
26 เม.ย. 2023
GREEN MORNING SHOW 26 เม.ย. 66
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
26 เม.ย. 2023
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
26 เม.ย. 2023
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
26 เม.ย. 2023
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
14 มี.ค. 2023
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
14 มี.ค. 2023
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
23 ก.พ. 2023
ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.
03 มิ.ย. 2023
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
27 พ.ค. 2023
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
20 พ.ค. 2023
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
12 พ.ค. 2023
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
05 พ.ค. 2023
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
28 เม.ย. 2023
สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM
16 พ.ค. 2023
ซัมเมอร์แล้ว ผิวก็ต้องสวยหน่อยป่ะ! ฤดูที่จะ SO HOT ก็มักจะมาคู่กับงานผิว งานใจจจ ไหนจะต้องไปทะเล ไหนจะต้องใส่บิกินี่ ผิวมันก็สวยกันหน่อยสิแม่! EP.นี้ หมอเพื่อนและดีเจดาวเลยมาแชร์ทริคดีดี สำหรับคนอยากผิวสวย เนียน ฉ่ำ อ่ะใครมีทริปไปทะเล ไปดูและทำตามกันได้เลย
07 มี.ค. 2023
เสริฟ์ความหวานถึงหน้าจอ กับหมอเพื่อน และดีเจแคน ใน เพื่อนเป็นหมอ EP.19 EP.นี้หมอเพื่อนพาดีเจแคน มาทายปริมาณน้ำตาล ที่อยู่ในเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่เราชอบดื่มกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม กาแฟ น้ำผลไม้กล่องต่าง ๆ หรือพวกชานมไข่มุก ใครชอบดื่มน้ำอะไรมารอดูได้เลย ว่าในแต่ละวันเรากินน้ำตาลไปเท่าไหร่ หรือจะลองทายไปพร้อม ๆ กันก็ได้นะ ^^
14 ก.พ. 2023
หมอเพื่อนและดีเจแนน พามาเปิดปิ่นโตที่กินแล้วดี๊ดี กินตามนี้ ลำไส้ดีแน่นอน! ส่วนหนึ่งคือ ‘อาหาร’ ที่เรากินเข้าไปนั้นเองค่ะ เพราะลำไส้เปรียบเสมือนสมองที่ 2 ของร่างกาย จึงเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานอื่นๆของร่างกายหลายส่วน! แบบนี้ต้องดูแลการกินให้ดีที่สุด กินตามนี้ ขับถ่ายดี อารมณ์ดี ชะลอวัยแน่นอนค่า
14 ก.พ. 2023
ที่ผ่านมาคนไข้ที่มาหาหมอส่วนมากเป็นโรคอะไร?! ระวัง! คนอายุน้อยจะเป็นโรคกันมากขึ้นต่อให้ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพอย่างดีก็ยังเป็นมะเร็งปอดได้?! นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว ยังมีนวัตกรรมความงามจึ้งๆ ที่กำลังมาแรงให้ได้รู้กันด้วย
09 ม.ค. 2023
ใครที่ตื่นเช้าไม่สดชื่น กลางคืนนอนหลับยาก บ่ายๆง่วงนอน หิวจุกจิกทั้งวัน! ปกติเป็นคนร่าเริง แต่อยู่ๆทำไมถึงรู้สึกหมดไฟ ใจท้อ ห่อเหี่ยว... เป็นสัญญาณเตือนว่า..ค่าแฮปปี้ฮอร์โมน ของเราต่ำเกินไปรึเปล่า? มาเช็ควิธีตรวจ และแกไขกันได้เลยกับ #หมอเพื่อน 'เพื่อนเป็นหมอ' Content Online ชวนทุกคนมาเป็นเพื่อนกับหมอเพื่อน พญ. กอบกุลยา จึงประเสริฐศรี ที่จะมาแชร์ทริคความสวย และสุขภาพดีจากภายใน ติดตามได้ทาง GreenWave Fanpage YouTube AtimeOnline #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจโก #แฮปปี้ฮอร์โมน
16 ธ.ค. 2022
หมอเพื่อนและดีเจอั๋นพาตรวจสุขภาพกันแบบไม่อัน! กับโปรแกรมตรวจสุขภาพที่คุ้มสุด ๆ ใครอยากเริ่มตรวจสุขภาพประจำปี รอชมเลยค่า ตรวจอะไรบ้าง? ต้องเตรียมตัวอย่างไร? ใครที่ควรตรวจ? ตามไปดูกันได้เลยทั้งใน GreenWave Fanpage และ YouTube AtimeOnline #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจอั๋น #อั๋นภูวนาท #ตรวจสุขภาพ #โปรแกรมตรวจสุขภาพ #AllYouCanCheck
17 ธ.ค. 2022
12 ก.ย. 2022
11 ก.ค. 2022
06 มิ.ย. 2022
07 เม.ย. 2022
อีก 1 วงดนตรี ที่แม้จะเคยขึ้นเวที Cover Night Live มา 2 ครั้งแล้วแต่สมาชิกทุกคนในวงก็ยังบอกกับทีมงานเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ตื่นเต้น!’กลับมาครั้งนี้... GREENWAVE เปิดกล้องต้อนรับ MEAN มาประเดิม LIVE SESSION แรกของปีกับการถ่ายทำ 5 เพลง COVER ที่ MEAN เลือกมาแล้วว่ามีความหมายกับพวกเขาทุกเพลงมาลองเดินทางไปกับเรื่องราวของพวกเขา แล้วจะรู้ว่าทุกเพลงที่เลือกมาควรค่าแก่การติดตามฟังและติดตามชมให้ครบทุก SESSION จริงๆนักโทษประหาร เพลงนี้โปเต้เป็นคนเลือกเอง เพราะเป็นแฟนเพลงพี่แมว จิรศักดิ์ ตั้งแต่ ป.4จากการเล่นเกมไปฟังเพลงพี่แมวตอนเล่นเกมไปด้วย โปเต้รู้สึกคิดถึงเพลงนี้ เลยเลือกเพลงนี้มาใส่ใน Cover Playlist ส่วนพาร์ทดนตรี พัดบอกว่าเปลี่ยนไปเยอะ เพราะ Arrange ในแบบฉบับของความเป็น MEAN จึงทดลองเรียบเรียงเพลง Rock ให้มีความเป็น Motown และมีความเป็น Soul Funk เบาๆ ที่สำคัญคือ เพราะกันเพิ่งเปลี่ยนตำแหน่งจากมือเบส มาเล่นกลองเต็มตัว โชว์ฝีมือสุดตัวในการ Arrange เพลงนี้ อยากให้ทุกคนได้ฟัง นักโทษประหาร ใน Version ของวง MEAN กันปากดี เพลงนี้กันเป็นคนเลือก เพราะชื่นชอบอัลบั้ม LIFE ของพี่ๆ POTATO มากกก (ใช้คำว่าคลั่งเลยก็ว่าได้) เพราะชุดนี้ POTATO มีความเป็น Rock มากขึ้น และเพลงนี้ในยุคนั้นก็ดังมากกก เปิดวิทยุไปคลื่นไหนต้องได้ยิน บวกกับเป็นเพลงที่ไม่ได้ฟังนานแล้ว เลยอยากหยิบเพลงนี้มา Cover ใหม่ในแบบของ MEAN ที่สำคัญคือ เป็นเพลงที่พี่ฟองเบียร์เป็นคนแต่ง ซึ่งวง MEAN เพิ่งได้ feat. กับพี่ฟองเบียร์ ในเพลง วันนั้นฝนก็ตกแบบนี้แหละ ทั้ง 4 หนุ่มจึงตั้งใจนำผลงานของพี่ฟองเบียร์มา Cover ใน Cover Night ครั้งนี้ด้วยเพื่อนสนิท อีก 1 เพลงที่กันเลือกมาและผ่านเข้ารอบ ด้วยความที่กันแฟนเพลงของพี่ต้น สุวัธชัย (โปรดิวเซอร์เพลงเพื่อนสนิท) อยู่แล้ว และถ้าพูดถึงเพลงแอบรักเพื่อน แอบรักใครสักคน เพลงเพื่อนสนิทถือว่ายืน 1 ขึ้นหิ้งแน่นอน และวง MEAN ก็มีเพลงแอบรักอย่างเพลง หมายความว่าอะไร เลยรู้สึกอยากให้ความเคารพเพลงครู ด้วยการเลือกมา Cover ซึ่งเพื่อนๆ ก็เคาะเพลงนี้เข้ามาใน Cover Playlist ด้วยสุดที่รัก เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำให้เราทราบว่า ปาล์ม ปวีร์ เป็น Retrorian มาก่อน โดดเรียนตามไปดูคอนเสิร์ต Retrospect ก็ทำมาแล้ว ปาล์มรู้สึกว่าเพลงนี้ความหมายดี อยากให้ 1 ใน 5 เพลงที่เลือกมา Cover Night Live Session ครั้งนี้ มีอารมณ์ DEEP หน่อย พัดเสริมว่าเราเลยตกลงกันว่าจะทำดนตรีให้ DEEP สุดๆ และระหว่างที่ Arrange เพลงนี้ วงก็ค้นพบว่าพี่ดาโน่ ดนัย เป็น Producer ของ Retrospect ซึ่งทำอัลบั้มให้ MEAN ด้วย การทำ Cover เพลงนี้ ทำให้วงได้พบทางคอร์ดที่พี่ดาโน่ชอบใช้ เหมือนได้ค้นพบอะไรในประวัติศาสตร์ระหว่าง Arrange เพลง เป็นอีกความรู้สึกที่พิเศษสำหรับวงมากๆไม่กล้าบอกเธอ โปเต้รู้สึกชอบเพลงนี้มาตั้งแต่เป็นเพลงประกอบละครของค่าย Exact-Scenarioฟังครั้งแรกรู้สึกชอบมาก และมารู้สึกประทับใจอีกครั้งตอนที่โรงเรียนมีประกวดดนตรี Acoustic มีรุ่นพี่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาร้องเพลงเพราะมาก พอได้ฟังเรารู้สึกอยากร้องเพลงนี้แต่ไม่มีโอกาสได้ร้องสักที เลยบอกเพื่อนๆ ในวงว่าขอเอาความรู้สึกตอน ม.5 กลับมาใส่ใน Playlist Cover Night ครั้งนี้ ส่วนดนตรีของเพลงนี้ วงอยากเปลี่ยนการสื่อสารเพลง Original จาก Acoustic เป็นแบบอื่น ตอนแรกเกือบจะเป็นแนว Bossa Nova แต่ลองเพิ่มกลิ่นอายของ Motown สนุกสนานเปิดตัวในตอนต้นเพลง ส่วนตอนกลางใส่จังหวะ Modern RB เพื่อเปลี่ยน Mood ver.Original เลยใส่ความเป็นวง MEAN เข้าไป บอกได้เลยว่าเป็นเพลงที่ไม่อยากให้แฟนๆ พลาดจริงๆ เดินทางมาถึงบรรทัดนี้ คงทราบถึงความหมายและความพิเศษของแต่ละเพลงที่ 4 หนุ่ม ตั้งใจคัดมานำเสนอใน LIVE SESSION นี้กันแล้ว ฟังวนๆ ซ้ำๆ ได้ไม่ว่ากัน คลิกเลย Youtube ATIMEONLINECover Night Live Session ครั้งหน้าจะเป็นคิวของศิลปินคนไหน ติดตามความพิเศษแบบนี้ได้ที่ GREENWAVE 1065 เท่านั้น!
28 ม.ค. 2022
รวมพลคนหัวใจเต้น เป็นจังหวะสนุกรวมเพลง Cover ที่ฟังกี่ทีก็ใจเต้นส้ม มารี x เอิ๊ต ภัทรวี x ทอม อิศราพร้อมมากระตุ้นหัวใจ ให้เต้นไปพร้อมกัน
01 มิ.ย. 2023
21 พ.ค. 2023
12 พ.ค. 2023
16 มี.ค. 2023
30 พ.ค. 2023
อย่างที่เรารู้กันว่าการนอนน้อย หรือ นอนดึก จะส่งผลให้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และอาจจะรวมถึงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อีกมากมายทั้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้หลงขี้ลืม น้ำหนักขึ้นไว แก่ก่อนวัย ไม่มีสมาธิ แต่จริง ๆ แล้ว ความร้ายกาจของการนอนน้อย หรือการนอนดึก อาจจะทำให้เราเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ว่าจะต้องนอนน้อยแค่ไหน หรือนอนมานานเท่าไหร่ถึงเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ วันนี้กรีนเวฟจะพาไปหาคำตอบด้วยกันต้องนอนดึกมานานแค่ไหนถึงเสี่ยงโรคร้ายจริง ๆ คงต้องบอกว่าไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะปัจจัยในการเกิดโรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และจะไม่มีการบอกว่านอนดึกมานานกี่ปีถึงจะเกิดโรคอะไร ขึ้นอยู่กับการปรับตัวแต่ละคน บางคนนอนดึกเป็น 10 ปี ก็ไม่เป็นอะไรก็มี แต่โดยมากการนอนดึกต่อเนื่อง 6 เดือน – 1 ปี ระดับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ก็จะเริ่มร่วงลง เมื่อฮอร์โมนลดลงการเกิดโรคต่าง ๆ ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันละ เพราะปัจจัยแต่ละโรคมันไม่ได้ขึ้นอยู่แต่แค่การนอนอย่างเดียวGrowth Hormone คืออะไรโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโต มีหน้าที่สำคัญทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีบทบาทที่แตกต่างกันในเด็ก โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่สร้างความเจริญเติบโตให้เด็ก มีส่วนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและกระดูก หากเด็กคนไหนขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้รูปร่างเตี้ย ตัวเล็ก ไม่มีกล้ามเนื้อ อาจมีภาวะอ้วนจากการสะสมไขมันที่ลำตัวมากในผู้ใหญ่ กรทฮอร์โมนทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ช่วยกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย ช่วยเพิ่มมวลและความสามารถของกล้ามเนื้อ ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ชะลอความแก่ชรา แต่ถ้าใครมีโกรทฮอร์โมนที่น้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันจะทำให้คนๆ นั้นมีความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสันหรือโรคทางด้านหัวใจและเส้นเลือดผิดปกติได้ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง ใบหน้าหย่อนคล้อยดูเหมือนแก่กว่าวัย ดังนั้นการที่มีโกรทฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคและชะลอการแก่ก่อนวัยอันควรโดยการเพิ่มโกรทฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี และ 1 ในนั้น คือเรื่องของการนอน ควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะสามารถผลิตโกรทฮอร์โมนได้มากที่สุด โดยปกติโกรทฮอร์โมนจะหลั่งช่วง 5 ทุ่ม - ตี 2 และควรนอนไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนอนน้อยเสี่ยงโรคมะเร็ง ?ได้มีการศึกษาและวิจัยว่าในคน 1,240 คน พบว่ามีคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงถึง 47% จะมีอาการของมะเร็งลำไส้ มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชม.ขึ้นไปนอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งลำไส้แล้วยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดฝ้าได้อีกด้วยเวลาที่เรานอน ฮอร์โมนของเราจะถูกสร้างให้รู้สึกผ่อนคลายและมีการสร้างของเม็ดสีที่มันเป็นไม่คล้ำ แต่ถ้าเกิดว่าเรานอนดึกจนเกินไป สมองแทนที่มันจะถูกพักและสร้างเม็ดสีที่ดี มันจะเปลี่ยนเป็นกระตุ้นเม็ดสีดำ ขึ้นมาเยอะแทน มันจะไปกระตุ้นฮอร์โมนชื่อ melanocyte stimulating hormone เรียกย่อว่า MSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีดำ และก็อาจจะทำให้ ยิ่งนอนน้อยยิ่งมีรอยเหี่ยวย่นเยอะ และก็ฝ้าเยอะได้พยายามนอนเร็วแล้ว แต่เป็นคนนอนหลับยากทำยังไงดีก่อนที่จะนอนถ้ากินมื้อเย็นหรือมื้อใหญ่ เช่นบุฟเฟ่ต์ก่อนหน้าที่จะเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้หลับยากยิ่งขึ้น เพราะเวลาที่เรากินมื้อเย็นเป็นมื้อใหญ่ หรือกินบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่เยอะ จะยิ่งไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น (Cortisol ฮอร์โมนความเครียด) เมื่อร่างการมีหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เข้าสู่วงจรการนอนหลับได้ยากขึ้นห่างแสงสีฟ้าอย่างต่ำ 2 เมตร เพราะคลื่นทำงานของมือถือ เค้าจะรบกวน การทำงานของสมองได้ กว่าที่ร่างกายจะสั่งให้หลับ มันจะมีการสร้างตัวสั่งให้หลับชื่อฮอร์โมนว่า Melatonin โดย Melatonin จะออกมาตอนที่ทุกอย่างมืด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเปิดไฟ ก็จะทำให้ melatonin มันไม่ออกมา แต่ตัวที่หนักกว่าไหที่เราเปิดคือแสงสีฟ้า หรือเรียกว่า Blue Light ซึ่งมันจะยับยั้งการหลั่ง melatonin ได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราหลับไปแล้ว แล้วดูแสงสีฟ้าขึ้นมา มันก็จะยิ่งทำให้กระตุ้นร่างกาย ทำให้ตัวสั่งหลับมันไม่ออกมามากยิ่งขึ้น เราก็จะนอนยากออกกำลังกายก่อนนอนบางคนคิดว่าทำให้ตัวเองเหนื่อยแล้วจะยิ่งนอนหลับได้ดี แต่จริง ๆ แล้วสำหรับคนที่ Sensitive ในเรื่องของการนอน จะแนะนำให้ออกกำลังกายก่อน 6 โมงเย็น เพราะว่าเวลาที่ออกกำลังกายแล้วเนี่ยมันจะมี Adrenaline Epinephrine หลั่ง ซึ่งพวกนี้เป็นสารของคาวม Active และความสดชื่น ทำให้ร่างกายตื่น เพราะฉะนั้นพอเราไปเข้านอน มันก็ยังคงความสดชื่นอยู่ เลยทำให้หลับยากชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ก็สามารถไปกระตุ้นในเรื่องของการนอนได้เหมือนกัน โดยปกติคาเฟอีนใช้เวลาขับออกจากร่างกายประมาณ 6-8 ชั่วโมง สมมุติถ้าเราจะนอนตอน 3 ทุ่ม สำหรับคนทั่วไป ถ้ากินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปช่วงบ่าย 3 กว่าจะเข้านอนเค้าก็สามารถระบายคาเฟอีกออกจากร่างกายได้หมด แต่สำหรับคนที่ Sensitive หากกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วบ่าย 3 เหมือนกัน ร่างกายอาจจะระบายออกมาไม่ทัน อาจจะต้องขยับเวลามากินช่วงก่อนเที่ยงเลยด้วยซ้ำแต่หากใครอยากดื่มชาก่อนนอน เราก็ขอแนะนำเป็นชาคาโมมายล์เท่านั้น เพราะเป็นชาตัวเดียวเท่านั้นที่ช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดีเป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับที่เอามาฝากกันวันนี้ อย่าลืมว่านอกจากจะดูแลตัวเองเรื่องของการกินและการออกกำลังกายแล้ว สุขภาพการนอนที่ดีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราร่างกายเราแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน
30 เม.ย. 2023
ดื่มน้ำเยอะ ดีจริงไหม ?คงได้ยินกันมาไม่น้อยว่าการดื่มน้ำจะดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น บำรุงผิว ช่วยลดน้ำหนักแต่ถ้าเราดื่มน้ำเยอะ ๆ หละ มันจะดีต่อสุขภาพจริง ๆ รึเปล่านะ? วันนี้กรีนเวฟจะพาทุกคนไปไขคำตอบกันQ : ทุกคนรู้ไหมว่าใน 1 วัน เราควรกินน้ำเปล่ามากแค่ไหน ?A: จากที่เคยได้ยินมาตั้งเด็ก ๆ คือ เราควรกินน้ำวันละ 8 แก้ว ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะจำได้ ก็ใช่ว่าทุกคนจะกินน้ำวันละ 8 แก้ว เพราะส่วนใหญ่เราจะกินเมื่อกระหาย หรือรู้สึกอยากให้สดชื่น แต่ในปัจจุบันในยุคที่โรคภัยไข้เจ็บแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ใคร ๆ ต่างก็หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันอาจจะไม่พอสำหรับบางคน แท้จริงแล้วปริมาณที่เหมาะสมอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ของผู้บริโภค เช่น กิจกรรมที่ทำ เพศและอายุนอกจากน้ำหนักแล้ว ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วย เช่น หากเป็นคนชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือใช้ชีวิตกลางแจ้ง ก็ต้องดื่มน้ำเยอะขึ้น และควรจิบน้ำประมาณ 1.25 แก้ว หรือ 1 ขวดเล็กในทุก 30 นาที ขณะออกกำลังกายช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำเปล่าตื่นนอนตอนเช้า : ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้ว ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในและระบบขับถ่ายหลังอาบน้ำ : ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วช่วยลดความดันโลหิตได้ก่อนรับประทานอาหาร : ดื่มน้ำเปล่าก่อนมื้ออาหาร 15 นาทีช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นระหว่างวัน : คอยจิบน้ำทุกครึ่งชม. ตลอดทั้งวันให้ได้ปริมาณรวมกันที่ 1-2 ลิตร แต่ต้องไม่ดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ จนเกินไปตอนออกกำลังกาย : ควรจิบน้ำให้ได้ปริมาณ1/2 - 1 ลิตร ตลอด sessionเพื่อชดเชยการสูญเสียเหงื่อ และระบายความร้อนขณะออกกำลังกายก่อนนอน : ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ช่วยแทนที่ของเหลวที่จะสูญเสียในตอนกลางคืนได้น้ำเปล่าช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจมีการศึกษาเปรียบเทียบ ในคนปกติที่ดื่มน้ำน้อยกว่า 2 แก้วต่อวัน กับคนที่ดื่มน้ำเปล่ามากกว่า 5 แก้วต่อวัน พบว่า คนที่ดื่มน้ำน้อยจะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่า หรือพูดง่าย ๆ ยิ่งดื่มน้ำมากยิ่งมีความเสี่ยงตายลดลง เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ๆ เลยก็ควรดื่มน้ำมากกว่า 2 แก้ว ถ้าได้ 8- 10 แก้วต่อวันยิ่งดี เพราะว่าจะได้ช่วยลดการเกิด อัตราหัวใจขาดเลือดได้น้ำเปล่าช่วยลดน้ำหนักการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นเพราะการดื่มน้ำทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง ร่างกายจึงต้องเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตาม แล้วถ้าเกิดเราดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารสักประมาณ 15 นาทีก็จะช่วยลดความอยากอาหารลงได้ด้วย แต่ที่สำคัญ ห้ามกินน้ำแทนข้าวเด็ดขาด เพราะถ้าร่างกายรู้สึกอดอยาก มันจะสะสมไขมัน แล้วตัวไขมันนี่แหละที่ลดยากที่สุด!ดื่มน้ำเยอะ ดีจริงไหม ?ดื่มน้ำเยอะก็ดี แต่ถ้าดื่มมากไปจะเกิดภาวะ Water Intoxication หรือ ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ได้ เกิดจากการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น การดื่มน้ำรวดเดียวเป็นจำนวน 7 ลิตรหรือดื่มน้ำ 4 ลิตรภายใน 2 ชั่วโมงเพราะปกติในหลอดเลือดเราจะมีโซเดียม ถ้าดื่มน้ำมากเกินก็จะไปเจือจางโซเดียมได้ เกิดภาวะโซเดียมต่ำ ทำให้เกลือแร่ในร่างกายจางกว่าปกติ ซึ่งร่างกายเราจะอยู่ได้ด้วยความเข้นข้นเลือดประมาณนึง แต่ถ้ามันจางเกินไปจะอันตราย ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถึงขั้นชัก หมดสติไม่รู้สึกตัวได้เลยแต่ดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่ดี!การดื่มน้ำน้อยเกินไปอาจเกิดจากความกังวล หรือกลัวอันตรายของการดื่มน้ำมากเกินไป หรืออาจเข้าใจว่าการดื่มน้ำเพียง 8 แก้วต่อวันก็เพียงพอต่อร่างกายแล้ว ยิ่งหากเป็นผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ร่างกายจะสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ หากไม่เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ภาวะขาดน้ำเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อและปัสสาวะ มากกว่าปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไป ผู้ป่วยอาจสังเกตได้ว่าปัสสาวะมีสีเข้ม และปัสสาวะไม่บ่อยเท่าปกติ หรืออาจปรากฏอาการเหนื่อยล้าและกระหายน้ำอย่างรุนแรง สำหรับผู้ป่วยเด็ก อาจสังเกตได้ว่าผ้าอ้อมแห้งกว่าปกติ หรือปรากฏอาการต่าง ๆ เช่น ลิ้นแห้ง ปากแห้งและร้องไห้ไม่มีน้ำตา อาการดังกล่าวทั้งหมดของภาวะขาดน้ำอาจก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ เพิ่ม เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง สับสนหรือเบลอ ท้องผูก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป นิ่วที่ไต ช็อกรู้ได้อย่างไรว่าดื่มน้ำเพียงพอแล้ว ?วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกต คนที่ดื่มน้ำเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะขับถ่ายสะดวก และมีปัสสาวะสีเหลืองใส แต่คนที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอจะมีปัญหาการขับถ่ายหรือท้องผูก และมีปัสสาวะสีเข้ม แต่หากมีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับไตหรือภาวะหัวใจล้มเหลว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำเพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดีกับร่างกายจะทำให้เราได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่กินน้อยไม่กินเยอะเกินนะทุกคนนนน ส่วนตอนนี้ใครยังดื่มน้ำไม่ถึงที่ร่างกายต้องการ รีบไปหยิบน้ำเปล่าดื่มเร็ววว
