ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี

News Updates

GREEN MORNING SHOW

GREEN MORNING SHOW 7 ส.ค. 67

07 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 7 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 6 ส.ค. 67

06 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 6 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 5 ส.ค. 67

06 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 5 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 2 ส.ค. 67

05 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 2 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 1 ส.ค. 67

05 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 1 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 31 ก.ค. 67

04 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 31 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

CLUB FRIDAY

Club Friday Toxic Relationship | 16 สิงหาคม 2567

18 ส.ค. 2024

Club Friday Toxic Relationship | 16 สิงหาคม 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

เพื่อนเป็นหมอ

รู้ทันก่อนเป็น #โรคความดันสูงงง ️| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 พ.ค. 2024

รู้ทันก่อนเป็น #โรคความดันสูงงง ️| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

รู้ทันก่อน #ความดันสูง ️ ก่อนจะถึงวันความดันโลหิตโลก หมอเพื่อนกับดีเจเฟี๊ยต ขอพาทุกคนไปเช็กอาการ และตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกัน #โรคความดันสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอันตรายด้วยกัน ใครที่เคยร้อนจนเหมือนจะเป็นลม หรือไม่แน่ใจว่ากำลังเข้าข่ายโรคความดันรึป่าว มาเช็กกันได้ที่ เพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ กับหมอเพื่อนและดีเจเฟี๊ยต บอกเลยว่าความรู้อัดแน่นตามสไตล์เพื่อนเป็นหมอเหมือนเดิม #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเฟี๊ยต #วันความดันสูงโลก #โรคความดัน #สุขภาพ #ความดัน

ส่องไอเดียซื้อของขวัญ ให้คนที่บ้าน ซื้อฝากได้ตั้งแต่เด็ก - ผู้สูงอายุ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 พ.ค. 2024

ส่องไอเดียซื้อของขวัญ ให้คนที่บ้าน ซื้อฝากได้ตั้งแต่เด็ก - ผู้สูงอายุ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ใครกำลังหาซื้อของขวัญให้กับที่บ้านมาดูเพื่อนเป็นหมอ EP.นี้กัน ได้ของถูกใจแบบดีต่อสุขภาพด้วยแน่นอน! #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจพียู #ไอเดียเลือกของขวัญ #สุขภาพ #ความดัน

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

18 มี.ค. 2024

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ลุกก็โอยยยย นั่งก็โอยยยยย อาการแบบนี้มันใช่ออฟฟิศโดรมอย่างเดียวจริงหรอ ? แล้วอาการปวดหลัง เป็นเพราะเราอายุเยอะจริงไหม ? มาฟังคำตอบจากหมอเพื่อน พร้อมผู้ช่วยจาก The Selection กันได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเป้ #เวลลี่ #ออฟฟิศซินโดรม #มนุษย์ออฟฟิศ #คนทำงาน #TheSelection #เลือกที่ใช่ให้สุขภาพ

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

19 ก.พ. 2024

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ช็อกโกแลต กินแล้ว FAT ใคร ๆ ก็รู้ แต่มันยังมีแฝงความเสี่ยงในโรคอื่น ๆ ที่คิดไม่ถึงอยู่อีกด้วย แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคุณหมอไม่ได้ฝากไว้แค่อันตรายของช็อกโกแลต แต่ยังฝากถึงข้อดีไว้ด้วยเหมือนกัน แต่จะกินแค่ไหนถึงเสี่ยง หรือต้องกินเท่าไหร่ถึงดี ตามไปหาคำตอบกันใน EP.นี้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจดาด้า #หมอเพื่อน #วาเลนไทน์ #ช็อกโกแลต #เบาหวาน #สุขภาพ

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

07 ก.พ. 2024

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

เปิดปีแบบสุขภาพดี เพราะดีเจเป้ชวนหมอไปออกกำลังกาย แต่ EP.นี้พิเศษ ไม่ได้มีแค่หมอกับดีเจเป้แต่ยังมีต๊อก สุทินาถด้วยยย โอ้โห้ สนุกแน่ ๆ ไม่รู้ว่าหมอจะได้ออกกำลังกาย คุยเรื่องสุขภาพ หรือ ต้องเป็นกรรมการห้ามคู่นี่กันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คุณหมอเพื่อนจะมาฝากเคล็ดลับสุขภาพดีแบบครบสูตร ให้พร้อมลุยกับปี 2024 อย่างแน่นอน !! ใครที่ปีนี้มีเป้าหมายสุขภาพดีติดตามได้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจเป้ #หมอเพื่อน #ต๊อกสุทินาถ #สุขภาพ #ตรวจสุขภาพ #ออกกำลังกาย

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

31 ม.ค. 2024

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

เป็นไหม? กิน Probiotic เหมือนเพื่อน แต่ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เป็นไหม? กิน Probiotic แล้วแต่ยังรู้สึกสมดุลลำไส้ไม่ดี นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า เราต้องการ Probiotic ที่แตกต่างกันไงหละ

HEALTHY LIFESTYLE

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

04 ก.ย. 2024

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน โดยปกติเม็ดเลือดขาวของคนปกติ อายุ 12 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 3,500 - 10,500 เซลล์ต่อไมโครลิตร ทว่าผู้ป่วยบางคนจะพบอาการข้างเคียงจากการที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำต่อเนื่องจะเกิดการติดเชื้อง่าย ซึ่งอาการที่ปรากฏอาจจะ- มีไข้ หนาวสั่น มีอาการบวมแดง- มีแผลที่ปาก มีปื้นสีแดงหรือฝ้าสีขาวอยู่ภายในปาก- เจ็บคอ มีอาการไออย่างรุนแรง- มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ- ท้องเสียง่าย- รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก- มีอาการบวมแดง และมีหนองออกมาจากบริเวณแผลเป็นประจำ- มีอาการระคายเคืองที่ช่องคลอด หรือคันช่องคลอดผิดปกตินอกจากนี้ หากเป็นภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำเนื่องจากโรค อาจพบอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของโรคร่วมด้วย แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการเหล่านั้น ผลตรวจออกมามีความผิดปกติเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ในทางแพทย์แผนจีนเม็ดเลือดขาวน้อย จะอยู่ในส่วนการรักษาแบบเลือดจาง อวัยวะในร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ ทำให้ภูมิตก อาการมักจะมีเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพออาจทำให้ใบหน้าขาวซีดหรือเหลืองซีดร่วมกับอาการเวียนศีรษะ ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ บางครั้งมีอาการแขนขาชา ในสตรีจะมีประจำเดือนน้อยสีซีด ประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด กระทั่งขาดประจำเดือนได้อย่างไรก็ตาม ในแง่การบำรุงเลือด เสริมภูมิให้กับร่างกายแพทย์แผนจีนเน้นบำรุงเลือด ต้องบำรุงพลังร่วมด้วย บำรุงอวัยวะต่างๆ สร้างเม็ดเลือด ป้องกันการติดเชื้อ บางครั้งต้องเสริมยาบำรุงระบบการย่อยดูดซึมอาหารให้ดี หรือต้องบำรุงจิง บำรุงไต (เพื่อกระตุ้นการทำงานของ ฮอร์โมน) ควบคู่กันไป และแนะนำให้ทานยาปัจจุบันควบคู่กันไปอาหารที่ต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย ได้แก่- นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านการ sterilized หรือ ที่ไม่ใช่นม UHT- โยเกิร์ต ยาคูลท์ ไอศกรีมที่ไม่มียี่ห้อการันตีความสะอาด- น้ำผักสด น้ำผลไม้สดที่ไม่ผ่านการ sterilized- น้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา ที่ไม่ผ่านการต้ม หรือกรอง หรือน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน- อาหารทุกชนิดที่ไม่ได้ปรุงให้สุก หรือ สุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก น้ำสลัด ส้มตำ น้ำพริก และอาหารประเภทยำเป็นต้น- หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงลงในอาหารที่ปรุงสุกแล้วเช่น พริกไทย พริกป่น ถั่วลิสง เป็นต้น- หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จตามร้านอาหารมารับประทาน- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลอื่น- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดหรือผลไม้สด (ผลไม้สดที่อนุโลมให้รับประทานได้คือผลไม้ที่สามารถล้างภายนอกทั้งเปลือกให้สะอาดแล้ว ปอกเปลือกรับประทานทันที ได้แก่ ส้มโอ ส้ม กล้วย เป็นต้น) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนต้องคอยสังเกตตัวเองนะคะ ถ้ามีอาการข้างต้นต้องรีบไปพบคุณหมอนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

21 ส.ค. 2024

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่ามีการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมีการใช้คำว่า Alpha, Beta หรือ Omega ทุกคนอาจสงสัยว่าคำพวกนี้มาจากไหนหรือเป็นอาการยังไง วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน ว่าโลกของ Omega Verse มีอะไรบ้าง!Omega Verse คืออะไร ?Omega Verse เป็นแนวเรื่องจักรวาลโลกสมมุติที่ได้รับความนิยมในแวดวงแฟนฟิคชั่นและนิยายแนวโรแมนติก-เหนือธรรมชาติ มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ในจักรวาลนี้ตัวละครจะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ คือ Alpha, Beta และ Omega โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและบทบาทเฉพาะแตกต่างกันไป1. Alpha (A)อัลฟ่า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นชนชั้นที่มีอำนาที่สุดในจักรวาลนี้ มักมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปกครองและปกป้อง ตัวละครที่เป็นอัลฟ่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งและมักเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในความสัมพันธ์ มีบทบาทในการดูแลและปกป้องดูแลโอเมก้า2. Beta (B)เบต้า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะธรรมดาในจักรวาล เป็นชนชั้นกลางหรือชนชั้นทั่วไปและมีสัดส่วนมากที่สุด ไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้า และมักมีบทบาทเป็นตัวละครสนับสนุนในเรื่องราวต่าง ๆ3. Omega (O)โอเมก้า เป็นกลุ่มตัวละครที่โดยส่วนมากมีความอ่อนโยนและถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ต้องการการปกป้อง เป็นชนชั้นที่มีอำนาจน้อยที่สุด โดยส่วนมากจะถูกกดทับจากชนชั้นอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของ Omega Verseกลุ่มจักรวาลประเภทนี้จะมีพฤติกรรมที่คล้ายกับสัตว์ในโลกของเรานั่นเอง1.Pheromone หรือ ฟีโรโมน ในจักวาลนี้อัลฟ่าและโอเมก้ามีกลิ่นติดตัวที่เรียกว่า ฟีโรโมนอยู่ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล2.Soulmate หรือคู่ชีวิต คือการที่อัลฟ่าและโอเมก้าเกิดการจับคู่กันตั้งแต่แรกเจอ เป็นสิ่งที่หากันเจอยากมาก โดยหากเจอกันจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้คือโซลเมทของกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายจะได้กลิ่นของกันและกันอย่างรุนแรงและแสดงอาการฮีทหรือรัทขึ้นมา3.Heat หรือการฮีท คือการที่โอเมก้ามีอาการอยากผสมพันธุ์ และปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาอย่างรุนแรงเพื่อดึงดูดอัลฟ่าที่อยู่ใกล้ ๆ ให้มามีเพศสัมพันธ์ด้วย อาจเกิดจากการที่ได้กลิ่นของโซลเมทหรือเจอฟีโรโมนของอัลฟ่าที่ปล่อยออกมา4.Rut หรือการรัท คือการที่อัลฟ่าเกิดความรู้สึกอยากผสมพันธ์อาจเกิดจากการได้กลิ่นฟีโรโมนในช่วงฮีทของโอเมก้า หรือถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ของตนเอง ฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้โอเมก้าฮีทได้5.Bond หรือการผูกพันธะ เกิดได้จากการที่อัลฟ่านั้นกัดเข้าที่หลังคอโอเมก้า ถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและอำนาจเหนือโอเมก้าของอัลฟ่า เพื่อให้อีกฝ่ายไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตนได้6.Nesting หรือการทำรัง เกิดจากการที่โอเมก้าที่มีครรภ์มีอาการติดกลิ่นคู่ของตัวเอง และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อห่างกัน จึงใช้เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่มีกลิ่นอีกฝ่ายติดอยู่มากองรอบตัวหรือ ‘สร้างรัง’ เพื่อให้ถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นของคู่ เป็นการเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ตนเองของโอเมก้ามีครรภ์ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้จักรวาล Omega Verse มาสร้างบทหรือพล็อตสามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกในเรื่องของการกดขี่หรือการมีชนชั้นวรรณะในสังคมได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการเขียน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถเพิ่มความสนุกให้กับบทได้อีกด้วยAuthor : Warissแหล่งข้อมูล :https://aboth-info.wixsite.com/whatisabohttps://www.phoenixnext.com/guild/omegaversehttps://urbancreature.co/omegaverse-problematic-world/

เหงื่อบอกโรค

20 ส.ค. 2024

เหงื่อบอกโรค

เหงื่อมี2ประเภทใหญ่ๆ1.เหงื่อแตกทั้งตัว อาจจะมีปัจจัยมาจากหลายๆสาเหตุไม่ว่าจะมาจากโรคร้อนที่เข้าไปทำร้ายร่างกาย เมทาบอลิทึมที่สูงขึ้นหรืออารมณ์ตื่นเต้น ก็อาจทำให้มีเหงื่อออกได้เช่นกันค่ะโรคบางโรคก็ทำให้เหงื่อทั้งตัวได้เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำ ไฮเปอร์ โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคที่สาวๆมักจะกลัวกัน คือ โรควัยทอง2.เหงื่อออกเฉพาะที่ ตามหลักแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากอะไรอาจจะเกิดจากต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานผิดปกติแต่ตามหลักแพทย์แผนจีนแบ่งออกเป็น1.เหงื่อออกตอนกลางวันอยู่ดีๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยเหงื่อก็ไหลเองค่ะ เหงื่อแบบนี้มาจากม้ามที่อยู่ในร่างกายเราพร่อง หรือ อ่อนแอการบำรุงม้ามจะช่วยหยุดเหงื่อได้หน่อยค่ะ แล้วอาการจะดีขึ้นตามมา2.เหงื่อออกตอนกลางคืนเป็นเหงื่อที่ออกตอนนอน ตื่นเช้ามาก็ไม่มีแล้วทางแพทย์แผนจีน คือ อาการของอินพร่อง หมายถึงอินน้อย ซึ่งต้องบำรุงอินโดยทางที่ดีแนะนำให้รักษากับหมอผู้เชี่ยวชาญนะคะ3.เหงื่อออกที่รักแร้มากเกินไปเหงื่อออกที่รักแร้เป็นปัญหาสำหรับเราอย่างมากถ้ามีกลิ่นด้วยจะทำให้เรายิ่งเสียความมั่นใจเหงื่อบริเวณรักแร้มากผิดปกตินั้นอาจเกิดมาจากต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อมากเกินไป หรือว่าเรารับประทานอาหารมากเกินไป อันนี้มีวิธีแก้ค่ะอาจจะงดอาหารที่รสจัดเกิดไป เช่น กระเทียม เครื่องเทศต่างๆตามหลักแพทย์แผนจีนอาจจะมาจากหัวใจร้อน หรือหัวใจพร่องเพราะเส้นลมปรานจุดแรกของหัวใจก็มาจากรักแร้นั้นเองค่ะความเครียดก็เป็นผลทำให้เหงื่อออกเยอะนะคะ เหมือนตอนเข้าห้องสอบหรือสัมภาษณ์งานแอดมินก็เคยเป็นค่ะ^^4.เหงื่อออกบริเวณรอบอวัยวะเพศหลายคนมีอาการนี้เหงื่อออกบริเวณอวัยเพศมากเกินไปนั้น จะทำให้เกิดการหมักหมม และมีกลิ่นเกิดมาจากความร้อนชื้นอยู่ด้านล่าง ทำให้มีอาการหลายอย่างตามมาเช่น คันบริเวณอวัยวะเพศ อวัยวะเพศมีกลิ่นแรงไม่พึงประสงค์ทางที่ดีพบแพทย์ดีกว่านะคะ เพราะการรักษาความชื้นค่อนข้างยากหน่อยบางคนอาจจะมีอาการของต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็มีสิทธิ์ทำให้ทำให้เหงื่อออกที่อวัยเพศได้เช่นกันค่ะ5.เหงื่อออกที่มือที่เท้าหลายคนถามว่าเป็นโรคหัวใจหรือป่าว แต่ไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยคุณหมอบอกว่าปกติ ตามหลักแพทย์แผนจีนนั้นมาจากหลายสาเหตุเช่นกระเพาะและม้ามร้อนชื้น หรืออาจจะเกิดจากภายในมีความร้อนชื้นสูงก็ทำให้เหงื่อโดนขับออกตามมือตามเท้าได้และอีกอย่างคือม้ามพร่องก็อาจจะทำให้เหงื่อออกตามมือตามเท้าได้เช่นกัน เพราะม้ามควบคุมกล้ามเนื้อมือและเท้าค่ะสุดท้ายไม่ว่าเราจะมีอาการแปลกๆแบบไหน อย่านิ่งนอนใจนะคะควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการรักษาต่อไป ด้วยความห่วงใยจาก Green wave 106.5 FM ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

20 ส.ค. 2024

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

นปโปะหม่ำๆ หม่ำๆ กู๊ดบอย คือทำนองเพลงติดหู ที่เรามักได้ยินบนโลกโซเชียลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่มาของเพลงสุดน่ารักนี้ ก็เกิดจากเจ้าหมา ‘นปโปะ’ ที่ไม่ยอมกินอาหารโดยเด็ดขาดถ้าเจ้าของไม่ร้องเพลงให้ฟัง (ต้องมีทำนองด้วยนะ ไม่งั้นหนูไม่กิน!) ทำให้ใครหลายๆคนที่ได้เห็นคลิปวิดีโอของนปโปะต้องอมยิ้มไปตามๆกัน แต่เอ๊ะ…แล้วสาเหตุที่ทำให้น้องหมาหลายๆตัว ไม่ยอมกินอาหารง่ายๆคืออะไรกันนะสาเหตุที่สุนัขไม่กินอาหาร1.อาการป่วยถึงแม้ว่าการอยากอาหารที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าน้องๆกำลังมีโรคร้ายแรงเสมอไป แต่การตรวจหาความผิดปกติอย่างทันท่วงทีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเจ็บปวดทางร่างกาย ปัญหาทางช่องปากและฟัน การติดเชื้อในลําไส้ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินอาหาร เป็นต้น2.การฉีดวัคซีนการฉีดวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอาจมีผลข้างเคียง ทำให้สุนัขสูญเสียความอยากอาหารในระยะเวลาสั้นๆได้3.สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยสถานที่แปลกใหม่อาจทำให้น้องหมาเกิดความเครียดและประหม่าได้ รวมไปถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ก็อาจทำให้น้องๆรู้สึกคลื่นไส้ เมารถ ทำให้ไม่อยากอาหารได้เช่นกัน4.พฤติกรรมส่วนตัวนิสัยของสุนัขบางตัวอาจมีความ ‘เลือกกิน’ ไปนิด ลองสังเกตดูว่าน้องหมาของเรามีนิสัยส่วนตัวอย่างไร และนำมาปรับใช้กับวิธีการฝึกกินอาหาร เช่น การให้อาหารเป็นเวลา หลีกเลี่ยงการให้อาหารใกล้สุนัขตัวอื่นจนเกินไป การปรับชามข้าวให้มีความสูงพอดีต่อตัว ตรวจสอบอาหารว่าไม่เหม็นอับ และไม่แข็งจนเกินไป เป็นต้น5.น้องหมาได้รับของรางวัลมากเกินไปความ ‘อิ่ม’ จากการกินขนมเยอะเกินไป อาจทำให้น้องๆรู้สึกไม่หิวอาหารแบบเดิมๆที่เคยกิน การกินขนมควรเป็น ‘รางวัล’ ของสุนัข ไม่ใช่อาหารจานหลัก และควรมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของแคลอรีต่อวันเมื่อคำนวณตามน้ำหนักตัว เพราะการให้ขนมมากเกินไปอาจนําไปสู่โรคอ้วนในสุนัขได้อีกด้วยวิธีกระตุ้นความอยากอาหารของน้องหมา1.เปลี่ยนอาหารเม็ดโดยการเลือกสูตรอาหารที่มีส่วนผสมคล้ายกับอาหารสูตรเก่า และช่วยปรับให้ระบบย่อยอาหารของน้องๆรู้สึกคุ้นเคย ด้วยการค่อยๆผสมอาหารใหม่เข้ากับอาหารเก่า และเพิ่มปริมาณของอาหารใหม่ในแต่ละมื้อวันที่ 1-2: ผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารเก่า 75%วันที่ 3-5: ผสมอาหารใหม่ 50% กับอาหารเก่า 50%วันที่ 6-7: ผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%วันที่ 8 เป็นต้นไป : อาหารใหม่ 100%ซึ่งสุนัขบางตัวอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนนานมากกว่านี้ โดยเฉพาะกับน้องๆที่มีกระเพาะย่อยอาหารบอบบาง2.เพิ่มท็อปปิ้งตกแต่งอาหาร หรือ ทําให้อาหารเม็ดนิ่มลงเติมน้ำหรือซุปผักอุ่นๆลงในอาหารแห้งและปล่อยแช่ให้นิ่ม ช่วยให้น้องหมาเคี้ยวอาหารได้ง่าย เพิ่มกลิ่น กระตุ้นความอยากอาหาร (ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยนะ ว่าไม่มีหัวหอมหรือกระเทียมอยู่ในส่วนผสมของน้ำซุป เพราะอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้น้องเป็นโรคโลหิตจางได้)3.หลีกเลี่ยงการให้อาหารโดยไม่มีเงื่อนไขการวางอาหารของน้องหมาทิ้งไว้ให้เดินมากินตอนไหนก็ได้ อาจจะดูเป็นวิธีที่สะดวก แต่ก็ส่งผลตามมาหลายอย่าง เช่น การไม่เห็นพฤติกรรมความอยากอาหารที่เปลี่ยนไปของน้องๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางร่างกายผู้เลี้ยงควรกำหนดเวลาให้อาหารอย่างชัดเจน และทำการจับเวลา 15 นาที หากในช่วงเวลานี้น้องๆมีท่าทีไม่ยอมกินอาหารที่วางไว้ ให้เก็บอาหารจนกว่าจะถึงเวลามื้อต่อไป เป็นการฝึกให้น้องหมาไม่ติดนิสัยเมินอาหารนั่นเอง4.ทําให้มื้ออาหารเป็นเรื่องสนุกทำให้การกินอาหารตื่นเต้นขึ้น ด้วยการใส่อาหารไว้ในเครื่องเล่นสำหรับน้องหมา กระตุ้นสัญชาตญาณการหาอาหาร รวมไปถึงการให้คำชมเมื่อน้องๆยอมกินอาหารนั่นเองสุดท้ายนี้ การเมินไม่ยอมกินอาหารของน้องหมาเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพฤติกรรมส่วนตัว ความประหม่า หรืออาการเจ็บป่วย เจ้าของจำเป็นต้องสังเกตนิสัยและความผิดปกติที่น้องๆพยายามจะบอกเรา และหากน้องหมาไม่ยอมกินอาหารนานกว่าสองวัน (หรือสองมื้อหากมีโรคประจําตัว) ควรติดต่อสัตวแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าน้องๆจะสุขภาพดี เหมือนกับน้องนปโปะ ที่หนูแค่อยากได้ยินคำชมเยอะๆตอนกินข้าวเฉยๆน้าAuthor : L’ara

3 โรคเสี่ยง หากจ้องคอมนาน

05 ก.ค. 2024

3 โรคเสี่ยง หากจ้องคอมนาน

ในยุคดิจิทัลที่เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การใช้เวลาไปกับหน้าจอมากจนเกินไปอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพที่ไม่คาดคิด วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่ามีโรคอะไรบ้างที่เกิดจากการจ้องจอคอมนาน ๆโรค CVS หรือคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) โรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS คือกลุ่มของอาการทางตาและการมองเห็น ที่มีผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเลต หรือโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงพฤติกรรมการมองจอคอมพิวเตอร์ที่ใกล้จนเกินไป เกิดได้ทั้งเด็กแหละผู้ใหญ่อาการของโรค·รู้สึกแสบตา ไม่สบายตา มีอาการระคายเคืองตา เจ็บตา·ตาพร่าจากการจ้องมองที่ไม่ค่อยกระพริบตา·มีอาการตาแห้ง ซึ่งเป็นอาการเพียงชั่วคราวการป้องกัน·พักสายตา เช่น หลับตาทุก 10 นาทีต่อการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง หรือพักทุก 15 นาทีต่อการทำงานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง เป็นต้น·ควรจัดสถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงสว่างพอเหมาะ เพื่อช่วยให้สบายตา·ควรใช้แผ่นกรองแสงเพื่อลดแสงจ้าและแสงสะท้อน จะช่วยลดความล้าของสายตาลงได้โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndorme)ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนทำให้เกิดความผิดปกติของระบบในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบกระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือดวงตา ที่ต้องรับบทหนักขณะทำกิจกรรมเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานหรือนักเรียนนักศึกษาที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานกันมากขึ้นอาการของโรค· อาการบาดเจ็บเริ่มต้นเริ่มต้นจากอาการเมื่อยที่เมื่อเราพักผ่อน นวด ยืดเหยียดในบริเวณดังกล่าว หรือเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ก็จะหายหรือทุเลาลงได้·อาการบาดเจ็บซ้ำ ๆทุกครั้งที่อาการปวดเมื่อยเริ่มเป็นซ้ำ ๆ ระหว่างทำงาน นี่คือสัญญาณเตือนภัยว่าออฟฟิศซินโดรมกำลังเป็นอันตราย ในระยะนี้ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาอาการบาดเจ็บแต่เนิ่น ๆ·อาการเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นแม้ในเวลาไม่ได้ทำงานเมื่ออาการเจ็บปวดบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายเพิ่มมากขึ้น แม้ตอนที่ไม่ได้ทำงานก็ยังเจ็บ และแม้จะลองพัก ลองยืดเหยียดอย่างไรก็ไม่หาย ลามไปถึงกระทบกระเทือนต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน นี่คือระดับอาการที่ควรพบแพทย์โดยด่วนการป้องกัน·ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง·หยุดพักการทำงานทุกหนึ่งชั่วโมงเพื่อยืดคลายกล้ามเนื้อด้วยการลุกเดิน หรือเปลี่ยนท่าทาง·กายบริหารด้วยอุปกรณ์ใกล้ตัวโรคกระดูกต้นคอเสื่อม (Cervical Spondylosis)โรคกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นภาวะที่ส่วนประกอบของกระดูกต้นคอเสื่อมลง ทั้งจากอายุที่เพิ่มขึ้นและจากการใช้คอในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องเป็นประจำ ซึ่งเมื่อกระดูกต้นคอเสื่อมก็จะส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาทต่าง ๆ ในร่างกาย การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กระดูกคอเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติอีกด้วยอาการของโรค·มีอาการคอติด หันซ้าย-ขวาไม่สะดวก เหมือนมีอะไรยึดรั้งไว้·ปวดตึงต้นคอ เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง·ปวดร้าวตามแนวเส้นประสาท ตั้งแต่หัวไหล่และบ่า·ปวดร้าวบริเวณข้อศอกด้านข้าง ปวดร้าวไปถึงปลายนิ้วมือ·มีอาการชาตามแขน ขา มือ และเท้า·มีอาการอ่อนแรงจนเคลื่อนไหวไม่สะดวกการป้องกัน·ปรับเก้าอี้และโต๊ะทำงานให้เหมาะสมกับร่างกาย·หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานนานๆ โดยไม่ขยับร่างกาย·การออกกำลังกายเฉพาะส่วนคอและหลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและนี่ก็คือ 3 โรคเสี่ยงหากคุณจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจนเกินไป การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคปัจจุบัน แต่หากเรามีการดูแลสุขภาพร่างกายให้เหมาะสมจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้ได้อย่างมากทีเดียว เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยนั้น สามารถสร้างผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวให้กับตัวเราได้นั้นเองที่มา :https://www.phyathai.com/th/article/3743-computer_vision_syndrome_%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%AD_%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8https://kdmshospital.com/article/office-syndorme/https://www.phyathai.com/th/article/symptoms-of-cervical-spondylosis

‘เสียงในหัวตอนอ่านหนังสือ’ มีที่มา…ใครกันนะที่พูดกับเรา?

03 ก.ค. 2024

‘เสียงในหัวตอนอ่านหนังสือ’ มีที่มา…ใครกันนะที่พูดกับเรา?

‘ถ้าเสียงที่พูดอยู่ในหัวคือตัวเราเอง แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนฟัง ?’เป็นคำถามเชาว์ปัญญาที่ชวนให้ขบคิดอยู่ไม่น้อย กับการที่ใครหลายคนบนโลกนี้สามารถอ่านออกเสียงในใจได้ และแน่นอนว่าในตอนที่เรากำลังอ่านบทความนี้อยู่ เสียงในหัวก็อาจกำลังทำหน้าที่ของมันเช่นกัน‘Subvocalization’ หรือ การอ่านออกเสียงในใจ เป็นมากกว่า ‘การคิด’ แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ตา ริมฝีปาก ลําคอ ลิ้น เส้นเสียง กล่องเสียง และขากรรไกร เชื่อหรือไม่ว่าในตอนที่เรากำลังอ่านออกเสียง ‘ในใจ’ ตัวเราเองก็ยังคงเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ คล้ายกับตอนที่เปล่งเสียงพูดอย่างไม่รู้ตัวในปี 2004 นักวิทยาศาสตร์จากนาซ่า ได้มีการทดลองติดเซ็นเซอร์ขนาดเล็กไว้ที่อวัยวะต่างๆของอาสาสมัคร เช่น บริเวณใต้คางและลูกกระเดือก พบว่า สมองของอาสาสมัครมีการตอบสนองราวกับว่ากำลังพูดอยู่จริงๆ ถึงแม้จะไม่มีการเปล่งเสียงออกมาเลยก็ตาม โดยการอ่านออกเสียงในใจสามารกระตุ้นสมองส่วน Broca ที่มีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้ภาษาทุกรูปแบบให้ทำงานได้การอ่านออกเสียงในใจ คือส่วนหนึ่งในพัฒนาการของเด็กเบธ ไมซิงเกอร์ และ โรเจอร์ เจ. ครอยซ์ รองศาสตราจารย์และอาจารย์สาขาจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเม็มฟิส กล่าวไว้ว่า ในตอนเด็กเรามักจะเริ่มอ่านหนังสือด้วย ‘การออกเสียง’ เพราะการฟังเสียงของตัวเองสามารถช่วยให้เราทำความเข้าใจข้อความได้ง่ายมากขึ้น เมื่อโตขึ้นมาหน่อย เราอาจเปลี่ยนเป็น ‘การอ่านพึมพํา’ กระซิบ หรือขยับริมฝีปาก แต่พฤติกรรมนี้จะจางหายไปในตอนที่ทักษะด้านการอ่านพัฒนาขึ้น เราจะสามารถอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ‘ในหัวของตัวเอง’ ได้ และในตอนนั้นเอง คือตอนที่เสียงภายในหัวเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการพัฒนาทักษะการอ่าน ที่เด็กๆจะสามารถทำได้ดีในชั้นประถมสี่หรือห้า โดยการเปลี่ยนจากการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านในใจนั้น คล้ายกับวิธีที่เด็กพัฒนาทักษะการคิดและการพูดนั่นเองทั้งนี้ เลฟ วีโกสกีนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย ได้นิยามพฤติกรรมนี้ว่า ‘การสนทนาส่วนตัว’ เขากล่าวว่าไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่มีพฤติกรรมนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่ที่กำลังประกอบเครื่องดูดฝุ่นอันใหม่ บางทีเราอาจได้ยินพวกเขาพึมพํากับตัวเอง ในตอนที่กำลังทําความเข้าใจคําแนะนําในคู่มือดังนั้นเมื่อเด็กๆ กลายเป็นนักคิดที่ดีขึ้น พวกเขาจึงเปลี่ยนไปพูดในหัวแทนที่จะพูดออกมาดังๆ เมื่อเราเป็นนักอ่านที่ดีแล้ว การอ่านออกเสียงในใจจะง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังอาจช่วยให้อ่านได้เร็วขึ้นเพราะไม่จําเป็นต้องพูดออกมา และมีความยืดหยุ่นมากกว่า ช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่สําคัญที่สุดได้นั่นเองแล้วเสียงในหัวของเรา คือเสียงของใคร?การได้ยินเสียงตัวเองในหัวนั้นเป็นเรื่องปกติ งานศึกษา Characteristics of inner reading voices โดย Ruvanee P. Vilhauer พบว่าผู้คน4 ใน 5 บอกว่าพวกเขามักจะได้ยินเสียงในหัวตอนอ่านหนังสือในใจ นอกจากนี้เสียงในหัวยังมีหลายประเภทอีกด้วยซึ่งอาจเป็นเสียงพูดปกติของตัวเราเอง หรืออาจเป็นโทนเสียงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงการศึกษาผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ พบว่าเสียงที่ได้ยินในหัวอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเรากําลังอ่าน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตัวละครในหนังสือกำลังพูดบางอย่างอยู่ เราอาจได้ยินเสียงของตัวละครนั้นในหัวดังนั้นอย่ากังวลไป ถ้าได้ยินเสียงมากมายในหัวตอนที่กำลังดําดิ่งลงไปในหนังสือ มันอาจหมายความได้ว่า คุณกลายเป็นนักอ่านออกเสียงในใจที่มีทักษะแล้ว

LOVE INSPIRED

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN CHARITY

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

15 มี.ค. 2022

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย

CLUB PRIDE DAY

Club Pride Day x ท็อฟฟี่ เป็นตุ๊ดซ่อมคอม | 12 ก.ย. 67

13 ก.ย. 2024

Club Pride Day x ท็อฟฟี่ เป็นตุ๊ดซ่อมคอม | 12 ก.ย. 67

Club Pride Day x ท็อฟฟี่ เป็นตุ๊ดซ่อมคอม | 12 ก.ย. 67 . โน๊ตบุ๊ค แท๊บเล็ต พร้อมเบ็ดเสร็จสมาร์ทโฟน แล้วตะโกนให้โลกรู้ว่าฉันนี่แหละ เจ้าหญิงแห่งวงการไอที..."ท็อฟฟี่ เป็นตุ๊ดซ่อมคอม" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ท็อฟฟี่ #เป็นตุ๊ดซ่อมคอม # #ToffieTheComputerRepairingLadyboy #Ladyboy #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x เตยยี่ ประภัสสร | 5 ก.ย. 67

05 ก.ย. 2024

Club Pride Day x เตยยี่ ประภัสสร | 5 ก.ย. 67

จรดปลายปากกา ใช้ภาษาพาใจที่เจ็บได้ Move On ขีดเขียน ฮีลใจ ไปกับ “เตยยี่ ประภัสสร” ศิลปินที่เชื่อว่าตัวอักษร เป็นเพื่อนทุกความรู้สึก พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #เตยยี่ #เตยยี่ประภัสสร #teayii #teayiiartworks #rhythmofarts #rhythmthinker #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x เจฟ-อิงฟ้า | 29 ส.ค. 67

29 ส.ค. 2024

Club Pride Day x เจฟ-อิงฟ้า | 29 ส.ค. 67

เปิดประตูวิมาน พร้อมฟาดฟันคมหนามไปกับ "เจฟ-อิงฟ้า" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #เจฟซาเตอร์ #อิงฟ้า #เจฟ #อิงฟ้าวราหะ #วิมานหนาม #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่ .

