เอาความคาดหวังไปให้กับเด็ก แล้วคิดว่าเด็กต้องเป็นอย่างนี้นะ โดยลืมคิดไปว่า แล้วตอนที่เราอายุเท่านั้น เราเป็นยังไง และโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องเอาหัวใจเราไปเป็นหัวใจเด็กอายุ 11 ถึงจะเข้าใจกันทุกวันนี้เวลาอยู่กับ ณิริน เราสองคนจะควบคุมการใช้โซเชียล แล้วก็ต้องหาอะไรที่ทำด้วยกันและใช้เวลาด้วยกันได้ อย่าง ณิริน เค้าชอบสิ่งสวย ๆ งาม ๆ ก็เลยชวนไปนวดตัวกันไหม ไปสระผม ไปทำเล็บ แล้วหนิงก็จะควบคุมการใช้งานโซเชียลผ่านทางโทรศัพท์ของหนิง ถ้ามันเลยเวลาควบคุมทุกอย่างมันก็จะถูกตัดทันที แล้วก็จะมีความผิด เป็นกฎกติกาว่าต้องโดนยึดนะ หรือต้องมีบทลงโทษนะ”ธัญญ่า “ลียา เค้ากำลังจะอายุครบ 15 ปี เพื่อน ๆ เค้าหลายคนก็มีแฟนแล้ว แต่ด้วยความที่รูปร่างเค้ายังเด็กมาก ยังไม่ได้โตเท่าเพื่อน และยังไม่ได้มีความชอบฉันท์ชู้สาว ก็ยังโชคดีที่เค้ายังเด็กอยู่ในความรู้สึกเรา เราเองก็สบายใจไปเปราะนึง ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นแล้ว ถ้ามีเรื่องที่ ลียา อยากเล่า เดี๋ยวเค้าจะเล่าเอง แล้วเค้าจะเป็นเด็กขี้อายนิดนึงเวลาอยู่โรงเรียน มันต้องใช้ความเข้าใจเยอะ ๆ ร้อยวันพันเหตุการณ์ แล้วก็ร้อยวันพันอารมณ์ด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เค้าเริ่มเปลี่ยนจากเด็กเข้าสู่วัยรุ่นแล้วเรามักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งถ้าเรายิ่งไปดุหรือว่าเค้า มันยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมดเลย เจอหน้ากันก็มีแต่อารมณ์มัวหมอง จนวันหนึ่งเราก็รู้สึกว่าเราต้องปล่อยวาง เค้าแยกห้องนอนตั้งแต่อายุ 12 ปี เราก็จะรู้สึกคิดถึงเพราะปกติต้องนอนกอดกัน แล้วลียา เค้าจะติดเล่นปากเราตั้งแต่เด็กยันโต ทุกวันนี้บางทีเวลาทำอะไรอยู่ แล้วเผลอ ๆ เค้าก็จะเดินมาเล่นปากเรา เราก็จะแบบคิดถึงโมเมนต์นี้จังเลย”หนิง “ถ้าถามว่าหนิงเป็นแม่ที่ดุไหม ต้องใช้คำว่ามาก คือจะดุต่อเมื่อคุณไม่ทำตามกฎกติกา หนิงผ่อนสามรอบทุกครั้ง 1 2 3 ล่าสุดเค้าท้าทายหนิง เค้าบอกว่า โอ้ย แม่ดุก็ดุไปเหอะ แม่ไม่เคยทำจริงสักรอบหรอก เดี๋ยวแม่หายโกรธแม่ก็สปอยหนูเหมือนเดิม ล่าสุดก็เลยโดนลงโทษแบบขั้นเด็ดขาด ตัดการเรียนทุกอย่างที่ชอบ เพราะว่าไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะการเรียนเต้นเรียนร้องเพลงตัดหมดเลย ไม่ให้เรียนเลยเพราะไม่รับผิดชอบ แต่หลัง ๆ ก็ดีขึ้น เค้าก็ปรับตัวค่ะ เห็นแบบนี้ เวลาหนิงนิ่งน่ากลัวมากนะ แต่เวลาหนิงบ่นไม่น่ากลัวเลย”ธัญญ่า “สำหรับธัญญ่าไม่ดุเลยค่ะ บ่นมากกว่า แต่ก็บ่นไปอย่างนั้น ส่วนพี่เป็ก บทจะตามใจก็คือตามใจมาก บทจะดุก็คือดุ เพราะลียาเค้าจะกลัวพี่เป็ก แต่กับเราเค้าไม่กลัวเพราะรู้ว่าแม่ใจอ่อน ตามใจ อยากทำอะไรก็จะหาวิธี บางทีก็มานั่งเตี๊ยมกันว่าเค้าอยากทำอย่างนี้แต่พ่อไม่ให้ เราจะทำยังไงดี เค้าจะรู้อารมณ์ว่าเค้าจะพูดกับพ่อเค้าตอนไหน พูดเรื่องอะไรได้ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้”สีสันแรงบันดาลใจ จาก หนิง ธัญญ่าหนิง “บางครั้งชีวิตเราพยายามที่จะอยู่กับโซเชียลจนลืมความเป็นตัวของเราเอง มันต้องแบ่งเวลาดี ๆ เพราะจะไม่อยู่กับโซเชียลเลยก็ไม่ได้ ด้วยงานที่เราต้องทำก็ยังต้องอยู่กับมัน ดังนั้นต้องเล่นกับมันให้เป็น และให้มันเกิดคุณค่า อย่าลืมว่าดาราสมัยก่อนรุ่นพวกเรากับสมัยนี้มันต่างกันนะ สมัยนี้ถ้าเรื่องไหนมันเกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่เรื่องจริงมันติดลบมันจะตีกลับหมดเลยนะ แต่ข้อดีคือมันทำให้เราประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบและเป็นคนดีมากขึ้น” - หนิง ปณิตาธัญญ่า “ด้วยความที่เราเจอเรื่องราวมาค่อนข้างจะหนักหนาสาหัส แต่จริง ๆ เรื่องพื้นฐานครอบครัวก็สำคัญ บางทีกลัวว่าถ้าเด็กสมัยนี้เจอดราม่าหนัก ๆ แล้วจะเป็นโรคซึมเศร้า เพราะสมัยนี้มันรุนแรงจริง ๆ ต้องพยายามอย่าเสพสื่อมาก ถ้ามีข่าวดราม่าขึ้นมาแล้วคนด่าเยอะ วิจารณ์กันเยอะ อย่าไปอ่านเลย แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็เงียบ เพราะถ้าเด็กสมัยนี้ไม่เข้มแข็งพอเรากลัวโรคซึมเศร้า แล้วก็กลัวคิดสั้น” - ธัญญ่า ธัญญเรศพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1