26 เม.ย. 2023
คนทำงานบางคนอาจเจองานหนักบ้าง เบาบ้างไม่เหมือนกันแต่ทราบไหมคะว่าคนที่ทำงานหนักจะเกิดความเครียดสะสม ซึ่งเจ้าความเครียดนี่เหละค่ะเป็นสาเหตุของหลายโรคเลยนะคะ เรามาเรียนรู้ลักษณะของคนที่'ทำงานหนัก'เกินไปกันดีกว่าค่ะ1.ปวดตาและตาแห้ง คนที่ทำงานหนักมักจะมีความเครียด ทำให้ตับเสียสมดุล ดวงตาเป็นประตูแห่งตับ เมื่อตับร้อน จะทำให้ปวดตา ตาร้อน และตาแห้งได้ แพทย์แผนจีนแนะนำให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนแล้วประคบไว้บริเวณดวงตาประมาณ30นาทีค่ะ2.เจ็บคอ เสียงแหบ การทำงานหนักนั้นจะทำให้ใจร้อน เร่งรีบ แล้วร่างกายจะร้อนตามหัวใจไปด้วยคนที่ทำงานหนักมักจะเจ็บคอ หรือเป็นแผลในปากได้ง่ายแพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งนะคะจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ค่ะ3.ปวดหัว มึนหัว ความเครียดทำให้ตับขาดสมดุล เมื่อตับขาดสมดุลก็จะเกิดความร้อนที่ตับความร้อนมีลักษณะที่พุ่งขึ้น ทำให้รู้สึกปวดหัว หรือมึนหัวได้ง่ายแพทย์แผนจีนแนะนำให้ใช้นิ้วมือนวดด้วยตัวเองบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ท้ายทอยและขมับ สัก30นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหัวได้ค่ะ4.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่แข็งกว่าปกติ อาการนี้เป็นผลจากการนั่งท่าเดียวนานๆ ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดีและเกิดการเกร็งบริเวณไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งกว่าปกติแนะนำให้นวด หรือไม่ก็ลองจัดกระดูก ฝังเข็มค่ะ5.รับประทานอาหารมากกว่าปกติ ภาวะเครียดจะทำให้เรารับประทานอาหารมากเป็นพิเศษตามหลักแพทย์แผนจีนนั้นเมื่อม้ามอ่อนแอจะทำให้ไฟในกระเพาะมากขึ้นไฟมากก็เผาพลาญแรง ทำให้กินอาหารไม่อิ่ม และอยากกินเรื่อยๆข้อนี้อาจต้องใช้ยาทานเข้าช่วยปรับสมดุลในร่างกายค่ะ6.ความจำลดลง การทำงานหนักจะเผาพลาญพลังของร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วพลังนี้จะมาจากไตพลังไตเป็นพลังที่หล่อเลี้ยงสมอง หากพลังไตโดนใช้ไปหมดพลังไตก็จะขึ้นไม่ถึงสมอง ทำให้ความจำเราลดลง แพทย์แผนจีนแนะนำให้นั่งสมาธิช่วยได้ค่ะ7.หงุดหงิดง่าย หงุดหงิดง่ายอันนี้ปกติค่ะใครทำงานหนักแล้วไม่หงุดหงิด นับถือจริงๆความหงุดหงิดเกิดมาจากความเครียดที่สะสม อาการนี้ตามหลักแพทย์แผนจีนเรียกว่า'พลังตับติดขัด'แบบว่ามันแน่นอก ต้องยกออก เป็นบ่อยกับคนที่เครียดวิธีแก้อาจจะต้องปล่อยวาง หรือกินยาปรับสมดุล ลดไฟในตับค่ะ8.ร่างกายรู้สึกเหนื่อยง่าย เหนื่อยง่ายมาจากสาเหตุที่ร่างกายทำงานหนัก ใช้พลังจนหมด ในทางแพทย์แผนจีนเมื่อพูดว่าพลัง ก็คือ'ชี่'ถ้าพลังชี่อ่อนแอหรือใช้จนหมด ก็เหมือนแบตเตอรี่ที่เหลือไฟแค่ขีดเดียว รอเวลาชาร์ตซึ่งแพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มชา หรือซุปที่มีส่วนผสมของโสมอเมริกาเพราะสรรพคุณเป็นยาบำรุงพลังและหยิน หรือว่าทานยาปรับสมดุลก็ได้เช่นกันค่ะ เราต่างต้องทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว สุขภาพของเราย่อมสำคัญที่สุด ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขกับการทำงานค่ะ หรือจะเปิด Green Wave เป็นเพื่อนระหว่างทำงาน ช่วยลดความเครียดได้นะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover
17 เม.ย. 2023
ช่วงนี้แอดมินดูซีรี่จีนเห็นไทเฮาสวย ผิวดี จริงๆมีสูตรลับค่ะ ประวัติอันยาวนานกว่า 2000 ปี ของการแพทย์แผนจีนมีบันทึกถึงการรับประทานอาหารเพื่อความงาม ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในวังหลวง และแพร่กระจายมาสู่สามัญชนวันนี้ขอนำเคล็ดลับความงามสองพันปีมาบอกต่อ เพื่อให้สาวไทยได้งามสะพรั่งดั่งไทเฮา ฮองเฮา แห่งพระราชวังต้องห้ามกันเลยค่ะอาหารที่ช่วยเรื่องความสวยความงามประกอบด้วย1.พุทราแดง พุทราแดงมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น สรรพคุณบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร บำรุงเลือด ช่วยเรื่องการนอน ในทางวิทยาศาสตร์พุทราแดงยังประกอบไปด้วยวิตามินมากมาย เช่น วิตามินเอ บำรุงสายตา วิตามินซีช่วยให้ผิวขาว มีแคลเซียมป้องกันโรคกระดุกพรุน และธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด ตามสุภาษิตจีนที่ว่า "พุทรา3 ลูก หน้าอ่อนลง 3 ปี" พุทราจีน ยังเหมาะกับผู้หญิงที่กลัวหนาว และเหนื่อยง่ายด้วยนะคะ2.ลำไยแห้ง ลำไยแห้งมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น ช่วยเรื่องหัวใจและบำรุงม้ามรักษาโรคเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ ลืมง่าย ใจสั่นลำไยแห้งยังช่วยชะลอความแก่ มากไปกว่านั้นยังอุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน น้ำตาล และสารต่อต้านเซลล์มะเร็งในมดลูก เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยทอง ใจร้อน หงุดหงิดง่าย เหงื่อออกง่าย หรือผู้หญิงที่คลอดบุตร/อยู่ไฟค่ะ3.เก๋ากี้ เก๋ากี้มีรสหวาน สรรพคุณรักษาตับทำให้ปอดชุ่มชื้น บำรุงร่างกาย ลดความร้อนและทำให้ตาสว่าง ผลจากการวิจัยพบว่าน้ำตาลในเก๋ากี้ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ชะลอความแก่ ต่อต้านเซลล์มะเร็ง ขจัดอนุมูลอิสระ และลดความอ่อนเพลียของร่างกายได้เช่นกัน4.แครอท แครอทมีรสหวาน มีฤทธิ์อุ่น สรรพคุณบำรุงตับทำให้ตาสว่าง ลดความร้อน และแก้พิษ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "โสมดิน" ทั้งอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารแคโรทีนบำรุงสายตา แครอทยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค มีฤทธิ์ขับเหงื่อได้เล็กน้อย ทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึมให้ร่างกายและการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น มีผลทำให้ผิวนุ่มลื่น แลดูสุขภาพดี นอกจากนี้แครอทยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง5.รากบัว รากบัวมีรสหวาน ฤทธิ์เย็น สรรพคุณลดความร้อน เพิ่มน้ำให้ร่างกาย ทำให้เลือดเย็น ช่วยหยุดเลือด ขับพิษ แต่หากทำสุกจะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รากบัวอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดต วิตามินซี และบีหนึ่ง ยังมีโพแทสเซียม แคลเซียม และธาติเหล็ก เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน หากทานรากบัวบ่อยๆ ยังช่วยให้ใบหน้าและสีผิวดูมีน้ำมีนวล ขาวอมชมพู และลดสิวที่อยู่บนใบหน้าได้ด้วยนะคะ6.ว่านหางจระเข้ (ใช้พอกหน้า) ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณทางยามากมาย ในทางวิทยาศาสตร์ ตัวว่านอุดมไปด้วย วิตามิน อี ช่วยบำรุงผิว วิตามินซี ทำให้ผิวขาว วิตามินเอ และวิตามินบี ที่ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนต่อวัย สาร Polysaccharide ในว่านหางจระเข้ ยังช่วยเพิ่มให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ขจัดจุดด่างดำป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต ชะลอความแก่ และทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ของใกลัตัวหลายอย่าง ช่วยให้สาวๆ 'เป๊ะ' ได้ไม่ยาก แถมราคาไม่แพง ใครสนใจลองเอาเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ เราจะสวย สุขภาพดีไปด้วยกันค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover
11 เม.ย. 2023
ต่อให้ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน แต่พอถึงหน้าร้อนทีไร มันก็สุดจะทนจริง ๆ (ต่อให้จะชินแล้วก็เถอะ) ก็แหมม มันร๊อนร้อนขึ้นทุกปี ๆ กว่าจะออกจากบ้านได้ไหนจะกันแดด ไหนจะเสื้อคลุม ไหนจะยาดม (อันนี้ส่วนตัวเผื่อจะเป็นลม 55555) มันก็ต้องมีติดตัว แต่นอกเหนือจากการเตรียมตัวรับมือกับความร้อนที่ดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้ และต้องระวังตัวเอาไว้เลย ก็คือจ้าพวกโรคร้ายที่มักจะมากับช่วงหน้าร้อนแบบนี้ถ้าพูดถึงโรคฮิตที่มักจะมากับอาการร้อน ๆ แบบนี้ No.1 ต้องยกให้กับ โรคฮีทสโตรก หรือ ลมแดดไปเลยจ้าหลายคนเป็นกังวลมาก ๆ ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองไหม จะต้องรับมือยังไง อาการเป็นยังไง เอาเป็นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ไปพร้อม ๆ กันดีกว่าฮีทสโตรก หรือ โรคลมแดดเป็นโรคอันตรายที่มักจะพบได้บ่อยในหน้าร้อน เกิดจากที่เราอยู่ในอากาศที่ร้อนมากเกินไป โดยอากาศที่ร้อนมันจะทำให้เรามีอุณภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะสูงเกิน 40 องศา (ปกติอุณภูมิร่างกายคนเราจะอยู่ที่ 37 องศา) ทีนี้ถ้าใครที่อุณภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศา เริ่มมีผลกับระบบการไหลเวียนเลือดและก็สมองอาการ ฮีทสโตรกโดยปกติเมื่อร่างกายเราถ้าได้รับความร้อน หรืออยู่ในที่อากาศร้อน มันจะระบายความร้อนออกมาเป็นเหงื่อ แต่อาการเตือนของโรคฮีทสโตรกคือ มันจะไม่มีเหงื่อ ถึงแม้อากาศจะร้อนเหงื่อมันจะไม่ออกมา หน้าจะเริ่มแดงแล้วตัวก็ร้อนขึ้น มีอาการหิวน้ำมากกว่าปกติ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หายใจเร็ว หรือบางคนอาเจียนจนเกร็งชักไปเลยก็มีฮีทสโตรก จาก เป็นลม หรือหน้ามืด ปกติยังไงการเป็นลม หน้ามืดในหน้าร้อน จะยังพูดคุยได้รู้เรื่อง ยังมีสติ สามารถดื่มน้ำเองได้ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เอามาเย็นมาเช็ดตัวเองได้ แต่ถ้าเป็นถึงขั้นฮีทสโตรก จะเริ่มมึน ชัก ไม่มีสติ ต้องไปโรงพยาบาลโดนด่วน เพราะอาจจะร้อนจนชักไปเลยก็ได้วิธีการป้องกันไม่ให้เป็นฮีทสโตรกป้องกันไว้ตั้งแต่แรกเลยก็คือ จิบน้ำบ่อย ๆ ถ้าออกไปนอกบ้าน เสื้อผ้าก็จะต้องระบายความร้อนได้ง่าย ไม่แน่นมาก หลีกเลี่ยงแสงแดดที่จัด และเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอลล์ เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มันจะไปกระตุ้นให้มีความร้อนในร่างกายมากขึ้น และก็อาจจะทำให้เสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรกสูงกว่าคนอื่นได้นี่ก็เป็นการเตรียมตัวรับมือกับ ฮีทสโตรก เบื้องต้น ยังไงช่วงนี้ถ้าใครหลีกเลี่ยงแดดจัด ๆ ก็พยายามนิดนึงน้าาา อย่าลืมจิบน้ำบ่อย ๆ ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่อยู่กลางแดด หรือออกกำลังกายกลางแดดกันหละคราวหน้าถ้ากรีนเวฟมีความรู้หรือทริคอะไรดี ๆ อีก จะมาแชร์ให้เพื่อน ๆ นะ วันนี้ไปก่อนแล้ว ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ^^
29 มี.ค. 2023
คงเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คนไม่ใช่น้อย เวลาจะเลือกสีเสื้อผ้า สีเครื่องประดับ หรือแม้แต่สีของเครื่องสำอางบางทีเราก็ไม่รู้ว่าสีไหนที่เข้ากับเรา เพราะสีบนโลกในนี้มีเยอะมากกกกกกก ก.ไก่ล้านตัวเวลาจะเลือกหยิบมาใช้ทีก็ต้องดูแล้วดูอีกว่าเข้ากับเราไหมแล้วต้องมาลุ้นมาว่ารอด หรือจะพัง TTวันนี้กรีนเวฟจะมาทุกคนไปเช็ค Personal Color หาสีที่ใช่! ค้นสีที่โดน! กับเรามากที่สุด ตามไปดูกันเลยPersonal Color คืออะไร ?Personal Color คือสีประจำตัวที่มีความเหมาะสมกับโทนผิวของเรา เชื่อกันว่าแต่ละคนมีสีที่เข้าตัวเองแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งสีที่เหมาะที่สุดของแต่ละคนจะช่วยขับผิวให้ดูเปล่งปลั่ง มีออร่ามากขึ้น และยังช่วยเสริมเสน่ห์ให้เราได้อีกด้วยเช็ก Personal Color ด้วย Undertone ของสีผิวแต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องรู้ก่อนว่าผิวแบบเรา อยู่ใน Undertone สีผิวแบบไหน ซึ่งการรู้ Undertone ของสีผิวเรานั้นมีประโยชน์ต่อการเลือกสีมาก ไม่ว่าเลือกรองพื้น หรือเลือกสีเสื้อผ้า วิธีเช็กโทนสีผิวก็ง่ายมากมีอยู่ 3 วิธี1. เช็กจากสีเส้นเลือดที่ข้อมือ ถ้าเส้นเลือดที่ข้อมือเป็น สีม่วงหรือสีน้ำเงิน แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน Cool undertonesหรือ ผิวโทนชมพูถ้าเส้นเลือดที่ข้อมือเป็น น้ำเงินหรือสีเขียว แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน Neutralundertones หรือ ผิวโทนธรรมชาติ ผิวกลางและถ้าเส้นเลือดที่ข้อมือของเราเป็น สีเขียวหรือสีเขียวขี้ม้า แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน Warmundertones หรือผิว โทนเหลือง2. เช็กจากสีผิวหลังออกแดดโดนแดดแล้ว ผิวคล้ำ แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน สีผิวโทนอุ่นโดนแดดแล้ว ผิวเป็นสีแดง แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน สีผิวโทนเย็น3. เช็กจากเครื่องประดับสีเงิน และ เครื่องประดับสีทองใส่เครื่องประดับทองแล้วดูผ่อง แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน สีผิวโทนอุ่นใส่เครื่องประดับเงินแล้วดูผ่อง แสดงว่า Undertone ผิวของเราอยู่ใน สีผิวโทนเย็นPersonal Color ที่เหมาะกับเราโดยศาสตร์ของ Personal Color นี้ แต่ละโทนก็จะแบ่งออกเป็นชื่อฤดู มีทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ Spring, Autumn, Summer และ Winter ซึ่งหลังจากที่เราเช็ก Undertone ของสีผิวทั้ง 3 ข้อเรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถรู้ได้เลยว่าโทนผิวของเรา อยู่ในฤดูไหนบ้างสีผิวโทนอุ่น จะอยู่ในกลุ่ม Spring และ Autumnสีผิวโทนเย็น จะอยู่ในกลุ่ม Summer และ Winterโดยแต่ละฤดูก็จะมีคาแรคเตอร์ต่างกันชัดเจนSpring – สีโทนอุ่นที่มีความอ่อน สว่างสดใส ให้ลุคที่น่ารักและร่าเริงAutumn – สีโทนอุ่นที่มีความเข้ม แนวเอิร์ธโทน ให้ลุคที่เป็นธรรมชาติและดูสุขุมนุ่มลึกSummer – สีโทนเย็นที่มีความอ่อน แนวพาสเทล ให้ลุคที่ดูอ่อนโยนและน่าทะนุถนอมWinter – สีโทนเย็นที่มีความเข้ม สีค่อนข้างสด ให้ลุคที่คมเข้มและดูเท่เป็นยังไงกันบ้างกับการสอนเช็ก Personal Color ในวันนี้ เชื่อหว่าหลายคนคงเริ่มจับทางถูกกันแล้วใช่ไหม ว่าโทนผิวแบบเราเหมาะกับสีแบบไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่อยากให้ยึกติดสีประจำตัวมากเกินไป แต่อยากให้ลองใช้เทคนิคนี้เอาไปปรับใช้ ให้เข้ากับตัว เลือกสีที่คิดว่าใช่และโดน สำหรับตัวเองให้มากที่สุด เราจะได้สนุกทุกครั้งที่ได้แต่งตัว หรืออาจจะพบเสน่ห์ของตัวกับสีอื่น ๆ ด้วยก็ได้ เพราะอย่างที่บอก สีบนโลกนี้มีเยอะมากกกก ถ้าเราจะใส่หรือใช้อยู่แค่ไม่กี่สี ก็คงจะเสียดายน่าดูว่าแล้วก็ต้องรีบไปอัพเดทเสื้อผ้าใหม่ซะหน่อย วันหลังถ้าเรีนเวฟมีทริคหรือเคล็ดลับอะไรดี ๆ จะมาบอกเพื่อน ๆ อีกนะ ^^
14 ก.พ. 2023
สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน
05 ก.ย. 2022
ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ
01 ก.ย. 2022
เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!
21 ก.พ. 2022
มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ
20 ม.ค. 2022
ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ
24 พ.ค. 2023
หลายคนชอบไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะมีทัศนียภาพสวยงาม เจริญตาเจริญใจ ภาพต้นไม้สวยๆ มีพุ่มพันธุ์ไม้เป็นระเบียบ 2 ข้างถนน ที่ถ่ายรูปมาอวดกัน แต่รู้หรือเปล่าว่า ยิ่งสวย ยิ่งสมบูรณ์เท่าไหร่ ก็หมายถึง ระบบการดูแลรักษา จัดการ ก็ต้องดีตามไปด้วยอย่างล่าสุดที่เจอมาคือ ที่อเมริกา เมืองวิสคอนซิน เป็นเมืองที่อยู่กับธรรมชาติ อย่างกลมกลืน มีทั้งความเจริญ และ มีทั้งธรรมชาติเติบโตไปด้วยกัน สิ่งที่พบคือ เค้ามีระบบการดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะมีหน่วยงานดูแลจริงจัง แต่ที่สำคัญคือ มีอาสาสมัครชุมชน คนที่อยู่ละแวกนั้นช่วยกันดูแลอยู่ ดูแลแม้กระทั่ง พันธุ์แมลง ต้นไม้ ดอกหญ้า ข้างทาง เช่นบางพื้นที่เค้าจะไม่ตัดวัชพืชจนเหี้ยนหายไปหมด เพราะวัชพืชบางส่วนเป็นที่อยู่ของแมลง และเป็นอาหารของสัตว์อื่น ที่จะทำให้ระบบนิเวศน์แถวนั้นอยู่ได้พอดูงานที่นั่นเสร็จแล้วก็ได้แต่นึกถึงละแวกบ้าน ละแวกที่ทำงานตัวเอง นึกในใจว่าระบบแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นจริงได้ในเมืองไทยจนกระทั่งเสาร์ที่ผ่านมา (20 พฤษภาคม 2566) เฟี้ยตได้ไปเจอโครงการที่น่าสนใจ ของกลุ่ม Big Trees โครงการนี้ มีชื่อว่า "Tree Plotter" นักสำรวจต้นไม้ในเมือง ย่านอโศก จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เลยขอไปแจมดูโดยก่อนหน้านี้ ทางกลุ่มประกาศหาอาสาสมัคร ลงไปตรวจสุขภาพต้นไม้ เพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลในการดูแล รักษา พื้นที่ในแต่ละย่าน ที่ผ่านมาได้ศึกษาย่านสีลมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และ ตอนนี้มาต่อที่ย่านอโศกจริง ๆ แล้ว เฟี้ยตเดินผ่านย่านนี้แทบทุกวัน แต่โฟกัสอยู่ที่จะเดินบนทางเท้าอโศกยังไงให้ปลอดภัยมากกว่า เช่นพยายามเดินหลบ สิ่งปลูกสร้าง ที่ขวางอยู่บนฟุตบาท เสาไฟ ป้ายโฆษณา ป้ายหาเสียง ตู้เหล็กชุมสาย รถเข็นพ่อค้า แม่ค้า กระเบื้องปูพื้นที่ไม่เรียบ แต่ที่ไม่เคยสังเกตเลย คือมันมีต้นไม้ใหญ่ อยู่บนฟุตบาทอโศก หลายสิบต้นอาสาสมัครของเรา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม สำรวจ ต้นไม้ 2 ข้าง ถนนอโศกมนตรี ตั้งแต่แยกอโศกเพชร ไล่ขึ้นไปทาง แยกอโศกสุขุมวิท โดยแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วยอาสาสมัคร จากหลากหลายอาชีพ มีทั้งนักศึกษา คนเกษียณอายุ สถาปนิก บุคคลทั่วไป มาร่วมกัน ช่วยกันตรวจสุขภาพต้นไม้ในหลาย ๆ มิติ ทั้งความสูง, เส้นผ่านศูนย์กลาง, สภาพภายนอก,ความสมบูรณ์, กิ่งกระโดง โรค ความเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อต้นไม้, ความเสี่ยงที่ต้นไม้อาจสร้างอันตรายให้กับชุมชน, ความกว้างทรงพุ่ม, ฯลฯ งานไม่ได้ยากนะ แต่ร้อน และใช้ความใส่ใจสูงข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลต้นไม้ และการจัดการเมืองต่อไปในอนาคต เคยเห็นไม้ ต้นไม้ที่โดนตัดแต่งแบบผิดๆ แล้วในที่สุดมันก็ตายคาต้น หรือ ต้นไม้ที่โค่นพาดเสาไฟ แล้วไฟดับไปทั้งแถบ ก็เพราะเราขาดข้อมูลประเมินเบื้องต้นเหล่านี้ น่ะแหละ ทำให้เราจัดการมันไม่ได้เต็มที่เมื่อลงไปเก็บข้อมูลจริง พบว่างานสำรวจต้นไม้ทำคนเดียวน่าจะช้ามาก ต้องมีอย่างน้อย ทีมละ 3-4 คน พวกเราก้ม ๆ เงย ๆ อยู่แถวต้นไม้ จนคนผ่านไปมามองด้วยความสงสัยแอบแทรกตัวลงไปในวิน มอเตอร์ไซค์บ้าง เพราะเป็นที่พักของพวกพี่ๆเค้า และพอเราเก็บข้อมูลต้นไม้ไปเรื่อย ๆ เราพบว่า ต้นไม้ ไม่ใช่แค่มีไว้ประดับเมืองสวย ๆ มันเป็นที่พักพิงกลางแดดร้อนจัดของทั้งวิน มอเตอร์ไซค์ พ่อค้า แม่ค้า ที่ขายอาหาร ให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย หรือแม้แต่สัตว์ที่ทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นไม้ที่สำรวจส่วนใหญ่ มีสภาพไม่สมบูรณ์ ขาดการดูแล ถ้าเป็นคนก็คง เป็นคนขาดสารอาหาร นอกจากได้รู้เรื่องต้นไม้ที่เราเดินผ่านทุกวันมากขึ้น มันยังเปิดโลกว่า ทุกชีวิตต่างผูกพัน พึ่งพากัน โดยที่เราจะรู้ตัว หรือ ไม่รู้ตัวก็ตามและก็น่าดีใจ ที่ได้เห็นกลุ่มคนอาสา ที่สละเวลามาช่วยกันดูแลสภาพสิ่งแวดล้อมของทุกคน เพราะเมื่อไหร่ที่เราเข้าใจว่าทุกชีวิตสัมพันธ์ และทุกสิ่งที่เราทำเชื่อมโยงถึงกัน เมืองก็จะน่าอยู่ขึ้นหากสนใจร่วมกิจกรรม กับ กลุ่ม Big Tree สนับสนุน ในมุมที่คุณถนัด คลิก : https://www.facebook.com/BIGTreesProject ได้เลย