Club Pride Day x ต้นหอม ศกุนตลา | 22 ส.ค. 67

22 ส.ค. 2024

Club Pride Day x ต้นหอม ศกุนตลา | 22 ส.ค. 67

Club Pride Day x ต้นหอม ศกุนตลา | 22 ส.ค. 67 . น่ารักขนาดนี้ พี่จัดให้เลย 100 ดื่ม!! พร้อมเปิดเรื่องราวของสาวมั่นตัวแม่ ผู้เอาแน่ทุกวงการ "ต้นหอม ศกุนตลา" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ต้นหอม #ต้นหอมศกุนตลา #ดีเจต้นหอม #Djtonhorm #Host #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x ปันปัน Pangina Heals| 15.ส.ค.67

15 ส.ค. 2024

Club Pride Day x ปันปัน Pangina Heals| 15.ส.ค.67

CLUB PRIDE DAY สัปดาห์นี้! เตรียมสะบัดแปรง เปิดม่าน โชว์ความ Proud ไปกับ “ปันปัน Pangina Heals” Drag Queen คนแรกของไทย ที่ได้เฉิดฉายบนเวที Drag Race ระดับโลก . เปิดไมค์พร้อมกันพฤหัสนี้ 3-4 ทุ่ม กับ พี่อ้อย และ ก๊อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ปันปัน #นาคประเสริฐ #แพนไจน่าฮีลส์ #panginaheals #houseofheals #DragRace #DragRaceThailand #DragRaceUK #Rupaulsdragrace #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x เอิร์ธ Cooheart | 8.ส.ค.67

09 ส.ค. 2024

Club Pride Day x เอิร์ธ Cooheart | 8.ส.ค.67

Club Pride Day x เอิร์ธ Cooheart | 8.ส.ค.67 . CLUB PRIDE DAY สัปดาห์นี้พบกับ! นักแสดงซีรีส์วายที่เปิดตัวมากับความ 'Queer' และความเชื่อที่ว่า 'พื้นที่ของนักแสดง LGBTQIA+ ต้องไม่ถูกกีดกัน!' "เอิร์ธ Cooheart" เจ้าหญิงแห่งวงการซีรีส์วายไทย . 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม พฤหัสนี้ มาทอล์กสไตล์ตัวแม่กับก๊อตจิและพี่อ้อย ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . ขอบคุณ : เลือกข้าวโอ๊ต เลือกเควกเกอร์ URL Link : https://bit.ly/40JBGW0 เลย์ สแตคส์ รสใหม่ รสโนริสาหร่าย URL LINK : https://vt.tiktok.com/ZSFDSrEWr/ . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #CLUBPRIDEDAY #GREENWAVE1065 #GREENWAVE #เอิร์ธcooheart #cooheart #เจ้าหญิงแห่งวงการซีรีส์วาย #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจอ้อยนภาพร #ดีเจอ้อย #ก๊อตจิ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #LGBTQ #LGBT #ตัวแม่ #ตัวมัม

Club Pride Day Recap

เปิดเส้นทางความฝัน แบ่งปันพลังใจ จาก “เตยยี่ ประภัสสร” ศิลปินที่รังสรรค์ตัวอักษร ให้เป็นเพื่อนกับทุกความรู้สึก

13 ก.ย. 2024

เปิดเส้นทางความฝัน แบ่งปันพลังใจ จาก “เตยยี่ ประภัสสร” ศิลปินที่รังสรรค์ตัวอักษร ให้เป็นเพื่อนกับทุกความรู้สึก

“เตยเชื่อว่าความสวยงามของชีวิต จริง ๆ มันคือการเดินระหว่างทาง ไม่ใช่จุดหมาย เพราะฉะนั้น จุดหมายของเตยเปลี่ยนได้ทุกวัน และเตยอยากให้มนุษย์มีความฝันมากกว่า 1 อย่าง เพราะมันจะทำให้ชีวิตสนุกมากขึ้น”เปิด Club ส่งต่อแพชชั่น จากสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดฮีลใจ “เตยยี่ ประภัสสร” ศิลปินที่เชื่อว่า ศิลปะไม่ทำให้เราอดตาย จนกลายมาเป็นศิลปินที่ให้กำลังใจผู้คนผ่านถ้อยคำ เธอเชื่อว่า ภาษาไทยจะสามารถกลายเป็น ศิลปะ ที่เข้าถึงอารมณ์ผู้คนได้ กว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต และได้แบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจไว้ในรายการด้วย“นักเล่าเรื่อง” กับนิยามความเป็น เตยยี่“เตยรู้สึกว่า ตัวเองเป็นนักเล่าเรื่อง เตยเป็นคนที่มีความเชื่อในศิลปะ ซึ่งมันอยู่ที่ว่าช่วงไหน หรือเวลาไหนที่เรารู้สึกว่า เราอยากถ่ายทอดอินเนอร์ความเป็นมนุษย์ ผ่านกระบวนการไหนก็ตาม เมื่อก่อนเตยอาจจะถนัดในเรื่องของการเป็นครูสอนการแสดง เตยก็เลยเลือกวิธีสอนการแสดงเพื่อสื่อสารจิตวิญญาณของเรา ผ่านมาช่วงหนึ่งเตยเลือกเล่าเรื่องผ่านการจัดละครเวที ทำ Exhibition บ้าง แต่ ณ วันนี้เราเลือกสื่อสารความเป็นมนุษย์ผ่านคำเขียนอย่างรายการ Teayii Talk ก็เกิดจาก Exhibition ที่ชื่อว่า A HEART TO BE HEARD เพราะหัวใจทุกดวงมีคุณค่าในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งพอได้จัด Exhibition วันนั้นเตยคิดอย่างเดียวเลยคือ อยากให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์มีหลายฤดูกาลความรู้สึก เราไม่ได้มีแค่ความสุข เราไม่ได้มีแค่ความสวยหรู เราไม่ได้มีแค่ความฝัน ทุกคนผ่านฤดูกาลต่าง ๆ มาแล้ว หลังจากนั้น เตยก็เลยเชิญคนในวงการต่าง ๆ มานั่งสัมภาษณ์กับเรา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการคุยแบบ Deep Talk เป็นคำถามที่ไม่ได้เน้นมีม จะเน้นแค่ว่าวันนี้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเตยเค้ามีอะไรมาพูดคุยกัน”เตยยี่ กับวิธีทำความเข้าใจ “ทุกข์”“ย้อนกลับไปตั้งแต่เด็ก เตยได้ทุกอย่างมาจากคุณแม่ คุณแม่จะเป็นคนที่ไม่ให้เสพความทุกข์เลย ตอนเด็ก ๆ เตยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องความโชคดี สมมติว่าสอบตก เตยไม่เคยต้องมานั่งขอโทษแม่ แล้วแม่จะบอกว่า สอบตกก็แค่ซ่อม แม่จะให้ไปคิดเอาเองว่า ชอบเรียนอะไรก็ตั้งใจให้เต็มที่ มันทำให้ทุกอย่างผ่านไปไวมาก ไม่ชอบเรียนวิชานี้ก็แค่เปลี่ยนวิชา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้รู้สึกว่า จริง ๆ เราเป็นคนที่ชอบเจาะลึกด้านอารมณ์ แล้วชอบเสพแค่ความสุขด้วย จนวันหนึ่งมันมีความเศร้าเข้ามา ซึ่งพอเราเศร้ามาก ๆ เราไม่มีทางออก เตยก็เลยเลือกเขียน เพื่อให้เราได้ยินเสียงของตัวเองชีวิตมันเลือกไม่ได้ เตยมีหน้าที่เดียวคือไม่ผลักใสความทุกข์ แล้วก็ทำความเข้าใจ เมื่อก่อนเตยเป็นคนที่ยอมไม่ได้เลย ถ้ามีคนมาทักว่าเตยเศร้าอะไร เราจะตอบทันทีว่าไม่เป็นไร แฮปปี้มาก แล้วแสดงออกแค่ด้านบวกอย่างเดียว ซึ่งทำมาโดยตลอด จนถึงอายุ 30 เลยนะ เตยไม่เข้าใจความทุกข์ด้วยซ้ำ จน ณ วันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าทุกข์เกินไปจนต้านไม่ไหวแล้ว มันมีเรื่องที่เราไม่เข้าใจเยอะอยู่ แล้วเรื่องพวกนั้นพอทบทวนดู สุดท้ายมันคือเรื่องความรัก เพราะว่าเวลาเรารัก เราจะรู้สึกว่าเค้าต้องรักเราสิ แล้วความรักมันต้องสวยงามสิ แต่บางทีเราเจอความรักที่มันไม่สวยงาม ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำความเข้าใจโดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ คุยกับตัวเองให้เป็น อาจจะไม่ต้องพูดกับกระจกก็ได้ บางคนเขียน หรือบางคนอัดเสียงแล้วมาเปิด เพื่อเช็คว่าตอนนี้รู้สึกยังไง สะท้อนความคิดตัวเองให้ได้ อย่างวันนี้ ก่อนมารายการ เตยมีอารมณ์เหงา คือเตยเป็นคนขี้เหงามาก แล้วเตยเหงาอยู่ประมาณ 20 นาที ซึ่งเตยมีวิธีการคือพูดกับตัวเองเยอะมากว่า ข้อดีในชีวิตเราเยอะมากนะ อย่างน้อยเรามีน้ำสะอาดให้อาบ เรามีสบู่ที่เพิ่งไปออกงานอีเว้นท์มา แล้วเราได้ฟรี เรามันเก่งจัง ที่หาสบู่ฟรีใช้ได้ แล้วเตยเลยรู้สึกว่า สุดท้ายแล้วจุดสังเกตที่ดีที่สุดคือ หาวิธีคุยกับตัวเองให้เป็น โดยที่ต้องไม่หลอกตัวเองด้วย”เมื่อชีวิตรู้สึก “กลัวความเหงา”“นอกจากกลัวความเศร้าแล้ว เตยกลัวความเหงา เพราะรู้สึกว่าความเหงาเป็นเรื่องที่น่าอาย แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ปรับตัวเยอะมาก เพราะอยู่ในช่วงที่เพิ่งขอแฟนแต่งงาน เราเปลี่ยนเอเนอร์จี้มามีคนหนึ่งคนข้าง ๆ เราเปลี่ยนเอเนอร์ของการออกงาน การทำงาน การกลับบ้าน การไปรับไปส่ง จนสุดท้ายมันมีความคิดขึ้นมาว่า มันมีความเหงาอยู่ในนั้นเหมือนกันนะ เพราะก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตหลังจากอกหัก เราฝึกทำความเข้าใจอารมณ์เรามาอย่างดีแล้วว่าอยู่คนเดียวเป็นยังไง เราใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมาสักพักใหญ่ ไปออกงานเพื่อตัวเอง ไปปาร์ตี้เช้าจรดเย็นเพื่อตัวเอง แล้ว ณ วันนี้ พอเรามีคน ๆ นี้อยุ่ข้าง ๆ ช่วงเวลาที่เคยเป็นของเรา วันนี้เราควรจะแบ่งเวลาส่วนหนึ่งเพื่ออยู่กับเค้า เตยว่าความเหงามันมาพร้อมความสนุกด้วย ณ วันนี้ เตยมาหาความสุขคือเวลาเราอยู่กับแฟนในห้องสองคนแล้วเราสนุกยังไง ซึ่งคำตอบคือ มันเป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่ง และความเหงาของเตย ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาที่เราอยู่กับแฟนนะ มันเกิดขึ้นจากการที่เสียงสังสรรค์ การปาร์ตี้สุดเหวี่ยงรอบข้างมันลดลงเฉย ๆ ซึ่งเราแค่ยังไม่ชินณ วันนี้ เตยรู้สึกว่าตื่นมามีความสุขทุกวัน แต่แค่อย่างวันนี้ที่เกิดความเหงากับเรา 20 นาที มันคือเหงาแป๊บเดียว เรารู้ตัวเองว่าเราเหงา อย่างตอนอกหัก เตยไม่ให้ตัวเองอกหักเกิน 10 วัน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ความเศร้ามันห้ามไม่ได้นะ แต่เตยมีสิทธิ์ที่จะกำหนดให้ตัวเองไม่ทุกข์ยาวนาน เพื่อหลังวันที่ 10 ตัวเองต้องทำงานได้แล้ว เรามีไทม์ไลน์กำหนดไว้ เพื่อไม่ให้ชีวิตเราดิ่งเฉย ๆ แต่ความเศร้ามันห้ามไม่ได้จริง ๆ”ในความกลัว...มันจะมีความกล้าซ่อนอยู่เสมอ“จุดหนึ่งเตยพาตัวเองไปดูงานศิลปะทุกรูปแบบ ไปเดิน Exhibition ไปดูละครเวที ไปดูคอนเสิร์ต ไปดูงานอาร์ท ไปดูทอล์ค เตยมองว่ารอบตัวคืออาร์ทหมดเลย ซึ่งในการจะทำอะไรสักอย่าง มันจะมีกล่องความคิดอยู่ 2 กล่อง คือกล่องความอยาก และกล่องความกลัว แต่เตยคิดว่าถ้ากลัวแล้วต้องทำ อย่างการนั่งสัมภาษณ์คนดัง เตยกลัวมากนะ เพราะเตยเป็นคนที่ชอบอยู่เบื้องหลัง แล้วพอออกหน้ากล้อง ตอนแรกเราจะไม่ค่อยสะดวก และไม่ค่อยถนัด แต่เตยก็พยายามดูให้เยอะที่สุด และถ้ากลัวอะไรให้ทำ เพราะสุดท้าย ความกลัวมันจะมีความกล้าซ่อนอยู่เสมอ”อยากให้ลายเซ็นเตยยี่ เป็นพื้นที่ปลอดภัย“ส่วนใหญ่แล้ว Exhibition ที่หลายคนได้สัมผัสคือ เราจะเห็นงานแสดงภาพถ่าย งานปั้น งานอาร์ทหลายรูปแบบ แต่วันนี้ เตย เป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ตัวอักษรภาษาไทยเป็นงานศิลปะ ซึ่งมันเกิดความเห็นต่าง และมันมีกระแสอยู่แล้วที่จะบอกว่า เขียนคำแล้วเป็นงานศิลปะได้ยังไง วิธีการรับมือตอนแรก ๆ เตยหงุดหงิด เพราะว่าบางทีคำในอินเตอร์เน็ตมันโหดเหี้ยมมาก ใจร้ายมาก พอเราโดนก็เลยมาหาอีกสเต็ป แล้วพบว่าการคุยกับคนเยอะ ๆ ช่วยได้ ซึ่งคนที่อยู่ในวงการก็จะพูดว่าให้ปล่อย โดยการปล่อยของเตย เราจะทำความเข้าใจก่อนว่าศิลปะที่เราทำอยู่ มันมีหน้าที่ทำให้คนรู้สึก ถ้าใครไม่รู้สึก อย่าบังคับเค้า แล้วเราไม่มีสิทธิ์ไปบอกว่า นี่งานฉัน ทำไมไม่มองเป็นศิลปะเตยคิดไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า เตยอยากให้ลายเซ็นตัวเอง กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย ใครสะดวกมาเสพให้เสพ ใครไม่สะดวกอย่างน้อยเลื่อนผ่านก็ได้ ไม่ต้องโจมตี เพราะว่ามันเครียดนะ จนปัจจุบันเตยรู้สึกว่า สุดท้ายแล้วช่วงนี้คนเอาคำภาษาไทยมาใช้เป็นงานอาร์ทเยอะมาก เราได้เปิดประตูโลกใหม่ที่มันมีมาอย่างยาวนานแล้ว และเตยรู้สึกว่า ภาษาไทยสวยมาก ทำไมเราถึงไม่มี คำภาษาไทยในงานอาร์ท เหมือนที่เมืองนอกบ้าง เราก็เลยมาทำของเราเองตอนที่เตยเรียนในธรรมศาสตร์ มีวิชาหนึ่งที่เตยชอบมาก ชื่อวิชาว่า Art Management คือเป็นนักศิลปะยังไงที่ไม่อดตาย ซึ่งเค้าสอนแม้กระทั่งทำ Presentation ขายสปอนยังไง แล้วเตยรู้สึกว่าขอบคุณมากที่เตยได้เรียน แล้วมันเป็นจุดเปลี่ยนของเตยที่รู้สึกว่า Art ไม่จำเป็นต้อง For Art มันสามารถกลายเป็น Art For Business ได้ และมันสวยงามเหมือนกัน มันมีช่วงหนึ่งที่เตยโดนโจมตีว่าคนนี้เขียนเพื่อเงิน คำตอบคือใช่ บางอย่างเราเขียนเพื่อเงิน บางอย่างเราเขียนเพื่อฮีลใจตัวเอง บางอย่างเราเขียนเพื่อฮีลใจเพื่อนรอบข้าง เพราะฉะนั้น ศิลปะมีหน้าที่หลายรูปแบบ”การมีหลายความฝัน มันทำให้ชีวิตสนุกขึ้น“ที่เตยมองว่ามนุษย์ควรมีความฝันมากกว่า 1 อย่าง เพราะว่าเตยเคยมีความฝันอย่างเดียวแล้วเจ็บปวด และเตยรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ควรสนุกกับชีวิต ตอนแรกเตยมีความฝันอยากเป็นครู พอทำไปแล้ววันหนึ่งมันถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งมนุษย์ Burn Out ได้ แล้วถ้าถึงจุดนั้น สิ่งที่เราทำได้คือการสะสมระหว่างทางใหม่ เตยเชื่อว่าความสวยงามของชีวิต มันคือการเดินระหว่างทาง ไม่ใช่จุดหมาย เพราะฉะนั้นจุดหมายของเตยสามารถเปลี่ยนได้ทุกวัน และมนุษย์ควรจะมีความฝันมากกว่า 1 อย่าง เพราะว่ามันทำให้ชีวิตสนุกขึ้น”จากฝันอยากเป็นครู สู่ Rhythm Of Arts Creative Space“Rhythm Of Arts Creative Space เป็นโรงเรียนที่เกิดจาก Pain Point ของเตย คือเรารู้สึกว่าเราไม่มีที่ยืนให้กับความฝันของเราเอง เราชอบงานศิลปะมาก แต่วันหนึ่งอาจจะต้องเข้าไปเรียนวิทยาศาสตร์ เรียนคณิตศาสตร์ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วเตยมีคำถามที่ลึกมากคือ เตยรู้สึกว่าเราใช้เวลา 12 ปีตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6 ไปกับการเรียนไทย อังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ แล้วทำไมไม่ฝึกให้เรากลายเป็น Artist เลย แล้วเตยก็ได้ไปเจอเพื่อน ๆ ที่เค้าเรียนโรงเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ที่เค้ามีเรียนแบบซ่อมรถ เตะบอล และล้างฟิล์มเตยโชคดีที่รู้ตัวเอง และได้เข้าเรียน ศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วได้ไปหมกมุ่นอยู่กับศิลปะ มันเป็นจุดใหญ่เหมือนกันที่ทำให้เราได้รู้ว่า การที่วันนี้เราตื่นมาแล้วได้เดินเข้าไปโรงเรียนที่เราอยากเรียน มันมีความสุขมากเลยถามว่าศิลปะกับเด็กไทยเป็นยังไงบ้าง เตยว่า ปัจจุบันเด็กมีโอกาสเยอะ เพราะเห็นจาก Art Exhibition ที่มีการจัดเยอะมาก เดือนนี้ประมาณ 40 งานทั่วกรุงเทพ เตยว่ามันเป็นโอกาสที่ให้คนได้เห็นงานใหม่ ๆ และสมัยนี้ศิลปะมันเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพนี้มากขึ้น และล่าสุดเตยเพิ่งเจอใน Tiktok มีคนสอนรำพระพิฆเนศ แล้วมีคนลงคลาสเต็มเลย ทุกวันนี้มันวาไรตี้มาก และงานอาร์ทอยู่ทุกที่และในวันที่เราเปิดโรงเรียน ผลตอบรับดีมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่จับพลัดจับผลู เหมือนเราลาออกจากงานประจำ แล้วเราก็รู้อย่างเดียวว่าเราชอบกำกับ แต่การจะกำกับได้ เตยต้องเริ่มจากไปเป็นอาจารย์สอนการแสดงตามสถาบันก่อน แล้วก็ไปแคสที่สถาบันหนึ่งที่ดังมาก ๆ แล้วไม่ผ่าน จากนั้นก็เลยพลังจากแม่มา แม่บอกว่าเตยแคสไม่ผ่านก็เปิดเองสิ เราก็เลยเปิดโรงเรียนเอง ณ วันนั้นวิชาแรกที่สอนชื่อค่ายว่า ติสท์แตก เป็นค่ายที่รวมนิเทศศาสตร์ เอารุ่นน้อง นิเทศจุฬา, ศิลปกรรม ธรรมศาสตร์, การแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มารวมกัน แล้วก็ทำให้พื้นที่นั้นมีแต่เรียนการแสดง และเด็กจะได้เรียนกับพี่แต่ละมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้รู้ตัวเองว่าจริง ๆ เราชอบอะไร ซึ่ง ณ วันนั้น เราประสบความสำเร็จ เนื่องจากว่ามันใหม่ด้วย ที่เป็นค่ายเน้นปฏิบัติ และเป็นปฏิบัติที่แนะแนวด้วย และเตยกล้าพูดเลยว่า เตยเป็นครูที่อนุญาตให้เด็กพูดคำว่าไม่ชอบ เพราะเตยรู้สึกว่ามนุษย์มีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบ แล้วถ้าเข้ามาใน Rhythm Of Arts Creative Space ของเรา คุณก็มีหน้าที่เดียว ก็คือ ค้นหาตัวเอง แล้วสนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่าง เตย ตอนเป็นผู้กำกับ จากที่เราเรียนจบกำกับการแสดงมา แต่พอในมาใช้ชีวิตจริง สมัยนั้นประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่เราจะหาเงินได้ด้วยการทำละครเวที สมัยนี้อาจจะดีขึ้นแล้ว ซึ่งสมัยเตย เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้กำกับละครเวทีที่หาเงินไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์ แล้วมันไม่ใช่แค่เรา คนรอบข้างในวงการละครเวทีสมัยนั้นก็มีปัญหาแบบเดียวกัน จนเรารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ศิลปะที่เราถนัด เพราะถ้าเราถนัด เราจะหาข้อดีจนเราทำต่อไปได้ เตยก็เลยเลือกที่จะไม่ทำละครเวทีแล้ว”เมื่อรักที่ผิดหวัง ทำให้เกิดเพจสุดฮีลใจ teayiiartsworks“ถ้าถอดบทเรียนจากตัวเอง เตยว่า ความรักที่ผิดหวังของเรา เกิดจากวินาทีที่เราไม่ห้ามใจ เรารู้ดีว่าบางความสัมพันธ์เราไม่ควรเข้าไป บางความสัมพันธ์มันจะเป็นพิษทีหลัง แต่ด้วยความที่เราไม่ห้ามใจ แล้วพอเอาตัวเองเข้าไปในความสัมพันธ์ กลายเป็นเหมือนรอวันที่เราจะโดนเผา แล้วคนที่จุดไฟเผานั้นไม่ใช่ใคร แต่คือตัวเราที่จุดไฟเผาตัวเอง เตยว่าสุดท้ายแล้ว อย่าหลอกตัวเองดีกว่า ความผิดหวังเกิดจากการที่เราพยายามปิดบังมัน แล้วการปิดบังนั้นส่วนใหญ่มันคือสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ หลายต่อหลายเคสที่เราเห็นเป็นกองเพลิง แต่เราก็ชอบ อยากลองลุยไฟ แม้เคยมีคนเตือนว่าเตยยี่เธออย่าเข้าไปหาคนนี้นะ แต่เราตัดสินใจเดินเข้าไปเลยteayiiartsworks มันเกิดจากที่เตยชอบเอาคืนความทุกข์ บางคนอาจจะบอกว่าทุกข์แล้วมีคุณค่า แต่เตยว่าทุกข์แล้วต้องเอาคืน เพราะเราเสียเวลาร้องไห้กี่วันกี่เดือนกี่ปี เตยก็เลยรู้สึกว่าทุกความทุกข์ของเตย เตยจะจดไว้เสมอว่าทุกข์แล้วเตยได้ยินเสียงอะไร เช่นมีอยู่เคสหนึ่งพิมพ์หากันเช้าจรดเย็น แล้วอยู่ ๆ หายไป จนเรารู้สึกว่า มันจะมีการพิมพ์แบบไม่มีสถานะ เหมือนที่เด็กสมัยนี้ชอบรายงานกัน ณ วันนั้นเตยจดไว้เลยว่า เอเอ็มทูพีเอ็มไม่อยากพิมพ์หาเธอแล้ว เตยก็เลยเอามาทำเป็น Exhibition ชื่อว่า AM Till PM ไม่อยากพิมพ์หาเธอแล้ว จากความรู้สึกอึดอัดในวันที่เราเหมือนโดนบังคับให้พิมพ์หาอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้อยาก หรือบางวันเกิดคำถามว่า เราอยู่ในสถานะไหนนะ เราเป็นใครทำไมเราต้องไปพิมพ์หาเค้า เตยก็เลยสะสมความอึดอัดแต่ละช่วงเวลา ในความรู้สึกที่เราเจอแต่ละเคสมา แล้วก็เอาคืนมันโดยการทำ Exhibitionตอนเปิดเพจแรก ๆ พอโพสต์ภาพไป เรายังต้องบังคับให้เพื่อนรอบตัว 50 คนมาช่วยกดไลค์ให้หน่อย และช่วงแรก ๆ เตยจะเขียนอะไรที่เราควรจะรู้สึก มันจะดูฟุ้งซ่านไปหน่อย เพราะเราไม่อยากทุกข์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเขียนสิ่งที่เราทุกข์จริง ๆ หรือเกิดขึ้นในวันนั้นจริง ๆ มันทัชใจคน และเริ่มมีคนชอบผลงานเรามากขึ้นจนถึงทุกวันนี้เตยอยากบอกว่า ความรักมันน่ากลัว เพราะความรักมันจะมาพร้อมอารมณ์ที่หลากหลายมาก ทั้งความคาดหวัง การตั้งคำถาม ความเจ็บปวด แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ความรักให้เราได้เสมอคือความจริง มนุษย์มีหน้าที่เผชิญหน้ากับความจริง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้เตยเดินผ่านความเจ็บปวดจนมาถึงคำว่าความรัก เพราะเตยเป็นคนไม่ทอดทิ้งความจริง เวลาเศร้า เตยเศร้าจริง ๆ เวลาเค้าไม่รัก เตยยอมรับจริง ๆ ว่าเค้าไม่รักเตยแล้ว เค้าปฏิเสธเตย เตยยอมรับว่าเค้าปฏิเสธเตย แต่สิ่งหนึ่งที่ความจริงที่มันพรากเตยไม่ได้คือ เราไม่ใช่มนุษย์ที่ไม่มีค่า เราเป็นมนุษย์ที่ควรได้ความรัก แล้วความรักนั้นควรจะเริ่มจากการที่เราปรับปรุงตัวเองก่อน ตราบใดที่เราไม่ปรับปรุงตัวเอง หรือไม่เผชิญหน้ากับความจริง เราจะไม่ได้สัมผัสความรักที่แท้จริง”จากรักที่สมหวัง สู่ Exhibition ที่เคารพในความรักที่ตามหามาตั้งนาน“ความรักครั้งล่าสุด เราเจอกันในแอพพลิเคชั่นหาคู่ของลูกค้าค่ะ เป็นแอพที่ลูกค้าเคยจ้างเตยให้ไปเขียน แล้ว CEO เค้าก็เคยถามว่า เตยยี่สนใจใช้แอพไหม ตอนนั้นเราก็บอกว่ายังไม่อยากใช้เพราะมีแฟนแล้ว หลังจากนั้นเราคิดยังไงก็ไม่ที่ตัดสินใจสมัครแอพแล้วก็ออนไว้ และได้คุยกับคนประมาณ 2-3 คน แต่ก็ไม่ถูกใจ เลยลองปรับขยายช่วงอายุของคนที่เรากำลังมองหาดู จนมีวันหนึ่งเค้าก็ทักมา ตอนนั้นเราก็ยังคิดว่าจะขอคุยใน IG ได้ไหม แต่เค้าไม่เล่น IG แอคเคาท์ของเขาเป็นเหมือนหญิงสาวปริศนา เราก็เลยตัดสินใจให้ Line เค้าไป แล้วก็ได้เห็นหน้าจนรู้ว่าคนนี้มีตัวตน แล้วไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เริ่มอยากเจอหน้า เพราะจะได้รู้ไปเลยว่า คุยต่อหรือไม่คุย ก็เลยนัดเจอกัน พอได้เจอกันต้องบอกว่าความรักครั้งนี้มันเกิดขึ้นไวมาก เหมือนวันนั้นเค้ามาซบตรงไหล่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย เหมือนเค้าเหนื่อย เราก็เลยให้ซบ แล้วเราก็เกร็ง ตัวแข็งขึ้นมา คิดกับตัวเองว่าทำไมเราให้ผู้หญิงคนนี้ซบ อ้อมกอดในวันนั้น เป็นความรู้สึกเหมือนเราเคยกอดเค้ามาแล้ว และพอได้มาคุยกับแฟนเตย เค้าก็บอกว่า เค้าเองก็ไม่ได้ใจเต้นกับเตยเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน2 วันถัดมา เราก็โทรไปหาเค้า บอกก่อนว่าแฟนเตยโสดมา 5 ปี มันไม่แปลกเลยที่เค้าจะมีคนที่เค้าคุยเทียวไปเทียวมาอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ส่วนเราโสดประมาณ 5 เดือน พอถึงเวลาเตยก็เลยพูดกับเค้าไปว่า ถ้าวันนี้ยังคุยกับคนอื่นอยู่ เตยปล่อยให้คุยนะ เพราะเราไม่ได้เป็นไรกัน เค้าก็พูดหยอดขึ้นมาว่า ก็ถ้าเป็นแฟน เค้าจะเลิกคุย ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นไรกัน เค้าจะยังไม่เลิก แล้วพอได้คุยกันต่อก็มีจังหวะที่เค้าหลุดพูดขึ้นมา เหมือนเค้าเรียกเราว่าที่รัก เราก็ช็อค เพราะคนมันเจอกันไม่กี่วัน มันไม่มีใครเรียกว่าที่รักหรอก จนเริ่มมืด เริ่มมีบรรยากาศของการจุดเทียน ดื่มไวน์นิดนึง ก็เริ่มมองหน้าเค้าแล้วรู้สึกว่า เราไม่อยากซ่าต่อแล้ว อยากลองมีความรักอีกครั้ง ก็เลยหันไปพูดกับเค้าว่า ที่รักเป็นแฟนกันมั้ย แล้วเค้าก็ตัวแข็ง เหมือนกันเค้าก็ช็อค เตยเองก็ช็อค เค้าก็ถามว่าจริง ๆ ใช่มั้ย เตยบอกจริง งั้นเป็นแฟนกันแล้วนะ จากนั้นด้วยความที่ว่าเราขอเค้าเป็นแฟนก่อนที่เราจะเปิด Exhibition วันนั้นเราก็เปิดตัวเลย ซึ่งเพื่อนรอบข้างยังไม่เชื่อเลยว่าเราคบกัน ทุกอย่างมันไวมากมีคำพูดจากเค้าที่เตยชอบ เค้าพูดกับเตยว่า ความรักเราไม่มีคำว่าพลาดนะ ซึ่งเมื่อก่อนเราเคยอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Open Relationship ด้วยซ้ำ ความรักที่ผ่านมาของเตยมันไม่ได้จำเป็นต้องมีสองคน แล้ววันนี้เรามาเจอใครสักคนที่แบบเราเห็นเค้า แล้วเราอยากเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง เราอยากเชื่อในอ้อมกอดเค้า เราอยากเชื่อในวันที่บอกรักเค้าวันแรก แล้วเราอยากเชื่อแม้กระทั่งว่า วันนี้มันจะเป็นความรักที่ไม่ทำร้ายหัวใจเรา และจากรักที่สมหวัง เตยก็ได้มี Exhibition ชื่อว่า เหมือนอยู่ในความฝันที่ฉันไม่ได้ฝันแต่เพียงผู้เดียวปกติ Exhibition ของเตยยี่ เมื่อก่อนจะเขียนว่า Exhibition นี้ เคารพในรักที่เป็นไปไม่ได้ เคารพในความคิดถึง มันจะมีคำว่าเคารพ และ Exhibition นี้ เตยเขียนว่า Exhibition นี้ เคารพในความรักที่ตามหามาตั้งนาน เป็นงานแรกที่เราทำด้านความรัก เพื่อเป็น Exhibition ที่ขอแฟนแต่งงานที่ผ่านมามันจะมีช่วงหนึ่งที่เตยคุยกับคนเยอะมาก ๆ เตยไม่มีช่วงว่างให้ตัวเองเลย จนก่อนทำ Exhibition ชื่อว่า EMSPHERE x TEAYII ช่วงนั้นมันมีเวลาว่าง 1 สัปดาห์ที่เตยอยู่เฉย ๆ ก็พูดว่า ไม่อยากคุยกับใครแล้ว เป็นช่วงที่เราล้างเอ็นเนอร์จี้ตัวเอง หลังจากนั้นเราก็พูดกับตัวเองว่าความรักที่ดีไม่ได้เกิดจากคนอื่นเลยนะ เกิดจากตัวเราที่เปลี่ยนเอเนอร์จี้ตัวเรา ถ้าเราเชื่อว่าเรามีคุณค่า มันจะทำให้เราเจอคนที่ชัดเจนกับเรา แล้ว ณ วันนั้น พอเตยเปลี่ยนเอนเนอร์จี้ตัวเอง เตยก็ได้เจอแฟนคนปัจจุบันที่เตยขอเค้าแต่งงานคือ คุณลูกปัด เราเลยรู้ว่า พอเราเปลี่ยนอินเนอร์ข้างใน เราก็เลยได้เจอคนที่พร้อมจะจริงจังแล้วก็จริงใจกับเราเหมือนกัน”เป้าหมายต่อไป จากความตั้งใจของ เตยยี่“การจัด Exhibition เตยเชื่อว่า ปัจจุบันมันยาก เพราะมีความคาดหวังที่มากขึ้น มันยากเพราะว่าเราไม่ได้ต้องดีลแค่ความต้องการตัวเอง แต่เราต้องดีลกับความต้องการของผู้คนที่มาเดินใน Exhibition ด้วย ดังนั้นเตยเลยรู้สึกว่า ถ้าจะเริ่มทำ Exhibition จริง ๆ ควรเริ่มจากสิ่งที่เราอยากเล่า แล้วจากนั้นค่อยหาคอนเซ็ปต์ว่า วันนี้เราอยากเล่าอะไรExhibition ต่อไป เตยอยากให้มาจากห้วงอารมณ์ เช่น ความเหงา อยากทำ Exhibition ชื่อว่า โตขึ้นแล้วเหงาจริง ๆ ด้วย เตยว่ามันเกิดจากอารมณ์ ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกแล้ว แล้วก็บันทึกเก็บไว้ แล้วค่อยมาพัฒนาเป็น Exhibition ค่ะอีกหนึ่งความฝัน เตยอยากเป็นดีเจเตยยี่ค่ะ ไม่ใช่ดีเจจัดวิทยุนะ อยากเป็นดีเจเปิดแผ่น อยากสแครชแผ่นแล้วยิงคำของตัวเองขึ้นจอ เปิดเพลงแบบโจ๊ะ ๆ ท่ามกลางปาร์ตี้”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก เตยยี่“เตยว่าศิลปะเป็นพื้นที่ที่ไม่ตัดสินใครเลย เตยจึงมองว่าศิลปะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคน เตยจำคำหนึ่งของครูได้คือ ศิลปะไม่มีคำว่าผิด มีแค่คำว่าชอบ หรือไม่ชอบ เตยว่าวันใดวันหนึ่งที่เราอาจจะรู้สึกว่าเศร้า หรือเหงา ลองกลับมาหาคำว่า Art Therapy ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าคลาสอย่างเดียว อาจจะเป็นช่วงที่เราอาบน้ำ แล้วก็ปิดไฟจุดเทียน เปิดเพลงสักเพลงหนึ่ง ที่ไม่ต้องมีเนื้อก็ได้ แล้วเราชอบฟัง แล้วก็อยู่กับวินาทีที่น้ำสัมผัสตัว เตยว่านี่ก็คือ Art รูปแบบหนึ่ง เตยว่าสุดท้ายแล้ว ศิลปะเป็นพื้นที่ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนได้เป็นมนุษย์” – เตยยี่ ประภัสสรพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

