ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี

News Updates

GREEN MORNING SHOW

GREEN MORNING SHOW 7 ส.ค. 67

07 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 7 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 6 ส.ค. 67

06 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 6 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 5 ส.ค. 67

06 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 5 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 2 ส.ค. 67

05 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 2 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 1 ส.ค. 67

05 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 1 ส.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

GREEN MORNING SHOW 31 ก.ค. 67

04 ส.ค. 2024

GREEN MORNING SHOW 31 ก.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

CLUB FRIDAY

Club Friday 108 คำถามหัวใจ | 25 ตุลาคม 2567

25 ต.ค. 2024

Club Friday 108 คำถามหัวใจ | 25 ตุลาคม 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

เพื่อนเป็นหมอ

สวยแค่หน้าไม่พอ ต้องสวยไปยันเซลล์! | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

20 ก.ค. 2024

สวยแค่หน้าไม่พอ ต้องสวยไปยันเซลล์! | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

เดี๋ยวนี้สวยแค่หน้าไม่พอ เพราะเราต้องสวยไปถึงไส้ สดใส ดูดี ไปถึงยีนและก็เซลล์ บอกเลยว่า EP. นี้ หมอเพื่อน หมอโบว์ และดีเจดาด้า พาทุกคนไปอัพเดทความสวย แบบองค์รวมครบทุกมิติ ใครอยากรู้มีอะไรตามไปดูกัน GO GO! #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #หมอโบว์ #ดีเจดาด้า #PhyathaiHospital #AllYouCanBe #BeyondHealthExcellence #ตรวจสุขภาพ #ความสวยงาม #ดูแลตัวเอง #howto

เช็กลิสต์อะไรบ้าง #ยิ่งทำยิ่งแย่ | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

25 มิ.ย. 2024

เช็กลิสต์อะไรบ้าง #ยิ่งทำยิ่งแย่ | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

อีพีก่อนพาไปเช็กลิสต์ อะไรที่ยิ่งเลิกยิ่งดี อีพีนี้เลยพาเช็กลิสต์ อะไรที่บ้าง #ยิ่งทำยิ่งแย่ มาดูสิว่ามีสิ่งที่เรากำลังทำอยู่รึป่าว #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจโบ #โบธนากรชินกูล #สุขภาพ #IF #โปรตีน #โรคไต #ความเครียด

คันก็บ่อย~ กลิ่นก็มี~ นี่แหละ! สัญญาณเตือนจากน้องสาวว่ากำลังมีปัญหา | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

12 มิ.ย. 2024

คันก็บ่อย~ กลิ่นก็มี~ นี่แหละ! สัญญาณเตือนจากน้องสาวว่ากำลังมีปัญหา | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

สาว ๆ ใครมีอาการแบบนี้มาเช็กด่วน คันน้องสาว ตกขาวมีกลิ่น เพราะน้องสาวอาจจะส่งสัญญาณเตือนเราอยู่ก็ได้ #เพื่อนเป็นหมอ #GreenWave1065 #หมอเพื่อน #ดีเจแนน #ปัญหาน้องสาว #เพศศึกษา #ตกขาวผิดปกติ #คันในที่ลับ #สุขภาพผู้หญิง #สูตินารีเวช #ตรวจภายใน #HPV #มะเร็งปากมดลูก

เช็กลิสต์อะไรบ้าง #ยิ่งเลิกยิ่งดี ใครเลิกได้บอกเลยว่า ปัง ปัง ปัง | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

30 พ.ค. 2024

เช็กลิสต์อะไรบ้าง #ยิ่งเลิกยิ่งดี ใครเลิกได้บอกเลยว่า ปัง ปัง ปัง | FULL EP. เพื่อนเป็นหมอ

EP. นี้ตามหมอเพื่อนและดีเจโบ ธนากร ไปเช็กลิสต์ 4 สิ่งที่ #ยิ่งเลิกยิ่งดี ใครกังวลว่าจะทำไม่ได้ ไม่ต้องห่วง เพราะนอกจากเช็กลิสต์แล้ว เรายังมีเทคนิคและตัวช่วย ให้ทุกคนทำได้สำเร็จอีกด้วย งานนี้ขอแค่มีความตั้งใจ มุ่งมั่น บอกเลยว่าเลิกได้ไม่ยาก แถมผลลัพธ์หลังเลิกยังปังแบบ 10 10 10 #GreenWave1065 #QuitForBetterLife

รู้ทันก่อนเป็น #โรคความดันสูงงง ️| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 พ.ค. 2024

รู้ทันก่อนเป็น #โรคความดันสูงงง ️| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

รู้ทันก่อน #ความดันสูง ️ ก่อนจะถึงวันความดันโลหิตโลก หมอเพื่อนกับดีเจเฟี๊ยต ขอพาทุกคนไปเช็กอาการ และตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกัน #โรคความดันสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอันตรายด้วยกัน ใครที่เคยร้อนจนเหมือนจะเป็นลม หรือไม่แน่ใจว่ากำลังเข้าข่ายโรคความดันรึป่าว มาเช็กกันได้ที่ เพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ กับหมอเพื่อนและดีเจเฟี๊ยต บอกเลยว่าความรู้อัดแน่นตามสไตล์เพื่อนเป็นหมอเหมือนเดิม #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเฟี๊ยต #วันความดันสูงโลก #โรคความดัน #สุขภาพ #ความดัน

ส่องไอเดียซื้อของขวัญ ให้คนที่บ้าน ซื้อฝากได้ตั้งแต่เด็ก - ผู้สูงอายุ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

15 พ.ค. 2024

ส่องไอเดียซื้อของขวัญ ให้คนที่บ้าน ซื้อฝากได้ตั้งแต่เด็ก - ผู้สูงอายุ | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ใครกำลังหาซื้อของขวัญให้กับที่บ้านมาดูเพื่อนเป็นหมอ EP.นี้กัน ได้ของถูกใจแบบดีต่อสุขภาพด้วยแน่นอน! #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจพียู #ไอเดียเลือกของขวัญ #สุขภาพ #ความดัน

HEALTHY LIFESTYLE

เป็นคนร้อนในง่าย ควรปฏิบัติตัวยังไง

01 พ.ย. 2024

เป็นคนร้อนในง่าย ควรปฏิบัติตัวยังไง

คนอินพร่อง (ร้อนในบ่อย คอแห้ง มือเท้าร้อน)อินพร่อง คือ ระดับเลือดและน้ำในร่างกายที่ต่ำลง แต่พลังหยางนั้น(ความร้อนในร่างกาย)เท่าเดิม ทำให้เกิดไฟน้อยๆที่เผาพลานร่างกายตลอดเวลา เสมือนเปิดแก๊สไฟวงในเพื่อที่จะต้มน้ำซุป และทำให้น้ำในร่างกายเหือดแห้งไป ร่างกายมีแต่ความร้อน สภาพเหมือนทะเลทราย น้ำน้อย แต่ร้อนมาก ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เสมือนร่างกายเรา ถ้าหากว่าร้อนแบบนี้เป็นเวลานานๆ เราจะกลายเป็นโรคได้ค่ะคนที่มีลักษณะอินพร่อง จะเป็นคนที่มีรูปร่างผอมสูง คอแห้งบ่อย รู้สึกแก้มร้อนบ่อย ใจร้อนง่าย อุ้งมือเท้าจะร้อน นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ร้อนในบ่อย นิสัยของคนที่อินพร่องจะเป็นคนอารมณ์ร้อนง่าย ชอบคิดในเรื่องไม่สบายใจ เป็นคนช่างพูด ลักษณะแบบนี้ในทางแพทย์แผนจีนจำเป็นที่จะต้องบำรุงเหมือนกัน แต่เป็นเพราะว่าการบำรุงที่ต่างกันออกไป ในส่วนที่อินพร่องก็ต้องบำรุงอินเหมือนกับบำรุงน้ำเข้าไปในร่างกาย แต่อินในร่างกายไม่ได้หมายถึงน้ำเท่านั้นนะคะ แต่จะหมายถึงน้ำ และเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคนเรา และจะต้องบำรุงไตบำรุงกระเพาะ ม้ามให้แข็งแรงด้วย เสมือนการปลูกต้นไม่ให้เยอะๆ และเสริมน้ำให้ด้วย ถ้าต้นไม่เยอะเกินไปก็จะดูดแต่น้ำ เราก็กลับมาสู่สภาวะเดิมคือไม่มีน้ำฉะนั้น ยาที่บำรุงอินที่เหมาะกับคนอินพร่องนั้นคือ 六味地黄丸(ลิ้วเว้ยตี้หวงหวาน) 大补阴煎(ต้าปู่หยินเจียน)ยาสองตัวนี้หาได้ตามร้านยาทั่วไปค่ะอาหารที่เหมาะสม จะมีฤทธิ์บำรุงอิน เช่น ข้าวเหนียว งา เต่า ตะพาบ เนื้อปู หอย เนื้อเป็ด นม หนังหมู เห็ดหูหนูขาว สาลี่ ปลาหมึก ไข่ นม เนื้อปลา หอย ปลิงทะเล รังนก ที่สำคัญไม่ควรทานอาหารที่มีรสเผ็ด หรืออาหารที่มีรสจัดค่ะคนอินพร่องจำเป็นต้องเข้านอนให้เร็วกว่าคนที่มีลักษณะอื่น ไม่ควรเล่นกีฬาหนักกลางแจ้ง และซาวน่า ที่ทำให้เหงื่อออกเยอะๆค่ะ เพราะจะทำให้น้ำในร่างกายลดน้อยลง เพราะคนอินพร่องน้ำในร่างกายจะน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว กีฬาที่เหมาะสมกับคนอินพร่องคือ ว่ายน้ำ แต่อย่าว่ายนานเกินไปนะคะ แค่ 30 นาที ก็เพียงพอ เพราะจะทำให้เราขาดน้ำได้เช่นกันค่ะโรคที่พบมากสำหรับคนอินพร่องคือ โรคแห้งทั้งตัว ตาแห้ง เบาหวาน โรคกระเพาะ เพลียง่าย นอนไม่หลับ โรคไต หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอาการคอแห้งปากแห้งเป็นประจำสำหรับใครที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่ ให้ลองปฏิบัติตามคำแนะนำได้นะคะ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ละเลยร่างกายของเราค่ะปล.การช่วยตัวเองบ่อยๆทำให้สารอินในร่างกายลดน้อยลง ไม่ควรถี่เกินไป เพราะจะทำให้ไตอ่อนแอได้นะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

04 ก.ย. 2024

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน โดยปกติเม็ดเลือดขาวของคนปกติ อายุ 12 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 3,500 - 10,500 เซลล์ต่อไมโครลิตร ทว่าผู้ป่วยบางคนจะพบอาการข้างเคียงจากการที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำต่อเนื่องจะเกิดการติดเชื้อง่าย ซึ่งอาการที่ปรากฏอาจจะ- มีไข้ หนาวสั่น มีอาการบวมแดง- มีแผลที่ปาก มีปื้นสีแดงหรือฝ้าสีขาวอยู่ภายในปาก- เจ็บคอ มีอาการไออย่างรุนแรง- มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ- ท้องเสียง่าย- รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก- มีอาการบวมแดง และมีหนองออกมาจากบริเวณแผลเป็นประจำ- มีอาการระคายเคืองที่ช่องคลอด หรือคันช่องคลอดผิดปกตินอกจากนี้ หากเป็นภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำเนื่องจากโรค อาจพบอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของโรคร่วมด้วย แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการเหล่านั้น ผลตรวจออกมามีความผิดปกติเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ในทางแพทย์แผนจีนเม็ดเลือดขาวน้อย จะอยู่ในส่วนการรักษาแบบเลือดจาง อวัยวะในร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ ทำให้ภูมิตก อาการมักจะมีเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพออาจทำให้ใบหน้าขาวซีดหรือเหลืองซีดร่วมกับอาการเวียนศีรษะ ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ บางครั้งมีอาการแขนขาชา ในสตรีจะมีประจำเดือนน้อยสีซีด ประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด กระทั่งขาดประจำเดือนได้อย่างไรก็ตาม ในแง่การบำรุงเลือด เสริมภูมิให้กับร่างกายแพทย์แผนจีนเน้นบำรุงเลือด ต้องบำรุงพลังร่วมด้วย บำรุงอวัยวะต่างๆ สร้างเม็ดเลือด ป้องกันการติดเชื้อ บางครั้งต้องเสริมยาบำรุงระบบการย่อยดูดซึมอาหารให้ดี หรือต้องบำรุงจิง บำรุงไต (เพื่อกระตุ้นการทำงานของ ฮอร์โมน) ควบคู่กันไป และแนะนำให้ทานยาปัจจุบันควบคู่กันไปอาหารที่ต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย ได้แก่- นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านการ sterilized หรือ ที่ไม่ใช่นม UHT- โยเกิร์ต ยาคูลท์ ไอศกรีมที่ไม่มียี่ห้อการันตีความสะอาด- น้ำผักสด น้ำผลไม้สดที่ไม่ผ่านการ sterilized- น้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา ที่ไม่ผ่านการต้ม หรือกรอง หรือน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน- อาหารทุกชนิดที่ไม่ได้ปรุงให้สุก หรือ สุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก น้ำสลัด ส้มตำ น้ำพริก และอาหารประเภทยำเป็นต้น- หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงลงในอาหารที่ปรุงสุกแล้วเช่น พริกไทย พริกป่น ถั่วลิสง เป็นต้น- หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จตามร้านอาหารมารับประทาน- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลอื่น- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดหรือผลไม้สด (ผลไม้สดที่อนุโลมให้รับประทานได้คือผลไม้ที่สามารถล้างภายนอกทั้งเปลือกให้สะอาดแล้ว ปอกเปลือกรับประทานทันที ได้แก่ ส้มโอ ส้ม กล้วย เป็นต้น) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนต้องคอยสังเกตตัวเองนะคะ ถ้ามีอาการข้างต้นต้องรีบไปพบคุณหมอนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

21 ส.ค. 2024

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่ามีการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมีการใช้คำว่า Alpha, Beta หรือ Omega ทุกคนอาจสงสัยว่าคำพวกนี้มาจากไหนหรือเป็นอาการยังไง วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน ว่าโลกของ Omega Verse มีอะไรบ้าง!Omega Verse คืออะไร ?Omega Verse เป็นแนวเรื่องจักรวาลโลกสมมุติที่ได้รับความนิยมในแวดวงแฟนฟิคชั่นและนิยายแนวโรแมนติก-เหนือธรรมชาติ มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ในจักรวาลนี้ตัวละครจะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ คือ Alpha, Beta และ Omega โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและบทบาทเฉพาะแตกต่างกันไป1. Alpha (A)อัลฟ่า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นชนชั้นที่มีอำนาที่สุดในจักรวาลนี้ มักมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปกครองและปกป้อง ตัวละครที่เป็นอัลฟ่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งและมักเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในความสัมพันธ์ มีบทบาทในการดูแลและปกป้องดูแลโอเมก้า2. Beta (B)เบต้า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะธรรมดาในจักรวาล เป็นชนชั้นกลางหรือชนชั้นทั่วไปและมีสัดส่วนมากที่สุด ไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้า และมักมีบทบาทเป็นตัวละครสนับสนุนในเรื่องราวต่าง ๆ3. Omega (O)โอเมก้า เป็นกลุ่มตัวละครที่โดยส่วนมากมีความอ่อนโยนและถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ต้องการการปกป้อง เป็นชนชั้นที่มีอำนาจน้อยที่สุด โดยส่วนมากจะถูกกดทับจากชนชั้นอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของ Omega Verseกลุ่มจักรวาลประเภทนี้จะมีพฤติกรรมที่คล้ายกับสัตว์ในโลกของเรานั่นเอง1.Pheromone หรือ ฟีโรโมน ในจักวาลนี้อัลฟ่าและโอเมก้ามีกลิ่นติดตัวที่เรียกว่า ฟีโรโมนอยู่ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล2.Soulmate หรือคู่ชีวิต คือการที่อัลฟ่าและโอเมก้าเกิดการจับคู่กันตั้งแต่แรกเจอ เป็นสิ่งที่หากันเจอยากมาก โดยหากเจอกันจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้คือโซลเมทของกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายจะได้กลิ่นของกันและกันอย่างรุนแรงและแสดงอาการฮีทหรือรัทขึ้นมา3.Heat หรือการฮีท คือการที่โอเมก้ามีอาการอยากผสมพันธุ์ และปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาอย่างรุนแรงเพื่อดึงดูดอัลฟ่าที่อยู่ใกล้ ๆ ให้มามีเพศสัมพันธ์ด้วย อาจเกิดจากการที่ได้กลิ่นของโซลเมทหรือเจอฟีโรโมนของอัลฟ่าที่ปล่อยออกมา4.Rut หรือการรัท คือการที่อัลฟ่าเกิดความรู้สึกอยากผสมพันธ์อาจเกิดจากการได้กลิ่นฟีโรโมนในช่วงฮีทของโอเมก้า หรือถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ของตนเอง ฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้โอเมก้าฮีทได้5.Bond หรือการผูกพันธะ เกิดได้จากการที่อัลฟ่านั้นกัดเข้าที่หลังคอโอเมก้า ถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและอำนาจเหนือโอเมก้าของอัลฟ่า เพื่อให้อีกฝ่ายไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตนได้6.Nesting หรือการทำรัง เกิดจากการที่โอเมก้าที่มีครรภ์มีอาการติดกลิ่นคู่ของตัวเอง และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อห่างกัน จึงใช้เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่มีกลิ่นอีกฝ่ายติดอยู่มากองรอบตัวหรือ ‘สร้างรัง’ เพื่อให้ถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นของคู่ เป็นการเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ตนเองของโอเมก้ามีครรภ์ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้จักรวาล Omega Verse มาสร้างบทหรือพล็อตสามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกในเรื่องของการกดขี่หรือการมีชนชั้นวรรณะในสังคมได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการเขียน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถเพิ่มความสนุกให้กับบทได้อีกด้วยAuthor : Warissแหล่งข้อมูล :https://aboth-info.wixsite.com/whatisabohttps://www.phoenixnext.com/guild/omegaversehttps://urbancreature.co/omegaverse-problematic-world/

เหงื่อบอกโรค

20 ส.ค. 2024

เหงื่อบอกโรค

เหงื่อมี2ประเภทใหญ่ๆ1.เหงื่อแตกทั้งตัว อาจจะมีปัจจัยมาจากหลายๆสาเหตุไม่ว่าจะมาจากโรคร้อนที่เข้าไปทำร้ายร่างกาย เมทาบอลิทึมที่สูงขึ้นหรืออารมณ์ตื่นเต้น ก็อาจทำให้มีเหงื่อออกได้เช่นกันค่ะโรคบางโรคก็ทำให้เหงื่อทั้งตัวได้เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำ ไฮเปอร์ โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคที่สาวๆมักจะกลัวกัน คือ โรควัยทอง2.เหงื่อออกเฉพาะที่ ตามหลักแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากอะไรอาจจะเกิดจากต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานผิดปกติแต่ตามหลักแพทย์แผนจีนแบ่งออกเป็น1.เหงื่อออกตอนกลางวันอยู่ดีๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยเหงื่อก็ไหลเองค่ะ เหงื่อแบบนี้มาจากม้ามที่อยู่ในร่างกายเราพร่อง หรือ อ่อนแอการบำรุงม้ามจะช่วยหยุดเหงื่อได้หน่อยค่ะ แล้วอาการจะดีขึ้นตามมา2.เหงื่อออกตอนกลางคืนเป็นเหงื่อที่ออกตอนนอน ตื่นเช้ามาก็ไม่มีแล้วทางแพทย์แผนจีน คือ อาการของอินพร่อง หมายถึงอินน้อย ซึ่งต้องบำรุงอินโดยทางที่ดีแนะนำให้รักษากับหมอผู้เชี่ยวชาญนะคะ3.เหงื่อออกที่รักแร้มากเกินไปเหงื่อออกที่รักแร้เป็นปัญหาสำหรับเราอย่างมากถ้ามีกลิ่นด้วยจะทำให้เรายิ่งเสียความมั่นใจเหงื่อบริเวณรักแร้มากผิดปกตินั้นอาจเกิดมาจากต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อมากเกินไป หรือว่าเรารับประทานอาหารมากเกินไป อันนี้มีวิธีแก้ค่ะอาจจะงดอาหารที่รสจัดเกิดไป เช่น กระเทียม เครื่องเทศต่างๆตามหลักแพทย์แผนจีนอาจจะมาจากหัวใจร้อน หรือหัวใจพร่องเพราะเส้นลมปรานจุดแรกของหัวใจก็มาจากรักแร้นั้นเองค่ะความเครียดก็เป็นผลทำให้เหงื่อออกเยอะนะคะ เหมือนตอนเข้าห้องสอบหรือสัมภาษณ์งานแอดมินก็เคยเป็นค่ะ^^4.เหงื่อออกบริเวณรอบอวัยวะเพศหลายคนมีอาการนี้เหงื่อออกบริเวณอวัยเพศมากเกินไปนั้น จะทำให้เกิดการหมักหมม และมีกลิ่นเกิดมาจากความร้อนชื้นอยู่ด้านล่าง ทำให้มีอาการหลายอย่างตามมาเช่น คันบริเวณอวัยวะเพศ อวัยวะเพศมีกลิ่นแรงไม่พึงประสงค์ทางที่ดีพบแพทย์ดีกว่านะคะ เพราะการรักษาความชื้นค่อนข้างยากหน่อยบางคนอาจจะมีอาการของต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็มีสิทธิ์ทำให้ทำให้เหงื่อออกที่อวัยเพศได้เช่นกันค่ะ5.เหงื่อออกที่มือที่เท้าหลายคนถามว่าเป็นโรคหัวใจหรือป่าว แต่ไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยคุณหมอบอกว่าปกติ ตามหลักแพทย์แผนจีนนั้นมาจากหลายสาเหตุเช่นกระเพาะและม้ามร้อนชื้น หรืออาจจะเกิดจากภายในมีความร้อนชื้นสูงก็ทำให้เหงื่อโดนขับออกตามมือตามเท้าได้และอีกอย่างคือม้ามพร่องก็อาจจะทำให้เหงื่อออกตามมือตามเท้าได้เช่นกัน เพราะม้ามควบคุมกล้ามเนื้อมือและเท้าค่ะสุดท้ายไม่ว่าเราจะมีอาการแปลกๆแบบไหน อย่านิ่งนอนใจนะคะควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการรักษาต่อไป ด้วยความห่วงใยจาก Green wave 106.5 FM ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

20 ส.ค. 2024

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

นปโปะหม่ำๆ หม่ำๆ กู๊ดบอย คือทำนองเพลงติดหู ที่เรามักได้ยินบนโลกโซเชียลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่มาของเพลงสุดน่ารักนี้ ก็เกิดจากเจ้าหมา ‘นปโปะ’ ที่ไม่ยอมกินอาหารโดยเด็ดขาดถ้าเจ้าของไม่ร้องเพลงให้ฟัง (ต้องมีทำนองด้วยนะ ไม่งั้นหนูไม่กิน!) ทำให้ใครหลายๆคนที่ได้เห็นคลิปวิดีโอของนปโปะต้องอมยิ้มไปตามๆกัน แต่เอ๊ะ…แล้วสาเหตุที่ทำให้น้องหมาหลายๆตัว ไม่ยอมกินอาหารง่ายๆคืออะไรกันนะสาเหตุที่สุนัขไม่กินอาหาร1.อาการป่วยถึงแม้ว่าการอยากอาหารที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าน้องๆกำลังมีโรคร้ายแรงเสมอไป แต่การตรวจหาความผิดปกติอย่างทันท่วงทีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเจ็บปวดทางร่างกาย ปัญหาทางช่องปากและฟัน การติดเชื้อในลําไส้ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินอาหาร เป็นต้น2.การฉีดวัคซีนการฉีดวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอาจมีผลข้างเคียง ทำให้สุนัขสูญเสียความอยากอาหารในระยะเวลาสั้นๆได้3.สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยสถานที่แปลกใหม่อาจทำให้น้องหมาเกิดความเครียดและประหม่าได้ รวมไปถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ก็อาจทำให้น้องๆรู้สึกคลื่นไส้ เมารถ ทำให้ไม่อยากอาหารได้เช่นกัน4.พฤติกรรมส่วนตัวนิสัยของสุนัขบางตัวอาจมีความ ‘เลือกกิน’ ไปนิด ลองสังเกตดูว่าน้องหมาของเรามีนิสัยส่วนตัวอย่างไร และนำมาปรับใช้กับวิธีการฝึกกินอาหาร เช่น การให้อาหารเป็นเวลา หลีกเลี่ยงการให้อาหารใกล้สุนัขตัวอื่นจนเกินไป การปรับชามข้าวให้มีความสูงพอดีต่อตัว ตรวจสอบอาหารว่าไม่เหม็นอับ และไม่แข็งจนเกินไป เป็นต้น5.น้องหมาได้รับของรางวัลมากเกินไปความ ‘อิ่ม’ จากการกินขนมเยอะเกินไป อาจทำให้น้องๆรู้สึกไม่หิวอาหารแบบเดิมๆที่เคยกิน การกินขนมควรเป็น ‘รางวัล’ ของสุนัข ไม่ใช่อาหารจานหลัก และควรมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของแคลอรีต่อวันเมื่อคำนวณตามน้ำหนักตัว เพราะการให้ขนมมากเกินไปอาจนําไปสู่โรคอ้วนในสุนัขได้อีกด้วยวิธีกระตุ้นความอยากอาหารของน้องหมา1.เปลี่ยนอาหารเม็ดโดยการเลือกสูตรอาหารที่มีส่วนผสมคล้ายกับอาหารสูตรเก่า และช่วยปรับให้ระบบย่อยอาหารของน้องๆรู้สึกคุ้นเคย ด้วยการค่อยๆผสมอาหารใหม่เข้ากับอาหารเก่า และเพิ่มปริมาณของอาหารใหม่ในแต่ละมื้อวันที่ 1-2: ผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารเก่า 75%วันที่ 3-5: ผสมอาหารใหม่ 50% กับอาหารเก่า 50%วันที่ 6-7: ผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%วันที่ 8 เป็นต้นไป : อาหารใหม่ 100%ซึ่งสุนัขบางตัวอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนนานมากกว่านี้ โดยเฉพาะกับน้องๆที่มีกระเพาะย่อยอาหารบอบบาง2.เพิ่มท็อปปิ้งตกแต่งอาหาร หรือ ทําให้อาหารเม็ดนิ่มลงเติมน้ำหรือซุปผักอุ่นๆลงในอาหารแห้งและปล่อยแช่ให้นิ่ม ช่วยให้น้องหมาเคี้ยวอาหารได้ง่าย เพิ่มกลิ่น กระตุ้นความอยากอาหาร (ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยนะ ว่าไม่มีหัวหอมหรือกระเทียมอยู่ในส่วนผสมของน้ำซุป เพราะอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้น้องเป็นโรคโลหิตจางได้)3.หลีกเลี่ยงการให้อาหารโดยไม่มีเงื่อนไขการวางอาหารของน้องหมาทิ้งไว้ให้เดินมากินตอนไหนก็ได้ อาจจะดูเป็นวิธีที่สะดวก แต่ก็ส่งผลตามมาหลายอย่าง เช่น การไม่เห็นพฤติกรรมความอยากอาหารที่เปลี่ยนไปของน้องๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางร่างกายผู้เลี้ยงควรกำหนดเวลาให้อาหารอย่างชัดเจน และทำการจับเวลา 15 นาที หากในช่วงเวลานี้น้องๆมีท่าทีไม่ยอมกินอาหารที่วางไว้ ให้เก็บอาหารจนกว่าจะถึงเวลามื้อต่อไป เป็นการฝึกให้น้องหมาไม่ติดนิสัยเมินอาหารนั่นเอง4.ทําให้มื้ออาหารเป็นเรื่องสนุกทำให้การกินอาหารตื่นเต้นขึ้น ด้วยการใส่อาหารไว้ในเครื่องเล่นสำหรับน้องหมา กระตุ้นสัญชาตญาณการหาอาหาร รวมไปถึงการให้คำชมเมื่อน้องๆยอมกินอาหารนั่นเองสุดท้ายนี้ การเมินไม่ยอมกินอาหารของน้องหมาเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพฤติกรรมส่วนตัว ความประหม่า หรืออาการเจ็บป่วย เจ้าของจำเป็นต้องสังเกตนิสัยและความผิดปกติที่น้องๆพยายามจะบอกเรา และหากน้องหมาไม่ยอมกินอาหารนานกว่าสองวัน (หรือสองมื้อหากมีโรคประจําตัว) ควรติดต่อสัตวแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าน้องๆจะสุขภาพดี เหมือนกับน้องนปโปะ ที่หนูแค่อยากได้ยินคำชมเยอะๆตอนกินข้าวเฉยๆน้าAuthor : L’ara

LOVE INSPIRED

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN CHARITY

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

15 มี.ค. 2022

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย

CLUB PRIDE DAY

Club Pride Day x ท่านเปา | 7 พ.ย. 67

07 พ.ย. 2024

Club Pride Day x ท่านเปา | 7 พ.ย. 67

Club Pride Day x ท่านเปา | 7 พ.ย. 67 . ไม่เปิดศาลไคฟง แต่ชวนเปิดไมค์เมาท์ กับ “ท่านเปา” Tiktoker ดาวรุ่ง ยอดฟอลหลักล้าน! กับจักรวาลครอบครัวสุดหรรษา พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ท่านเปา #เปา #taanpao #creator #ครอบครัวท่านเปา #ท่านเปาต้มเลือดหมู #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี | 31 ต.ค. 67

31 ต.ค. 2024

Club Pride Day x อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี | 31 ต.ค. 67