18 พ.ค. 2023
เรียกว่าเป็นกระเป๋าที่สายผจญภัยที่อยากรักษ์โลก ต้องกดถูกใจกันรัวๆ กับ Hybrid Duffle Pack 38L กระเป๋าสะพายหลังสำหรับนักผจญภัย ที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ที่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เป็นกลางทางคาร์บอนทั้งหมด ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) นำคาร์บอนที่ดักจับได้มาประกอบเป็นวัสดุกระเป๋าที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งนอกจากนี้วัสดุที่ใช้ทำกระเป๋า ยังมาจากขวดพลาสติกใช้แล้วนำมารีไซเคิล จำนวน 123 ขวด ซึ่งความพิเศษของกระเป๋ารุ่นนี้ ถูกผลิตขึ้นเพื่อให้ทนทานต่อสภาพอากาศกลางแจ้งที่รุนแรง กันน้ำ ทนทาน สามารถป้องกันพายุได้ 100% รองรับการใช้งานและความทนทานโดย Ed Stafford นักสำรวจชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง เจ้าของสถิติ Guinness World Record มนุษย์คนแรกที่เดินเลียบไปตามความยาวของแม่น้ำแอมะซอนได้สำเร็จฟังก์ชั่นการใช้งานของกระเป๋ารุ่นนี้ก็มีความเก๋มาก เพราะสามารถเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นกระเป๋าสะพายหลัง, กระเป๋าสะพายข้าง แถมยังมีสายรัดพิเศษที่ทำให้กลายร่างเป็นกระเป๋าถือ ซึ่งสามารถใช้วางบนกระเป๋าเดินทางล้อลากได้ด้วยกระเป๋าเป้ใบนี้มีขนาดกว้างพอที่จะจุของได้ 38 ลิตรตามชื่อของมัน และกว้างพอที่จะใส่แล็ปท็อปขนาด 16 นิ้วได้ โดยกระเป๋ามีช่องหลัก 2 ช่องที่เปิดแบบฝาพับ 180° เพื่อให้หยิบใช้ได้สะดวก แถมด้านข้างของกระเป๋ายังช่วยให้คุณเก็บขวดขนาด 1 ลิตรได้สูงสุดสองขวดเลยทีเดียวกระเป๋านี้มีคอนเซ็ปต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากๆ เพราะนอกจากขวดพลาสติกรีไซเคิลที่นำมาใช้เป็นวัสดุกระเป๋าแล้ว ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่น ผ้าด้านในทำจากอวนจับปลาที่นำมารีไซเคิลและย้อมสีใหม่ โดยสีที่ใช้จะต้องไม่เป็นสารเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม กระบวนการดังกล่าวได้ผสมเอาคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ดักจับได้ในฮาร์ดแวร์พลาสติกรีไซเคิล ทำให้ได้วัสดุที่ทนทานกว่าพลาสติกบริสุทธิ์ถึง 40% นอกจากนี้ยังมีการรับรองจาก Bluesign® เพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตภายในอุตสาหกรรมจะมีการปฏิบัติต่อพนักงานอย่างยุติธรรมและมีจริยธรรมหากสนใจสามารถเข้าไปติดตามรายละเอียดของกระเป๋าใบนี้ได้ที่ : https://www.kickstarter.com/projects/groundtruth/the-38l-hybrid-duffle-pack-for-a-new-era-of-travelขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากYankodesign : https://www.yankodesign.com/2023/05/01/this-carbon-neutral-backpack-is-built-with-recycled-plastic-and-captured-co2-and-is-100-storm-proof/Kickstarter : https://www.kickstarter.com/projects/groundtruth/the-38l-hybrid-duffle-pack-for-a-new-era-of-travel
17 พ.ค. 2023
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเกษตร สุขภาพของมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และการดำรงชีวิต แม้แต่เครื่องดื่มในชีวิตประจำวันอย่าง “กาแฟ” ก็กำลังได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น และแสงแดดที่มากเกินไปงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontier จาก Tufts University และ Montana State University เผยว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้พืชผลทั่วโลกได้รับผลกระทบจากอากาศที่เปลี่ยนไป แห้ง แล้ง หรือหนาวจัด ต่างจากเดิม หนึ่งในนั้นคือ “เมล็ดกาแฟ”การปลูกกาแฟ จะเติบโตได้ดีในพื้นที่สูง เพราะเมื่อยิ่งสูงอากาศจะยิ่งเย็น ซึ่งช่วยทำให้เมล็ดกาแฟบ่มสุกนานกว่า มีสารอาหารมากกว่า ทำให้ได้รสชาติที่เปรี้ยวซับซ้อน มีรสสัมผัส และกลิ่นที่ดีกว่า แต่ถ้าในอนาคตพื้นที่สูงเหล่านั้นต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจทำให้กาแฟอย่างพวกอาราบิก้าที่ปลูกบนพื้นที่สูงมีรสชาติไม่เหมือนเดิมนอกจากนี้ยังมีเรื่องของ "แสงแดด" ที่มากเกินไปจะกดคุณภาพของกาแฟลดลง เพราะกาแฟเป็นพืชที่ไม่ชอบแสงแดดจัด และกาแฟแต่ละชนิดจะทนทานต่อสภาพแสงแดดที่แตกต่างกันไป บางชนิดถ้าได้รับแดดมากเกินไปอาจทำให้รสสัมผัสของกาแฟเปลี่ยน ถ้าในอนาคตโลกร้อนขึ้น แดดแรงขึ้น ผู้ผลิตน่าจะต้องหานวัตกรรมหรือวิธีมารับมือ หรือช่วยบังแดดให้มากขึ้น จนต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมีกรณีศึกษาในโคลัมเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ปลูกกาแฟมาหลายศตวรรษ ได้เผยถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบกับการผลิตกาแฟในประเทศ ประเด็นที่น่าสนใจคือ โลกร้อนขึ้น 1 องศา ส่งผลกับรสชาติของกาแฟ ซึ่งภาวะโลกร้อนส่งผลโดยตรงกับการปลูกกาแฟ จนทำให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟถึงกับต้องล้มเลิกการปลูกกาแฟไปหลายแสนครัวเรือน ซึ่งโลกร้อนขึ้นทำให้โรคของพืช รวมถึงแมลงมากขึ้น นอกจากนี้อุณหภูมิสูงขึ้นทำให้ระบบนิเวศแย่ลงส่งผลกับการปลูกกาแฟตามมาในเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 นักวิจัยจาก Institute of Natural Resource Sciences แห่ง Zurich University of Applied Sciences ได้เผยแพร่รายงานการประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อ กาแฟ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และอะโวคาโด ในวารสารวิทยาศาสตร์ PLOS ONE โดยทีมวิจัยสรุปว่า "กาแฟได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเปราะบางที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีผลกระทบในทางลบที่ครอบงำทุกภูมิภาคที่ปลูก โดยสาเหตุหลักมาจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น" การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นภายในสามทศวรรษข้างหน้า "ประเทศผู้ผลิตกาแฟ บราซิล เวียดนาม อินโดนีเซีย และโคลอมเบีย ล้วนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยพื้นที่ที่เหมาะสมลดลงอย่างมาก"Sam Kass อดีตเชฟประจำทำเนียบขาว ได้ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ PEOPLE ว่า “อาหารจำนวนหนึ่งที่เรารักและยอมรับกันโดยทั่วไปกำลังถูกคุกคาม และคุณจะเห็นว่าในอนาคต เรากำลังอยู่บนเส้นทางที่หลายสิ่งหลายอย่างจะกลายเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหายาก บางอย่างก็แทบจะไม่มีให้สำหรับคนส่วนใหญ่ และบางอย่างก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในด้านราคา” ไวน์ ช็อกโกแลต หอย และข้าว ล้วนตกอยู่ในอันตราย เช่นเดียวกับกาแฟ เครื่องดื่มที่โลกบริโภคประมาณสองพันล้านถ้วยต่อวันขอบคุณข้อมูลจากFOOD WINE : https://www.foodandwine.com/news/coffee-climate-change-flavor-effect-studyPEOPLE : https://people.com/food/former-white-house-chef-sam-kass-says-products-like-coffee-rice-will-be-largely-unavailable-in-30-years/Nation Online : https://www.nationtv.tv/gogeen/378915186
03 พ.ค. 2023
ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จนถึงปัจจุบัน อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไปแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส โดยข้อตกลงของนานาชาติ ในสนธิสัญญาปารีส กำหนดว่าอุณหภูมิโลกเรา ไม่ควรสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส โดยกำหนดเป้าวิกฤตไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส เป็นที่มาของมาตรการ และ ทิศทางการบริโภคที่เปลี่ยนไป และต่อไปนี้คือ ส่วนหนึ่งของรายการของใช้ต่างๆ ที่แต่ละประเทศเริ่มแบน เพื่อรักษาสมดุลย์ของโลกกระดาษทิชชู่เปียกซึ่งก็คือ ผ้าใยสังเคราะห์จากพลาสติก โพลีเอสเตอร์ อุดตันทางระบายน้ำ ใช้เวลาย่อยสลายนานกว่า 100 ปี และกลายเป็นไมโครพลาสติก ปะปนอยู่ในสิ่งแวดล้อมอังกฤษเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายแบนการใช้ ปี 2024กาแฟแคปซูลทำจากวัสดุหลายชนิด รีไซเคิลยาก เริ่มแบนแล้ว ที่เยอรมันขวดน้ำพลาสติกขนาดเล็กกว่า 1 ลิตรเริ่มถูกทยอยแบน ห้ามใช้ ห้ามขายในหลายสถานที่ และหลายรัฐใน อเมริกา บางรัฐเริ่มประกาศออกมาเป็นกฎหมายแล้วถุงหิ้วพลาสติกแบนถาวรในบังกลาเทศ เพราะอุดตันท่อ สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมหลอดพลาสติก สำลีก้านพลาสติก ที่คนเครื่องดื่มพลาสติกโดนแบนใน ร้านอาหาร ในอังกฤษ และ ไต้หวัน ตั้งแต่ปี 2020ช้อน ส้อม ชาม ถาด บรรจุภัณฑ์อาหาร ก้านไม้ลูกโป่ง พลาสติกใช้ครั้งเดียวของเหล่านี้ใช้เวลาย่อยในสิ่งแวดล้อม กว่า 200 ปี เตรียมถูกแบนที่อังกฤษส่วนที่ใต้หวัน เพิ่มพลาสติกที่ย่อยสลายในธรรมชาติ เข้าไปในกลุ่มพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และจะแบนตั้งแต่ สิงหาคม 2023 นี้เป็นต้นไปรถใช้แก๊ส หรือ น้ำมันจีนตั้งเป้าลดการใช้รถแก๊ส/น้ำมันลง 50% ในปี 2035อังกฤษงดการจำหน่ายในปี 2030 เป็นต้นไปนอร์เวย์ งดการจำหน่ายในปี 2025สิงคโปร์ งดจดทะเบียนรถแก๊ส/น้ำมัน ในปี 2030 และ เป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2040สินค้าที่มาจากการทำลายป่าเช่น กาแฟ ถั่วเหลือง โกโก้ น้ำมันปาล์ม ไม้สัก ยาง สหภาพยุโรปเริ่มแบนผลิตภัณฑ์เหล่านี้แล้ว ตั้งแต่ปี 2020ของใช้ส่วนตัวในโรงแรมที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งเช่น ขวดแชมพู สบู่ โลชั่นขนาดต่ำกว่า 180 ml รองเท้าแตะ มีดโกน หวี แปรงสีฟัน จะไม่มีแจกในโรงแรมไต้หวัน เริ่ม 1 กค. 2023ส่วนประเทศไทย จริง ๆ เรามีการอนุมัติแผน ลด-เลิกผลิตขยะพลาสติก เตรียมประกาศห้ามใช้ พลาสติก 4 ชนิด ได้แก่โฟม ถุงหิ้ว แก้ว และหลอดพลาสติก แบบเด็ดขาดตั้งแต่ปี 2565 พร้อมตั้งเป้าให้พลาสติกอีก 7 ชนิด เข้าสู่ระบบเศรษกิจหมุนเวียนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 50% แต่ก็ยังไม่เห็นการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในฐานะผู้บริโภค และผู้ประกอบธุรกิจ อย่างเรา สามารถเลือกบริโภค ลด งด สินค้าทำลายสิ่งแวดล้อมทุกชนิดได้เองเลย ตามความพร้อม เพราะถ้าจะรอภาครัฐมาบังคับใช้ กฎหมาย น่าจะอีกนาน
07 เม.ย. 2023
จากรายงานสภาพอากาศในปี 2022 ของ IQAIR บริษัทเทคโนโลยีที่เก็บรวบรวมคุณภาพอากาศรอบโลก มีจุดวัดคุณภาพอากาศ กว่า 3 หมื่นที่ ในกว่า 7 พันเมือง พบว่า 90% ของประชากรโลกมีความเสี่ยงด้านสุขภาพจากอากาศที่หายใจ และเริ่มมีความต่างของคุณภาพอากาศระหว่างเมืองร่ำรวย และเมืองยากจนมากยิ่งขึ้นยกตัวอย่าง ค่าเฉลี่ย PM2.5 ตลอดปี 2022 ของเมืองเหล่านี้เช่น ซานฟราสซิสโก 8.1 , ลอนดอน 9.6 , นิวยอร์ค 9.9 , ปารีส 12.5 , ในขณะที่ กรุเทพ 18.0 , เชียงใหม่ 18.4 โดยที่ค่ามาตรฐาน PM2.5 ตลอดทั้งปี ขององค์การอนามัยโลกคือ ไม่เกิน 5ซึ่งพบว่า ในปี 2022 เมื่อวัดค่า PM2.5 ในประเทศร่ำรวยมีค่าอากาศดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า(2021) โดยอุตสาหกรรมในประเทศเหล่านี้ ปรับเปลี่ยนตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกมากขึ้น คมนาคม/ขนส่งเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้าขณะที่ประเทศกำลังพัฒนายังตามไม่ทัน การเผาชีวมวล เพื่อการเกษตร ยังคงเป็นสาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศของประเทศกำลังพัฒนาในขณะที่จีน มีการพัฒนาด้านอากาศดีขึ้น มลพิษลดลงตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เพราะมีการจัดการจริงจังกับอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษ และเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มยานยนต์ไฟฟ้า แต่ก็ยังมีการเผาถ่านหินที่สร้างปัญหาหนักในประเทศด้านอินเดีย ที่เมือง นิวเดลี และ แบกแดด มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าที่ WHO กำหนดถึง 18 เท่า - ซึ่งในบรรดาประเทศอากาศแย่ที่สุดในโลก 15 เมือง มีอินเดียติดอยู่ในโผถึง 12 เมืองในปี 2022 มีเมืองที่อากาศแย่ที่สุดในโลก มาล้มแชมป์เก่าอย่าง เมืองนิวเดลี ในปีก่อนหน้า คือ เมือง เอนจามินา ประเทศแชด ในอาฟริกา หนึ่งในประเทศที่ยากจนสุดในโลก โดยสาเหตุหลักของอากาศแย่มาจากพายุฝุ่นจากทะเลทรายซาฮาร่ากลุ่มประเทศตะวันออกกลาง มีเมืองที่ติดกลุ่ม 20 เมือง อากาศแย่ที่สุดในโลก ในปี 2022ขณะที่เพื่อนบ้านใกล้เราอย่าง ฮานอย เวียดนาม เป็นเมืองอากาศแย่อันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่ในกลุ่ม 18 เมืองรั้งท้ายอากาศแย่ที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมา ประเทศที่มีค่าอากาศ ตามเกณฑ์ WHO มีแค่ 6 ประเทศ จาก 131 ประเทศ คือ เกรนาดา นิวซีแลนด์ เอสโทเนีย ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ ออสเตรเลีย (ไม่ถึง 5% จากประเทศทั้งหมดที่สำรวจ)และถ้านับเป็นเมือง ก็มีเมือง ฮามิลตัน ในเบอร์มิวด้า เมือง ซานฮวน จาก เปอร์โตริโก้ , เมือง เรคาวิค จากไอซ์แลนด์ที่มีอากาศบริสุทธิ์อันดับต้นๆ ส่วนเมืองที่อากาศทั้งปีดีที่สุดในโลกคือ แคนเบอรา ออสเตรเลีย ที่เอาชนะ แชมป์เก่าอย่างเมือง โนเมีย จาก ประเทศ นิวแคลิโดเนีย หมู่เกาะใน มหาสมุทรแปซิฟิกส่วนช่วงอากาศที่ดีที่สุด ในกรุงเทพ อยู่ระหว่าง มิ.ย.-ส.ค. เพราะมีลม และฝน เข้ามาช่วยบรรเทามลพิษองค์การอนามัยโลกประมาณยอดเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ มลพิษทางอากาศรอบโลก มากถึง 7 ล้านคนต่อปี ขณะที่ธนาคารโลก ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากมลพิษนี้ ที่ราว 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐที่มา: IQ AIRสามารถคลิกเข้าไปดู เปรียบเทียบสภาพอากาศในแต่ละเมืองได้ที่: https://www.iqair.com/th-en/world-air-quality-report
21 มี.ค. 2023
1. OUR GREAT NATION PARKS (2022)ถ้าโลกนี้ไม่มีอุทยานแห่งชาติ มนุษย์คงรุกรานธรรมชาติไม่มีที่สิ้นสุด สัตว์จำนวนมากคงสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์ของบรรพบุรุษยุคบุกเบิก อุทยานแห่งชาติจึงถือกำเนิดขึ้น เมื่อ 154 ปีก่อน ที่สหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก ต่อจากนั้นคอนเซปต์การคุ้มครองป่านี้ ก็ขยายไปทั่วโลก ทั้งทางน้ำและทางบก ซึ่งถึงแม้จะครอบคลุมพื้นที่จำนวนน้อยมากบนโลก แต่กลับเป็นป้อมปราการและบ้านหลังสุดท้ายของสัตว์ป่าที่เหลือบนโลกใบนี้สารคดีเรื่องนี้จะพาคุณไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดในโลก ทิวทัศน์ตระการตา ความอลังการของหุบเขา มหาสมุทร และผืนป่า ที่ชีวิตนี้ก็ยากที่จะไปเห็นได้ด้วยตาตัวเอง ดินแดนที่ไกลเกินกว่าบล็อกเกอร์ทั่วไปจะเข้าไปรีวิว เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ จากประจักษ์พยานความสมบูรณ์ของอุทยานเหล่านี้ผ่านสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ บางอุทยานมีกวางพันธุ์เล็กที่สุดในโลก บางที่มีแมวป่าตัวเล็กที่สุดในโลก ตัวเล็กกว่าแมวบ้านอีก หรือนกใกล้สูญพันธุ์ที่เป็นสัตว์บินได้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เกาะที่มีเต่าทะเลสีเขียวมุ่งหน้ามาวางไข่ปีละครั้งเป็นจำนวนนับล้านฟองที่ออสเตรเลียมีผู้บรรยายสารคดีที่ไม่มีใครเทียบได้ อดีตประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา คุณบารัค โอบาม่า ผู้หลงใหลในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็ก ที่จะเป็นคนพาทุกคนออกเดินทางเปิดโลกที่คุณไม่เคยรู้จักไปด้วยกัน (เพียงแค่ 5 ตอน)2. MY OCTOPUS TEACHER (2020)เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ผู้มีอาชีพเป็นนักทำสารคดี ทำงานหนักมาตลอดชีวิต เครียดสะสม แรงกดดันจากงานหนัก และความรับผิดชอบกับชีวิตครอบครัว ช่วงเวลาที่ลูกชายห่างหายไป วัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ลูกเขากำลังโตขึ้นใกล้เป็นวัยรุ่นขึ้นทุกวันเขาพบว่าชีวิตถึงจุดวิกฤตที่จำเป็นต้องหักดิบ เปลี่ยนวิธีชีวิตที่เป็นอยู่ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป เขาพาลูกชายปลีกตัวออกไปสานความสันพันธ์กันใหม่ที่ Western Cape ชายฝั่งอาฟริกาใต้ ชายฝั่งที่มีคลื่นแรงที่สุดในโลกที่หนึ่งเขาปลีกออกไปหาความสงบ เพื่อปรับจูนวิธีคิดชีวิตใหม่ ทำอะไรให้ช้าลง วางหน้าที่การงาน และไปดำน้ำแถวละแวกบ้าน เพื่อปล่อยใจไปกับสายน้ำ ละลายความหนักของชีวิต ดำน้ำไปสักพัก ก็เริ่มพบสิ่งตื่นตาตื่นใจใต้น้ำ จึงเริ่มจับกล้องอีกครั้ง บันทึกสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเจอจนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขาดำน้ำ เขาไปพบกองหินประหลาด คล้ายโขดหินที่เต็มไปด้วยเปลือกหอย เจ้าก้อนหินขยับได้ มันมีชีวิต ทันใดนั้น กองหินนั้นก็กลายร่างเป็นปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง มันสะบัดตัว ว่ายน้ำหายไป ความสงสัยปนความอยากรู้อยากเห็นในใจเขาก็เกิดขึ้น "จะเป็นยังไงนะ ถ้ามาลองติดตามชีวิตปลาหมึกตัวนี้ทุกวัน"จากนั้นเรื่องราวก็ไม่ใช่แค่สารคดีสัตว์ทั่วไปที่พวกเราเคยดู ที่ผู้ชมหรือคนถ่ายสารคดีเป็นเพียงผู้สังเกตเฝ้าดูชีวิตสัตว์ แต่ความมหัศจรรย์เริ่มต้นขึ้น เมื่อสัตว์ที่เฝ้าสังเกตกลับเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับคนทำสารคดี เขาเรียนรู้อะไรบ้างจากความสัมพันธ์นี้สารคดีที่ได้รับรางวัลออสการ์ ประทับใจทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และตอนจบที่หลายคนถึงกับเสียน้ำตา มาเติบโตกับมิตรภาพของโลกใต้น้ำไปด้วยกัน ว่าชีวิตน้อย ๆ อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ได้ใกล้เคียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่กลับมีบทเรียนสอนเรามากมายได้อย่างไร (1.30 ชม.)3. WILD BABIES (2022)บางทีเลิกงานกลับบ้านมาเหนื่อย ๆ ไม่อยากดูเรื่องราวอะไรมาก ก็อยากได้ความบันเทิงที่มันเพลิน ๆ สบาย ๆ แบบไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรมาก เปิดดู Wild Babies ดูพวกลูกสัตว์ตัวน้อย ๆ ในธรรมชาติ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสารคดีพาไปดูลูกสัตว์ชนิดต่าง ๆ รอบโลก อย่าง ลิง, แมวน้ำ, เพนกวิน, ช้าง, ไฮยีนา, สิงโต, หมี, เสือดาว, เต่าทะเล, อุรังอุตัง, นก ฯลฯ แต่ละตัวน่ารักเว่อร์ เห็นความซุกซน ขี้เล่น สนุกสนาน แล้วอดอมยิ้มตามไม่ได้ แต่พอเริ่มดูไปซักพักจะรู้ว่า ชีวิตจริงไม่ได้มีแค่ความน่ารัก มันมีทั้งการเอาชีวิตให้รอด เห็นทั้งมุมที่อ่อนโยนของชีวิต และบทจะโหด น้อง ๆ ก็จะต้องผ่านมันไปให้ได้ ชีวิตจริงน้อง ๆ ไม่ได้มีพ่อแม่ประคบประหงมทุกตัว และทุกชีวิตล้วนมีศัตรูทางธรรมชาติจ้องจะเอาชีวิตพวกมันตลอดเวลา หรือกลับกลายเป็นว่าลูกสัตว์บางตัวมีสัญชาตญาณนักฆ่าตั้งแต่วินาทีแรก ทั้ง ๆ ที่ยังลืมตาไม่ขึ้น