05 ก.ย. 2024

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิต รับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับสองนักแสดงนำจากภาพยนตร์กระแสแรง “วิมานหนาม” นั่นคือ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ที่ล่าสุดขึ้นแท่นหนังไทยทำรายได้ทั่วประเทศ 100 ล้านบาท!วิมานหนาม เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความไม่เท่าเทียม ผ่านการเล่าเรื่องราวของ ทองคำ (เจฟ-วรกมล ซาเตอร์) และ เสก (เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์) คู่รักหนุ่มชาวสวนที่ช่วยกันปลูกบ้าน และทำสวนทุเรียนบนที่ดินของเสกที่ติดจำนองอยู่ ทองคำใช้เงินก้อนใหญ่ทั้งหมดในชีวิตไถ่ถอนที่ดินให้เสก จนได้มาซึ่งโฉนดที่ดินอันเปรียบเสมือนทะเบียนสมรสของคนทั้งคู่แต่แล้วเสกเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต บ้านและสวนจึงต้องตกเป็นของ แม่แสง (สีดา พัวพิมล) แม่ของเสก ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และ โหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวบุญธรรม ที่เข้ามาถือสิทธิ์ครอบครองวิมานแห่งนี้ พร้อม จิ่งนะ (เก่ง หฤษฎ์) น้องชายของโหม๋ ที่เข้ามาเพื่อเรียนรู้วิธีการทำสวนทุเรียน ความขัดแย้งในเรื่องของกรรมสิทธิ์จึงเริ่มต้นขึ้นซึ่งกว่าจะมาเป็นภาพยนตร์กระแสแรงแบบนี้ ต้องผ่านหลากหลายกระบวนการ จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจของนักแสดง และทีมงานทุกฝ่าย สีสันแรงบันดาลใจ พร้อมมุมมองข้อคิดดี ๆ ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการเปิดเสน่ห์ของ วิมานหนาม หนังที่ดูรอบเดียวไม่พอ!เจฟ : “ผมว่าซาวด์ในเรื่องมันมีเสน่ห์อย่างหนึ่ง เนื่องจากเค้าถ่ายโดยมีความเป็นต่างจังหวัด แล้วซาวด์ที่เค้าใช้ มันเป็นการอัดจากเครื่องดนตรีที่เป็นพื้นบ้านจริง ๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่ที่นั่นจริง ๆ โดยเราใช้เครื่องสายของภาคเหนือ มันเลยมีเสน่ห์มากครับ”อิงฟ้า : “ทุกคนที่ได้ดูหนัง เค้าจะรู้สึกว่าดูรอบเดียวไม่พอ เพราะว่าส่วนมากฟีดแบ็คที่เราได้รับจากรอบกาล่า เหมือนทุกคนรู้สึกว่าต้องกลับมาดูอีกรอบนึง แล้วใน 2 ชั่วโมงที่หนังดำเนินเรื่องไป บางทีคนอาจจะคิดว่า วิมานหนามมันคือมาแย่งชิงสมบัติกันอย่างเดียวรึเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว ตั้งแต่ต้นเรื่องมันนำเสนอเรื่องราวหลายอย่าง มันมีความสวยงามอยู่ในนั้น โดยเฉพาะจังหวัดที่เราเลือกไปถ่ายคือ แม่ฮ่องสอน เพราะผู้กำกับเค้าก็เลือกว่าจะถ่ายจังหวัดไหนดี แล้วพบว่า แม่ฮ่องสอน มีรายรับทางเศรษฐกิจน้อยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยเลย แล้วความโชคดีก็คือ วันที่เราฉายวันแรก ก็มีข่าวดีของจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ที่สามารถปลูกต้นทุเรียนได้ ก็เลยกลายเป็นว่า มันเป็นซอฟท์พาวเวอร์อีกหนึ่งอย่าง ที่เราก็รู้สึกว่า Complete และเราก็ภูมิใจกับเรื่องนี้มาก ๆหนูว่า 2 ชั่วโมงที่เข้าไปอยู่ในโลกของวิมานหนาม จริง ๆ ตัว Trailer ที่ทุกคนเห็น อาจจะเห็นแค่ความเข้มข้น หรือความรุนแรง ซึ่งนั่นมันแค่จุดเล็ก ๆ เพราะในเรื่อง สิ่งที่คนยังไม่ได้เห็นคือความสวยงามของความสัมพันธ์ที่เราจะค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ไป หลายคนฟีดแบ็คกลับมาว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย และหนูเชื่อว่า ถ้าได้ไปดูรอบนึง ยังไงก็ต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้อีกรอบนึงแล้วก็ปกติ GDH เค้าจะทำฟีลกู๊ดใช่มั้ย แต่นี่ก็จะเป็นฟีลกรี๊ด และมันมีการกรี๊ดหลายและอีกหนึ่งอย่างที่อยากให้ไปดูก็คือฝีมือการแสดงของนักแสดงเรื่องนี้ เพราะว่าเราตั้งใจกันจริง ๆ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เราไปถ่ายทำกัน แต่ละจังหวัดที่เราไป หรือแม้กระทั่งนักแสดงทุกคน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้มาทำงานร่วมกัน จนมันออกมาเป็นวิมานหนาม ที่ทุกคนห้ามพลาดจริง ๆ แล้วห้ามไปดูคนเดียวด้วยค่ะ”การเล่นหนังครั้งแรก ยากง่ายขนาดไหน?เจฟ : “ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นละครเวทีมา มันจะเป็นไดอาล็อคที่ไม่ได้ร้องเพลง และเป็นซีนต่อซีน แล้วก่อนหน้านั้นก็เคยเล่นซีรี่ส์มา ซึ่งซีรี่ส์น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นภาพยนตร์ที่สุด เพราะว่ามันจะเล่นแบบนิดเดียวเพราะกล้องมันจับที่หน้าเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่สามารถโกงความรู้สึกได้ และเราต้องรู้สึกจริง ๆ ในทุกซีน แล้วสำหรับผมเอง ผมไม่สามารถคิดไปก่อนว่าเข้าไปแล้วเดี๋ยวจะเล่นตาประมาณนี้ เพราะมันคิดไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เราทำการบ้านไปก่อน เตรียมตัวกับตัวละครทองคำให้มันแบบแน่นไปก่อนเลย เขียนประวัติที่เรารู้สึกว่าทองคำต้องเป็นแบบไหนแล้วกลายเป็นว่าเล่นภาพยนตร์เรื่องแรก มันตื่นเต้นเป็นกังวลไปหมดเลย กังวลอยู่ครึ่งปีกว่าจะถ่ายทำ มันกังวลว่าเราจะทำออกมาได้ดีไหม เพราะว่ามันมีความกดดันหลายอย่าง แล้วตอนแรกเราปฏิเสธไปแล้วด้วย แต่พอได้คุยกับพี่บอส แล้วผมรู้สึกว่า ถ้าสมมติเราได้เล่นเรื่องนี้ มันน่าจะพาเราออกไปจากความเป็นคอมฟอร์ทโซนของการเป็นนักแสดงได้อีกขั้นหนึ่งเลย ซึ่งก็ทำแบบนั้นได้จริง ๆทองคำ กับ เจฟ มุมหนึ่งเหมือนกันมาก อย่างเช่นแบบความเป็นคนที่โดนหลอกง่าย แต่ในอีกมุมนึง เค้าเป็นคนที่สู้ชีวิตกว่าเราเยอะมาก เท่าที่ผมเขียนประวัติไว้ ตัวทองคำมันมีความต้องใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเองดิ้นรนออกไป เพราะว่าชีวิตไม่ได้โตมาบนกองเงินกองทอง เพราะฉะนั้นเค้าก็จะมีความเป็นนักสู้สูงสุด ซึ่งการจะเล่นเป็นทองคำเลยยาก ก็ต้องใช้วิธีการไปลองทำสวน ไปเวิร์คช็อปอยู่ในสวนทุเรียนจริง ๆ และมันเป็นเรื่องของจิตวิทยาด้วย เราเคยเจอเคยผ่านเรื่องอะไรมาก็ต้องเอาออกมาใช้ให้หมดหน้าตัก”อิงฟ้า : “เล่นหนังเรื่องแรก ใช้คำว่าอ่วมค่ะ แต่การตัดสินใจรับเล่นเราใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ เพราะว่าเราดูองค์รวมหลาย ๆ อย่าง ดูจากผู้สร้างก็คือ GDH เราก็รู้อยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนคลับภาพยนตร์ของเค้า แล้วผู้กำกับก็เป็นพี่บอสด้วย รวมถึงนักแสดงร่วมที่แต่ละคนจะได้เล่น จนมาถึงวันรันทรู ได้ลองเล่นด้วยกันแล้วมันอิน แค่เราอ่านบท เราก็รู้สึกอินไปแล้ว ขนาดเรายังไม่ได้กระโจนลงไปเล่นจริง ๆ แล้วก็ไปทราบสถานที่ที่เราจะได้ไปอีก ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมากเลย เรารู้สึกว่ามันท้าทาย แล้วถ้าเราทำถึง หนูว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่คนไทยยังไม่ได้มีแนวนี้มากมาย และก็น่าจะต่อยอดให้กับเราได้เช่นเดียวกันสำหรับเราเองก็มีความกดดันค่ะ แต่ความโชคดีของหนูก็คือ พี่บอสเค้าดีมาก ๆ ในการที่จะพรูฟเราว่า ในแต่ละฉากมันจะต้องไปแบบไหน แล้วเค้าก็ไม่เคยกดดันหนูเลยว่าจะต้องเล่นแบบนี้ นะ เค้าจะให้หนูลองดีไซน์ออกมาก่อน แล้วเวลาหนูลองดีไซน์ออกไปแล้วพี่บอสเค้าชอบแล้วหนูคิดว่า หนูจะเล่นเป็นตัวโหม๋ขนาดนั้นไม่ได้ ถ้าหนูไม่ได้เจอทองคำในเวอร์ชั่นที่เป็นเจฟ เพราะรู้สึกว่าพอมันไปด้วยกัน และความเป็นศิลปินทั้งคู่ เจฟก็เป็นคนที่ชอบทำงาน เราเองก็เป็นคนที่ชอบทำงาน แล้วมันเหมือนเคมีที่มีเอเนอร์จี้เยอะ อยากให้งานมันออกมาดี มันเลยพุ่งไปสุด เธอมาขนาดนี้ ฉันจะต้องขนาดนี้ เพราะว่าหนูเชื่อว่า การแสดงถ้าคนส่งดีเราก็จะเล่นได้ดีด้วย ก็เลยออกมาเป็นวิมานหนามที่แบบเดือดมากและสนุกมาก”ความทุ่มเทของ อิงฟ้า กับบทบาท “โหม๋”อิงฟ้า : “หนูเพิ่งรู้ว่า การร้องไห้ มันไม่ได้เกิดจากการเสียใจแค่อย่างเดียว มันมีหลายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่มาเล่นหนังกับพี่บอส อย่างเช่น มันมีดีใจหลายแบบ เสียใจหลายแบบ โกรธหลายแบบ ทำให้รู้สึกว่าการแสดง มันไม่ใช่แค่กระดาษหน้าเดียว บางทีมันมีหน้าหลังด้วย และทำให้เราท้าทายตัวเองมาก แล้วเรื่องนี้หนูก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกันกับบ้านที่เราถ่ายทำ มันเป็นความรู้สึกผูกพัน เพราะว่าบ้านหลังนี้ ปกติเวลาหนูไปถ่ายงาน เราก็จะไปกลับ แต่เรื่องนี้คือเราไปใช้ชีวิตกันที่นั่น นอนที่จังหวัดนั้นเลย แล้วบ้านหลังนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ เรารู้สึกผูกพันกับสถานที่ตรงนี้ แล้วพอเราจะต้องกลับจริง ๆ เรารู้สึกว่าฉันขอบคุณเธอนะ โหม๋ ที่มันมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ หนูรู้สึกว่ามันมี โหม๋ อยู่บ้านหลังนี้จริง ๆ มันมี ทองคำ มันมี แม่แสง มันมีทุกคนอยู่ตรงนี้ แล้วพอวันที่เราจะต้องกลับไปเป็นอิงฟ้า เราก็รู้สึกขอบคุณ แล้วก็รู้สึกผูกพันกับตัวละคร และเชื่อว่าวันหนึ่งคนจะรู้จักเธอมากขึ้น”เจฟ กับการเรียนรู้จากบทบาทของ “ทองคำ”เจฟ : “ผมพูดเรื่องความไม่เท่าเทียมมาตลอด ทั้งเรื่องกฎหมาย หรือว่าเรื่องอะไร แต่พอเราได้รู้จัก ทองคำ จริง ๆ มันกลายเป็นว่า เราเข้าใจเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก ทองคำ เป็นตัวแทนของคนที่ถูกกระทำมา ซึ่งกฎหมายก็จะผ่านแล้ว แต่กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราอินกับตรงนี้มาก ๆ แล้วพอเข้าไปเล่น ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่จริง ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวนทุเรียน กับความเป็นอยู่แบบต่างจังหวัด มันก็สอนให้ผมเรียบขึ้น มีความสุขแบบง่าย ๆ และพี่บอสจะเป็นคนคอยบอกว่า หันไปมองบ้าน เนี่ยบ้านเรา หันไปมองสวน เนี่ยสวนเรานะ เค้ากำลังจะทำอะไรกับสวนเรารึเปล่า ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันกับบ้าน ผูกพันกับสวน แล้ว ทองคำ เค้าก็สอนเราในหลายเรื่องมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เค้าสอนให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น และเป็นมนุษย์มากขึ้น”การร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือ "สีดา พัวพิมล" และ “เก่ง หฤษฎ์”เจฟ : “เวลาเข้าฉากด้วยกัน เค้าเรียกตัวเองว่าน้องสีดา และเค้าจะโกรธถ้าเรียกเค้าว่าพี่ หรือป้า ห้ามเลยครับ ต้องเรียกน้องสีดา เหมือนเพิ่งเดบิวต์การแสดงใหม่”อิงฟ้า : “หนูรู้สึกว่าแม่คือระดับปรมาจารย์ของหนูเลย เค้าจะคอยสอนตลอดว่า เวลาเราจะร้องไห้ ขอให้รู้สึกจริง จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราร้องไห้จนตาเราเริ่มแห้งแล้ว น้ำตาเริ่มมายากแล้ว เค้าก็จะถามว่า ให้แม่ช่วยมั้ย แล้วเรารับส่งให้กันก่อนเข้าฉาก ซึ่งในกองนี้ดีอย่างหนึ่งคือนักแสดงทุกคนช่วยเหลือกันดีมาก มันเลยออกมาดี ตัวแม่สีดาเอง หนูเชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเค้าคือแม่แสงจริง ๆ มันเลยอินกันมาก ๆ”เจฟ : “จริง ๆ ไม่ต้องเข้าบทเลย แค่เดินเข้ามาในซีนก็เชื่อแล้ว มันมีซีนหนึ่งที่ผมเล่น ซึ่งมันจะเป็นซีนที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งมันแค่ต้องนั่งฟังเค้า แต่กลายเป็นว่าซีนนั้นน้ำตามันไหลออกมาเอง ด้วยความที่เค้าเล่าเรื่องแล้วมันถึง มันเข้าใจตอนนั้นเลยว่า นี่เราไปอยู่ในเรื่องแบบ 100% เลย แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ยอมรับเลยว่าแม่ทำถึงมาก”อิงฟ้า : “สำหรับตัวน้องเก่งเอง วันที่เราเวิร์คช็อปกัน ตอนแรกเหมือนเราก็ยังหากันไม่เจอ ยังหาความเป็นพี่น้องไม่เจอ ด้วยความที่ตัวละครมันต้องมีแบ็คกราวด์ที่มากกว่า 20 ปี หนูก็เลยเล่าเรื่องอะไรสักเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้เค้ารู้ว่าเราไว้ใจเค้า ก็เลยเล่าให้เค้าฟัง น้องเก่งก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเราเปิดที่จะให้ จิ่งนะ ยอมรับว่า โหม๋ คือพี่ของเค้าจริง ๆ แล้วน้องเก่งก็เปิดใจด้วย แล้วหลังจากเวิร์คช็อปไป ทุกอย่างมันราบรื่น แล้วตอนถ่ายทำ เราก็พยายามชวนน้องไปกินข้าวเพื่อที่เวลาเราเข้าฉากมันจะได้ไม่เกิดความเกร็งกันเกิดขึ้น ซึ่งตัวน้องเองเป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าเค้าก็เหมือนน้องเราจริง ๆ และความยากของ โหม๋ และ จิ่งนะ ก็เยอะ โดยเฉพาะเรื่องของภาษา ที่ต้องใช้ภาษาไทใหญ่ในการสื่อสาร แล้วมันต้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งน้องก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ”ความ(ไม่)เท่าเทียม ที่มีอยู่ในหนัง “วิมานหนาม”อิงฟ้า : “ถ้าเป็นเรื่องของความเท่าเทียม หนูมองว่าอาจจะหนักในเรื่องของเพศสภาพ ของ ทองคำ แต่ว่าตัว โหม๋ ก็จะหนักไปทางการเลี้ยงดูและความเป็นคนในสังคมมากกว่า ที่ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนมันเหมือนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องแต่ละอย่างของตัวเอง มันก็เลยออกมาเป็นรูปแบบของการสะท้อนสังคม หนูว่ามันมีเรื่องเหล่านี้ในสังคมจริง ๆ แต่แค่อาจจะไม่ได้ถูกตีแผ่ออกมาเป็นลักษณะภาพยนตร์ที่มันชัดเจนขนาดนี้”เจฟ : “ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของความสุข และความรัก ความรักที่มันไม่เท่าเทียมกัน ความสุขที่มันไม่เทียบเทียมกัน เราจะได้เห็นคนที่เจอความสุขมาจนชิน ได้รับความรักจนเคยชินแล้วรู้สึกว่าเจอแบบนี้ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรมาก แต่คนที่เค้าไม่เคยได้รับความรักมาเลย กลายเป็นว่าแค่ได้ความรักนิดเดียว เค้าก็รู้สึกว่ามันมากแล้ว ซึ่งเราจะได้เห็นผ่านสายตาของ แม่สีดา และ โหม๋ หรือ ทองคำ ทำทำให้เราให้คุณค่ากับความธรรมดา ความรู้สึกที่มันง่าย ๆ มากขึ้น”เบื้องหลังกว่าจะเป็นซีนปาลูกทุเรียนที่หลายคนสนใจอิงฟ้า : “ฉากที่ทุกคนเห็นที่โยนทุเรียนกัน ฉากนั้นเราถ่ายตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงเกือบ 6 โมงเช้าของอีกวันนึงก็ยังไม่สำเร็จ มันคือจุดพีคของหนังที่จะเป็นจุดไคลแม็กซ์อะไรหลาย ๆ อย่าง ในโมเม้นท์ตรงนั้น แล้วความเป็นพี่บอส เค้าจะไม่ปล่อยผ่านเลย เค้าจะต้องทำออกมาให้มันสมบูรณ์ที่สุด บวกกับทีมงานทุกคนก็เซฟแล้วแหละ แต่มันก็จะต้องมีเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งซีนนั้นเรียกได้ว่าเราถ่ายกันหลายรอบกว่าจะออกมาดีที่สุด ที่ทุกคนจะได้ดูในโรงภาพยนตร์”เจฟ : “มันเป็นทุเรียนที่มีทั้งทุเรียนจริง และทุเรียนที่ม็อกอัพขึ้นมาเพื่อให้มันเป็นความเซฟตัวละคร แต่บางทีมันก็มีบางจังหวะที่พลาด แต่ผมว่าที่ฉากนั้นมันยาก เพราะด้วยความที่มันต้องระวังเยอะ แล้วในจังหวะนั้นคือเราทั้งคู่เหนื่อยมากแล้ว คือผมตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วถ่ายถึงประมาณตี 2 ซึ่งพี่บอสก็บอกว่าให้เล่นไปก่อนนะ ผมก็เล่นไปโดยที่ตอนนั้นหัวโล่งละ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเล่นยังไง ผมเลยปล่อยไหล จนพี่บอสบอกว่า เมื่อกี๊มันเมจิคมากเจฟ เค้าปล่อยให้ตัวละครได้นำพาเราไปในจุดที่ไม่ต้องคิดก่อนว่าจะเล่นยังไง”“เหมือนวิวาห์”…แค่มีเธอ อยู่ที่ไหนก็เหมือนงานวิวาห์ของเรา“ยามเมื่อฝน เทลงมา เดาว่าฟ้านั้นอวยพรให้ความรักเราทั้งสองครองคู่ไปนิรันดรฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงยื่นมือให้ฟ้าท่านเถิดฝนที่เทลงบนมือเราดั่งงานวิวาห์หากวันใด เจอพายุ คงไม่กลัวสักเท่าไหร่ต่อให้ฝนสาดดวงใจ รักจากเธอนั้นปลอบฉันฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงเต้นรำยามฟ้ากระหน่ำขอแค่มีเธอทุก ๆ วัน ก็เป็นเหมือนวิวาห์”เจฟ : ตอนบรีฟเพลงนี้เค้าไม่ได้บรีฟอะไรนะครับ พอเค้ารู้ว่าเราอยากมีเพลง แล้วผมก็เอากีต้าร์เข้าไป แล้วไปนั่งเล่นให้เค้าฟัง แล้วผมก็เล่าให้เค้าฟังว่า เดี๋ยวท่อนแรกมันจะเป็นพิณนะครับ แล้วก็ท่อนฮุคก็จะประมาณนี้ ลองเล่นให้เค้าฟัง แล้วเค้าก็ซื้อเลย จำได้ว่าดราฟแรกส่งไปก็คือเอาเลยเพลงที่ผมแต่ง กับเพลงประกอบเรื่องนี้ แตกต่างมากเลยครับ เพราะหลาย ๆ เพลงที่ผ่านมา ผมก็จะอิงจากตัวบทของหนังเป็นหลัก ฟิลลิ่ง เนื้อหาเพลง อย่างเช่นเพลง เหมือนวิวาห์ มันก็จะมีความเป็นภาคเหนือ ฟังแล้วนึกถึงความคันทรี่ไซด์ ความเป็นสวน แล้วก็แบบอยากให้มันสื่อสาร สมมติเราดูภาพยนตร์จบ แล้วพอกลับมาฟัง เราก็ยังได้อยู่ในโลกนั้นอยู่ ผมว่าเพลงประกอบที่ดีคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราฟัง เราจะนึกถึงวันนั้น ซึ่งตัวหนังก็จะเป็นมวลที่เป็นโลกที่เค้าสร้างขึ้นมาซึ่งหาจากไหนไม่ได้แล้ว และผมว่าภาพยนตร์ที่ดี คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าไปในโลกนั้น พอออกมา เราจะหาโลกที่เหมือนกันไม่ได้ วิธีเดียวก็คือกลับไปดูใหม่เพื่อให้เราได้ Mood นั้น หรือไม่ก็ฟังเพลงประกอบเพลง เหมือนวิวาห์ ผมจำได้ว่าใช้เวลา 3 วัน เริ่มจากขึ้นมาเป็นโครงก่อน แล้วก็เพลงนี้ มี วีวี่ ช่วยเขียนด้วย ก็คือผมขึ้นมาเป็น ยามเมื่อฝนเทลงมา....ฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย...แล้วก็เว้นว่างไว้ให้ช่วยกันเขียน ก็แยกมุมกันไปเขียนแล้วก็กลับมาเจอกัน แล้วถึงได้คอนเซ็ปต์ว่า มันคือความรักที่ บางทีฝนที่เราเจอ มันอาจจะเป็นอะไรที่แบบแย่สำหรับใครบางคน แต่ในเวลาเดียวกัน พอเราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราก็แค่เอ็นจอยกับฝน บางครั้งการที่ฝนตกมันกลายเป็นเหมือนคำอวยพรจากฟ้า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แค่มีเธออยู่ มันเหมือนงานวิวาห์ของเรา ซึ่งไม่ต้องมีงานวิวาห์จริง ๆ ด้วยซ้ำไป”ผลตอบรับจากคนที่ได้ดู “วิมานหนาม”อิงฟ้า : “ผลตอบรับดีเกินคาดค่ะ แล้วก็ดีใจที่คนเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจอยากให้เค้าเห็นจริง ๆ ซึ่งกระแสดีตั้งแต่ช่วงวันกาล่าก่อนที่ภาพยนตร์จะฉาย ก็รู้สึกดีใจที่เห็นหลาย ๆ คนเปิดใจให้กับเรามากขึ้น แล้วก็มองเราถึงเรื่องของความสามารถจริง ๆ แค่นี้หนูก็แบบหายเหนื่อยแล้วหลายคนพูดถึงเรื่องที่หนูหน้าสดในหนังว่าทำไมไม่แต่งหน้าสวย ๆ หนูว่าความสวยสุดท้ายเดี๋ยวเราก็เบื่อ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้นาน มันคือความสามารถ ที่จะทำให้คนจำได้จริง ๆ เพราะหนูเชื่อว่า ผู้หญิง แค่เรามีความมั่นใจ ต่อให้จะเป็นหน้าสดหรือจะเป็นแต่งหน้า ทุกวันนี้หนูโอเคกับตัวเองมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสดหรือหน้าอะไร ทุกคนมีสแตนดาร์ดความสวยงามเป็นของตัวเอง ตัวเราเองโอเคแล้ว พอเรามาเล่นเรื่องนี้ หนูรู้สึกว่ามันก็เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่ง นี่คือ โหม๋ มันไม่ใช่ อิงฟ้า เราจะทำยังไงให้คนรู้สึกว่านี้ไม่ใช่อิงฟ้าเลย แล้วก็นั่นคือสิ่งที่เราได้รับกลับมาหลังจากที่ภาพยนตร์ฉายไปว่า จำไม่ได้เลยว่านี่คืออิงฟ้าตัวจริง เพราะคนก็เห็นเราในพาร์ทการเป็นนางงาม แต่งตัวชุดเดรส รองเท้าส้นสูง แต่เรื่องนี้มันจะไม่เห็นเลย ซึ่งนั่นคือจุดที่หนูอยากให้คนเห็นมากที่สุด และวันนี้ก็คอมพลีทแล้วค่ะ”เจฟ : “แล้วถ้า โหม๋ ใส่ส้นสูงกับผ้าซิ่น จะเข้ากันไหม อย่างที่เราเจอคำถามบ่อยว่า ไม่ห่วงสวยห่วงหล่อเหรอ ผมแค่รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วมันก็สวยงามแหละแต่ด้วยสแตนดาร์ดไหนล่ะ ถ้าคุณเอาบิวตี้สแตนดาร์ดของตัวเองมาวัด มันก็มีได้หลายแบบ ผมว่ามันก็มีความสวยงามของมัน ความไม่เพอร์เฟ็ค มันคือความเพอร์เฟ็ค ในบางที ความสวยงามไม่จำเป็นต้องเอาไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้มาวัดว่าอันนี้สวยหรือไม่สวย ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันถ่ายทอดความสวยงามในแบบนี้แหละ ฉะนั้นดูด้วยความรู้สึกที่ว่า เราเป็นทองคำรึเปล่า อิงฟ้าเป็นโหม๋รึเปล่า แล้วก็ไปเอ็นจอยกับความบิวตี้ของเค้า บิวตี้ของความเป็นธรรมชาติตรงนั้นดีกว่า”อิงฟ้า : “ติดใจการเล่นหนังนะคะ ตอนแรกยอมรับว่ามีบ้างที่คิดว่าทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ สำหรับบางฉากที่มันยากมาก ๆ แต่พอเราได้มาเห็นผลงาน วันที่ได้ดูตัวเองครั้งแรก เห็นชื่อตัวเองอยู่ในจอภาพยนตร์ เราก็ไม่คิดว่า จากปกติเป็นคนธรรมดาที่เราเข้าไปดูคนอื่น วันนี้จะมีผู้คนมากมายเข้ามาดูเรา ได้เห็นชื่อเรา ได้รู้จักเรา ได้เห็นผลงานเรา ก็รู้สึกว่าอยากมีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเรา องค์กร หรือว่าแฟนคลับที่เค้าผลักดันกว่าเราจะมาถึงวันนี้ ให้เค้าได้ภูมิใจไปกับเราอีกเรื่อย ๆ”เจฟ : “มันมีความรู้สึกที่ผมหาที่ไหนไม่ได้เลยยกเว้นการถ่ายภาพยนตร์ คือช่วงเวลาที่นับ 3 2 1 สปีดแอ็คชั่น แล้วช่วงนั้นมันจะเงียบมาก ซึ่งมันเป็นความเงียบที่มีเสน่ห์มาก เพราะว่าช่วงเวลานั้นแหละจะเป็นช่วงเวลาที่เราสลัดความเป็น เจฟ ซาเตอร์ ไปสู่อีกตัวละครหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แล้วส่วนมากผมก็จะไม่ได้เล่นเลย ผมจะรอแป๊บนึงแล้วค่อยเล่น เราเอ็นจอยกับช่วงเวลาที่มันเงียบขนาดนั้น มันก็เลยรู้สึกว่ายิ่งเรามาดูภาพเพลย์แบ็ค มันยิ่งรู้สึกว่าเราชื่นชอบการแสดง มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของพวกเราเอง แต่พอทำเสร็จแล้วรู้สึกว่าเรายังอยากทำสิ่งนี้อยู่ มันเป็นการเล่าเรื่องในแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน การร้องเพลงมันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง แต่การถ่ายภาพยนตร์มันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง ซึ่งสุดท้ายการเล่าเรื่องไม่ว่ารูปแบบไหนมันมีเสน่ห์สำหรับผมเสมอครับ”วิมานหนาม สู่การได้รับเลือกฉายในเทศกาลหนัง โตรอนโตอิงฟ้า : “ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทางผู้ใหญ่ก็แจ้งมาว่า หนังไทยเราไม่ได้ถูกเลือกไปฉายประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ดีใจที่ผลงานของเรามันจะได้ออกไปสู่สายตาของชาวโลก คือเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่นักแสดงอย่างเดียว ทุกคนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของเรื่องนี้ เราผูกพันแล้วเราก็รักกันมาก ๆ เพราะว่าการถ่ายเรื่องนี้มันมีอุปสรรคเยอะ จะบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ลำบากก็ไม่ใช่ มันมีทั้งความลำบากจริง ๆ มีทั้งความเหนื่อยจริง ๆ แล้วก็อยากให้สิ่งที่เราพยายามมันไม่สูญเปล่า แล้วเราก็อยากเป็นตัวแทนของคนไทยที่บอกให้โลกรู้ว่า หนังไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยก็เก่งเหมือน”มุมมองความรัก จาก เจฟ ซาเตอร์เจฟ : “ผมมองความรักเท่ากันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ผมพูดอยู่เสมอว่า ไม่ควรจะมีคน ๆ ไหนถูกด้อยค่าในความรัก แล้วทุกความรักควรจะถูกปกป้องด้วยกฎหมาย เพราะว่าสุดท้ายมันไม่มีใครมารับผิดชอบความรู้สึกเราเมื่อไม่มีกฎหมาย เหมือนอย่างเรื่องนี้เลย พอผมผ่านเรื่องราวของทองคำ มันกลายเป็นว่าเรายิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เป็นมนุษย์เท่ากัน ทำไมกฎหมายถึงปกป้องไม่เท่ากัน อย่างน้อยในการที่เราได้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา เราก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น และอยากสื่อสารสิ่งนี้ออกไปเพื่อให้คนได้รู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร คุณไม่ควรจะถูกด้อยค่าในความรัก ด้วยรูปแบบใดก็ตาม”ก้าวต่อไป ของ อิงฟ้า และ เจฟอิงฟ้า : “ช่วงนี้เรียกว่าทำหลายอย่างเหมือนกัน เสร็จสิ้นการถ่ายทำเรื่องแรกเลยก็คือ วิมานหนาม แล้วก็ตามมาด้วย บางกอกคณิกา แล้วตอนนี้กำลังถ่ายทำซีรี่ส์ หยดฝนกลิ่นสนิม รวมถึงจะมีละครแล้วก็ซีรี่ส์ตามมาอีก เพื่อให้ทุกคนได้ติดตามกัน”เจฟ : “ส่วนของผมก็มี วิมานหนาม แล้วก็จะมีเพลง เหมือนวิวาห์ แล้วผมก็จะมีซีรี่ส์ที่ผมเป็นคนทำเองครับ เป็นคนโปรดิวซ์เอง แล้วก็เล่นเองด้วย แล้วก็ทำเพลงประกอบเอง ทำกราฟฟิคเองด้วย ฝากติดตามกันครับ”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ต้นหอม ศกุนตลา” จากสาวมั่นสู่มนุษย์แม่ ผู้เอาแน่ทุกวงการ!