Club Pride Day x อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี | 31 ต.ค. 67 . เปิดไมค์ต้อนรับคืนฮาโลวีนไปกับ "อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี" พร้อมเรื่องราวลี้ลับของบุญกรรมและการกระทำของ LGBTQ+ พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #อุ๋มอิ๋ม #อุ๋มอิ๋มคนเห็นผี #Oumim #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x ส้ม มัลนิการ์ | 24 ต.ค. 67

24 ต.ค. 2024

Club Pride Day x ส้ม มัลนิการ์ | 24 ต.ค. 67

คุยเรื่อง Proud เมาท์เรื่องหลอน กับ "ส้ม มัลนิการ์" สาวตาทิพย์ กับสัมผัสสุดพิศวง พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ส้ม #มัลนิการ์ #ส้มมัลนิการ์ #คนตาทิพย์ #คนเห็นผี #TheSixthSense #ดวง #หมอดู #มูเตลู #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์ | 17 ต.ค. 67

17 ต.ค. 2024

Club Pride Day x บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์ | 17 ต.ค. 67

Club Pride Day x บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์ | 17 ต.ค. 67 . มงปัง ไมค์เปิด พร้อมแจ้งเกิดไปกับเจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ "บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์" จากดีเจสาวสุดจี๊ด สู่ตัวแม่รันเวย์สายอินเตอร์ พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #บุ๊คโกะ #ดีเจบุ๊คโกะ #bookko #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x อ้วน รีเทิร์น | 10 ต.ค. 67

10 ต.ค. 2024

Club Pride Day x อ้วน รีเทิร์น | 10 ต.ค. 67

Club Pride Day x อ้วน รีเทิร์น | 10 ต.ค. 67 . คุยเรื่อง Proud เมาท์เรื่องลี้ลับ กับ “อ้วน รีเทิร์น” LGBT ตัวแม่ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #อ้วน #อ้วนรีเทิร์น #aun8 #aunreturn #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day x หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ | 3 ต.ค. 67

03 ต.ค. 2024

Club Pride Day x หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ | 3 ต.ค. 67

Club Pride Day x หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ | 3 ต.ค. 67 . เปิดไมค์ต้อนรับเดือนแห่งวิญญาณกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งเหนือธรรมชาติ "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" พร้อมตอบทุกคำถามเรื่องวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ กับความเป็น LGBTQ+ พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #หมอบี #หมอบีทูตสื่อวิญญาณ #หมอบีเสกสันน์ #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day Recap

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” พร้อมเรื่องราวลี้ลับ บุญกรรม และการกระทำของ LGBTQ+

08 พ.ย. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” พร้อมเรื่องราวลี้ลับ บุญกรรม และการกระทำของ LGBTQ+

“เราไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือสุดโต่งในทางใดทางหนึ่ง แต่เราต้องเป็นมนุษย์ที่อยู่บนทางสายกลาง ใช้สติให้มาก เข้าใจว่าทำยาก แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลองทำก็ยังดี”ฟังเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจจากแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ส่งท้ายตุลาคม เดือนฮาโลวีน กับ “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” จากชีวิตที่ถูกเลือก เพื่อเป็นร่างทรงเห้งเจีย สู่มูกูรู ผู้มีสัมผัสกับวิญญาณ พร้อมพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องทาน วิถีบุญกรรม ตามการกระทำของมนุษย์ เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเซ้นส์เห็นผี ที่มีมาตั้งแต่เด็ก“จริง ๆ แล้วตั้งแต่เด็ก เราไม่รู้ว่าอันนี้คือผีรึเปล่า แล้วพอเราเริ่มดูละคร เริ่มดูหนัง เราก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราเจอมาตลอด นั่นเค้าคือเรียกว่าผี แล้วเราถึงเริ่มกลัว ทีแรกไม่กลัวเพราะเราเล่นกับเค้า อยู่กับเค้า จนมันเป็นเรื่องปกติไปเลย แต่พอวันนึงที่เรารู้ว่าสิ่งที่เราเจอตลอดเวลา พอเราสังเกตดี ๆ เค้าก็เหมือนคนปกตินี่แหละ แต่บางครั้งเค้าดูบางดูมีสีจางกว่าคนปกติ เราก็เลยรู้แล้วว่า นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดแล้วนะ มันต้องเป็นผีแน่ ๆ เหมือนเราก็ได้เรียนรู้นิยามคำว่าผีแล้ว หลังจากนั้นเราก็กลัวเลย มาจนทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่นะคะ ซึ่งต้องใช้คำว่าทุกวันนี้เราพยายามยอมรับดีกว่า แต่บางครั้งมาให้เห็นแบบเละ ๆ น้ำเหลืองไหล มันก็ทำใจลำบากเหมือนกันนะคะ”ทำไมผี ถึงมีหลากหลายรูปแบบ?“หนูเชื่อเรื่องน้ำหนักของบุญที่เค้ามี บางคนมีบุญมาก และตอนที่กำลังจะเสียชีวิตเค้ากำหนดจิตทัน เค้าก็จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี แต่บางคนเค้าไม่ได้เรียนรู้การกำหนดจิตมาเลย เค้ายังยึดติดทั้งความสัมพันธ์ สิ่งของ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เค้าเจอในชีวิต แล้วเค้ายึดติดมาก ๆ มันก็เลยทำให้เค้าไม่สามารถหลุดไปอยู่ในอีกวงจร ที่จะต้องไปผุดไปเกิดได้ เราถึงเห็นว่า ทำไมวิญญาณดวงนี้เสียชีวิตอยู่ที่ถนนแล้วยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็เพราะว่าจิตของเค้าโดนชนปั้ง แล้วจิตมันแตกสลายเลย บวกกับเค้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อน เค้าก็ไม่รู้จะไปรวบรวมยังไง เค้าก็จะวนเวียนอยู่ตรงนั้น มันก็เลยมีการที่ต้องนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ ไปเชิญวิญญาณกลับบ้าน ไปเชิญวิญญาณให้กลับไปสู่สุคติอย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุบนถนน บางคนเชื่อว่าเป็นเรื่องตัวตายตัวแทนรึเปล่า แต่ทั้งนี้เราต้องมองสองด้านนะคะ อย่างแรกด้านวิทยาศาสตร์ การสร้างถนน มันอาจจะมีผลทำให้แบบเป็นจุดบอดสายตา จนเกิดอุบัติเหตุได้ กับอย่างที่สอง คือดวงวิญญาณเหล่านั้นเค้าก็อยู่ตรงนี้อยู่แล้ว บังเอิญวันนั้นกลับเป็นวันที่เราไม่แข็งแรง จิตใจอ่อนแอ อาจจะอกหักมา หรือเครียดจากงานมา แล้วจิตเราตก จนเราไปเห็นเค้ายืนอยู่ตรงนั้น ด้วยความไม่มีสติ เราก็ต้องตกใจ แล้วเราก็หักหลบ ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ มันก็เลยต้องมองทั้งสองด้าน”ถ้าไม่อยากจิตตก ต้องทำยังไง?“อย่างแรกเลยต้องฝึกค่ะ ไม่ฝึกไม่ได้ ร่างกายต้องรับรู้ทุกอย่าง รู้ที่จะเสียใจ รู้ที่จะมีความสุข รู้ที่จะทุกข์ พอรู้เสร็จ เราก็ต้องถามตัวเองว่า เวลาสุขมันจะสุขไปแค่ไหน แล้วถ้าทุกข์มันจะทุกข์ไปแค่ไหน มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ไหม ถ้ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ก็ต้องยอมรับและเราก็ต้องปล่อยวางจิดตก กับ ดวงตก มันใกล้เคียงกันมาก ๆ เพราะว่าการที่เราจิตตก มันจะนำพาดวงเราให้ตกไปด้วย หมายความว่า จิตมันเป็นตัวกำหนด เวลาที่เรารู้สึกแย่มาก ฉันเสียใจ ฉันไม่อยากไปไหน ฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับใคร เราจะอยู่แต่ในที่ที่เดียว หรือบางคนอาจจะแบบทำร้ายตัวเองก็ได้ หรือถ้าไปก็อาจจะไปในที่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองหรือผู้อื่นได้ สิ่งเหล่านั้นมันก็จะทำให้เราเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี บางคนจิตตกมาก ก็อยากจะไปทำอะไรที่ผิดศีล มันก็เลยทำให้ดวงเราตกลงไปด้วย แต่ถ้ากลับกัน ถ้าเราบอกว่าช่วงนี้เราจิตตกนะ แล้วมีเพื่อนบอกเราว่า ไปทำบุญกันมั้ย ไปไหว้พระกันมั้ย ไปเที่ยวทะเลกันมั้ย ไปห้องสมุดกันมั้ย มันทำให้เค้าไปอยู่ในที่ ๆ ดี ดวงเค้ามันก็จะไม่เจอสิ่งที่ไม่ดี ดวงเค้าก็จะต้องดีขึ้น เพราะฉะนั้นมันมีผลมาก ๆ การที่เราจิตตก มันจะดึงดวงให้ตกไปด้วย เราต้องมีวิธีจัดการกับมัน”อุ๋มอิ๋ม กับการพิสูจน์ตัวเองกับคนรอบตัว“ต้องบอกว่าครอบครัวควรรู้เป็นลำดับแรกว่าเราเป็นอะไร แต่เค้าไม่เชื่อเรา คุณพ่อคุณแม่ไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อเลย จนเราพิสูจน์ให้เค้าเห็นว่าสิ่งที่เราเจอ อย่างสมมติเราเจอดวงวิญญาณของคุณยาย เราก็อธิบายว่าคุณยายชอบกินอะไร คุณยายบอกว่าคุณยายอยากกินอันนี้มาก ๆ เลย แม่ต้องทำอันนี้ให้นะ ซึ่งด้วยความที่เราเกิดไม่ทันคุณยาย แล้วอยู่ดี ๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยายชอบกินอะไร แล้วคำพูดที่คุณยายใช้พูดกับแม่ อย่างสมมติว่ามีคำว่า หมวยเล็ก ซึ่งเราไม่มีทางรู้แน่ ๆ แต่แม่ก็ประหลาดใจว่าเรารู้ได้ยังไง เรารู้แม้กระทั่งเอาของที่คุณยายให้แม่ไปเก็บไว้ที่ไหน เหมือนเราพิสูจน์ให้เห็น แล้วมันไม่ใช่การพิสูจน์แค่ครั้งเดียว คุณพ่อคุณแม่ หรือครอบครัว เค้าพิสูจน์เราตลอด แต่เค้าไม่ได้อยู่ ๆ มาถามลองเชิงเรานะคะ แต่สถานการณ์มันพาไป อย่างเรื่องพี่สาวตอนนั้นเรากับพี่สาวไปเดินานหนังสือ แล้วในขณะที่กำลังแวะไปกินขนมปังกัน อุ๋มอิ๋มเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างหลังพี่สาว เราก็ตกใจบอกพี่สาวว่า มีผู้หญิงอยู่หลังเธอ เค้าก็ถามว่า ใครเหรอ อุ๋มอิ๋มก็บอกลักษณะเลยว่า ตาโต ผมยาว เค้าพูดไม่ค่อยได้ แต่เค้าส่งภาพได้ เค้าบอกว่าเค้าไม่อยู่แล้วนะ เธอลองเช็คหน่อยไหมว่าเพื่อนคนนี้ของเธอยังอยู่มั้ย แล้วเค้าก็เช็คเดี๋ยวนั้นเลย ปรากฏว่าเพื่อนคนนี้เพิ่งเสียชีวิต แล้วพี่สาวของอุ๋มอิ๋มก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดเลยของเค้า พี่สาวก็เลยบอกว่า ถามเค้าหน่อยได้มั้ยว่าเค้าต้องการอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า ช่วยบอกพี่สาวหน่อยว่า สร้อยคอที่อยู่ข้างเตียงนอน ที่อยู่ในกล่อง มันเป็นของคนรักเก่าของเค้า ช่วยเอาสิ่งนี้ใส่ไปกับเค้าได้ไหม อย่าบอกใครนะ เพราะเค้าก็ไม่อยากให้คนใหม่รู้ พี่สาวเราก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ แล้วเค้าก็พยายามติดต่อให้พี่สาวของอุ๋มอิ๋มทำตามที่บอก พอพี่สาวกลับไปค้นก็เจอทุกอย่าง มันก็เลยเหมือนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ที่เราเติบโตมากับครอบครัว สิ่งที่เราเห็น มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะ”จากความกลัว สู่การเยียวยาตัวเอง“ช่วงแรก ๆ ต้องบอกว่าเยียวยาไม่ได้ บางครั้งเวลาเจอผีก็สติแตกไปเลย กลัวแล้วกลัวอีก จนร่างกายมันถามตัวเองว่ามันจะกลัวไปถึงไหน แล้วเราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้แล้ว ถ้าเราเป็นแบบนี้เราจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ เราก็บเลยหาที่ยึดเหนี่ยวโดยการหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มแรกเราก็ไหว้พระพุทธเจ้าก่อนเลย เข้าร่วมชมรมสวดมนต์กับโรงเรียน แล้วเรารู้สึกว่า การสวดมนต์มันทำให้เรามีเกราะป้องกัน ทำให้ผีเริ่มอยู่ห่างเราขึ้น เลือกที่จะไม่มายุ่งกับเรา ไม่แสดงให้เราเห็นแบบหน้าเละ จนอุ๋มอิ๋มรู้สึกว่า ความถี่ในการเจอผีมันบางลง แล้วมันเริ่มควบคุมเหมือนประตูที่สามารถเลือกเปิดปิดได้ถ้าดวงวิญญาณเค้าไม่ได้อยากจะให้เราเห็น เราก็จะมองเห็นเหมือนเค้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าดวงวิญญาณดวงนั้นอยากจะสื่อสารจริง ๆ เค้าจะให้เห็นแบบย้ำ ๆ เห็นซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราควบคุมด้ ก็ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้นและเราไม่จำเป็นจะต้องเจอทุกดวงวิญญาณ เราก็ใช้ชีวิตของเราปกติ ไม่ได้ไปสนใจอะไรเค้า แต่ถ้ามีดวงวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ แล้วเราสามารถช่วยได้ เราถึงจะเลือกคุยเลือกช่วย ไม่อย่างนั้นเราจะสติหลุด”ข้อดี และข้อเสีย ของการเป็นคนเห็นผี“ข้อดีคือ อุ๋มอิ๋มเชื่อนะว่า เราคือหนึ่งคนที่จะเป็นหลักฐานได้ว่า การเวียนว่ายตายเกิด ดวงวิญญาณอีกภพภูมิ มันยังมีอยู่จริง ถ้ามันไม่มีอยู่จริง มันจะเป็นไปไม่ได้ที่คนเห็นผีแบบพวกเราจะเห็นหรือสื่อสารได้ และคนเห็นผีจะมีคุณค่าที่สุดก็ในวันที่เค้าได้สื่อสารให้กับคนที่ยังอยู่ ถึงคนที่เค้าเสียชีวิตไปแล้ว วันนั้นแหละคนเห็นผีคือทูตที่ดีที่สุด และบางครั้งมันก็ปลดเปลื้องความยึดติดได้ เช่น เค้าอยากจะบอกลูกเค้าว่าพ่อรักหนูมากนะ หนูไม่ต้องห่วงนะ แล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเอง พอลูกได้รับรู้ เค้าก็ปลดปล่อยเลยข้อเสียคือ ทุกคนจะคาดหวังกับเรามาก ๆ เลย คาดหวังว่าเราจะต้องสื่อได้ เราจะต้องคุยได้สิ แต่ในบางครั้งมันมีข้อจำกัดที่เราก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เราจะสื่อสารได้ทุกคนทุกดวงวิญญาณรึเปล่า มันก็ต้องมีเรื่องของบุญวาสนามาเกี่ยวข้องด้วย และมีเรื่องของเวลา อุ๋มอิ๋มเชื่อเรื่องลิขิต ทุกอย่างถูกขีดมา เค้าได้มาเจอเรา แล้วเราสามารถสื่อ นั่นแปลว่าวันนี้เราเป็นสะพานให้เค้าได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อุ๋มอิ๋มจะช่วยได้ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่อุ๋มอิ๋มจะปลดล็อคให้ได้ ความคาดหวังนี่แหละน่ากลัวที่สุดถ้ามีเคสไหนที่เราช่วยไม่ได้จริง ๆ เราก็ต้องบอกเค้าตรง ๆ อย่างเรื่องเกี่ยวกับมรดก เราช่วยไม่ได้จริง ๆ มันเป็นเรื่องทางกฎหมายที่คุณต้องคุยกันเอง ต่อให้วันนี้เราพูดแทนดวงวิญญาณอากงอาม่าว่า อั๊วะให้บ้านคนนี้นะ อั๊วะให้ที่ดินคนนี้นะ ทำไมลื้อปลอมแปลงล่ะ เค้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าศาลก็ต้องมองที่เอกสาร แล้วก็ความเป็นจริง ดังนั้น อุ๋มอิ๋มก็จะบอกเค้าตรง ๆ เลยว่า ถ้าให้อุ๋มอิ๋มพูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์กับลูกหลานเอง แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์กับดวงวิญญาณด้วย สุดท้ายเค้าก็แค้นที่ทำไมลูกหลานคนนี้มาโกงเค้า วิญญาณไปเกิดไม่ได้เพราะว่ายังยึดติดกับมรดกเหล่านั้นอยู่ดี เราต้องพูดกับเค้าไปตรง ๆ เลยว่า อุ๋มอิ๋มช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ค่ะส่วนมากคนจะเลือกฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากฟัง และจะไม่ฟังถ้าเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อย่างสมมติ คนหนึ่งสูญเสียพ่อ แล้วเค้าก็จะเชื่อแต่คำพูดทำนองว่า ป๊ายังรักเธออยู่นะ ป๊ายังไม่อยากจากไปไหน ถ้าอุ๋มอิ๋มพูดว่า ป๊าไปแล้วค่ะ ป๊าไม่กลับมาแล้ว เค้าก็มักจะบอกว่าไม่จริง พี่ยังรู้สึกว่าป๊ายังอยู่ อุ๋มอิ๋มเลยเลือกที่จะไม่ยุ่งเลยดีกว่า แต่ถ้าสมมติว่าวิญญาณดวงนี้ยังยึดติดจริง ๆ แล้วเค้ามีคำพูดที่อยากจะบอกกับลูกสาวของเค้า อุ๋มอิ๋มจะตอบเลยว่าคำพูดที่คุณพ่อคุณอยากจะสื่อมีแค่นี้นะคะ ลูกสาวเค้าจะฟังและไม่มีคำถามต่อ เพราะมันเป็นคำพูดที่เค้าต้องการ แล้วทั้งดวงวิญญาณกับคนที่อยู่ เค้าต้องการแค่ประโยคนี้ แล้วจบเลย เค้าไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว และไม่มีอะไรติดค้างกันอีกเลย ดวงวิญญาณก็สามารถไปเริ่มต้นใหม่ได้”ผีกับคน รักกันได้ไหม?