31 พ.ค. 2022
15 มี.ค. 2022
รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย
12 ม.ค. 2022
02 มิ.ย. 2023
เปิดม่าน คุยกับแม่ของเหล่าสาวสอง “คุณจ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง 'ทิฟฟานี โชว์ พัทยา' ผู้ยกระดับหญิงข้ามเพศ ผ่านโชว์สุดเลิศ และเวทีสาวงามสุดปัง จนกลายเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก! พฤหัสนี้เปิดม่านคุยพร้อมกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #จ๋าอลิสา #jatiffany #ตัวแม่ #MissTiffanyUniverse #MTU2022 #MissInternationalQueen #miq2023 #worldequality #pridemonth
25 พ.ค. 2023
Club Pride Day x กัญจน์ภักดีวิจิตร | 25 พ.ค. 66 ฟืนพร้อม ไฟพร้อม แล้วมาล้อมวงปิ้งไก่ กับนักปิ้งไก่ในตำนาน กัญจน์ ภักดีวิจิตร ผู้จัดละครมากฝีมือ พรานป่าล่าเสืออังกอร์ กับคาแรคเตอร์นักปิ้งไก่ในจอ สู่เจ้าของร้านไก่ย่างในชีวิตจริง พฤหัสนี้ตั้งโต๊ะพร้อมกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #กอล์ฟ #กัญจน์ภักดีวิจิตร #gun #gun.pakdeevijit #นักปิ้งไก่ในตำนาน #อังกอร์ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่
18 พ.ค. 2023
Club Pride Day วันนี้เจอกับตัวแม่ ตัวมัม ตัวมาเทอร์ ตัวสูตินรีเวช . "เอิร์ธ" จาก AERTHA Channel นักรีแอคซีรีส์ The Intern หมอมือใหม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตก จากการรีแอคที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในช่วงข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่มีมาก่อน! . พฤหัสบดีที่ 18 พ.ค.นี้ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 และ Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #เอิร์ธฐา #เอิร์ธ #AERTHA #AERTHAChannel #นักรีแอคTheIntern #TheInternหมอมือใหม่ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #ตัวแม่
11 พ.ค. 2023
เตรียมม่วน เตรียมจอย ไปกับเรื่องราวของ “#หยาดพิรุณ” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ที่โด่งดังชั่วข้ามคืน เจ้าของวลีดัง #ละแมะ #อะหรือ #ว่าซ่าน พร้อมโชว์เพลงแรกในชีวิต ‘ม่วนไผม่วนมัน’ พฤหัสนี้ตั้งโต๊ะพร้อมกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #หยาดพิรุณ #yardpirun #yardpirun_poolun #ม่วนไผม่วนมัน #ว่างแล้วช่วยโทรกลับ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่
05 พ.ค. 2023
Club Pride Day x เมญ่า | 04 พ.ค. 66 ขอเวที ขอสปอตไลท์แบบสับ ๆ พร้อมรับมงไปกับ “เมญ่า ซันซัน” เจ้าของตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2023 กว่าจะได้มงนี้มาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเคยถูกเหยียดเรื่องหน้าตาและถูก Bully มาตั้งแต่เด็ก พฤหัสนี้ตั้งโต๊ะพร้อมกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #เมญ่า #เมญ่าซันซัน #MAYA #maeyasunsun #MissFabulousThailand2023 #มงกุฏ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่
03 พ.ค. 2023
Club Pride Day สัปดาห์นี้พบกับ!! . Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง พิธีกร ออแกไนซ์ Youtuber TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! กับ "ป้าตือ" หรือ "ตือสนิท" แม้อายุจะขึ้นเลข 6 แต่เธอบอกเลยว่า "คำว่า 'แก่' สะกดไม่เป็น!!" . พฤหัสบดีที่ 27 เม.ย.นี้ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 และ Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ป้าตือ #ตือสนิท #ไม่ยอมแก่ #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #ตัวแม่
31 พ.ค. 2023
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญเจ้าของฉายา “นักปิ้งไก่ในตำนาน” ที่ได้มาพูดคุยเล่าเรื่องราวจากผู้จัดละครมากฝีมือ สู่บทบาทพรานป่าล่าเสืออังกอร์ ที่ทำให้กลายเป็นที่จดจำและมีชื่อเสียง พร้อมเผยเรื่องราวของรักต่างวัย ที่ทำให้หลาย ๆ คนอิจฉา ความวาไรตี้เริ่มขึ้นเมื่อ สองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “กัญจน์ ภักดีวิจิตร” ลูกชายของผู้กำกับชื่อดัง “ฉลอง ภักดีวิจิตร” เจ้าของฉายา “เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น” ซึ่งกว่าจะมาเป็น กัญจน์ ภักดีวิจิตร ในวันนี้ เขาได้ผ่านหลากหลายเรื่องราว หลากหลายประสบการณ์ ที่ได้นำมาแชร์ให้ฟังในรายการ“กัญจน์ ภักดีวิจิตร” ชื่อในวงการบันเทิง ที่คุณพ่อตั้งให้หลายคนอาจจะคิดว่าชื่อ “กัญจน์ ภักดีวิจิตร” คือชื่อจริงตั้งแต่เกิด แต่ที่จริงแล้วชื่อนี้เป็นชื่อที่ใช้ในวงการบันเทิง โดย กัญจน์ ได้เล่าที่มาของชื่อให้ฟังว่า “กัญจน์ คือชื่อในวงการบันเทิง ชื่อจริงของผมชื่อฉลองบุญ คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ทั้งชื่อจริง และชื่อในวงการบันเทิง ที่ชื่อฉลองบุญ เพราะว่าชื่อจะเป็นแบบบุญ ๆ ทั้งบ้านเลย ฉลองบุญ บุญจิรา ส่วนชื่อเล่น ชื่อกอล์ฟครับ”เปิดที่มาของฉายา “นักปิ้งไก่ในตำนาน”กลายเป็นฉายาที่ทำให้หลายคนรู้จัก กัญจน์ ภักดีวิจิตร สำหรับฉายา “นักปิ้งไก่ในตำนาน”ซึ่งกว่าจะมาเป็นฉายานี้ มีที่มาที่ไม่ธรรมดา โดย กัญจน์ เล่าให้ฟังว่า “จากเรื่องอังกอร์ตอนนั้นเรทติ้งค่อนข้างจะสูงมาก และก็จะมีฉากในป่า ที่ต้องมีบทพูดคุยกัน ต้องมาก่อกองไฟตั้งแคมป์กัน ตอนนั้นพ่อก็เลยคิดว่าจะเอาอะไรมาปิ้งดี จะเอาหมูมาปิ้งก็ไม่ได้เพราะว่ามันก็จะเปลืองงบไปนิดนึง ก็เลยโอเค ไก่ดีกว่าในป่าจับง่าย ก็เลยกลายเป็นไก่ปิ้งตั้งแต่นั้นมาคืออังกอร์ไม่ได้ปิ้งทั้งเรื่องนะครับ ปิ้งแค่ 2-3 ซีนแค่นั้นเอง แล้วพอมีภาค 2 ผมก็ปิ้งอีก คนดูก็เห็นว่าภาคแรกปิ้ง พอภาคสองคนนี้มาอีกแล้ว ส่วนที่รีเมคของช่อง3 อันนั้นผมไม่ได้ปิ้ง แต่มีคนอื่นมาเล่นเป็นตัวผม มาปิ้งแทนผม ซึ่งพอมาครั้งไหนก็ต้องปิ้งไก่ทุกฉาก คนก็เลยตั้งฉายานี้ให้เมื่อก่อน ผมเห็นเพจลงฉายานี้ ผมก็ไม่ได้ชอบ เหมือนเรายังไม่ชิน อยู่ ๆ มาเรียกเราไอ้ปิ้งไก่ แต่ว่าพอมาหลัง ๆ เริ่มชินละ มันเหมือนคนยังไม่ลืมเราเนอะ เลยโอเคละ ลงไปเลย อยากลงก็ลงไปเลยจ้า”กัญจน์ ภักดีวิจิตร กับชีวิตลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นด้วยความที่เป็นทายาทของตระกูล ภักดีวิจิตร ทำให้ชีวิตของ กัญจน์ เหมือนลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพราะต้องเติบโตมาพร้อมกับการทำหนัง ทำละคร ตามคุณพ่อไปกองถ่าย โดยเขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นเกิดมาก็เห็นกองถ่ายแล้ว ไปเที่ยวกองถ่ายกับคุณพ่อคุณแม่ ไปกับน้อง ๆ จนมาถึงยุคช่อง 7 ก็ได้ไปเล่นเบื้องหน้าให้คุณพ่อมาหลายเรื่อง หลังจากนั้นก็ได้มาทำให้ ช่อง 3 มาช่วยน้อง ๆ ทำครับ คือน้องผู้หญิงกับน้องผู้ชายเขาเป็นผู้จัดอยู่ที่ ช่อง 3 เราก็มาช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับตัวผมเองก็รู้สึกเหมือนมันผูกพัน มันก็ชอบนะ”จากเด็กหลังห้อง สู่เด็กหน้ากล้อง ภายใต้การกำกับของคุณพ่อย้อนกลับไปในสมัยมัธยม กัญจน์ ได้เล่าว่า ตัวเองเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกเร เป็นเด็กหลังห้อง แต่พอก้าวสู่วัยทำงาน ก็ได้ก้าวสู่หน้ากล้อง รับบทบาทนักแสดงในละครของคุณพ่อ โดยเขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “ช่วงมัธยมผมเกเรมาก สมัยเรียนเรายังไม่ได้เล่นละคร จะมีเพื่อนในกลุ่มรู้ มีอาจารย์รู้ ผมชอบไปนั่งคุยกัน ไปนั่งมองสาว หลังจากนั้นก็ไปอยู่ออสเตรเลีย พอเรียนจบแล้วก็ไปเรียน ม.รังสิต ได้ปีนึงคุณแม่ก็อยากให้ไปอยู่เมืองนอก ซึ่งตอนแรกก็ไปอยู่นิวซีแลนด์ก่อน แล้วก็กลับมาอยู่กรุงเทพได้ไม่กี่เดือน ก็ไปอยู่ออสเตรเลียอีก ก็มีเกเรสร้างวีรกรรมไว้เยอะมาก พอกลับมาเมืองไทยก็ไม่มีอะไรทำ เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณแม่เขาคุยกับคุณพ่อว่า เราอยากเล่นละครไหม ก็เลยเริ่มจากตรงนั้น เหมือนเราได้ผ่านอะไรมาเยอะ อย่างเมื่อก่อนเราเที่ยวกลางคืนเก่ง ตอนกลับมาเราก็ไม่เที่ยว ตื่นเช้า 7-8 โมง ลุกขึ้นมาทำงาน ไปช่วยน้องดูทำนู่นทำนี่ คือด้วยอายุด้วยแหละครับ ทำให้เรารับผิดชอบมากขึ้นบทบาทแรกที่ได้เล่นคือเรื่องระย้า เรื่องแรกเลยของคุณพ่อทำให้ช่อง 7 ตอนนั้นเล่นเป็นเพื่อนพระเอกนี่แหละ มีพระเอกอยู่ 2-3 คน ก็เป็น 1 ใน 3 ซึ่งตอนนั้นมาแบบอ้วนมาก สมัยก่อนไว้ผมยาวแล้วก็มัดผม ตอนแรกก็โดนพ่อด่าจนร้องไห้ เพราะเราเล่นไม่ได้ เหมือนกับว่าเราไม่มีประสบการณ์ทางนี้เลย เข้าไปซีนแรกก็โดนเลย แล้วพ่อเขาเสียงดัง ผมเลยร้องไห้แล้วเดินออกมาฟ้องแม่หลังจากนั้นอาทิตย์ต่อมาก็ไปเรียน สมัยนั้น ครูแอ๋ว เป็นคนสอน แต่พอมาแสดงก็โดนด่าเหมือนเดิม แต่ไม่ท้อครับลุยใหม่ ไปเรียนอีก พอกลับมาแสดงมันมีมุมกล้องที่เรายังไม่รู้เรื่อง พ่อก็ด่าอีก แต่หลัง ๆ มาชักเริ่มชิน เพราะว่าเขาด่าทุกคนไงไม่ได้ด่าผมคนเดียว พอเขาด่าก็ยิ้มหัวเราะใส่เขา บทตอนนั้นเหมือนต้องเป็นคนรักชาติ แน่วแน่ เล่นเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่ตัวเองเลย ต้องเล่นเป็นคนมุ่งมั่น เอาจริงเอาจังในชีวิต แล้วก็บู๊ด้วย เราก็เล่นไม่เป็น ถ่ายอยู่หลายเทคครับ เมื่อก่อนไม่รู้มุมกล้องว่าต้องต่อยอะไร แล้วเมื่อก่อนกล้องจะเป็นอนาลอก กล้องสมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็นโอบี สมัยนี้ไม่มีแล้วด้วย”บทเรียนชีวิต ที่ได้จากคุณพ่อในการทำงานกับคุณพ่อ ทำให้ กัญจน์ ได้บทเรียนชีวิตที่สามารถถอดมาจากคุณพ่อหลาย ๆ เรื่อง โดยเขาได้แชร์ให้ฟังว่า “อย่างแรกเลยคือ พ่อจะตื่นก่อนเราทุก ๆ ครั้งเลย ตื่นมาตี 5 แล้วก็อาบน้ำแต่งตัว ไปกองคนแรก ไปถึงกอง 6 โมง คุณพ่อก็จะไปวางบล็อก วางมุมกล้อง ก็จะมีคนเดินตามไปด้วย ทีมไฟทีมกล้องเดินตามพ่อไป วางสร็จเรียบร้อยก็ไปทานข้าว ซึ่งเราเห็นการทำงานของพ่อ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ซึ่งตอนนี้เขาแก่มากแล้ว ไปไม่ค่อยไหว แต่เวลาที่เขาไปเขาก็มักจะไปเช้ากว่าคนอื่นเสมอ เขาเป็นคนที่มีวินัยสูงมากและคุณพ่อเขาใจดีมาก เวลาอยู่ที่บ้าน อยู่กับลูก ๆ ก็จะพูดเพราะ แต่อยู่ในกองก็จะเหมือนเป็นอีกคนหนึ่ง แม้จะชอบด่า แต่ว่าพอเขาด่าเสร็จ เขาก็มาอารมณ์แบบพูดมุกตลกของเขาต่อ เขาไม่เอามาซีเรียส เหมือนเป็นอารมณ์ของเขา ณ เวลานั้น และพอผ่านเวลานั้นไปอีกสักแป๊บ เขาจะเปลี่ยนอารมณ์ละ เวลาโดนด่าผมไม่ได้ร้องไห้ต่อหน้าเขา ผมจะเดินออกมาจากหน้ากล้องนิดนึงผ่านเขาไปแล้วค่อยร้อง ตอนนั้นดาราเห็นเยอะครับ ที่ผมโดนพ่อด่า”จากนักปิ้งไก่ในจอ สู่ธุรกิจไก่ย่างในชีวิตจริงจากคาแรกเตอร์นักปิ้งไก่ในจอที่คนจดจำ ล่าสุดดูเหมือนว่าสกิลการปิ้งไก่ของ กัญจน์ จะไม่ได้อยู่แค่ในจอทีวีซะแล้ว เพราะตอนนี้เขากำลังทำธุรกิจไก่ย่างอยู่ด้วย ซึ่งเขาได้เล่าที่มาของการทำธุรกิจนี้ว่า “เริ่มจากมีเพื่อน ๆ น้อง ๆ นี่แหละครับ เขาก็ถามว่า เมื่อไหร่จะทำไก่ย่างขายเนี่ย ทำแล้วขายดีเลยนะเนี่ย ผมก็เอ้อละเหยลอยชาย เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ จนเมื่อสัก 2-3 เดือนที่แล้วก็ไปถ่าย TikTok พาทัวร์โรงงานไก่ย่างกับแฟน คลิปเป็นไวรัลเลย ก็มีคนถามว่าโรงงานอยู่ที่ไหน คนเริ่มสนใจผมทำน้ำซอสเองครับ คิดเองทำเองชิมเอง นานอยู่กว่าจะทำให้มันอร่อย แล้วก็ตอนนี้ให้ทางบ้านแฟนเขาทำครับ ตอนแรกขายดีใน TikTok แต่ TikTok เขาไม่ให้ส่งแบบขนส่งทั่วไปเพราะมันร้อนพอส่งไปไก่มันก็เสีย หลัง ๆ ก็เลยส่งรถเย็น คือเราทำแบบแช่แข็งไป แต่ว่าอาจจะทำรสให้มันเข้มขึ้นกว่าเดิม สามารถที่จะทานแบบไม่ต้องจิ้มก็ได้อะไรแบบนั้น”ค้นพบตัวเอง ว่าเป็น LGBTQ+เรื่องราวของการค้นพบรสนิยมทางเพศของตัวเอง กัญจน์ ได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนสมัย ม.4 ผมมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่ แต่ผมก็คิดว่าเวลาไปดูหนัง ทำไมฉันไม่จับมือ ไม่มีอารมณ์ ไม่แฮปปี้ ไม่แตะไม่ต้อง ไม่อะไรเลย ตอนนั้นเหมือนยังไม่รู้ตัว แต่ว่าพอ ม.6 ก็เริ่มรู้ตัว เพราะแอบชอบรุ่นพี่อยู่คนนึง ตอนนั้นรู้สึกเหมือนเราอยู่ ม.5 พี่เขาอยู่ ม.6 คือแบบอยู่ดี ๆ เห็นหน้าเขาแล้วชอบ คิดว่าตัวเองใช่แล้วล่ะ ซึ่งสมัยก่อนมันยังไม่เปิด แต่ว่าเพื่อนพผมก็รู้นะ แต่เพื่อนเขาไม่ล้อเราช่วงแรก ๆ กดดันเพราะว่าพ่อแม่ไม่รู้ แล้วตอนนั้นเราคบแฟนคนแรก ก็บอกแม่ก่อน ว่าผมเป็นแบบนี้นะ ไม่ได้ชอบผู้หญิง แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย คือแม่เป็นคนใจดีมาก แม่บอกว่าไม่เป็นไรลูก อะไรที่มีความสุข ลูกก็ทำไปเลยจริง ๆ ผมว่าแม่ก็น่าจะรู้ตั้งแต่เป็นแรก ๆ ตั้งแต่ ม.5 ม.6 ละ เขาก็เลยเฉย ๆ คืออยู่บ้าน ผมจะไม่ค่อยแสดงออก ไม่เหมือนอยู่กับเพื่อน ส่วนพ่อไม่เคยพูด แต่ก็เคยถามแม่นะว่าพ่อรู้มั้ย แม่ก็บอกว่าพ่อเขาคงรู้แหละแต่เขาไม่พูด”จุดเริ่มต้นของรักต่างวัย ที่หลายคนอิจฉาเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคู่รักที่ตั้งแต่เปิดตัวก็หวานไม่แพ้ใคร สำหรับคู่ของ “กัญจน์ ภักดีวิจิตร” กับแฟนนอกวงการ “สปาย ธัชพงศ์พัชร์” ซึ่งแม้อายุจะห่างกัน 20 ปี แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคของทั้งคู่แต่อย่างใด ซึ่งเมื่อได้มาพูดคุยในรายการ กัญจน์ เลยได้เล่าจุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้ให้ฟังว่า “เจอกันที่ผับ ๆ หนึ่ง แล้ววันนั้นน้องเขาผิวขาว ซึ่งก็ดูค่อนข้างเด่นหน่อย แล้วพอดีเพื่อนผมกับเขารู้จักกัน ก็เลยให้เพื่อนไปขอเบอร์ให้ แล้วผมก็เลยเดินเข้าไปขอชนแก้ว แล้วก็นั่งคุยกัน แล้วตอนจะกลับก็ขอไลน์คุยกัน แล้วก็วันรุ่งขึ้นเราต้องกลับกรุงเทพก็เลยชวนไปกินข้าวกัน ซึ่งเขาก็มาก่อนหน้านี้ตัวผมเองเป็นคนชอบอยู่คนเดียว ยังไม่คิดจะคบใครจริงจัง เพราะยังชอบไปเที่ยวกับเพื่อน ก่อนหน้านี้เคยมีแฟนแป๊บ ๆ ก็เลิกกันหมด แต่พอมาคนนี้รู้สึกว่าพอคุยไปเรื่อย ๆ แล้วเหมือนเข้ากันได้ ทั้ง ๆ ที่คบกันแรก ๆ ก็ทะเลาะกันบ่อย เพราะเขาก็อารมณ์ร้อน ผมก็อารมณ์ร้อนแต่พอคุยกันมากขึ้น มันรู้สึกแฮปปี้ คุยแล้วมันสนุก ก็เลยขอเขาเป็นแฟน แล้วก็ค่อย ๆ ปรับความเข้าใจกัน ช่วงที่เปิดตัว เพื่อนวงการบันเทิง แล้วก็แฟนคลับทั่วไป ก็มาแซวเยอะ ซึ่งก็มีทั้งคอมเมนต์ดี และคอมเมนต์แบบไม่ดี แต่คอมเมนต์ไม่ดีมันก็ส่วนน้อย สมมติสัก 100% มี 10% แล้วพอโดนคอมเมนต์ไม่ดี พวกคนที่เขาชื่นชมเราก็จะไปด่ากลับเลย เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย พวกเขาไปตอบเลยก็ขอขอบคุณมากมีบ้างที่หลายคนมองว่าน้องจะเข้ามาเพื่อผลประโยชน์รึเปล่า สำหรับผม ตอนเจอกันวันแรกที่ไปขอเบอร์ที่ แล้วก็วันรุ่งขึ้นที่ไปกินข้าวกัน ผมบอกน้องเลยว่านี่ไม่ใช่คนเปย์ไม่ใช่สายเปย์ ทุกอย่างคนละครึ่ง ซึ่งเขาบอกโอเค เขามีงาน เขาทำงานแล้ว วันนั้นไปกินส้มตำก็ยังแชร์เลย ซึ่งเราจริงใจแล้วก็อยากให้รู้ด้วยว่า เราไม่ได้มาสายเปย์นะ แต่ถ้าอย่างสมมติว่าเขาเป็นคนไม่ชอบกินอาหารญี่ปุ่น เราชอบกินอาหารญี่ปุ่น เราก็เลยบอกว่าเดี๋ยวเลี้ยงมื้อนี้เองอะไรแบบนั้นในการทำธุรกิจ น้องก็เป็นคนชวนทำ ตอนแรกเขาเป็นคนเริ่มก่อน เพราะเขาเป็นคนชอบทำนู่นทำนี่ พอเขาชวนผมก็โอเค จริง ๆ เมื่อก่อนผมไม่มีเลยนะเรื่องทำธุรกิจ ไม่มีในหัวเพราะเราเน้นทำวงการบันเทิง แต่ก็อยากลองดู พอได้เริ่มทำเราเห็นว่ามันมีรายได้ ก็เลยรู้สึกว่า ให้น้องเสนอมาเลย อยากทำไรทำ ทำหมด ตอนนี้ก็มีไลฟ์สดครับใน TikTok แล้วก็ทำเป็นครีมผลิตภัณฑ์ของเราสองคน ตอนนี้ก็ผ่าน อย. ละตอนนี้น้องอยู่เชียงใหม่ครับ เป็นรักระยะไกล ผมก็อยู่แบบ ไป ๆ กลับ ๆ เชียงใหม่ 6-7 ปีแล้ว ชอบเชียงใหม่มากเลย”รับสายคนรู้ใจ ส่งต่อความรักทางไกลให้กันมีหนึ่งสายส่งตรงมาจากเชียงใหม่ ที่ได้โทรเข้ามาพูดคุยกันในรายการ ซึ่งเพียงแค่ปลายสายเริ่มพูด กัญจน์ ก็จำเสียงได้ เพราะเป็นเสียงของ สปาย แฟนหนุ่มของเขานั่นเอง โดยทั้งคู่ได้เผยเรื่องราวความรัก พร้อมส่งต่อความคิดถึงกันไว้ด้วย“ก็ไม่เคยพูดคำว่ารักกับเขาเลยตั้งแต่ครั้งแรก ไม่เคยพูดไม่เคยหลุดจากปากผมเลยเป็นเวลาปีกว่า ๆ ก็ครั้งนี้ก็จะบอกว่ารักนะจ๊ะ” - กัญจน์“ปายก็ขอบคุณเขาครับที่อยู่ในช่วงเวลาที่ดิ่งที่สุดในชีวิต แล้วก็ช่วงเวลาที่ชีวิตมันเริ่มดีขึ้นมาแล้ว ขอบคุณที่อยู่ข้าง ๆ กันตลอดครับ” – สปาย“อยากให้เป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่ที่สุดครับ ผมคิดว่าถ้าเราเป็น LGBTQ+ เราก็แสดงออกไปเลย ให้ที่บ้านรับรู้ ให้เพื่อนรับรู้ไปเลย จะได้สบายใจกว่า และอยากให้พ่อแม่ลองเปิดใจกว้าง ๆ เพราะว่าสมัยนี้โลกมันเปิดกกว้างแล้ว ถ้าลูกเราเป็นคนดี มีงานการทำที่ดี ควรสนับสนุนเขา มากกว่าที่แบบไปทำร้ายให้ลูกเจ็บตัว” - กัญจน์ ภักดีวิจิตรติดตามรายการย้อนหลัง
22 พ.ค. 2023