30 ส.ค. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ต้นหอม ศกุนตลา” จากสาวมั่นสู่มนุษย์แม่ ผู้เอาแน่ทุกวงการ!

“การที่เราเลือกจะเป็นแม่คน นั่นหมายความว่ามันต้องมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อไรที่เราเลือกเป็นแม่แล้ว อาชีพแม่มันลาออกไม่ได้ ฉะนั้นใครที่อยากจะมีลูก ให้ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมไหม”เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิตรับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวมัม “ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” สาวแซ่บที่เริ่มเข้าวงการในฐานะผู้ประกาศข่าวกีฬา ก่อนจะมีโอกาสได้ขยับมาเป็นพิธีกรรายการฟุตบอล จนได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง จนปัจจุบันเธอเป็นทั้งพิธีกร นักแสดง และดีเจที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นอกจากการเป็นตัวแม่ในวงการบันเทิงแล้ว เธอยังกลายเป็นมนุษย์แม่ในชีวิตจริงที่รักลูกมาก ๆ สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจถูกส่งต่อเอาไว้แล้วในรายการต้นหอม กับความฝันอยากเป็นดารามาตั้งแต่เด็ก“ถ้านับตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นเด็กแคสติ้งเลย หอมว่าน่าจะ 10 กว่าปีแล้วในวงการบันเทิง เพราะตอนนั้นตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ที่เริ่มแคสติ้งโฆษณา ก็เมือนเด็กที่ไม่มีชั่วโมงบิน เริ่มจากการต้องเก็บชั่วโมงบินไปเรื่อย ๆ จำได้ว่าโฆษณาแรกที่ได้ เป็นโฆษณาที่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ยี่ห้อดังมาก จำได้ว่าได้ค่าตัว 3,600 บาท ยังไม่หักโมเดลลิ่ง แต่ตอนนั้นคิดว่านี่แหละคือจุดที่มันจะแจ้งเกิด เพราะเราอยากเป็นดารามาโดยตลอด แล้วได้โอกาสแต่พอถ่ายโฆษณา กลับต้องใส่หมวกกันน็อค อดเกิดเลย แต่ก็เป็นเหมือนใบเบิกทางว่าเรามีงานทำตั้งแต่ตอนที่เราเรียนอยู่ ซึ่งตอนเด็กหอมอยู่จังหวัดตาก แล้วตอนนั้นคนต่างจังหวัดจะไม่ค่อยยอมรับอาชีพนี้เท่าไหร่ เพราะเค้าบอกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป แล้วหอมอยู่ในสังคมที่บ้านเป็นข้าราชการ เค้าก็จะมองว่านี่ไม่ใช่อาชีพที่ถูกต้อง อาชีพที่ดีต้องเป็นอาชีพข้าราชการ ครู ทหาร ทนาย หรือหมอ แล้วถ้าเราบอกว่าอยากเป็นดารา เราคงจะโดนตี ลองคิดว่าถ้าจะต้องไปอยู่วงการข้าราชการ หอมก็น่าจะเป็นครูแต่ดาราคือฝันของหอม หนูซ้อมบทอยู่หน้ากระจก ซ้อมบทตอนรับรางวัล ซ้อมบทตอนเล่นละคร แต่ถ้าที่บ้านรู้ก็จะโดนตีเพราะว่าชอบซ้อมกลางดึก แล้วบ้านต่างจังหวัด กลางดึกมันเงียบ แล้วเราอยู่ข้างบนคนเดียว พอที่บ้านได้ยินเราเค้าก็จะถามว่าเราคุยกับใคร คิดว่าเราเจอผี เค้าก็เลยตีเพราะเค้าก็กลัวเหมือนกัน คนต่างจังหวัดกลัวผีมาก กลัวแม้กระทั่งผีหลอดไฟ ผีสังกะสี กลัวไปหมด แล้วมันทำให้หอมมีความคิดฝังหัวไปเลยว่าผีน่ากลัว แล้วกลายเป็นคนกลัวผีไปเลย”ต้นหอม กับก้าวแรกสู่วงการบันเทิง“ถ้าเป็นโฆษณาที่ทำให้คนรู้จักหอมน่าจะเป็นโฆษณายาสีฟัน ตอนนั้นผมสั้น แล้วก็คนก็ติดภาพจากโฆษณานั้น หลังจากนั้นหอมก็มาทำงานในแวดวงกีฬา ทำงานกับ พี่ป๋อง ซึ่งก่อนหน้านั้นเราทำรายการกีฬามาสักพักหนึ่ง ก็เลยมีความรู้เรื่องกีฬาอยู่บ้าง แล้วพอเราได้ฟังรายการพี่ป๋อง เรารู้สึกว่ามันเป็นรายการที่นอกกรอบสุด ๆ ตอนแรกเราก็ถามผู้ใหญ่ว่า ให้เราทำตัวยังไง เพราะเราเป็นผู้ประกาศข่าวมาโดยตลอด ผู้ใหญ่ก็พูดว่า หอมก็แค่เป็นตัวของตัวเอง แล้วพอเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นแหละ มันเหมือนเขย่าแชมเปญ แล้วเปิดจุก มันสนุกมาก แล้วก็จำได้ว่ารายการออกอากาศครั้งแรก คนด่า 50 คนชม 50 ซึ่งเรารอรายการนี้กันมานาน คนฟังก็งงว่านี่คือรายการอะไร จนออกอากาศได้อาทิตย์เดียวรายการดังเลย เพราะว่าตอนนั้นใครที่ดูกีฬา ต้องดูอยู่ช่องเดียว ต้องช่องนี้เท่านั้น มันยังไม่ได้มีหลายช่องเหมือนทุกวันนี้ แล้วเป็นการจ่ายเงินดู ฉะนั้นทุกคนที่เป็นคอกีฬาก็จะรวมตัวอยู่ที่นี่ รายการมันก็เลยดังในหมู่ของคนที่ดูกีฬาก่อนแล้วพอเค้าบอกให้เราเป็นตัวของตัวเอง ด้วยความที่เราอยากเล่นละคร อยากเป็นดารามาตั้งแต่เด็ก เราก็เลยเล่นละครสั้นก่อนเข้าข่าวกีฬา หรือวันหนึ่ง Wonder Girls ดัง หอมจำได้เลยว่า หอมนั่งรถไปซื้อผ้าที่สำเพ็ง แล้วเอามาให้พี่ป๋องใส่เป็นชุด Wonder Girls ทำเกาะอกสีทอง ให้เค้าไว้ผมม้า สวมรองเท้าบูท แล้วให้พี่ป๋องเต้นตามหอม หรือมีวันหนึ่งที่ หลินปิง ดังมาก หอมก็ไปเช่าชุดมาสคอตมาให้ทุกคนใส่เป็นชุดหมี แล้วทำรายการกีฬา ก็กลายเป็นว่ามันไม่ใช่แค่คนกีฬาที่มาดูกีฬา แต่คนบันเทิงก็ดูด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มมีดารามาขอออกรายการ เริ่มจาก ดีเจภูมิ ก่อน แล้วดีเจภูมิเค้าก็เกรียนมาก ก็ทำให้รายการยิ่งเกรียน จนช่วงที่ดังที่สุด น่าจะเป็น พี่ตูน บอดี้สแลม แล้วรายการมันก็ดังมาเรื่อย ๆ ก็เลยทำต่อมา 5 ปี”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางดีเจ EFM“หลังจากที่หอมทำรายการกีฬา แล้ว พี่เล็ก โปรดิวเซอร์ EFM เป็นคนที่ดูกีฬาเหมือนกัน แล้วเค้าอยากชวนเรามาทำรายการบันเทิง เค้าก็เริ่มให้เรามาโฟนอินในรายการของ Atime Media โฟนอินเรื่องฟุตบอลก่อน สักพักก็เริ่มได้โฟนอินเรื่องกฎหมาย แล้วคนที่แบบฟัง EFM ก็เริ่มสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ตลกจังเลย จนตอนที่หอมได้มาจัดรายการที่ EFM คนฟังเค้าก็บอกว่าติดตามมาตั้งแต่ตอนโฟนอินนะ ก็เลยเหมือนเป็นการแจ้งเกิดให้มาทำรายการบันเทิงของ EFM แล้วอยู่มานานมากพุธทอล์คพุธโทร มีมาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ ความตั้งใจคือเราจะทำรายการให้รู้สึกเหมือนว่าเวลาเพื่อนโทรเข้ามาปรึกษา แล้วถ้าคนนี้เป็นเพื่อนเรา เราจะให้คำแนะนำยังไง ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นเพื่อนหอม มันก็จะโดนฉีดยาแรงอยู่แล้ว ใครที่รับไม่ได้กับการแรงของเรา เค้าก็จะบอกก่อนเลยว่า พี่หอมขอเบา ๆ นะคะ หรือถ้ามันหนักเกินไปหรือเริ่มแรงเกินไป หอมจะถามว่ายังไหวอยู่ไหม ถ้าไหวจะไปต่อ แต่ถ้าไม่ไหวจะเบาให้ หรือบางทีเราด่าจนเจ็บคอก็มี เพราะว่าเป็นเคสที่เคยให้คำแนะนำไปแล้วสุดท้ายไม่เลิก แล้วก็โทรกลับมาอีกว่าชีวิตตอนนี้มันหนักกว่าเดิม เหมือนเตือนแล้วไม่ฟังแล้วปัญหามันหนักกว่าเดิมต้องบอกว่า Atime Media เป็นเหมือนโรงเรียนฝึกดีเจ ฝึกพิธีกรเยอะมาก แล้วสมัยก่อน ดีเจพิธีกรของ EFM จะออกรายการทีวีเยอะมาก จนเค้าก็เริ่มอยากได้คนที่เป็นหน้าใหม่ ตอนนั้น ต้นหอม บุ๊คโกะ นุ้ย ดังมาก จน พี่ไก่ วรายุทธ เอาไปเล่นละคร ค่อย ๆ มีคนเอาไปเล่นละคร ส่วนหอมจะมีงานพิธีกรมากกว่าละคร ตอนนั้นคนที่ได้เล่นละครบ่อยก็จะเป็นน้องบุ๊คโกะ แล้วพอได้เล่นละคนหอมก็ชอบนะ เพียงแต่ว่า พอช่วงหลัง ๆ ถ่ายละครมันใช้คิวเยอะ แล้วเราก็จะรับบทเดิม ๆ เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่พอได้เล่นละครที่มันเป็นบทดราม่า ที่อยากเล่นมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนมันไม่มีใครให้เล่น มี พี่แอน ทองประสม ให้โอกาสหอมได้เล่น ก็เล่นให้เค้า ตอนนั้นดีใจมาก และบอกพี่แอนเลยว่า หนูจะทำทุกโอกาสที่พี่ให้อย่างคุ้มค่า หนูจะทำให้ดีที่สุดก่อนหน้านี้มีข่าวว่าหอมเฟดออกจากวงการบันเทิง แต่ไปไม่รอดนะคะ ไม่ถึงเดือนกลับมาแล้ว ดังนั้นเวลาให้สัมภาษณ์ หอมจะบอกเลยว่า นี่เป็นคำสัมภาษณ์ ณ วันที่นี้ แล้วความคิดหอมเปลี่ยนได้ตลอดเวลาแล้วแต่ปัจจัยภายนอก บางทีไปไม่รอดเราก็กลับมา คือหอมเกรงใจผู้จัดเวลามาตามไปเล่นละคร เพราะเราไม่สามารถเล่นให้เค้าได้ทั้งหมด แล้วผู้จัดบางคนสนิทกัน แล้วพอเราปฏิเสธเค้าไปหลาย ๆ ครั้ง หอมก็เลยเกรงใจ แล้วพูดไปว่าหอมเฟดนะคะ ยกเว้นถ้าบทดี ๆ ที่เราอยากเล่นมาก เราอาจจะเปลี่ยนใจ ซึ่งบทที่อยากเล่นคือ ดราม่า ดีพแบบลึก ๆ เลย ถ้าใครให้เล่นก็อยากเล่น”เมื่อคนกลัวผี ต้องมาเล่นหนังผี“หอมเป็นคนกลัวผีมาก แต่ตอนเล่นมันไม่กลัว แต่พอกลับมาดูที่บ้านแล้วกลัวมากเลย เพราะตอนเล่นเราก็จะรู้อยู่แล้วว่าเราต้องเจออะไรบ้าง ต้องเข้าฉากกับใคร แล้วเราก็เห็นเค้านั่งแต่งตัว แม้จะแต่งเป็นผี แต่เราเห็นอยู่แล้วซึ่งการเล่นซีรีส์ผี มันต้องใช้อินเนอร์แบบสุด ๆ ถ้าตอนที่เล่น อังคารคลุมโปงซีรีส์ ซีซั่น 1 หอมจะถือว่า อังคารคลุมโปงเป็นครูสอนการแสดงของหอมเลย ตอนซีซั่น 1 ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าหอมจะเล่นอังคารคลุมโปงได้ไหม แต่โจทย์คือ ด้วยความเป็นงานของบริษัท มันเลยต้องเอาดีเจในบริษัทไปเล่น เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าซีรีส์จะทำกำไรไหม แล้วบทที่หอมเล่นมันเป็นบทหลักเลย เค้าก็ไม่มั่นใจว่าหอมจะเล่นได้ไหม ซึ่งตอนซีซั่น 1 หอมเล่นเป็นแม่ที่มีลูกแล้ว แต่ไม่เลี้ยงลูก จนมีช่วงที่หาเงินได้จากการไลฟ์แล้วเอาลูกมาเลี้ยง แต่ก็เลี้ยงแบบสไตล์เรา แล้วลูกก็ชอบเถียง เราก็โมโหใส่ลูก จนความสัมพันธ์แม่กับลูกก็ไม่ดี แล้วลูกก็ดันอยู่ ๆ พูดภาษาเขมรออกมา แต่ความเป็นแม่ก็ต้องเครียดที่เห็นลูกในสภาพนั้น จำได้ว่าตอนถ่าย Acting Coach ต้องคอนประกบเพราะกลัวเล่นไม่ได้ แล้วหอมก็เพิ่งรู้ว่าการที่เล่นบทอินเนอร์แรง ๆ อินเนอร์ต้องถึงก่อน แล้วค่อยวิ่งไปเล่น คือเค้าจะบอกว่า หอมฉากนี้หอมต้องวิ่งขึ้นไปหาลูกนะ ไม่รู้ลูกอยู่ไหน หอมต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี จำได้ว่า หอมยืนกรี๊ดตรงบันไดตอนตี 3 แล้วตี 4 เราเริ่มถ่าย เค้าให้เรากรี๊ดอยู่แบบนั้นถ้าพร้อมค่อยวิ่งขึ้นไปเล่น เพื่อให้การหายใจหือทุกอย่างมันต่อกับฉากก่อนหน้า หลังจากนั้นพอมาเล่นดราม่าของคนอื่นเลยไม่กลัวแล้ว เพราะเคยผ่านงานยากมาแล้ว ร้องไห้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ยัน 6 โมงเย็น ก็เคยทำมาแล้ว พอมาถึง อังคารคลุมโปง เอ็กซ์ตรีม เราก็รู้แล้วว่าแนวทางมันจะต้องเป็นยังไง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้อาจจะรับบทไม่หนักเท่ากับนักแสดงหลัก แต่มันน่ากลัวมากเลย เค้าทำดีด้วย ตัดต่อดีมาก แล้วเราเป็นนักแสดง รู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวผีจะเดินมา แต่ในการนำเสนอ ทั้งไฟแสงสี ต้องทำให้คนรู้สึกว่าลุ้น และตื่นเต้นไปกับเรา ซึ่งมันยากมากเลย และอยากให้ติดตาม มันน่ากลัวมาก แล้วมันเล่นกับอารมณ์ความความรู้สึกคนดูด้วย”เริ่มทำธุรกิจบาร์โฮส เพราะหมอดูทัก!“ก็หมอดูเค้าบอกว่า เค้าเห็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชายในตัวหอม หนูก็ไม่รู้เค้าเห็นยังไง แต่พอเค้าพูดปุ๊บมันมีความชื่นใจทันทีเลย เหมือนเรารักสิ่งนี้ แล้วเราเคยไปบ้าน พี่ชูชัย ซึ่งเค้านับถือศิวลึงค์ พอเราเข้าไปแล้รู้สึกอิ่มเอม แล้วพอหมอดูเค้าทักเรื่องนี้ เค้าก็อยากให้เรามีสิ่งนี้ติดตัว เป็นเครื่องราง แล้วเค้าก็บอกว่า ถ้าทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของบาร์โฮส หรือประกบผู้ชาย จะดีมากนะ ซึ่งตอนที่เค้าพูด มันเป็นสองอย่างที่หอมไม่มีอยู่ในหัว และไม่คิดจะทำ เพราะตอนเด็ก ๆ เราเคยทำงานกลางคืนมาแล้ว เรารู้ว่าความทรมานของการไม่ได้นอนมันเป็นยังไง หอมจะไม่แตะกับงานกลางคืนแน่นอน แล้วก็บังเอิญเมื่อไม่นานมานี้พอมันมีโอกาสได้ทำ คือทำเพราะอยากได้เงินนี่แหละ เพราะถ้าเกิดเราเอาเงินแช่ไว้มันคงไม่งอกเงย เลยลองเอาไปแตะหุ้นนิดหน่อย แต่หลัง ๆ พอได้ทำมันก็รู้สึกสนุกกับงาน ดีกว่าเอาเงินไปแช่ไว้ ซึ่งธุรกิจนี้ที่รวยมากน่าจะเป็นเด็ก ๆ มากกว่า แล้วก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย ความที่ร้านหอมเป็นร้านเล็ก ๆ อาจะจะไม่ได้รวยอะไรมาก ถ้าเป็นร้านใหญ่ ๆ เค้าอาจจะทำกำไรได้เยอะ แต่ถ้าในส่วนของหุ้นส่วน หรือการที่เราเป็นเจ้าของ เราได้เงินไม่ได้เยอะ เพราะว่ารายได้มาจากอาหารแล้วก็เครื่องดื่มแค่นั้นเองพอได้ทำธุรกิจนี้ก็รู้สึกสนุกกับมัน ด้วยความที่เราเคยทำงานกลางคืนตอนเด็ก ๆ มาก่อน เราจะเข้าใจลูกค้า แล้วธุรกิจเกี่ยวกับความเหงา ปัจจุบันคนเราเหงาเยอะจริง ๆ สมมติเราอยากไปเที่ยวแต่เพื่อนไม่ออกไปมันก็เที่ยวไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบาร์เอ็นเตอร์เทน ถ้าเราเหงา เราสามารถออกไปคนเดียวได้เลยเพราะคนในนั้นเรารู้จัก ทุกคนก็คือพร้อมที่จะดูแล มันก็เหมือนแบบคลายเหงาได้ แล้วต้องบอกว่าบาร์โฮสไม่ได้ขายบริการ มันเหมือนเราไปเที่ยวผับ เพียงแต่ว่าเรามีสิทธิ์ในการเลือกว่าจะให้ใครมาดูแล มาชงเครื่องดื่มให้เรา มานั่งคุยกับเรา ซึ่งตอนนี้หอมมี 4 สาขา แล้วสาขาที่ 5 กำลังทำอยู่ และเราก็อาจจะมีโปรเจคใหม่ ๆ ที่เริ่มทำอีก”จากเป็นตัวแม่ในวงการ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง“หอมจะไม่พูดคำหยาบกับลูก จะสอนให้เค้าเรียกคุณแม่ครับตลอด แล้ว ปกป้อง เป็นเด็กที่พูดเพราะมาก แล้วก็เป็นเด็กที่โรแมนติกมาก ๆ ด้วยความที่เค้าจะได้ตรงนี้จากหอมไป สมมติว่าเราพาเค้าไปเที่ยวที่โรงแรม แล้วมีรถบักกี้ขับรถมาส่งเค้า เค้าก็จะบอก ขอบคุณนะครับที่มาส่ง หรือเค้าจะพูดแบบอ้อนกับเราว่า ขอบคุณนะครับที่วันนี้คุณแม่มาเรียนกับปกป้อง ขอบคุณนะครับที่คุณแม่มาส่ง ขอบคุณนะครับที่วันนี้คุณแม่น่ารักจังเลยหอมอยากมีลูกตั้งแต่อายุสิบกว่า แต่คือความคิดที่ผิด โชคดีมากที่ตอนนั้นเราไม่มีแฟน แต่หอมอยากมีลูกมาโดยตลอด แล้วน้องชายก็อยากให้มี พอน้องชายมีลูก เค้าก็อยากให้เรามี ด้วยความที่เราสองคนขาดความรัก เพราะพ่อแม่เลิกกัน มันเป็นความรู้สึกที่พอคนหนึ่งมีลูก ก็อยากให้อีกคนได้ลองมีลูกเหมือนกัน แล้วพอหอมมี ปกป้อง ความสุขมันบังเกิดก็จริง แต่มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อไหร่ที่เราเลือกเป็นแม่แล้ว อาชีพแม่มันลาออกไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตาม ใครที่เห็นคนอื่นเค้ามีลูกแล้วน่ารักจังเลย ให้ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมไหม อย่างหอมเนี่ย เวลาไม่พร้อมหอมจะใช้เงินในการแก้ปัญหา ใช้เงินเลี้ยงลูก จนทำให้ลูกอาจจะมีพัฒนาการที่ช้าบ้างในบางทีตอนที่ต้องเริ่มเลี้ยงลูก ตอนนั้นจำได้ว่านักข่าวสัมภาษณ์แล้วหอมพูดอะไรก็ไม่รู้ เราพูดไม่รู้เรื่องเลย หอมใช้เวลาอยู่ปีนึงเต็ม ๆ คนเป็นแม่จะเข้าใจเลยว่า เวลาที่เรานอนอยู่ สักพักเดี๋ยวเราจะตื่นขึ้นมาแล้วก็เอามืออังจมูกลูก อังอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องดูว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม ลูกเป็นสิ่งมีชีวิตที่มันแปลกใหม่มากสำหรับเรา แล้วเรากังวลไปหมด ตอนแรกหอมคิดว่าหอมเป็นอยู่คนเดียว แต่พอหอมไปเจอในฟีด คนอินเดียเป็นเหมือนกัน ที่จะเด้งขึ้นมาแล้วอังจมูกลูก เหมือนทุกคนเป็น 1 ปีที่เราเป็นแบบนี้ เราพูดไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเราหลับไม่สนิทเลย จนพอเค้าผ่านช่วงขวบกว่า ๆ ที่เค้าหลับยาว เราก็เริ่มได้หลับสนิทจริง ๆชื่อ “ปกป้อง” มันมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เค้าเสียชีวิตไปแล้ว เค้าเคยฝันว่าหอมได้ลูกชาย แล้วหอมตั้งชื่อว่าปกป้อง ซึ่งชื่อเพราะมากเลย ถ้ามีลูกชาย หอมตั้งชื่อว่าปกป้องนะ ซึ่งเราคิดว่าไม่เอา เราอยากได้ลูกผู้หญิง จนพอวันหนึ่งที่เค้าไม่อยู่แล้ว ก็จับผลัดจับผลู น้องของหอมก็มีลูกชายขึ้นมา ก็เลยไม่ได้เตรียมชื่อลูกชายเอาไว้เลย มีแต่ชื่อลูกผู้หญิง ก็เลยให้ชื่อ ปกป้อง เพราะว่าตอนที่เราฟัง เราก็รู้สึกว่าเราชอบชื่อนั้น แล้วเราก็จะได้นึกถึงเพื่อนด้วยตอนนี้กำลังจะ 6 ขวบ ติดแม่มาก แล้วเวลาไปทำงานเค้าก็จะเริ่มพูดประโยคว่า ถ้าไม่มีคุณแม่ปกป้องจะอยู่ยังไง คุณแม่ช่วยกล่อมนอนก่อนได้ไหมครับ หอมนี่อยากลาออกจากพุธทอล์คเลยนะ แต่กลัวไม่มีกิน แล้วตอนนี้อย่าพูดว่า เกาหลี ให้ปกป้องได้ยิน เพราะว่าตอนไปทำหน้าที่เกาหลี ตอนนั้นไปนานเกิน เพราะทีแรกคิดว่าไปสัก 10 วัน แต่กลายเป็นว่าอยู่เกือบเดือนเพราะว่าแผลมันไม่หาย แล้วเราก็ไม่กล้ากลับ แต่ด้วยความที่คิดถึงลูก ก็ต้อง Face Time ด้วยหน้าช้ำ ๆ แล้วเค้าตกใจ ตอนแรกไม่กล้าเข้ากล้องเลย เค้าก็ถามว่าแม่เป็นอะไร เราก็บอกว่าแม่แต่งฮาโลวีน พอมันเลยวันฮาโลวีนไปแล้ว เค้าก็ถามว่าทำไมแม่ยังแต่งฮาโลวีนอยู่ แล้วเหมือนเค้ากลัวคำว่าเกาหลีเลย เวลาใครพูดว่าเกาหลีปุ๊บ เค้าหันเลย ล่าสุดเจอ จียอน ไม่คุยด้วย ห้ามพูดเกาหลีหรือถ้าบอกว่าไปเกาหลี เค้าจะลนลานทันที เคยให้ Face Time กับจียอน แล้วบอกว่า น้าจียอนเป็นคนเกาหลีนะ เค้าไม่คุยเลย มันฝังใจ”ความคาดหวัง จากหัวอกของแม่“หอมอยากให้ลูกเป็นหมอค่ะ หอมพูดกับเค้าทุกวัน ซึ่งตอนเด็ก ๆ เค้าบอกว่าเค้าอยากเป็นพยาบาล จนล่าสุดอยากเป็นเชฟ เพราะชอบทำอาหาร ช่วงนี้ชอบดการ์ตูน แล้วเวลาดูการ์ตูนเรื่องไหน เค้าจะเป็นตัวการ์ตูนในเรื่องนั้น สมมติว่าเราดูโดราเอม่อน เราก็ถามว่าลูกชอบตัวอะไร ปกป้องเค้าชอบซึเนโอะ อย่างเรื่องมินเนี่ยน ปกป้องอย่างเป็นบ๊อบ เค้าชอบฉีก ครั้งหนึ่งเคยชอบตุ๊กตาในการ์ตูนชื่อว่ามิวมิว มันเป็นหมีแพนด้า แล้วเป็นตัวผู้หญิง ซึ่งคาแรกเตอร์มิวมิวคือชอบติดกิ๊บ ช่วงนั้นปกป้องติดกิ๊บทุกวัน แล้วก็พูดค่ะเหมือนมิวมิว แล้วก็จะบอกว่าตัวเองชื่อมิวมิวค่ะ เพราะว่าชอบมิวมิวซึ่งคนที่มาช่วยเลี้ยง ปกป้อง ส่วนมากเป็น LGBTQ+ ทั้งนั้นเลย อย่าง ลุงแข เค้าจะรัก ปกป้อง มาก ครั้งหนึ่ง ปดป้อง ก้าวร้าวมาก เค้างอแงไม่ยอมใส่รองเท้าเอง พอเราปรึษาแข เค้าจะมีการ Compromise ที่ดีมาก เค้าบอกให้ปกป้องใส่ข้างนึงนะครับ แล้วคุณแม่ใส่ข้างนึง แล้วปกป้องยอมทำ แขเค้าจะสอนดีมาก คือหอมรู้สึกว่าพื้นฐานแขเป็นคนที่จิตใจดี แต่ความเป็นแข ระบบความคิดอะไรต่าง ๆ มันไม่ได้ลงล็อคทั้งหมด แต่จิตใจดีมาก และหอมมองตรงนี้เป็นพื้นฐานมากกว่าถ้า ปกป้อง จะเป็น LGBTQ+ ก็ปล่อยให้เค้าเป็นไป แสดงว่าการที่เค้าเลือก เป็นเพราะเค้ามีความสุขกับทางนั้นแล้ว ซึ่งการเป็นพ่อเป็นแม่ต้องการอะไรเห็นความสำเร็จของลูก หรือความสุขของลูก และบ้านหอมคือ ความสุขของลูกต้องเป็นที่หนึ่ง เราทำให้เค้าเกิดมาแล้ว เค้ามาอยู่กับเราแล้ว เรามีหน้าที่เลี้ยงดูเค้าทั้งตามกฎหมาย หรือตามพฤตินัยของเรา ฉะนั้นวันนี้ชีวิตยังเป็นของเค้า เพราะเค้าเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าสมมติเราเป็นพ่อแม่ที่ห่วยแตกมาก แล้วมีโอกาสถามเด็กว่า คุณอยากเกิดมาในบ้านนี้ไหม เด็กอาจจะตอบว่าไม่ได้อยากเกิดมาในบ้านนี้ก็ได้ ซึ่งหอมยังรู้สึกขอบคุณ และยังพูดกับปกป้องว่า ขอบคุณนะที่เกิดมาเป็นลูกแม่ อยากเป็นไรก็เป็นถ้านี่คือความสุข หอมจะเข้าไปก้าวก่าย็ต่อเมื่อ คุณมีตรรกะและความคิดที่เป็นภาระต่อสังคม หรือหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อนหอมว่าสังคมเพื่อนมีผลมากกว่าพ่อแม่ หอมไม่เคยว่าลูกเวลาลูกเอาเท้าปิดพัดลม เพราะเราก็เอาเท้าปิดพัดลมเหมือนกัน แต่ก็จะบอกเค้าว่า ก็ทำแค่ในบ้านนะ คือในมุมมองของหอม หอมก็รู้สึกว่าเรื่องสรีระ การก้มกับการใช้เท้า การใช้เท้าช่วยเรื่องสรีระได้ดีกว่า หอมจะเลี้ยงลูกโดยใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นจริง แล้วลูกก็ดีนะ ลูกไม่เคยพูดคำหยาบ ต่อให้เพื่อนหอมมาบ้าน หอมพูดคำหยาบ เค้าก็ไม่ได้พูดตาม เค้าก็ยังเรียกคุณแม่ครับเหมือนเดิม หอมคิดว่าถ้าเค้าจะพูดคำหยาบ อาจจะมาจากเพื่อน”เปิดหัวใจ ส่องมุมมองความรัก หลังจากมีลูก“มุมมองความรักเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะรู้สึกวันนี้ ปกป้อง มาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่หอมตามหา สมัยก่อนหอมจะตามหาความรัก ว่าใครจะมาเป็นจิ๊กซอว์ให้กับชีวิตหอมนะ แต่พอมีปกป้อง ในที่สุดหอมได้ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่ไม่ได้เห็นแก่ตัว แล้วเราคือโลกทั้งใบของเค้าจริง ๆ มันกลายเป็นว่า ภาพของหอมมันสมบูรณ์แบบไปแล้ว แต่ถ้าใครสักคนจะเข้ามาเป็นกรอบเฟรมให้หอมได้เลย แต่หอมไม่ได้คาดหวังว่า คุณจะต้องเป็นภาพทั้งใบของหอม เพราะว่ามันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ถ้าวันนี้คุณเข้ามาแล้วมันทำให้ภาพนี้สวยขึ้นคุณเข้ามาได้เลย แต่ต่อให้ไม่มีคุณ ภาพนี้ก็ยังสมบูรณ์อยู่ดี ฉะนั้นความคาดหวังของหอมมันลดน้อยลงมาก แล้วก็หลังจากที่เลิกกับแฟนต่างชาติไป หอมก็รู้สึกว่าหอมได้โตขึ้น ไม่งี่เง่า เพราะแฟนต่างชาติเค้าจะตรงไปตรงมา แล้วเวลาเค้ารัก เค้าก็จะพูดเลยว่ารัก แล้วเค้าก็จะดูแลแฟนดีมาก แล้วเรารู้สึกว่า เรามีวิชาตรงนี้ และใครจะเป็นผู้โชคดี ที่เราเองก็ร้อนวิชาเหมือนกัน แต่คนนั้นมันก็ต้องคู่ควรเหมาะสมกับสิ่งที่ฉันกำลังจะมอบให้ แต่ถ้าไม่มีใครมาเลย ก็อย่างที่หอมบอก ภาพนี้มันสมบูรณ์อยู่แล้ว หอมไม่ได้รู้สึกขาด ใครที่เข้ามาแปลว่าเหมือนเป็นรางวัลให้หอมนะ มันไม่ใช่สิ่งที่หอมขาด เพราะถ้าหอมขาดหอมจะตามหา แต่นี่หอมไม่ขาด หอมก็เลยไม่เคยตาม ซึ่งสเป็กที่ทำให้ใจเต้น ก็ยังคงเป็น Bad Boy อันนี้คือความหวือหวาที่ทำให้ใจเต้น แต่หลัก ๆ หอมชอบผู้ชายฉลาด ไม่ชอบผู้ชายหลงตัวเอง ขี้เก๊ก ชอบผู้ชายที่มีความเป็นธรรมชาติ ถ่อมตัว สุภาพ แล้วพอมีลูก การที่จะมีใครเข้ามาในชีวิต มันมีสิ่งที่ต้องคิดมากขึ้นกว่าปกติ เพราะว่าแพคเกจของเรามันไม่ใช่ตัวคนเดียว คุณก็ต้องเข้าให้ได้กับลูกเราด้วย ซึ่งผู้ชายอาจจะเข้าได้ ที่เข้าไม่ได้คือปกป้อง เพราะเค้าตั้งป้อมอยู่แล้ว เค้าหวงไม่อยากให้แม่มีแฟนถ้าหอมจะเลือกใครสักคน หอมจะหาแค่ข้อดี แต่ครูเงาะบอกว่าไม่ใช่ ให้มองข้อเสียเค้าว่าข้อเสียของเค้าไปแตะข้อเสียเรื่องใหญ่ของเรารึเปล่า ถ้ามีแปลว่าคนนี้ไม่ใช่ และจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งข้อเสียที่หอมรับไม่ได้แน่ ๆ ก็คงเป็นเรื่องนอกใจ หอมก็เลยคิดว่า หอมเหมาะกับคนต่างชาติมากกว่า เพราะเค้าจะตรงมากเวลาพูดคุยในทุก ๆ เรื่อง แล้วเราสามารถพูดคุยกับเค้าได้โดยที่เราไม่ต้องเกรงใจ มันรู้สึกว่าอยู่แล้วสบายตัวมาก หอมก็เลยชอบวิถีชาวต่างชาติตอนนี้หอมมีความสัมพันธ์แปลก ๆ คือเราชอบกันมาก แต่เราไม่สามารถเป็นแฟน หรือคบกันเป็นแฟนได้ เพราะเป้าหมายเราคนละแบบ เป้าหมายของเธอเป็นแบบนี้ เป้าหมายของฉันเป็นแบบนี้ แล้วมันโคตรจะคู่ขนาน ไม่สามารถบรรจบกันได้เลย แต่เราชอบกันมาก หนูอยู่กับเค้ามาเป็นปี และความสัมพันธ์เราก็เริ่มแบบสนิทกันมากขึ้น เราสบายใจในการอยู่ด้วยกัน แต่เราต้องห้ามใจกัน ต้องมีสเปซว่าเราจะไม่ใช่แฟนกัน เค้าก็เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวพอสมควร การที่เค้าอยู่กับหอมเป็นปีโดยที่ไม่มีอะไรกันคือเค้าใจแข็งพอสมควรนะ แต่กับคนอื่นเค้ามีนะ เราเคยถามว่าทำไมกับคนอื่นเค้าถึงมี เค้าบอกว่า กับคนอื่นมีแล้วเค้าก็เคลียร์ได้เลย เค้าอยู่กับคนอื่นเค้าแค่พึงพอใจในร่างกาย เสร็จแล้วก็คือก็แยกย้ายกัน แต่กับเราเค้าไม่ได้อยากแยกย้าย เค้ากลัวเคลียร์ไม่ได้ กลัวหอมวุ่นวาย ซึ่งถ้าสมมติมีคนโทรเข้ามาปรึกษาในพุธทอล์คพุธโทร แล้วเจอปัญหาเดียวกับหอมเลย หอมก็จะแนะนำว่า ถ้ารู้สึกว่าอยู่ตรงนี้มีความสุข แล้วไม่ได้เจ็บ ก็อยู่ต่อไป อยู่กับปัจจุบัน แต่เราก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเองนะถ้ามองอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า หอมต้องเป็นผู้หญิงที่ยังคงแก่ช้า คงความสวย เด็กกว่าวัย แล้วก็ร่ำรวยไปแล้ว ตอนนั้นคงเป็นผู้บริหาร เป็นนักธุรกิจ ต้องอยู่บนกองเงินแล้วไม่งั้นจะเครียดค่ะ” - ต้นหอม ศกุนตลาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดความ Proud แชร์เรื่องราวชีวิตของ “ปันปัน Pangina Heals” แดร็กควีนคนแรกของไทย ที่ได้เฉิดฉายบนเวทีโลก