“โดยส่วนตัวไม่เห็นว่าคนรักผี แต่จะเห็นว่าผีรักคน อาจเพราะเวลาคนจะรักผี อย่างถ้าเป็นดวงวิญญาณของคนที่รักเสียชีวิตไป อันนี้เกิดขึ้นได้ แต่ว่าถ้าเป็นผีตนอื่น จากที่คนเค้าไม่เห็นแน่ ๆ ว่าผีหน้าตาเป็นยังไง รูปร่างเป็นยังไง แต่ว่าผี สามารถเห็นคน 24 ชั่วโมงเลย แล้วก็เฝ้ารอ เฝ้าหา ไม่ยอมไปไหน อยากจะอยู่กับคนนี้ตลอดเวลาถ้าอุ๋มอิ๋มมาเจออะไรแบบนี้ เราช่วยนะคะ ก็จะบอกเลยคนว่า พี่ไปขออโหสิกรรมเลยค่ะ วัดไหนก็ได้ เข้าไปในโบสถ์ ขออโหสิกรรม ขอถอนคำอธิษฐาน ขอถอนคำสัญญาทุกอย่างที่เราตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพราะบางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจ แต่ดันพูดว่าขอให้ฉันเป็นคู่กับเธอทุกภพทุกชาติไป เราเลยต้องไปถอน สุดท้ายเค้าก็ไม่สามารถมาผูกกับเราได้ แล้วเค้าก็จะหายไปเองเรื่องวัดที่จะไปสวดมนต์ อธิษฐาน หรือถอนคำสาบาน ขออธิบายแบบนี้ จริง ๆ วัดใหญ่ หรือวัดเล็ก ทำได้หมดเลย แต่เวลาที่เราเจอวัดใหญ่ แรงอธิษฐานของคนที่ไปสร้าง หรือคนที่ไปดูแล มันเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น วัดพระแก้ว วันนึงมีคนเข้าเป็นหมื่นคน แล้วยิ่งแรงอธิษฐานเยอะ ก็ยิ่งมีพลังมาก เพราะถ้ามองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือความเชื่อก็ต้องเกิดจากแรงศรัทธาก่อน แรงอธิษฐานก่อน ถึงทำให้ท่านมีพลัง และที่ที่คนเป็นหมื่นคนไป กับที่ที่คนเป็นพันคนไป พลังงานก็ต้องต่างกันอยู่แล้วค่ะ”เวลาเราอุทิศส่วนบุญ วิญญาณได้รับไหม?“ได้รับจริงค่ะ อันนี้เห็นกับตา แต่ว่าอุ๋มอิ๋มมองสองแบบนะคะ บางคนจิตนิ่งมาก แล้วเวลาที่อุทิศส่วนบุญสามารถทำได้เลย แต่บางคนจิตเค้าไม่ถึง การสื่อสารมันยากขึ้น อุ๋มอิ๋มก็เลยแนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องกรวดแห้งนะ เรากรวดน้ำไปเลย เพราะเราจะขอพลังของพระแม่ธรณีและพระแม่คงคาช่วยส่งบุญให้เราหน่อย เหมือนมีคนช่วยนำบุญไปส่ง มันจะเร็วขึ้น แต่ท้ายที่สุดเอาที่เราถนัดเลย อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วเวลากรวดน้ำให้ญาติผู้ใหญ่ ถ้าท่านยังอยู่ท่านรับได้ แต่ถ้าท่านกลับมาเกิดแล้ว ก็จะไม่ได้รับละ หรือว่าถ้าท่านเป็นดวงจิตที่หายไปแล้ว ก็ไม่มีแล้วจริง ๆ ต้องบอกว่า การทำบุญ 50% คือทำเพื่อคนที่ยังอยู่ เพราะทำแล้วเราสบายใจ และการที่เราส่งต่อสิ่งเหล่านี้ เราได้สร้างความดี ก็เป็นกำลังใจให้กับตัวเราเอง และมันจะเป็นบุญได้หรือไม่ได้ ถือเป็นผลพลอยได้มากกว่า แต่เจตนาที่เราทำบุญ ไปทำความดี เจตนาแรกสำคัญที่สุด ทำอะไรที่เราทำแล้วเราต้องสบายใจ ถ้าเราทำแล้วเรารู้สึกไม่สบายใจ อย่าทำค่ะ”เหรียญมีสองด้าน มีทั้งคนชอบและไม่ชอบเรา เป็นเรื่องธรรมดา“เหรียญมันมีสองด้าน แน่นอนว่าก็จะมีทั้งคนที่ชอบ และคนที่เกลียดเรา แต่ว่าอุ๋มอิ๋มเลือกที่จะอยู่กับคนที่เค้าเชื่อเรา และพร้อมที่จะเปิดใจ วันนี้ถ้าเราจะต้องมาอธิบายให้กับคนที่เค้าไม่เปิดใจ หรือเกลียดเรา เราจะไม่มีวันอธิบายได้สำเร็จเลย แต่เราก็วางเค้าไว้ในจุดที่เหมาะสม เราไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเค้า เราอยู่ในโลกของเรา อยู่ในพื้นที่ของเรา ไม่ไปเบียดเบียนใคร ทำร้ายใคร ต่างคนต่างอยู่ สบายใจดีกว่าเคยเจอคำคอมเมนต์เยอะมาก ทั้งด่าว่าบ้า ทั้งบอกว่าเลอะเลือน แต่เราเชื่อว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เราไม่ได้โกหกใคร เราเห็นแบบนั้นเราก็บอกแบบนั้น ให้เราพูดอีกกี่ครั้งก็เห็นแบบนั้น เราก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าอยากจะพูดแบบนั้นก็พูดไป แต่เราต้องให้คุณค่าน้อยที่สุด เพราะถ้าเราให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้นมาก เราจะไม่เชื่อในตัวเอง และการที่เราไม่เชื่อตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง มันจะทำให้คุณอยู่บนโลกนี้ไม่ได้การที่คนอื่นเค้าจะเชื่อเราได้ มันต้องเริ่มจากที่เราเชื่อตัวเราเองก่อน เราต้องไม่หลอกตัวเองก่อน การเห็นผีในแต่ละครั้งของอุ๋มอิ๋ม ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วบอกเลย เราจะดูแล้วหันข้าง หันกลับไปใหม่ หันมองอย่างอื่นไม่สนใจแล้วก็หันกลับไปอีก 3 ครั้ง พอมั่นใจแล้วว่าใช่แน่ อุ๋มอิ๋มถึงจะคุยจะบอก หรือสื่อสารกับเค้า”ทำไม ตุลาคม ถึงเป็นเดือนที่อุ๋มอิ๋มงานเยอะเป็นพิเศษ“จริง ๆ ต้องบอกว่า ทฤษฎีเดือนตุลา มันมีนะคะ เพราะมันเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง แล้วมันเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี เหลืออีกแค่สามเดือน ถ้าอยากทำอะไรฉันต้องทำตอนนี้ แล้วมันก็มีเรื่องของการย้ายตำแหน่งของดวงดาว ตามหลักดาราศาสตร์ และพ่วงกับหลักโหราศาสตร์ ที่ดวงมันมีการเปลี่ยนแปลงแล้วตุลาคม ก็เป็น เดือนฮาโลวีน ในวันฮาโลวีน ผีมีเยอะกว่าปกติ เรื่องอุบัติเหตุที่มักเกิดในคืนวันฮาโลวีน ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่ามันมีหลาย ๆ คดีเลย ที่เกิดในคืนวันฮาโลวีน ซึ่งถ้ามองทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นเพราะประมาทก็ได้ แต่ถ้าให้มองในมุมมองของคนเห็นผี เรามองว่าสิ่งลี้ลับเค้าจะไปอยู่ตามที่อโคจร ที่ที่เป็นแหล่งรวมสิ่งไม่ดี แล้วเค้าก็พยายามไปกระตุ้นเวลาที่เราเผลอ เราประมาท เค้าพร้อมเล่นหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องมีสติ จะไปเที่ยวหรือสังสรรค์ก็ต้องมีสติ จะเมาก็ต้องมีสติ พอถึงเวลาถ้ามันเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นเราก็รอด แต่ถ้าเรามาทิ้งตัวเลย หมายความว่าเราใช้ชีวิตประมาท ต่อให้เราอยู่บ้านมันก็เกิดอุบัติเหตุได้ แล้วในคืนฮาโลวีน เป็นคืนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังงานลดน้อยครึ่งหนึ่ง ดังนั้นต้องมีสติอยู่กับตัวเรา และ วิถีทางที่เราฝึกมาตลอดเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา มันจะมีประโยชน์ การที่เราฝึกสวดมนต์นั่งสมาธิมา มันจะมีประโยชน์แล้ว เพราะจิตเราถูกฝึกมา ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะมาทำให้จิตหลุด จิตที่ได้รับการฝึกมันจะนิ่งด้วยตัวมันเอง”เพศของคน มีส่วนเกี่ยวกับกรรมที่เคยกระทำไหม?“อุ๋มอิ๋มเชื่อว่ามีส่วนนิดหน่อย หนูเคยได้ยินเรื่องราวที่ว่า การเกิดเป็นเพศนี้เพราะมีกรรมแบบนี้ แต่ส่วนตัวหนูไม่เชื่อนะ หนูแค่รู้สึกว่ามันมีมากกว่านั้น มันไม่น่าจะมีแค่นี้หนูว่ามันยังมีเรื่องของบุพกรรม หรือกรรมที่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่ที่ดึงดูดให้ลูกมาเกิด แล้วก็เรื่องดวงจิตมีเพศหนูเชื่อมาก ๆ เลย เพราะอย่างคนที่เป็น LGBTQ+ มีหลายแบบ บางคนเป็นผู้ชายแต่เค้ามีดวงจิตผู้หญิง มันคือจิตวิญญาณเค้าตั้งแต่เกิด ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เพราะว่าจะให้คุณทำเทสกี่เทส ผลมันก็จะมีแนวโน้มไปทางผู้หญิง แล้วจิตวิญญาณแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางทีเราเห็นเด็กน้อยเดินมาแล้วคุณพ่อคุณแม่จะชอบถามว่า เค้าจะเป็นไหมคะ เราก็บอกว่า ไม่ว่าเป็นอะไรเค้าก็เป็นคนดีนะคะ คุณแม่ไม่ต้องคิดมาก เรามองก่อนว่าอันไหนมันเป็นความสุขของลูกเราคุณแม่ก็ปล่อยไป เด็กเค้าจะรู้ได้ตั้งแต่เกิดเลยเพราะจิตวิญญาณเค้ามันมาตั้งแต่เกิด แล้วเค้าจะรู้ว่าเค้าอยากทำอะไร อย่างเพื่อนของอุ๋มอิ๋มนี่คือใส่ผมตั้งแต่เด็กอนุบาล แล้วคุณแม่ของเค้าก็รักเค้ามาก เติบโตมาเค้าก็เป็นคนดีมาก ๆ แล้วก็มีอนาคตที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ”แก้ได้ไหม ถ้าทำยังไงก็ไม่มีแฟนสักที?“แก้ได้ค่ะ แต่ต้องยอมรับความจริงด้วยนะ เวลาที่มีหมอดูทักว่าดวงไม่มีแฟนแน่นอน ให้ถามเค้ากลับค่ะว่า แล้วทำยังไงให้หนูมี เพราะการที่เราจะเป็นหมอดูได้ เราต้องแก้ให้เค้าด้วย แล้วถ้าหมอดูบอกว่าต้องไปแก้แบบนี้ ๆ ให้ถามเค้าต่อด้วยว่า แล้วถ้ามี มันจะไปส่งผลกับกรรมอะไรไหม มันจะทำให้เราต้องเจอเรื่องแย่รึเปล่า เราก็ต้องถามแบบละเอียดนิดนึง แล้วเราต้องกลับมาพิจารณาว่า วิธีการเลือกคนที่เข้ามาในชีวิต คุณจะเลือกยังไง ถ้าวันนี้เราคบกันไปแล้ว เรารู้สึกว่ามีแต่เราที่อดทน อันนี้เราโทษดวงไม่ได้ ต้องโทษตัวเราเองเวลามีคนมาถามว่าคุณอุ๋มอิ๋มคะ ทำยังไงให้หนูมีแฟน เราก็จะสแกนก่อนว่า สเป็กสูงรึเปล่าถึงไม่มี หรือว่าโลกส่วนตัวสูงรึเปล่า แล้วเราก็ถามก่อนว่าเคยมีคนมาชอบบ้างไหม ถ้าเคยมีแล้วทำไมถึงหยุดคุยกันไป ต้องดูว่าเป็นพฤติกรรมของเค้ารึเปล่า ถ้าเป็นพฤติกรรมก็ต้องแก้ที่ตัวเค้า แต่ถ้ามีอีกคนสวยมากแต่ไม่มีใครมาจีบเลย เคสนี้ก็อาจจะมีวิญญาณอะไรรึเปล่า เราก็จะบอกให้เค้าลองไปขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูไหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เค้าเชื่อ ซึ่งแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน แต่พอได้ไปขอพรมันจะทำให้จิตเปิด และจิตสั่งกาย เปิดให้ตัวเองพร้อมรับคนที่จะเข้ามาใหม่ แล้วเราก็จะทำให้ตัวเองสวยขึ้น ดูดีขึ้น ที่เหลืออยู่ที่การกระทำของเราแล้วค่ะ ว่าเราจะเจอคนแบบไหน เราไปในที่ที่ดีเราก็จะเจอคนที่ดี เราไปในที่ที่ไม่โอเคมันก็ไม่โอเค แล้วสุดท้ายแล้ว ต่อให้เราไปในที่ที่ดี แต่เราเลือกไม่ดีมันก็เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนกำหนดต่อจากนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความโชคดีของเทพยาดาฟ้าดินทั้งหลายที่เค้าให้ได้คือ โอกาส แต่ถ้าเราทิ้งโอกาสเหล่านั้น มันก็อยู่ที่ตัวเราแล้ว เราต้องพิจารณาให้ดี อย่าเลือกสิ่งที่ชอบอย่างเดียว แต่บางครั้งเราต้องเลือกสิ่งที่ใช่บ้าง”ถ้าต้องไปพักต่างที่ ทำยังไงไม่ให้เจอผี?“สมมติเป็นโรงแรม ซึ่งโรงแรมเราเลือกไม่ได้ ห้องก็เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไปถึงให้เปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดทุกอย่างที่มันจะทำให้อากาศถ่ายเทสะดวกก่อน เพราะถ้าห้องชื้น รู้สึกอึดอัด มีกลิ่นเหม็น บอกเลยว่าดวงวิญญาณชอบอะไรแบบนี้มาก และถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งเสียในห้อง เช่น แอร์ น้ำร้อน หลอดไฟ ให้รู้ไว้เลยว่ามีแน่ ๆ แล้วเวลาเข้าไปในห้องเราจะรู้สึกว่าอันตราย ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ดังนั้นให้เปิดทุกอย่างเลย จนกว่าเราจะรู้สึกว่าห้องโปร่งแล้ว ถ้ามีน้ำหอมฉีดได้เลย พออากาศถ่ายเทเราจะสบายใจ จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มี เอาออกมาให้หมด แต่อย่าใส่ไว้ที่คอให้วางไว้ที่หัวนอน จุดที่สามารถมองเห็นได้ทุกบริเวณ 180 องศา เพื่อที่เราจะได้นอนกันแบบสันติ แล้วเราก็พนมมือสวดมนต์หน่อย สร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองหน่อย แล้วก็บอกว่าขอนอน 1 คืนนะ บางคนถามว่าต้องเอาเงินไปซื้อที่ไหม จริง ๆ ไม่ต้อง แค่อธิษฐานจิตบอกเค้าตรง ๆ ว่าขอนอนแค่หนึ่งคืนนะ แล้วก็ต่างคนต่างอยู่เราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แล้วถ้าบางคนโอเคกับการที่จะเปิดทีวีทิ้งไว้ เปิดได้เลยเพราะว่าคลื่นของทีวี มันจะไปแทรกทำให้เค้าปรากฎตัวไม่ได้ เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วปิดเสียงเอา แล้วก็หรี่แสงสว่าง แล้วเราก็นอน แต่ถ้าปลอดภัยที่สุดก็คือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยแล้วสวดมนต์ด้วยก็โอเคแล้วค่ะ”ชีวิตที่ถูกเลือก สู่การเป็นร่างทรงเห้งเจีย“หนูไหว้ทั่วประเทศไทยเลย หนูชอบทุกศาลที่เป็นศาลอากง เพราะหนูถือว่าอากงนี่เป็นไอดอลเลย แล้วหนูต้องบอกก่อนว่า หนูไม่ได้บอกให้ทุกคนมาเชื่อเหมือนหนู แล้วก็ไม่อยากให้ใครมาบอกเราว่าเราต้องเชื่ออะไร อย่าไปถามคนเห็นผี หรืออย่าไปถามหมอดูว่า เรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรอยู่กับตัว ใครคุ้มครองเรา อย่าไปตามหาค่ะ คุณต้องรู้ด้วยตัวเอง เพราะว่าเค้าคือคนที่จะมาเป็นความเชื่อของคุณ มันต้องมีสิ่งพิสูจน์ใจกัน เหมือนที่อากงพิสูจน์กับอุ๋มอิ๋ม ไม่ว่าเราจะขออะไร ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่ากรรมของเราแล้วอากงช่วยได้ อากงจะช่วยเสมอ แล้วเค้าจะช่วยด้วยหลักเหตุผลว่าสมควรที่จะได้ในเวลานี้ไหมความศรัทธาในอากงเห้งเจีย เริ่มต้นมาจากเราไม่รู้เลยว่ามีไซอิ๋วอยู่ในโลกนี้ แล้วคุณพ่อคุณแม่เวลาพาไปไหว้ศาลเจ้าก็จะมีแค่เจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู ประมาณนี้ แล้ววันที่อากงมา เค้าก็เป็นลิงเลย แล้วเค้าก็มาตีลังกาอยู่บนตัวเรา แล้วก็เอากระบองชี้หน้าแล้วก็บอกว่า เดี๋ยวจะมาอยู่ด้วยแล้วนะ เราก็อึ้งว่าเพราะช่วงนี้ดูไซอิ๋วรึเปล่า ก็ไม่ได้ดูนะ เราก็ถามตัวเองว่าแล้วเค้าจะมาทำไม รอบแรกเราก็บอกว่าเราไม่เชื่อหรอกนะ ถ้าอากงมีจริงต้องมาอีกรอบสิ แล้วอากงก็กลับมาบ่อยมาก จนเราเชื่อว่าอากงมีจริง แต่ก็สงสัยว่าอากงมาทำไม มาเพื่ออะไร ซึ่งอากงก็บอกชัดเจนว่า เค้ามาเพื่อสร้างสรรค์ เพื่อสร้างศรัทธา ทำให้คนที่กำลังจะหลงผิดให้กลับมาเป็นคนดี แล้วก็ให้เค้าเดินไปในทางที่ แล้วสิ่งที่อุ๋มอิ๋มได้พิสูจน์ต่อมาก็คือ อะไรที่อากงเตือนหรือบอกต้องพิสูจน์ได้ และมันมักจะเกิดตามวันเวลานั้นเลย ตั้งแต่อยู่กับอากงมา เราก็เห็นทุกอย่างที่อากงพยายามพิสูจน์ให้เราเห็น แล้ววิธีการสอนของอากงนี่คือฮาร์ทคอร์มาก คือเค้าจะบอกเลยว่าอันนี้มันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แล้วจะไปทนทำไม แต่ถ้าเลือกแบบนั้นมันก็เป็นกรรมที่ลื้อเลือก ลื้อก็ทนต่อไป ลื้อก็ต้องยอมรับ ต่อให้เราจะอกหักผิดหวังร้องไห้เสียใจ แต่พอมันผ่านมาปุ๊บ อากงก็จะบอกว่าเป็นไงล่ะ เจ็บมั้ย จะเลือกเค้าอยู่ไหม อากงจะสอนให้เราคิดเป็นค่ะ”มุมมองจากคนเห็นผี ที่อยากบอกคนที่ยังมีชีวิตอยู่“อุ๋มอิ๋มอยากให้ทุกคนเชื่อในเรื่องของจิตสุดท้ายของชีวิต อยากให้ฝึกกำหนดจิตกันตั้งแต่วันนี้เลย จะเป็นการท่องนะโมก็ได้ หรือจะเป็นการกำหนดลมหายใจก็ได้ ให้เรามองเห็นอะไรที่เป็นแสงสว่าง ให้เรานึกแต่สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้น ที่เราเคยทำไว้ แล้วเมื่อวันหนึ่งที่เราจะจากโลกนี้ไป จิตเราจะไปอยู่ในที่ ๆ ดีเอง เลิกที่จะยึดติด ยึดติดความสัมพันธ์ ยึดติดสิ่งของ ยึดติดทุกอย่างที่เป็นความโลภ ทุกอย่างที่เป็นราคะ ทุกอย่างที่เป็นโมหะ ทุกอย่างที่มันจะทำให้จิตของเราต่ำลง แล้วก็พยายามฝึกให้เราเป็นกลางให้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องแบบสุดโต่งไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราต้องเป็นมนุษย์ที่อยู่ในทางสายกลางให้ได้ เพราะว่าการที่เราสุดโต่งไปอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็เป็นกรรมได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเราอยู่ตรงกลาง เราจะมีโอกาสที่เราจะหลุดไปในจุดที่ดีง่ายกว่า เพราะว่าเรามีเหตุและผล เราคิดเป็น เรามีสติแล้วเราก็รู้ว่าจะพิจารณาสิ่งนั้นยังไง โดยที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเราและผู้อื่น เพราะฉะนั้นต้องฝึกค่ะ และเราต้องมีสติมาก ๆ ชั่งใจชั่งการกระทำของเราอย่าคิดแต่จะทำอะไรด้วยอารมณ์ อย่าคิดว่าเราเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่ถูกที่สุด เราผิดได้ ทุกคนก็ผิดได้เช่นกัน ดังนั้นต้องฝึกนะคะ” - อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวลี้ลับ พร้อมรับข้อคิดพลังใจ จาก “ส้ม มัลนิการ์” สาวตาทิพย์ กับสัมผัสสุดพิศวง