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรีแอคชั่นที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในชั่วข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่เคยมีมาก่อนเรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มขึ้น หลังจากสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เอิร์ธ อติรุจ” เจ้าของคลิปรีแอ็คชั่นสุดไวรัลที่ได้รีแอ็คถึงซีรีส์ The Interns ในแง่มุมการแพทย์แบบถึงพริกถึงขิง จนกลายเป็นคลิปล้านวิวในชั่วข้ามคืน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายแรงบันดาลใจ ที่ เอิร์ธ ได้เอามาแชร์ให้ฟังในรายการเผยที่มา กว่าจะเป็นคลิปรีแอคสุดปังจากช่อง “Aertha Channel”เรียกว่าเป็นคลิปดัง ที่ทำให้ชื่อ เอิร์ธฐา กลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ หลังจากที่ได้ปล่อยคลิป รีแอ็คชั่นซีรีส์ The Interns หมอมือใหม่ ที่มีลีลาการรีแอคแบบใหม่แบบสับ จนจับใจแฟน ๆ โดย เอิร์ธ ได้เล่าที่มา กว่าจะเป็นคลิปดังกล่าวให้ฟังว่า “มันเกิดจาการที่เราไปเห็นป้ายปิดของละครเรื่องนึง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับหมอนี่แหละที่พูดว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าอยู่เวรติดกันหลายวัน จุดนั้นเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อยคือมันขัดกับความเป็นจริงหลายอย่างมาก เพราะไม่มีหมอคนไหนที่อยากที่จะอยู่เวรติดกันหลายวัน หนึ่งเลยคือด้วยตัวของเราเองไม่สามารถที่จะ Active ในการใช้ชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานเต็มที่ 8 ชั่วโมงคนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตร่วมกับการตัดสินใจที่เครียด กดดัน กับการที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับชีวิตคน 8 ชั่วโมงเนี่ยถือว่าเยอะมากแล้วพี่ ถ้าเกิดว่าเราลืมตาใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหลือเราคงน็อคความเป็นจริงเราเลยไม่มีใครอยากที่จะทำงานฝืนขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ ความเป็นตัวเอง คือเข้าใจเจตนาเขาคงต้องการจะสื่อว่า ความเป็นจริงมีหมอที่จะอยู่เวรติดกันหลายวันนะ เพราะปริมาณหมอไม่พอ แต่ว่าป้ายปิดอาจจะทำให้คนเข้าใจว่าหมออยากที่จะอยู่เวรหลายวัน เพราะว่าอยากได้เงินรึเปล่า อยากนั่นนี่รึเปล่า เลยต้องออกมาพูดนิดนึงการรีแอคนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย เมื่อก่อนก็ทำเกี่ยวกับรีแอคเล่น ๆ กับเพื่อน เกี่ยวกับละครเก่า ๆ ที่เราโตมาด้วยกับมันอยู่แล้ว มันเลยอินกับสิ่งที่รีแอค และตัดสินใจทำรีแอคซีรีส์ในวันนั้น”เลือกเรียนหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคนไข้ย้อนกลับไป เอิร์ธ เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ และเคยทำงานเป็นหมอมาก่อน ซึ่งเอิร์ธ ได้เล่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ ให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้เป็นคุณหมอ จนถึงต้นเดือนมกราปีนี้ (พ.ศ. 2566) เป็นหมออยู่สองปีกว่าเกือบสามปีครับ ก็ต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้เป็นหมอมันลำบาก มันเป็นยาก แล้วก็ด้วยบริบทของสังคมเองด้วย ภาระงานด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานด้วย ไม่ได้เอื้อให้เราอยากที่จะเป็นหมอในระบบ จริง ๆ แล้วเราชอบอาชีพหมอมาก ๆ เลยต้องย้อนกลับไปก่อน 10 ปีที่แล้ว อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เด็กเก่งต้องเรียน เป็นค่านิยม เพื่อน ๆ ในห้องก็พูด เธอเรียนเก่งเธอไปเป็นหมอสิ ใครเรียนหมอโรงเรียนก็จะขึ้นป้ายให้ ได้รับความนิยมชมชอบได้รับการยอมรับจากสังคมก็เลยสอบกับเขาการเรียนหมอ 6 ปี จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนะครับ ตอนนั้นรู้สึกกลาง ๆ แต่ที่คณะเขาจะปลูกฝังให้เรามีความชอบความรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ตอนปี 1 เลย ซึ่งเอิร์ธเพิ่งรู้สึกอิน รู้สึกชอบตอนประมาณปี 5 หรือ ปี 6 ที่ได้มาดูแลคนไข้จริง ๆ สภาพแวดล้อมจะปลูกฝังให้เรารักในอาชีพนี้เอง เราก็เลยรู้สึกภูมิใจกับอาชีพ พอเรียนจบต้องไปใช้ทุนก่อน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้ทุน เพราะว่าหมอขาดแคลน เลยมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก็คือหมอต้องไปอยู่ในชุมชนที่ตัวเองเกิดมา ตอนนั้นจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด และพอจบมาแล้วไม่ได้อยู่ในโควตา ก็ต้องจับฉลากไปลงว่าจะไปลงที่ไหนในการเรียนต้องใช้คำว่าเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ ๆ พอเราเรียนไป เชื่อว่าสุดท้าย ปี 3 ปี 4 การตัดสินใจมันยาก เราก็เลยเปิดใจยอมรับแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าทางเลือกของเราไม่ได้มีเยอะ ก็เปิดใจเปิดรับแล้วก็ชอบ จริง ๆ แล้วก็ชอบอาชีพหมอเหมือนกัน จะตอบให้โลกสวยก็ได้ เพราะว่าได้ช่วยเหลือคนไข้ และภูมิใจเวลาเห็นคนไข้อาการดีขึ้น คือถ้าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เราจะรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าถึงการรักษาได้ยากเอิร์ธเรียนจบรุ่นโควิดพอดี จบมาก็เจอโควิดเลย อินเทิร์นหนึ่งยังไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัดมีคนดูแล พอช่วงระลอกสองช่วงที่มันพีคเนี่ย ต้องไปอยู่ในชุมชนที่อยู่หน้างานดูแลเลย ไม่มีอายุรแพทย์ อยู่ที่นู่นคนไข้เยอะมากนะครับ โดยเฉพาะคนไข้โควิดวันละสองสามร้อยคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือว่าโรงพยาบาลสนามอีก มันต้องดูหมด ทั้งที่อาการหนัก และก็ไม่หนัก เพราะว่าอุปกรณ์เราก็ไม่พร้อม บุคลากรเราก็ไม่พอ เรื่องการส่งต่อคนไข้ก็ยาก ตอนนั้นเห็นปัญหาหลายอย่างจริง ๆ ทั้งโครงสร้างทางสังคมแล้วก็คนไข้หนักโควิด ก็ต้องสู้สุดชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน มีทั้งแบบได้ไปต่อ แล้วก็มีทั้งยอมที่จะไม่ได้ไปต่อเพราะว่าการส่งต่อก็ลำบากโรงพยาบาลจังหวัดเองก็ไม่มีที่ให้อยู่”เหตุผลที่ไม่ก้าวต่อกับอาชีพหมอเมื่อเรียนจบ เอิร์ธ ได้ทำอาชีพหมออยู่เกือบ 3 ปี และตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ โดยได้เล่าเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “อย่างที่บอกไปว่าหมอในทุกวันนี้มันยากนะ ทั้งเรื่องของภาระงานเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คนไข้เยอะกว่า ความซับซ้อนเยอะกว่า และการฟ้องร้องก็เยอะกว่า แล้วก็ด้วยความที่คนไข้เยอะขึ้นภาระงานก็เยอะขึ้น แล้วค่าตอบแทนก็น้อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อที่ทำให้เราอยากเป็นหมอเยอะขึ้นจริง ๆ เสียดายนะ แต่ว่าความชอบความรักมันไม่พอ ก็เหมือนเรารักในวิชา แต่เหมือนเรารักเขาข้างเดียว เหมือนเราทำงานอย่างเดียวแต่สิ่งที่ตอบแทนมาคือเขาไม่ได้เห็นเราเป็นคนรัก เขาไม่ได้ตอบแทนเราเหมือนเราเป็นคนรักของเขาด่านแรกเลยที่จะออกจากราชการ ต้องเรียกว่าของทุกคนแหละไม่ใช่กับเราอย่างเดียว ที่มักจะเจอคำถามว่า พ่อแม่มีสิทธิ์ข้าราชการรึเปล่า แล้วก็อาชีพหมอเนี่ยไม่เสียดายเหรอ พ่อกับแม่จะว่ายังไง สำหรับเราโชคดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา คือที่ตัดสินใจลาออกเนี่ยคิดหลายอย่างนะครับ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเราลาออกเลย มันผ่านการต่อสู้ด้วย ผ่านการพูดคุยกับทั้งผู้บริหารเอง เรื่องขององค์กรเอง เราไปมาหมด แล้วไม่มีคำตอบที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เราก็เลยเดินออกมา ถามว่าหมอคนหนึ่งทำงาน 24 ชั่วโมงไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมวันต่อมาไม่หยุดล่ะ ต้องบอกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะว่าโรงพยาบาลก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดคือไม่มีคนอยู่โรงพยาบาล แล้วก็ด้วยสังคมเรา เราอยู่กันแบบ seniority อะครับ เรามีชนชั้นของหมออยู่ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ Comfort กับการอยู่ในองค์กร แล้วก็เคย feedback ไปแล้วมันไม่ได้รับสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยเดินออกมา”สิ่งที่เอิร์ธอยากเห็น ในแวดวงของการแพทย์มีหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่อยากเห็นในแวดวงของการแพทย์คืออะไร? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “เราอยากเห็นสังคม หรือหัวหน้างานมองเราเป็นคนที่ทำงาน เราอยากเห็นสังคมการทำงานที่มองเราเป็นมนุษย์ คือมนุษย์เราทำงาน อาจจะต้องทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ซึ่งต้องอยู่ในระยะเวลางานที่เหมาะสม แล้วก็คนเรามันต้องกินต้องใช้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ในวงการหมอเอง ก็มองเราไม่เท่ากัน อย่างเช่นฉันเป็นหมอไปเรียนต่อเป็นเฉพาะทางแล้วฉันก็จะอยู่สูงกว่า อยู่สูงกว่าเธอ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นด้วยสังคมของเราแต่ถ้าใครรัก ถ้าใครชอบ แล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใน Work Life Balance ที่ดี อาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีเลยครับ”มุมมองของการเป็น LGBTQ+ กับอาชีพหมอมีอีกหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ เป็นหนึ่งปัญหาของการเป็นหมอไหม? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “จริง ๆ ไม่เป็นปัญหาเลย LGBTQ+ เนี่ยอยู่ได้ เรียกว่าหมอเป็นอาชีพที่ privileges อย่างหนึ่งที่คนให้การยอมรับ ก็ต้องขอบคุณสังคมที่ยอมรับในอาชีพ เดี๋ยวนี้หมอผู้หญิง, ผู้ชาย หรือว่า LGBTQ+ เนี่ยถือว่าเท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดคนไข้ให้เกียรติมาก เรียกคุณหมอได้เลยคำว่า LGBTQ+ เมื่อก่อนสมัยที่เอิร์ธเรียน หลักสูตรเอิร์ธนะ LGBTQ+ คือความผิดปกติทางเพศเป็น Gender Identity Disorder เป็นโรค แต่ว่าเดี๋ยวนี้ WHO หรือว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการศึกษาที่เยอะขึ้น LGBTQ+ เขาให้คำนิยามว่าคือ ความหลากหลาย เป็นเหมือนความแตกต่างที่สมองเราโปรแกรมมา เหมือนเรามีนิ้วยาวกว่าคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์นิยาม LGBTQ+ ในปัจจุบัน มันไม่ใช่โรค แต่มันคือความแตกต่าง ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่าเราคือความแตกต่างซึ่งดีมาก ๆ เลยอีกอย่างหนึ่งเรื่องการยอมรับของ LGBTQ+ เด็ก ๆ เราจะรู้ว่าเราเป็นเพศอะไร รู้จักเรื่องเพศตอนประมาณ 3 ถึง 5 ขวบ แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสดงเรื่องของเพศสภาพการแสดงออกของเรา ก็ตอนเราเข้าสู่วัยรุ่น เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ไม่เกี่ยวกับว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่าขาดความอบอุ่นหรือเปล่าลูกถึงเป็น อันนี้ไม่ใช่ มันคือโปรแกรมในสมองเรา มันกำหนดมาแล้วว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ จริงๆ เขาไม่รู้จะแสดงออกยังไงมากกว่า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วแหละ orientation เขาคืออะไร แต่ด้วยสังคมบางอย่างทำให้เราไม่สามารถแสดงออกสิ่ง ๆ นี้ได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ LGBTQ+ อยู่ในสังคมได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายครับ ก็คิดว่าปีนี้จะได้เห็นสมรสเท่าเทียม เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ LGBTQ+ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมยอมรับเราแน่ ๆ เลยก็คือกฎหมาย ถ้ากฎหมายยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เท่ากัน LGBTQ+ ก็จะเท่ากันในประเทศไทย”ดารา พิธีกร อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเอิร์ธอีกหนึ่งความฝันที่เป็นแพชชั่นในการทำคลิปรีแอคสุดปังของเอิร์ธ คือการเป็น ดารา พิธีกร โดยเอิร์ธ ได้แบ่งปันแรงบันดาลใจเรื่องนี้ว่า “วันนี้เอิร์ธเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เป็นดาราด้วย ซึ่งก็พูดไม่เกินไปเพราะว่าเดี๋ยวจะลงจอแก้ว มันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กของ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ซึ่งก็ก็ต้องบอกเลยว่าเริ่มจากการรีแอ็คซีรีส์เรื่องนั้นแหละ ก็คือแจ้งเกิดเลยวงการบันเทิงเป็นวงการที่สนุก และสามารถเป็นกระบอกเสียงให้อะไรกับสังคมได้เยอะ ถ้าเรามีแพชชั่น อย่างที่เห็นในรีแอ็คก็พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องของการแพทย์บ้าง แล้วก็เรื่องของการขับเคลื่อนสังคมบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด เรื่องของการให้ข้อมูลความรู้กับสังคมที่มันยังขาดหายไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นพื้นฐานหมดเลยครับเรื่องข้อมูลทางการแพทย์เนี่ย ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทำมาเป็นสื่อ ก็ควรที่จะถูกต้อง 100% เลย เพราะว่าเราเป็นสื่อที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม อย่างอื่นสามารถตัดแต่งเติมสีได้เพราะหมอก็เป็นคนปกติทั่วไปหลังจากที่รีแอ็คออกไปก็มีติดต่อมาเยอะ มีทางรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ชื่อดังติดต่อให้ไปออกรายการ ก็ไปร่วมพูดคุยกับเขาว่ามันเป็นยังไง สามารถพัฒนาแนวทางของซีรีส์ได้ไหมแล้วก็อนาคตจะปรับปรุงยังไง คือเขารับฟังความคิดเห็น เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทยสำหรับเรื่องแบบนี้”มุมมองความแตกต่างของซีรี่ส์ไทย และ ต่างประเทศจากที่ได้ทำคลิปรีแอคชั่นชีรีส์มาเยอะ และได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานผู้ผลิตซีรีส์มาหลายครั้ง ทำให้ เอิร์ธ ได้เห็นความแตกต่างของการทำซีรีส์ระหว่างของไทยกับต่างประเทศ โดยเอิร์ธ ได้แชร์ให้ฟังว่า “สำหรับซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับหมอที่เอิร์ธเคยรีแอคก็มี Hospital Playlist กับ Doctor Cha ต้องบอกว่าหมอส่วนใหญ่ที่อยู่ในเฉพาะทางนั้น ๆ เขาแคสเหมือนนะ คาแรคเตอร์เขาตรงกับอาชีพ ตรงกับเฉพาะทางเลย เขา research มาอย่างดี ว่าหมอที่เรียนเฉพาะทางอันนี้ หมอนิวโรศัลย์จะต้องมีลักษณะยังไง การพูดจายังไง แล้วก็หมอศัลยกรรมทรวงอกลักษณะการพูดเป็นยังไง การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะบอกได้เพราะว่าไลฟ์สไตล์มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ซึ่งเนื้อหาเขาย่อยมาดีมาก การทำซีรี่ส์หมอส่วนใหญ่ก็คืออาจจะชี้ให้เห็นว่า วงการสาธารณสุขเรามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง แล้วก็อยากที่จะสนับสนุนอะไรผ่านสื่อ เพราะว่าเป็นหลายอย่างที่ส่วนกลางไม่สามารถให้เราได้ มันสร้างแรงบันดาลใจมากส่วนในไทย หลังจากที่ไปคุยกับคนเขียนบทต่าง ๆ มา พบว่าเวลาเค้าน้อยมากในการ research ครับ ด้วยเวลาเขาน้อยมันก็จะยากหน่อย แล้วก็มันก็จะมีคนเขียนที่เป็นหมอด้วยนะมาเขียนซีรี่ส์ก็จะมีความแบบสมจริงขึ้นมาหน่อย แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมันต้องผ่านหลายกลไกที่ทำให้ละครสนุก ซึ่งต้องปรับเป็นบทละครอีกบทมันก็จะแปลกบ้าง”ท้องไม่พร้อม อีกหนึ่งปัญหาที่เอิร์ธฐา อยากเป็นกระบอกเสียงมีหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เอิร์ธ ได้ให้ความสำคัญ และพยายามเป็นกระบอกเสียงเกี่ยวกับเรื่องของเคส teenage pregnancy หรือการตั้งท้องไม่พร้อมในเยาวชน โดยเอิรธ์ ได้แชร์มุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เราสนับสนุนในสิทธิขั้นพื้นฐานของคน เราเห็นเรื่องนี้เป็น Pain Point ของสังคมไทยมานานเพราะเราอยู่ในวงการ เราเห็นการท้องไม่พร้อมเยอะมาก แล้วก็ท้องไม่พร้อมถึงขนาดกำลังจะคลอด วันนั้นคือวันที่เขาท้องไม่พร้อมแล้วเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอว่าเขาจะสามารถจะจัดการท้องที่ไม่พร้อมยังไง มีคุณแม่วัยใสเยอะมากที่โรงพยาบาลชุมชน เดินมาสมมติมีร้อยคน ห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าเรามีกฎหมายเรื่องของการทำแท้งแล้ว ก็คือผู้หญิงทุกคนที่ท้องไม่พร้อม สามารถเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล โดยกระบวนการคือต้องผ่านการพูดคุยกับหมอหลายขั้นตอนครับ เอิร์ธมองว่าอาจจะเป็นสิทธิของผู้หญิงคนหนึ่ง หากอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม แล้วเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลท้องนี้ให้ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในสังคมแล้ว เราสามารถเข้ามารับการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยครับ ไม่ว่าจะกรณีใดๆเราอยากสนับสนุนให้เรื่องการป้องกันเป็นที่พูดถึงกันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงกันเลย ยิ่งการคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้สำหรับเยาวชนเนี่ยฟรี ยาคุมกำเนิด หรือง่าย ๆ เลย ถุงยางอนามัยป้องกันได้ที่สุด แล้วไม่ใช่กันท้องแต่กันโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ด้วย อันที่สองสำหรับผู้หญิงก็จะมีการฝังยาคุม ฝังครั้งนึงอยู่ได้ 3 - 5 ปี แล้วก็ยาคุมฉุกเฉิน คือหลังจากที่เราไปประกอบกิจกรรมไปพลาดอะไรมา ร้านยาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเข้าไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเนอะ ก็เป็นอุปสรรคนึงที่ทำให้เราเข้าถึงยาคุมฉุกเฉินยาก แต่เราต้องกล้า ดังนั้นด่านแรกที่เราต้องไปเจอก็คือเป็นคุณเภสัชกรที่ร้านขายยา ภายใน 48 – 72 ชั่วโมงแรกจะได้ผลดีที่สุดในการกินยาคุมฉุกเฉินจะช่วยคุมกำเนิดเดี๋ยวนี้มันต้องพูดกันได้แล้วว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องให้ความรู้กับเยาวชนที่ถูกต้องเพราะเขาก็ไม่ได้รับความข้อมูลได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราก็มีหน้าที่ให้ความรู้แล้วก็ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สถาบันแรกเลยคือครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ยังขาดการให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง”ห้องฉุกเฉิน ที่อยากให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับสิทธิ์ก่อนมีอีกหนึ่ง Pain point ที่เอิ์รธเคยเจอเมื่อตอนที่ยังเป็นหมอ ก็คือเรื่องของ ห้องฉุกเฉิน โดยเอิร์ธ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็น Pain point อีกเรื่องคือเรื่องห้องฉุกเฉินกับหมอ เพราะว่าห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนอกเวลาราชการ ซึ่งก็จะมีคนไข้หลายรูปแบบมาเลย ถ้าฉุกเฉินจริงก็โอเคไม่เป็นไรเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ส่วนใหญ่มันเป็นในเรื่องของการที่ไม่ฉุกเฉิน หมายถึงว่า คนไข้เป็นไข้มาแล้ววันหนึ่งอยากมาหาหมอจังเลยตอน 2-3 ทุ่ม อะไรแบบนี้ครับซึ่งในช่วงนอกเวลาราชการจะมีแต่ห้องฉุกเฉินอย่างเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็จะมีหมอแค่คนเดียวที่ดูแลทั้งหมด ซึ่งหมอก็น้อยอยู่แล้ว บุคลากรทางการแพทย์อย่างอื่นก็น้อยด้วย พยาบาลก็ไม่พอ แล้วเทคนิคการแพทย์ หรือว่าเภสัชกรก็ไม่พอด้วย เขาก็จะรับไม่ไหวอยากให้คนไทยรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเบื้องต้นก่อนครับ เช่นเรื่องของไข้เนี่ยมันก็ไม่ได้มีสอนในสุขศึกษาว่า ไข้มันคืออะไร ไข้มันมาจากไหน ส่วนใหญ่มันเกิดจากไวรัสเกิดจากหวัดหรือเปล่า แล้วการดูแลตัวเองเบื้องต้นยังไง สามารถซื้อยากินเองได้มั้ย สามารถมาเจอหมอในวันถัดไปได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นไข้ เป็นหวัด มาหาหมอหรือไปร้านยา ก็ได้ยาเหมือนกันจริง ๆ โครงการ 30 บาทดีมั้ย มันดีนะครับเพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะเข้ามาโรงพยาบาลมาได้ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็เป็น Pain point อย่างนึงเหมือนกัน เพราะเหมือนโยนภาระทุกอย่างเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหมดเลย ไม่ว่าคนจะเป็นยังไงก็มาโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เหมือนเป็นการผลักภาระเข้ามาที่บุคลากรการแพทย์ ซึ่งมันต้องแก้ที่อะไรหลายๆ อย่างระบบการศึกษาด้วย แล้วก็ให้ความรู้ทั่วไปกับประชากรและสังคมด้วย” - เอิร์ธ อติรุจติดตามรายการย้อนหลัง
15 พ.ค. 2023