23 ส.ค. 2024

เปิดความ Proud แชร์เรื่องราวชีวิตของ “ปันปัน Pangina Heals” แดร็กควีนคนแรกของไทย ที่ได้เฉิดฉายบนเวทีโลก

“ชีวิตมันต้องเจอความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดาสิ่งสำคัญคือคุณใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดยังไง How do you live with the pain?ความเจ็บปวดมาเดี๋ยวมันก็หายไป แต่ถ้าเราทนได้ เราจะได้อะไรกลับมาที่มันดีกว่านั้น”เปิดคลับให้ได้ฟังสีสันของชีวิต และเติมข้อคิดแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “ปันปัน Pangina Heals” แดร็กควีนตัวแม่ ที่ได้สร้างคอมมูนิตี้ Waacking Dance เมืองไทย สู่การเป็นตัวแทนแดร็กควีนไทย ที่ได้ไปโชว์ความสามารถบนเวทีโลกอย่าง RuPaul's Drag Race UK vs The World สีสันแรงบันดาลใจของชีวิต ได้ถูกส่งต่อไว้ในรายการสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มาสุดจึ้ง ของชื่อ Pangina Heals“ชื่อนี้มาจากที่ปันดูรายการ RuPaul's Drag Race แล้วตอนนั้นยังไม่ได้เริ่มแต่งหญิงเลย แต่ว่าชอบศาสตร์นี้มาก แล้วมีควีนคนหนึ่งที่ชื่อ อองไจน่า แล้วเค้าเป็นคนเอเชียเหมือนกัน พอเราติดตามรายการก็รู้สึกว่าอยากเป็นเหมือนเค้าจังเลย เพราะเราไม่ค่อยเห็นคนเอเชียที่เป็นแดร็กควีนในรายการระดับโลก เราก็เลยผสมชื่อของปันกับไจน่าแล้วปันก็รู้สึกว่าคำว่า Pangaea มันสำคัญ คือโลกสมัยก่อนเคยเป็น Pangaea เป็นทวีปเดียวกันก่อนที่จะแตกแยก แล้วปันรู้สึกว่าการแต่งหญิง และการเต้น มันทำให้เรากลับมาอยู่โลกเดียวกันได้ส่วนคำว่า ฮีลส์ ที่แปลว่า เยียวยา ปันรู้สึกว่าแดร็ก และการเต้น มันทำให้เราเยียวยาตัวเองในศิลปะนี้ และเยียวยาคนอื่นได้ด้วย เพราะมันทำให้คนอื่นมีความสุข พอรวมกันเลยกลายเป็นชื่อ Pangina Healsซึ่งชื่อจริง คือ เด็กชาย แพนแพน นาคประเสริฐ เป็นชื่อไทยที่แปลกมาก เพราะว่าแม่ของปันเป็นคนไต้หวัน เลยตั้งชื่อว่า แพนแพน (กระทะสองใบ) ซึ่งความฝันตอนเด็กของ แพนแพน คืออยากเป็นนักมายากล เพราะว่าชอบสัตว์ เวลาเห็นว่านักมายากลเสกนกพิราบได้ ก็เลยอยากเลี้ยง ทำให้อยากเป็นนักมากลบ้าง เหตุผลมีเท่านั้นเลยค่ะ”อยากเป็นแดนเซอร์ เพราะชอบความมั่นใจ แต่ตอนนั้นไม่มีความมั่นใจ“เพราะว่าปันชอบความมั่นใจ แต่ตอนนั้นปันไม่มีความมั่นใจ แล้วปันเห็นแดนเซอร์เวลาเค้าเต้นบนเวที ได้เห็นสีหน้า หรือสายตาทุกอย่างเค้าดูมั่นใจจังเลย เค้าดูโอเคทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไรเลย แล้วเราอยากไปอยู่จุดนั้น รู้สึกว่าอยากเป็นแดนเซอร์ ก็เลยไปเรียนเต้น ในช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัย เริ่มมีแก๊งเต้น แล้วซ้อมกันในที่จอดรถทุกวัน 40 กว่าคน ตั้งแต่ 1 ทุ่ม ถึงตี 2 ทุกวัน เต้นกันหนักมาก แล้วซ้อมกันเป็นเดือน ๆ เลยปันคิดว่าพ่อแม่ปันคาดหวัง เพราะว่าปันได้เข้าโรงเรียนค่อนข้าง Top คือเข้า University of California, Los Angeles มันเป็นมหาวิทยาลัยที่อเมริกา ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียง พ่อกับแม่เค้าคงหวังว่าลูกจะเป็นอะไรก็ได้ แต่เค้าก็คงไม่นึกว่ามันจะเป็นแดนเซอร์ เพราะหลายคนคงคิดเรื่องเต้นกินรำกิน แต่โชคดีอย่างหนึ่งคือ พ่อปันเค้าชอบบอกตั้งแต่เด็กว่า You ทำอะไร เงินมันจะมาที่หลัง แต่ความสุขถือเป็นกำไรของชีวิต มีความสุขก่อน แล้วเงินจะตามมา นั่นคือสิ่งที่พ่อพูดไว้เลย พ่อบอกว่าถ้าเกิด You รวยมาก แต่ไม่มีความสุข แล้ว What's the point of life? ทำไปเพื่ออะไรถ้า You ไม่ได้ให้ความสุขกับตัวเอง หรือคนอื่นเลยส่วน คุณแม่ เค้าใช้เวลาเพื่อที่จะสนับสนุน ตั้งแต่จุดแรกเลยตอนที่เพื่อน ๆ เค้าเห็นว่าปันประสบความสำเร็จ แล้วเค้ามาบอกกับแม่ปันว่า ลูกเธอเก่งเนาะ แม่เค้าถึงจะแบบอ๋อเหรอ ลูกฉันเก่งเหรอ เค้าจึงเริ่มเปลี่ยนความคิด เพราะว่าแม่ปันเค้าค่อนข้างจะแคร์ว่าคนรอบข้างคิดอะไร สังคมเค้าคิดยังไง ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะปันมองกลับไปในตัวเค้า เค้ามีจุดคิดของคนอีกสมัยหนึ่ง ปันก็เลยต้องพยายามเข้าใจเค้า แต่ว่าแม่ก็สนับสนุนในระดับหนึ่งครับการเป็นแดนเซอร์ ปันว่าเป็นสิ่งที่นำมาใช้กับการเป็นแดร็กได้เยอะมาก แค่ขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วสรีระเราสวย หรือไม่สวย มันสำคัญมาก ๆ อย่างที่สองคือเวลาเราจะแสดง การเต้น มันก็ได้เอามาใช้ในการที่จะสื่อเรื่องที่เราจะเล่าให้มันชัดขึ้น ซึ่งมันช่วยให้เราคิดเสมอว่าเวลาโชว์ไลน์ต้องสวยเสมอ”ปันปัน กับการก้าวเข้าสู่วงการ Drag Queen“มันเริ่มตั้งแต่การที่ปันเป็นแดนเซอร์ก่อน แล้วก็ได้เห็นนางโชว์ในคลับ ซึ่งปันชื่นชอบนางโชว์มาตั้งแต่เด็กแล้ว พอเราได้ไปดูโชว์ที่ซอย หรือว่าหลายๆ ที่ เราได้เห็นคาบาเร่ต์โชว์ ที่ ทิฟฟานี่ ว่าเวลาที่เค้าแสดง เรารู้สึกว่าเค้ามีความสุขจัง เค้าสวยจังเลย เราอยากเข้าไปอยู่ในโลกของเค้า ที่ทุกอย่างมันดูงดงาม มันไม่มีความเครียด เราก็เลยชอบในจุดนั้น หลังจากนั้นพอปันได้มาศึกษาการเต้นแล้วเรารู้สึกว่า แล้วทำไมการเต้นกับแดร็กไม่ผสมกัน ถ้าผสมกันมันน่าสนใจ แล้วปันก็เรียน Waacking Dance มาก่อน ซึ่ง Waacking Dance เริ่มต้นจากการที่แดนเซอร์ไปดูงานโชว์ในยุค 70 แต่เรารู้สึกว่ามันไม่มีนางโชว์ที่เป็น Waacker เลย เราก็เลยผสมผสานกันเป็น Waacking Drag Queen นั่นก็คือจุดเริ่มต้นคนหลาย ๆ คน คิดว่าปันเป็น Performer เป็น Entertainer ทำได้ทุกอย่าง แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าถามว่า Pangina Heals เป็นคนยังไง ก็ตอบได้ว่า คือคนปากสุนัข แล้วก็เป็นคนผมบลอนด์ แล้วก็พูดตรงปันชอบแต่งเป็น มารายห์ แครี่ เพราะเราชอบมารายห์มาก ฟังทุกอัลบั้ม ฟังทุกเวอร์ชั่น ปันมีความสุขเวลาได้ยินเพลงเค้า แล้วทุกอิริยาบทในชีวิตของเราสามารถเห็นเค้าได้ อย่างเวลาอกหักก็ฟังเพลงนี้ เวลาเศร้าก็ฟังเพลงนี้ เวลามีความสุขก็ฟังเพลงนี้ เวลาอยากจะออกไปเที่ยวฟังเพลงนี้ มันมีแบบทุกอารมณ์”Drag คือศิลปะ ที่ทุกคนทุกเพศสามารถแต่งได้“กับความคิดที่ว่า แดร็ก คือผู้ชายแต่งหญิง ปันว่านี่เป็นความคิดของ 5-10 ปีที่แล้ว ในสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ผู้หญิง ผู้ชาย ทรานส์ หรือไฮโดรเซ็กซ์ชวล ก็สามารถแต่งแดร็กได้ ผู้ชายแท้ก็สามารถแต่งหญิงได้ เพราะว่าแดร็กคือศิลปะ เราแค่แต่งข้ามเป็นอะไรบางอย่าง ข้ามไปเป็นคาแรกเตอร์อย่างหนึ่ง นั่นก็ถือว่าเป็นแดร็กแล้วเวลาแต่งแดร็กมันต้องเก็บรายละเอียดเยอะมาก ใช้เวลาแต่งหน้าแต่งตัวราว ๆ 3 ชั่วโมง แต่ก่อนหน้านั้น เราต้องนั่งซ้อมร้องเพลงไปแล้วกี่เดือน ถ้าเราจะแสดงเพลงนี้ต้องเว้นช่วงหายใจตรงไหน มองคนดูตรงช่วงไหน คือมันเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งมาก เพราะคนดูโชว์เค้ารู้ว่าแดร็กแต่ละคนเก็บรายละเอียดเยอะขนาดไหนการแต่งแดร็ก มันมาพร้อมกับความเจ็บปวด อย่างแรกส้นสูง ส่วนมากเค้าไม่ได้ทำส้นสูงไซส์ใหญ่ ซึ่งปันใส่ไซส์ 42-43 เพราะฉะนั้น การหาซื้อรองเท้ามันเป็นอะไรที่ยากมาก แล้วบางครั้งเวลาเห็นคู่นี้มันสวย แต่ไซส์มันอาจจะลดลงมาจากไซส์เรา 1 ไซส์ เราก็จะบอกกับตัวเองว่าฉันต้องใส่ให้ได้เพราะมันสวย จนกลายเป็นจุดที่ทำให้เท้าปวด เพราะเวลาใส่รองเท้าไซส์เล็กก็จะโดนบีบ อย่างที่สองคือการใส่ คอร์เซ็ท ปันเคยเป็นโรคกระเพาะ เพราะใส่คอร์เซ็ท ซึ่งเวลาใส่มันจะถูกบีบ พอถูกบีบมาก ๆ กรดไหลย้อนมันก็จะขึ้นมาเพราะว่าอาหารก็ลงไปไม่ได้ แล้วเมื่อก่อนตอนทำไนท์คลับต้องใส่คอร์เซ็ททุกวันเลย อย่างที่สามคือ วิก บางครั้งเวลาเราใส่วิกแน่นเกินไปแล้วเวลาดึงออก ปันเคยหนังศีรษะออกมาด้วย เพราะต้องใส่เป็นวิกกาว แล้วกาวเดี๋ยวนี้เหนียวมากเลย และอย่างที่สี่เจ็บที่สุดสำหรับปันคือเล็บ อันนี้เจ็บที่สุด เคยใส่เล็บอะคริลิค แล้วเวลาจะแคะออก มันรู้สึกเหมือนกับเอาประตูมาทับนิ้วทุกรอบเลย แล้วเราต้องแคะเอง สมมติว่าเราต้องการจะเปลี่ยนเล็บสำหรับโชว์ต่อไป เราจะต้องรีบ ๆ แคะ มันเจ็บมากเลยแต่มันแลกมากับความสุขทุกครั้ง เพราะว่าเวลาปันมองไปเห็นคนดู แล้วเห็นทุกคนยิ้ม หรือบางครั้งเค้าขำ ซึ่งรู้สึกว่าการที่เราเป็นคนพุทธ มันเหมือนกับเป็นการให้บุญอย่างหนึ่ง แล้วเราได้บุญด้วย เพราะว่าคนดูเค้าลืมปัญหาในชีวิต จากการที่เราทำให้เค้ามีความสุขการแต่ง Drag ต้องเริ่มจาก คอนเซ็ปต์ สมมติเราจะแสดง ก็ต้องคิดก่อนว่าเราจะโชว์เพลงอะไร เพลงนี้สื่อถึงอะไร การแต่งตัวจะเป็นยังไง แล้วเวลาสื่อออกมาจะสื่อสารกับคนดูเรื่องอะไร แล้วเราต้องคิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งปันไม่ชอบแต่งลุคไหนบ่อย บางลุคปันแต่งรอบเดียว เพราะว่าเราจะทำให้ได้ดีที่สุดในจุดนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นตู้เสื้อผ้าของปันแน่นมาก บ้านปันมี 2 ห้องนอน ซึ่งห้องนอนห้องหนึ่งจะมีแต่เสื้อผ้าอย่างเดียวเลย ซึ่งเสื้อผ้าส่วนมากปันก็คือจะโละให้กับน้อง ๆ ที่ร้านปัน ให้เค้านำไปใช้ต่อปันเรียนจบศิลปะ วาดรูป เพ้นท์ติ้ง ถ่ายรูป รูปปั้น เรียนหมดเลย ที่เลือกเรียนศิลปะเพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ปันทำแล้วไม่พัง เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ปันเรียนไม่ค่อยเก่ง ก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยคะแนนเราก็ไม่ได้สูงมาก แต่ว่าเค้าดูเราที่ Portfolio ตอนที่สอบเข้า ปันเก็บผลงานที่เคยวาดรูป แล้วรู้สึกว่าเราทำออกมาได้สวย ซึ่งอาจจะได้ความเป็นศิลปินมาจากคุณยาย คือคุณยายของปันเค้าเป็น Painter แต่ว่าคุณยายไม่ชอบให้ลูกหลานทำงานศิลปะ เพราะว่าคุณยายเค้าเป็นนักวาดรูปช่วงสงคราม แล้วในช่วงสงครามใครจะซื้อรูป เค้าก็เลยต้องกลับไปเรียนบัญชี แม่ของปันก็เลยไม่ได้อยากเป็นศิลปิน แต่ปันกลับชอบศิลปะ”งานโชว์ กับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า“มีบางครั้งที่เราตั้งใจโชว์มาก แต่คนดูไม่เข้าใจ หรือบางครั้งโชว์อยู่ดี ๆ แล้วเพลงดับ สิ่งที่เราต้องทำคือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วสมัยก่อนปันเป็นคนที่เครียดกับเรื่องพวกนี้ ปันจะรู้สึกเฟลไปเป็นอาทิตย์เลย แล้วปันเพิ่งเรียนรู้ว่าทำไมเราไม่คิดใหม่ เพลงนี้สมมติว่าเราเล่นได้ไม่ดีที่สุด รอบหน้ามันยังมี มันยังมีวันพรุ่งนี้ จนเริ่มรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ปันปล่อยวางลงมาก แต่จากประสบการณ์เวลาโชว์ปันก็เคยมีคนมาดึงวิกบ้าง เอาเมนูมาโยนใส่ปันบ้าง เคยแรงถึงขั้นมีคนจ้างมือปืนไปรอปันหน้าคลับ เพราะเราพูดตลก พูดแซวแขกแล้วก็จะชอบจิกกัดทุกคน ปรากฎว่าเค้ารับไม่ได้ เค้าก็เลยไปจ้างมือปืนมา 2 คน แต่ว่าปันก็ไปแจ้งความ เค้าก็ไม่กล้ามาทำอะไร ไม่เคยนึกเลยว่าการมาโชว์ จะต้องมาหนีมือปืนด้วยซึ่งการรับรู้เรื่องการแต่งแดร็กของต่างชาติ กับ คนไทย ปันว่ามันต่างกันในระดับนึง คือมันอาจจะมี Reference บางอย่าง ที่คนดูแล้วคนอาจจะเข้าใจ แต่ท้ายที่สุด โชว์ที่ดีก็คือโชว์ที่ดี เรื่องบางเรื่องที่เราพยายามจะเล่า เค้าอาจจะไม่ได้เข้าใจ แต่ถ้าโชว์ออกมาดี มันก็คือโชว์ที่ดี ซึ่งคนดูไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง สมมติเราไปรำไทยที่เมืองนอก แต่เรารำได้สวย ซึ่งมันอาจจะมีภาษาของท่ารำที่คนต่างชาติไม่เข้าใจ แต่พอเรารำสวย คนต่างชาติก็ชอบ”ปันปัน กับการยอมรับตัวตน จากคนในครอบครัว“ต้องบอกว่าเวลาเราเป็นแดร็กควีน แล้วก็เป็นเกย์ด้วย มันเหมือนกับว่า เราจะต้องออกมาบอกโลกสองรอบ คนส่วนมากที่ไม่เป็นแดร็กควีน ก็จะมีวันหนึ่งที่เค้าอยากจะบอกพ่อแม่ว่า ‘สวัสดีค่ะ ชอบผู้ชายนะคะ’ แต่พอเราเป็นแดร็กควีน เราก็ต้องกลับไปบอกพ่อแม่อีกว่า ‘สวัสดีค่ะ เราชอบผู้ชายนะคะ และเราชอบแต่งหญิงด้วยค่ะ’ซึ่งก่อนหน้านั้นการรับรู้ของครอบครัวปันไม่ค่อยแย่นะ เพราะมันค่อนข้างจะชัดอยู่ในเรื่องของความตุ้งติ้งของปันที่มีมาตั้งแต่เด็ก และปันไม่เคยรู้สึกผิดกับความตุ้งติ้ง เพราะเรารู้สึกว่ามันสนุกดี จริง ๆ แล้ว ตอนที่บอกว่าเป็นเกย์ พ่อแม่ค่อนข้างโอเค แต่พอบอกว่าแต่งแดร๊กปุ๊บ แม่กลับรับไม่ได้สุด ๆ ส่วนคุณพ่อกลับโอเค ซึ่งปันแปลกใจมาก ปันใส่ชุดราตรีจะไปโชว์ คุณพ่อก็ขับรถไปส่ง แต่แม่กลับบอกว่า เธอเป็นได้แค่เกย์ แต่เป็นแดร็กไม่ได้นะ ปันคิดว่าแม่เค้าคงคิดว่าปันอยากแปลงเพศ ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้จำเป็นเลย อย่างที่ปันบอกไปว่า แดร็ก ไม่ได้สำคัญเลยว่าคุณจะเป็นสาวประเภทสองหรือเป็นเกย์ สมัยก่อนเวลาเราเขียนคำว่าแดร็ก ก็จะมีแค่ภาพสาวประเภทสอง และมีเกย์อยู่ใต้ร่มของการโชว์คาบาเร่ต์ แต่ปัจจุบันนี้ แดร็กควีน คือใครก็ได้ที่แต่งข้ามไป ไม่ได้เกี่ยวว่ามีอวัยวะอะไร แล้วอยากผ่าตัดแปลงเพศไหมเวลามีคนถามปันว่า ความสำเร็จอะไรที่ปันภูมิใจที่สุด สิ่งนั้นคือข้อความที่ได้มาจากแม่ที่บอกว่า I’m so proud of you ฉันภูมิใจในตัวเธอจังเลยนะ คือมันยิ่งใหญ่มาก เพราะเรารู้สึกว่า เค้าก้าวข้ามอะไรบางอย่างเพื่อที่จะมายอมรับเราได้ในสิ่งที่เราเป็น มันอาจจะใช้เวลานิดนึง กว่าที่เค้าจะมาถึงจุดนี้ แต่อย่างน้อยเราก็มาถึงจุดนี้แล้ว จุดที่เค้ายอมรับเราได้หรือวันที่ปันไปแสดงครั้งนึง วันนั้นปันชนะได้รางวัลที่ 1 แล้วพ่อของปันเวลาไปเจอใครก็บอกว่าเนี่ยลูกชายฉัน คือเค้าภูมิใจแล้วเรารู้สึกว่าพ่อแม่หลาย ๆ คน อยากให้ลูกสืบทอดนามสกุล ซึ่งปันไม่สามารถที่จะสืบทอดนามสกุลในทางที่คุณต้องการได้ แต่ฉันสามารถสืบทอดนามสกุลของเราในวิธีอื่นได้นะ”ถอดบทเรียน 3 ปี การเป็น Host ที่ดีต้อง...?“ปันได้มาเป็น Host ในรายการ Drag Race Thailand แบบงง ๆ คือเราชอบรายการนี้มาตั้งนานแล้ว มีวันหนึ่ง พี่เต้ กันตนา เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีรายการนี้ ให้รอไปก่อน 3 ปี ซึ่งเราก็ทำงานของเราไปเรื่อย ๆ พอผ่านไป 3 ปี รายการเกิดขึ้นจริง แล้ว 1 เดือน ก่อนที่จะถ่าย ทีมงานก็ติดต่อเรามา ตอนนั้นก็คิดว่า แล้วเราต้องหาชุดอะไรยังไง ไม่รู้เรื่องเลย แล้วคิดว่าคงไม่ทัน แต่ก็ตัดสินใจตอบรับรายการไป แล้วปันก็ได้มาเจอกับ พี่อาร์ต อารยา ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้ชอบนางเลย เพราะพี่อาร์ตหน้าเหวี่ยงมาก ตอนนั้นเราเป็นคนที่ไม่รู้จักแฟชั่น เราไม่เข้าใจแฟชั่น ทำให้ไม่ค่อยชอบในตอนที่เจอพี่อาร์ตครั้งแรก แต่พอรู้จักพี่อาร์ตมากขึ้น นางก็เหมือนแม่คนหนึ่ง เป็นคนน่ารัก ไม่มีอะไรเลย ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่เข้าไปทำรายการ เราทำแบบงง ๆ เพราะปันไม่เคยมีประสบการณ์ Host มาก่อน หลังจากนั้นผ่านไป 2 ซีซั่น แล้วเดี๋ยวซีซั่น 3 กำลังจะมาในปีนี้ปันว่าการเป็น Host สิ่งสำคัญคือการฟัง และเรื่องของจังหวะ คือการที่เราจะตะโกนโหวกเหวกโวยวาย มันไม่ได้มีพลังมากกว่าที่เราคิด ถ้าเกิดเราฟัง แล้วเราให้ความคิดดี ๆ เด็ก ๆ จะได้อะไรมากกว่า อย่างซีซั่น 1 ปันรู้สึกว่า ปันเล่นบทเป็นเหมือนกับเพื่อนสาวที่เสียงดังตลอดเวลา ดังนั้นในซีซั่น 3 ปันเข้าใจแล้วว่า การที่จะคอมเมนต์อะไรบางอย่าง มันไม่พอที่จะเป็นกรรมการ มันต้องให้แนวทางด้วย ติเพื่อก่อ คือข้อที่สำคัญที่สุดของการที่จะเป็นครูคนหนึ่ง ซึ่งเวลาคอมเมนต์ ปันจะพยายามบอกพวกเค้าว่า ปันคิดอะไรอยู่ แล้วแก้ยังไงดี แต่ก็มีบางรอบที่ปันรู้สึกว่าชุดอะไรเนี่ยน่าเกลียดมากเลย นี่เป็นเวทีทรงเกียรติมากเลยนะ ใส่ชุดนี้ได้ยังไง แต่ปันจะด่าแล้วก็บอกสาเหตุ”ภูมิใจที่สุด! ความเป็นไทยที่เสนอผ่านตัวตน Drag ของ ปันปัน“การที่ได้ไปแข่ง RuPaul's Drag Race ตอนนั้นปันกดดัน เพราะปันเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าไปแข่งในรายการนี้ ซึ่งในช่วงนั้นรายการมีประมาณ 15 ซีซั่นแล้ว ไม่เคยมีคนไทยสักคนเลย แล้วปันดูรายการนี้มาตั้งแต่เด็ก เราอยากแข่งมาก มันเป็นความฝันที่เราไม่เคยกล้าฝัน พอเราได้เป็นกรรมการของรายการนี้ แล้วก็คิดว่าใครเค้าจะเอากรรมการไปแข่ง แต่งครั้งนั้นมันเป็นครั้งแรกที่เอากรรมการมาแข่งในรายการ และเป็นครั้งแรกที่คนไทยไป และปันเป็นลูกครึ่งไต้หวัน ปันก็รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่คนไต้หวันได้เข้าไปในรายการด้วย มันเป็นครั้งแรกของหลาย ๆ อย่างมาก เราอยากไปคว้ารางวัลมาให้ประเทศไทย ตอนนั้นปันร้องไห้ทุกวันเลย มันกดดันมาก และนั่นคือสาเหตุที่ตอนออกจากรายการ ปันร้องไห้ ซึ่งไม่ได้เสียใจที่เราแพ้ แต่เราเสียใจที่รู้สึกว่าตัวเองอาจจะนำเสนอประเทศเราไม่ดีพอ มันเหมือนอกหัก ปันใช้เวลา 2-3 เดือน กว่าที่จะมารู้ว่ามันเป็นเกม การแข่งขันคือเกม เราต้องเอาชนะใจคนดู ไม่ว่าเราจะทำอะไรออกมา เราใช้ชีวิตอย่างสวยงามได้ การแข่งขันเป็นสิ่งหนึ่งที่จุดประทัดให้เรา แต่ว่าถ้าเกิดเรามาใช้ชีวิตจริง แล้วเราตรงต่อเวลา เรารักในสิ่งที่เราทำ เชื่อว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งเราได้ตอนไปแข่งทุกชุดที่ปันใส่ มาจากไทยดีไซน์เนอร์ทั้งหมด ทุกอย่างที่ปันเอาไปนำเสนอต้องบ่งบอกถึงการที่ปันภูมิใจในการเป็นคนไทยเพราะเราภูมิใจมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรม เรื่องเสื้อผ้า อาหารประเทศไหนอร่อยเท่าประเทศไทย ปันก็เลยอยากไปเล่าเรื่องประเทศไทย ในแนวทางของปัน ที่มันเป็นการเล่าผ่านการเป็นแดร็กปันพยายามมากตอนที่ไปแข่ง ช่วงเก็บตัวช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด แล้วตอนที่ทีมงานโทรมาบอกว่าเธอได้เข้ารายการนี้ ตอนนั้นปันทิ้งทุกอย่างเลย ไม่รับงานเลย เราอยากเรียนเพิ่มและต้องทำตัวให้เหมือนฟองน้ำที่ต้องดูดซับทุกอย่างจากทุกคนรอบข้างเรา ต้องกลับไปเรียนการทำผมใหม่ ต้องเรียนแต่งหน้าใหม่ ต้องเรียนเดินแบบ เรียนแอคติ้ง เรียนนั่งสมาธิ เรียนประวัติศาสตร์แฟชั่น เรียนตัดเย็บ รวมแล้วปันเรียนเพิ่มกว่า 11 คลาส เริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงตี 1 ทุกวัน แล้วมันมีเวลาในการเตรียมตัวประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งน้อยมาก แต่ปันก็ตั้งใจเรียนทุกวัน เราต้องอุดรูให้หมด และแม้ว่าปันจะแพ้ แต่ในที่สุดเราเก่งขึ้น กลายเป็นคนที่มีความสามารถมากขึ้น จากการเรียนสิ่งพวกนี้ แล้วจากการประกวดเวทีนี้ ทำให้ปันได้ทัวร์ทั่วโลกเลย ได้มี Residency ที่ลาสเวกัส มันเป็นความฝันของนักแสดงคนหนึ่งเลยที่จะได้ไปโชว์ที่เวกัส แล้วทุกวันมีคนมาดูเรา 600 กว่าคน ซึ่งเราเป็นคนไทยที่ไปยืนตรงนั้น มันเหมือนเราไปสร้าง Landmark อย่างหนึ่งและสิ่งสำคัญสำหรับคนที่อยากไปแข่ง คือเรื่องภาษา เพราะพอเราดูรายการของเมืองนอกแล้ว เค้าต้องการคนที่สื่อสารในภาษาที่ทุกคนมาเจอกันจุดตรงกลางได้ แล้วการที่คุณจะเป็นพิธีกรถ้าคุณมีทักษะภาษาที่มากกว่าภาษาเดียว คุณก็สามารถรับงานได้มากกว่างานเดียว ปันเลยรู้สึกว่าถ้าคุณเป็นแดร็กควีน ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างถ้าไปประกวด Miss Universe การที่นางงามสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง กับการสื่อสารออกมาแล้วมีล่ามคอยแปล แบบไหนประทับใจกรรมการมากกว่า แน่นอนว่าการสื่อสารที่ออกจากใจเรา และพูดได้ชัดเจน ตรงประเด็น มันประทับใจกว่าในการแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องผิดหวัง แต่ผิดหวังแล้วเราลุกขึ้นกลับมาอีกครั้งยังไง เพราะว่าทุกครั้งที่คุณผิดหวังหรือเสียใจ คุณเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน คุณต้องกลับมาดูตัวเองว่าเราเสียใจเพราะอะไร แล้วเราก้าวข้ามมันไปยังไง เพราะอย่าคิดว่าชีวิตมันจะไม่มีความเจ็บปวด ยังไงก็มีความเจ็บปวดอยู่ดี แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณใช้ชีวิตบนความเจ็บปวดยังไง มันสอนอะไรเราบ้าง ความเจ็บปวดมาเดี๋ยวมันก็หายไป แต่ถ้าเราทนได้ เราจะได้อะไรกลับมา ที่มันดีกว่า”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ ปันปัน“ปันไม่มีสเป็กนะเอาตรง ๆ เพราะเรามีสเป็กทุกชาติ คือแบบ คนลาตินมันก็สเป็กแบบนี้ คนไทยก็สเป็กแบบนี้ คนจีนก็สเป็กแบบนี้ ปันรู้สึกว่าเรื่องความรัก ที่ปันเคยคบก็คือมีทั้ง 3 ปี 2 ปี แต่ตอนนี้ ปันอยู่ในจุดที่ปันไม่อยากมีแฟนเราผ่านประสบการณ์ในเรื่องความรักมาเยอะพอที่รู้สึกว่าฉันรักตัวเองมากที่สุด แล้วเป็นคนขี้รำคาญคนมากเลย แล้วก็รู้สึกว่าในจุดนี้ ปันอายุ 36 ปี ปันมีความสุขกับการที่จะไปต่างประเทศ ไปเจอคนโน้นคนนี้แล้วน่าสนใจ สมมติเราบินไปปารีสวันนึง แล้วเจอผู้ชายคนนึง แล้วเค้าก็ชอบเรามาก แล้วถ้าเราบอกว่าฉันมีแฟนแล้ว เราก็จะไม่ได้คุยกับผู้ชายคนนี้ แล้วไม่ได้ไปทานดินเนอร์กับเค้านะ ดังนั้นอย่าปิดกั้นตัวเอง แต่มันก็แล้วแต่ความสุขของคน ปันกำลังจะบอกว่าสิ่งที่มันใช้ได้กับปัน อาจจะใช้ไม่ได้กับคนอื่น แต่ปันแค่รู้ว่า ความสุขของปันมันคือการรักตัวเอง แล้วก็เพื่อนรอบข้างที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ พี่กอล์ฟ หรือหลาย ๆ คนที่อยู่ข้าง ๆ มันเติมเต็มจนปันรู้สึกว่าฉันไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีแฟน”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ปันปัน Pangina Heals“เรื่องคอมเมนต์เชิงลบ ไม่สนค่ะ เราบล็อกบ้างก็ได้ เราไม่ต้องคิดมากก็ได้ แล้วอีกอย่าง คนที่ด่าเค้าไม่ได้มาแคนเซิลงานเรา เรายังได้เงินอยู่ เรายังหางานอื่นได้อยู่ ถ้าออแกไนเซอร์เค้าด่า นั่นอาจจะเรื่องหนึ่ง แต่ปันเชื่อว่าในอาชีพของพวกเรา ถ้าเกิดเราแคร์ทุกคน เราคงเป็นบ้าไปแล้วหลักในการทำงาน หนูซีเรียสมากเรื่องความ Professional คือหนูไม่เคยไปงานไหนสายเลย หนูจะเป็นคนที่เหมือนข้างหลังสมองมันเหมือนมีระเบิดอยู่ แล้วถ้าไปสายจะรู้สึกว่าระเบิดมันจะระเบิดใส่หัวเรา และปันรู้สึกว่า งานทุกงานมีเกียรติ ถ้าเราให้เกียรติตัวเอง แล้วก็ให้เกียรติคนอื่น เพราะฉะนั้นเวลาปันจะขึ้นเวที ทุกอย่างเราต้องคิดแล้วก็ต้องทำการบ้านให้มากที่สุด เราต้องถามตัวเองว่าเราทำงานนี้ เรามีความสุขรึเปล่า เพราะว่าชีวิตมันสั้นมากเลย ถ้าเราทำงานหนึ่งแล้วเรามีความสุข แล้วทำให้คนอื่นมีความสุข มันไม่เสียดายเลยถ้าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่อย่าให้มันเกิดเถอะ” - ปันปัน Pangina Healsพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองความสุข กับการได้เป็นตัวเอง ของ “เอิร์ธ Cooheart” นักแสดงซีรีส์วาย ที่เปิดตัวมากับความ ‘Queer’