30 ต.ค. 2024

เปิดเรื่องราวลี้ลับ พร้อมรับข้อคิดพลังใจ จาก “ส้ม มัลนิการ์” สาวตาทิพย์ กับสัมผัสสุดพิศวง

“อยากให้เชื่อมั่น และอย่ารังเกียจในสิ่งที่เป็นตัวเอง เหมือนคุณเป็นต้นมะละกอ ก็อยากให้ตั้งใจเป็นมะละกอที่ออกผลได้อร่อยที่สุดดีกว่า หาจุดดีของเราให้เจอ และอยู่กับจุดดีนั้น อย่างมีความสุข”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ส้ม มัลนิการ์” สาวตาทิพย์ ที่สามารถมองเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก สู่การเป็นหมอดูที่โด่งดังชั่วข้ามคืน จนต้องจองคิวกันข้ามปี แต่กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของเธอผ่านบททดสอบมาหลากหลายด่าน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนรอบตัว หรือคนในสังคม เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส กับเซ้นส์ที่สามารถเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก“อย่างที่หนูเคยเล่าในหลายรายการคือ หนูจำได้ว่าก่อนที่จะมาเกิด เราอยู่ที่หน้าผา แล้วเรากระโดดลงมาเกิดเป็นคนนี้ ก่อนจะมากระโดดหน้าผา หนูเหมือนอยู่ในห้องที่ถูกจัดไฟแสงสีเอาไว้ดีมาก แล้วเป็นเหมือนสวนดอกไฮเดรนเยียร์ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยเหมือนท้องฟ้าหน้าหนาว แต่ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าตัวหนูร้อน เหมือนใจมันร้อนรนจนหนูอยู่ไม่ได้ หนูอยากไปทำประโยชน์ อยากไปสู่ที่ใหม่ที่ทำประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก แล้วก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดว่า รู้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองต้องไปทำประโยชน์ ยอมไปแล้วใช่ไหม หนูก็บอกว่ายอมแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดภาพตอนที่หนูมายืนอยู่ตรงทางเดินที่ไปหน้าผา แต่ความทรงจำแรกในการเห็นผี ก็คือจำได้ว่าเด็ก ๆ เราเล่น หรือเราเห็นคนเดินอยู่ริมถนน แต่คนอื่นเค้าไม่เห็น แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยมากอย่างตอนนั้นหนูอยู่บ้านกับพี่สาว แล้วพี่สาวก็งงว่าเราเล่นกับใคร หนูก็บอกว่านี่ไงคะเพื่อนหนูเต็มบ้านเลยไม่เห็นเหรอ เพื่อนหนูใส่สังวาลคาดแบบสองข้าง นุ่งโจงกระเบนสีส้มออกทอง ๆ แล้วมีคนใช้เต็มบ้านไปหมด ซึ่งพี่สาวก็งง เพราะว่าไม่เห็นใครเลยนอกจากเรา จนมารู้ตอนโตว่าที่บ้านเลี้ยงกุมารทอง แล้วคุณลุงเค้าก็จะซื้อบริวารไปตั้งไว้ให้ด้วยคือครอบครัวฝั่งคุณพ่อจะมีเซ้นส์กันหมดเลย ยกเว้นคุณป้าคนเดียว ส่วนพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทุกคนมีเซ้นส์หมดเลย รวมถึงหนูแต่ของหนูมันพิเศษตรงที่ หนูเหมือนได้เซ้นส์จากฝั่งคุณแม่มานิดนึง คือทวดของฝั่งคุณแม่ท่านมีเซ้นส์ในการจับพระเครื่อง จับวัตถุมงคลแล้วหนูไม่เคยรู้มาก่อน พอคุณแม่มาเห็นหนูจับพระให้คนอื่น แล้วดันเป็นท่าเดียวกับคุณปู่ของเค้า แม่ก็เลยตกใจถามหนูว่าทำเป็นได้ยังไง แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่าฝั่งแม่ก็มี แต่หลัก ๆ เซ้นส์จะมาจากคุณพ่อ คุณพ่อจะเห็นผี และรู้ตั้งแต่ก่อนหนูจะคลอดออกมาว่าเด็กคนนี้จะมีเซ้นส์ คนนี้จะพิเศษกว่าคนอื่น เด็กคนนี้จะมีชื่อเสียงในอนาคต ทำให้คนที่บ้านจะคอยกล่อมมาตั้งแต่เด็กว่าต้องใช้ชีวิตให้ดีนะ ทำตัวดี ๆ นะ โตไปเธอต้องนิสัยดีนะ เพราะเธอจะมีชื่อเสียงมาก ๆ หนูก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่หนูจะเป็นดาราเหรอ หน้าตาหนูก็ไม่ได้ดี ก็คิดว่าเดี๋ยวเราคงไปเป็นนักร้องมั้ง ก็คิดมั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ มันมีจุดพลิกที่ทำให้เรามาอยู่ในจุดที่มีคนรู้จักจริง ๆ ก็เลยเข้าใจในสิ่งที่เค้าบอกมาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่เค้าพยายามประคบประหงมให้เราอยู่ในร่องในรอย เพราะพอหนูโตขึ้นมันเป็นตามที่เค้าบอกหมดเลยเวลาหนูเห็นผี หรือสัมผัสวิญญาณในตอนเด็ก ๆ คุณพ่อจะเป็นที่ปรึกษาแรก และเป็นที่ปรึกษาเดียวด้านเซ้นส์มาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ท่านจะให้นั่งสมาธิ และพ่อก็จะคอยปรามคอยเตือนว่าเวลาเห็นอะไรอย่าทักไปเรื่อย ให้มันเป็นความลับของเรา เราเห็นกันสองคน ห้ามบอกใครข้างนอกว่าเราเห็น จะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กค่ะ”มองเห็นผี แต่เป็นคนกลัวผี“หนูกลัวผีมาก อย่างเรื่อง ธี่หยด หนูเคยไปเจอผีหน้าโรงหนัง ที่เค้าแต่งตัวแล้วเดินมาหา ด้วยความที่คำว่าคนเห็นผีมันค้ำคอ หนูก็ต้องทำเป็นว่าหนูไม่กลัว แต่จริง ๆ คือหนูกลัว ทำไมแต่งเหมือนขนาดนี้นะ ที่กลัวเพราะในชีวิตจริงผีที่ส้มเห็น มันไม่มีเพลงหรือจังหวะที่เร้าใจดังมาก่อนเหมือนในหนัง มันไม่ได้มีสัญญาณเตือนว่าผีกำลังจะมา ในตอนเจอมันจะไม่รู้ตัว แต่ว่าหลังจากเจอเสร็จแล้ว มันจะรู้ตัวว่า นี่เราโดนผีหลอกเหรอ แต่ในหนังมันเร้าอารมณ์ หนูเลยมองว่าผีในหนังมันน่ากลัว มันมีความเร้าอารมณ์ซึ่งผีที่หนูเห็นในชีวิตจริงมีหลายรูปแบบมาก บางทีหนูเรียกว่าศพเดินได้ มันมีทั้งสวย ทั้งเป็นเทวดา ทั้งเป็นวิญญาณตายโหง แล้วบางตนก็มาสื่อสารเพื่อให้เราช่วยเหลือ แล้วก็พยายามทำให้เรารู้ถึงความทรมานที่เค้าเป็น ซึ่งไม่ใช่ทุกเคสที่หนูจะช่วยเค้าได้ แล้วบางวิธีการที่เค้าอยากให้เราช่วย บางครั้งมันไปกระทบกับเรื่องของคดีความ หรือมันไปกระทบกับบุคคลอื่น ๆ ซึ่งหนูไม่สามารถมีอำนาจอะไรที่จะไปช่วยเค้าได้ มันก็เลยทำได้แค่บอกว่า เดี๋ยวหนูทำบุญให้นะ แล้วจบลงแบบนี้เกือบทุกครั้งไปค่ะ”เมื่อการเห็นสิ่งลี้ลับ เริ่มมีผลกับการใช้ชีวิต“การเห็นผีมันเริ่มมีผลกับการใช้ชีวิตก็ตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ มันเป็นยุคที่เรากำลังใช้ชีวิตสนุกสนาน แล้วเราอยากเป็นคนธรรมดา เป็นวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตเต็มที่ แต่การเห็นผีมันทำให้เราถูกเพื่อนบอยคอต ทำให้เรารู้สึกว่าเราผิดแปลก แล้วก็ทำให้เพื่อนมองว่าเราบ้า เพื่อนจะบอกว่าเราเพ้อเจ้อ รวมถึงคุณแม่ของเราเอง คุณแม่ถือว่าเป็นคนสุดท้ายในชีวิตเลย ที่เชื่อหนูแม่เป็นคนที่นอกจากไม่เชื่อแล้วยังแอนตี้ด้วย แล้วคุณแม่ก็เคยพาหนูไปโรงพยาบาลทางจิตเวชเพื่อไปคุยกับหมอว่าลูกฉันบ้า ตอนนั้นหมอนั่งคุยกับหนูอยู่ชั่วโมงครึ่ง แล้วหมอก็หันไปหาคุณแม่บอกว่า น้องไม่ได้ผิดปกตินะคะ แต่คุณแม่กำลังพยายามยัดเยียดให้น้องผิดปกติ น้องแค่เซนซิทีฟ น้องเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว น้องอาจจะมีสมาธิสั้น แล้วน้องเป็นเด็กที่มีแผลในใจ ปมในใจเยอะมาก ๆ เอาตรง ๆ คือคุณแม่ก็เหมือนผิดหวังที่คุณหมอไม่ได้บอกว่าเราบ้า เพราะคุณแม่ฟันธงมาแล้วว่าเราบ้า เพราะว่าเราชอบพูดในสิ่งที่มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่หนูก็เข้าใจนะว่าคุณแม่ก็คงรัก อยากให้เราเป็นคนปกติธรรมดาที่สุด แล้วคุณหมอน่ารักมาก คือคุณหมอก็บอกว่าไม่เป็นไรนะลูก แม้หนูจะไม่มีใคร แต่หนูมีตัวหนูเอง ไม่มีใครเชื่อหนูไม่เป็นไร แต่หนูต้องเชื่อในสิ่งที่หนูเป็นนะ”สุดหลอน! ประสบการณ์โดนผีสาววิ่งตามมอเตอร์ไซค์“วันนั้นหนูไปเดินถนนคนเดินแถวมหาวิทยาลัย แล้วตอนกลับมันก็ดึกแล้ว ประมาณเที่ยงคืน ซึ่งพี่ที่เป็นรูมเมทกันเค้าเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเราก็ซ้อน วันนั้นไม่รู้อารมณ์ไหน เค้าขี่ช้ามาก แล้วระหว่างทาง หนูได้ยินเสียงเหมือนสุนัขตะกุย มันคงมีเล็บยาวมาก ๆ เพราะมันมีเสียงเล็บข่วนถนนกำลังวิ่งตามมาแบบติดเทอร์โบ ตอนนั้นก็นึกว่าโดนสุนัขวิ่งไล่ เลยบอกรูมเมทว่าไปเร็ว ๆ หน่อย พี่เค้าก็มองทาง เค้าก็บอกว่าไม่มีอะไรนะ ถนนโล่งเลยลองหันไปดูสิ หนูก็เลยหันไป พอหนูหันไป หนูก็เห็นเป็นผู้หญิงผมกระเซิง ๆ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวใหญ่ ๆ ลายสก็อต แล้วก็ใส่ผ้าถุง ใบหน้าเค้าเหมือนโดนของแข็งฟาดมา ตาถลน มือเค้าก็เลือดออกไปหมด แล้วเค้าก็ตะกายตามเราแบบน่ากลัวมาก เห็นอย่างนั้นหนูก็เลยบอกพี่ขี่เร็ว ๆ หน่อยหนูกลัว เค้าก็ตกใจว่ากลัวอะไร จนรถไปถึงจุด ๆ หนึ่งที่หนูหันไปเจอศาลพระภูมิของบ้านหลังหนึ่งริมถนน หนูก็อาราธนาเลยว่า พระภูมิเจ้าที่ถ้ามีจริงช่วยหนูด้วย ขอให้กั้นอาณาเขตให้หนูที หนูไม่ได้ทำอะไรเค้า หนูไม่เกี่ยวกับเค้านะคะ พอหันหลังกลับไปหนูเห็นผู้หญิงคนนั้นเอามือคว้าข้อเท้าหนู แล้วมันวืดไป เหมือนเค้าคว้าเอาไว้ไม่ได้ มันเหมือนมีกระจกมาบังเค้าไว้ แล้วเค้าพยายามตะกายกระจกเหมือนสุนัขที่ยืนสองขาตะกายกำแพง มันไม่ใช่ท่าทีหรือกิริยาของคน หนูก็เลยบอกพี่รูมเมทว่าอยู่หอตัวเองไม่ได้แล้ว ไปห้องเพื่อนก่อน ก็เลยพากันไปหอเพื่อน พอไปถึงเพื่อนก็เล่าเรื่องผีให้ฟังว่า เมื่อเช้ารู้ข่าวไหม มีคนตายตรงสี่แยกนี้ สี่แยกที่พวกแกผ่านมา เห็นอะไรรึเปล่า ตอนนั้นหนูก็ยังไม่พูดอะไร หนูก็ถามว่าทำไมเหรอ มีอะไรเหรอ เพื่อนก็บอกว่าเมื่อเช้ามีพระบิณฑบาตแล้วเงยหน้าไปเจอศพผู้หญิงถูกแขวนคออยู่บนต้นไม้ใหญ่ แล้วใบหน้าก็คือเละหมดเลย หนูก็เลยถามว่า ผู้หญิงคนนี้ท้องมั้ย เพื่อนบอกว่าท้อง หนูเลยถามว่าแต่งตัวแบบนี้ไหม แล้วเล่าไปตามที่หนูเห็น เพื่อนก็ตกใจบอกว่า แกไปดูมาเหรอ เราบอกว่าเปล่า มันวิ่งตามมอเตอร์ไซค์มา แล้วตอนที่เล่าเราก็นั่งพับเพียบอยู่ จู่ ๆ เพื่อนก็ถามขึ้นมาว่า ไปโดนใครบีบข้อเท้ามา มันเป็นรอยเหมือนโดนข่วน เพื่อนก็ตกใจ หนูก็นึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเค้าคว้าขาหนู แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ผีทั้งหลอก ทั้งจะเอาชีวิต ทั้งทำร้ายร่างกายเรา หนูก็เลยกลัวแบบฝังใจเลย ทั้ง ๆ ที่หนูไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเค้าเลย แต่หนูคิดว่าเค้าน่าจะอาฆาตทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา เพราะเห็นเพื่อนบอกว่า เค้าเป็นต่างด้าวแล้วทะเลาะกับสามี ซึ่งตอนนั้นเค้าตั้งครรภ์อยู่ แล้วเหมือนกับว่าสามีเค้าเผลอพลั้งมือบีบคอ จึงพยายามอำพรางศพด้วยการทุบหน้า แล้วก็เอาแขวนบนต้นไม้ ให้เหมือนผู้หญิงคนนี้ฆ่าตัวตาย หนูก็เลยคิดว่ามันเป็นความแค้นที่เค้ามีบอกเลยว่านอกจากต้องการให้เราช่วยเหลือ บางครั้งเค้าอยากท้ายทายเราก็มี อย่างหนูไปถ่ายรายการ ก็จะมีหลาย ๆ เคสที่เราไปช่วย แล้ววิญญาณที่นั่นไม่ได้ต้องการให้เราเข้าไปก้าวก่าย หรือบางดวงวิญญาณไม่ได้รู้สึกดีที่เจอเรา และไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง เพราะว่าบางดวงวิญญาณเค้าอาจจะมีอิทธิพลกับคนในบ้านอยู่แล้ว เค้าได้เครื่องเส้นไหว้อยู่แล้ว หรือบางดวงวิญญาณเค้าอยู่ตรงนี้มานาน เค้าไม่ยอมไปไหน ซึ่งดวงวิญญาณส่วนใหญ่เค้าจะรู้ว่าคนไหนเห็นหรือไม่เห็นเค้า เพราะคนที่เห็นมันจะมีออร่า ซึ่งบางทีหนูก็พยายามไม่มองเค้า หนูจะทำตัวปกติมาก ไม่ทอดสายตาไปที่เค้า แต่เค้าก็จะรู้อยู่ดีว่าเราเห็น”คนอื่นไม่เชื่อไม่เป็นไร ขอแค่คุณแม่เข้าใจก็พอ“หนูว่าปมในชีวิตหนู ที่ทำให้หนูรู้สึกแย่กับตัวเอง คือคุณแม่ ที่ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อว่าเราเห็นผีหรือมีเซ้นส์ แต่เป็นความไม่เชื่ออะไรเลยในตัวเรา เช่น ไม่เชื่อว่าเราทำได้ ไม่เชื่อว่าเราไม่ได้ทำ ไม่เชื่อว่าเราไม่ผิด ไม่เชื่อว่าเราเป็นคนดีกว่าที่เค้าคิดนะ หนูเชื่อว่าการที่ตัวเองเห็นผี มันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าเราไม่น่าเชื่อถือมันจะมีคำหนึ่งที่คุณแม่พูดกับหนูบ่อยมาก ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต คือคำว่า เพ้อเจ้อ เป็นคำด่าที่จี๊ดใจที่สุด ใครเดินมาพูดเพ้อเจ้อใส่หน้าหนู หนูร้องไห้ได้เลยนะ เป็นแผลในใจกับคำนี้มาก เพราะหนูรู้สึกว่าเราไม่ได้เพ้อเจ้อ เราเห็นจริง ๆ ทำไมไม่เชื่อเรา แล้วตั้งแต่เด็กจนโต เราเก็บความกดดันนี้เอาไว้ หนูเป็นคนที่ไม่ได้แชร์อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของตัวเองกับคนรอบข้างเลย จนได้มารักษาตัวกับคุณหมอที่โรงพยาบาล ถึงได้เริ่มกลับมาพลิกตัวเองใหม่หมดเลย เปลี่ยน Mindset เปลี่ยนวิธีการคิด เปลี่ยนกระบวนการการใช้ชีวิต ตั้งเป้าไว้เลยว่าฉันจะไม่เป็นคนที่รู้สึกแย่กับแม่ตัวเอง ทั้ง ๆ ที่แม่ทำทุกอย่างเพราะรักเรา แล้วทำไมสิ่งที่เราได้รับ มันคือความเจ็บปวด จนได้มีการจับเข่าคุยกับคุณแม่ว่า จากวันนี้ไป หนูจะไม่เป็นคนที่พูดตามใจแม่ จะไม่เป็นคนที่พูดในสิ่งที่แม่อยากฟังอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาหนูเป็นอย่างงั้นตลอด เราเอาใจเค้ามาตลอด จนวันนึงเราต้องเอาใจตัวเองบ้าง เราต้องเอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้ง เราต้องเอาความสุขของตัวเองมาก่อน อันนี้คือคำที่คุณหมอบอก ไม่อย่างนั้นหนูจะไม่หายจากโรคนี้ ต้องบอกว่าการตัดสินใจว่าฉันจะต้องไปหาหมอ และรับยา มันเป็นเรื่องที่ก้าวข้ามยากมาก เพราะเรามีความฝังหัวว่า คนที่ไปหาหมอจิตเวชคือคนบ้า รับยามากินยังไงก็บ้า หนูต้องรวบรวมความกล้าเยอะมากแต่หนูก็ทำมันได้มันมีสองเหตุการณ์ที่หนูรู้สึกว่าแม่เริ่มยอมรับในสิ่งที่เราเป็น เหตุการณ์แรก คือเป็นวันที่คุณยายของหนูจะเสีย วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ แล้วหนูบอกแม่ว่า หนูขอพูดอะไรที่แม่ไม่เชื่ออย่างหนึ่งได้ไหม ซึ่งแม่เค้าก็เหมือนทำใจไว้แล้ว ก็เลยบอกว่าพูดมาแม่จะฟัง หนูก็บอกว่า หลังวันพระใหญ่สามวัน ตอนแสงสีทอง ยายจะไม่อยู่แล้วนะ แล้วหลังจากนั้นผ่านไปสามวัน คุณยายก็เสียจริง ๆ ตอนแสงสีทองพาดผ่านหัวคุณยายขึ้นไปบนฟ้า ซึ่งแม่ก็เพิ่งเห็นและเชื่อว่าน้องส้มมีเซ้นส์จริง ๆ แม่พูดแบบนี้ในรถกับหนูครั้งแรก แล้วหนูก็ตกใจกับอีกเหตุการณ์คือ พี่โน้ส อุดม แต้พานิช เป็นคนที่แม่ชื่นชอบ แต่แม่ไม่เคยรู้เลยว่า เฮียเค้าก็เชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วหนูก็ได้มีโอกาสไปทำงานกับเฮีย หนูก็เล่าให้แม่ฟังว่า เฮียเค้าถามเรื่องความเชื่อ เรื่องดวง เรื่องผี กับหนูด้วยนะ แล้วเฮียเอาเรื่องที่หนูเห็นผีไปเล่าในเดี่ยว ทั้งเดี่ยว 13 แล้วก็เดี่ยว 14 ตั้งแต่นั้น พอแม่เค้าได้เข้าไปฟังด้วยตัวเองว่าเฮียพูดถึงลูกเค้า แม่ก็เลยเริ่มเชื่อ เพราะแม่เค้ารู้สึกว่า ขนาดคนที่เค้าเห็นเป็นไอดอลยังเชื่อลูกเค้าเลย จากนั้นมันก็จะเริ่มมีดารา หรือคนใหญ่คนโตที่แม่ก็รู้จัก หรือเห็นตามทีวีบ่อย ๆ มาดูดวงกับเรา แล้วแม่เห็นวิธีการของหนูว่าไม่ได้พาคนงมงาย แม่ก็เลยเชื่อจนทุกวันนี้ เวลามีอะไร จะเปิดร้าน จะทำอะไร แม่ก็คือปรึกษาหนูทุกเรื่อง จนกลายเป็นที่พึ่งของแม่ไปแล้ว”จากคนเห็นผี สู่การเป็นหมอดูที่ดังชั่วข้ามคืน“การดูดวง ต้องบอกก่อนว่าหนูทำเพราะมันเป็นเหมือนกับการโดนบีบบังคับจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น เท่าที่หนูนับไว้ หนูเคยทำอาชีพมา 32 อย่าง ในช่วงอายุแค่ 23 ปี แต่ก็ยังไม่เจอทางที่เราจะทำอาชีพไหนแล้วประสบความสำเร็จ จนวันหนึ่ง พี่บอย สินเจริญ เอาเรื่องของส้มไปเล่าในรายการเดอะโกสท์เรดิโอ แล้วมันทำให้ส้มกลับมามีชื่อเสียง แต่ช่วงก่อนหน้านั้น ส้มเริ่มรับดูดวง เพราะส้มไม่รู้ว่าส้มจะทำงานอะไร เราสมัครอันนี้ไปเราไม่ถึงเดือนเราก็ลาออก มันเหมือนเราอยู่ไม่ได้สักที่เลยที่อยู่ไม่ได้เพราะบางที่ถูกเอาเปรียบ บางที่คุยอย่างหนึ่งแต่ให้ทำอีกตำแหน่งหนึ่ง บางที่เข้าไปแล้วเรารู้สึกไม่โอเคกับงานเราก็ลาออก จนเริ่มสงสัยว่าเป็นความเหลาะแหละ หรือว่าเป็นความไม่เอาไหนรึเปล่า จนพี่บอย สินเจริญ พูดถึงส้มในรายการ หลังจากนั้นคนรู้จักส้มมากขึ้น คิวดูดวงส้มมากขึ้น กลายเป็นหมอดูที่ดังในชั่วข้ามคืนที่หนูมายึดกับการดูดวงเพราะว่ามันเป็นอาชีพที่หนูทำแล้วหนูรู้สึกว่าหนูได้ช่วยคน ต่อให้หนูได้เงิน แต่เงินนั้นหนูจะแบ่งบางส่วนเอาไปช่วยเหลือสัตว์พิการ สัตว์ยากไร้ คนยากไร้ หรือช่วยตามวัด ตามโรงพยาบาล โดยที่เราไม่ได้เอามาป่าวประกาศว่าเราทำอะไร หนูจะทำของหนูเงียบ ๆส้มดูดวงผ่านเซ้นส์เลย แต่หนูอาจจะมีตัวช่วยคือ ชื่อ นามสกุล และอายุปัจจุบัน เพื่อบอกอัตลักษณ์ เพราะว่าบางคนหนูเห็นหน้าหนูพูดได้เลย บางคนดวงไม่เปิด หนูต้องขอชื่อนามสกุลและอายุปัจจุบันเค้า เพื่อให้เป็นอัตลักษณ์ว่าเป็นดวงของคนนี้จริง ๆการดูมี 3 แบบเลยค่ะ ทั้งโทรศัพท์ได้ยินแต่เสียง แล้วก็มี VDO CALL มีดูดวงแบบเจอตัว แล้วก็มีดูสถานที่ แต่ดูสถานที่หนูจะไม่ได้ดูฮวงจุ้ยนะคะ หนูจะดูเป็นพลังงานว่า ที่นี่เจ้าที่เป็นยังไง วิญญาณเป็นยังไง เราอยู่ร่วมกับเค้าได้ไหม เราต้องจัดการยังไง เราต้องทำยังไงถึงจะอยู่ร่วมกับวิญญาณเหล่านี้หรือพลังงานเหล่านี้ได้”ดวง คืออะไร ถ้าอยากดวงดี ต้องทำยังไง?“ดวง คือผลของการกระทำ เค้าเรียกว่ากรรมนั่นแหละ กรรมมันเหมือนก้อนหินสัก 1 ก้อน แล้วคนเราทำกรรมหลาย ๆ กรรมรวมกัน จนเกิดเป็นถนนหนึ่งเส้น ซึ่งถนนเส้นนี้เรียกว่าดวง เราจะอ่านดวงได้จากกรรมที่เราทำไปแล้ว ซึ่งดวงไม่ใช่ถนนเส้นตรงนะคะ ดวงเป็นทางแยก ทางแยกนี้มีไว้ให้เราใช้กรรมใหม่ในปัจจุบัน คือการตัดสินใจของเรา และการเลือกของเรา พอเราเจอทางแยก เราอาจจะไปเจอถนนที่มันดีกว่า จากถนนหินเป็นถนนลาดยาง ซึ่งการแยกไป มันจะเป็นการเลือกใหม่ของตัวเราเองหนูเชื่อว่าถ้าคนเราเชื่อเรื่องดวง เราต้องเชื่อเรื่องการกระทำของตัวเองด้วย เพราะถ้าเราเชื่อแต่หมอดู เราเชื่อแต่สิ่งลี้ลับ เชื่อแต่ดวง เราจะกลายเป็นคนไม่มีแก่น แล้วเราจะใช้ชีวิตไม่เป็น เราจะใช้ชีวิตสะเปะสะปะ สุดท้ายเราก็จะโทษหมอดู หรือจะโทษคนนั้นคนนี้ถ้าอยากดวงดี ควรทำดี เพราะว่าดวงคือผลของการกระทำ ดวงมันไม่ได้มีอะไรวิลิศมาหรา ไม่มีอะไรไปแต่งเติม ดวงมันไม่ได้เป็นสิ่งอื่นเหนือธรรมชาติ มันอยู่กับวัฏจักรทั่วไป แต่เราไปนิยามและเรียกมันว่าดวงอย่างคนที่มาดูดวงกับส้มหลาย ๆ คน จะพูดว่า ส้มไม่เหมือนหมอดู ส้มเหมือนคนไกด์ไลน์ชีวิต เวลาดูดวงให้ใคร ส้มจะไม่ได้บอกว่า พี่ต้องทำอันนี้ แต่ส้มจะบอกว่า พี่ไม่ต้องรู้นะว่าทำไมพี่ต้องเจอเรื่องนี้ เพราะกรรมอะไร พี่ไม่ต้องรู้ แต่พี่ต้องรู้ว่าพี่จะแก้ยังไง รับมือกับมันยังไงดีกว่า เพราะว่าบางคน ถ้าอดีตชาติไม่ได้สัมพันธ์ หรือไม่ได้จำเป็นกับเค้า หนูก็ไม่บอกให้เค้ารู้”จงเชื่อมั่น และอย่ารังเกียจในสิ่งที่ตัวเองเป็น“หลายคนต้องเห็นผี แต่อาจจะไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เห็นอยู่ หนูจะบอกว่าให้เชื่อมั่นในสิ่งที่เป็น และอย่าไปรังเกียจในสิ่งที่เราเป็น เหมือนคุณเป็นต้นมะละกอ คุณตั้งใจเป็นมะละกอที่ออกผลได้อร่อยที่สุดดีกว่า คุณอย่าไปรังเกียจตัวเองส้มเคยอยู่ในจุดที่รังเกียจสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้วก็ไม่ยอมรับ แล้วส้มรู้ว่าเป็นการกระทำ และการตัดสินใจที่พลาดและโง่ที่สุดในชีวิต คนอื่นไม่ให้เกียรติเรา ไม่เชื่อเรา หนูว่ามันเจ็บนะคะ ดังนั้นเราต้องเชื่อตัวเอง เราต้องให้เกียรติตัวเอง ในเมื่อเรามีพรสวรรค์แล้ว ให้เราหาจุดดีของมันให้เจอ ไม่มีเรื่องไหนที่มันมีแต่ข้อดี หรือมีแต่ข้อเสียหรอก ทุกเรื่องมันมีสองด้าน หรือมากกว่าสองด้านทั้งนั้น หามาสักมุมหนึ่งที่เรารู้สึกสบายใจกับการเห็นเรื่องราวนั้น ๆ แล้วเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด และไม่สะเปะสะปะกับการตามหาตัวเองบางคนมีแก่นมาอยู่แล้ว เหมือนส้มเองที่มีเซ้นส์มาอยู่แล้ว แต่ส้มเคยแอนตี้เซ้นส์ตัวเอง แอนตี้แก่นของตัวเอง แล้วก็ไปไขว่คว้าอยากเป็นแม่ค้า ไขว่คว้าอยากเป็นพนักงานราชการ เพื่อเอาใจคุณพ่อคุณแม่ สุดท้ายแล้วส้มก็อยู่กับมันไม่ได้เลย สุดท้ายหนูไม่มีความสุขเลยอย่างการดูดวง มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีความทุกข์ เพราะมันเป็นงานที่รับความทุกข์ของคนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมีเรื่องทุกข์ใจก็มาหาเรา แต่ส้มก็ยังเลือกที่จะทำ เพราะหนูรู้สึกว่าหนูได้ช่วย บางทีหนูได้ช่วยคน บางทีหนูได้ช่วยประเทศชาติด้วยซ้ำ ในคำทำนายที่หนูให้เค้าไป หนูสามารถดึงให้คนไม่โกงกินบ้านเมืองได้ ซึ่งหนูรู้สึกว่าหนูแฮปปี้แล้ว”สีสันแรงบันดาลใจจาก ส้ม มัลนิการ์“สิ่งที่หนูอยากให้ทุกคนมีคือ ไม่ต้องฟุ้ง ไม่ต้องคิดเผื่อ ไม่ต้องไปแคร์ตัวเองในอดีต หรือไม่ต้องไปแคร์อนาคตเกินไป วันนี้ ตอนนี้ มีค่าที่สุดแล้ว คำว่าปัจจุบันของเรา มันสั้นกว่าการดีดนิ้วอีก เพราะฉะนั้นเราอย่าไปโฟกัสกับคำว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต หรืออะไรมากมาย แค่ทำให้มันเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้มันเป็นสิ่งที่เราทำอยู่จริง ๆอย่างบางคนอยากเป็นนักบิน แต่ปัจจุบันขายข้าวแกงอยู่ แล้วทำไมเราไม่ทำข้าวแกงที่อร่อย ๆ หรืออย่างส้มไม่อยากให้คนเรียกว่าหมอดูเลย จนสุดท้ายส้มได้เจอตัวเองว่า เป็นหมอดูแล้วทำไม เราจะเอาคำที่คนอื่นตัดสินเรา ความคิดคนอื่นที่ไม่รู้จักเรา และเค้าตัดสินเราผ่านประสบการณ์ของตัวเค้าเอง จะเอาความคิดเหล่านั้นมาตัดสินตัวเราทำไม นั่นไม่ใช่ตัวเราสักหน่อย เราก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แล้วก็หาจุดที่มีความสุขกับมันให้เจอ เกมหาความสุขนี้หนูเล่นกับมันมาได้หลายปีแล้ว จนหนูรู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตในแต่ละวันของเรามีความสุขนะ ต่อให้วันหนึ่งเราไปทำรายการผี แล้วโดนคอมเมนต์ไม่ดี ซึ่งจริง ๆ แล้วคนทำอาจจะไม่ได้แย่ด้วยซ้ำ แต่เค้าอาจจะพิมพ์ไปเพราะมีเหตุผลบางอย่าง ซึ่งแค่คำพูดมันแย่ แล้วเราจะไปแคร์ทำไม มันก็แค่การพิมพ์ ใคร ๆ ก็ทำได้ ส้มอยากให้อยู่กับสิ่งที่เรามีตรงหน้า แล้วมันเป็นปัจจุบันจริง ๆ มากกว่า” – ส้ม มัลนิการ์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์” ตัวแม่ผู้เปลี่ยนทุกความฝันให้เป็นจริง สู่เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ