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังในชั่วข้ามคืนจากการคัพเวอร์เพลง เธอคือสาวเก่ง สวย เสียงดี และมักจะมาพร้อมความม่วน ความจอย และความฮาเปิดความสนุก ปลุกความฮา กันตั้งแต่เริ่มรายการ เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์สาวสายฮา เจ้าของวลีดัง ละแมะ , อะหรือ , ว่าซ่าน ซึ่งกว่าจะมาเป็นเธอในทุกวันนี้ เธอคือผู้ที่ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเดินตามความฝัน และแฮปปี้กับทุก ๆ โมเมนต์ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยมีหลากหลายเรื่องราวที่เธอได้มาแชร์ให้ฟังในรายการหยาดพิรุณ ปู่หลุน ชื่อนี้มีเรื่องเล่าเรียกว่าเป็นชื่อที่ฟังดูหวาน และ ดูมีความหมายอยู่ในชื่อสำหรับชื่อ หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น ซึ่งต้องบอกว่าชื่อนี้มีเรื่องเล่า โดย หยาดพิรุณ ได้เผยที่มาของชื่อเพราะ ๆ นี้ไว้ว่า “เป็นชื่อที่คุณตาตั้งให้เลยตั้งแต่เกิด เพราะว่าหยาดเกิดในวันที่ฝนตก ตอนนั้นประมาณตี 4 ตี 5 คุณแม่ปวดท้องมาก คุณพ่อก็ขับรถมาสแตนบายจะไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าคุณแม่ทนไม่ไหว ก็เรามันอยากเกิดเต็มทีอะแม่จ๋า ซึ่งแม่บอกว่าเอาจริงยังไม่ทันได้เบ่งเลย ก็หลุดออกมาเลย แบบหลุดออกมาแบบสบาย ๆ ที่หัวกระไดบ้าน ก็เลยต้องตามคุณหมอตำแยมาที่บ้านแทน และก็เหมือนตอนนั้นมีนักข่าวชื่อดังชื่อหยาดพิรุณ แล้วคุณตาก็เลยชอบชื่อนี้ ก็เลยขนานนามเป็น หยาดพิรุณ ให้ตอนนั้นจริงๆแล้ว คุณแม่อยากได้ลูกชายตั้งแต่เด็ก เพราะว่าหยาดมีพี่สาวคนนึง คนต่อไปคุณแม่ก็อยากได้เป็นลูกชาย ซึ่งคุณแม่เล่าให้ฟังว่า วันที่จะเกิด วันที่จะฝนตกนั่นแหละค่ะ แม่ก็ฝันเห็นพ่อปู่ ก็คือเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านอะไรอย่างเงี้ย แม่ก็จะมีเซ้นส์อะไรพวกนี้เสร็จแล้วคุณแม่บอกว่า พ่อปู่ท่านถามว่า ลูกจะมาแล้วนะ จะเอาผู้หญิงผู้ชายก็ตะโกนออกมาดังๆ เลย คุณแม่เราอยากได้ลูกชายอยู่แล้ว เลยตะโกนดัง ๆ ว่า ลูกชาย ลูกชาย (ในความคิดนะคะ) แต่สิ่งที่คุณแม่ตะโกนออกไปนั้นมันออกอากาศไม่ได้ ตะโกนไปว่า หีมมมม หีมมมม (จิมิ) ใช่คุณแม่บอก แล้วเสียงดังก้องกังวาน ก็เลยเกิดออกมาเป็นลูกสาว เป็นหยาดนี่แหละค่ะซึ่งชื่อเล่นจริงๆ ชื่อ น้องน้ำฝน แล้วหลายคนถามทำไมใช้ชื่อหยาด ก็พอเข้ามหาลัย มันก็ได้จังหวะเปลี่ยนชื่อ รุ่นพี่เขาจะให้เขียนชื่อที่มันห้อยคอ เราก็เอาเลยเลือกใช้ชื่อหยาดพิรุณ ดีกว่า จากนั้นเพื่อนก็เลยเรียก หยาดพิบ้าง พิรุณบ้าง มาตั้งแต่นู้นเลย ไม่มีใครเรียกน้ำฝนแล้วค่ะปู่หลุ่น จะมีหลายคนคิดว่าเป็นฉายา ไม่คิดว่ามันเหมือนนามสกุล แต่ก็มีบางคนก็เรียกปู่หลุนเหมือนเรียกแทนชื่อเราเลย ซึ่งรายการนี้เขียนนามสกุลหยาดถูก ปู่หลุ่น มีไม่กี่รายการที่เขียนถูก ส่วนใหญ่จะเขียน ปู่หลุน ที่มาของนามสกุลนี้คือ เมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีนามสกุล เขาก็ไปหานายทะเบียนแล้วนายทะเบียนก็บอกว่า ไปหามาว่าจะเอานามสกุลอะไรก็เขียนมา บ้านเรา ตระกูลเราก็นึกไม่ออกว่าจะนามสกุลอะไร ก็เลยเอาชื่อปู่แล้วกัน (เป็นทวดของทวดอีกที) ปู่ชื่อ หลุ่น ก็เลยกลายเป็น หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น”“ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” เพลงคัพเวอร์พลิกชีวิตหยาดพิรุณชื่อของ หยาดพิรุณ กลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังชั่วข้ามคืน หลังจากที่เธอได้ทำคลิปคัพเวอร์เพลง “ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” ของเจ้าหญิงเพลง RB ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ซึ่งยอดวิวล่าสุดของเพลงคัพเวอร์นี้ทะลุ 22 ล้านวิว ไปแล้ว โดยหยาดพิรุณ ได้เล่าที่มาของคลิปอันโด่งดังนี้ว่า “มันเกิดจากการที่หยาดถ่ายวิดีโอไลฟ์กับพี่สไบรท์ บะบะบิ ชื่อรายการโทรจิตโทรใจ ตอนนั้นเราไปถ่ายรายการกันที่ต่างอำเภอของเชียงใหม่ แล้วพวกเราอยู่บนดอย มันเหงา เลยคิดว่าเราจะทำอะไรกันดี ก็เลยตั้งกล้องไลฟ์มีมือถืออยู่อันนึง ไฟที่ใช้ก็เป็นไฟส่องกบอันเล็ก ๆ หน้าดำมากตอนนั้น แล้วตอนนั้นดันเป็นช่วงโควิดคนเขาก็จะดู ไลฟ์วันละ 3 ชั่วโมง คนโทรเข้าไม่หยุดเลย ทุกคนก็ต่างร้องเพลงให้เราฟัง เราเองก็ถือโอกาสร้องไปร้องมา แล้วปรากฏมีสายหนึ่งร้องเพลงว่างแล้วช่วยโทรกลับ ซึ่งเราชอบเพลงนี้ ชอบพี่ลิเดียอยู่แล้ว เราก็ชมว่าร้องเพลงถูกใจฉัน เดี๋ยวฉันขอร้องเวอร์ชั่นฉันให้เธอฟังบ้าง ปรากฏว่าท่อนที่หนูร้องคนก็ตัดท่อนนั้นไป กลายเป็นไวรัลใน TikTok ดาราอินฟลูเขาก็คัพเวอร์ มันก็เลยโด่งดังขึ้นมา ทีนี้แฟน ๆ ก็เรียกร้องเราว่าอยากฟังเวอร์ชั่นเต็ม เราก็เป็นคนที่เพื่อนให้ทำอะไรก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว คือมันเหมือนมีฐานคนรอฟังอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน บวกกับความ Check it out yo Check it out boom ของหนูเข้าไปมันก็เลยติดหูคนฟังพอหลัง ๆ เราก็เริ่มติดสวย เริ่มติดแกรม เพราะเรารู้สึกว่าเล่นมาเยอะแล้ว และมันก็มีบางคนแบบว่าโอ้ยติดเล่นจังเลย เราก็เริ่มลองจริงจัง ล่าสุดปล่อยเพลงต้องโทษดาวใน TikTok เพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย ซุปเปอร์สตาร์ในดวงใจเรา คอมเมนต์ประมาณเกือบ 400 คอนเมนต์ บอกว่า โอ้ะกรู้วหายไปไหน อะหรือไปไหน กลืนหยาดพิรุณออกมาเดี๋ยวนี้ เนี่ยพอเราทำสวย ๆ ให้ก็จะมาเอาโอ้ะกรู้ว คนติดภาพฮาเราไปแล้ว”“ดารานักร้อง” ความฝันของ ด.ญ. หยาดพิรุณด้วยเบื้องหน้าที่มักจะเห็นหยาดพิรุณชอบร้องเพลง ร้องเพลงเพราะ เอนเตอร์เทรนเก่ง แท้ที่จริงแล้ว นี่คือความฝันที่เธออยากทำมาตั้งแต่เด็ก โดยหยาดพิรุณได้เล่าเรื่องราวความฝันนี้ให้ฟังว่า “คืออย่าเรียกว่าใฝ่ฝัน เรียกว่าเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เริ่มจำความได้ หยาดจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นดาราตลอด อยู่ต่างจังหวัด เกิดที่หนองบัวลำภู คุณแม่เอาขึ้นท้ายมอเตอร์ไซค์ ขับไปตามทุ่งนาเจอหญ้าตามข้างทาง มือมันจะกุยทำเป็นแบบว่าอย่าดึงแรงค่ะ อย่าจับเนอะแขนน้องเจ็บ ทำเหมือนมี FC ตลอดเวลา เหมือนเราคือซุปเปอร์สตาร์ มันไม่รู้ตัวว่าทำไมเราถึงอยากเป็นอย่างงั้น เราอาจจะดูละครดูหนังดูคอนเสิร์ตตอนเด็กเยอะและหนูคิดว่ามันเริ่มมาจากตุณตา คุณตาหนูเป็นกำนัน ทุก ๆ ตี 5 คุณตาจะต้องมาประกาศเสียงตามสาย ซึ่งก่อนประกาศเขาจะต้องเปิดเพลงปลุกชาวบ้านก่อน เป็นเพลงหมอลำที่เปิดนำก่อน เราได้ยินทุกวัน อยู่ดี ๆ มันก็ร้องตามได้ พอโตขึ้นมาคุณแม่ก็ชอบร้องเพลง คุณพ่อก็ชอบฟังเพลง ไปโรงเรียนก็ชอบเป็นเด็กกิจกรรมอีก เหมือนชีวิตวนเวียนอยู่กับการร้องเพลงกับการทำกิจกรรม จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”จากเด็กนักเรียนทุน สู่เด็กกิจกรรมแถวหน้าของมหาวิทยาลัยหยาดพิรุณ เป็นคนหนึ่งที่เต็มที่กับทุกช่วงของชีวิต ในเรื่องการเรียนก็ไม่เป็นรองใคร เธอเคยเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าสันทนาการหญิงคนแรกของคณะที่เธอเรียน เรื่องราวนี้ หยาดพิรุณ ได้เล่าว่า “หนูเป็นคนทำอะไรแล้วตั้งใจมาก คือเหมือนเราตั้งใจเรียน แล้วพอเริ่มเข้ามัธยมก็เริ่มทำกิจกรรมเยอะ ครูก็รักเรา ส่งไปทำกิจกรรม ส่งไปเรียนแลกเปลี่ยนบ้าง รอบแรกคือตอนม. 5 ไปอเมริกา เป็นการชิงทุนระดับประเทศ แล้วเลือกไปแค่ทุนเดียวเอง นี่ถือเป็นการสอบชิงทุนครั้งแรกในชีวิต แล้วเราก็คิดว่าไม่ได้หรอก เราเป็นเด็กต่างจังหวัดตัวเล็ก ๆ ตอนมาสอบในกรุงเทพ คุณแม่พานั่งรถทัวร์มา ชีวิตเหมือนหนังเลย คือความที่มันตื่นเต้นมาจากต่างจังหวัด ทำให้หยิบกระโปรงนักเรียนมาผิด ที่เอามาเป็นกางเกงพละก็ต้องรีบไปหาซื้อ ตอนนั้นตื่นตี 4 ตี 5 พี่ชายก็พาไปหาซื้อกระโปรงใหม่ แล้วก็เข้าไปสอบ วันต่อมาเขาก็ประกาศผลว่าเราคือท็อป 10 ข้อเขียน ตอนนั้นคุณแม่ที่ไปด้วยน้ำตาไหล เขาคงภาคภูมิใจในตัวเรา เสร็จแล้วกลายเป็นว่าเราได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทุน YFU หรือ Youth for Understandingมันมีความตื่นเต้น หนึ่งมันขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต แล้วบิน 24 ชั่วโมง เปลี่ยนไฟล์ทบิน 4 รอบ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาของเด็กอายุ 17-18 แล้วพอไปถึงเราไม่รู้จักคำว่า Homesick เลย เรารู้แค่ว่ามันสนุก ทำทุกวันให้มันสนุก กลายเป็นว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่เป็นเอเชีย คือในอเมริกาสมัยก่อนยังมีเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ เด็กเอเชียมาจะต้องโดนบลูลี่ โดนแกล้ง แต่เรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับดิฉันเลย คือหยาดได้ทำทุกกิจกรรมที่เพื่อน ๆ คนอื่นทำ เพราะว่าโฮสต์แฟมิลี่ก็สนับสนุน คุณครูก็สนับสนุน เราได้รับเกียรติถึงขั้นได้ร้องเพลงชาติของอเมริกาเวลาเปิดบาสเก็ตบอลเกมส์ของโรงเรียน ซึ่งมันเป็นเกียรติมาก ปกติเขาต้องให้ดาวโรงเรียนทำ แล้วบังเอิญดาวโรงเรียนเป็นเพื่อนสนิทเราอีก มันก็เลยไม่มีแบบว่า Gossip Girl ไม่มีการแย่งชิง ตอนนั้นภาษาเราไม่ได้เก่งมาก เราอาศัยความอยากรู้อยากเห็นความกล้าแสดงออกความอยากเรียนรู้ ฝรั่งเขาชอบแบบนี้ค่ะ ฝรั่งเขาจะต่างกับคนไทยนิดนึงคือคนไทยจะขี้อาย แต่ฝรั่งคือถ้าเธอไม่พูดเธอคือจมไปเลย ถ้าเธออยากมีเพื่อนเธอต้องกล้าพูด เธอต้องกล้าแสดงออก เธอต้องมีตัวตน เวลาอยากให้ทำอะไร ฝรั่งเขาจะชอบแบบ go go! คือเชียร์ พอโดนเชียร์ฉันเลยฉันตีลังกาไปเลย ฉันไม่กลัว ฉันสวย มั่นใจ ไม่กลัว หนองบัวลำภู ทำทุกอย่างเลยค่ะสิ่งที่ยากของการไปอยู่ต่างประเทศ คือการที่ทำยังไงให้เราไม่หิว เพราะอาหารเขาอร่อย ตอนนั้นน้ำหนักขึ้น 13 กิโลกรัม ท้อใจมาก ส่วนชื่อไม่ต้องเปลี่ยนเขาเรียกฝน เพราะตอนนั้นยังชื่อน้ำฝนอยู่ แล้วก็สมัยก่อนเหมือนยังไม่ได้มี Facebook , Line ก็จะเป็นโทรหาคุณแม่เดือนละ 1-2 ครั้ง แล้วก็จะกำหนดนาทีด้วยว่าไม่เกินกี่นาที เพราะมันโทรนาทีละ 30-40 บาทเลย สมัยก่อนมันยังเป็นโทรศัพท์บ้านอยู่เลยค่ะ การไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมครั้งนั้น ทำให้เรื่องของภาษาเรา Flow ขึ้น เพราะเราอยู่ตรงนั้นเราต้องพูด เราต้องอ่าน เราต้องเขียน เราต้องเรียนเราก็เข้าใจความหลากหลายวัฒนธรรม เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาก้าวไกลเขาเป็นยังไง ได้เห็นเยอะมากค่ะ ในวัยนั้นรู้สึกแค่ว่าโอ้โหโลกมันกว้างกว่าที่เราคิดเยอะพอกลับมาปุ๊บ ก็เข้าโครงการทูบีนัมเบอร์วัน เพราะรู้แล้วว่ากิจกรรมนี้เราจะได้ร้องเพลง เราจะได้เต้น เราจะได้เล่นกีฬา แล้วก็มาถึงจุดที่ต้องเรียนมาหาวิทยาลัย จะเลือกคณะอะไรดี ตอนนั้นนิเทศศาสตร์อยู่ในใจเราอยู่แล้วแหละ แต่เราจะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี อันนี้คือปัญหาของเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนต้องเจอ ที่อยากจะเรียนในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อยากให้เรียน เพราะที่บ้านเรียนนิติศาสตร์หมดเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็คงคิดว่าเราก็คงไม่หนีไกลจากนี้ ให้หนีไกลได้มากสุดสองอย่างคือเป็นทูตกับเป็นครู แต่ว่าโชคดีที่คณะนิเทศศาสตร์ที่ มช. ชื่อว่าคณะการสื่อสารมวลชน ก็เลยเอามาให้พ่อแม่ดูว่าเนี่ย เดี๋ยวจะเรียนคณะนี้นะ เค้าก็ถามว่าสื่อสารมวลชนเรียนไปทำอะไร หนูก็ตอบไปเลยว่าเรียนไปเป็นนักข่าว ตอนนั้นเวลาก่อนดูหนังดูละครนักข่าวเขาต้องใส่สูทให้มันดูภูมิฐาน ซี่งถ้าไปบอกว่าจบไปเป็นดารา เป็นยูทูปเบอร์ ไม่มีวันได้เรียน ไปบอกว่าเป็นนักข่าว เขาก็โอเคได้แต่งตัวดูดีใช้ได้ ๆ พอเข้ามาเรียน ได้อ่านข่าวตอนเรียนอยู่วิชาหนึ่งครั้งเดียวเท่านั้นเองค่ะคราวนี้โซเชียลมันก็เริ่มมา คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มเห็นเพื่อนแท็กรูปเราบ้าง กิจกรรมที่เราเล่นโอ้โหเราก็ใช่ว่าจะธรรมดา ร้องเพลงสันทนาการนั่นนู้นนี่ คืออยู่ปีหนึ่งก็รับน้องเต็มที่ไม่พอ ขึ้นมาปีสองได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าสันทนาการผู้หญิงคนแรกของคณะอีกความโชคดีของหนูอย่างหนึ่งคือ หนูจะรู้วิธีการพูดกับคุณพ่อคุณแม่ผู้ใหญ่ การสื่อสารสำคัญมาก เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทะเลาะกับใคร ไม่ทะเลาะกับที่บ้าน ไม่ทะเลาะกับแฟน ไม่ทะเลาะกับใคร เพราะเรามีวิธีการสื่อสารที่จะทำให้เขาเข้าใจ เรารู้ระหว่างเรากับพ่อแม่มีช่วงอายุที่ค่อนข้างห่างกัน เรื่องของช่วงวัย เรื่องของความเข้าใจอะไรในหลาย ๆ อย่าง เราจะรู้แล้วว่าเขาคิดแบบนี้ เราจะเข้าหาเขายังไง ฉะนั้นใครที่เจอปัญหาคุยกับพ่อแม่ไม่เข้าใจ ลองเข้าใจเขาครึ่งนึง เอาใจเขามาใส่ใจเราครึ่งนึง ลองนึกดูว่าถ้าจะพูดกับเขาควรพูดแบบไหนแล้วเขาจะ say yes อย่าไปใช้อารมณ์ ถ้าใช้อารมณ์ทะเลาะกันแน่นอน ดังนั้นวิธีการอธิบายสำคัญมาก ๆ”หยาดพิรุณ เพื่อนสาวของเหล่า LGBTQ+จะเห็นว่า หยาดพิรุณ มีเพื่อนเยอะมาก แล้วส่วนมากจะเป็นกะเทย กลายเป็นที่มาความสงสัยของใครหลาย ๆ คน ที่นึกว่าหยาดพิรุณ คือกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งหยาดพิรุณได้แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า “มันเหมือนพรหมลิขิต หรือเวรกรรมสักอย่างหนึ่ง ที่มันจะหลอมรวมมาด้วยธรรมชาติของกฎแรงดึงดูดอะไรไม่รู้ ตั้งแต่ประถมหยาดมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ เป็นสาวสองตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็มีมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าเราจะย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนเพื่อน ก็จะมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ ตลอดเสมอมา จนเราโตเราถึงนึกได้ว่าเราชอบเล่นกับคนกลุ่มนี้เพราะเขาสนุกสนาน มันเลยทำให้เราซึมซับส่วนนั้นมาโดยไม่รู้ตัวในบางที แต่จริง ๆ หยาดก็คือผู้หญิงธรรมดา ๆ นี่แหละค่ะ คือหยาดชอบ LGBTQ+ อย่างนึง อันนี้เราไม่ได้แบ่งว่าใครเป็นเพศอะไร แต่แค่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เขามีความคิดสร้างสรรค์ เขามีความสนุกสนาน เขามีความเฟรนลี่ เขามีดีเอ็นเอบางอย่างที่เข้ากับเราได้ บางคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถเจอแล้วคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานได้เลย”ผิดที่ไว้ใจ! บางครั้งเพื่อนที่ร้าย ก็ไม่จำเป็นต้องทนคบแม้จะมีเพื่อนเยอะมากแต่ครั้งหนึ่ง หยาดพิรุณ ก็เคยเจ็บจากการไว้ใจ เพราะเคยมีข่าวโดนอดีตผู้จัดการโกงค่าตัวกว่า 3 ล้านบาท! โดยเธอได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “คนนี้เป็นเพื่อนรักที่สุดในชีวิตด้วย 10 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นพอเราเริ่มมีกระแสเริ่มดัง เราจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราก็รับโทรศัพท์ไม่ไหวก็เลยให้เขามาช่วยรับงานให้ ปรากฎว่าด้วยความไว้ใจเขาก็ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการรับเงินเข้าบัญชีตัวเอง รับงานโดยไม่บอกเรา บางทีมีงานเข้ามาเขาจะไม่อธิบายให้เราฟังก่อน ซึ่งปกติแล้วเราต้องรับทราบงานก่อนที่เราจะคอนเฟิร์มกับใครก็ตามเพราะว่ามันคือการทำงานของเรา ทีนี้เขาไม่บอกแล้วเขาก็รีบไปรับมา พอมันเกิดปัญหาหนูก็ต้องทยอยคอยแก้ อยู่กันอย่างนั้นประมาณสองเดือนสามเดือนก็มีปัญหามาเรื่อย ๆ จนวันที่มันเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น ความแตกขึ้นมา เราก็ใจดีปล่อยเขาไปเพราะว่าเห็นเขาเป็นเพื่อน คือเราปล่อยเขาไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาทำผิดกับเรามากขนาดไหน แต่พอปล่อยเขาไปเสร็จเขาก็ยังไม่หยุด เขายังใช้โอกาสตรงที่ไม่มีใครทราบแอบรับงานแล้วก็ไปจ้างลูกค้าปลอมอีก ซึ่งแย่กว่านั้นพอเราไม่พูดไม่จาไม่บอกใครเพราะเป็นเพื่อนสนิท เราก็ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง แต่พอเราไม่พูดปุ๊บ กลายเป็นว่าเขาก็ไปพูดกับเพื่อนอีกแบบนึง กลายเป็นเรื่องเป็นราว บางคนไม่เข้าใจเราโกรธเราเกลียดเราก็มี หาว่าเราทำร้ายเพื่อน เสียใจที่สุดในชีวิตหนูใช้คำนี้เลยคือตอนนี้ Move on จากเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ใช่ค่ะ เราไม่คิดว่าคนรอบตัวเราเป็นคนไม่ดีไม่เคยคิดอย่างงั้นเลย จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเรารู้สึกว่า โอเค คนเรามันมีอีกด้านหนึ่งจริง ๆ ก็ทำให้รู้ว่าจะทำอะไรก็ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้บอกว่าปิดกั้นตัวเองที่อยากจะคบกับใครนะคะ คือใครดีกับเราเราก็ดีกับเขา แค่นั้นเลยใช้ชีวิตแบบนั้นเลยในทุกวันนี้ถ้าถามหยาด เรื่องนี้เขาผิดอยู่แล้ว 100% มันผิดทั้งกฎหมาย ผิดจรรยาบรรณศีลธรรม คือทุกอย่างมันผิด แต่มันคือวิธีการของคนที่รับสาร รับสารจากใคร ฟังเรื่องราวจากใครไม่มีใครไปนั่งพูดว่าตัวเองผิด ทุกคนต้องพูดตัวเองในทางที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างที่บอกเรื่องนี้ไม่อยากให้ซีเรียส หรือเครียดกับมันมาก เพราะว่าตัวหยาดเองปล่อยวางไปแล้วคือจบไปแล้ว แต่ส่วนที่เหลือคือก็ให้กฎหมายจัดการแค่นั้น Move on แล้วแฮปปี้มากตอนนี้”จะตายทั้งที ขอให้ได้เจอสามีก่อนเจ้าค่ะ!