16 ส.ค. 2024

เปิดมุมมองความสุข กับการได้เป็นตัวเอง ของ “เอิร์ธ Cooheart” นักแสดงซีรีส์วาย ที่เปิดตัวมากับความ ‘Queer’

“ปกติหนูก็ไม่ได้เก่งรอบด้าน ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หนูรู้สึกว่าทุกวันนี้ เราจะเป็นเหมือนเป็ดที่ทำได้หลายอย่างบ้างก็ได้ ขอแค่โฟกัสตัวเองให้ทำในสิ่งที่รัก และมีความสุข ค่อย ๆ บ่มเพาะ ลงแรงลงใจ แล้วมันจะทำให้เราเก่งเหมือนคนอื่นได้”เปิด Club ส่งต่อแพชชั่น พร้อมแบ่งปันแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดคิ้วท์ “เอิร์ธ กัษมนณัฏฐ์” หรือ “เอิร์ธ Cooheart” อดีต Cute Boy จากแฮชแท็ก #ช้างเผือกอยู่ในป่า ที่เริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยซีรีส์เรื่อง ‘บังเอิญรัก’ ‘ด้ายแดง’ ตลอดจน ‘ลุ้นรัก 12%’ และได้กลายเป็นไอดอลด้านการแต่งตัวของผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 2.2 ล้านคนซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ เอิร์ธไม่เคยปิดบังเรื่องเพศของตัวเอง และในขณะเดียวกัน ยังได้สะท้อนบางมุมมองของวงการบันเทิง และสังคมไทยที่มีต่อนักแสดง LGBTQ+ ได้มากทีเดียว สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ‘Cooheart’ ชื่อนี้มีที่มา“ต้องเกริ่นก่อนว่าตอนเด็ก ๆ เราจะเป็นเกมเมอร์นิดหน่อย สมัยก่อนชอบเล่นเกมปังย่าที่มันเป็นเกมตีกอล์ฟ แล้วมันจะมีตัวละครตัวหนึ่งที่หนูชอบคือ ตัวหนูคูล เค้าจะมีผมแกละ 2 ข้าง แล้วหนูก็อยากตั้งชื่อในเกม ก็เลยเอาชื่อ Cool มาไว้ข้างหน้า แล้วก็เอสชื่อเอิร์ธ ไปไว้ข้างหลัง แล้วเรียงตัวอักษรใหม่เป็นคำว่า Heart แล้วถ้าสลับตำแหน่งเอาตัวเอชไปไว้ข้างหลังสุด มันจะกลายเป็นคำว่า Earth พอหนูอ่านคำว่า Coolheart แล้วมันดูแบบเป็นเรา หนูรู้สึกว่าจริตนี้มันได้ เหมือนได้ยินคำนี้แล้วมันต้องเห็นหน้า ก็เลยเลือกใช้ชื่อนี้ไปตั้งชื่อ Instagram แล้วก็ใช้ชื่อนี้เรื่อยมา”ย้อนความฝัน ของ ด.ช.กัษมนณัฎฐ์ นามวิโรจน์“เท่าที่จำความได้ตั้งแต่ประถม เอิร์ธก็รู้สึกว่าเราเรียนเก่ง ได้เกรด 4.00 ตลอด ตั้งใจมากว่าฉันจะเป็นหมอ จน ม.1 เกรดเริ่มลดลง และรู้สึกว่าหมอไม่ใช่ทางละ พอ ม.ปลายเริ่มสนใจอาชีพเภสัชกร แต่ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา แต่เราเรียนสายวิทย์ -คณิตมา แต่ก็ยังไม่ชอบก็เลยลองไปค้นหาตัวเอง ย้อนคิดว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เราชอบทำอะไร ซึ่งก็ได้คำตอบว่าหนูชอบวาดรูปตามผนังบ้าน ผนังที่บ้านหนูเต็มไปด้วยรูปวาด ทีนี้หนูก็เลยลองไปติวสถาปัตย์ดู เพราะไหน ๆ ก็เรียนวิทย์ - คณิตมาแล้ว พอไปติวก็รู้สึกว่าเป็นเรามาก เลยตัดสินใจมาเรียนสถาปัตย์ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งเรื่องอาชีพหนูรู้สึกว่า ด้วยยุคนั้นเค้าจะมองว่าอาชีพราชการมันจะมั่นคง แม่หนูก็เลยมองว่าอาชีพไหนที่ฐานเงินเดือนมันสูง แล้วก็ได้คำตอบว่า เภสัชกร เค้าก็เลยเชียร์เราให้ไปเรียนเภสัชศาสตร์สิ มันทำได้หลายอย่าง แต่สุดท้ายเราไม่ชอบ แต่พอแม่เห็นว่าหนูทำตรงนี้แล้วแฮปปี้ เค้าก็ปล่อยแล้วส่งไปเรียนเต็มที่ แม่หนูเป็นสายซัพพอร์ท”กว่าที่คนในบ้านจะยอมรับตัวตนของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์“ต้องบอกก่อนว่า หนูเกิดประมาณปลายยุค 90 ก็คือหนูเกิด 1996 ตั้งแต่เด็กหนูจะชอบดูการ์ตูน ชอบเจ้าหญิงดิสนีย์ แต่การ์ตูนฝั่งผู้ชายที่เค้าเล่นเราก็เล่น แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่กับผู้หญิงตั้งแต่เด็กเพราะเป็นเซฟโซนของเรา แล้วเวลาอยู่กับเพื่อนหนูจะเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ จนเราไปโรงเรียนแล้วเพื่อนคนอื่นก็จะเริ่มเรียกเราว่า นังตุ๊ด ซึ่งบางทีเราก็ไม่ค่อยชอบคำนั้น และเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมมาเรียกว่าตุ๊ด จน ม.1 ตอนนั้นวงเกิลส์เจเนอเรชันมาแรง แล้วหนูก็ได้ลองเต้นคัฟเวอร์ เริ่มมีแก๊งเพื่อนที่เต้นเหมือนกัน แล้วมันรู้สึกว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ของเรา แล้วเรามีตัวตนขึ้นมา จากการที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เราเริ่มเข้าใจตัวเองจากการแสดงออกที่มันชัดขึ้นมา จนประมาณ ม.6 ที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้หนูอยาก come out เพราะว่าหนูเริ่มมีแฟนคนแรก เพราะก่อนหน้านั้นเราก็จะแค่ชอบคนนั้นคนนี้ แล้วมันยังไม่แบบยังไม่สมหวัง จนเริ่มจะเข้ามหาวิทยาลัย เราเริ่มรู้สึกว่าทำยังไงดี ตอนนั้นแฟนอยู่ต่างจังหวัด คุยกันผ่านแอพพลิเคชั่น แล้วเวลาเค้ามาเชียงใหม่ เราอยากพาเค้าไปเที่ยว แต่ว่าจะพาไปยังไงเพราะเราก็ยังไม่ได้โตพอ เราก็ต้องพึ่งทางที่บ้านด้วย เลยตัดสินใจจะบอกแม่ เพราะว่าหนูอยู่กับแม่สองคน แล้วเราก็บอกว่าเรามีแฟนเป็นผู้ชายนะ จากนั้นแม่เค้าก็อึ้ง นิ่งไปสักพัก แล้วหนูก็ทำตัวไม่ถูก คือจริง ๆ หนูว่าแม่เค้าก็รับรู้มาตลอด แต่เค้าก็จะบอกกับคนอื่นรอบตัวว่าลูกเป็นผู้ชายเรียบร้อยชอบเล่นกับผู้หญิง แต่ลึกๆ เค้าก็คงรับรู้ แต่ฝั่งพ่อหนูจำได้เลย ตอนนั้นหนูทำ Portfolio อยู่ประมาณ ม.5 พ่อเดินเข้ามาคุยว่า ไม่เป็นไร อยากเป็นอะไรเป็นได้เต็มที่ ทำได้เต็มที่เลยนะไม่ต้องกลัว พ่ออยู่ตรงนี้ แล้วพ่อก็เดินมาตบไหล่แล้วก็เดินไปเลย ตอนนั้นมันค่อนข้างปลดล็อคแล้วรู้สึกว่าอุ่นใจ ขนาดพ่อเรายังเข้าใจแต่เหลือด่านแม่ที่เราแบบสนิทมาก หลังจากที่หนูบอกแม่ แล้วแม่ก็ช็อคไป หนูทำตัวไม่ถูกก็เลยโทรหาพ่อร้องไห้หนักมากตอนนั้น แล้วบอกว่าพ่อมาเคลียร์ให้หน่อย แม่คงไม่เข้าใจว่าหนูจะอธิบายอะไร คืนนั้นหนูกับแม่ก็แยกกันนอน ปกติเราจะนอนด้วยกันตลอด ซึ่งแม่ก็คุยดีบอกว่าแม่ขอแยกกันนอนก่อนคืนนึงนะ พออีกวันหนูยังไม่ทันตื่นแม่ก็แบบมาลูบหัว แล้วพูดว่าแม่เข้าใจเรานะ อาจจะให้เวลาแม่หน่อย แต่เค้าก็ทำกับข้าวให้กินปกติ แต่สุดท้ายหนูว่ามันก็ต้องเดินหน้ากันต่อ ค่อย ๆ ใช้เวลาปรับกันไป จริง ๆ แล้วแม่หนูไม่ได้กลัวว่าหนูจะเป็นอะไร แต่เค้าแค่ห่วงว่าสังคมจะยอมรับได้หรือไม่ได้ เหมือนกลัวว่าเราจะไม่มีที่ยืนในสังคม หรือใช้ชีวิตลำบากกว่าคนอื่นรึเปล่าซึ่งเค้าค่อนข้างกังวล แต่พอโตมาเรื่อย ๆ พอเค้าเห็นว่าหนูทำได้ดีมาโดยตลอด แม่จะพูดกับหนูตลอดว่าแบบแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก และรู้สึกว่าโชคดีที่แบบมีหนูเป็นลูก แล้วมันยิ่งทำให้เค้ารู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ทำเลย เค้าแบบสบายใจแล้ว หนูก็รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองนะ ว่าเราค่อนข้างมั่นใจมาโดยตลอด แล้วรู้สึกว่าอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราคาดหวังไว้ บางทีมันอาจจะไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็รู้สึกว่าทำเต็มที่ แล้วเราก็มีแรงสนับสนุนที่ดีจากแม่ ซึ่งสถาบันครอบครัวก็สำคัญที่สุดแล้วจริง ๆหลังจากที่ได้ Come out ครั้งนั้นมันปลดล็อคขึ้นเยอะครับ ยิ่งช่วงนั้นอินเลิฟ มีแฟนคนแรก แล้วครอบครัวก็เริ่มเข้าใจ มีพาแม่ไปเที่ยว ช่วงแรก ๆ แม่ก็จะลองถามว่าถ้าเลิกกับแฟนคนนี้ จะลองมีแฟนเป็นผู้หญิงดูมั้ย ซึ่งเราก็พูดตรง ๆ ว่าแม่ มันไม่ได้เปลี่ยนง่าย ๆ มันเป็นเรื่องของความชอบและรสนิยมทางเพศ พอได้พูดทำความเข้าใจกัน หลัง ๆ แม่ก็บอกว่าไม่หวังอะไรแล้ว เอาแบบที่ลูกแม่มีความสุข จะเป็นอะไร ทำอะไร ก็เต็มที่ หลังจากนั้นหนูปลดล็อคมาก หนูรู้สึกว่าดีใจจังเลย ในที่สุดแม่เค้าก็เข้าใจ แบบเปิดใจจริง ๆ แล้ว”ก้าวแรก สู่การเป็นนักแสดงซีรีส์“ตอนนั้นช่วงที่เรียนประมาณปี 3 เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ไม่เล่นโซเชียล และจะค่อนข้างเก็บตัว แต่ว่าช่วงนั้นเค้าจะมีเพจ Cute Boy ชื่อ เพจช้างเผือกอยู่ในป่า แล้วช่วงนั้น เพื่อนหนูก็ชวนหนูไปถ่ายรูป เราก็ลองไปถ่ายดู แล้ว เพจช้างเผือกอยู่ในป่า เค้าเอารูปหนูไปลง กลายเป็นว่าพี่ ๆ ที่เค้าแคสซีรีส์เรื่องบังเอิญรัก เค้าก็เห็นว่าหนูมีคาแรกเตอร์ที่ใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ที่เค้าหา เค้าก็ทักหนูมาว่าลองมาแคสดูไหม แล้วตอนนั้นหนูก็ตัดสินใจมากรุงเทพคนเดียวเพราะอยากลองมาแคสดูเรื่องแรกทักษะการแสดงเป็นศูนย์เลย หนูเครียดมาก จำได้เลยว่าได้แคสคิวแรก ถ้าใครกลับไปดูบังเอิญรักจะเห็นว่าหนูร้องไห้ไม่ได้เลย ตอนนั้นต้องใช้หอมหัวใหญ่ ในการทำให้ร้องไห้ มันทำไม่เป็น ไม่รู้ว่าการแสดงคืออะไร แล้วต้องเล่นดราม่าทั้งวัน ต้องทำให้ได้ในเรื่องของมุมภาพ ซึ่งสุดท้ายมันก็กลายเป็นการจับพลัดจับผลูสะส่วนใหญ่ เหมือนโอกาสมาแล้ว ต้องคว้าไว้ มันเป็นช่วงของการลองดูต้องบอกว่าก่อนหน้านั้นอาชีพนักแสดงไม่มีในหัวเลย ยิ่งตอนเด็ก ๆ เวลาส่องกระจกแล้วเราก็รู้สึกว่าเราคือหน้าธรรมดาแบบชาวบ้าน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสที่ฉันจะได้มาอยู่ตรงนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในวงการบันเทิง มาแสดง มีคนมารักมาชอบ ภาพเหล่านี้ไม่มีในหัวเลย ภาพเดียวตอนเรียนที่มีคือ หนูรู้แค่ว่าฉันจะเป็นสถาปนิกสาว ฉันจะต้องออกแบบบ้านแบบสวย ๆ สกิลเรื่องดีไซน์ฉันต้องดี เกรดจะได้ดี ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าเราทำเรื่องศิลปะได้ดีอยู่แล้ว ฉันไม่มองด้านอื่น แต่พอมาทางนี้ มาทางการแสดงปุ๊บ กลายเป็นว่าเราไม่อยากกลับไปอีกเลยตอนนั้นเค้าก็มีการเวิร์คช็อป แต่ด้วยความที่หนูเด็กมาก แล้วมันไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร โชคดีมากที่เรื่องบังเอิญรักดัง ดังมากเลยในยุคนั้น แล้วหนูเป็นตัวหลักรายชื่อที่ 8 แล้วพอเรื่องนี้ดังมาก คนก็รู้จักหนู ตอนนั้นมีงานแฟนมีตทั้งไทยและต่างประเทศตลอดเลย หนูโชคดีมาก กลายเป็นก้าวแรกที่ดีมากสำหรับหนู คาแร็กเตอร์แรกที่หนูต้องเล่นเป็นบทซึมเศร้าเลย เพราะตัวละครเหมือนผ่านเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นปมในชีวิต แล้วหนูคือยังไม่เข้าใจเลยว่าอะไรคือปมในชีวิต ชีวิตฉันดีจะตาย แล้วต้องดึงเรื่องราวปมในชีวิตมายังไง เราไม่เข้าใจ อินเนอร์ หรือ เอ้าท์เตอร์ เราก็ไม่รู้จัก หนูจำได้เลยซีนแรกที่หนูถ่ายกับไตเติ้ล หนูถ่ายประมาณ 12-13 เทค แค่ลากกระเป๋าเข้าบ้าน จนผู้กำกับบอกว่า ทำไมเล่นไม่ได้สักทีวะ ตอนนั้นมันเกร็ง มันไม่ธรรมชาติ มันเกร็งไปหมด ตื่นกล้อง สุดท้ายก็จบที่หัวหอมที่เอามาเรียกน้ำตา แต่ว่าหนูก็ทำเต็มที่ที่สุดตอนนั้นแล้ววงการบันเทิง กับตัวตนที่ต้องถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบ“หนูรู้สึกว่าทุกวันนี้หนูก็ทำในสิ่งที่หนูชอบไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มองว่าจะดังหรือไม่ดัง หนูยังชอบและรักในการแสดง แล้วอยากทำต่อ เพราะว่าล่าสุด เวลาไปไหว้พระที่ไหนก็ยังขอพรให้หนูได้ทำอาชีพนี้ต่อ หนูรักการแสดงมาก หนูอยากทำต่อ หนูอยากพัฒนาทักษะของตัวเองเพิ่มในเรื่องการโดนเตือนก็มีบ้างในช่วงแรก ๆ ยุคนั้นหนูไม่โทษฝ่ายใด แต่ยุคนั้นมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ด้วยกรอบสังคม ตอนนั้นผู้จัดและทุกฝ่ายเค้าก็จะมีมากระซิบหลังบ้านว่าห้ามออกสาวนะ แล้วหนูก็คิดว่าทำยังไงดี ก็เครียดเลยเหมือนกัน แต่สุดท้ายมันก็ไม่เป็นเรา แล้วเราก็เลือกเชื่อมั่นตัวเอง หนูก็ยังแฮปปี้กับการแต่งตัว และเชื่อว่าตอนนั้นแฟนคลับทุกคนรู้ เพราะหนูเปิดตัวแฟนตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้วหนูมองว่าสังคม แล้วก็แฟนคลับหลาย ๆ คน เค้าเปิดกว้างขึ้นเยอะมาก เค้าค่อนข้างแยกแยะชัดเจนว่า คุณเป็นนักแสดงมันคือเป็นอาชีพหนึ่ง พอสั่งคัทปุ๊บ คุณสามารถเป็นคน ๆ หนึ่งได้ เค้าให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวของเรามากขึ้น ต้องขอบคุณสังคมมากเลยสำหรับเรื่องคำบูลลี่ หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่หนูเปิดความเป็นตัวเองมากขึ้น ช่วงที่เล่นเรื่องด้ายแดง เป็นช่วงที่เราแฮปปี้ในการแต่งตัว เริ่มค้นหาตัวเองมากขึ้น แล้วพอโพสต์รูปออกไปคนก็ชอบ แล้วมันยิ่งเป็นพลัง เค้าเชียร์อัพเราตลอด ทำให้เรายิ่งอยากทำให้มันดีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ หนูไม่เคยพูดที่ไหนเลยว่าหนูเคยเครียดมาก ๆ หลายครั้งที่หนูจะถามว่า ที่หนูเป็นแบบนี้หนูผิดรึเปล่านะ มันออกสาวเกินไปไหม เพราะสุดท้ายเราอาจจะโกหกคนอื่นได้ แต่เราโกหกตัวเองไม่ได้ หนูเลยเลือกเชื่อมั่นในตัวเองดีกว่า แล้วก็ยึดถือแบบนั้นมาตลอด หนูเลือกทำในสิ่งที่หนูมีความสุข แล้วก็เดินต่อไป เพราะเราอยากทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วสุดท้ายถ้าหนูไม่มีความสุข หนูจะส่งความสุขออกไปได้ยังไงเรื่องการเป็นตัวตน แล้วมีผลกับงานไหม จริง ๆ แล้วหนูมองเป็น 2 แบบ คือด้านการแสดงกับงานโฆษณา ซึ่งงานแสดงหนูมองว่ามีผลนะ อย่างบางคนเค้าอาจจะไม่ได้รู้จักหนูมาก เค้าแค่เห็นภาพตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ เค้าก็จะมองว่าเราจะมีความเฟมินีน ก็จะค่อนไปทางสาวหวาน ๆ เลย ซึ่งบางทีในบทที่ต้องการความบอย ดังนั้นเราอาจจะไม่ตอบโจทย์ขนาดนั้น แต่หนูรู้สึกว่าถ้าบทไหนมันใช่เราจริง ๆ จะไม่มีใครมาแสดงได้เท่าเราแน่นอนส่วนงานโฆษณา สินค้าไหนที่เป็นฝั่งผู้ชายก็อาจจะยากสำหรับเรา แต่ถ้าอันไหนเป็นฝั่งสกินแคร์ งานผิว ขายความสวยความงาม ลูกค้าก็จะบรีฟมาก่อนเลยว่า เล่นเป็นคุณเอิร์ธได้เต็มที่เลย แต่งตัวได้เต็มที่ เค้าค่อนข้างสนับสนุนมาโดยตลอด แล้วเวลาหนูเห็นบรีฟแต่ละครั้ง หนูรู้สึกว่ามันดีจังเลย ขอบคุณมากที่โลกใบนี้ยังมีพื้นที่ให้สำหรับเราหนูว่ายุคนี้มันไม่มีใครเดินมาถามเราแล้วว่าคุณเป็นอะไร คือถามว่าชอบอะไรอาจจะมี หนูรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เพศมันมีความลื่นไหลมาก หนูดีใจมาก 7 ปีที่หนูอยู่ในวงการบันเทิง หนูรู้สึกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา โลกเปิดกว้างมากขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย แล้วยิ่งดีใจเรื่องที่ สมรสเท่าเทียม ผ่านแล้ว หนูรู้สึกว่าดีใจที่สุดเลย”QUEER นิยามตัวตน ของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์“หนูรู้สึกว่า QUEER ค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับหนูในวันนี้ QUEER มันจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างนอกกรอบ หลาย ๆ คนก็จะอธิบายว่ามันก็เหมือนเป็นร่มใหญ่ ๆ ที่อยู่นอกกรอบเหนือคำว่าเพศไปอีก ซึ่งเมื่อก่อน QUEER มันจะเป็นคำเหยียด ของต่างประเทศ แต่กลายเป็นว่า LGBTQ+ เค้ายึดคืนมาใช้ แล้วทำให้มันมีความหลากหลายและความสนุกแบบไม่มีกำหนด ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีกรอบ มันต้องอิสระ จะชอบอะไร แสดงออกแบบไหนคืออิสระเลย”จุดเชื่อมของ สถาปนิก กับ นักแสดง“หนูรู้สึกว่ามันจะเป็นบางครั้งเรื่องการดีไซน์ซีน การเข้าถึงบทพูด บางทีมันต้องใช้จินตนาการ เพราะส่วนใหญ่ หนูมักจะคิดอะไรเป็นภาพ บางทีเวลาคิดแปลน หรือวางแบบบ้าน หนูจะคิดเป็น 3 มิติในหัว แล้วเราค่อยวาดออกมา การแสดงก็จะเหมือนกันที่บางครั้งเราเหมือนจะคาดหวังตั้งแต่ต้นจนจบ พอเราอ่านซีนเราจะมีภาพในหัว แล้วพอแสดงได้ไม่ตรงไหนกับที่คิดไว้หนูจะนอยด์ แต่ถ้าสำเร็จเกินกว่าภาพที่คิดไว้ก็จะแฮปปี้ แต่บางครั้งมันอาจจะเหมือนตีกรอบตัวเองไปนิดนึง ซึ่งความจริงแล้วการแสดงมันต้องโฟกัสแค่ปัจจุบันตรงนั้นเลย เราไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังกับคนข้างหน้าว่ามันจะต้องเกิดอะไร เราไม่ต้องควบคุมอะไรทั้งนั้น ทำให้เต็มที่แล้วก็ปล่อยทุกอย่างให้มันดำเนินต่อไป เป็นตัวละครต่อไป”ผลงานการแสดง ที่ เอิร์ธ ภูมิใจ“ผลงานที่ผ่านมา ก็จะมีเรื่อง ด้ายแดง ที่หนูรู้สึกว่าภาคภูมิใจ แล้วก็รู้สึกว่าทักษะการแสดงของหนูค่อนข้างก้าวกระโดด เพราะต้องบอกเลยว่าซีนเปิดเรื่องมันเป็นซีนพูดไม่ได้ ซึ่งมันยาก แล้วในเรื่องตอนนั้นหนูได้เข้าฉากกับ อาหนิง นิรุตน์ แล้วก็ พี่ปั่น ดาราเบอร์ใหญ่กันทั้งนั้น แล้วหนูก็เกร็งแต่เรารู้สึกว่าพอเค้าส่งเอนเนอจี้มาให้เรา แล้วเราส่งกลับได้ แล้วทุกคนชอบ เรารู้สึกว่าดีใจมากที่ได้เล่นบทนี้ แล้วบทมันมีทั้งเฉดที่มีความสดใสน่ารัก แล้วก็มีดราม่าจัด ๆ ด้วยเรื่องคู่จิ้น แต่ละคู่ก็จะมีความแตกต่างกัน ที่ผ่านมาก็จะมีเด็กบ้างโตบ้าง เป็นพี่เป็นน้องบ้าง แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่น่ารัก แล้วรู้สึกว่ามันเป็นการซัพพอร์ตกันและกันที่ดี ซึ่ง จิ้น มันมาจากคำว่า Imagine ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าคือจินตนาการของแต่ละคน อยู่ที่ว่าเค้าจะไปได้ถึงไหน ซึ่งหนูรู้สึกว่าถ้าแฟนคลับเค้าซัพพอร์ต แล้วก็ยังรัก เรารู้สึกว่าขอบคุณแล้วก็ดีใจมาก ๆมุมมองเรื่องซีรีส์วายในปัจจุบันมันไปในทางที่ดีมากเลย หนูรู้สึกว่ามันบูมขึ้นเรื่อย ๆ มีการส่งออกต่างประเทศ กลายเป็น Soft Power ของเราได้เลย แล้วมันก็เหมือนได้สื่อสารบางอย่างออกไปที่ไม่ใช่แค่เรื่องความโรแมนซ์ อาจจะมีการพูดถึงสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม มันจะทำให้มนุษย์ที่ใช้ชีวิตประจำมองเรื่องนี้เป็นธรรมดา ชายหญิง หรือว่าเพศทางเลือกมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เพราะว่าสื่อมีผลมากเหมือนกัน แล้วหลังจากที่เราได้รับสื่อแล้วมันสร้างแรงกระเพื่อมถึงเรื่องความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งกลุ่มหลักของซีรีส์วายคือผู้หญิง สาววายเค้ามีแรงซัพพอร์ตดีมาก เค้าน่ารักกันมาก หนูบอกเลยว่าเป็นรักที่บริสุทธิ์มาก หลาย ๆ ครั้งเค้าให้อะไรเรามาแบบเยอะเกินกว่าคน ๆ หนึ่งจะให้ แต่เค้าให้ได้เรื่อย ๆ หนูรู้สึกขอบคุณแทนทุกความรักที่ส่งมาให้ไม่ใช่แค่กับหนูอย่างเดียวนะ แต่กับทุกคน มันเป็นแรงซัพพอร์ตที่สำคัญมากสำหรับคนที่ทำงานตรงนี้ มันเป็นความรักที่ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ เราไม่รู้เลยว่าจะหาความรักแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ไม่เพียงแฟนคลับในประเทศ เพราะมีแฟนคลับต่างประเทศเกิดขึ้นกับเราด้วย ล่าสุดปีที่แล้วหนูเพิ่งไปแฟนมีตที่ ชิลี กับ บราซิล มา แล้วเราสัมผัสได้ว่าพวกเค้ารักเรามาก ๆ เค้ากรี๊ดดังมาก จนหนูสั่นไปทั้งตัวเลยตอนที่ขึ้นโชว์ แล้วรู้สึกว่า เค้ารักเราขนาดนี้เลยเหรอ นี่ขนาดเค้าไม่เคยเจอเรามาก่อนนะ มันดีใจมากเลยขอฝากถึงคุณพ่อ เพราะคุณพ่อเสียไปแล้วตั้งแต่หนูเรียนปี 1 แล้วตอนนี้หนูว่าคุณพ่อน่าจะดีใจ เพราะว่าพ่อเค้าก็ภูมิใจในตัวหนูมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนคุณแม่ก็จะพูดตลอด เค้าจะพิมพ์เป็นข้อความมาในแชทหนูตลอด เค้าเป็นสายซัพพอร์ตที่ดีมาก หนูรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่หนูเสียใจ แล้วหนูเดินมาถูกทางมาก ๆ”ความรู้ด้านสถาปัตย์ สู่การแต่งตัวแนว Queer Fashion“หนูรู้สึกว่าดีใจแล้วที่เลือกเรียนสถาปัตย์ ถึงเรียนจบมาจะไม่ได้เขียนแบบเขียนแปลน แต่อย่างน้อยก็ได้มาเขียนอายไลน์เนอร์บนหน้า แล้วเรื่องการจับคู่สี หรือการแมชต์ชุด หนูได้ใช้องค์ประกอบด้านสถาปัตย์ที่เรามีมาใช้เยอะเลยการแต่งตัวของหนูตอนนี้หนูสนใจสไตล์ Queer Fashion ที่มันแบบจะทะลายกรอบทุกอย่าง คนเรามีเพศจริง แต่เสื้อผ้ามันไม่ได้มีเพศ องค์ประกอบแต่ละอย่าง เช่น กระโปรง ส้นสูง มันอาจจะให้ความรู้สึกสวย ให้ความรู้สึกหวาน แต่หนูรู้สึกว่าพวกนี้มันเป็นองค์ประกอบ มันเป็นหนึ่งในงานศิลปะที่อยู่บนตัวเราได้ เราสามารถแบบครีเอทลุคในแต่ละวันของเราได้ และหนูเชื่อมากเลยว่าการแต่งตัวมันสามารถทำให้เราเป็นหรือไม่เป็นคนไหนในวันนั้น หนูมีความสุขในการที่ได้แต่งตัวในแต่ละวัน บางวันเราอยากเป็นคนน่ารัก เราก็จะแต่งตัวน่ารัก วันไหนเราอยากสวย เราก็แต่งตัวสวยได้ หรือวันไหนที่เราอยากเท่ห์ เราก็แต่งเท่ห์ขึ้นมาหน่อย หนูรู้สึกว่าไม่อยากให้มาตีกรอบว่ากระโปรงคือของผู้หญิงใส่นะ ซึ่งตามประวัติจริง ๆ แล้ว ทั้งกระโปรง และส้นสูง ผู้ชายใส่มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ความจริงยุคนี้ หนูไม่อยากให้กำหนดว่าต้องเพศไหนใส่ ทุกคนสามารถใส่ได้ตามอารมณ์ และความรู้สึกที่เราอยากนำเสนอในวันนั้นมากกว่า”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์“มีความรักกับแฟนคลับ แล้วคนคุยก็ต้องมีประปราย แต่ถ้าแฟนจริงจังยังไม่มีครับเมื่อก่อนประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว เราก็จะตอบนักข่าวแบบกลาง ๆ ขอคนที่เข้าใจ แต่ยุคนี้ไม่ หนูขอคนหล่อ หนูชอบคนหล่อ จะชาติไหนไม่เป็นไรเดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันใหม่แต่อย่างน้อยเดินมาขอแบบเห็นแล้วหล่อสำหรับหนู จบเลยครั้งก่อนสาเหตุที่ความรักต้องจบลง หนูว่าตอนนั้นมันจะมีเรื่องการทำงาน ทำให้เวลาพักผ่อนหรือเวลาเจอกันมันไม่ค่อยตรงกัน ตอนนั้นอยู่ไกลกัน เค้าอยู่เชียงใหม่ เราอยู่กรุงเทพ บางทีทำงานที่นี่เราเลิกเที่ยงคืนตีหนึ่งแล้วมันไม่ค่อยได้คุยกัน อยู่หน้าเซตก็ไม่ค่อยได้เล่นมือถือ บวกกับความตอนนั้นมันเด็กก็ไม่เข้าใจกัน กลายเป็นว่าห่างเหินแล้วก็เลิกรากันไป ซึ่งเวลาอกหักหนูหัวราน้ำ 7 วันเลยนะ แล้วพอหนูชอบเต้น หนูจะระบายความรู้สึกผ่านการเต้น แล้วช่วงหลัง ๆ หนูก็จะเริ่มชอบธรรมชาติ ชอบไปน้ำตก ไปภูเขากับเรื่อง สมรสเท่าเทียม หนูอยากบอกความรักมันเป็นหนึ่งในสมรสเท่าเทียม แต่มากกว่าความรัก มันคือ สิทธิมนุษยชน หนูไม่เคยคิดว่าหนูจะดีใจจนร้องไห้ได้ แต่พอวันที่มันเกิดขึ้นจริง หนูร้องไห้ด้วยความดีใจ แล้วกลายเป็นว่าไฟในชีวิตหนูเปลี่ยนไปเลย หนูจริงจังในชีวิตขึ้น หนูเข้าใจเลยว่ากฎหมาย และการรองรับจากสิทธิมนุษยชนมันสำคัญขนาดไหน หนูอยากให้มันเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ในประเทศไทยอย่างเดียว อยากให้มันเกิดทุกที่ในโลก เพราะมันทำให้ความคิดอย่างเรื่องการจะมีแฟน หรือการจริงจังกับชีวิตในอนาคต การวางแผนครอบครัว ก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่าช่างมัน ฉันจะดูแลตัวเองให้ได้ หาหนทางใช้ชีวิตในบ้านพักคนชรา แต่พอมันมีกฎหมายมารองรับ เราก็เริ่มจริงจัง เริ่มรู้สึกว่าฉันแต่งงานได้นี่นา เรารู้สึกจริงจังในชีวิตแล้วเราอยากก้าวต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมันมีไฟขึ้นมาในชีวิตมากจริง ๆ”การฝึกฝน มันไม่ได้ต่างกับการได้พรสวรรค์จากพระเจ้าเลย“ทุกวันนี้ตัวหนูเองก็ไม่ได้เก่งรอบด้านอยู่แล้ว มันเป็นปกติ นี่มันคือธรรมชาติของมนุษย์ หลาย ๆ คนที่เค้า success หรือเค้าเก่งรอบด้าน อันนั้นเราก็ต้องยินดีกับเค้า บางทีมันเป็นพรสวรรค์บ้าง พระเจ้าให้มา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่หนูรู้สึกว่าทุกวันนี้ไม่เห็นเป็นไรเลย เราจะเป็นเป็ดบ้าง ว่ายน้ำเป็น เดินบนบกก็ได้ ทำอะไรก็ได้กลาง ๆ แต่สุดท้ายแล้ว บางทีการที่เราทำได้กลาง ๆ เราอาจจะทำได้ทุกอย่างแบบกว้าง ๆ แล้วทำได้หลาย ๆ อย่าง หนูรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนโฟกัสที่ตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ ไม่มีใครอยู่กับตัวเราได้เท่าตัวเราเอง เราอยู่กับตัวเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับใครเลย แต่ละคนเกิดมาไม่มีใครที่มีภูมิหลังเท่ากัน อยากให้โฟกัสตัวเอง แล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุขในแต่ละวัน หนูว่าเราทุกคนมันจะต้องมีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ แล้วถ้าเราทำในสิ่งที่เรารัก เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะพาเราไปสุดทางได้เอง ลองลงแรงลงใจ ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างมันจะทำให้เราเก่งได้ หนูเชื่อว่าการฝึกฝนมันไม่ได้ต่างกับการที่ได้พรสวรรค์จากพระเจ้าเลย”เปิดมุมมองความสุข ของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์“หนูมีความสุขกับการได้ทำงานแสดงแล้วได้อยู่หน้ากล้อง หนูได้คำตอบแล้วว่านี่คือสิ่งที่หนูชอบ หนูชอบได้อยู่กองถ่าย ไม่ว่าจะเป็นกล้องใหญ่ กล้องเล็ก กล้องมือถือ กล้องเซลฟี่ หนูยังรักในการทำตรงนี้ แล้วได้ส่งความสุขตรงนี้ออกไป ยิ่งเวลาเราได้เล่นซีรีส์ หรือได้มอบความสุขให้กับคนดูหรือคนฟัง แล้วทำให้คนมีความสุข หนูรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขของหนูมาก และอยากทำต่อไปเรื่อย ๆสำหรับบทที่หนูอยากเล่น หนูอยากเล่นในบทที่ค่อนข้างมีจริตออกสาวมากขึ้น หรือบทร้าย ๆ แซ่บ ๆ หนูก็อยากลอง เพราบางทีคนข้างนอกก็จะมองว่าหนูดูซอฟต์ ๆ ดูเล่นเป็นตัวเศร้า ๆ หรือแบบเป็นตัวน่าสงสาร แต่ความจริงหนูอยากเล่นเป็นตัวร้ายบ้าง หนูอยากเป็น กาสะลอง ซ้องปีบ เลย หนูอยากเล่นอะไรแบบนั้นดูบ้าง อะไรที่มันท้าทายในบทใหม่ ๆ หนูไม่ได้คิดว่าจะต้องไปไกลมากน้อยแค่ไหน แต่หนูแค่รู้สึกว่าสำหรับเป้าหมายของหนู หนูอยากเล่นบทที่เค้ายื่นเข้ามาแล้วมันเข้ากับที่เราต้องการ แต่หนูก็ยังตอบไม่ได้ว่าบทนั้นคืออะไร และช่วงนี้ก็ได้ทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย กำลังซุ่มดีไซน์คอลเลคชั่นใหม่อยู่ หนูได้ใช้ทักษะสถาปัตย์แล้วในการทำงานตรงนี้” - เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดตู้เสื้อผ้า หาแรงบันดาลใจ จาก “ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์” Tiktoker ผู้ปลุกกระแสผู้ชายแต่งตัวแบบผู้หญิง สู่เจ้าของแบรนด์ “Phisunee”