25 ต.ค. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์” ตัวแม่ผู้เปลี่ยนทุกความฝันให้เป็นจริง สู่เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ

“ทุกคนอยากถึงเส้นชัยในการวิ่งแข่งเหมือนกันหมดแหละ ไม่ว่าใครจะถึงก่อนหรือหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าหยุดวิ่ง แม้เราจะถึงเส้นชัยทีหลังคนอื่น แต่ถ้าเราค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ วิ่ง ในที่สุดมันก็จะถึงเส้นชัยอย่างสวยงาม”ยังคงเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดของชีวิตของเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดปัง “บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์” เจ้าหญิงผู้เปลี่ยนความฝัน ให้เกิดขึ้นจริง สู่พิธีกรสุดแซ่บ นางแบบสุดเลิศ นักแสดงสุดบรรเจิด นางงามในดวงใจ พร้อมได้แชร์ทริคมูมงลงสไตล์บุ๊คโกะเอาไว้ในรายการด้วยเปิดที่มาของฉายา “เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ”“ต้องบอกว่าหนูเป็นเอ็กซ์ตร้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ เคยเป็นคนจัดรายการทีวีเล็ก ๆ น้อย ๆ จนวันหนึ่ง พี่ฉอด พี่เล็ก พี่นก และพี่ตั๋ง เรียกหนูมาทำเดโม่ ด้วยตอนนั้นคาแรกเตอร์ของหนูมันจัดจ้านมาก อาจจะไม่ดูเหมาะกับคาแรกเตอร์ แต่ว่าเอไทม์เค้าให้โอกาสคนที่มีคาแรกเตอร์ เค้าบอกว่า คุณจะมาแบบไหนก็ได้ขอให้มาทำเดโม่ก่อน แล้วหนูมั่นใจมาก วันที่มาทำเดโม่หนูก็เดินไปบอกพี่เล็กว่า หนูรู้สึกว่าหนูจะได้เป็นดีเจแน่นอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าที่หนูจะมา พี่เล็กเค้าหาคนมาเยอะมากเลย ซึ่งหนูได้เข้ามาทำงานดีเจคู่กับ พี่ต้นหอม พอสิ้นปีทีมงานก็โทรมาบอกว่า เราทำเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าจะได้ไม่ได้เป็นดีเจก็ไม่เป็นไรหรอก แล้วตอนนั้นหนูก็ยังอยู่ในกรมทหาร เพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้รับปริญญาเลย ก่อนวางสายหนูก็บอกว่าขอบคุณมากเลย ไม่เป็นไรค่ะพี่ แต่ปลายสายเค้าบอกว่า ดีใจด้วยได้ร่วมงานกัน ตอนนั้นหนูกรี๊ดแล้วร้องไห้เลย นั่งอยู่หน้าคอมแล้วกรี๊ด จนแม่นึกว่าไฟดูด ตั้งแต่วันนั้นมาถึงบัดนี้ก็ได้เป็นดีเจมายาวนานเลย ก็ต้องขอบคุณเอไทม์มาก ๆ ค่ะเจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ ฉายานี้หนูตั้งขึ้นมาเองเลย คือตอนที่หนูมาเป็นดีเจ ทีมงานก็จะมีการรวบรวมข่าวประจำปี แล้วก็จะมีเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงคือ พี่แอน ทองประสม เจ้าหญิงวงการตลก พี่ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน แล้วก็มีเจ้าหญิงวงการนั้นวงการนี้ แล้วหนูก็มาช่วงสิ้นปีพอดี หนูก็คิดว่า เจ้าหญิงวงการวิทยุมีไปรึยัง พอไปหาข้อมูลดูก็ยังไม่มี หนูก็นึกในใจตอนนั้นหนูก็นึกถึงพี่ฉอด ให้พี่ฉอดเป็นราชินีเถอะ เราเป็นตัวลูกเค้า ก็เป็นเจ้าหญิงแล้วกัน แล้วก็ใส่แฮชแท็กว่า #เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ ทำซ้ำ ๆ มา 25 วัน หลังจาก 25 วัน คนก็ติดฉายานี้เลย หลังจากนั้นก็ได้เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุมายาวเลย 16 ปีแล้วค่ะ”มูอย่างไรให้ปัง ตามแบบฉบับของบุ๊คโกะ“ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใครเชื่อแบบไหนเราก็ไม่ไปลบหลู่เค้า แต่ตามแบบฉบับของบุ๊คโกะ ชีวิตหนูเกิดมากับคนในครอบครัวข้าราชการ ครอบครัวคนพุทธที่ผูกพันกับการขอหวย การลูบต้นไม้ การไปถูหลังเต่า แล้วก็ลุ้นวันหวยออก เพราะฉะนั้นหนูอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เราชอบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก แต่บุ๊คโกะจะบอกทุกคนเสมอเลยเวลาเจอกันแล้วถามว่าทำไมปังจังเลย งานแน่นจังเลย หนูก็จะบอกว่า อย่างแรกเลยคือพระในบ้าน พ่อกับแม่ต้องกินอิ่มนอนหลับมีความสุขนะ ถ้าเกิดพ่อแม่อด ๆ อยาก ๆ ไปมูข้างนอกก็ไม่สำเร็จหรอก พ่อกับแม่กินอิ่มนอนหลับให้เงินพอใช้รึยัง เราต้องบูชาพระในบ้านก่อนหลังจากนั้นมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เราก็จะออกไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้พญานาค หรือเราอยู่วงการบันเทิงก็ไหว้พระพิฆเนศ แล้วก่อนที่เราจะไปขอ เราต้องให้ด้วย หนูเคยไปวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งหนูก็จะมีลูกสาวตามจังหวัดต่าง ๆ ก่อนไปหนูก็จะบอกลูกสาวว่า เธอไปวัดนี้ให้หน่อย ลองถามซิว่าวัดนี้เค้าขาดแคลนอะไร แล้วก็ถามว่าจุดบูชาที่เค้าจัดดอกไม้มีทั้งหมดกี่จุดในวัดนี้ ลูกสาวก็บอกว่ามี 10 จุดค่ะ หนูก็ไปสั่งจัดดอกไม้เลยทั้ง 10 จุด พอหนูไปถึงวัด ดอกไม้ก็จะไปวางเรียงรายสวยงาม หนูก็เข้าไปขอ หนูบอกว่าวันนี้หนูขอสิ่งนี้นะ แต่ว่าก่อนที่หนูจะมาหนูได้เอาความสวยความงาม เอาดอกไม้กลิ่นหอม ๆ มาถวายท่านเพื่อบูชาท่านก่อน เพื่อให้เห็นความตั้งใจว่าเราศรัทธาจริง ๆ อันนี้ก็คือความเชื่อส่วนบุคคล พอเราทำแล้วสบายใจ มันคือกฎแรงดึงดูดที่ฝรั่งเค้าเขียนหนังสือที่ว่า ถ้าจิตใจเราเชื่ออะไร เหมือนที่สมัยก่อนหนูกับแม่ตัดรูปบ้าน ตัดรูปรถ แปะรวมกันไว้ มันเป็นการทำให้เราคิดในใจว่า ถ้าฉันอยากมีแบบนี้ ฉันต้องทำงาน ฉันต้องลงมือทำ ถ้าบุ๊คโกะขอแล้วนอนอยู่บ้านเฉย ๆ รอให้ฝนตกมาเป็นเงิน มันก็ไม่มีทางเป็นจริง แล้วเราก็เอาความสามารถที่เรามี คือตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราตลก เรารู้สึกว่าเรามีความสามารถ เราก็เอาสิ่งเหล่านี้ไปแลกกับงานที่เค้าจะจ้างงานเรา มันก็เลยทำให้เราได้ในสิ่งที่เราอยากได้หนูยังมีลูกเทพอยู่นะ ทุกวันนี้หนูไปที่ไหน หนูจะเอาไปหมด แต่ว่าหนูไม่ค่อยเปิดเผยมาก กลัวคนล้อเลียน แต่หนูก็ยังมีอยู่นะ หนูไปนิวซีแลนด์ หนูก็อุ้มลูกเทพไปด้วย จนซีเอ็นเอ็น บินมาทำข่าวหนู มาทำข่าวลูกเทพ แต่ในตอนนั้นหนูก็ขอพรได้จริง ๆ นะ เพราะหนูมีความเชื่อไง หนูถึงบอกว่า ใครจะบูลลี่หนู หรือใครจะว่าหนูยังไงก็แล้วแต่ หนูไม่สนใจ เพราะว่าหนูทำแล้วหนูได้ แล้วหนูไม่เคยเลี้ยงตามกระแส ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ น้องชื่อ วันใส ก็ยังถวายน้ำแดงอยู่ตลอดเวลา น้องอยู่ในห้องพระนั่งอยู่ตรงพื้นนี่แหละ แล้วหนูอยู่คอนโดคนเดียว บางทีหนูอยู่ห้องพระ หนูสวดมนต์ก็มีผวาอยู่เหมือนกันนะ”สิ่งที่ทำให้บุ๊คโกะ ประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้“คือหนูรู้สึกว่าหนูมีความอ่อนน้อมถ่อมตน บางทีหนูเป็นคนที่เหมือนกล้านะคะ แต่ก็ไม่กล้าในบางเรื่อง แล้วเวลาเราเจอใครก็แล้วแต่ เราจะแบบยกมือไหว้บ่อย ๆ ไม่ใช่เราประดิษฐ์นะ แต่เรากลัวเค้าไม่เห็น ถ้าเกิดสมมติว่าเราสวัสดีไปแล้ว แต่คนที่เราสวัสดีทำธุระอยู่ แล้วเค้าอาจจะไม่เห็นหนู หนูก็เลยจะพยายามทักทายและสวัสดีบ่อย ๆอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ บุ๊คโกะสู้ บุ๊คโกะอดทน คนที่เก่งกว่าเราก็มี คนที่ดีกว่าเราก็มี แต่ว่าเวลาที่ผู้ใหญ่เค้าเลือก เค้าเลือกจากหลายองค์ประกอบ เค้าต้องมองว่าคุณสามารถอยู่กับส่วนรวมได้ไหม คือเรามองหลายองค์ประกอบ มันเลยทำให้รู้สึกว่า วันนี้เราอยู่ตรงนี้ได้ 16 ปี ก้าวสู่ปีที่ 17 เราไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มันต้องมีคนทั้งชอบเรา และไม่ชอบเรา อยู่ที่ว่าคนที่เค้าพูดถึงเรา เค้าจะพูดถึงในมุมไหน บางวันเราอาจจะกำลังร้อนมากเครียดมาก แล้วเราไม่ยิ้ม แต่ดันมีคนทักเราในวันนั้นพอดี อันนั้นเราก็ต้องกราบขอประทานโทษ คือคนเราเป็นมนุษย์ เราไม่ใช่ AI เรามีอารมณ์แบบนั้นจริง ๆ แต่หนูโชคดีที่เวลาคนเจอตัวจริง มักจะบอกว่าน่ารักจังเลย น้อยครั้งมาก ๆ ที่เราจะชักสีหน้า หรือว่าเราจะปฏิเสธการถ่ายรูปกับแฟนคลับ มันจะน้อยครั้งมากสำหรับบุ๊คโกะเมื่อก่อนหนูจัดรายการแทนคนอื่นบ่อยมาก บางครั้งแทนจนได้งานนั้นไปเลยก็มี เพราะเมื่อก่อนเวลาเราจ้างช่างแต่งหน้า เราเสียเงินแล้ว บุ๊คโกะก็จะให้ช่างมารอที่ตึกแกรมมี่ มาแต่งตั้งแต่ 7 โมงเช้า เข้ารายการแฉข่าวเช้าตอน 8 โมง พอ 10 โมงจัดรายการเสร็จก็ไปวิ่งงาน เพราะเวลามันเหลือ สมัยก่อนหนูก็เอาที่นอนไปปูรอในสตูดิโอเลย แล้วมันเหมือนฟ้าประทาน คือต้องมีคนที่ลืมคิวบ้าง รถติดบ้าง แล้วหนูเสียบแทนตลอด หนูจะเป็นมือเสียบอันดับ 1 ใครลาปุ๊บหนูจะเสียบทันที เพราะหนูถือคติว่าเราแต่งหน้าทำผมแล้ว เราพร้อมทำงาน พร้อมออกหน้ากล้องเสมอ”ย้อนเรื่องราวสุดอบอุ่น ของครอบครัวบุ๊คโกะ“ที่เห็นครอบครัวบุ๊คโกะรักและผูกพันกันมาก ๆ เพราะว่าสมัยก่อนเรามีกันแค่นี้ เรามีกันแค่ 4 คนแม่ลูก ก็คือ บุ๊คโกะ แม่ แล้วก็น้องสาวอีก 2 คน เราผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก มันเคยหนักหน่วงมาแล้ว บางครั้งหากชีวิตเจอเรื่องที่มันหนักหน่วง เราจะย้อนกลับไปมองข้างหลังว่า ที่ผ่านมาเราเคยหนักมากกว่านี้ เราเคยทรมานมากกว่านี้ เราเคยนอนอยู่รวมกันในบ้าน เพราะว่าน้ำไฟโดนตัด เราก็ต้องมานอนรวมกันชั้นล่างบ้านพักข้าราชการ แล้วโดนตัดไฟมา 2 ปี เวลาจะเสียบปลั๊กต้องไปขอเสียบกับข้างบ้าน ดังนั้นครอบครัวเราจะคุยกันทุกเรื่อง เรานอนร้องไห้ เรานอนหัวเราะ เราทำด้วยกันทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันแม้ทุกคนมีงานการที่ดี คุณแม่มีความสุขในบั้นปลายชีวิต แล้วเราสามารถที่จะอยู่กับคุณแม่ไปได้นาน ๆ อันนี้คือสิ่งที่ทำให้บุ๊คโกะมีความสุข มันจะทำให้เราสนิทกัน เวลามีเรื่องอะไรเราไม่เคยปิดบังกันได้เลย ต่อให้มีเรื่องปิดบังกันก็ได้แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น สุดท้ายทุกคนก็รู้กันหมด เพราะว่าถ้าเราไม่โทรไปบอก เดี๋ยวผู้จัดการก็จะโทรไปบอกน้องสาว โทรไปบอกแม่ของหนูเอง เราไม่สามารถปิดเรื่องอะไรได้ เวลาทะเลาะกันแรงแค่ไหนก็แล้วแต่ ครึ่งวันก็ดีกันต้องบอกว่าของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตบุ๊คโกะคือการปลดหนี้ให้แม่ เพราะหนี้มันเกิดจากพวกเรานั่นแหละ มันเกิดจากแม่ส่งเราเรียน ทำให้ต้องกู้ทั้งในระบบ และนอกระบบ เราเคยโดนเจ้าหนี้มายืนด่าหน้าบ้าน เคยไปขอยืมเงินคนอื่น นั่งรอตั้งแต่ 9 โมง ถึงเที่ยงเค้ายังไม่ให้ก็มี เราเคยมาทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่บุ๊คโกะรู้สึกว่าเราจะทำได้ก็คือเราปลดหนี้ ก็พยายามเก็บเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ แต่โชคดีที่พอเข้ามาเป็นดีเจที่ EFM ปีแรก ก็มีคนรู้จักบุ๊คโกะเยอะมาก ตอนนั้นเราก็ตกใจเหมือนกัน มีหลงระเริงไปบ้าง โชคดีที่มีผู้จัดการดึงลงมา คอยตักเตือนเรา ว่าทุกคนเค้ามีบุญคุณกับเรานะ ถ้าเค้าเรียกชื่อเธอได้แสดงว่าเค้าดูทีวี เค้าต้องเสียเงินค่าน้ำค่าไฟมาดู จนเรานึกขึ้นได้แล้วเวลาเราจะลืมตัว เราก็โดนดึงลงมาตลอด พอมันได้เงินจากการทำงานมา เราก็เอาไปใช้หนี้ให้แม่แล้วหนูไม่ค่อยชอบให้แม่ยืมเงินใคร เพราะว่าหนูเคยให้คนอื่นยืมเงิน แล้วการที่จะได้เงินคืนมันยาก แล้วเราไม่ใช่คนร่ำคนรวย เราก็พอมีพอกิน แล้วแม่เป็นคนใจอ่อน ชอบให้คนโน้นคนนี้ยืมเงิน เราก็บอกแม่ว่า เวลาเราจะให้ยืม อย่าลืมนะ เอ็นดูเขาเอ็นเราขาดนะ เราไม่ได้ร่ำรวยนะ ก็ต้องเตือนเค้า แล้วแม่ชอบเก็บสะสมของค่ะ สมมติว่าไปเมืองนอก ไปกินน้ำยี่ห้อนึงแล้วขวดเป็นขวดแก้วแข็ง ๆ แม่ก็จะชอบเก็บมาล้างเก็บไว้ แล้วเราไม่รู้ด้วยนะ จะรู้อีกทีตอนที่หิ้วกระเป๋ากลับ ก็สงสัยว่าทำไมน้ำหนักกระเป๋ามันเกิน เปิดมาก็ตกใจมาก กระเป๋ามีแต่ขวดน้ำ อย่างเวลาหนูซื้อกาแฟแล้วเค้าเขียนแก้วให้ แม่ก็เก็บไว้ จนหนูมาถามว่าแม่เก็บไว้ทำไม แม่บอกว่าเพราะเค้าเขียนอวยพรลูกไง คนรักลูก แม่เลยอยากเก็บไว้”“พลาสติกแฟมิลี่” จากคำบูลลี่ สู่เอกลักษณ์สุดปัง“ตอนแรกมันเหมือนเป็นคำบูลลี่นะ ว่าบ้านเราเป็นพวกพลาสติกแฟมิลี่ เป็นพวกเสพติดศัลยกรรม แล้วช่วงนั้นหนูกับน้องกำลังจะหาคำที่เอามาตั้งแฮชแท็กที่คนจดจำ หนูก็เลยเอาคำนี้มาเป็นแฮชแท็กในการทำบริษัทเอเจนซี่ เลยตั้งเป็น บุ๊คโกะเอเจนซี่โดยพลาสติกแฟมิลี่ หนูไม่เคยอายเลยนะเพราะรู้สึกว่า ตัวเองชอบการศัลยกรรม เพราะตอนเด็ก ๆ หนูชอบนั่งดูรายการเดอะสวอน ที่มันจะปิดกระจก พอศัลยกรรมออกมาแล้วหน้าสวยจนแขกรับเชิญร้องไห้ นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้รู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมาแล้วหนูมีเงิน หนูอยากทำศัลยกรรม อยากทำทั้งตัวเลย พอโตขึ้นมาหนูก็ทำจริง ๆ แล้วพอมาเปิดบุ๊คโกะเอเจนซี่ หนูรู้สึกว่า ถ้าคนจะมั่นใจในเรา เราต้องศัลยกรรมกันทั้งครอบครัว ก็เลยพาแม่ไปทำเลย แล้วตอนนั้นแม่อายุเกือบจะ 70 แล้ว หนูก็พาไปตรวจร่างกาย ปรึกษากับหมอว่าทำได้ไหม พอหมอบอกว่าทำได้ ก็เลยตัดสินใจให้แม่ทำ พอกลับมาคนอึ้งเลย เพราะว่าแม่หนูทำหมดทั้งหน้า เลาะฟันออกหมดปาก ทำฟันใหม่ ครอบฟัน ใส่เหล็กฟัน ทำตา ทำหน้า ทำใหม่หมดเลย แล้วก็กลายเป็นว่า เวลานึกถึงพลาสิติกแฟมิลี่ คนก็จะนึกถึงครอบครัวของบุ๊คโกะ ก็เลยเอาแฮชแท็ก #พลาสติกแฟมิลี่ มาใช้ พอคนเสิร์ชก็จะขึ้นครอบครัวเรา เราภูมิใจมากเพราะว่าลูกค้าที่มาก็เพราะเค้าเสิร์ชเจอ แล้วลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาก็จะเป็นรุ่นแม่เรานี่แหละแล้วสิ่งที่พระเจ้ามอบให้หนูคือ เวลาทำศัลยกรรมแล้วแผลหนูจะหายไว แล้วหนูเป็นคนที่ชอบฉีดหน้า ชอบทำหัตถการมาก อะไรที่มาใหม่หนูทำหมด ศัลยกรรมครั้งแรกที่เกาหลี พอหนูผ่าตัดเสร็จ หนูไปเรียกพยาบาล แล้วร้องเพลงให้เค้าฟัง พยาบาลปรบมือ คือหนูเมายานอนหลับ แล้วหนูก็ร้องเพลงให้เค้าฟังไปด้วย”“เดินแบบ” ความฝันที่เป็นจริงของ บุ๊คโกะ“เดินแบบคือความใฝ่ฝันของหนูเลย ทุก ๆ ปี หนูจะมีเป้าหมายในชีวิตเลยว่า ปีนี้หนูจะทำอะไรบ้าง เราจะไม่อยู่กับที่ เพราะถ้าเกิดเรามีคอนเทนต์ เรามีอะไรใหม่ ๆ คนก็จะรู้สึกว่าเราใหม่ตลอดเวลา แล้วบุ๊คโกะก็ตั้งเป้าว่าปีนี้อยากจะไปเดินแบบ แต่ก็ไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะได้ไปถึงนิวยอร์คแฟชั่นวีคใช่ต้องบอกก่อนว่า นิวยอร์คแฟชั่นวีค เป็นตลาดแฟชั่นที่ใหญ่มาก ๆ แล้วหนูก็ได้เดินแบบครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นได้เดินของ บุญเหลือนิวยอร์ค ก็คือน้องคนนี้ไปเรียนต่อที่นิวยอร์ค แล้วเป็นไทยดีไซเนอร์ เค้าทำชุดให้หนูใส่ตั้งแต่เค้ายังไม่ดังที่เมืองไทย แล้วก็ใส่ไปงานพรมแดงตลอด จนวันหนึ่งเค้าได้ไปอยู่นิวยอร์ค แล้วเค้าได้ออกแบบแฟชั่น ด้วยความที่รู้จักกันน้องเค้าก็ทักมาถามว่าเราสามารถไปเดินแบบให้เค้าได้ไหม บุ๊คโกะก็บอกว่าสามารถที่จะไปช่วยได้นะเพราะมันก็เป็นความฝัน แต่มันต้องมีหนังสือรับรองจากทางกระทรวงพาณิชย์ จากทางนิวยอร์คให้เป็นเรื่องเป็นราว เค้าก็หายไปประมาณ 3-4 วัน แล้วก็มีจดหมายปั๊มตราครุฑมาว่า ขอเชิญ คุณธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล มาช่วยงานประเทศ แล้วท่านทูตกระทรวงพาณิชย์ ประจำมหานครนิวยอร์ค เค้าก็ดีมาก เค้าบอกกับบุ๊คโกะให้คิดไว้ว่า เรามาช่วยงานประเทศนะ มันเป็น Soft Power แล้วพอได้ไปเดินแบบ หนูก็คือรู้สึกภาคภูมิใจมาก แล้วเหมือนจุดเริ่มต้นให้เราได้เดินแบบ พออีกปีเค้าก็เชิญไปอีก ซึ่งที่นิวยอร์ค มีดีตรงที่ไม่ว่าคุณจะเชื้อชาติไหน สูงต่ำดำขาว คุณจะมาแบบไหนก็แล้วแต่ ขออย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องมีคือ ความมั่นใจ พอเราทำเต็มที่เค้าก็เห็นผลงานของเราแล้วบอกกันปากต่อปาก ท่านทูตก็บอกว่าจงภูมิใจไว้เลยว่า หนึ่งคือเราได้มาเพราะความสามารถของตัวเอง สองคือเรามาช่วยประเทศ สามคือตอนนี้ทุกคนรู้จักบุ๊คโกะแล้ว เราก็รู้สึกว่าภาคภูมิใจในตัวเองมาก ๆพอปีล่าสุดก็ได้ไปอีก คราวนี้ได้เดิน 3 แบรนด์เลย มันคือความฝันของเด็กคนหนึ่ง นางงามเราเป็นแล้ว เราอยากทำเราทำเต็มที่ วันนี้เราได้เดินแบบ เราก็รู้สึกว่าเป็นความภาคภูมิใจ เราได้เดิน Bangkok International Fashion Week 2024 ของแบรนด์ทเวนตี้เซเว่นฟรายเดย์ ก็ดีใจมาก ๆ เราก็ทำเต็มที่ และรู้สึกว่าเราคงต้องเอาดีทางด้านนี้แล้วแหละ”จากนางงามในดวงใจ สู่ผู้จัดการกองประกวด“จุดเริ่มต้นเลยคือบุ๊คโกะชอบประกวดนางงาม หนูได้ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจมา แล้วบุ๊คโกะก็ไปประกวด UNIVERSE IS U ปีแรกบุ๊คโกะติดท็อป 10 มันก็ค้างคาใจว่าฉันอยากได้มง แล้วบุ๊คโกะเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวทั่วโลก เราจะไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ และได้รู้จักผู้ใหญ่เยอะ จนได้รู้จักกับ แม่แดงฟอริด้า แล้วเราก็บอกท่านว่าหนูจะลงประกวด UNIVERSE IS U อีกปี อยากให้แม่มาร่วมสนับสนุนหนูหน่อย โดยมีพี่อีกคนชื่อ พี่กิ๊บ ที่เค้าเป็นแฟนคลับเรา กลายเป็นพี่สาวอีกคน เค้าทำธุรกิจที่ประเทศไทย ทำธุรกิจโรงแรม พอเรามาเจอกันที่เมืองไทย ก็เลยได้รู้จักผู้ใหญ่กลุ่มนี้ เค้าก็เลยชักชวนว่าไหน ๆ เค้าก็มาสปอนเซอร์บุ๊คโกะแล้ว บุ๊คโกะมาช่วยแม่หน่อย แม่อยากส่งนางงามมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ในนามของจังหวัดมหาสารคาม บุ๊คโกะมาเป็นผู้จัดการกองประกวดให้แม่หน่อยมีพี่กิ๊บกับแม่แดงเป็น City Director ซึ่งแม่แดงเค้าอยู่ฟอริด้า เค้าไม่สามารถจะบินมาได้ จะมาได้คือวันที่ประกวด กับวันที่มาดูตัว ซึ่งปีที่ผ่านมาเราก็เลยรู้สึกว่า เราเฟ้นหาคนที่มีคาแรกเตอร์ที่เหมาะกับเรา แล้วเราสามารถที่จะพูดคุยได้ จนได้ ป๊อปปี้ บุญยิสา จันทราราชัย ซึ่งเคยเป็นรองอันดับหนึ่งมิสซุปร้า และปีนี้ก็มาเป็นตัวแทนจังหวัดมหาสารคาม บุ๊คโกะก็ไปช่วยดูแลน้องเรื่องความพร้อมต่าง ๆ จนน้องได้รองชนะเลิศอันดับที่สามมา ก็ถือว่ามีมงของตัวเอง ส่วนบุ๊คโกะก็ได้ตำแหน่งเดียวกับป๊อบปี้ รองชนะเลิศอันดับ 3 เหมือนกันก็เลย ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือเกียรติยศของเรา เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก พร้อมกับสานฝันให้กับป๊อบปี้ด้วย แล้วก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุก ๆ คนในชีวิตเลยที่ให้โอกาส ไม่ว่าจะเป็นแม่แดง พี่กิ๊บ หรือพี่สาวทุก ๆ คน แล้วก็ขอบคุณ ป๊อบปี้ ด้วยที่เชื่อมือเรา ขอบคุณตัวเราด้วยที่เสียสละเวลาอันมีค่าในการทำงาน รวมถึงเอไทม์ก็น่ารักทุกงานเลย ไปประกวดก็ต้องลา ทุกรายการทีวีอย่างรายการแฉของแม่มดดำนี่ก็ยิ่งต้องขอบคุณเลย เค้าก็ให้เราลาไปทำในสิ่งที่เราฝัน ซึ่งพอเราทำได้แล้ว เรารู้สึกว่ามันสะใจ พอเราทำได้แล้วก็อยากส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับ ป๊อบปี้ ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงต้องรอดูอีกที ว่าเราจะยังทำหน้าที่ผู้จัดการกองประกวดอีกไหม”ความฝันต่อไปของ บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์“หนูอยากลองเป็นผู้จัดซีรี่ส์วาย แล้วหนูคิดว่าหนูทำได้ดีแน่ ๆ มันเป็นอะไรที่ท้ายทาย และหนูเคยคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นดารา หนูจะเป็นผู้จัดการดารา หนูจะเป็นเอเจนซี่ หาดาราเข้าสังกัด แล้วปั้นให้ดัง หนูมั่นใจว่าหนูมองใครก็ขาด อย่าง น้องเจเจ กฤษณภูมิ หนูเห็นตั้งแต่น้องอายุ 14 เห็นตั้งแต่รับบริจาคน้ำท่วมตรงเซ็นทรัลเวิลด์ ว่าเด็กคนนี้หล่อ โตมาต้องดังแน่เลย จนดังจริง ๆ ก็เลยรู้สึกว่าจากความสามารถในการเป็นแมวมองของฉัน ฉันสามารถที่จะปั้นเด็กซีรี่ส์ได้นะ ฉันอยากทำซีรี่ส์วาย ซีรี่ส์ยูริ จริง ๆ หนูมีคุยบ้างแล้ว ตอนนี้คือกำลังรวบรวมหลาย ๆ อย่าง คิดว่าถ้ามีโอกาสจริง ๆ ปีหน้าได้ดูแน่เลย รอติดตามกันนะคะ”สีสันแรงบันดาลใจ จาก บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์“หนูรู้สึกว่าอยากขอบคุณความพยายามของตัวเอง เพราะเมื่อก่อนหนูเป็นคนที่มีไม่เหมือนคนอื่น ขนาดตอนเข้ามหาวิทยาลัยหนูมีเงินติดตัว 150 บาท แต่เพื่อนในกลุ่มก็ไม่เคยทิ้งหนู หนูก็เลยรู้สึกอยากขอบคุณความพยายามของตัวเอง ที่มันทำให้เรากัดฟันสู้มาถึงวันนี้ บุ๊คโกะเชื่อว่าเวลาที่เราวิ่งแข่ง ทุกคนอยากถึงเส้นชัยหมดแหละ แต่อยู่ที่ว่าใครจะวิ่งถึงก่อนหรือหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดวิ่ง อย่าหันหลังกลับไป ถ้าเราวิ่งต่อมันต้องถึงเส้นชัย อย่างต้นทุนของบุ๊คโกะไม่เหมือนคนอื่นเลย ก็เลยบอกตัวเองว่าฉันจะตั้งใจวิ่ง แม้ว่าฉันจะถึงทีหลังคนอื่น แต่ฉันเชื่อว่า ถ้าฉันค่อย ๆ เดิน ค่อยๆ วิ่ง มันจะถึงเส้นชัยอย่างสวยงาม”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดบทเรียนชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจจาก “อ้วน รีเทิร์น” LGBTQ+ ตัวแม่ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

17 ต.ค. 2024

ถอดบทเรียนชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจจาก “อ้วน รีเทิร์น” LGBTQ+ ตัวแม่ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