มีเรื่องราวสุดพีค ของการฝืนดวงแบบตัวแม่ ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้เล่าเหตุการณ์ชวนอึ้งนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปหาคู่ คือเพื่อนไปดูดวงกับพระรูปนี้มา แล้วท่านแม่น แล้วกะเทยอะแม่ แบบว่าใครไปดูหมอแม่นก็ต้องพาเพื่อนไป หยาดก็ไปด้วย ถึงเวลาท่านก็บอกว่า เดือนนี้มิถุนายนนะที่มาดูดวง เดี๋ยวสักประมาณธันวานี่แหละใกล้ละ หยาดถามว่าทำไมเหรอคะ ท่านบอกเดี๋ยวประมาณธันวาเนี่ย ตาย!! ท่านทักแบบนี้เลย แล้วใครจะไม่กลัว ไอ้เราคิดว่ากลัวเรื่องตายแล้ว พอตอนจะกลับปุ๊บ ก็ถามต่อว่า สรุปหนูจะมีแฟนไหมคะ? ก็ต้องถาม เพราะจากมิถุนาไปธันวามันก็หลายเดือนอยู่นะ ขอมีก่อนได้ไหมล่ะ ท่านบอกว่า ไม่ต้องมีเธอมันชอบทำงานไม่ต้องมีหรอกปวดหัว หยาดก็ถามต่อว่ามันจะไม่มีเลยเหรอคะ คืออยากถามเฉย ๆ ไม่มีไม่เป็นไรแค่อยากรู้ ท่านก็เหมือนรำคาญเลยบอกว่า เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ จะเจอเด็กหนุ่ม เดี๋ยวเขาจะมาจีบ ซึ่งหยาดไม่ชอบเด็ก เลยคุยกับพระว่า ไม่เอา ๆ แต่ท่านก็บอกกลับมาว่า ชอบ คนนี้เราชอบแน่นอน เราก็ลาท่านมาไม่ได้คิดอะไรเลยตอนนั้นหลังจากได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ตามธรรมเนียมเสร็จสรรพ แม่! มันเจอจริง ๆ ไม่ถึงสองอาทิตย์ คือเราไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อเรา แต่ปรากฏว่า พอมันจะเจอก็เจอ ก็เป็นคุณโบ เป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่อายุน้อยกว่าตั้ง 5 –6 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนกับเขาก็นัดปาร์ตี้กันและ เขาก็ชวนหยาดไป รอบแรกหยาดไม่ไป เราไปวันที่สองที่เขานัดกัน ก็ไปเจอ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออน้องคนนี้น่ารักนิสัยดีจังเลย พูดคุยถูกปากถูกคอ ก็คุยกันต่อมาเรื่อย ๆ พอเราเจอกันได้ 4 – 5 วันเราก็ต้องแยกกัน เขาจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราอยู่เชียงใหม่ เขาซื้อกำไลข้อเท้ากับเคสมือถือมาให้ เพราะเขาสังเกตว่าเคสมือถือเรามันเก่าแล้ว เขาก็ซื้อเป็นสีชมพูพาสเทลหวาน ๆ เราก็รู้สึกเอ๊ะหรือว่าเขาคิดอะไรกับเราหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ยังทักมาคุยอยู่เรื่อย ๆ คือมันคุยสนุกค่ะ ทักกันไปทักกันมา ปรากฏว่าครบประมาณเดือนนึง เขาก็เหมือนกลัวว่าเราจะไม่ Say Yes ก็เลยขอเป็นแฟนเลย เดือนเดียว ที่รายการจีบหนูหน่อย รายการของพี่โอ๊ต ตอนนั้นก็เป็นกระแส ก็ Sold out ไปเลย”มุมมองความรัก ของหยาดพิรุณจะเห็นว่าคู่ของหยาดพิรุณเป็นคู่รักที่หวานมาก ๆ หากได้ติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลของหยาดพิรุณ โดยเธอได้แชร์มุมมองความรักให้ฟังว่า “คุณโบ เป็นทรานส์แมน เขาเป็นผู้หญิงที่ข้ามเพศไปเป็นผู้ชาย เขาจะตัดหน้าอก และมีการผ่าตัดอะไรของเขาเสร็จสรรพ มีการเทคฮอร์โมน มันก็เหมือนผู้ชายที่จะข้ามไปเป็นผู้หญิงเหมือนกันเลย ส่วนจิตใจเขาคือผู้ชายคนหนึ่งเลย เท่าที่เราสัมผัส บอกก่อนว่าวันแรกที่เจอนึกว่าเขาเป็นเกย์ นึกว่าเป็นลูกสาว หุ่นเขาเหมือนผู้ชายแต่ว่าภาษาเขาคือเขาเรียนโรงเรียนหญิงล้วน เขาจะมีมือไม้ความจริตหญิงล้วน เราก็คิดว่าลูกสาวฉันแน่นอน งานเกย์แน่นอน แต่พอคุยไปคุยมาเขาก็มีความแมนขึ้น ความสุภาพบุรุษ เราเลยเข้าใจเขาเรื่องรัก ไม่ติดเลยค่ะเพราะก่อนหน้านี้ก็มีแฟนที่เป็น LGBTQ+ ที่เป็นแบบนี้มาก่อน ที่บ้านเขารักโบมาก แฮปปี้มากคือสองครอบครัวแฮปปี้มาก ครอบครัวโบก็ชอบเรา ครอบครัวเราก็ชอบโบ แล้วเหมือนที่บ้านเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องความรักของลูกเท่าไหร่ ลูกรักใครก็รักตาม ตอนแรกเราก็แอบเกรงใจกลัวพ่อแม่จะไม่โอเค แต่จริง ๆ พ่อแม่เราก็เอ็นดูเขา ตอนนี้คบกัน กำลังจะ 2 ปี แล้วค่ะ แข็งแรงดี เฮลตี้ดี”รักทางไกล ทำให้เข้าใจกันมากขึ้นในตอนนี้ ความรักของหยาดพิรุณ เรียกว่าเป็น “รักทางไกล” เพราะคุณโบ ต้องไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้แชร์เรื่องราวรักทางไกลให้เราฟังว่า “รักทางไกลมาก เพราะตอนนี้อยู่แคนาดา เขาไปเรียนต่อค่ะไปประมาณ 7 – 8 เดือนแล้ว แต่อุปสรรคเรื่องระยะทางไม่ได้เกิดขึ้นกับคู่ของเรา เหมือนก่อนไปเราตกลงกันแล้วว่าเขาจะไปทำอะไร คือเขาอายุยังเด็กมาก 25 – 26 เอง เขาถามเราก่อนว่าจะให้เขาไปไหม เรารู้สึกว่าทำไมถึงจะไม่ไป เธอได้โอกาสขนาดนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ไปเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ ไปหาความรู้ ถ้าอีกหน่อยอยากลับมาก็มา ไม่อยากกลับมาอยู่ต่อ ก็เดี๋ยวว่ากันในอนาคต อย่าเพิ่งนึกถึงว่ามันจะต้องห่างกัน นึกถึงอนาคตของตัวเองก่อน เราบอกเขาแบบนี้ คือเหมือนเราคบกันแบบผู้ใหญ่มาก มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรคือโบเขาจะมี 2 พาร์ท พาร์ทจริงจังเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งโตกว่าหยาดอีก เขาจะมีความคิด คือเขาเรียนเศรษฐศาสตร์มา เขาจะมีความคิดที่ก้าวหน้า เป็นแบบเป็นแผน เป็นระบบมาก แต่ในอีกฝั่งนึงเขาจะมีความกระเทย เขาจะคุยเล่นคุยสนุก คือเขาเป็น อภิชาตแฟน เราไม่ได้จะอวยแฟน แต่เขาเป็นคนดีจริง ๆ ดีมาก ๆ ด้วยเนื้อแท้ เขารักครอบครัว เขารักเพื่อน ใครที่อยู่กับโบจะรักเขาหมดเลย อือ เขาน่ารักมาก เขาสนุกมาก เวลาหนูปาร์ตี้บ้านเพื่อน เราไม่เคยมานั่งนิ่ง เราต้องมีไมค์ เราต้องหยิบจับมาร้องเพลง เขาจะเชียร์ เขาจะถ่ายวิดีโอ เขาจะเป็นสายซัพพอร์ท เขามีความสุขมากที่เราเป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคู่เราไม่ทะเลาะหรือมีปัญหานะ มันก็จะมีบางมุมที่เขาคิดแบบนึงเราคิดแบบนึง แต่ความเป็นผู้ใหญ่ของโบ ทำให้บางทีจะทะเลาะปุ๊ปมองหน้ากัน ตัวเรามันก็ตลกอีก ตัวเขาก็ขำ ก็ลืมเรื่องทะเลาะไปเลย”รับสายสุดเซอร์ไพรส์ ส่งต่อกำลังใจให้กันหนึ่งสายที่โทรเข้ามาเซอร์ไพรส์ แต่หยาดพิรุณก็จำได้ตั้งแต่คำทักทายแรก ว่านี่คือเสียงของ คุณโบ แฟนหนุ่มของเธอที่โฟนอินมาจากแคนาดา โดยคุณโบ ได้เล่าเรื่องราวความประทับใจ พร้อมส่งต่อความรักจากทางไกลมาให้หยาดพิรุณด้วย “หยาดเป็นคนที่ถ้าคิดอะไรแล้ว เขาจะโฟกัสแล้วมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นมาก ๆ ก็อยากให้เขาเริ่มวางแผนชีวิตระยะยาว ค่อย ๆ วางแผนก็ได้ ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำไป อยากให้มองไกล ๆ มากขึ้น เพราะว่าอายุเราก็ไม่น้อยกันแล้วทั้งสองคนโบคิดว่า การดูแลซัพพอร์ทตอนนี้ทำได้แค่ความรู้ครับ อาจจะไม่ได้ไปดูแลได้มากเท่าเดิม เหมือนที่หยาดบอกเลยครับ ก็เราก็คุยกันแล้ว บางทีโบก็บอกหยาดว่า บางครั้งโบเองก็ไม่มีเวลาที่จะคุยกันนะ ตื่นเช้าออกไปทำงาน บางทีกลับมาไม่ตรงเวลากัน บางทีเหนื่อยไม่อยากจะคุยกัน นอนหลับก็มี เพราะฉะนั้นการที่รักทางไกลมันอาจจะไม่ได้ลำบากก็ได้ อยู่ที่เราสองคนจะดูแลกันและกันได้มากแค่ไหน”คนเราเลือกเกิดได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้กลายเป็นประโยคไวรัลที่คนชื่นชอบมาก ๆ เมื่อครั้งที่หยาดพิรุณ ได้ไปประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ เมื่อปี 2561 คำตอบนี้สร้างความประทับใจให้กรรมการและแฟนนางงาม จนเธอสามารถคว้ามงกุฎมาได้ โดยเธอเล่าเหตุการณ์นี้ว่า “หนูแค่จะขอบคุณเวที ที่เขาเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยให้มาแสดงศักยภาพ หนูก็เลยตบท้ายไปว่า คนเฮาเลือกเกิดบ่ได้นะเจ้า แต่สิว่าจะเลือกบ่เกิดก็ไม่ได้คือกันจ่ะ ก็คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ คนมันจะเกิดก็เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดมาแล้วก็ใช้โอกาสนั้นให้คุ้ม นี่แหละคือสิ่งที่จะพูดต่อ คนก็ดันไปแคปแค่ตรงนั้น ก็ไปกระจายกันเต็มกลายเป็นไวรัลยิ่งใหญ่ คนก็เลยเริ่มรู้จักหยาดตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว จริง ๆ ประมาณปี 2561 แล้วค่อยมาคัพเวอร์เพลงตอนปี 2563”“ม่วนไผม่วนมัน” ซิงเกิลแรกเติมเต็มความฝันของหยาดพิรุณ“ความฝันของเด็กอิสานทุกคนที่อยากจะเป็นนักร้อง แล้วก็อยากจะเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ส่วนมากคนจะเข้าใจว่าเราชอบร้องสากล ชอบ RB รึเปล่า แต่ความจริงแล้วคือหนูเติบโตมากับเพลงลูกทุ่งอิสาน ใครจะบอกว่าลูกทุ่งมันไม่เลิศ มันไม่แพง สำหรับหยาดไม่คิดอย่างนั้นเลย ลูกทุ่งมันคือจิตวิญญาณของเราเลย เราอยากจะทำเพลงให้มันสนุกสนาน ออกมาให้ทุกคน ได้สนุกให้ม่วนกันก็เลยเกิดมาเป็น ม่วนไผม่วนมัน ติดตามได้นะคะ ฟังได้ใน Youtube : YARDPIRUN แล้วก็สตรีมมิ่งทุกช่องทางเลย ขอบคุณมากค่ะ” - หยาดพิรุณ ปู่หลุ่นติดตามรายการย้อนหลัง
09 พ.ค. 2023
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญขวัญใจชาว Fabulous เจ้าของตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2023 เธอคนนี้สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากตอนคว้ามง เพราะเป็นผู้ที่ก้าวข้าม Beauty Standard จากสังคมที่มองกันแต่เปลือกนอกได้สำเร็จ ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอเคยถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็กเรื่องราวชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยแรงบันดาลใจเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เมญ่า ซันซัน” นางงามผู้พิชิตความฝัน ที่โรคทางพันธุกรรมไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางความสำเร็จของเธอ ซึ่งกว่าจะมาเป็นเธอในทุกวันนี้ มีเรื่องราวมากมายที่เมญ่า ได้เล่าให้ฟังในรายการเมญ่า ซันซัน ชื่อนี้มีที่มาเรียกว่าเป็นชื่อที่เอกลักษณ์ และค่อนข้างจำง่ายเมื่อได้ยินตั้งแต่ครั้งแรก โดยเมญ่า ได้เผยที่มาของชื่อสุดครีเอทนี้ให้ฟังว่า “ชื่อ เมญ่า หนูได้จาก พี่เมญ่า นนธวรรณ ด้วยความที่เรารู้สึกว่าเราชอบการประกวดนางงาม แล้วเราก็ดูนางงามมาตลอด และพี่เขาเป็นคนใต้ด้วย เป็นคนบ้านเดียวกับหนู หนูก็เลยคิดว่าฉันจะชื่ออะไรดีเพราะกะเทยมันจะมีชื่อในวงการ หนูก็เลย เมญ่าดีกว่า แล้ว เมญ่า อะไรดีล่ะ คือเราเป็นคนที่คลั่งไคล้ในความเป็นฝอมาก แล้วนามสกุลมันก็ต้องแบบฝรั่ง ๆ หน่อย ง่าย ๆ เลย ดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ โอเค เมญ่า ซันซัน หนูเลยได้ชื่อเลย ซึ่งเป็นชื่อที่หนูคิดเอง และใช้ชื่อนี้ประกวดนางงามตลอด และชื่อจริงๆของหนูชื่อ โกศล แสงวิเชียร ชื่อเล่นว่า ล้าน ชื่อเงินล้านนะ สามารถเรียกได้ค่ะเผื่อรวย และหนูเป็นคนนครศรีธรรมราชค่ะ”“โรคสังข์ทอง” โรคทางพันธุกรรม ที่ไม่ใช่อุปสรรคของความฝันแม้ว่าร่างกายของ เมญ่า จะต้องประสบกับโรค ที่ทำให้ตัวเองมีข้อจำกัด และมีความแตกต่างจากคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคทางใจที่อยากจะต่อสู้เพื่อความฝัน โดย เมญ่าได้เล่าความผิดปกติทางร่างกายของเธอให้ฟังว่า “เป็นความผิดปกติของโครโมโซมค่ะ จริง ๆ ไม่ใช่แค่หนูเป็นคนเดียว ในบ้านหนูจะมีพี่ชายด้วยอีกสองคนที่เป็นเหมือนกับหนู คือว่าน้ากับลุงหนูเป็นโรคนี้ พอพ่อกับแม่หนูไม่เป็น ก็เลยจะข้ามมาที่รุ่นลูก เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม หนูก็เลยแบบมีหน้าตาแบบนี้คือหนูจะไม่มีรูขุมขน ตัวหนูจะไม่มีขนเลย เวลาเราไปทำกิจกรรมอะไร เราจะร้อนมาก ๆ เลยจะอยู่กลางแดดไม่ได้ ใช่ไม่มีเหงื่อ วิธีการในการดูแลตัวเองก็คือ หนูต้องมีผ้า แล้วก็ซับน้ำแล้วก็เช็ดตัวประมาณนี้ นอกจากนี้คือไม่มีฟัน แล้วก็ไม่มีผม ผมจะขึ้นน้อยมาก หนูก็เลยชอบโกนหัวล้านไงให้มันเฟียร์สไปเลยค่ะ ถ้าในกรณีเรื่องของการกิน หนูก็จะกินอะไรที่เรารู้สึกว่าเรากินได้ เราก็จะกินอะไรที่นิ่มๆ แม่ของหนูบอกหนูว่าเมื่อก่อนเวลาหนูจะกินข้าว แม้แต่ข้าวสวยหนูก็ยังกินไม่ได้ แม่หนูก็ต้องเอาไข่ต้ม มันก็จะมีไข่แดง มีไข่ขาว มีข้าว ข้าวนี่ก็จะต้องหุงให้มันแฉะ ๆ นิดนึง แล้วก็เอามาแบบเน้น ๆ กด ๆ ก่อนกิน ประมาณนี้ค่ะด้วยความที่เป็นแบบนี้ หลายคนเวลาเจอหนู ความรู้สึกแรกก็คือ นี่สังข์ทอง นี่เอ็ดดี้ ซึ่งหนูก็พูดเรื่องนี้ในการประกวดนะ ซึ่งหนูบอกว่า ทุกคนมีชื่อเรียกที่พ่อแม่เราภูมิใจที่ตั้งให้ เราอยากให้ความรู้สึกแรกที่เจอเรา ถึงไม่มีอะไรจะพูด ก็ให้พูดว่าเธอเป็นไงบ้าง สบายดีไหมอะไรอย่างนี้ มันมีเรื่องอื่นได้มากมายให้พูด ซึ่งหนูก็ชอบที่จะให้ทุกคนเรียกหนูว่า เมญ่าเป็นไงบ้าง หรือน้องล้านก็ได้ หนูไม่เคยไม่ภูมิใจกับชื่อที่พ่อแม่หนูตั้งให้ แต่คนก็จะเรียกว่า นี่สังข์ทอง นี่เอ็ดดี้ คือเราไม่ใช่ว่ามันไม่ดี เขาก็เป็นตลกคุณภาพที่เรารู้สึกว่าเราก็ชอบ ก็ติดตาม ก็ดู แต่เรารู้สึกว่าเราก็มีชื่อที่จะเรียก หนูก็เลยพูดเรื่องนี้ในสปีชกับคอนเซ็ปต์ Call Me By My Name เป็นการพูดเพื่ออธิบายในสิ่งที่เราเป็น และอธิบายให้คนอื่นได้เข้าใจว่าคนทุกคนล้วนมีชื่อ ก็ควรที่จะเรียกชื่อเรา เหมือน เมญ่า ก็คือชื่อ เมญ่า ซันซัน ไม่ใช่สังข์ทอง ไม่ใช่เอ็ดดี้ หรือสุเทพ เพราะฉะนั้นคุณเรียกชื่อเราดีกว่าไหม ชื่อของเราก็คือความภาคภูมิใจของพ่อแม่เราที่เขาตั้งใจตั้งชื่อลูกมาให้แบบนี้ เคารพตัวเอง เคารพคนอื่น เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม”พี่ชาย คือกำลังใจที่คอยซัพพอร์ท เมญ่า อยู่เสมอเพราะมีความผิดปกติเหมือนกัน จึงทำให้เข้าใจ และคอยให้กำลังใจน้องที่ป่วยเหมือนกันอยู่เสมอ โดย เมญ่า เล่าความประทับใจที่มีต่อพี่ชายว่า “ในการดูแลหนู ด้วยความที่พ่อแม่หนูมีประสบการณ์จากพี่ เพราะพี่หนูเคยเป็นแบบนี้สองคน เหมือนกับว่าถ้าพี่หนูออกไปข้างนอก หรือไปเจอเหตุการณ์อะไรมา ถูกคนบุลลี่หรือคนพูดถึง เขาก็จะจำมา พอมีหนูพี่เขาก็จะสอนเราว่าพี่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มานะ เราต้องรับมือแบบนี้ มันก็เลยรู้สึกว่าเราค่อนข้างที่จะโชคดีมากกว่าพี่เรา หรือคนที่มีความผิดปกติเหมือนเราแล้วไม่มีพี่คอยบอกอะไรแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับเมญ่าเท่าไหร่ แต่ถามว่ามีโดนบูลลี่ไหม มีค่ะ”เหตุการณ์ฝังใจ ที่ไม่เคยลืมเรียกว่าผ่านเรื่องราวการถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ และมีหลายครั้งที่กระทบจิตใจของ เมญ่า ซึ่งเธอได้แชร์ให้ฟังว่า “ก็เคยมีหลายคนพูดนะคะ โอ๊ยตายแล้ว เกิดมาก็แปลกแล้ว ยังมาเป็นกะเทยอีก หนูก็เลยงงว่าก็ทำไม คือ เราชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ หนูอยากเป็นนางงาม หนูชอบในความเป็นผู้หญิง หนูชอบใส่ส้นสูง หนูชอบแต่งหน้า ซึ่งมันก็จะโดนเยอะกว่าคนอื่นเพราะด้วยความที่เราแปลกด้วย แต่หนูค่อนข้างที่จะเชิดอยู่พอสมควร อย่างตอนเกิดมา คนแถวก็จะแบบว่าพอมีพี่หนู คนที่หนึ่งแล้วก็คนที่สอง ญาติแถวบ้านก็มาเปิดผ้าดูตอนหนูยังแบเบาะ และบอก อุ้ย เกิดมาเหมือนเดิมอีกแล้วเนาะ ซึ่งแม่หนูก็น่าจะชินเพราะหนูก็เป็นคนที่สามแล้วไงมีเหตุการณ์หนึ่งที่ เมญ่า รู้สึกว่าอึ้งไปเลย น็อคไปเลย ถ้าเป็นนางงามคือช็อตไมค์ไปเลย เพราะเคยถูกคนเดินมาถามว่า เนี่ยตัวแบบเนี้ย มีกี่ตัวที่บ้าน แล้วชี้หนู เรียกเป็นตัว หนูก็ประชดไปเลยว่า หนูไม่ได้เป็นตัว หนูไม่ได้เป็นสัตว์ หนูไม่ได้เป็นอะไร เรียกหนูเป็นตัวต่อหน้าคนอื่น หนูรู้สึกว่าอุ้ยตายแล้ว หรือว่าจริง ๆ แล้ว เราต่างจากคนอื่นจริง ๆ คือหมายถึงว่าเราไม่สามารถที่จะอยู่ในสังคมนี้ได้จริง ๆ เหรอ หนูก็เลยอึ้งไปเลยเพราะว่าไม่เคยได้ยิน เขาเรียกเราเหมือนหมาเหมือนแมว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จัก อยู่ดี ๆ ก็เดินมาชี้หน้าเรา คือมันอึ้ง หนูก็เลยแบบ เฮ้ย เราจะต่อสู้ยังไงกับสังคมนี้ดีมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ตอนเด็ก คือตอนขึ้นชิงช้าสวรรค์ ด้วยความที่เป็นเด็กเราก็อยากนั่งชิงช้า มันจะมีอีกฝั่งหนึ่งเหลือ แล้วก็จะมีผู้ปกครองเขาก็พาลูกเขาขึ้นมานั่งด้วยเพราะต้องนั่งสองฝั่ง พอขึ้นมาปุ๊บเหมือนกับว่าลุกเขากลัวเรา แล้วลูกเขาเหมือนจะร้องไห้ ด้วยความที่คนที่เป็นพ่อ เขาก็ฟึดฟัดใส่เรา ประมาณว่าทำไมถึงต้องมาเจอคนอะไรแบบนี้ลูกกูกลัวหมด ซึ่งตอนนั้นเราก็เด็กอยู่ เราไม่มีภูมิคุ้มกัน หนูร้องไห้ แล้วหนั่งรอให้ชิงช้าสวรรค์มันจบ เราก็ร้องไห้ปาดน้ำตาแล้วก็ลงไปเลย ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่ความผิดหนู หนูขึ้นไปก่อนด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่ฝังใจที่สุด ซึ่งหนูมีหลายเหตุการณ์มากที่เราทำไมเราต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้แม้แต่ตอนประกวดนางงามอีก สำหรับหนู หนูรู้สึกว่าอะไรที่หนูทำแล้วได้เงินหนูทำหมดแล้วการประกวดนางงาม มันก็จะมีรางวัลพิเศษ รางวัลนางงามพยายามสวย ภาคใต้หนูก็จะไปเอารางวัลนี้ และส่วนมากคนที่จัดเขาก็จะให้หนูตลอด พอหนูไปประกวดเวทีหนึ่งเหมือนกับว่า หนูหมายเลขสิบแปด แล้วเขาประกาศผิดเป็นหนูเข้ารอบสิบคน คือมันจะมีประกวดสวย แล้วก็นางงามพยายามสวย ทีนี้เขาประกาศหนูผิดเป็นหนูเข้ารอบ พี่เลี้ยงนางงามก็ตะโกนมาเลยว่า เวทีนี้เขาประกวดสวยนะเขาไม่ได้ประกวดผี ซึ่งตอนนั้นหนูก็ช็อค หนูก็จะเจออะไรแบบนี้เยอะก็เลยไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไร จริง ๆ แล้วเขาน่าจะรู้แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องประกาศผิด เขารู้อยู่แล้วว่าเราต้องได้รางวัลอะไร ซึ่งเราก็รู้อยู่ว่าเราจะไปเอาอะไร แต่ว่ามันไม่สมควรที่เขาจะประกาศผิด ตอนนั้นหนูก็เลยรู้สึกไม่โอเคมาก ๆ สำหรับหนู”เจ็บปวดก็แค่ร้องไห้ พอไหวก็ก้าวไปต่อชีวิตมักมีบททดสอบอยู่เสมอ และเราต้องเอาชนะบททดสอบเหล่านั้นให้ได้ ซึ่งก็เหมือนการที่ เมญ่า โดนบูลลี่ แล้วต้องก้าวข้ามคำบูลลี่เหล่านั้นไปให้ได้ โดยวิธีการที่จะจัดการความรู้สึกเวลาถูกคนบูลลี่ เมญ่า แชร์ให้เราฟังว่า “คือหนูผ่านมาได้ยังไงใช่ไหมคะ หนูไม่ได้คิดอะไรมาก มันเจ็บปวดอยู่ข้างในก็จริง แต่เราก็พยายามรับมือให้ได้ เพราะหนูคิดว่าหนูต้องออกมาใช้ชีวิตในสังคมให้ได้ อันนั้นมันแค่ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่หนูรู้สึกว่ามันทดสอบเรา เพราะว่าหนูต้องเจออะไรอีกเยอะเลย ซึ่งหนูต้องเจออะไรอีกเยอะจริง ๆ นับจากความคิดตอนนั้นมาถึงตอนนี้ ยอมรับว่าตอนนั้นคิดไม่ได้หรอกค่ะ ร้องไห้ฟูมฟาย บอกพ่อบอกแม่เหมือนกัน มันก็ใช้เวลาผ่านมาเรื่อย ๆ พอเราร้องไห้เสร็จ มันไม่มีใครร้องไห้ตลอดเวลา หนูเลยรู้สึกว่า ถ้าเราเจออะไรที่รับไม่ไหวจริง ๆ เราก็แค่ร้องไห้ แล้วกลับไปบอกแม่บอกพ่อ หรือมีใครที่อยู่ข้าง ๆ ปลอบเรา พอผ่านไปได้ปุ๊บ ถ้าเราเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีกเราก็แค่ต้องรับมือให้ได้ มันก็เลยเป็นความเคยชิน มันก็จะผ่านไป”Miss Fabulous Thailand เวทีที่ใช่ เติมเต็มความฝันของการเป็นนางงามเมญ่า ได้เล่าเส้นทางสายนางงาม ที่กว่าจะได้เป็นเจ้าของมงกุฎ Miss Fabulous Thailand 2023 เธอผ่านการประกวดมาหลายเวทีมาก ๆ เพื่อค้นหาเวทีที่ใช่ และเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด โดย เมญ่า ได้เผยเส้นทางนางงามให้ฟังว่า “หนูเป็นคนที่นอนดูประกวดนางงามทุกเวทีมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอหนูโตขึ้นมีคนเห็นว่าหนูเกิดมาหน้าตาเหมือนพี่ เขาก็เลยพาหนูไปเล่นตลกด้วย หนูเคยบอกแม่ว่า หนูไม่ได้อยากเป็นตลกนะ หนูอยากเป็นนางงาม เดี๋ยวสักวันหนูจะเป็นนางงามให้ได้ ตอนนั้นแม่คงไม่คิดอะไรหรอก เพราะเขารู้ว่านางงามมันต้องสวย แต่มันก็เป็นความฝันเล็ก ๆ ของหนู พอเราเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ เราก็ประกวดมาตลอดก็ได้รางวัลนู่นนี่นั่น ก็เลยทำให้แม่เห็นว่าเออมันเป็นนางงามได้นะ มันก็เลยเป็นความฝันที่เราต่อสู้มาเรื่อย ๆจริง ๆ นางงามพยายามสวยมันไม่ได้มีเวทีเยอะมาก หนูก็จะประกวดตลก หนูก็ประกวดมาประมาณสี่ห้าสิบเวที และเรารู้ตัวเองว่า Miss fabulous นี่แหละใช่ คือก่อนหน้านี้หนูเคยสมัคร Miss tiffany ซึ่งตอนนั้นเป็นเวทีที่เรารู้สึกว่าเราดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเราอยากประกวดมากเราไม่รู้หรอกว่า Beauty Standard ของเวทีเขาเป็นยังไง แต่เรารู้สึกว่าปีหน้าเราอยากไปมาก ๆ แล้วก็มีสปอนเซอร์ มีคนส่งก็ไป ก็ไม่ได้ผ่านเข้ารอบ แต่รู้สึกว่ามีคนรู้จักเรามากขึ้นสำหรับ Miss fabulous เมญ่าดูปีที่แล้วมา รู้ว่ามันเป็นการประกวดแบบไหน เราก็ต้องทำการบ้านก่อน แล้วด้วยความที่เขาประกวดเป็นระดับภาค แล้วหนูดันไปสนิทกับเจ้าของห้องเสื้อที่เขาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แล้วทีนี้เขาจิ้มเรา แต่ภาคอื่นเข้าจัดประกวดหมด แล้วทีนี้ภาคหนูด้วยความที่มันยุ่งมาก เขาก็จิ้มว่าเอาใครมาประกวดบ้าง หนูก็เลยโทรไปเสนอเขาเลยว่าแม่หนูอยากประกวดมากเลยหนูคิดว่าหนูทำได้ แม่ลองพิจารณาหนูไหม หรือว่าแม่มีคนอยู่แล้วหนูก็ไม่เป็นไร หรือถ้าไม่มีใครหนูประกวดให้ จนนางก็โทรกลับมาบอกหนูว่ายินดีด้วยนะคะลูกสาวลูกสาวได้เป็นหนึ่งในสาม Miss fabulous ภาคใต้ ก็เลยได้เป็นตัวแทนไปประกวดพอไปประกวดปุ๊บก็ไปทำกิจจกรรมทั่วไปถ่ายเป็น reality แล้วทีนี้ตอนแรกหนูไป หนูแต่งเป็นหนังตะลุงเลย คงคิดว่าหนูไม่ได้มาเอามงหรอก มันมาขายขำ หาซีนอะไรเล่น ๆ ซึ่งหนูก็บอกว่า จริง ๆ ทุกการประกวดหนูหนูตั้งใจหมด เพราะหนูคิดว่า หนึ่งหนูมาหนูเสียเงินค่าเดินทางค่าชุด ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย สองคือ เราเหนื่อยเราไปอยู่เชียงใหม่เป็นสิบวัน เรารู้สึกว่าเราตั้งใจแต่เราจะพยายามค่อย ๆ ให้เจ้าของเวทีเขาเห็น หนูเชื่อเลยว่าวันแรกที่หนูเจอพี่ไบรอัน พี่เขาแทบจะไม่ชายตามองหนูเลยด้วยซ้ำ ซึ่งหนูรู้สึกว่าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีพอ เพราะว่าก่อนที่จะไปประกวด ด้วยความที่เราเป็นคนที่จิ้มไปก็จะมีดราม่าจากภาคอื่นว่า เนี่ยจิ้มมาแบบไม่ได้ใช้ความสามารถตัวเอง ตอนนั้นเราก็น้ำท่วมปากมาก ๆ เราจะพูดอะไรก็ไม่ได้ สิ่งที่เราจะทำได้ที่สุดเลยเราต้องทำผลงานให้ดี ให้เขาเห็น วัดด้วยความสามารถ จนหนูได้มงมาในที่สุด”นางงามที่พร้อม ต้องรู้จักขายงานให้เป็นมีเคล็ดลับดีๆจาก เมญ่า ที่แชร์ให้กับคนที่อยากเป็นนางงาม ว่าต้องขายความเป็นตัวเองให้เป็น เมื่อจะต้องถูกสัมภาษณ์เชิงลึก โดยเธอได้แบ่งปันประสบการณ์ในตอนที่ประกวด Miss Fabulous Thailand 2023 ให้ฟังว่า “ในรอบห้องทอง ซึ่งก็เหมือนห้องดำ พี่ไบรอัน ก็นั่งคุยเลยว่า