08 ส.ค. 2024

เปิดตู้เสื้อผ้า หาแรงบันดาลใจ จาก “ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์” Tiktoker ผู้ปลุกกระแสผู้ชายแต่งตัวแบบผู้หญิง สู่เจ้าของแบรนด์ “Phisunee”

“เราสามารถแต่งตัวตามความชอบได้เลย มันอยู่ที่ Attitude บางคนอาจจะยังไม่มั่นใจในรูปร่าง แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราชอบแต่งตัว เราจะสามารถทำให้ตัวเอง มีร่างทอง ที่มันเหมาะกับชุดที่เราอยากแต่งได้”เปิด Club ส่งต่อแพชชั่น พร้อมแบ่งปันแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์” จากอดีตเชฟที่ทำงานในครัว ผันตัวสู่การเป็น TikToker ผู้ปลุกกระแสผู้ชายแต่งตัวแบบผู้หญิง ที่มีแพชชั่นแรงกล้าว่าเราสามารถแต่งตัวตามสไตล์ที่ชอบได้เสมอ ล่าสุดเขาเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์สุดปังชื่อ “Phisunee” สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการแรงบันดาลใจ ที่ทำให้อยากใส่กระโปรง“แรงบันดาลใจแรกคือ แต่ก่อนผมเป็นคนที่ไม่ได้มีไอดอล แล้วตอนนั้นก็ยังไม่ได้เสพสื่อต่างประเทศ แต่ผมเปิด Facebook แล้วเลื่อนฟีดไปเจอโฆษณาหนึ่งที่เค้าขายกระโปรงทางFacebook ในราคา 290 บาท แล้วรูปแบบมันเป็นยางยืด เราก็คิดว่าน่าจะซื้อมาลองดู ซึ่งแรก ๆ ผมก็ไม่ได้มีความมั่นใจที่จะเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วซื้อกระโปรงออกมาใส่ วันนั้นผมก็เลยกัดฟันซื้อออนไลน์แบบวัดดวงกับเงิน 290 บาท พอได้กระโปรงมาผมก็ลองใส่ดูปรากฎว่าเราใส่ขึ้นเลย ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ใส่กระโปรงยาวเลย ตอนไปกับเพื่อนก็จะใส่กระโปรงยาวออกไป ซึ่งตอนที่กดซื้อกระโปรงตัวนั้นเพราะผมเบื่อ ผมแต่งตัววินเทจมาก่อน แล้ววันหนึ่งมันก็เลยเกิดความเบื่อขึ้นมา แล้วมันก็เกิดความคิดว่า ทำไมผู้หญิงเค้าแต่งตัวได้เยอะจัง แต่ผู้ชายแต่งตัวได้นิดเดียว ของผู้ชายมีแค่ เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด แจ็คเก็ต กางเกงยีนส์ขากระบอก แต่ของผู้หญิงมีทั้งเสื้อทั้งผ่าไหล่ เสื้อแหวกแขน เสื้อลูกไม้ เสื้อเกาะอก ซึ่งผมก็รู้สึกว่าทำไมผู้ชายเรามีตัวเลือกที่หลากหลายแบบนั้นไม่ได้”อยากแต่งเป็นตัวฉัน แต่คนรอบข้างดันไม่เข้าใจ“ปกติผมอยู่ที่ จ.ชัยภูมิครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมอายุ 16 ปี แล้วผมก็มีเพื่อนเรียนที่กรุงเทพอยู่คนนึงที่จะคอยส่งเรื่องราวแฟชั่นของชาวกรุงเทพมาให้ผมดูตลอด เราเลยเริ่มสนใจ ซึ่งพอผมกดสั่งซื้อมา ผมก็แต่งอยู่แถวบ้าน แต่งไปโรงเรียน แต่งไปเชียร์น้องงานกีฬาสี แล้วก็จะรู้สึกว่าทำไมเสื้อผ้าที่เราใส่ต้องโดนจับตามองจากคนรอบข้างในโรงเรียนตลอด คือบางครั้งผมแค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ผมก็โดนทักแล้วว่า แค่มาเชียร์น้องทำไมต้องแต่งตัวเต็ม ผมก็เลยชะงัก แล้วคิดว่านี่เต็มแล้วเหรอ บางครั้งจะเข้าไปในเมือง ผมแค่ใส่รองเท้าผ้าใบ ผมยังโดนแซวเลยว่า ใส่ผ้าใบทำไม ซึ่งผมอยากใส่รองเท้าคู่นี้มาก ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสไปเที่ยวผมก็คิดว่าจะใส่มัน แต่พอใส่แล้วก็โดนเพื่อนมาแซว มันก็ทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจ แต่เราก็รู้สึกว่า วันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสได้อยู่ในเมืองใหญ่ เราจะใช้มันให้เต็มที่เลยส่วนคนรอบข้าง อย่างญาติพี่น้องก็เคยถามผมเหมือนกันว่า ผมเป็นผู้ชายรึเปล่า ผมก็บอกว่าเป็นผู้ชาย ผมแค่ชอบเสื้อผ้าผู้หญิงเฉย ๆ เพราะผมรู้สึกว่ามันแต่งสนุก แล้วก็มีให้เลือกเยอะ ผมแต่งชุดผู้ชายจนตันแล้วพี่ แต่พอแต่งชุดผู้หญิงมันไปไม่สุดเลย ผมมีอะไรใหม่ ๆ ให้ใส่ตลอด มีอะไรแปลกใหม่ให้ลองตลอด ซึ่งมีบางครั้งเวลาใส่ชุดผู้หญิงแล้วเพื่อนก็บอกว่า มันเหมือนองค์ลง มันจะติดจริตผู้หญิง แต่ส่วนมากผมจะเป็นเฉพาะตอนถ่ายรูป ที่จริตมันจะเยอะหน่อย เพื่อให้เข้ากับชุดที่เราแต่ง สมมติว่าถ้าจะแต่ง Punk เราก็ต้องยืนหน้าบึ้ง จะมายิ้มแฉ่งตรงนั้นก็ไม่ได้ ซึ่งผมเองก็พยายามศึกษาว่าแต่งแต่ละสไตล์ ท่าโพสต์ถ่ายรูปต้องเป็นแบบไหนถึงจะไปในแนวเดียวกันในส่วนของครอบครัว ส่วนมากผมจะได้ยินจากแม่ พ่อจะเฉย ๆ แต่แม่ก็ชอบถามว่าแต่งตัวแบบนี้ไม่อายคนอื่นเหรอ ผมก็บอกว่าผมไม่อาย ผมไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย ผมไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แม่เดือดร้อนไหม ซึ่งผมค่อนข้างที่จะไฟท์เหมือนกันนะ ซึ่งแม่ก็พูดไม่ออก ด้วยความที่ครอบครัวเราทำงานราชการทั้งครอบครัวเลย แม่ก็มักจะเบรกเวลาผมแต่งตัวจัดตลอด แต่สุดท้ายผมเข้าใจแม่นะ ผมคิดว่าพ่อแม่ทุกคนเป็นห่วงเราเรื่องกลัวว่าเราจะเอาตัวรอดไม่ได้ แต่ผมก็ทำให้เค้าเห็นว่า ผมสามารถเอาตัวรอดและมีเงินใช้ สามารถหาเงินจากเสื้อผ้าผู้หญิงได้ ทุกวันนี้เค้าก็เริ่มปล่อยวางกับเรื่องนี้ได้ เวลาผมไปออกรายการไหน แม่ก็จะบอกว่าส่งให้แม่ดูบ้างสิคำคอมเมนต์จากคนในโซเชียลมีตลอดครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคอมเมนต์แบบว่า แต่งตัวแบบนี้ยังกล้าใช้คำว่าครับอยู่อีกเหรอ หรือ ถ้าคุณไม่มีลูก ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าคุณเป็นผู้ชาย ซึ่งส่วนมากผมชอบแคปไปให้เพื่อนดู แล้วเพื่อนก็ลงไปด่าแทน โดยเราไม่ต้องทำอะไร ผมเองเวลาแต่งตัวจะต้องดูกาลเทศะ ดูสถานที่ เราไม่แต่งตัวจัดเข้าวัด หรือไปหาผู้หลักผู้ใหญ่อยู่แล้ว เราพยายามแต่งตัวตามสไตล์เราแล้วไปหาคนที่เราชอบดีกว่า หรือแต่งไปตลาดมือสอง เพราะว่าคนที่มาตลาดอย่างน้อยเค้าก็ชอบเสื้อผ้าอยู่แล้ว พอแต่งมันเลยมีกำลังใจ แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าด้วย แล้วเวลาเจอคอมเมนต์ผมก็อ่านครับ แต่ผมเป็นคนที่อ่านแล้วไม่ได้เกิด Toxic ซึ่งสำหรับผมคิดว่าอย่าไปตัดสินเค้าครับ ผมรู้สึกว่าถ้าเราได้มีโอกาสพูดคุยหรือทำความรู้จักคนคอมเมนต์จริง ๆ เค้าอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะก่อนที่ผมจะมาแต่งตัวขนาดนี้ ผมก็เคยตัดสินคนที่ภายนอก แล้วผมคิดว่าทุกคนก็คงน่าจะเคย แต่สุดท้ายพอเราได้พูดได้ทำความรู้จักกับเค้า จริง ๆ แล้วเค้าไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเลย”เปิดชีวิตหลังครัว กับอาชีพแรกหลังเรียนจบ“ผมเรียนจบวิทยาลัยดุสิตธานี ด้านการจัดการครัวและการประกอบอาหารโดยตรง ซึ่งเลือกเรียนตามสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งแม่ก็ปลูกฝังให้ดูรายการทำอาหารตลอด แล้วเราก็ทำอาหารให้แม่กิน พอตอนเรียนก็สนุกสนานแล้วตอนผมเรียนจบ มันดันอยู่ช่วงโควิด แรก ๆ ผมก็คิดว่าจะไปฝึกงานที่อเมริกา แต่ผมก็มีสิ่งที่ต้องการแอบแฝงคือที่ผมอยากไปอเมริกา เพราะผมอยากไปหาเสื้อผ้าด้วย แต่หลังจากนั้นโควิดมันเริ่มหนัก จนมันหนักมากจนเราหมดแพชชั่นในการไปต่างประเทศ หลังจากนั้นแม่ก็ให้เราไปทำงานครัว ตามที่เราเรียนจบมา พอผมไปทำงานครัวได้ 2 เดือนครึ่งผมลาออกเลย เพราะการทำงานในครัวมันเหนื่อย เราได้หยุด 1 วัน แล้วเวลามันก็เหวี่ยง บางวันเค้าให้เราเข้างาน 10 โมง เลิก 1 ทุ่ม แต่อีกวันกลับเปลี่ยนเวลา แล้วเราไปทำในฐานะหัวหน้าคนอีกทีหนึ่ง ถ้าคนในทีมเป็นอะไรขึ้นมา เราก็ต้องไปเป็นซัพพอร์ต ซึ่งผมรู้สึกว่าผมไม่ชอบเลย ตอนเรียนสนุกมากแต่ตอนทำงานมันคนละเรื่องกันเลย ผมก็เลยตัดสินใจลาออกซึ่งพอแม่รู้ แม่ก็บอกว่าจะลาออกทำไมมันหางานยาก แต่ผมไม่สนใจเพราะผมรู้สึกว่าเราอายุยังน้อยอยู่ เรายังมีเวลาลองผิดลองถูก ผมก็รู้สึกว่าอยากหางานอะไรก็ได้ที่แต่งตัว ผมก็เลยนึกถึงร้านเสื้อผ้า จนได้ทำงานร้านเสื้อผ้าที่ย่านเอกมัย ผมทำอยู่ปีนึงมันมีความสุขมากเลย และผมเคยมาทำงานผิดวันในวันหยุดด้วย เพราะงานมันสนุกมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าถ้าจะดูว่าเราชอบหรือไม่ชอบ เวลาเราไปทำงานแล้วคอยดูนาฬิกาว่าตอนไหนจะเลิกงาน นั่นแสดงว่าเราไม่มีความสุข แต่ถ้าสมมติว่าเราไปแล้วรู้สึกว่าทำไมวันนี้เวลามันเร็วจัง แสดงว่านั่นแหละเป็นงานที่เราชอบแน่นอน”กรุงเทพ เมืองในฝัน ที่ฉันได้แต่งตัวตามความชอบ“ผมเป็นคนที่อยากอยู่กรุงเทพมาก แล้วถ้าผมไม่ชอบแต่งตัว ผมอาจจะไม่ได้อยากอยู่กรุงเทพก็ได้ เพราะผมมองมาตลอดว่าการที่อยู่ในกรุงเทพเค้าไม่ซีเรียสเรื่องแฟชั่น อยากแต่งอะไรก็แต่ง ผมเลยคิดว่า ถ้ามาอยู่กรุงเทพผมจะใส่ให้สุดเวลาซื้อเสื้อผ้า พอซื้อมาแล้วระหว่างอาทิตย์ ผมต้องใส่ออกไปข้างนอก เพราะผมเป็นคนที่วันหยุดไม่ได้นอนอยู่ห้องเปื่อย ๆ การพักผ่อนของผมคือการแต่งตัวแล้วออกไปใช้ชีวิตข้างนอก แล้วพอเข้ามาอยู่ในกรุงเทพเราก็ได้ทำตามความตั้งใจเลย ผมเป็นคนที่แต่งตัวไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเค้า ปกติคนที่เรียนเชฟเค้าจะแต่งตัวแบบมินิมอล แต่ผมก็จะแหวกแนวไปแต่งตัวแบบทหาร หรือแบบแต่งตัวแบบลูกเสือ ตอนนั้นผมใส่สูทแล้วผมก็รู้สึกว่ามันสนุกมาก เวลาคนอื่นมอง ผมก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องคนมอง เพราะว่าการที่เราทำอะไรแตกต่างจากสังคม มันเป็นที่จับตามองหรือคอมเมนต์กันอยู่แล้ว คือผมเตรียมใจมาแล้วตั้งแต่แรกอยู่แล้วผมเริ่มแต่งตัววินเทจมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงประมาณปี 2562 ผมก็เริ่มหาแรงบันดาลใจในการแต่งตัวใหม่ ตอนนั้นผมไปไถผมตัดสกินเฮดเลย แล้วพอกลับไปแต่งแบบวินเทจเหมือนเดิมกลายเป็นว่ามันไม่เข้า ผมก็เลยลองเอากระโปรงมาใส่ แล้วพอเราใส่กระโปรงจนชิน มันเริ่มเบื่อ กระโปรงที่ใส่มันก็เริ่มมีแหวก เริ่มมีพริ้ว เริ่มมีดีเทลขึ้นมา หลังจากนั้นก็เริ่มมาใส่เสื้อครอป เป็นเสื้อผูกคอ แล้วสร้อยต้องใส่ ต้องมีถุงน่องตาข่าย สำหรับผมตอนนี้เสื้อผ้ามันแทบจะไม่มีกรอบแล้ว”เปิดตู้เสื้อผ้าของ ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์“เสื้อผ้าผมมีเยอะมาก แต่ละมุมผมจะแบ่งแต่ละสไตล์เรียงกันไว้หมด ฝั่งสีดำแดง ฝั่ง Punk ฝั่งทันสมัย ฝั่งกางเกงแบ็คกี้ ฝั่งชิโนระ ฝั่งญี่ปุ่น ผมมีห้องเดียวแต่ผมจะจัดเป็นมุมไว้ เพราะผมอยากเดินเข้าไปแล้วรู้สึกว่า วันนี้อยากแปลงร่างเป็นอะไร แล้วผมสามารถแต่งออกมาได้เลย และผมอยากให้คนมาสนุกกับการแต่งตัวกับผมได้ คือเวลาผมอยากขอความเห็น ผมสามารถพูดคุยกับคนอีกคน ให้เค้าช่วยดีไซน์ให้เล็กน้อย แล้วผมสามารถสามารถแต่งตามได้ รวมถึงสามารถมองออกเลยว่า คนรูปแบบนี้สามารถแต่งอะไรแล้วเข้ากับเค้าได้บ้าง ซึ่งอาจจะได้ทักษะจากที่ผมเคยทำร้านเสื้อผ้ามาก่อนด้วยมีวันเดียวที่ผมไม่อยากแต่งตัวคือ วันฝนตก เพราะรู้สึกว่าถ้าใส่ไปแล้วคนจะไม่เห็น ผมเลยไม่อยากใส่ เพราะรู้สึกว่ามันเปลืองเสื้อผ้า แล้วผมเป็นคนที่ถ้าแต่งซ้ำทุกชิ้นตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วมันรู้สึกเลี่ยน ผมสามารถแต่งซ้ำได้ประมาณ 3 ครั้ง แล้วก็ต้องคิดใหม่ เพื่อให้มันเกิดความใหม่ ซึ่งผมจะแมชต์เสื้อผ้าไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน เพื่อใส่ในวันพรุ่งนี้แล้วการแต่งตัวส่วนมากผมจะผสม อย่างเช่นบนหญิงล่างชาย หรือแบ่งครึ่งว่า ถ้าล่างโป๊ บนต้องไม่โป๊ แล้วเสื้อบางตัวมันสามารถใส่ได้หลายแบบ ใส่เต็มตัวได้ ใส่เป็นปาดไหล่ได้ มันก็เป็นการแต่งแบบใหม่แล้วผมรู้สึกว่า เสื้อผ้ามือสอง มันดีหลายเด้งมากเลย อย่างแรกคือลด Fast Fashion ครับ คือเสื้อตัวเดียว ผมสามารถแต่งได้หลายลุค โดยเสื้อผ้ามือสองผมก็หาที่ตึกแดงจตุจักร ตลาดปัฐวิกรณ์ตลาดสังกะสี แล้วก็ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ แล้วถ้าใส่แล้วเบื่อขายได้กำไรต่อเอามาเงินมาใช้ในชีวิต และมันยังเป็นสิ่งที่เราชอบ และอยู่กับมันได้นานด้วย”จุดเริ่มต้น ที่คนเริ่มรู้จัก ไดมอนด์ ผู้ชายใส่กระโปรง“เริ่มจากช่วงที่ผมทำงานร้านเสื้อผ้า ตอนนั้น Reels ใน Instagram มันพึงจะมีเข้ามา แล้วช่วงนั้นที่ร้านไม่มีลูกค้า เพราะเป็นช่วงโควิด แล้วผมก็ปรึกษากับทางหัวหน้า เค้าถามว่าอยากมีอะไรใหม่ ๆ ทำให้กับร้านไหม ผมก็เลยบอกว่าลองทำ Reels ไหมครับ ผมถนัดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ หัวหน้าก็เลยปล่อยให้เราทำ ซึ่งเวลาเราทำ เราก็จะก๊อปคลิปนั้นมาลงใน Tiktok ของเราด้วย แล้วคลิปมันเริ่มแมส แล้ว 1 ปีที่ผ่านมา ผมก็ทำคลิปมาโดยตลอด อาทิตย์หนึ่งจะมี 4 คลิปได้ วันหยุดก็ทำของตัวเองลงเพิ่มไปอีก จนคนติดตามเริ่มเยอะ เริ่มมีคนชอบ เริ่มมีงานจ้างขึ้นมา จนเงินที่ได้มันเยอะก็เลยตัดสินใจลาออก พอตัดสินใจลาออกก็เป็นช่วงที่เราดังเปรี้ยงปร้างเลยตอนนั้น”จากผู้ชายชอบแต่งตัว สู่เจ้าของแบรนด์ “Phisunee”“ภิษุณี ได้มาจากที่ผมไปบวชมา แล้วตอนบวชมันก็จะมีครูบาอาจารย์ที่เรียนธรรมะ มาเล่าประวัติศาสตร์บอกว่า มันมีภิกษุสงฆ์ มีแม่ชี แล้วก็มี ภิกษุณี ด้วย ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าภิกษุณี คือผู้หญิงที่ใส่ผ้าเหลือง ไม่ใช่แม่ชี แล้วประวัติศาสตร์ของภิกษุณีก็คือเหมือนเค้าจะยกย่องพวกเดียวกัน ส่วนคนทั่วไปจะไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ แล้วผมก็รู้สึกว่า นี่มันเหมาะกับการนำมาตั้งชื่อแบรนด์ มันเหมือนร่างเราเลย ที่แตกต่างแหวกแนว แล้วคนทั่วไปเค้าไม่ได้ยอมรับ แต่จะยอมรับคนที่ชอบแต่งตัวเหมือนกัน ผมก็เลยรู้สึกว่าชอบคำนี้มาก เหมือนคำว่า ภิกษุ คือผู้ชาย ณี คือผู้หญิง พอรวมกันแล้วรู้สึกว่ามันอยู่ตรงกลาง ผมก็เลยชอบคำนี้มาก ๆ แล้วก็เริ่มปรึกษาว่า ผมสามารถเอาคำนี้มาตั้งชื่อแบรนด์ได้ไหม โดยจะสะกดไม่เหมือนกัน แต่ก็ให้ออกเสียงว่า ภิษุณีกลุ่มเป้าหมายของ Phisunee ถ้าตอนนี้ก็คือผู้หญิงครับ แต่ถ้าเป็นตอนที่ตั้งใจเปิดแบรนด์ครั้งแรก ผมก็ผลิตเสื้อผ้าผู้หญิงนั่นแหละ แต่ผมจะเปลี่ยนแค่รูปแบบการนำเสนอ ผมอยากให้คนที่เป็นนายแบบถ่ายชุดคือผู้ชายเท่านั้นเลย อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากทำตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายแล้วมันทำไม่ได้ โดยการแต่งตัวแบบผมเรียกว่า ครอสเดรส ครับ คือผู้ที่หลงใหล หรือชื่นชอบแฟชั่นของเพศตรงข้าม ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือผู้หญิงที่แต่งตัวผู้ชาย อันนั้นเค้าก็เรียกว่าครอสเดรสเหมือนกัน แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่โดนจับตามอง เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติแล้วในสมัยนี้ มันก็เลยกลับกันกลายเป็นคนที่ผู้ชายที่มาใส่เสื้อผ้าผู้หญิงกลับถูกมองว่าแปลก ผมรู้สึกว่าเราชื่นชอบเราหลงใหลการแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ไม่ได้อยากจะเป็นผู้หญิง คือผมอยากให้แยกรสนิยมทางเพศกับรสนิยมการแต่งตัวออกจากกัน แต่ผมก็เข้าใจว่าบางคนมองเข้ามามันโดนสื่อออกมาเหมือนกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสที่ผู้คนจะมองผิดไปในอนาคตผมก็อยากขายที่จีนกับญี่ปุ่น เพราะทางจีนเค้าชอบเสื้อผ้าที่มันแต่งยาก ๆ จากการศึกษาผมพบว่า ส่วนมากคนไทยเค้าจะชอบใส่เสื้อทรง Baby tee กับ เสื้อกล้าม Tank Top เหมือนใส่เสื้อยืดคือตัวเดียวก็จบ แต่ถ้าเป็นคนจีน เค้าจะแต่งตัวเยอะ แต่ง 2 ชิ้น 3 ชิ้นขึ้นไป สร้อยก็ระโยงระยาง แล้วถ้าเป็นฝั่งญี่ปุ่น ก็แต่งตัวหนักเหมือนกัน แล้วผมก็มีแพลตฟอร์มจีน ที่ผมก็แต่งตัวลงแล้วก็แมสที่จีนด้วย คนจีนก็ตามมาหาผม มาขอถ่ายรูปเยอะมาก ในอนาคตเลยอยากขายที่จีนกับญี่ปุ่นครับ”แต่งตัวแบบนี้ เป็นอุปสรรคกับความรักไหม“ถ้าถามว่าการแต่งตัวแบบนี้เป็นอุปสรรคกับความรักไหม บอกเลยว่าเป็นครับ เป็นอย่างสูงที่สุด เอาจริง ๆ ผมไม่เคยมีแฟนนะ ผมทำอะไรแบบสุดโต่งมาโดยตลอด ไม่ได้หมายความว่าไม่โฟกัสเรื่องความรัก คือเราโฟกัสตลอด แต่พอเรามาถึงจุดนี้ เพื่อนเคยเบรกเหมือนกันนะว่าแต่งตัวแบบนี้ระวังหาแฟนยากนะ แต่ตอนนั้นเราไม่สน เรากำลังสนุกกับกระโปรงมากเลย เราก็ไปต่อเลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่เพื่อนพูดจริง ๆ เวลาผมจะจีบใครผมเขินนะ ผมอยากให้คนที่ได้เห็นผมจากโซเชียลลองมาเจอมาคุยกันต่อหน้า แล้วก็ได้บอกว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นยังไง มันเมีที่มายังไง มากกว่าเข้ามาดูรูปแล้วก็ตัดสินเลย แล้วผมก็ไม่กล้าจีบผู้หญิง ผมเขินที่จะใส่กระโปรงพร้อมจริตเยอะมากมาย แล้วเข้าไปจีบผู้หญิง ซึ่งถ้าผมมีแฟนผมคงไม่แต่งชุดผู้หญิงครับ ผมไม่อยากสวย ไม่อยากเด่นไปกว่าแฟน ผมอยากให้เค้าสวยคนเดียว ผมก็จะหล่อที่สุดเท่าที่จะหล่อได้ เว้นแต่เค้าจะบอกว่าแต่งเป็นเพื่อนหน่อยเราถึงจะทำ ซึ่งตอนนี้ก็หาแฟนอยู่เหมือนกันครับ”อยากแต่งตัวแบบไหน แต่งได้เลย!“สำหรับคนที่อยากแต่งตัวแต่อาจจะไม่มั่นใจในรูปร่าง ผมว่าแต่งได้ครับ มันอยู่ที่แอตติจูด และความมั่นใจ บางคนอาจจะรู้สึกว่ายังไม่มั่นใจในรูปร่างตัวเอง ณ ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าถ้าเราชอบแต่งตัว เราก็ต้องขุนร่างตัวเองให้รู้สึกว่าเป็น ร่างทอง ที่เราชอบให้ได้ ส่วนตัวผมเอง เคยเผลอน้ำหนักเยอะมาก ๆ เพราะว่าผมเรียนจบด้านเชฟมา ก็กินสารพัด น้ำหนักเกือบ 80 กิโลกรัม สุดท้ายผมตัดสินใจลดมา 20 กว่ากิโลกรัม จากที่เคยใส่แบบเสื้ออก 38-40 นิ้ว ผมมาใส่อก 30 นิ้ว ได้แล้วการแต่งตัว มันเหมือนการแต่งจานครับ คือการแต่งจานให้ดูน่ากิน มันเป็นการใช้เฉดสีคู่ตรงข้าม ซึ่งเหมือนกับเสื้อผ้าเลย ตัวอย่างเช่น ข้าวผัด มันก็ต้องวางด้วยมะเขือเทศ ต้นหอม มะนาว แล้วข้าวก็จะเป็นสีเหลืองทอง ยังไงก็เข้ากัน และเสื้อผ้าก็เหมือนกัน เสื้อผ้าเราก็ต้องจับสีคู่ตรงข้าม แล้วก็ให้เหมาะกับ Personal Color ด้วย แต่สำหรับผมไม่ได้สนใจ Personal Color สักเท่าไหร่ ผมใส่หมดเลย บางคนบอกว่าผิวสีขาวต้องใส่สีเฉดอ่อนนะ คนผิวดำต้องใส่สีสว่างเข้าไว้ ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น ผมอยากใส่ผมก็จะใส่ อย่างสีชมพูพาสเทลเข้าหรือไม่เข้าไม่รู้ แต่ผมว่าอยู่ที่จริตคน ซึ่งผมกล้าใส่ แต่ถ้าสมมติสีชุดมันตรงกับสีผิวเราจริง ๆ มันอาจจะทำให้เราดูดีที่สุดในบรรดาทั้งหมด แต่ไม่ใช่ว่าเรามีข้อมูลว่าสีนี้ไม่เข้ากับสีผิวแต่งไม่ได้ ไม่ใส่ดีกว่า ผมว่าไม่เกี่ยว ใส่ไปเลยไม่ต้องห่วง มันอยู่ที่แอตติจูด เพระถ้าสมมติว่าเสื้อตัวนี้สวยมาก แต่มันไม่ใช่เป็นเฉดสีที่เข้ากับ Personal Color ที่เราต้องใส่ แล้วเราไม่หยิบมันมาใส่ ผมว่าเสียดายตายเลย”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์“สำหรับผมการหาสิ่งที่เราชอบมันอาจจะหายาก แต่ให้ลองหาในสิ่งที่เราทำได้ดีก่อนมันหาง่ายกว่า และมันอาจจะเปลี่ยนเป็นความชอบก็ได้ การหาตัวเองผมคิดว่ามันยาก แต่ผมอาจจะโชคดีที่ผมหาเจอ เจอช้าเจอเร็วอยู่ที่โชคของคนแต่ผมเจอแล้ว การหาสิ่งที่เราชอบ เริ่มแรกต้องมองว่าเราทำสิ่งนั้นได้ดีมั้ย ทำแล้วมันมีความสุขมั้ย แล้วเราสามารถนำสิ่งที่เราทำมันได้ดี และทำมันอย่างมีความสุข เราสามารถหาเงินกับมันได้มั้ย ผมคิดว่าในยุคนี้มันหาเงินได้ง่ายใคร ๆ ก็สามารถเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้” - ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