“สายน้ำมันไม่ไหลกลับ ถ้าทำอะไรแล้วเราไม่เต็มที่กับมัน ผ่านไปวินาทีเดียว มันคืออดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นทุกงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะเป็นคนทำเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ไม่เคยเหนื่อยกับงาน เพราะว่าเราคิดถึงเม็ดงานมากกว่าเม็ดเงินเสมอ”เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับตัวแม่สุดสตรอง “อ้วน รีเทิร์น” เจ้าของฉายา กะเทยรวย 100 ล้าน คนแรกของไทย แต่กว่าจะกลายเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ ชีวิตของ อ้วน รีเทิร์น เคยลำบากมาก ต้องออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 13 ปี เข้ามาทำงานในกรุงเทพ รับจ้างทุกอย่าง และต้องประหยัดถึงขั้นไปเอาขนมจากศาลพระภูมิมากิน หลากหลายเรื่องราวของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ได้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยเด็ก ของ อ้วน รีเทิร์น“ตอนเด็กลำบากมาก ด้วยความที่แม่เป็นคนขายอาหารตามสั่ง เข็นรถขาย ส่วนเตี่ยเป็นช่างบัดกรี ฐานะไม่ดีหรอก เราไม่เคยมีบ้านอยู่ เช่าบ้านอยู่ตลอด ตอนนั้นอยู่ที่ ตำบล พุเตย อำเภอ วิเชียร มีพี่น้องที่เป็นพ่อแม่เดียวกัน 4 คน แล้วก็ต่างบิดามารดาอีก 2 คน รวมเป็น 6 คน เราเป็นลูกชายคนที่สอง ทุกคนตั้งความหวังไว้ว่าเราเป็นลูกชาย แต่สำหรับเราตั้งแต่จำความได้ก็ชอบใส่กางเกงในที่เป็นลายเงาะของผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้นมาหน่อย เตี่ยก็อายคน เราก็เลยต้องทำตัวเป็นผู้ชาย พอออกนอกบ้านค่อยเอาลิปสติกของแม่มาทา แต่แม่ไม่เคยว่านะ แม่เป็นคนที่บอกว่าสีนี้จืดไป เอาสีแดง ๆ แม่เค้าสนับสนุนเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”ตัวตน กับการยอมรับจากคนในครอบครัว“เมื่อก่อนเตี่ยอยากให้มีเมีย เตี่ยเคยเอาผู้หญิงยัดเข้าไปในห้องตอนเป็นวัยรุ่น คือเค้าไปเอาผู้หญิงที่ทำงานแบบนั้น แล้วก็บอกผู้หญิงคนนั้นว่าจัดการเลยนะ เพราะเตี่ยเค้าเชื่อว่า ถ้าเรามีอะไรกับผู้หญิง แล้วความตุ้งติ้งของเรามันจะหาย แล้วเตี่ยก็เอาผู้หญิงคนนั้นยัดเข้าไป พอเข้าห้องปุ๊บ เราก็เลยบอกว่า เธอเขียนคิ้วไม่สวยเดี๋ยวช่วยเขียนให้ เราก็จับเค้าแต่งหน้าทาปาก พอเสร็จก่อนจะออกจากห้องเราก็บอกว่า บอกเตี่ยด้วยนะว่าเราเรียบร้อยกันแล้ว ทุกวันนี้จนเตี่ยตายไป เตี่ยยังไม่รู้เลยว่าฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นที่เราตุ้งติ้งเตี่ยก็มีอายคนนะ เพราะสมัยก่อนที่ทำสีผมครั้งแรกในประเทศไทยที่เรารู้จักคือโรงเรียนเสริมสวยลาลิตย์ แล้วเราจะย้อมผมเลียนแบบโรงเรียนเสริมสวยลาลิตย์ ก็เอาสีผสมอาหารผสมกับไฮโดรเย่น แล้วเอามาหมักผมไว้ พอผมเป็นสีม่วง เตี่ยก็บอกว่า เวลาเจอฉันที่ไหน อย่ามาเรียกฉันเตี่ยนะ ฉันอายคน เป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แต่แม่ไม่อะไรเลย เค้าแล้วแต่เราเลย”จุดพลิกที่ทำให้ชีวิตได้รู้จักคำว่า “ลำบาก”“ตอนที่พ่อกับแม่เลิกกัน ตอนนั้นลำบากมาก ซึ่งเรามารู้ตอนหลังว่าเตี่ยเจ้าชู้ เค้าเป็นนักรักพเนจร เป็นคนที่มีเสน่ห์ ผู้หญิงมาหาที่บ้านตลอด เราจำได้ว่าแม่ร้องไห้หนักมาก และจำเป็นที่จะต้องแยกทางกัน แล้วแม่เอาน้องไปอยู่สระแก้ว 2 คน ส่วนเตี่ยก็เอาเรากับพี่ชายไว้ 2 คน ที่ลำบากเพราะว่าตอนที่แม่ไม่อยู่ เราอยู่กับเตี่ย ปรากฏว่าตอนนั้นเตี่ยเกิดอุบัติเหตุโดนยิงเข้าปากแล้วทะลุท้ายทอย แต่ว่าไม่ตาย ต้องไปนอนเป็นคนไข้อนาถาอยู่ที่โรงพยาบาลพระบาท สระบุรี ตอนนั้นชีวิตเรามันไม่มีอะไรกิน เตี่ยก็ไม่อยู่ เราก็ยังเด็กตอนนั้นยังไม่ 10 ขวบ เราก็ต้องไปรับจ้างตามบ้านคน ไปเก็บกวาดเช็ดถู กรอกเกลือแลกข้าวกินเพื่อเอาตัวรอด ใครจ้างอะไรก็ทำ ได้เงินก็เก็บใส่ลิ้นชักไว้ อยู่แบบนั้น 2 ปี เตี่ยก็ออกมามาจากโรงพยาบาล ตอนนั้นเตี่ยเหมือนซากศพ คือเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ตาโปน แล้วก็ฟันไม่มี ผมร่วง ผอมแบบไม่มีแรงเดิน เราก็ตกใจกลัวเตี่ยมาก 2-3 วันที่ไม่กล้าเข้าใกล้แก แกก็นั่งร้องไห้เพราะแกกลับมาจากโรงพยาบาลบ้านก็ไม่มีน้ำไม่มีไฟ เงินก็ไม่มีติดตัว จนเราก็ไปจับแก แล้วแกก็ดึงไปกอด เค้ากอดเราด้วยความรักและความโหยหา มันคือสัมผัสแห่งความสุข ก็กอดเตี่ยด้วยความสงสาร แล้วเราก็ไปเอาเงินมาให้เค้า 2,000 บาท เป็นเงินที่เราตั้งใจเก็บใส่ลิ้นชักไว้ เอามาต่อชีวิต ไปซื้อสังกะสี ซื้อตะกั่ว เพื่อให้เตี่ยทำบัดกรีต่อ เพราะว่ามันเป็นอาชีพเดียวที่เตี่ยทำได้ แกก็เอามาซื้อถ่าน ซื้อตะกั่ว ซื้อน้ำกรด เอามาทำบัดกรีต่อ แล้วเตี่ยเค้าเป็นคนมีฝีมือ คนก็มาจ้างทำรางน้ำ ทำโน่นทำนี่ ก็พอได้เงินมาใช้”ไม่อยากเป็นช่างบัดกรี สุดแฮปปี้กับการเป็นช่างเสริมสวย“ด้วยความที่เตี่ยเป็นช่างบัดกรี เตี่ยก็จะบังคับให้ปีนขึ้นไปทำรางน้ำ แบกรางน้ำ ซึ่งมันไม่ใช่เรา แล้วตอนนั้นเราเห็นเพื่อไปเรียนเสริมสวย เห็นเค้าทำผม เราก็ไปแอบดูเค้า ไปช่วยเค้าทำนั่นทำนี่ แล้วเรามีความรู้สึกว่า อาชีพทำผมมันมีความสุขจัง ก็เลยตั้งเป้ามุ่งมั่นเข้ามาในกรุงเทพเลย พอเข้ามาก็ลำบากนะ เพราะว่ามาอยู่ร้านทำผม อยู่นานเป็นปี ๆ เลย ไม่ได้เงินนะ เราก็ช่วยเก็บกวาดเช็ดถู ทำเล็บ ซักผ้า ล้างเล็บลูกค้า จนเริ่มสระผมนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็เก็บทิปจากลูกค้า สมัยก่อนลูกค้าก็ให้ทิป 10 บาทก็เยอะมากแล้วนะ ถ้าให้ 20 บาทนี่แทบก้มลงไปกราบที่ตัก แต่ตอนนั้นเราเป็นคนไม่ใช้เงิน ก็กินนอนอยู่ในร้าน จนเก็บเงินได้ 4,500 บาท ถือว่าเยอะมากนะในสมัยนั้น เราเลยเอาเงินนั้นไปสมัครเรียนเสริมสวยเกศสยาม”ได้เรียนโรงเรียนเสริมสวย แต่ต้องประหยัดจนต้องกินของไหว้ศาลพระภูมิ“ชีวิตตอนเรียนเกศสยามก็หนักมากนะ เพราะช่วงที่เรียนมันจะต้องจ้างหัวหุ่น วันหนึ่งโดยประมาณ 30 บาท มาเป็นแบบแต่งหน้าทำผม แล้วก็ต้องมีเลี้ยงข้าวอีกประมาณ 10 บาท รวม ๆ ก็ต้องใช้เงินวันละ 40 บาท แต่เราไม่มีเงินเลย ไม่มีอะไรกินตอนกลางวัน เวลาไปโรงเรียนเพื่อนออกไปกินข้าวกัน เราก็เดินเตร็ดเตร่ผ่านร้านข้าวแกง ที่เค้าจะมีถังน้ำตั้งไว้ เราก็ไปขอน้ำเค้ากิน แล้วก็กลับไปเรียน พอกลับไปถึงร้านตอนเย็น ข้างหลังร้านก็จะมีศาลพระภูมิที่คนเอาขนมไปไหว้ เราก็ไปเก็บขนมที่ศาลพระภูมิกินทุกวัน จนคนข้างร้านมันบอกเลยว่า เด็กนี่โตขึ้นมาเพราะขนมศาลพระภูมิ คำพูดนั้นมันฝังใจเรามา 50 ปีแล้วนะตอนนั้นร้องไห้บ่อยมาก แต่พอตื่นเช้าขึ้นมามันต้องเข้มแข็ง มันต้องสู้ มันต้องทำ แล้วก่อนจะมาจากเพชรบูรณ์ ฉันก็ไปจุดธูปอยู่ที่แม่น้ำป่าสัก ขอให้ฉันเจริญรุ่งเรือง ขอให้ฉันมีเงิน ขอมีบ้านให้เตี่ยฉันสักหลัง มีเงินให้แม่ฉันกินใช้ แล้วฉันบนว่ามาเอาชีวิตฉันไปเลยนะ ขอให้พ่อกับแม่ได้อยู่ได้กิน เราอยากมีบ้านมาก คนอื่นเค้ามีบ้านกันหมด แต่เราไม่มีบ้านต้องเช่าบ้านอยู่ บางทีเค้ามาเก็บค่าเช่าบ้านแล้วเตี่ยไม่มีให้ เราก็แอบร้องไห้สะเทือนใจ พอมากรุงเทพถามว่าร้องไห้ไหม อ่อนแอไหม บอกเลยว่าอ่อนแอมาก ร้องไห้แต่ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเค้ามาดูถูกเหยียดหยาม หรือว่าให้ใครเค้ามาสงสาร เราเป็นกะเทยที่อดทนถ้าไม่มีฉันก็ไม่กิน กล้าพูดเลยว่าในชีวิตไม่เคยขอเงินคน ฉันอดอย่างเสือจริง ๆ นะ แล้วพอเรียนเกศสยามได้เงิน 400 บาท ก็ตัดสินใจกลับไปหาแม่เลย ขึ้นรถเมล์ไปหาแม่ เพราะคิดถึงแม่มาก 10 ปีที่ไม่เจอหน้าแม่เลย ตอนเจอแม่ ตอนนั้นแม่กำลังผัดก๋วยเตี๋ยวขายอยู่ พอแม่เห็นเราแม่ทิ้งกระทะแล้วเข้ามากอดเราเลย แล้วก็ตัดสินใจอยากจะอยู่ช่วยแม่ขายของ ปรากฏว่าศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพไทยญี่ปุ่น เค้าเปิดรับสมัครครูสอนทำผมแต่งหน้าพอดี แล้วปีนั้นผู้ชาย หรือกะเทยที่ทำผมได้ มันไม่ค่อยมี มีแต่ผู้หญิง พอไปสมัคร เราก็เป็นช่างตัดปัตตาเลี่ยนได้ แต่งหน้า ซอยผม เกล้าผม ทำได้หมดก็เลยได้เป็นครูที่นั่น จากเงิน 400 บาท ตอนนั้นเริ่มมีเงินเดือนจากการเป็นครูที่ศูนย์ฝึกอาชีพเดือนละ 4,500 บาท แล้วก็ทำงานอยู่ที่สระแก้วมา 5 ปี”จากอาชีพครู สู่การเดินทางไกลไปทำงานที่ญี่ปุ่นครั้งแรก“ตอนเป็นครูอยู่สระแก้ว ตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนเกศสยามด้วยกัน เค้าแต่งงานกับคนญี่ปุ่น แล้วก็เปิดร้านที่ญี่ปุ่น ข้างล่างเป็นร้านอาหาร ส่วนชั้น 2 เป็นร้านทำผมแต่งหน้า แล้วเค้าชวนไปทำงานด้วย ซึ่งตอนอยู่สระแก้ว เราผ่อนที่ วันละ 80 บาท เป็นที่ 50 ตารางวา เรากับแม่ช่วยกันผ่อน แล้วก็มีเงินสร้างบ้านเป็นอิฐบล็อก มีบ้านหลังแรกในชีวิต มันก็มีความสุขมาก แต่อยู่หลายปีมันก็ไม่รวย ทีนี้พอมีคนบอกว่าให้ไปทำงานที่ญี่ปุ่น เราก็ไปยื่นวีซ่าแล้วปรากฎว่าวีซ่าผ่าน ก็ตัดสินใจบินไปญี่ปุ่นคนเดียวครั้งแรก พอลงเครื่องที่นาริตะ ก็รู้สึกว่าทำไมบ้านเมืองเค้ามันใหญ่แบบนี้ ฉันจะไปยังไงต่อ ก็ลากกระเป๋าเข้าไปตรงตำรวจ เค้าก็มาเปิดกระเป๋าตรวจตรงนั้นเลย แล้วบังเอิญว่าเหมือนเค้าเอามือล้วงเข้าไปแล้วไปเจอครีมทาผิวเหนียว ๆ เค้าก็ชี้ให้เราไปรอตรงจุดตรวจ แล้วตอนนั้นเพื่อนที่มารับก็รออยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงแล้ว เค้ากำลังจะกลับอยู่แล้ว เพราะว่าสมัยก่อนมันติดต่ออะไรไม่ได้ เพราะไม่มีโทรศัพท์ จังหวะที่เค้าหันมามองกล้องวงจรปิดแล้วเห็นเรา เค้าก็เลยหยุดรอเรา แล้วพอเดินออกไปเจอเพื่อน เราร้องไห้เลย คิดในใจว่ารอดตายแล้วพอไปเจอเพื่อนวันแรกก็ทำงานเลย เราเป็นคนขยันมาก เช็ดถูล้างส้วมแล้วก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามา ได้เริ่มเสริมสวยให้ลูกค้า พอทำงานอยู่อาทิตย์เดียวก็รับโทรศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่นได้เลย เพราะเราจะจดเวลามีคนโทรเข้ามา จดว่าคำนี้พูดแบบนี้นะ แล้วด้วยความที่เราชอบบริการ ตอนนั้นได้ทิปวันละประมาณ 3,500 บาท แล้วเรากินข้าวในร้าน กินไข่ต้มกับน้ำปู ไม่เคยออกไปเที่ยวไหนเลยเพราะว่าเราตั้งใจว่า เตี่ยรอฉันก่อนนะ ฉันจะซื้อกับข้าวดี ๆ ให้กิน แม่ต้องรอฉันก่อนนะ ฉันจะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้แม่ แล้วความที่เรามุ่งมั่นมาก เราก็เก็บเงินส่งมาให้แม่ แล้วก็ส่งมาให้เตี่ยซื้อบ้านได้ 300,000 กว่าบาท บ้านหลังนั้นยังอยู่เลยนะตอนนี้”ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง“เราทำงานที่ญี่ปุ่น 2 ปี พอกลับมาเมืองไทย ด้วยความที่เราเป็นศิษย์เกศสยาม ก็มีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ทำผม ท่านชวนไปทำงานที่บริษัทชิฟูเร่ รุ่นแรกของประเทศไทย เป็นบริษัทเครื่องสำอาง แล้วก็เป็นร้านทำผม แล้วก็เริ่มมีการมาเอาช่างตามไปแต่งหน้าข่าว ไปแต่งหน้าตามปกหนังสือ เริ่มมีหนังสือเรียกเราไปแต่งแฟชั่น แล้วตอนนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียง เพราะได้เริ่มไปแต่งหน้าให้พวกดาราใหญ่ ๆ ถ่ายหนังสือ พอเสร็จเราก็เป็นคนรูปร่างสูง ก็เริ่มได้ถ่ายแบบ แล้วก็มีไปเล่นหนังสมัยก่อน เริ่มมาเล่นเป็นพระเอก MV จนเรามีความรู้สึกว่า การอยู่หน้าจอมันสนุก แต่มันได้เงินน้อย เล่นหนังเรื่องหนึ่งได้ 700 บาททีนี้มันอยู่ไม่ไหวมันกดดันมากก็กลับ แล้วหลังจากที่ออกจากวงการตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงเค้าแต่งหน้าอยู่ในอาบอบนวด แล้วพ่อของเค้าป่วย เค้าชวนให้เราไปทำงานแทน ไม่อย่างนั้นเค้าจะโดนไล่ออก เราก็เลยไปแทนเค้า ไปแทนเค้าวันแรกได้ทิป 4,000 – 5,000 บาท ก็ตกใจว่าทำไมได้เยอะขนาดนี้ ไปแทนเค้าอาทิตย์เดียวเหมือนทำงานครึ่งปี ก็เลยพยายามหาทางไปเป็นช่างเสริมสวยในอาบอบนวด จนกระทั่งมีเงินเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงลูกหลานได้ แล้วช่วงนี้เตี่ยตายด้วย ลูกหลานก็เลยไหลเข้ามาอยู่ในกรุงเทพหมด ตอนไปแต่งหน้าอาบอวบนวดก็มีเงินส่งเสียลูกหลานเรียนหนังสือ 10 คน แล้วความที่เราเป็นคนที่ไม่ใช้เงิน ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ซื้อแบรนด์เนม ไม่สุรุ่ยสุร่าย ตอนนั้นก็มีเงินอยู่ประมาณ 2-3 แสน”ขายตึกพลิกชีวิตให้มีเงินล้านในบัญชี“ตอนนั้นมีคนรู้จักชื่อน้องแมว เค้าก็มาบอกว่าพี่อ้วนตึกหลังนี้สวยไปดูไหม เราก็ไปดูปรากฎว่าคงไม่มีปัญญาซื้อ เพราะมันคือตึกแบบยกแท่นขึ้นไปเลย 5 ชั้น แล้วมีลิฟท์อยู่ในบ้าน ตึกนี้อยู่ตรงหลังการบินไทย เราก็ถามว่าตึกนี้ขายเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 6.5 ล้าน เราเลยคิดว่าจะเอาเงินจากตรงไหน เค้าก็บอกว่าพี่อ้วนตอนนี้เค้ายื่นกู้แบงค์กันแล้ว เราก็ไปทำเรื่องยื่นกู้ จนแบงค์อนุมัติให้ นายอนันต์ เสมาทอง กู้ 7.5 ล้าน ตอนนั้นเป็นหนี้ 7.5 ล้าน แต่ได้ตึกมาหลังหนึ่ง แล้วด้วยความที่เรามีเลือดนักสู้ เราก็อยากเปิดร้านขายกระเป๋า ขายรองเท้า ขายน้ำหอม เปิดร้านทำผม ขายเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น ก็ทำห้องขึ้นมาแล้วก็ตกแต่งจนเสร็จ แต่ไม่มีคนมาขอซื้อสักที เราก็เลยเอาป้ายไปแปะขาย ปรากฏว่าอาทิตย์เดียวมีคนเข้ามาขอซื้อ 15 ล้าน พอขายตึกหลังนั้น เราก็มีเงินในบัญชี 7.5 ล้าน ตอนนั้นเราเอาสมุดบัญชีมานอนกอดแล้วร้องไห้อยู่ 3-4 วัน ต่อไปนี้ฉันจะไม่จนอีกแล้ว ชีวิตฉันจะไม่ลำบากอีกแล้ว พ่อแม่พี่น้องลูกหลานฉันต้องมีกิน มีเงินไปโรงเรียน ไม่ต้องมองคนไปโรงเรียนแล้วร้องไห้เหมือนเราอีกแล้วหลังจากนั้นเราก็เดินมาที่ซอยนาทอง เจอห้องหนึ่งที่พ่นสีไว้ว่าขาย เราเลยอยากซื้อ ตอนนั้นราคา 3.4 ล้าน เป็นตึกสองคูหา เราก็ไปนั่งนับเลยว่าวันหนึ่งมีรถผ่านไปผ่านมากี่คัน คนเดินกี่คน เราก็เห็นคนผ่านไปผ่านมาเยอะ ก็เลยซื้อตึกนั้น และคิดว่าจะทำเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวแกง เวลาลูกหลานมาอยู่ด้วย ก่อนไปโรงเรียนจะได้กิน พอซื้อเสร็จก็ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เพราะเราต้องวิ่งงานเหมือนเดิม ก็เลยไปทำตู้กระจกขึ้นมา รับเสื้อผ้า รับน้ำหอม กระเป๋า รองเท้ามาวางขาย แล้วขายดี ก็ตัดสินใจทำแบรนด์เองดีกว่า กลายเป็นแบรนด์ อ้วน รีเทิร์น ตั้งแต่วันนั้น”เปิดที่มาของฉายา “กะเทย 100 ล้าน คนแรกในประเทศไทย”“แบรนด์ อ้วน รีเทิร์น เราทำเครื่องสำอาง ตอนแรกที่อยากมีแบรนด์ก็คิดว่าถ้าเราเปิดเอง ทำเอง จะต้องทำยังไง ก็หาโรงงานทำครีมตั้งแต่ตอนนั้น พอเริ่มจำหน่ายก็มียอดสั่ง 5,000 กระปุก ซึ่งมันหนักมาก เราขับรถไปถึงเชียงใหม่ ไปอีสาน กลาง ใต้ เพื่อคุยกับลูกค้า จนกระทั่งเครื่องสำอางขายได้ แล้วก็ทำโฆษณาเป็นรุ่นบุกเบิกของไทยรัฐ ช่องเริงรมย์มณี ที่ทุกคนเห็นในประเทศไทย แล้วก็ไปลงหนังสือคู่สร้างคู่สม ของ พี่ยอด ดำรง พุฒตาล แล้วก็ไปลงทีวีพูล ของพี่ติ๋ม ทีวีพูล ลงโฆษณาเล่มหนึ่งขายได้ 7-8 หลัก จนกระทั่งกลายเป็นเครื่องสำอางดัง ใครก็ต้องใช้ ตอนนั้นก็เริ่มมีรายการทีวีติดต่อเข้ามาเยอะมาก มีละครติดต่อเข้ามา มีหนังติดต่อเข้ามา ได้ไปออกรายการสุริวิภา ซึ่ง พี่แหม่ม สุริวิภา เค้าพูดดันว่านี่คือ กะเทยร้อยล้านคนแรกของประเทศไทย ก็เลยกลายเป็นกะเทยที่ดัง เป็นกะเทยคนแรกที่ขายของถล่มทลายจนทั่วประเทศรู้จัก”ถ้าอยากเป็นนกอินทรี ต้องไม่ตีกับนกกระจอก“ความเป็น LGBTQ+ ไม่เคยมีผลกับการทำงาน ถ้าอยากจะเป็นนกอินทรี ฉันจะไม่ตีกับนกกระจอก ฉันจะไม่คุยอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น กับเรื่องที่มันไร้สาระในชีวิต พอเริ่มเป็นที่รู้จัก ก็ได้สัมภาษณ์หนังสือเล่มใหญ่ ๆ ในประเทศ เป็นกะเทยที่แหวกแนวที่สุด จนทุกคนในประเทศสงสัยว่ากะเทยคนนี้เป็นใคร ทำไมรายการทีวีทุกรายการเราได้ออกหมด ตอนนั้นเราออกทุกรายการ ได้เข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง มีหนังใหญ่เรื่องหนึ่งตั้งแต่ พี่โจอี้ บอย เป็นเด็กวัยรุ่นเรื่องนั้น พี่โจอี้ บอย เป็นพระเอก เค้าก็มาเชิญเราไปเล่นเรื่องนี้ด้วย ก็ลองไปเล่นดู ปรากฎว่ามันก็สนุกดี เราก็เล่นตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้”เปิดหัวใจ ส่องรักต่างวัย ของ อ้วน รีเทิร์น“หมอย้ง เราขอใช้คำว่ารักแรกพบ แล้วเราก็แก่กว่าเค้า 20 กว่าปี ไปเจอเค้าครั้งแรกหัวใจมันสั่นระรัวไปหมด คือตอนนั้นเราไปขายที่ที่พัทยา แล้วพ่อของเค้าเป็นนายทุนซื้อที่ ระหว่างคุยกันหมอย้งก็เดินเข้ามา ตอนนั้นเราปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ เหมือนสมองมันชา แล้วสุดท้ายหมอย้งบอกว่า เดี๋ยวผมพาไปกินข้าว เราก็คิดว่าเค้าต้องมีใจแน่เลย จนพอได้มาคบกัน เค้าบอกว่าวันนั้นเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรานะ เค้าก็คือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เค้าไม่ได้คิดอะไรกับเราเลย ที่จับมือคือเค้ากลัวเราล้ม แต่เรามีความรู้สึกว่าเรารักเค้า หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์เราโทรไปบอกเลยว่าฉันรักเธอนะ ฉันไม่ได้รักแบบผู้ใหญ่กับเด็กนะ ฉันรักแบบผัวเมีย แบบผู้หญิงรักผู้ชายเราไปทำของใส่เค้าด้วยนะ หาวันเดือนปีเกิดแล้วไปให้อาจารย์ท่านหนึ่งทำพิธีเร่งให้เค้ามาหาเราเร็ว ๆ ซึ่งเค้ารู้นะ เราก็ถามว่าเอาออกไหม เค้าบอกว่าไม่ต้อง เค้ามีความสุขอยู่แล้ว เค้าเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเค้าไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเราตลอด 1 ปี จนเราร้องไห้ เค้าก็สุภาพ จนเราคิดว่านี่เรารักเค้าข้างเดียวเหรอ พอเห็นเราร้องไห้เค้าก็ตกใจว่าเป็นไร เราก็บอกว่า เธอไม่รักฉันเหรอ ทำไมเธอไม่โดนตัวฉัน ทำไมเธอไม่จับมือฉัน แก้มฉันมันไม่สวยเหรอ เค้าก็บอกว่าไม่ใช่อย่างงั้น เค้าทำไม่เป็น ไม่รู้จะทำยังไง เริ่มต้นยังไง หลังจากนั้นเราก็สอนหนูให้รู้จักรัก เริ่มสร้างความเคยชินในการแสดงออกเรื่องความรัก แล้วก็บอกรักกัน ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ยังไม่มีวันไหน วาเลนไทน์ไหน ที่เค้าไม่บอกรักเรา หรือเอาของขวัญมาให้เรา แล้วตั้งแต่รู้จักกันมา ยังไม่มีปีไหนที่เค้าไม่ให้เงินเราไปเที่ยวทุกคนก็ถามว่าทำไมหมอย้งรักพี่อ้วนมากมาย หมอย้งเค้าบอกว่า เค้าจะดูแลเราไปตลอดชีวิต ถ้าเกิดว่าเปรียบเทียบว่าเค้ารักเราขนาดไหน เค้าบอกว่าเค้ารักเราเท่าแม่เค้าเลย แล้วไม่ต้องกลัว เค้าจะเป็นคนดูแลเราเองจนหมดลมหายใจ แล้วพ่อแม่ของเค้าก็รักเราด้วย”สายน้ำมันไม่ไหลกลับ ถ้ามีโอกาสต้องทำให้เต็มที่“สิ่งที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ คือ ขยัน อดออม พี่อ้วนจะพูดเสมอว่า เวลาเราจน เรานอนมันไม่หายจน แต่ถ้าเราไปทำงานเหนื่อย ๆ กลับมานอนเราหายเหนื่อย แล้วเราก็คิดเสมอว่า สายน้ำมันไม่ไหลกลับ ถ้าทำอะไรแล้วเราไม่เต็มที่กับมัน ผ่านไปวินาทีเดียว มันคืออดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นทุกงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะเป็นคนทำเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ไม่เคยเหนื่อยกับงาน เพราะว่าเราคิดถึงเม็ดงานมากกว่าเม็ดเงินเสมอแล้วที่ทุกคนเห็นว่า ทำไมพี่อ้วนไม่ติดแบรนด์เนม ไม่กินไม่เที่ยวกับคนอื่น คือมันมีเหตุผลนะ เพราะว่าตอนซื้อตึกซื้อบ้าน เราเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้าน แล้วเราก็ไม่เที่ยว ไม่ซื้อแบรนด์เนม ไม่ออกไปสังสรรค์ ทำงานเสร็จกลับบ้านเพื่อใช้หนี้ก้อนนี้ให้มันหมด เราไม่อยากพลาดอีกแล้วในชีวิต ถ้าเกิดเราพลาดมันอาจจะล้มเป็นโดมิโน่ ถ้าเรามัวใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เราไม่พร้อมจะสโลว์ไลฟ์ เราจะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อฉันตายไปแล้ว ไปนอนสบายอยู่ในหลุม ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาทำแบบนั้น เวลาของฉันคือสร้างตัว เพราะฉันจะต้องจนเป็นคนสุดท้ายของครอบครัวเท่านั้น”ความสุขของเรา คือการเห็นครอบครัวมีความสุข“ทุกวันนี้ความสุขของเรา คือการเห็นคนในครอบครัวมีความสุข เราอยากให้ลูกหลานประสบความสำเร็จ เลี้ยงแม่ให้มีความสุข ถ้าเกิดเค้ามีความสุข นั่นหมายถึงสิ่งที่เราทำงานมาตลอดชีวิต มันคุ้มค่าแล้ว มันเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้ว และมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” – อ้วน รีเทิร์นพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิตแบบไม่งมงายตามสไตล์ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” พร้อมถามตอบเรื่องวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+

10 ต.ค. 2024

เรียนรู้ชีวิตแบบไม่งมงายตามสไตล์ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” พร้อมถามตอบเรื่องวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+