เมญ่า เธอนำเสนอมาสิเธอเป็นคนแบบไหน แต่หนูเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครถามหนูฝ่ายเดียวหนูจะถามกลับด้วย หนูก็บอกพี่ไบรอันว่า หนูสมควรที่จะได้มงไหม อะไรบ้างที่หนูควรไปปรับ หนูถามแบบนี้เลยนะ แล้วหนูบอกพี่ไบรอันเลยว่า พี่ไบรอันลองนึกภาพดูนะคะ ถ้าพี่เลือกหนูมง หนึ่ง Beauty Standard ของเวทีจะเปลี่ยนไป สอง คลิปใน TikTok จะเป็นไวรัลคนจะพูดถึงพี่ไบรอัน และคนจะรู้จักเวทีพี่ไบรอันเยอะแค่ไหน สาม ขึ้นเทรนทวิต ซึ่งที่หนูขายเขาไปทั้งหมดมาหมดทุกอย่าง หนูอยากจะให้แนะนำนางงาม คนที่ได้เข้าห้องทองหรือห้องดำ ขายงานเขาเยอะ ๆ ว่าเราทำอะไรให้เขาได้บ้าง พูดให้เขาเห็นภาพเลยว่าแบบนี้ ๆเชื่อเถอะว่าคุณจะอยู่ในสายตาเขาแน่นอน”“หน้าจริง” เพลงนี้ที่เข้ากับ เมญ่าหนึ่งเพลงที่ เมญ่า เคยร้องในคลิปแนะนำตัวเองตอนประกวดนางงาม จนสร้างความประทับใจจากคนดูคือเพลง หน้าจริง โดย เมญ่า ได้ร้องเพลงนี้ให้ฟังสดๆในรายการด้วย“เปิดให้เห็นหน้าจริง ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ไม่ใช่เธอ แบบที่สวยเลิศเลอ เพียงแค่ตามความหมายของใคร ๆ ใจเธอเป็นของจริง สวยยิ่งกว่าสิ่งที่เคลือบ ไว้แต่งให้สวยเท่าไหร่ คงไม่สวยเท่าตัวของเธอเอง ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องอยู่กับความเป็นตัวเอง เราแต่งให้เยอะให้สวยแค่ไหน ยังไงหนูก็ยังเป็นน้องล้านเหมือนเดิม”แม้มีมง แต่ก็ยังคงจะประกวดต่อไปเรื่อยๆเมญ่า ซันซัน คือหนึ่งคนที่มีแพชชั่นในการประกวดนางงามเยอะมาก ๆ แม้จะสามารถคว้าตำแหน่ง Miss Fabulous Thailand 2023 มาครองได้ แต่เธอก็ยังไม่หยุดความตั้งใจที่จะประกวดนางงามต่อไป โดยเธอเล่าว่า “หนูคิดว่าหนูยังอยากประกวดนางงามต่อ ประกวดไปเรื่อย ๆ แล้วบางคนเขาก็จะมีความคิดว่า ได้มงใหญ่แล้วจะเอาตำแหน่งไปทิ้งทำไม ทุก ๆ เวทีคือความภูมิใจนะ มันไม่ใช่ขยะ หนูไม่เคยเอาตำแหน่งไปทิ้ง แต่หนูรู้สึกว่าหนูชอบประกวดนางงาม หนูอยากจะประกวดนางงามจนหนูคิดว่าไม่อยากประกวดละ เราพอใจละ คือหนูชอบ ถ้ารู้สึกว่ามีเวทีไหนที่มันตรงกับเรา เราจะไม่ไปเปลี่ยน Beauty Standard เวทีไหนนะคะ เพราะทุกเวทีเขาจะมี Beauty Standard ของตัวเอง ถ้าเวทีไหนที่มันเหมาะกับหนู หนูก็ยังจะประกวดอีก หนูคิดว่าการประกวดให้ความสุข มันเป็นความสุขจริง ๆ ที่หนูพูดไปทั้งหมด พี่สองคนสามารถรู้สึกได้ ว่าหนูชอบมันจริง ๆ แล้วหนูมีความสุขทุกครั้งที่หนูประกวด เพราะฉะนั้นสุขใดเล่าจะเท่าการประกวด”ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่หนูรักตัวเองในตอนนี้จากคำถามที่ว่า ในอนาคตมีแผนจะทำศัลยกรรมบ้างไหม? เมญ่า ได้ตอบคำถามนี้ไว้ว่า “หนูไม่เคยพูดว่าหนูไม่อยากทำศัลยกรรม เพราะว่าหนูรู้สึกว่าคนเราความคิดมันเปลี่ยนกันได้ แต่หนูรู้สึกว่าตอนนี้หนูชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้ เหมือนล่าสุดมีสปอนเซอร์ให้หนูไปทำฟัน แล้วมันเป็นเงินจำนวนเยอะมาก ทีนี้หนูบอกว่าหนูไม่ทำแล้ว หนูก็คุยกับพี่ไบรอัน แล้วก็ให้สัมภาษณ์ไปว่าตอนที่หนูไม่มีฟันหนูยังได้มงเลย แล้วการที่หนูไปประกวดอินเตอร์ หนูไม่มีฟันทำไมหนูจะไม่มีสิทธิ์ได้มงใหญ่อีก ก็พูดให้เขาฟังแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ขอบคุณที่เขาให้โอกาสเราสปอนเซอร์เรา เรารู้สึกว่าต่อไปในอนาคต ถ้าหนูแก่ขึ้นหนูอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการเคี้ยว ก็ค่อยทำตอนนั้น หนูคิดว่ามันเป็นมุมมองที่อยากจะให้ทุกคนมองว่า ต่อให้อนาคตเขาไปทำอะไรมาก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องของเขาเนอะ หนูจะให้มองแบบนี้ว่าเขาจะไปทำจมูกมา จะเบี้ยวจะอะไรยังไงก็เขาไปทำมาเขาจะจัดการเอง เราแค่รู้สึกว่าอวยพรสิขอให้สวย ๆ นะ อะไรอย่างเงี้ย และหนูชอบตัวเองตอนนี้แล้ว”รับสายโฟนอิน ส่งต่อแรงบันดาลใจมีหนึ่งสายที่โทรเข้ามาในรายการ แต่พอเริ่มพูด เมญ่า ก็จำเสียงได้ ซึ่งเป็นสายของ “ไบรอัน ตัน” เจ้าของเวที Miss Fabulous Thailand ซึ่งในการพูดคุย ไบรอัน ได้พูดความประทับใจที่มีต่อ เมญ่า ไว้ว่า “ผมคิดว่าเป็นความสวยที่มาจากข้างในจริง ๆ แล้วน้องรู้ว่าน้องจะใช้ยังไงกับเวทีเรา ผมบอกได้เลยว่า ไฟนอลเนี่ยหรือพักหลัง ๆ น้องเริ่มจับทางถูก น้องเริ่มจับเกมถูกว่าเราต้องการอะไร แล้วหลังจากนั้นคือกราฟพุ่งคะแนนพุ่ง ดังนั้นเนี่ยไม่แปลกใจเลยครับ ตั้งแต่รอบที่สัมภาษณ์คนตกหลุมรักน้องเยอะมาก แล้วคะแนนโหวตมันก็มาจริง ๆ มันมาแบบโค้งสุดท้ายแล้วถ้าดูแค่เฉพาะไฟนอลอะครับ ถอดวิกขนาดนั้น ร้องเพลงแล้วมันไม่ตลกนะ มันเป็นอะไรที่แบบ คือคนน้ำตาไหลได้ ตากล้องต่าง ๆ คือน้ำตาไหลได้ คือมันทัชใจ แล้วตอนเดินออกมานี่คือมันโอ้โห้ ถ้ามองความงามเป็นในอีกมิติหนึ่ง น้องเขาคือตุ๊กตาลอยเดินออกมาเลยอะ เป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตที่สามารถเดินได้พูดได้อะครับ มันเป็นความสวยในแบบ เมญ่า”ในช่วงท้าย เมญ่า ได้ให้กำลังใจ และฝากข้อคิด ให้กับคนที่กำลังด้อยค่าตัวเองจากการถูกบูลลี่ไว้ว่า “ยากหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะก้าวผ่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยากจะให้ทุกคนรู้สึกว่า ตื่นขึ้นมาไปหาดูอะไรที่มันเป็นพลังบวกที่จะไม่ทำให้เราเฟลลงเรื่อยๆ เราต้องอย่าลืมนะคะว่า เราต้องออกมาใช้ชีวิตในสังคม เราต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียวให้ได้ ไม่มีพ่อแม่อยู่กับเราตลอดเวลาไม่งั้นเราจะแบบไม่ก้าวผ่านตรงนี้ ก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับทุกชว่าเราต้องเป็น Someone ให้ได้” – เมญ่า ซันซันติดตามรายการย้อนหลัง
02 พ.ค. 2023
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็นความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่60 แล้วพี่จ๋า อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลงแม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมากจริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉาสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุขหนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรงหลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือได้เผยเรื่องนี้ว่า“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเคแล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่ หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเองหนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆและเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะหนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้งเวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะคือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจและหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มาหนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัวแม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้านสมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเองปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”เรื่องราวความรักของป้าตือนอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่ ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือติดตามรายการย้อนหลัง
21 เม.ย. 2023
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่บอกเลยว่าถ้าไม่มีเธอคนนี้ ก็ไม่มีรายการ Club Pride Day เพราะเธอคนนี้คือแขกคนแรกที่มาทำเดโม่ให้กับรายการความสนุกเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ "ตอนยอน" TIKTOKER สุดเก๋ ที่จะมาเผยเรื่องราวว่ากว่าจะกลายเป็นที่รู้จักจากวลีฮิต “BASIC GAY VOCABULARY” ตอนยอน ต้องผ่านอะไรมาบ้าง“ติดแกรม” คำศัพท์ใหม่ ที่สอนกันสดๆในรายการเรียกว่ามาพูดคุยครั้งนี้ ตอนยอน ยังได้นำคำศัพท์ใหม่ของ “BASIC GAY VOCABULARY”มาสอนให้ 2 ดีเจได้เข้าใจความหมายกันด้วย นั่นคือคำว่า “ติดแกรม” โดย ตอนยอน อธิบายว่า “คำนี้นะคะ In Thai ติดสวย In Basic Gay ติดแกรม ซึ่งคือลักษณะของคนที่อยู่ ๆ ก็ติดสวยขึ้นมา เช่น ผู้หญิงคนหนึ่ง ปกติเวลาอยู่กับเพื่อนจะเฮฮาดี๊ด๊า แต่พอมีผู้ชายที่ชอบเดินผ่านมา อยู่ ๆ ก็ทำตัวนิ่ง เก็กสวย ยิ้ม นี่คือลักษณะของคนที่ ติดแกรม โดยคำว่าแกรม มาจากคำว่า Glamorous นั่นเอง” เรียกว่าทั้งสองดีเจร้องอ๋อ เมื่อได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ ที่ ตอนยอน เอามาสอนในรายการแรงบันดาลใจ ที่ทำให้อยากเรียนครุศาสตร์ตอนยอน ได้เล่าประการณ์ด้านการศึกษาให้ฟัง โดนเธอเรียนจบจากคณะครุศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ-เทคโนโลยีการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งแรงบันดาลใจในการเรียนคณะนี้ ตอนยอน ได้เล่าให้ฟังว่า “หนูเป็นเด็กต่างจังหวัด และได้มองเห็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามาตั้งแต่ตอนนั้น ทำให้เรารู้สึกว่าขาดโอกาสหลายอย่างที่ไม่เท่าคนอื่น และพอมีช่วงที่ต้องสอบเข้า รู้สึกว่าเนื้อหาที่เราเรียน หรือว่าความรู้ที่ได้รับจากโรงเรียนมันไม่พอที่จะไปสอบแข่งกับเด็กโรงเรียนอื่น หรือว่าเด็กที่ได้เรียนพิเศษ ก็เลยเปิด Youtube ดูคลิปติวฟรีตามโครงการต่าง ๆ แล้วเห็นครูที่เป็นติวเตอร์คนหนึ่ง การที่เขาพูดหนึ่งครั้ง แต่มีเด็กที่รอดูถ่ายทอดสดครั้งนั้นเป็นแสนคน เราเลยรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสเราอยากเป็นคนนั้น ที่ได้พูดให้ความรู้กับเด็กหลายๆ คนทั่วประเทศ”นอกจากนี้ ตอนยอน ยังได้เล่าความตั้งใจ มุ่งมั่น ทุ่มเท ที่จะสอบให้ติดคณะที่อยากเรียนไว้ว่า “นอกจากไม่มีเงินไปเรียนพิเศษให้ได้เกรดดี ๆ ก็ยังไม่มีโอกาสขึ้นกรุงเทพฯ ไปติวเหมือนเพื่อน ๆ ที่เค้าไปกันด้วย แต่เราตระหนักดีว่าการศึกษามันสำคัญ ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ เลยขอคอมพ์กับเครื่องปริ้นท์จากคุณพ่อคุณแม่ แล้วขอกระดาษใช้แล้วจากครูที่โรงเรียน เอามาปริ้นท์ข้อสอบและแบบฝึกหัดที่เค้าแจกฟรีทางอินเทอร์เน็ตมานั่งเรียนนั่งทำเองเป็นพัน ๆ ข้อ"พอได้เริ่มเรียน กลับมีความคิดที่อยากจะลาออกจากคณะจากความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้ ตอนยอน ได้ทำตามความฝัน เธอสามารถสอบเข้าคณะครุศาสตร์ตามที่ตั้งใจได้ แต่พอได้เข้ามาเรียนจริงๆ ตอนยอน กลับเคยคิดที่จะลาออกจากคณะ โดยเธอเล่าให้ฟังว่า “พอได้เข้าไปเรียนจริง ๆ มันมากกว่าที่เราสนใจ อย่างเช่น หนูเข้าไปเอกภาษาอังกฤษ คิดว่าคงจะได้ไปเจอภาษาอังกฤษเยอะ ๆ แต่พอเข้าไปเรียนคณะด้านการศึกษาจริง ๆ สัดส่วนที่เกือบจะเท่ากันกับวิชาเอก ก็คือวิชาความเป็นครู ต้องไปเข้าโรงเรียน ต้องไปซ้อมยืนเข้าแถว ต้องไปดูเวรนักเรียนทำความสะอาด มันก็เป็นประสบการณ์ใหม่เหมือนกัน แต่น่าจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ”นิเทศศาสตร์ อีกหนึ่งความฝันของ ตอนยอนพอได้เรียนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเปิดโลกให้กับ ตอนยอน มากยิ่งขึ้น จนทำให้เธอได้เจอความชอบที่แท้จริงของตัวเอง โดย ตอนยอนเล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นเริ่มอยากเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เพราะหนูได้เจอความชอบในอีกมุมหนึ่งของตัวเอง จากสมัยมัธยมเราเหมือนเป็นเด็กเนิร์ดสายวิชาการ แต่พอมามหาวิทยาลัย มันเปิดโลกมาก พอได้รับน้อง ได้ทำกิจกรรม ทำให้เรารู้ตัวเองว่าชอบพูด ชอบแสดงออก เลยมองไปที่คณะนิเทศศาสตร์ ตอนนั้นในช่วงกำลังจะขึ้นปี 2 หนูก็ยื่นไปนิเทศศาสตร์เลย พอติดมันเลยต้องตัดสินใจว่า จะเรียนครุศาสตร์ต่อ หรือ ไปนิเทศศาสตร์เลย ตอนนั้นคิดหนักมากเลยนะ มีเวลาให้ตัดสินใจ 1 เดือน เอาแต่นั่งคิดว่าจะเอายังไงดี จะออกหรือไม่ออก เพราะยังมีความคิดฝังหัวกับค่านิยมของเด็กต่างจังหวัดอยู่ว่าจบนิเทศศาสตร์แล้วหางานยาก จบไปแล้วจะทำอะไรต่อดี จะมีความมั่นคงรึเปล่า จนวันสุดท้ายประมาณบ่ายสามโมง หนูโทรไปหาสำนักงานทะเบียนถามเค้าว่ายังลาออกทันมั้ย เจ้าหน้าที่บอกทำได้แต่ขั้นตอนยุ่งยากหน่อย ตอนนั้นเลยแบบโอเค ยอมแพ้ไม่ลาออกแล้ว”“ตอนยอน” ชื่อเหมือนชาวเหนือ แต่ไม่ได้เป็นคนภาคเหนือเมื่อได้ยินชื่อ “ตอนยอน” หลายคนคงคิดว่าเธอคือคนภาคเหนือรึเปล่าถึงใช้ชื่อนี้ งานนี้ตอนยอน จึงได้เผยที่มาของชื่อนี้ว่า “จริงๆแล้วหนู เป็นคนพังงา เป็นคนใต้ จุดเริ่มต้นของชื่อ ตอนยอน คือตอนเข้าชมรมสันทนาการของคณะครุศาสตร์ ชื่อเล่นจริง ๆ ของเราคือ เจมส์ แต่ตอนนั้นมันต้องมีชื่อลับเป็นสเตจเนม เราก็อยากได้อะไรที่มัน contrast กับตัวเอง พอดีเป็นคนใต้เลยเลือกชื่อ ตอนยอน แล้วกัน ที่เป็นคำเหนือ แปลประมาณว่า ลั้นลา chill chill พอตั้งชื่อแบบนี้คนก็จะชอบมาถามว่า เป็นคนเหนือเหรอ มันดูมี Topic ให้เราได้คุยต่อ เลยชอบชื่อนี้ค่ะ”“ประธานค่ายจุฬาพังงา ครั้งที่ 1” กิจกรรมที่ ตอนยอน ภูมิใจที่สุดแม้จะเป็นเด็กกิจกรรมแถวหน้าของมหาวิทยาลัย ผ่านกิจกรรมมาเยอะมาก เช่นการเป็นพิธีกร MC of Chula , MC of CU Band แต่ก็มีหนึ่งกิจกรรมที่ ตอนยอน รู้สึกภูมิใจที่สุดที่ได้ทำ นั่นคือการได้เป็น ประธานค่ายจุฬาพังงา ครั้งที่ 1 โดยเธอได้เล่าความภูมิใจนี้ว่า “หนูรู้สึกว่ากิจกรรมนี้เป็นสิ่งที่หนูอยากทำให้ตัวเองในตอนเด็ก เพราะตอนนั้นหนูรู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงการแนะแนวที่ดี ซึ่งปกติที่จุฬาฯ เค้าจะมีค่าย เช่น จุฬาขอนแก่น จุฬาเชียงราย จุฬาเชียงใหม่ เป็นเหมือน Community คนจังหวัดนั้นๆ ที่เค้ามาเรียนที่นี่ แล้วกลับไปทำค่ายที่จังหวัดตัวเองทุกปี แต่จุฬาพังงายังไม่มี หนูก็เลยจัดค่ายจุฬาพังงา ครั้งที่ 1 ขึ้นมา ซึ่งกว่าค่ายนี้จะจัดได้ หนูต้องทำตามกระบวนการต่างๆเยอะมากกว่าจะสำเร็จ แล้วพอมันสำเร็จ ได้เห็นประกายในดวงตาของน้องๆ ที่เค้ารู้สึกว่า เป็นเด็กพังงาก็สอบติดมหาวิทยาลัยได้ มันรู้สึกตื้นตันมากๆ”การเป็นครู ที่ต้องมาพร้อมกฎเกณฑ์ที่ถูกวางเอาไว้มีเรื่องราวช่วงของการฝึกสอน ที่ ตอนยอน ต้องได้เจอกับกฎเกณฑ์ของบางโรงเรียน เช่น ต้องใช้หางเสียง “ครับ” เวลาสอนนักเรียน ซึ่งเธอมองว่า “หนูรู้สึกว่าการพยายามให้เราพูดครับ อันนั้นคือปัญหา เพราะเวลาเราสอน เราแสดงท่าทาง อินเนอร์การสอน การพูดค่ะมันเป็นตัวเองมากๆ เราสามารถทำได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวล แต่พอมีกฎเกณฑ์ที่ต้องพูดครับ บางทีมันก็พูดผิดๆถูกๆ งงกันทั้งนักเรียนทั้งครู หนูรู้สึกว่า เวลาคนชอบมองว่าครูคือแม่แบบของนักเรียน แล้วทำไมแม่แบบต้องมีแค่แบบเดียว เป็นผู้ชายต้องเป็นแบบนี้ เป็นผู้หญิงต้องเป็นแบบนี้ ในห้องเรียนก็มีเด็กที่เป็นตุ๊ด แล้วทำไมเราไม่มีครูที่เป็นตุ๊ดบ้าง เพราะฉะนั้นนักเรียนเค้าก็ชอบในแบบที่เราเป็นเรา แล้วเราก็อยากทำให้นักเรียนเห็นว่าเป็นแบบนี้ก็สามารถเป็นครูได้”ไม่เคยเสียดายที่เลือกเรียนครุศาสตร์ให้จบตอนยอน ได้เผยความรู้สึกนี้ให้ฟังว่า “หนูไม่รู้สึกเสียดายเลยที่เลือกเรียนครุศาสตร์จนจบ แล้วค่อยเบนเข็มมาทำงานสายนิเทศศาสตร์ เพราะท้ายที่สุดแล้วความพิเศษของการได้เรียนคณะครุศาสตร์ คือการที่เราได้ลองเป็นครูจริง ๆ และได้ประสบการณ์ที่ถ้าเรียนคณะอื่นก็คงจะไม่ได้เข้าไปสอนในโรงเรียนจริง ๆ หนูคงจะไม่ได้มีลูกศิษย์รุ่นแรก มันทำให้หนูไม่เสียดายและไม่เสียใจ อย่างน้อยเราก็มีโอกาสได้ลองทำอะไรบางอย่างที่มีคำตอบให้กับตัวเองว่าเราชอบหรือไม่ชอบ”จุดเริ่มต้นของ “BASIC GAY VOCABULARY”การก้าวเข้าสู่การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์สุดแซ่บ ตอนยอน ได้เล่าจุดเริ่มต้นครั้งนี้ว่า “ช่วงที่หนูเริ่มทำคอนเทนต์คือหลังจากที่เรียนจบ ต้องออกจากหอใน ออกมาใช้ชีวิตเอง ตอนนั้นเริ่มมีความรู้สึกว่า มันเข้าสู่ชีวิตการทำงานจริง ๆ แล้วนะ แต่ยื่นใบสมัครไปที่ไหนก็ยังไม่ตอบรับ ซึ่งหนูรู้สึกว่า เราจะตื่นลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันให้มันผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ หนูก็เลยเริ่มต้นทำคอนเทนต์ กำหนดกับตัวเองไว้ว่าทุกวันที่ตื่นขึ้นมาจะต้องมีคอนเทนต์ลงแพลตฟอร์มของตัวเอง 1 คลิป หนูใช้เวลาทำไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1 เดือน็็้็าาาาา”“จุดเริ่มต้นของคลิป BASIC GAY คลิปแรก เบื้องหลังคือเป็นคลิปที่ส่งประกวด ตอนนั้นมีหน่วยงานที่รับสมัครแข่งทำคลิปในอีเวนต์ Pride Month ชิงเงินรางวัล 5,000 บาท และตอนนั้นเป็นช่วงที่หนูต้องหาเงินพอดี เลยทำคลิป BASIC GAY ขึ้นมา เป็นคลิปสอนภาษาเกย์ปรากฏว่าคนชอบ เป็นไวรัล แม้ท้ายที่สุดคลิปไม่ชนะ แต่สิ่งที่ได้จากการทำคลิปนั้นคือการที่ Follower เราเพิ่มขึ้น หนูเลยทำคลิปต่อ จนมีลูกค้าเข้า เรียกว่าเปลี่ยนชีวิตเลย”“หนูว่าภาษาเป็นเรื่องสนุก ในขณะเดียวกันมันมีความน่าสนใจของความเป็นภาษากะเทย ภาษาเกย์ อีกหลายมิติมาก ทั้งรูปแบบประโยคของกะเทย ก็ถอดความได้อีกหลายอย่าง ดังนั้นภาษา และการเรียนรู้คำแสลงมันเกิดขึ้นได้ตลอด หลายคำหนูต้องไปหาว่ามันมีที่มากี่ปี คำนี้ปรากฎในโลกอินเทอร์เน็ตครั้งแรกเมื่อไหร่ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปมอง นอกจากความบันเทิงที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่เราเรียนมาจากคณะครุศาสตร์เยอะเลย”เปิดมุมมองความรักของ ตอนยอนนอกจากมาพูดคุยเรื่องการเรียน การทำงาน ตอนยอน ก็ยังได้มาเล่าเรื่องราวความรักของตัวเองไว้ว่า “ตอนนี้แห้งเหี่ยวค่ะ ไม่มีแฟน เคยมีแฟนจริง ๆ ก็ตอนมัธยม พอมามหาวิทยาลัยก็ไม่มีแฟนเลย เหมือนเป็นคนที่ไม่เข้าใกล้ความรักกับใครเลย เคยคิดว่า เพราะผมยาวหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่มีแฟน เพราะตอนเข้ามหาลัยแล้วเราเริ่มไว้ผมยาว จริง ๆ เราไม่ได้ตั้งใจจะแต่งหญิงนะ แต่เราชอบผู้ชายลุคแบบเซอร์ ๆ แบบเด็กสถาปัตย์ไว้หนวด ผมยาว มันเหมือนเป็นทั้งสเปค และต้นแบบในการแต่งตัวของเราเลย แต่พอเรามาทำพิธีกร MC ของมหาลัยกลายเป็นว่า ผมยาวของเราก็สามารถใช้แต่งหญิงออกงานได้ คนก็เลยจำภาพเราว่าที่ไว้ผมยาวเพราะอยากแต่งหญิง แต่จริง ๆ เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง แต่ความสุขของการแอบชอบใคร มันก็มีอยู่บ้างนะคะ อย่างน้อยเวลาฟังเพลงเศร้าแล้วมันอินขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จริง ๆ ว่าเราจะหาแฟนได้จากไหน”รับสายสุดเซอร์ไพรส์ ส่งต่อกำลังใจให้ ตอนยอนมีหนึ่งสายที่โทรเข้ามาในรายการด้วยความคิดถึง นั่นคือสายของ น้องฮันน่า หนึ่งในนักเรียนที่ได้เรียนกับ ครูตอนยอน ในช่วงที่ฝึกสอน โดย น้องฮันน่า ได้ฝากความคิดถึง และส่งกำลังใจถึงครูตอนยอน ไว้ว่า “หนูเจอกับครูวันแรกหนูก็รู้สึกว่า หนูเรียนกับครูคนนี้แล้วหนูต้องไม่เครียดแน่ๆ ตั้งแต่ครูเข้ามาในห้องเรียนคาบแรกครูก็ตลกเลยค่ะ และครูสอนดีมากมีกิจกรรมให้เด็กทำหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ท่องจำอย่างเดียว ทำให้หนูชอบและอยากเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้นไปอีก หนูดีใจที่ได้ครูมาสอนภาษาอังกฤษหนู หนูคิดถึงครูมากนะคะ”ท้ายรายการ ตอนยอน ได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ยินดีมากๆ ที่วันนี้ได้มาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา เพราะมันคือส่วนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญในชีวิตหนูเหมือนกัน ขอบคุณค่ะ” – ตอนยอนติดตามรายการย้อนหลัง