GREEN HEART

“Food waste กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวโลก !”

20 ส.ค. 2024

“Food waste กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวโลก !”

ในปัจจุบันนี้ปัญหาขยะอาหาร (food waste) ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงอาหารที่ถูกทิ้งขว้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ นอกจากจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานที่ใช้ในการผลิตแล้ว ยังสร้างปัญหามลพิษจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะอาหารอีกด้วยFOOD WASTE คืออะไร?ขยะอาหาร (Food Waste) หมายถึง อาหารเหลือทิ้งในตอนปลายของห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) จากทั้งในส่วนของผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค ทั้งเศษอาหารที่รับประทานไม่หมด อาหารกระป๋องที่หมดอายุ เศษผักผลไม้ตกแต่งจาน รวมไปถึงอาหารเน่าเสีย และหมดอายุจากการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมของร้านอาหาร ภัตตาคาร และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ​คนไทยสร้างขยะอาหาร (Food Waste) เฉลี่ย 86 กิโลกรัม/คน/ปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 79 กิโลกรัม/คน/ปีในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการสร้าง Food Waste มากขึ้น การแก้ไขปัญหานี้ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปรับปรุงกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียอาหาร และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนแล้วแต่ละที่มีวิธีจัดการยังไงบ้าง ?เนื่องจากปัญหานี้กลายเป็นปัญหาที่ทั่วโลกตระหนักถึง จึงเริ่มมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมปัญหาเช่น· ประเทศสเปน มีการร่างกฎหมายเพื่อลดขยะอาหาร กำหนดให้ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารส่งเศษอาหารเหลือทิ้ง หรือผลไม้ที่สุกมากแล้วให้กับธนาคารอาหารและองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อนำไปแปรรูป· ประเทศจีน ได้มีการตั้งกฎหมายห้ามสั่งอาหารเกินความจำเป็นและมีการห้ามทำไลฟ์สตรีมมิ่งกินจุเกินความจำเป็น· ประเทศฝรั่งเศส มีการออกกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านขยะอาหาร โดยให้ร้านค้าปลีกที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไปจะต้องบริจาคสินค้าอาหารที่ยังทานได้แก่มูลนิธิรับบริจาคอาหาร เพื่อ ให้ผู้ที่ต้องการ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับประมาณ 133,293 บาทไทย ในขณะเดียวกันผู้บริจาคจะได้รับเครดิตภาษี 60% ของมูลค่าอาหารที่บริจาคสุดท้ายนี้หากเราต้องการลดปัญหา food waste เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เริ่มจากการไม่ซื้ออาหารเกินความจำเป็น ดูวันหมดอายุก่อนซื้อ หรือถ้ามีอาหารเหลือ ควรนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือนำไปใช้ทำเมนูใหม่ๆ มาช่วยกันรักษาโลกให้น่าอยู่ด้วยการลด food waste กันค่ะ !Author : Warissแหล่งข้อมูล :https://tdri.or.th/2019/10/food-waste/https://ngthai.com/science/40756/food-waste-food-loss/https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/SBUVol3N8-FB-2024-04-22.aspx?utm_source=SBUVol3N8utm_medium=linkutm_campaign=fbfbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0lbJOIxi7s9jT_oLAJodRNPE3IuvTVhxsM-pB3xX4orrRQzRvt-OSN7oM_aem_wX47GkR5ETVGVPSbmf70SA

‘Greener Bangkok’ กทม. รวมไว้แล้ว ! ความรู้สีเขียวของคนเมือง

19 ส.ค. 2024

‘Greener Bangkok’ กทม. รวมไว้แล้ว ! ความรู้สีเขียวของคนเมือง

ทำยังไงดีอยากแยกขยะให้ถูก ?หาที่พาหมาไปเดินเล่นใกล้ๆบ้าน ?อยากบริจาคอาหารและของใช้ ?เว็ปไซต์ Greener Bangkok รวบรวมข้อมูลไว้แล้วในที่เดียว! ผ่านการเป็นพื้นที่ให้ความรู้สีเขียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองกรุง โดยการร่วมมือกันระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ทุกคนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากต้นทาง หรือ เริ่มต้นจากสองมือของเรานั่นเองในปัจจุบัน เมืองหลวงของเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการจัดการขยะปริมาณ 10,000 ตันในแต่ละวัน โดยขยะส่วนใหญ่ถูกส่งไปฝังกลบที่ต่างจังหวัด เช่น อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และอ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โดยภายในพื้นที่ของกทม.มีจำนวนขยะเพียง 500 ตันเท่านั้นที่ถูกส่งไปที่โรงเผาขยะที่หนองแขม ส่งผลให้จำนวนขยะที่เหลือกลายปัญหาสำหรับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ต้องแบกรับมลพิษทางกลิ่นที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนในเมืองขาดความรู้ความเข้าใจ จากการที่ไม่มีแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่ายหรือรวมเป็นหลักเป็นแหล่งโดยนายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกทม. และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกทม. กล่าวว่า Greener Bangkok เป็นดั่งศูนย์กลางข้อมูลออนไลน์ เสมือนคลังข้อมูลให้ประชาชน องค์กร และทุกภาคส่วนที่ต้องการข้อมูลและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างและดูแลเมืองหลวงของเราให้เป็นเมืองยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถ้าอย่างนั้นมาแอบส่องไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในเว็ปไซต์กันดีกว่า ว่าก้าวแรกที่เราจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทำให้เมืองน่าอยู่ได้ มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?·How to ทิ้ง ช่วยทุกคนจัดการและรีไซเคิลขยะอย่างถูกวิธีให้ความรู้การทิ้งขยะกว่า 115 ชนิด อย่างถูกวิธีง่ายๆ เข้าใจวิธีการจัดการที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง·ตรวจเช็คค่าฝุ่น PM 2.5 เรียกดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ทุกพื้นที่·ให้บริการข้อมูลพื้นที่สีเขียว พิกัดสวนสาธารณะใกล้บ้านที่สัตว์เลี้ยงสามารถเข้าได้·บริการกำจัดขยะชิ้นใหญ่ฟรีกทม.จะทำการส่งรถไปรับบริการถึงที่ เพื่อรับสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าจะทิ้งลงในถังขยะทั่วไป· บริการตัดต้นไม้โดยรุกขกร ตัดต้นไม้โดยช่างตัดแต่งมืออาชีพ·มินิเกมแสนสนุกแฝงความรู้เรียนรู้เรื่องกรีนๆอย่างสนุกสนาน ผ่านมินิเกมที่จะพาประเมินว่าภายในหนึ่งปี ตัวเราปล่อยคาร์บอนสู่โลกนี้ไปมากน้อยแค่ไหน หรือการจำลองแยกชนิดขยะด้วยตัวเอง สู่การนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเองเห็นเลยได้ว่า Greener Bangkok ได้รวมฟังก์ชันที่หลากหลายไว้แล้วครบเครื่องจริงๆ แต่กระซิบไว้ก่อนว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเพียงเท่านั้น ทุกคนสามารถกดเข้าไปลองอ่าน ลองเล่น และค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆได้เพิ่มเติม ที่ greenerbangkok.com รับรองได้เลยว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้นจะมีมากกว่าความรู้อย่างแน่นอน แล้วมาร่วมกันคนละไม้คนละมือ ให้เมืองของเราน่าอยู่มากขึ้นกันเถอะ !Author : L’araอ้างอิงgreenerbangkok.comระบบสารสนเทศด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (pcd.go.th)"ขยะล้นเมือง" คนไทยสร้างขยะเฉลี่ย 7.3 หมื่นตัน/วัน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอสวาระซ่อมกรุงเทพฯ : แผนจัดการขยะกทม. 20 ปี ยังคง 'ล้นเมือง' ต่อไป - ThaiPublicaกรุงเทพฯ กับปัญหาขยะล้นเมือง (arcgis.com)ขยะของคน กทม. ที่ถูกนำไปทิ้งที่บ้านคนอื่น - Rocket Media Lab

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

16 ก.ค. 2024

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

การท่องเที่ยวเมืองโคเปนเฮเก้น เปิดตัวแคมเปญทดลอง “Copenpay” เที่ยวฟรี ถ้านักท่องเที่ยวช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวหรือ ผู้อยู่อาศัยในเมือง ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม แลกกับ อาหารฟรี และ ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ฟรีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถทำได้อย่างเช่น เก็บขยะ ใช้ขนส่งสาธารณะ ใช้จักรยานในการเดินทางรอบเมือง หรือ เป็นอาสาสมัครให้ฟาร์ฺมในเมืองสิ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถแลกได้ เช่นอาหารกลางวัน กาแฟ ไวน์ หรือ พายเรือคายัคฟรี เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง พิพิธภัณฑ์ บาร์ต่างๆ หรือ ที่อื่นๆฟรีโดยสถานที่ท่องเที่ยวเอกชนเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการสมัครใจเข้าร่วมโครงการซึ่งตอนนี้มีประมาณ 24 หน่วยงานเอกชนที่เข้าร่วม โครงการนำร่องนี้ซึ่งการแลกจริงๆ ก็ไม่ได้มีการตรวจเช็คหลักฐานใดๆ จากนักท่องเที่ยว อาจจะต้องมีการโชว์ภาพขี่จักรยานบ้าง หรือ ตั๋วโดยสารขนส่งสาธารณะบ้าง แต่โดยหลักจะใช้ระบบ ความเชื่อใจนักท่องเที่ยวโครงการนี้ทำขึ้นมาเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว แค่การบินไปเที่ยวต่างประเทศก็ทำลายสภาพชั้นบรรยากาศแล้ว แต่ นักท่องเที่ยวสามารถไปลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางเป็นการชดเชยโคเปนเฮเกน เป็นเมืองที่ได้รับคะแนนความยั่งยืนลำดับต้นๆของโลก ที่นี่มีจำนวนจักรยานมากกว่า รถยนต์ถึง 4 เท่า ประชากร 62% เดินทางโดยใช้จักรยาน ในเมืองมีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้จักรยาน โรงแรมส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานรักษาส่ิงแวดล้อม คลองสะอาดว่ายน้ำได้ น้ำประปาสะอาด ใช้ดื่มได้ พลังงานไฟฟ้า 70% มากจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานความร้อนที่ใช้ มาจากวัสดุย่อยสลายทางธรรมชาติโดยหน่วยงานการท่องเที่ยวโคเปนเฮเกนหวังว่า โครงการนี้จะจุดประกายให้ขยายไปเมืองต่างๆ ทั่วเดนมาร์ค หรือ แม้กระทั่งไปยังเมืองต่างๆทั่วโลกถ้าใครอยากเข้าร่วมโครงการนี้ ก็จะต้องรีบหน่อย เพราะโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึง 11 ส.ค. นี้เท่านั้น แต่ถ้าโครงการประสบความสำเร็จอาจจะมีการขยายไปจนถึงปลายปีนี้ด้วยแหล่งที่มา :BBC https://www.visitcopenhagen.com/copenpayhttps://youtu.be/KbZYnnXoSVs?si=_8huK7nS5NkE4Nqe

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

09 ก.ค. 2024

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

ทั่วโลกมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 50 ล้านคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจาก กว่า 1.19 ล้านคนต่อปีและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ของผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 5-29 ปีนอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิต คือคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และ ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์92% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มาจากประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ ประเทศกำลังพัฒนา มีจำนวนรถเพียง 60% ของทั้งโลกประเทศไทยเองก็มีการเก็บสถิติ ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวัน เฉลี่ยวันละหลายสิบราย และ บาดเจ็บเฉลี่ยวันละ 2 พันกว่าคนโดดช่วงเวลาที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด คือ ช่วง 17.00-21.00 น. โดยผู้เสียชีวิต 75% เป็นเพศชาย และ ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุ 82% คือ มอเตอร์ไซค์ และจังหวัดที่มีอุบัติเหตุลำดับต้นๆได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุท้องถนน ปีละ 17,000 คน และ มีผู้พิการจากอุบัติเหตุกว่า 15,000 คน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้านบาทซึ่ง UN ได้ออกมารณรงค์ เรียกร้องเป็น ทศวรรษที่ 2 ให้ทุกคนใส่ใจ เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน เช่นการใส่หมวกกันน็อค การไม่ขับขี่ขณะมึนเมา หรือ แม้แต่การคาดเข็มขัดนิรภัย ที่ลดอัตราการเสียชีวิตได้มากถึง 50%และยังพบว่าพฤติกรรมคนขับรถ ที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุขึ้น 4 เท่านอกจากนี้ยังมีการรณรงค์ให้ภาครัฐของทุกประเทศ ช่วยกันปรับปรุงเส้นทางการคมนาคมขนส่ง และ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมายการลดอุบัติเหตุลงให้ได้ครึ่งนึง ภายในปี 2030พวกเราในฐานะผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน สิ่งที่พอจะควบคุมได้ หากเพียงผู้ขับขี่ยานพาหนะ เคารพกฏจราจร ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย และมีสติขณะขับขี่ หรือ ขณะใช้ท้องถนนอยู่เสมอ ก็จะสามารถลดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นลงไปได้มากแล้วข้อมูลจาก :WEFมูลนิธิเมาไม่ขับ

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

03 ก.ค. 2024

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

กีฬาโอลิมปิคที่ปารีสในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่าง 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดกว่า 40⁰C เพราะเป็นช่วงที่เป็นฤดูร้อนของยุโรปในซีกโลกเหนือพอดีมหกรรมกีฬาโอลิมปิคในคราวนี้ ฝรั่งเศสตั้งเป้าไว้ให้เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่เขียวที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ (ย้อนไปอ่านบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ได้)หมู่บ้านนักกีฬา เป็นสถานที่ใช้รับรองนักกีฬา และเจ้าหน้าที่กว่า 15,000 คนในกีฬาโอลิมปิค และใช้รับรองนักกีฬา และ เจ้าหน้าที่กว่า 9,000 คนในกีฬาพาราลิมปิค สถานที่นี้ถูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำแซน ใช้กระแสลมธรรมชาติพัดผ่านให้ความเย็นกับกลุ่มอาคาร ประกอบกับการใช้ระบบระบายความร้อนในอาคาร ที่มีการติดตั้งหลังคาสีเขียวลดความร้อน มีบานประตู หน้าต่าง ป้องกันแสงแดด และความร้อนในเวลากลางวัน รวมทั้งมีการปลูกต้นไม้รายรอบอาคาร เพิ่มร่มเงา และความเย็นในพื้นที่ ส่วนภายในห้องพักจัดไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียง และ พัดลม คือ...มีทุกอย่าง แต่ไม่มีแอร์ เครื่องปรับอากาศซึ่งเหตุผลของการไม่ติดตั้งแอร์ เพราะแอร์อาจทำให้นักกีฬาเย็นได้จริง แต่จะสร้างความร้อนให้กับพื้นที่รอบข้าง และการตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยกว่าโอลิมปิกลอนดอน 2012 ให้ได้ 50%ทำให้นักกีฬาหลายประเทศ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค อังกฤษ กรีก และ อิตาลี ประกาศว่า จะยกแอร์ไปติดเอง ส่วนนักกีฬานิวซีแลนด์ ก็จะเอาแอร์เคลื่อนที่ไปติดเองเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ทุกห้อง จะกระจายไปในหลายอาคารที่พวกเขาพักในกีฬาโอลิมปิคครั้งล่าสุด ในปี 2021ที่ญี่ปุ่น ที่ว่าร้อนแล้ว สภาพอากาศปีนั้นอุปสรรคอย่างมากกับนักกีฬา มีผู้เข้าแข่งขันหลายคน ทั้งอาเจียน และ เป็นลมขณะแข่งขัน เพราะความร้อน แต่ครั้งนี้ สภาพอากาศก็จะร้อนยิ่งกว่า จากการพยากรณ์อากาศ มีแนวโน้มมากถึง 70% ที่อากาศปารีสจะร้อนกว่าปกติ และเมื่อรวมกับความชื้นในอากาศที่สูง ยิ่งทำให้ ความร้อนที่รู้สึก สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งมีคำเตือนว่า กรณีเลวร้ายที่สุด อาจทำให้นักกีฬาเสียชีวิตและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “คลื่นความร้อน (Heatwave)” ที่อาจเกิดขึ้นขณะที่จัดการแข่งขัน ซึ่งจากสถิติตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ปารีสโดนคลื่นความร้อนเล่นงานไปกว่า 50 ครั้งแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อน กว่า 14,000 คนซึ่งสาเหตุของคลื่นความร้อน ก็มาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง และเป็นการเตือนโลกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกมหกรรมกีฬา จะต้องประสบปัญหาเรื่องความร้อนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดปัญหาโลกร้อนจึงไม่ใช่แค่ปัญหาของวงการสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้มันพิสูจน์ชัดแล้ว ว่ากระทบไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาการแข่งขันที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่การแข่งกีฬา หรือ การแก่งแย่งกันเอง แต่เป็นการแข่งขันที่มนุษยชาติต้องร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำทุกวิถีทาง เพื่อเข้าเส้นชัย หยุดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เร็วที่สุด โดยที่มีชีวิตเพื่อนมนุษย์ทุกคนเป็นเดิมพัน

European Green Deal คืออะไร? เมื่อ ‘ฝาขวดน้ำ’ ก็ช่วยโลกได้

01 ก.ค. 2024

European Green Deal คืออะไร? เมื่อ ‘ฝาขวดน้ำ’ ก็ช่วยโลกได้

การได้ไปเที่ยวยุโรป เปิดขวดเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบในวันที่อากาศร้อน นับเป็นหนึ่งในความสุขสดชื่นอีกแบบ แต่ในฤดูร้อนปีนี้ประสบการณ์ดื่มคงจะแตกต่างออกไป จากการกำหนดนโยบาย‘ลดโลกร้อน’และการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของยุโรปครั้งใหม่ ที่จะมีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 นี้European Green Deal คืออะไร ?ในเดือน ก.ค. 2021คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission)มีแผนการทำงานเพื่อสนับสนุนให้อุณหภูมิของโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ และในปี 2050 ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทำให้เกิดเป็น‘European Green Deal’ หรือมาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 55 ในปี 2030 หรือFit for 55 Packageซึ่งเป็นร่างกฎหมายเพื่อรับรองเรื่อง- การปรับปรุงสิทธิการซื้อขายและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก- การส่งเสริมการคมนาคมสีเขียวทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ- การกำหนดอัตราภาษีธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม- การกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน- การตั้งเป้าหมายการดูดซับก๊าซเรือนกระจก- และการออกมาตรการCBAM(Carbon Border Adjustment Mechanism)มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป คือการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป European Union (EU)EU Green Deal – EU-ASEAN (euinasean.eu)สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ ‘ฝาขวดน้ำ’นโยบายดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุโรป ดังล่าสุดที่หลายประเทศกำลังบอกลาฝาขวดพลาสติกแบบเก่า และหันมาใช้ขวดน้ำที่มีฝาติดอยู่ ตามกฎของ European Green Deal ที่จะมีข้อบังคับในวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 กำหนดให้เครื่องดื่มที่มีขนาดไม่เกิน 3 ลิตร ต้องใช้ฝาน้ำดื่มที่ติดอยู่กับตัวห่วงและขวดบรรจุภัณฑ์ (Tethered Caps)เพื่อลดการหลุดรอดไปยังสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสัตว์โดยโฆษกกระทรวงสิ่งแวดล้อมสภาพภูมิอากาศและการสื่อสารแห่งไอร์แลนด์ กล่าวว่า“ฝาจํานวนมากถูกแยกออกจากขวดหลังการใช้งาน และฝาที่อยู่ในถังรีไซเคิลก็มักจะมีขนาดเล็กและเบาเกินไปสําหรับอุปกรณ์คัดแยกที่จะจัดการ และกลายเป็นขยะตกค้างไม่ได้นำไปรีไซเคิลในที่สุด”“รายงานจาก National Litter Pollution Monitoring System แสดงให้เห็นว่า ขยะจากฝาเครื่องดื่ม คิดเป็นประมาณ 15% ของขยะบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนของฝาขวดน้ำ ที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปนั้นมีอิสระในข้อกําหนดตนเอง ตราบใดที่ "ฝาปิดยังคงติดอยู่กับภาชนะในระหว่างใช้งาน ตามวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์"ดังนั้น หากคุณกำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวในแถบยุโรปช่วงเดือนกรกฎาคม คุณได้อาจเจอกับฝาพลาสติกรูปแบบใหม่ที่ติดอยู่กับขวด เป็นส่วนช่วยทำให้ขบวนการรีไซเคิลเกิดขึ้นได้ง่าย ลดอันตรายต่อสัตว์โลก และเป็นการลดโลกร้อนอีกทางหนึ่งอีกด้วย

album

0
0.8
1