“ดวงชะตาคือสิ่งที่เรากำหนดเองว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะทำอะไร สิ่งนี้ขโมยกันไม่ได้ กรรมคือการกระทำ ทำอย่างไรมันก็ต้องมีผล เพราะเรามีหน้าที่สร้างเหตุ แล้วผลมันเป็นอย่างไร มันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้มันเปลี่ยนก็ค่อยว่ากันไป ทุกอย่างมันอธิบายได้”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” เจ้าของเพจ งมงายสไตล์หมอบี ผู้ที่คอยนำเสนอเรื่องราวดี ๆ ในเชิงธรรมะให้คนเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย พร้อมดำรงตนอยู่บนความไม่งมงาย และยังอุทิศตนเป็นทูตธรรมแห่งวัดพระบาทน้ำพุ โดยในรายการได้มีการถามตอบข้อสงสัยให้ได้เห็นมุมมองแนวคิดในเรื่อง วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+ ไว้อีกด้วยย้อนวันที่คนเริ่มรู้จัก หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ“ผมเป็น หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ มาน่าจะ 10 ปีแล้ว และยังคงพูดเสมอว่า ทุกอย่างมันต้องมีเหตุ มีผล มีปัจจัย ไม่ใช่เราอ้างขึ้นมามั่ว ๆ อะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้เลย ผมก็จะไม่บอกให้คนเชื่อ และเราไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อก่อนเราเป็นที่รู้จักจากการไปออกรายการนี่แหละ ครั้งแรก ๆ ก็คือมาตึกแกรมมี่นี่แหละ มาเข้ารายการสด แล้วเราก็พูดทักตามที่เราเห็นจนมันตรงแล้วมันเกิดไวรัล ซึ่งผมมองว่าทุกวันนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงสังคมอ่อนแอ คนไม่มีที่พึ่ง แล้วก็ไปพึ่งอะไรสักอย่างที่สามารถให้คำตอบเร็ว ๆ แต่ไม่เข้าใจตรรกะ ไม่เข้าใจเหตุผล ไม่เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย ก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว มนุษย์อยากได้อะไร ซึ่งการจะทำอะไร มันต้องมีเหตุปัจจัยของมัน ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ พูดขึ้นมาว่าอยากได้อะไร แล้วไปไหว้ ๆ ไปขอ ๆ แล้วสำเร็จเลย สมหวังตอนนั้นเลย แบบนั้นมันทำไม่ได้”หมอบี กับการสื่อสารกับวิญญาณ“คำว่า ทูตสื่อวิญญาณ มันเกิดจากพี่คนหนึ่งตั้งชื่อให้ครับ เหมือนตั้งชื่อให้มันดูเท่ห์เฉย ๆ ส่วนคำว่าวิญญาณในความหมายของผม วิญญาณ คือ 1 ในขันธ์ 5 ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ความรู้สึก เช่น รู้สึกว่าหิว รู้สึกว่าง่วง นั่นแหละคือวิญญาณผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีคนอื่นเค้าเรียกว่าเซ้นส์รึเปล่า แต่เราเจออะไรก็พูดไปตามนั้น หลายคนก็จะให้ผมทักเค้าว่ามีอะไรอยู่รอบตัวรึเปล่า แต่เราจะทักก็ต่อเมื่อมันมีผลจริง ๆ ถ้าบอกแล้วต้องเป็นสิ่งที่มันไม่เกินกรรม บอกแล้วสามารถนำพาเค้าให้เปลี่ยน พัฒนา หรือปรับปรุงได้ แล้วทำให้เค้าดีขึ้น หรือถ้ารู้สึกว่าจะทำให้สิ่งไม่ดีที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทักแล้วมันจะไม่เกิด ถ้ามันไม่เกินไป เราก็จะบอกตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็เข้าใจว่าทุกคนก็คงเห็นเหมือนเรา ซึ่งเวลาเจอหน้าเพื่อนผมชอบทักประมาณว่าเดี๋ยวช่วงนี้ คุณจะต้องเจอเรื่องผิดปกติแบบนี้นะ ซึ่งตอนนั้นเพื่อนก็ไม่เชื่อ แต่พอถึงเวลา เค้าก็เจอเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เหมือนกับว่าอยู่ดี ๆ ทำไมฉันเห็นความตาย เห็นผี เห็นสิ่งลี้ลับ แล้วเค้าก็จะมาบอกกับเรา และถามเราว่าต้องทำยังไงดี บางคนเค้าก็จะคิดว่าเค้าบ้าคนที่บ้านรู้ครับว่าเราสัมผัสได้ เค้ารู้มาตั้งแต่เราเด็ก แต่เค้าก็พยายามไม่ได้ให้ค่า แต่พอโตขึ้นเค้าก็พยายามเช็คอยู่ว่าสิ่งที่เราทำมันต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องไม่นำพาผู้คนไปในทางที่ไม่ดี แค่นี้เค้าก็สามารถภูมิใจในการที่ลูกมีสัมผัสแปลก ๆ ได้ มันก็โอเคแล้วหลายคนก็จะถามว่าสื่อสารกับผี ต้องใช้ภาษาอะไร ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวครับ มันคือใจของเรา ในบางทีถ้าเรารักกันเรามีความปรารถนาดีต่อกัน เรายิ้มแย้มต่อกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ภาษาพูดเลย แต่เรารับรู้ความต้องการสิ่งที่จะสื่อสารได้ เวลาสื่อสารกับผีก็ใช้หลักการเดียวกันแหละครับ”โลกใบนี้มีผีจริงไหม?“มันขึ้นอยู่กับว่า เรานิยามคำว่าผีว่าอะไร ถ้าเราบอกว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พอตายปุ๊บ วิญญาณลอยขึ้นไปเป็นเหมือนผีแคสเปอร์ แล้วก็คอยทำโน่นทำนี่ อันนี้ไม่จริง ตามหลักจริง ๆ คือ เวลามนุษย์เสียชีวิตจะไปทันทีเลย ไม่มีสภาวะกลาง ๆ ถามว่าไปไหนคือ ไปที่ชอบที่ชอบ ตอนมีชีวิตอยู่เค้าทำตัวอย่างไร ตายแล้วเค้าต้องเป็นอย่างนั้น ไม่สามารถจะไปยัดเยียดคุณงามความดีให้ได้ หลายคนคิดว่าเวลาคนจะตายต้องให้จิตคิดแต่เรื่องดี ๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ถ้าคนมันชั่วมาทั้งชีวิต อยู่ดี ๆ ตอนตายจะมาให้คิดดี มันคิดไม่ได้ ส่วนคนที่คิดดีมาตลอด เวลามีชีวิตมีบุญกุศลตลอดเวลา ช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา พอจะตายบอกให้คิดเรื่องแย่ ๆ ให้เห็นแก่ตัว มันก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องประกอบด้วยคุณงามความดีมาแต่แรกอยู่แล้ว มันไม่มีใครช่วยเอาบุญไปยัดใส่มือใครอีกคนได้ถามว่าไปไหนต่อ เช่น เค้าอยากจะกลับมาฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเอง เรียนรู้ ชีวิตต้องดีขึ้น แย่ลง เพราะอะไร เหตุปัจจัยคืออะไร เค้าก็จะได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด แต่สมมติว่าเค้าเสพแต่ความสุข จิตใจอยู่ในสมาธิอย่างเดียว อิ่มเอมอย่างเดียวไม่รับรู้เรื่องอะไร ก็จะกลายเป็นเทพเป็นพรหม ส่วนคนทำชั่วตลอดก็อย่างที่เราเรียนรู้ว่าไปนรกก็ว่าไป เพราะฉะนั้นเสวยความสุขเยอะ ๆ เพราะทำความสุขมาเยอะก็ไปเสวยความสุข ทำความทุกข์มาเยอะ จิตใจก็เสวยความทุกข์ ก็แค่นั้นครับจริง ๆ แล้ว ถ้าเราคิดไม่ออกว่า ผี มันคืออะไร ให้นึกถึงเวลาเราโกรธใครมาก ๆ อาฆาตแค้นใครมาก ๆ จิตใจเราจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น บางทีกินไม่ได้นอนไม่หลับ สมมติว่าร่างกายมันเน่าเปื่อยสลาย แต่จิตใจมันยังอบอวลไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้น สภาพความยึดติดนั่นแหละเค้าเรียกว่าผี ส่วนมันจะไปอยู่ในรูปร่างรูปแบบไหนก็อีกเรื่องนึงโดยธรรมชาติเราไม่ต้องไปบอกว่าเธอต้องไปสักที ไม่ต้องยึดแน่น เพราะว่าไม่มีใครในโลกนี้มีสิทธิ์ที่จะอยู่ต่ออยู่แล้ว เพราะทุกคนไม่อยากตาย แต่เวลาตายเสร็จแล้ว เราจะมาบอกว่าฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ต่อเพราะฉันห่วงลูก ฉันห่วงเมีย ฉันห่วงที่ดิน ฉันไม่อยากไปไม่ได้ ถ้าทุกคนมีสิทธิ์แบบนี้หมด โลกมันต้องรกรุงรังเต็มไปด้วยผี ทุกคนไปมันก็ต้องไปด้วยเหตุปัจจัย ก็ต้องไปทันทีแบบที่เค้าเรียกว่า จุติ เพราะ จุติ แปลว่า ตาย แล้วไปปฏิสนธิเป็นสิ่งอื่นใหม่ทันทีเลย ไม่มีทางที่จะมีสภาวะกลาง ๆ การเสียชีวิตก็เป็นปกติ คำว่า เสียชีวิตปกติ แปลว่ารู้ตัว คนที่เสียชีวิตแล้วเป็นปกติ ก็จะไม่ยึดติดอะไร นอกจากคนเสียชีวิตไม่ปกติ เช่น ฆ่าตัวตาย หรือ เกิดอุบัติเหตุ ที่ภาษาไทยเค้าเรียกตายโหง ตายไม่รู้ตัว อันนี้น่ากลัว เราต้องไปทำอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้รู้ตัวว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่เวลาสื่อสารกับผี ส่วนมากผมก็คุยปกตินี่แหละ มีครั้งหนึ่งผมไปทางภาคใต้ แล้วศาสนาหนึ่ง เค้าก็มีความเชื่อว่า เพราะเค้าทำตัวไม่ดี เค้าก็เลยถูกฝังไว้ที่นั่น ไปไหนไม่ได้ ก็ยึดติดอยู่ตรงนั้น พอเราไปเห็นก็เลยงงว่าทำอะไรกัน ผีก็บอกว่าเค้าไปไหนไม่ได้ เราเลยบอกว่าไปได้สิ คุณอยู่เกาะนี้ใช่ไหม ไหนคุณลองไปเกาะโน้นสิ ลองกระโดดไป 1 ครั้ง แล้วพอเค้ากระโดดไปได้ เค้าก็งงว่า ตัวเองทำอะไรอยู่นี่มาทำไมตั้งนาน พอเค้ารู้ว่าจริง ๆ ไม่ได้ติดอะไร เค้าก็ไปส่วนผีจะขอให้เราไปเคลียร์กับคนไหม มีครับแต่น้อย อย่างที่บอกว่าผีคือความยึดติด และเขาจะไม่ยึดกับเรา เขาจะไปยึดติดกับสามีของเขา เพราะฉะนั้น เค้าอยากจะไปคุย ไปเคลียร์ มันไม่เกี่ยวไรกับเรา มันเลยค่อนข้างยากที่เค้าจะมาบอกว่าช่วยหน่อย ส่วนใหญ่ต่อให้มี เราก็จะบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องของคุณเพราะคุณไปแล้ว มันอยู่คนละโลกกัน คุณจะมาทำแบบนี้ไม่ได้ผีพวกนี้ต้องทำความเข้าใจ เหมือนมันมีคลาสที่หมายถึง วิธีการ หรือ สิ่งในการยึดติดในจิตใจมันต่างกัน เช่นบางคนโกรธเกลียดเคียดแค้น บางคนละโมภโลภมาก บางคนมีความหลงงมงายมันคนละเรื่องกัน เหมือนบ้านเรา หรือคอนโดเราอยู่ด้วยกัน เรายังไม่รู้จักห้องข้าง ๆ เลย มันเลยไม่ได้แปลว่าผีทุกตัวจะต้องมาเจอกัน หรืออยู่ในยูนิเวิร์สเดียวกัน มันก็ไม่ใช่ครับถามว่าการไปช่วยสื่อสารกับผี เป็นการท้าทายระบบไหม ต้องบอกว่าแต่ก่อนผมเป็นแบบนั้น นิสัยไม่ดี บางทีเราไปจัดการบางเรื่องแล้วเหมือนไปบิดเรื่องราวที่มันไม่ควรจะเป็น แต่ท้ายที่สุดแล้ว กรรมใครกรรมมัน โยกไม่ได้ กรรมคือการกระทำ แล้วใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เหมือนบุญบาป แต่ความลำบากเดือดเนื้อร้อนใจที่เราดันไปทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มันไม่ควรจะเป็น ความลำบากใจมันก็จะเป็นบาป หรือความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นกับเรา เค้าเรียกว่ามันเป็นการสร้างบาปอันใหม่ขึ้นมา แต่อย่าไปโยงว่า เป็นการเอาบาปของเค้า มาใส่ให้เรา อันนี้ไม่ถูกครับแล้วบุญคืออะไร สร้างอย่างไร บุญคือความสบายใจ สบายใจแปลว่าไม่หวงหน้าพะวงหลัง ทำอะไรแล้วมันก็เคลียร์ โล่ง โปร่ง สบาย นี่คือบุญ แล้วบุญมันทำง่ายมาก เช่น ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลามีอุทกภัยน้ำท่วม มีน้ำจิตน้ำใจ นั่นคือการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ทำแล้วก็โล่ง โปร่ง สบาย บุญเกิดได้กับเรื่องแค่นี้เอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงพร้อม หน้าที่เป็นพ่อ หน้าที่เป็นแม่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นสามี หน้าที่เป็นภรรยา ถ้ามันทำถูกต้องตามหน้าที่ของตัวเองจะสบายใจ เกิดแต่เรื่องดี ๆ นี่แหละบุญ อย่างการเข้าวัดมันก็เรื่องดี แต่เข้าไปทำอะไร ไปไหว้แล้วก็ขอนั่นนี่เยอะมาก แล้วมันสบายใจตรงไหน พอมันไม่สบายใจ แล้วคุณจะเอาบุญจากไหน มันไม่มีทางได้บุญ”การเป็น LGBTQ+ เกี่ยวกับบุญบาปหรือไม่?“เราจะเป็นเพศไหนเราก็เป็นคนเหมือนกันหมด เรามีความสุข ความทุกข์ มีความอยากได้ มีความเสียใจ แล้วมันต่างกันตรงไหน การที่เรามีความรัก มีความปรารถนาดี แล้วอยากให้คนอื่นมีความสุข อยากได้คน ๆ นั้นมาอยู่ข้าง ๆ แล้วมีความสุข มันเกี่ยวอะไรกับเพศ เพราะฉะนั้นอย่ามาอ้างว่ามันเป็นเรื่องบุญเรื่องบาปแต่การยึดติด และพยายามจะบอกว่า ฉันเป็นอย่างงี้ มีสิทธิ์อย่างงั้น พอยึดติดแล้วมันทุกข์ การกอดความทุกข์เอาไว้มันเป็นบาป เพราะบาปคือความไม่สบายใจ ดังนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็นเพศอะไร หรือระบุว่าตัวเองเป็นเพศอะไร แต่ต้องทำความเข้าใจ และยอมรับตามความเป็นจริงให้ได้ว่า ก็ฉันเป็นเพศนี้ ฉันมีความรักกับคนนี้ เท่านั้นพอส่วนใครเป็นเพศไหน ถ้าเป็นผีก็จะมีเพศสภาพแบบนั้น เพราะเราก็แสดงออกตามสิ่งที่เราจำได้ จากที่เราเคยส่องกระจกว่า เราเป็นอย่างนี้นะ ก็จะแสดงให้คนอื่นเห็นแบบนั้นเช่นกัน”ทำไมเดือนตุลาคม ถึงมักมีเรื่องไม่ดี?“มันเป็นปกติครับ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติว่า การเกิด การตาย เป็นปกติ การตกทุกข์ได้ยาก การพลัดพรากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นปกติที่ทุกวันก็มี แต่เราให้คุณค่ามันกับมันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่สุดท้ายแล้วเราจะเห็นความน่ากลัวของการเกิด การเกิดน่ากลัว ความตายไม่น่ากลัว และการเกิดเป็นมนุษย์น่ากลัวที่สุด เพราะมันต้องเกิดเรื่องราวต่าง ๆ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เจ็บไข้ได้ป่วย พลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รัก สุดท้ายก็ต้องตาย ซึ่งมันคำนวณไม่ได้เรื่องภัยธรรมชาติ ผมก็พูดบ่อย ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องพิสดาร ไม่ใช่เรื่องดวง มันเป็นเรื่องปกติ แต่มันเป็นธรรมชาติที่คำนวณได้ มันมีเหตุปัจจัยทางธรรมชาติที่คุมได้ก็มี คุมไม่ได้ก็มี แล้วสิ่งที่คุมได้ ทำไมไม่คุม ทำไมไม่ช่วยลดเหตุปัจจัยให้มันแย่น้อยลง เราต้องเข้าใจในบริบททั้งหมด อย่าไปโทษธรรมชาติอย่างเดียว อย่างเรื่องน้ำท่วม เดี๋ยวมันแย่แน่นอน แล้วมันก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องนี้มันควบคุมได้ หากสามารถบริหารจัดการน้ำให้มันดีขึ้นกว่านี้”ขโมยดวงสามารถทำได้จริงไหม?“ขโมยจากไหนครับ ถ้าเราเข้าใจดวงก่อน ว่าดวงมันคืออะไรสักอย่างที่เป็นการเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายจากเรา เป็นสิ่งที่บอกว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเป็นยังไง ในอดีตเคยเป็นแบบไหนมาก่อน ถามว่าสิ่งนี้ใครจะมาขโมยเราได้ด้วยเหรอ พรุ่งนี้จะกินข้าวกับอะไร ขโมยได้ด้วยเหรอครับ เรากินมากกินน้อย อิ่มแล้วอยากผอม อยากอ้วน อร่อยมาก อร่อยน้อย เราก็ตัดสินใจเอง แล้วคนอื่นเค้าขโมยได้ด้วยเหรอ แค่คิดก็ไม่มีอะไรที่มันจะมาสนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้วถ้าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเรามีความเข้าใจ เราจะรู้สึกเลยว่า ทำไมเราต้องมาพึ่งอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วย ดูดวง สะเดาะเคราะห์ ถามว่าเคราะห์มันสะเดาะยังไง กุญแจที่ใช้สะเดาะคือยังไง หลายคนรับขันธ์ ยังไม่รู้เลยว่าขันธ์ไหน คนชอบอ้างว่างเรื่องพวกนี้ทำแล้วสบายใจ ไม่เดือดร้อนใคร เราไม่คิดเหรอว่าจริง ๆ แล้ว การกระทำของเรา หรือผลที่มันเกิดจากทุกวันนี้ สมมติว่าเราอ้วน เราไปสะเดาะเคราะห์ แล้วเราหายอ้วนไหม ถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรมชาติ ว่ากรรมคือการกระทำ ทำอย่างไรมันก็ต้องมีผลมากน้อยว่ากันไป เพราะเรามีหน้าที่สร้างเหตุ แล้วผลจะเป็นยังไง มันมีปัจจัยอะไรบางอย่างมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงก็ว่ากัน ถ้าชีวิตมันแย่มาก ๆ อยากจะมีชีวิตที่ดีก็เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนคำพูด รักษาความเป็นปกติของมนุษย์ ชีวิตมันก็เปลี่ยนแปลง มันก็ดีขึ้นได้ มนุษย์ไม่ได้พูดได้ตั้งแต่เกิด ธรรมชาติของมนุษย์คือ เกิดมา ศึกษา เรียนรู้ มีคนสอน เริ่มเดินเป็น แล้วถึงค่อย ๆ พูด ความเป็นมนุษย์มีแค่นี้ ไม่มีใครมาดลบันดาล มาเสกแล้วโรคหายเลย เคยทำอะไรไม่ดีมาเอาน้ำมนต์ใส่แล้วหาย หรือไปลอดโน่นลอดนี่ นอนในโลงศพแล้วหาย มันไม่ใช่ ทุกอย่างมันมีอุบาย และมันมีเหตุผลของมัน การไปนอนในโลง ก็เพื่อให้เราระลึกว่าสุดท้ายคุณตายแล้ว คุณเอาอะไรไปไม่ได้เลย คุณต้องไปอยู่ในโลงเล็ก ๆ คุณจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม คุณทำอะไรมาก็ตาม สุดท้ายเอาอะไรไปไม่ได้เลย พอเราระลึกถึงความตายได้ ก็จะเกิดความไม่ประมาท มีสติรู้ตัว แล้วมันเกิดการพัฒนาในชีวิต เหตุผลมีแค่นี้”ถ้ารู้ว่าดวงจะเป็นยังไง เราสามารถแก้ดวงได้ไหม?“ต่อให้คน ๆ นั้นดูดวงแม่นมาก รู้ทุกอย่าง สมมติผมก็ได้ ผมไปรู้เรื่องราวมากมาย คำถามคือ รู้แล้วยังไงต่อ ต้องไปซื้อคอร์สนะ ต้องทำพิธีนะ แบบนี้เหรอ แล้วทำไมเราต้องทำอะไรอย่างงั้นด้วย ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เราก็จะตกเป็นเหยื่อแบบนี้เรื่อยไปทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยการกระทำของเราล้วน ๆ ไม่มีเรื่องพวกนั้นหรอก แต่เวลาเราไปให้คุณค่า ก็จะหมกมุ่นเรื่อย ๆ แล้วสิ่งนั้นจากไม่มี มันก็เลยมี เพราะเราไปให้คุณค่ามัน จากที่ทุกอย่างเป็นปกติ พอมีคนให้บางสิ่งมาบูชา สิ่งนั้นก็เลยมีคุณค่าขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ให้ทั้งความสุข และความทุกข์กับเราได้ แล้วพอมันมากขึ้น เราก็จะจมดิ่งไปเรื่อย ๆ คราวนี้ก็เริ่มเชื่อทุกอย่าง สุดท้ายชีวิตก็พินาศ แล้วคนที่มีโมหะมาก ๆ คือมีความหลงผิดมาก ๆ มีอวิชามาก ๆ ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น ใครพูดให้ตายก็ไม่ฟัง ก็ยังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ คือสังคมเราอ่อนแอมาก แทนที่เราจะพึ่งพาตัวเอง กลับต้องไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในพุทธศาสนาไม่มีคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยการกระทำของเรา การโทษกรรมเก่า คิดว่าชาติที่แล้วดวงไม่ดี หรือเทพไม่ช่วย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าประณาม มันไม่ถูกขอทำไมครับ สมมติเราอยากมีแฟน เราต้องสร้างเหตุปัจจัย เริ่มจากตัวเราก่อน ให้มีองค์ประกอบครบก่อน แล้วมันยากตรงที่ว่าเราสร้างคนเดียวไม่ได้ มันต้องมีอีกคนหนึ่งสร้างไปด้วยกัน ปรับไปด้วยกัน มีความเชื่อเสมอกัน มีความเป็นปกติของมนุษย์เหมือนกัน มีปัญญาประมาณเดียวกัน มีความสละ มีจิตใจ มีน้ำใจเหมือนกัน ประกอบด้วยศีล จาคะ ปัญญา ศรัทธา ถ้ามันเสมอเสมือนแล้วสมานกัน มันก็ค่อยสร้างมาเป็นคู่กันได้ กลับกัน ไม่สร้างอะไรมาเลย แล้วไปขอกับรูปปั้น แล้วคิดว่าเค้าให้คู่คุณได้ พอเราเชื่อแบบนี้ สังคมก็เป็นแบบนี้ แล้วก็โดนหลอกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยากได้คู่ ก็ต้องสร้างเหตุปัจจัยครับ”เราควรทำตามความเข้าใจ ด้วยเหตุปัจจัย“เราทำตามความเข้าใจด้วยเหตุปัจจัย เช่นสวดมนต์ เราต้องรู้ว่าการที่เราสวดเรามีสติไหม เกิดสมาธิไหม เกิดความสบายใจไหม และเกิดมีปัญญาเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนรึเปล่า ถ้าไม่ก็ไม่รู้จะสวดทำไม ร้องเพลงเอาก็ได้ สมาธิ คือ การตั้งมั่นจิต ใจเราตั้งมั่นอยู่ตรงไหน โฟกัสอยู่กับสิ่งตรงหน้า ถ้าเรารู้ตัวพร้อม รู้สึกตัวตลอด เวลาเราทำอะไร เราพูดอะไร ควรพูดหรือไม่ควรพูด นี่ก็คือ สมาธิ ส่วน ภาวนา แปลว่า พัฒนา เราสามารถภาวนาได้ทุกเวลา แต่บางคนสวดมนต์โดยไม่รู้ความหมาย แล้วมันก็เละเทะไปใหญ่ คิดว่าสวดแล้วชีวิตจะดีขึ้น ปรับภพภูมิได้ ความคิดนี้มาจากไหน ใครมาสอนเรื่องไรพวกนี้ไม่มี สวดแล้วมันต้องเกิดสติ เกิดสมาธิ จิตใจตั้งมั่น สวดแล้วมันสบายใจ มีปัญญารู้เข้าใจได้ว่าความหมายคืออะไรเวลาสวดมนต์ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย นะโม ตัสสะ เพราะเป็นการบูชาบุคคลที่เอาเรื่องราวความจริงในโลกมาบอกเรา เป็นหนึ่งในมงคล ซึ่งมงคลในชีวิตมี 38 ประการ อยู่ดี ๆ มีคน ๆ หนึ่งมาบอกว่าชีวิตคืออะไร ความสุขความทุกข์คืออะไร อะไรคือเหตุปัจจัยความสุขความทุกข์ จะทำยังไงให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง ทำยังไงให้ไม่เกิดทุกข์อีก เราก็แค่บูชา ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาคน ๆ นั้น คนที่เก่งมาก รู้ได้เองแล้วมาบอกต่อเราด้วยแล้วเวลาเราไปขอองค์เทพ แล้วขึ้นด้วย นะโม ตัสสะ มันเหมือนเอาความเชื่อสองอย่างที่มันขัดกันมารวมกัน เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุปัจจัย ทำอะไรกระทำด้วยตัวเอง แต่ตอนขอองค์เทพ คุณตั้งนะโมขึ้นก่อน มันเหมือนว่าคุณบูชาคนที่บอกว่าทำด้วยเหตุปัจจัย เพียรพยายามด้วยตัวเอง แล้วคุณก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปพึ่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องพึ่ง มันก็เลยเหมือนขัดกันแม้กระทั่งการจุดธูป คนก็บอกว่าการจะไหว้มันต้องจุดนะ แต่เราก็รู้ว่าจุดแล้วมันก็มีปัญหาเรื่องp.m. 2.5 แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ความหมายของธูป 3 ดอกคืออะไร เราก็จุดไปเรื่อย เทพองค์นั้นจุด 9 ดอก องค์นี้ 7 ดอก เทพมาบอกคุณตอนไหนว่าจุดกี่ดอก ดอกไม้ต้องสีนี้ เพราะว่าองค์นั้นชอบสีนี้ ถามว่าแล้วเค้าจะไม่ชอบสีอื่นเหรอ เค้าไม่เบื่อเหรอ เพราะฉะนั้นเราทำอะไรต้องมีปัญญานิดนึง คนยังเข้าใจอยู่เลยว่าธูป 3 ดอก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ธูป 3 ดอก คือ พระพุทธคุณ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณหรือบางคนเข้าใจคำผิด ๆ เช่นเวลาไปเที่ยวอินเดีย ไปเที่ยวสังเวชนียสถาน ไปแล้วเกิดความสังเวช เศร้าโศกเสียใจ จริง ๆ แล้ว สังเวช แปลว่า เอาเป็นเครื่องระลึกให้กระตุ้นใจเราว่า มัวทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าสอนเรามาสองพันกว่าปีแล้ว ให้เราเกิดความฮึกเหิม ไม่ใช่มัวแต่เศร้าโศกเสียใจดังนั้นเราต้องศึกษา มนุษย์มีหน้าที่ศึกษาเรียนรู้ พูดอะไรผิดพลาดไปก็ศึกษาเรียนรู้ เราก็จะเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น ครูบาอาจารย์ถึงบอกให้เราภาวนา เพราะภาวนาแปลว่าพัฒนา มนุษย์เราพัฒนาได้ตลอดเวลา ถ้าไม่อยากโง่ ไม่อยากหลงผิด ไม่อยากเป็นเครื่องมือของไสยศาสตร์ ไม่อยากมีโมหะ คุณก็ศึกษาทำความเข้าใจว่า ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม ธรรมชาติของสรรพสิ่งคืออะไร แล้วปฏิบัติให้มันตรง และสอดคล้องกับธรรมชาตินั้น”ไสยศาสตร์ คือเหตุปัจจัยที่เกี่ยวกับเราไหม?“คำว่า ไสยศาสตร์ คือศาสตร์ของคนโง่ เพราะ ไสยะ คือ ความโง่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนที่พึงพาในสิ่งที่ไม่ควรพึ่งพิง ฉะนั้นคุณต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองได้ทำขึ้นมา ไม่มีทางลัดใด ๆ ในโลกอยากได้อะไรแล้วเสกดลบันดาลเอา มันไม่มี หากเราพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ เราจะรู้เองว่าไม่มี เราทำอะไรรู้ว่าสิ่งที่ทำมันได้มาจากความพากเพียร ความพยายามของเรา ซึ่งสิ่งที่มันผิดพลาดไป หรือมันเป็นเหตุปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา เช่นเราพยายามทำดี เราขยันทำมาหากิน แต่คนรอบข้างไม่ดี เศรษฐกิจไม่ดี สิ่งแวดล้อมไม่ดี เราควบคุมมันไม่ได้ เพราะมันคือปัจจัย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่องเหตุและผล ท่านสอนเรื่องเหตุและปัจจัย เราสร้างเหตุไว้แบบนี้ มันมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาทำให้ผลไม่ได้แบบนั้น แต่มันอธิบายได้ แล้วมันเข้าใจได้”ต้องทำอย่างไร ให้หายจากความทุกข์“ต้องเข้าใจก่อนครับ เวลาใครมาคุยกับผม ผมไม่เคยปลอบประโลมให้คิดบวก เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราคิดบวก เราต้องอยู่บนความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริงในทุก ๆ เรื่อง เราจะรู้ว่าความทุกข์เป็นเรื่องปกติเพราะความสุขมันไม่มีจริง เกิดมาเรามีแต่เรื่องทุกข์ หาสาเหตุของมันแล้วจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องแก้ได้ บางเรื่องก็แก้ไม่ได้ แต่มนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ทุกข์ ที่เราทุกข์เพราะเราไปยึดเป็นตัวกู และของกู เมื่อไหร่ก็ตามเป็นตัวกู และของกู เราทุกข์ทันที แต่ทุกอย่างเป็นไปด้วยเหตุปัจจัย มันจะทุกข์โดยธรรมชาติ เช่น โดนมีดกรีด รู้สึกเจ็บ ร่างกายมันจะทุกข์ แต่ใจเราไม่มีความจำเป็นต้องไปยึดติดว่ามันทุกข์ หากเรารู้ว่าเหตุปัจจัยของความทุกข์ ก็คือการยึดเอาไว้ ยึดจนทำให้ตัวเองทุกข์ จริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครทำให้เราทุกข์ได้ ยกเว้นตัวเราเอง”ตัณหา ทิฐิ มานะ 3 สิ่งนี้อยู่ที่ไหนก็เกิดปัญหา“คนเรามันมีความรู้สึกว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สิ่งนี้เรียกว่า ตัณหา พอเรามีตัณหา เริ่มรบราฆ่าฟันกัน อย่างที่สองก็คือ สิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นอย่างงี้ ต้องเป็นอย่างงั้น ไม่น่าเป็นอย่างงี้ ไม่น่าเป็นอย่างงั้น เค้าเรียกว่า ทิฐิ อย่างที่ 3 คือการที่เราเปรียบเทียบคนอื่น เราดีกว่าคนนั้น เราด้อยกว่าคนนี้ เค้าเรียกว่า มานะ ตัณหา ทิฐิ มานะ 3 ตัวนี้ไปอยู่ที่ไหน พังทุกที่มีปัญหาตลอด”ศาสนา คือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ“ศาสนา แปลว่า ทางรอด ทุกคนมีทางรอดของตัวเอง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ไม่มีศาสนา อยู่ที่ว่าเราเอาอะไรเป็นศาสนา บางคนทางรอดคือพระพุทธเจ้า บางคนทางรอดคือพระเจ้า บางคนทางรอดคือเบคอน บางคนทางรอดคือจุลินทรีย์ หรือบางคนทางรอดคือตัวเราเอง คนที่บอกว่าเราเป็น Atheist เราไม่นับถือศาสนาเลย ไม่จริง คุณนับถือในความเชื่อของตัวเอง เพราะฉะนั้นคุณก็มีศาสนาของตัวคุณเอง แต่ถามว่ามันรอดไหม ถ้ามันไม่รอด หรือมันไม่ตอบในทุก ๆ บริบท ก็อาจจะต้องมีใครสักคนที่เป็นกูรู แล้วคุณอาจจะเชื่อเค้า รู้สึกว่าคน ๆ นี้เป็นที่พึ่ง แต่ต้องหาทางที่มันเป็นแก่นจริง ๆ เค้าสอนอะไรเรา บอกอะไรเรา ชี้นำเราไปตรงไหน เราค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ค่อย ๆ ศึกษา ด้วยสติปัญญา รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เท่านั้นเลยครับ” – หมอบี ทูตสื่อวิญญาณพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเส้นทางชีวิต ที่ถูกลิขิตมาเป็นคู่หู ของ “หยิ่นวอร์” มิตรภาพของผู้เสิร์ฟความฟิน สะเทือนวงการซีรีส์วาย

04 ต.ค. 2024

เปิดเส้นทางชีวิต ที่ถูกลิขิตมาเป็นคู่หู ของ “หยิ่นวอร์” มิตรภาพของผู้เสิร์ฟความฟิน สะเทือนวงการซีรีส์วาย

“เราโชคดีมาก ๆ นะที่เราไม่ได้สนิทกันเพราะว่าต้องทำงาน แต่เราสนิทกันเองเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องนิสัย ผมก็เลยรู้สึกว่าการเป็น คู่หู มันยั่งยืนมาก ๆ”“มันคือความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ตั้งแต่ต้น มันทำให้ทุกวันนี้เราสบายใจมากในการทำงาน เราไว้ใจกันได้ตลอด เล่นซีรีส์แทบจะไม่ต้อง เวิร์กชอปกันเลยเพราะว่าเรารู้จักกันทั้งหมดจากความจริง”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคู่หูผู้เสิร์ฟความฟิน “หยิ่น อานันท์ หว่อง” และ “วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์” สองนักแสดงที่โด่งดังจากซีรีส์วาย โดยชื่อของพวกเขามักจะติดเทรนด์ทวิตเตอร์อยู่บ่อยครั้ง หลังจากทั้งคู่มีผลงานการแสดงคู่กันครั้งแรกในเรื่อง ‘Love Mechanics กลรักรุ่นพี่’ ด้วยเคมีที่เข้ากัน ความละมุน และเสน่ห์อันล้นเหลือ ทำให้ทั้งคู่สามารถเรียกแฟน ๆ เข้าด้อม มาได้อย่างยาวนาน ล่าสุดพวกเขาได้หวนกลับมาแสดงคู่กันอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง “Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที” ที่ทั้งคู่รับทั้งบทบาทของการเป็นผู้จัด รวมถึงการเป็นนักแสดงเองอีกด้วย สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดพลังใจดี ๆ ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการหยิ่นวอร์ กับบทบาทของการเป็นผู้จัดซีรีส์วอร์ : “ผมรู้สึกดีใจที่กระแสตอบรับดีมาก ๆ เพราะว่าตัวเราเป็นนักแสดง และทีมงานทุกคนตั้งใจมาก ๆ กับซีรีส์เรื่องนี้ แล้วพอมันมีกระแสตอบรับไปในทางบวก ผมก็รู้สึกว่าการที่เราทุ่มเทกับเรื่องที่เราทำ แล้วท้ายที่สุดมันสัมฤทธิ์ผล มันดีต่อใจมาก ๆ”หยิ่น : “จริง ๆ ผมว่า ภาพผู้จัดมันอาจจะดูยิ่งใหญ่มาก แต่สำหรับผมขอใช้คำว่าเป็นผู้จัดที่ช่วยระดมทุนดีกว่า และเราก็ทำหน้าที่แสดงเหมือนเดิมอย่างเต็มที่ที่สุด อย่างเรื่องนี้เราถ่ายกันอาทิตย์ละ 4 วันเลยครับ เพราะต้องออนแอร์ให้ทัน ทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานมาก แล้วสุดท้ายพอผลตอบรับออกมาดี จนผมรู้สึกว่ามันเหมือนเราเป็นทีมเดียวกันเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเราทำมาเพื่อขายให้คนดู แต่กลายเป็นว่าคนดูกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ ผมก็เลยรู้สึกดีใจมากครับ”วอร์ : “ที่มาของซีรีส์ Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที มันเกิดจากที่เราไปถ่ายคอนเซ็ปต์ในคอนเสิร์ตเฉย ๆ ครับ เป็นการถ่ายเพื่อนำมาคั่นในคอนเสิร์ต โดยเราถ่ายในเรื่องราวเกี่ยวกับการโจรกรรมต่าง ๆ เพราะคอนเสิร์ตจะเป็นธีม PARTNER IN CRIME แล้วมันเกิดกระแสการตอบรับที่ดี คนอยากเห็นเราเอามาทำเป็นซีรีส์ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์เรื่องนี้ครับพอเป็นผู้จัด การเสนอพล็อตก็มีบ้าง แต่ว่าทางทีมเค้ามีในใจแล้ว แต่ผมเองก็เคยเสนอไปว่า ลองทำเป็นซีรีส์เกี่ยวกับแนวประมงไหม เพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบตกปลาอยู่แล้ว แล้วก็รู้สึกว่าถ้าเกิดเราทำซีรีส์แนวนี้ มันอาจจะส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศได้ แต่ไอเดียก็ถูกปัดตกไป ด้วยความที่ทีมเค้ามีพล็อตในใจอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแอคชั่นประมาณนี้”Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกทีวอร์ : “Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนสองคน โดยคนหนึ่งมีทุกอย่าง ครอบครัวดี ฐานะดี แต่ว่าขาดเรื่องความรักความอบอุ่น คือครอบครัวของโจ๊กเกอร์เค้ามีลูกสองคน โดย โจ๊กเกอร์ เป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วอีกคนเป็นคนที่พ่อแม่ตั้งใจเลี้ยงมาก ๆ จน โจ๊กเกอร์ เริ่มโดนพ่อแม่กดดัน จนคิดอะไรผิด ๆ นั่นคือการไปปล้นคนที่ไม่ดี แล้วก็มาช่วยคนจน ส่วน แจ็ค ก็จะเป็นคนที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะ แต่ว่าเค้าได้รับความรักจากอาม่า แล้วเค้าก็จะมีแนวความคิดอยากจะเป็นนักเทควันโด เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ แจ็ค กับ โจ๊กเกอร์ ได้มาเจอกันในจังหวะที่ โจ๊กเกอร์ไปปล้นธนาคารพอดี แล้วแจ็คก็จะมาขอเงินกู้ เพื่อสร้างโรงเรียนสอนเด็กที่ขาดโอกาสการแสดงเป็น โจ๊กเกอร์ คาแรกเตอร์มันมีการเปลี่ยนเยอะมากครับ ผ่านไป 3 EP. คนน่าจะได้เห็นประมาณ 10 ลุคแล้ว แล้วก็น่าจะมีประมาณ 4 ลุค ที่ได้เล่นแบบพูดตามบท ซึ่งความยาก มันยากมาตั้งแต่อ่านบทแล้วครับ ตอนที่อ่านบทผมท่องกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ต้องทำให้คนดูเชื่อให้ได้ว่าเราเป็นโจรที่มีไหวพริบในการปลอมตัวจริง ๆ เรื่องจริต หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ช่วงก่อนเข้าซีน ผมจะมีวิธีในการซิงค์ตัวละคร โดยเราต้องเป็นตัวละครนั้นให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าซีน ต้องพูดกับคนอื่นโดยลองใช้น้ำเสียงตามคาแรกเตอร์ ต้องทำผมแต่งหน้าเพื่อให้ทุกคนเชื่อให้ได้ก่อนพอเรามั่นใจแล้วค่อยไปเล่นโดยคาแรกเตอร์ของผม กับ โจ๊กเกอร์ อาจจะไม่คล้ายในเรื่องการที่ต้องปลอมตัวเยอะ ๆ เพื่อไปโจรกรรม แต่ว่าสิ่งที่คล้ายกันคือ ผมเป็นคนชอบใช้ช่องโหว่ทางคำพูด ในการทำอะไรบางอย่าง อย่างเช่น แข่งเกม ที่กติกาบอกว่า ต้องเอาลูกโป่งแนบหน้าเราแล้ววิ่งไม่ให้ลูกโป่งตก แต่ผมกัดหัวลูกโป่งวิ่งเลย จะเป็นแบบนั้นครับ”หยิ่น : “ผมว่าคาแรกเตอร์ของผมมีส่วนคล้ายกับ แจ๊ค ตรงที่ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ส่วน แจ็ค ก็จะเป็นคนขรึม ๆ แต่ผมคิดว่า ที่เห็น แจ๊ค พูดเยอะ เพราะว่าเป็นนักแสดงนำ ก็เลยต้องพูดไปตามบท แต่ผมคิดว่า ถ้า Off Scene เค้าก็คงจะเป็นตัวที่นั่งเงียบ ๆ แล้วรอฟังเพื่อนพูดมากกว่า ซึ่งส่วนนี้ก็จะคล้ายคลึงกันกับตัวผม ผมว่าตัวเอง Introvert อยู่นะ”วอร์ : “คือเค้าจะเป็นกับคนที่ไม่สนิท ถ้าเกิดเจอกันครั้งแรก คนภายนอกจะมองว่าเค้าดูดุมาก ดูไม่ค่อยพูด แต่กับเราเค้าก็ไม่ Introvert นะ จะเป็นแค่บางช่วง บางอารมณ์ที่เค้าต้องการจะเซฟพลังงาน”หยิ่น : “พื้นฐานผมเป็นคนคิดมากครับ มักจะกังวลว่า ถ้าเกิดเราเข้าไปคุยกับใครสักคน เค้าอยากคุยกับเรารึเปล่า สมมติว่าเราเพิ่งเจอใครคนหนึ่งได้ไม่นาน พอเค้าเข้ามาชวนคุย ผมก็จะคิดไปแล้วว่า เค้าจะอยากคุยกับเราไหม เค้าจะรำคาญเราไหม ผมจะกังวลแทน และไม่อยากไประรานใครแล้วในซีรีส์ แจ๊ค จะมี อาม่า ที่ต้องคอยดูแล แล้วก่อนหน้าที่ผมจะเข้าวงการ ผมก็ใช้ชีวิตกับยาย เพราะพ่อแม่ของผมทำงานอยู่ต่างประเทศ ผมก็เลยอยู่กับยายเป็นหลัก เพราะฉะนั้นมันก็สามารถดึงอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดมาได้เลย หรือแม้แต่เรื่องหนี้สินก็เหมือนกัน เพราะก่อนเข้าวงการครอบครัวผมก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน แล้วผมจะเข้าใจว่าแรงกดดันของตัวละครเป็นยังไง มันก็เลยสามารถนำมาถ่ายทอดในตัวละคร แจ๊ค ได้แบบที่เราไม่ต้องเขียนบทเพิ่มเรื่องขึ้นมา เราสัมผัสความรู้สึกตัวละครได้จริง ๆ ความจนตรอกบ้าง ความไม่มีทางเลือก มันก็เชื่อมโยงกับตัวผมได้ง่าย ๆ”วอร์ : “เราเตรียมตัวเยอะกันเยอะมาก ๆ ต้องไปลงเรียนเทควันโด ที่ผมก็ตามติดไป แต่ หยิ่น เค้าจะเรียนหนักกว่าผม เพราะว่าในเรื่อง เค้าต้องแสดงเป็นนักเทควันโด แต่เราเองก็ต้องมีคิวแอ็คชั่นด้วย ก็เลยต้องไปเรียนพื้นฐานด้วยครับ”หยิ่น : “ผมว่าเทควันโดยากนะ ศาสตร์นี้ถ้าเราไม่ได้เรียนตั้งแต่เด็ก เมื่อเราเส้นตึง หรือมีกล้ามเนื้อที่มันยืดไม่ได้แล้ว ผมว่ามันไม่มีทางที่จะเพอร์เฟกต์ได้เหมือนเด็ก ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องตัวอ่อน กล้ามเนื้อขาต้องแข็งแรง เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมตัวมากพอสมควรเลย ซึ่งผมเองตัวแข็งมาก บวกกับมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลังด้วย ต้องไปหาหมอเพื่อทำกายภาพอยู่บ่อยครั้ง เวลาเรียนผมก็พยายามยืดกล้ามเนื้อ แล้วก็มีซื้อกระสอบทรายไว้ที่บ้านเพื่อฝึกเตะ แล้วก็บางท่าก็ต้องคอยดูจากคลิปสอนในโซเชียลมีเดีย ที่จะมีการสอนเป็นสเต็ป ผมก็จะอัดหน้าจอมือถือไว้ แล้วก็ศึกษาว่ามันกระโดดแบบนี้ เตะแบบนี้ เพราะบางทีถ้าเราดูแค่ตาเปล่ามันไม่เข้าใจ แล้วพอมาถ่ายเราก็ต้องเตะ 3-4 รอบ เพื่อให้ภาพมันออกมาสวย ผมก็เลยต้องมานั่งวิเคราะห์อะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อเตรียมตัวในการเล่นซีรีส์เรื่องนี้แล้วตัวละคร แจ็ค ต้องมีการพลิกคาแรกเตอร์ อย่าง EP.1 มันต้องย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน ถ้าเทียบก็น่าจะอายุประมาณ 17-18 ปี ที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เลย ก็จะมีบุคลิกใส ๆ ด้วยความที่ตัวเค้าเป็นคนที่คิดบวกอยู่แล้ว แต่ว่าพอเจอเหตุการณ์ที่โจ๊กเกอร์ทำ เลยเป็นเหตุผลให้ แจ๊ค ต้องพลิกคาแร็กเตอร์ให้เป็นสายดาร์กขึ้น ก็จะมีความเย็นชาขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจว่าโลกเรามีเส้นสายนะ ถ้าเกิดเราไม่มีทุนเราก็แพ้อำนาจอยู่ดี หรือแม้กระทั่งตัวแจ๊คเกือบจะติดคุกด้วยซ้ำถ้าเกิดโจ๊กเกอร์ไม่รับแทน ซึ่งทั้งชีวิตเค้าใช้ชีวิตอยู่กับอาม่า ถ้าเกิดเค้าติดคุก แล้วไม่มีคนช่วย อาม่าของเค้าจะอยู่ยังไง ผมรู้สึกว่าเค้ารับความผิดหวังมาทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นคาแรกเตอร์มันก็ต้องเปลี่ยนการกลับมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้กังวลครับ เพราะว่าเราห่างหายจากการแสดงไปนานแล้ว แล้วเราเป็นพาร์ทเนอร์หยิ่นวอร์มานานแล้ว อะไรก็ตามที่มีชื่อในเทรนด์มานานประมาณหนึ่งแล้ว จะให้มันกลับไปพีคเหมือนเดิมค่อนข้างยาก และมันค่อนข้างน่ากังวล ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราทำเรื่องนี้เพื่อจะเอากำไรรึเปล่า แต่สุดท้ายผมมาสรุปกับตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่า เราทำเพื่อแฟนคลับจริง ๆ เพราะถ้าถามหาผลกำไรที่จะกลับมา ผมยังมองไม่เห็นทางนะ เพราะว่าเรื่องนี้ใช้เงินค่อนข้างเยอะ ลองคิดภาพว่าเราลงทุนไปขนาดนี้ แล้วสุดท้ายเราไม่ได้อะไรกลับมา แต่ว่าเราได้ความสุขจากแฟน ๆ เพราะฉะนั้นก็คงพูดได้เต็มปากว่า เราทำให้แฟน ๆ” วอร์ : “เราคุยกันตลอดว่า ถ้าผลตอบรับมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะไปทำอะไรต่อดี แต่ผมก็รู้สึกว่าเราทำเต็มที่มาก ๆ เต็มที่กว่าทุกครั้งที่ทำเลย แล้วก็มองเห็นทีมงาน มองเห็นนักแสดงทุกคนเต็มที่ ถ้าเกิดมันไม่ประสบความสำเร็จในเชิงที่มีกระแสตอบรับที่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นซีรีส์ที่ดีมาก ๆ แล้ว ในใจของผม และในใจของทุก ๆ คน”ซีรีส์ ที่ถูกเดิมพันด้วยการไปดูแสงเหนือหยิ่น : “จริง ๆ มันมีการเดิมพันเรื่องการไปดูแสงเหนือด้วยนะ ย้อนไปตอน PARTNER IN CRIME มันจะมีคีย์เวิร์ดที่ตัวละครสองคนพูดคุยกัน แล้วตัวละครหนึ่งในนั้นพูดว่า ไปดูแสงเหนือกัน แต่สุดท้ายแล้วตัวละครดันถูกตำรวจจับ ก็เลยเอากิมมิกตรงนี้มาคุยกับผู้จัดการว่า ไหน ๆ เราเป็นผู้จัดแล้ว เราก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย ๆ นะ ผมก็เลยพูดออกไปในงานอีเว้นท์ว่าพี่ ๆ ครับ ถ้าเกิดซีรีส์เรื่องนี้สามารถติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของเทรนด์โลก 5 ครั้ง พี่ผู้จัดการจะพาเราไปดูแสงเหนือ หลังจากนั้นแฟน ๆ ก็เริ่มมีมิชชั่นในการทวิตข้อความ ไม่ใช่แค่ปั่นเทรนด์ไปลอย ๆ ก็รู้สึกไม่เสียใจที่ได้พูดไปนะ และจะได้ไปดูแสงเหนือจริงไหม ต้องคอยดูครับ”“ซี่รีส์” บางทีไม่จำเป็นต้องครอบด้วยคำว่า “วาย”วอร์ : “ที่ซีรีส์วายได้รับความนิยมมากขึ้น ผมรู้สึกว่าด้วยความที่โลกเรามันค้นพบในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องนี้มีอยู่แล้ว แค่เพียงแค่เรายังไม่ค้นพบ และเจาะลึกกับมันมากพอ แล้วในวันที่เราเริ่มค้นพบเรื่อย ๆ ว่ามันมีสิ่งนี้อยู่นะ มันก็เลยทำให้ซีรีส์เหมือนเป็น Soft Power เหมือนกัน คนเห็นมุมมองต่าง ๆ ได้มากขึ้น ยิ่งเราใส่อะไรในซีรีส์มากเท่าไหร่ คนดูก็จะเห็น แล้วก็ซึมซับไปด้วย”หยิ่น : “ผมมองว่าซีรีส์วาย มันเปลี่ยนแปลงครับ ผมว่ามันมีการแตกแขนงนะ จนเรารู้สึกว่า ซีรีส์ บางทีมันไม่ต้องครอบคำว่า วาย เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดเรามองว่ามันคือเรื่องปกติ และโลกมันพัฒนาไปจนความรักของ ชายกับชาย หรือ หญิงกับหญิง หรือชายกับหยิง จะอะไรก็แล้วแต่มันกลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นคำว่า วาย ยังจำเป็นอยู่ไหม มันอาจจะเป็นแค่ซีรีส์ปกติก็ได้ แล้วผมรู้สึกว่า เรื่อง Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที เรากำลังทำให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่โดยผลลัพธ์ คือตอนตั้งต้นเราสร้างให้มันเป็นซีรีส์วาย แต่ว่าผลลัพธ์ที่ออกไป มีพ่อแม่ หรือกระทั่งเพื่อนผมที่ไม่ได้ติดตามซีรีส์วายเข้ามาดู ซึ่งดูเพราะว่าตัวเนื้อเรื่องมันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับชมได้”“คู่หู” อธิบายความเป็นเรามากกว่า “คู่จิ้น”วอร์ : “คำว่า คู่จิ้น ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายนะว่ามันคืออะไร มันอาจจะมาจากแต่ก่อนที่มีซีรีส์แบบนี้ที่ใหม่มาก ๆ แต่ผมมองคำว่า คู่หู มันยั่งยืนกว่า มันเหมือนเป็นได้ทั้งเพื่อน ได้ทั้งพี่น้อง มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก แฟน ๆ หลายคนจะรู้ว่า ตอนที่เข้ามาในด้อมครั้งแรก หยิ่นวอร์จะไม่มีการเซอร์วิสแฟนคลับ และเราไม่สนิทกันเลย จนคนดูออกว่าเราไม่สนิท ซึ่งเราโชคดีมาก ๆ นะที่เราไม่ได้สนิทกันเพราะว่าต้องทำงาน แต่เราสนิทกันเองเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องนิสัย ผมก็เลยรู้สึกว่า การเป็นคู่หูมันยั่งยืนมาก ๆ”หยิ่น : “ผมว่าดีที่มันคือความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ตั้งแต่ต้น มันทำให้ทุกวันนี้เราสบายใจมากในการทำงาน เราไว้ใจกันได้ตลอด เล่นซีรีส์แทบจะไม่ต้องเวิร์กช็อปกันเลยเพราะว่ารู้จักกันทั้งหมดจากความจริง ไม่ใช่ว่าแบบ พี่ผมมาสนิทกับพี่ ผมขอจับมือหน่อย เพราะว่าผมอยากมีชื่อเสียง ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนี้เลยตั้งแต่ต้น”ย้อนก้าวแรกก่อนเข้าสู่วงการบันเทิงของ หยิ่นวอร์หยิ่น : “การเข้าวงการบันเทิง ถ้าเป็นความคิดแบบจริงจังในตอนเด็กนี่ไม่มีครับ แต่ว่าช่วงอยู่ ม.ต้น ช่วงนั้นผมดู พี่วู้ดดี้ สัมภาษณ์หลาย ๆ คน แล้วบางทีสัมภาษณ์คนดังมากมาย ตอนไปโรงเรียนก็เลยพูดกับเพื่อนเล่น ๆ ว่า สักวันจะเราจะให้เค้ามาสัมภาษณ์ แต่พอเวลาผ่านไป จน ม.ปลาย เคยเจ็บมากบนเส้นทางนี้ ก็เลยล้มเลิกความคิดจนถึงจุดที่ต้องวางแผนอาชีพ ว่าเราจะทำอาชีพอะไรที่มั่นคงในประเทศนี้ดี เพราะว่าฐานะที่บ้านก็ไม่ค่อยดี ถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันไม่มั่นคง หรือไปทำตามฝันที่เคยมี แล้วถ้ามันไม่สำเร็จ เราจะใช้ชีวิตต่อยังไง ผมเป็นคนวางแผนชีวิตมาตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเข้าเรียน วิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ดีกว่า เพราะผมคาดเดาว่าโลกอนาคต ใครที่มีความรู้ด้านไอทีมันใช้ชีวิตรอดได้แน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่ผมคิด อย่างที่เห็นว่า AI ในยุคนี้มันกำลังมา มาแรงจนคนกลัวว่าจะกลายเป็นดราม่าว่า AI จะแย่งงานคนรึเปล่า ซึ่งผมเคยไปแนะแนวเด็ก แล้วผมพูดมาตลอดเลยว่า อะไรก็ตามที่ทางเข้ามันกว้าง ทางออกมันจะแคบมาก คุณจะแข่งกับชาวบ้านเยอะมาก แล้วท้ายที่สุดคุณอาจจะแพ้หุ่นยนต์ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นต้องมีสติ และคิดถึงอนาคตให้มาก ๆสิ่งที่ได้จากการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิธีคิด มีหลาย ๆ คนชอบทักผมว่าเป็นคนที่คิดแบบมี Logic อย่างที่เคยไปออกรายการ พิธีกรถามคำถามว่า ถ้าเกิดให้ปลอมตัวในชีวิตประจำวันได้ 1 อย่าง จะปลอมเป็นอะไร คนอื่นก็คิดไป ส่วนผมนั่งคิดว่าเราปลอมเพื่ออะไร เราปลอมทำไม ผมหาคำตอบไม่ได้ แล้วผมจะตอบคำถามนี้ยังไงให้มันถูกจุดที่สุด ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตแบบคิดหน้าคิดหลังคิดไปหมดว่าเราจะทำอะไร บางทีผมไปเปิดตู้เย็นไรแล้วก็คิดว่าหรือเราจะเดินไปรดน้ำต้นไม้ก่อนดี หรือจะเดินไปกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรก่อนดี ผมมานั่งคิดว่า ถ้าเกิดผมกินน้ำก่อน เจ้ากรรมนายเวรจะไม่พอใจไหม ผมเลยเดินไปเปิดน้ำเพื่อไปกรวดน้ำ แล้วก็คิดว่าโอเคผมให้คุณก่อนแล้วนะ แล้วตัวผมค่อยกิน ผมคิดทุกการกระทำไปหมดเลย จนบางครั้งไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่า”วอร์ : “ไม่มีในความคิดเลยครับสำหรับอาชีพนักแสดง คือตอนเด็ก ๆ มีอาชีพที่อยากเป็นเยอะมาก อย่างตอนเด็กมาก ๆ ก็จะอยากเป็นนักโบราณคดี อยากไปขุดไดโนเสาร์ เพราะชอบดูสารคดี ชอบดาราศาสตร์ แล้วก็ชอบวิทยาศาสตร์ บวกกับชอบวาดรูปด้วย พอช่วงที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เลยมองหาคณะที่มันกลาง ๆ ระหว่าง วิทยาศาสตร์ กับ ศิลปะ ก็เลยเลือก สถาปัตยกรรม แล้วเราก็เลยฝันอยากเป็นนักออกแบบมาตลอด ไม่ได้อยากเป็นอย่างอื่นแล้ว ใครมาชวนไปเข้าวงการก็ไม่ไป จนมีรุ่นพี่เค้ามาชวนอีกที ตอนที่จะเรียนจบแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเค้าเห็นอะไรในตัวเรารึเปล่า เลยตัดสินใจว่าลองดูก็ได้ แล้วก็ลองมาจนถึงทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าการเรียนสถาปัตยกรรม มันไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการออกแบบสักทีเดียว มันเรียนเกี่ยวกับการออกแบบความคิดมาก ๆ ผมรู้สึกว่าคนเรียนจบคณะนี้จะเป็นอะไรก็ได้ เพราะว่าเค้าเรียนองค์ประกอบการออกแบบความคิดมาแล้ว อย่างเช่นการแสดงผมก็ได้ใช้เกี่ยวกับการออกแบบ ในเรื่องการออกแบบตัวละคร ผมใช้วิชาจากการเรียนมาปรับใช้ เวลาเราจะออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย เราก็ต้องคิดเลยว่า คนอายุเท่าไหร่ ชอบอะไร สีอะไร วัสดุอะไรจนกลายเป็น Product ที่เราต้องการแค่หนึ่งอย่าง ซึ่งมันเหมือนการออกแบบคาแรกเตอร์ของผมเลย”หยิ่น : “ผมเริ่มเข้าวงการบันเทิง ตอนที่ได้เจอ พี่ก็อตจิ ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ซึ่งมันเป็นช่วง Open House พอดี แต่ว่าคณะของผม จริง ๆ ต้องเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ แล้วนาน ๆ ที จะได้มางาน Open House แล้วมาเจอ พี่ก็อตจิ ถ่ายรายการอยู่ แล้วก็เข้ามาสัมภาษณ์ผม แล้ว พี่อั๋น ผู้จัดการคนปัจจุบันคงจะได้ดูรายการ แล้วก็ติดต่อผมมา ตอนนั้นบอกก่อนว่าผมเล่นโซเชียลไม่เป็น ก็เลยไม่รู้ว่ารายการมันเกิดไวรัลอะไรไหม แต่ว่าผู้จัดการเห็นเค้าก็เลยชวนเข้าวงการครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็มีคนมาชวนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ว่าผมให้สิทธิ์พี่อั๋นคนแรก อาจจะเพราะโชคชะตาด้วย เพราะว่าคำพูดที่เค้าชวนผมตอนนั้น เค้าบอกว่าถ้าเกิดมาตรงนี้จริง ๆ เราอาจจะมีงานรีวิวนะ แล้วบังเอิญว่าก่อนหน้านั้นมีเพื่อนของผมที่เป็นเดือนคณะเข้ามาคุยกับผมว่าไปรับงานรีวิวมา แล้ว 1 โพสต์ ได้ 500 บาท ผมทึ่งมากนะ อะไรคือการลงรูปในโซเชียลแล้วได้เงิน 500 บาท มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก แล้วผู้จัดการผมดันพูดเรื่องนี้พอดี ผมก็เลยตกลง ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีคนชวนแล้วเหมือนกัน แต่เค้าชวนเพื่อนผมที่เป็นเดือนคนนั้นแหละ แต่ไม่ได้ชวนผม แล้วพอผมพาเพื่อนไปเจอ เค้าก็พูดกับผมว่าไปอยู่กับพี่ด้วยก็ได้นะ แต่ความรู้สึกผมมองว่าคุณไม่ได้ชวนผมตั้งแต่แรก ก็เลยเบี่ยง ๆ แล้วบังเอิญว่ามาเจอพี่อั๋น ที่รู้สึกว่าเค้าอยากได้เราไปทำงานจริง ๆ โดยที่เห็นเรามีคุณค่า ที่ไม่ใช่สินค้า ผมก็เลยมีทุกวันนี้ครับ”หยิ่นวอร์ กับข้อคิดที่ได้รับจากการแสดงวอร์ : “ผมรู้สึกว่าวงการนี้ให้หลักคำสอนคือ โอกาสมันมาไม่ได้นาน และมันอยู่ไม่ได้นาน บางทีเราต้องมีศักยภาพก่อนที่จะคว้ามันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อย่างเช่นถ่ายงานมันมีเวลากำหนด 6 โมงถึง 4 ทุ่ม ซึ่งมันไม่สามารถทำให้นานกว่านั้นได้ เพราะมีทีมงานอีกหลายคน เราก็เลยต้องทำให้มันดีตั้งแต่คัทแรกไปเลย ไม่อย่างนั้นโอกาสมันอาจจะหลุดลอย ถ้าความสามารถของเรามันคว้าไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีอะไรต้องทำให้เต็มที่ไว้ก่อน”หยิ่น : “การแสดงให้ทุกอย่างเลย ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น และผมรู้สึกว่า จริง ๆ แล้วเราเป็นหนึ่งคนที่มีคุณค่า และเราจะส่งต่อพลังบวกให้ใครหลาย ๆ คนได้ มีแฟน ๆ หลายคนที่เค้าแท็กมาว่า เค้าป่วยนะ แต่เค้าดูเราแล้วเค้าหาย จนผมรู้สึกว่าในชีวิตนี้เราสามารถเป็นประโยชน์ขนาดนี้ได้จริง ๆ เหรอ โดยที่เราไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ และการแสดงเป็นงานที่มีความสุขนะ เราได้เจอเพื่อนที่สนิทกันตลอด แล้วยังสร้างคุณค่าให้ใครหลาย ๆ และผมค่อนข้างชอบนะที่เราเป็นประโยชน์ให้ใครหลาย ๆ คนได้”วอร์ : “นักแสดงที่ดี ผมรู้สึกว่ามันคือการเอาประสบการณ์ที่เรามีอยู่มาใช้ อย่างเช่น ที่เราพบเจอ และสังเกตคนบ่อย ๆ เพราะว่าการเป็นนักแสดงมันไม่ได้แสดงเป็นตัวเราเอง แต่ว่ามันก็แสดงไปเป็นคนอื่นเลย 100% ไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการสังเกตรายละเอียดของคนมากกว่า ผมรู้สึกว่าถ้าเกิดเรามีวัตถุดิบเยอะเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีมุมมองที่กว้างมากขึ้นจนสามารถแสดงเป็นบุคลิกที่มันไกลตัวเราไปได้ หมั่นสังเกตบุคลิกคน หมั่นสังเกตการใช้ชีวิต แล้วคุณจะมีวัตถุดิบที่มากขึ้นแถมยังได้เข้าใจชีวิตคนอื่นมากขึ้นด้วย”หยิ่น : “ผมว่าถ้าเราอยากเป็นนักแสดงที่ดี ควรมีเครื่องมือให้ครบดีกว่า เพราะว่าการเป็นนักแสดงก็เหมือนการเป็นช่างหนึ่งคน บางทีถ้าเกิดผมจะต้องเลื่อยโต๊ะนี้ แล้วผมไม่มีเลื่อย ก็กลายเป็นว่าเราก็ยังทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็อยากให้เตรียมเครื่องมือเอาไว้เยอะ ๆ แต่ผมว่าคนที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นคนที่มาพร้อมกับพรสวรรค์จริง ๆ เพราะว่าผมเทียบกับตัวเองที่แสดงเรื่องแรก ตอนนั้นเราเล่นแข็งมากนะ เพราะเป็นประสบการณ์ที่ใหม่มาก จึงมองว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาส แต่ถ้าเรามีเครื่องมือพร้อม เก็บชั่วโมงบินตัวเองให้ได้ เชื่อว่าผลงานมันก็จะดีเอง”วอร์ กับข้อคิดที่ได้จากการปั้นเซรามิกวอร์ : “ผมรู้สึกว่าการปั้นเซรามิกมันเป็นวิทยาศาสตร์มาก ๆ แล้วมันก็เป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่จะคิดวิธีนี้ การเอาดินที่มันเหลว ๆ มาปั้นเป็นรูป แล้วก็ใส่ความร้อนเข้าไปให้มันแข็งตัวเปลี่ยนจากดินเหลว ให้กลายเป็นของที่ขึ้นทรงแล้วใช้งานได้ หรือการจะเอาสารเคมีมาหลอมละลายให้มันกลายเป็นสารเคลือบที่มันให้สี ผมรู้สึกว่าเวลาเราทำงานศิลปะในแขนงนี้ มันเหมือนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปด้วย และบางครั้งมันเกิดความผิดพลาด เราก็มักจะหาคำตอบได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วมันทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ศาสตร์นี้ผมรู้สึกว่าเรียนทั้งชีวิตมันก็ไม่รู้จบ ต้องเจาะลึกไปเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่าฝึกสมาธิครับ แต่ว่าผมก็หัวร้อนเหมือนเดิม หลายคนบอกว่ามันฝึกให้เราเป็นคนใจเย็น แต่ถ้าผมไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการผมก็ทุบทิ้งผมอยากมีงาน Exhibition ของตัวเองเกี่ยวกับเซรามิกด้วยครับ เพราะเรียนออกแบบมาก็อยากทำงานเกี่ยวกับออกแบบ แล้วผมรู้สึกว่ามันให้ข้อคิดที่บางทีไม่รู้ตัวด้วย เพราะการปั้นมันตรงกับปรัชญาคัมภีร์ห้าห่วง ของ มิยาโมโตะ มูซาชิ ที่เป็นซามูไร เค้าบอกว่า ก่อนอื่นคุณต้องมีความแข็งแกร่งในตัวเองก่อนเป็นพื้นฐาน แต่ว่าที่เหนือกว่าความแข็งแกร่งคือความอ่อนโยน มันก็เปรียบเหมือนดินก้อนที่แข็ง มันจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าเราไม่ผสมน้ำ ผมก็เลยรู้สึกว่าชีวิตเราควรมีความอ่อนโยน เพราะมันจะทำให้เราลื่นไหลไปได้กับทุกคน ไปเจอสังคมแบบไหนเราก็ปรับตัวตามแบบนั้น ปั้นไปด้วยก็คิดไปด้วยครับ”หยิ่น : “ตอนที่ผมเห็นพี่วอร์ปั้นครั้งแรก ๆ ผมก็ทึ่งแล้วนะ แล้วตอนที่ผมมีงานแฟนมีตครั้งแรก ทีมงานเค้าก็จะถามว่า ในพาร์ทตัวเองอยากจะโชว์อะไร โดยทั่วไปก็จะร้องเพลง แต่พี่วอร์เป็นคนเดียวที่เอาหม้อมาปั้น แล้วก็เปิดเพลงคลอไปด้วย พอมาวันนี้เค้ามีโอกาสได้ทำจริงจังจนเกิดเป็นไวรัล ผมดีใจนะที่สิ่งที่เค้าชอบ ทำให้ใครหลาย ๆ คนชอบ แล้วนี่ก็อาจจะเป็น Soft Power ด้วย”คู่หู หมูยอ และคำขอบคุณจาก หยิ่นวอร์วอร์ : “สำหรับด้อมหมูยอ ผมบอกทุกครั้งว่าขอบคุณมาก ๆ เค้าเป็นเหมือนยักษ์ตัวใหญ่ ๆ ที่ให้ผมเกาะไหล่เค้าไป ยิ่งตัวใหญ่แค่ไหน ผมยิ่งมองโลกได้ไกลขึ้น คือการเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วมีคนสนับสนุนที่เยอะมาก ๆ มันทำให้ผมได้ไปเจอในโอกาสใหม่ ๆ ที่ในชีวิตนี้ผมไม่คิดว่าจะเจอด้วยซ้ำ อย่างการไปขึ้นเวที เห็นคนดูเยอะ ๆ แล้วเค้าได้รับอะไรกลับไปจากการแสดงของเรา จากการที่เราโชว์แล้วเค้ารับแรงบันดาลใจกลับไป หมูยอ สุดยอดมาก ขอบคุณยักษ์ตนนี้มาก ๆ ที่พาผมไปในทุกที่เลยครับ”หยิ่น : “ผมจะบอกหมูยอตลอดเลยว่า อย่าเบื่อนะที่ผมจะขอบคุณ เพราะว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่าเราได้แรงสนับสนุนจากทุก ๆ คน มันเลยทำให้มีเราวันนี้ และเราก็อยากตอบแทนเค้ากลับไป จนกลายเป็นวัฏจักรวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ แล้วก็แรก ๆ พี่วอร์เคยวาดรูปยักษ์แล้วเค้าเกาะอยู่บนไหล่ยักษ์ฝั่งหนึ่ง แล้วผมก็วาดรูปผมอยู่อีกฝั่งด้วย ขอเกาะไหล่ยักษ์ตัวเดียวกันไปด้วยกันครับผม”วอร์ : “สำหรับหยิ่น ที่อยากจะพูดก็คือ เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ยิ่งพออายุ 30 มันเห็นได้ชัดเลยว่า จากหลังไม่ปวดมันจะเริ่มมีก๊อกแก๊กแล้ว แล้วเวลาเตะบอลเกิดขาพลิกขึ้นมามันใช้เวลานานกว่าจะกลับมาปกติ แล้ว หยิ่น อายุยังไม่ 30 เลย แต่เค้ามีอาการเกี่ยวกับหลังก่อนผมแล้ว เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แล้วก็ขอให้อายุ 70 เรายังวิ่งได้เหมือนเดิม เตะบอลได้เหมือนเดิม และอยู่ด้วยกัน ไปทำกิจกรรมตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนแก่เราก็ยังไปเที่ยวด้วยกันได้ครับ”หยิ่น : “สำหรับพี่วอร์ ปีแรก ๆ เราจะพูดกันด้วยความลึกซึ้ง แต่ว่าพอหลัง ๆ เราพูดไปหมดแล้ว และเราทั้งคู่พูดออกมาจากใจจริง ๆ เพราะฉะนั้นก็อยากจะบอกว่า ทุกความหวังดี ผมพูดมาจริง ๆ ผมพูดมาตั้งแต่ต้น ต่อให้เราไม่ได้อยู่คู่กัน ต่อให้เราไม่ได้เล่นด้วยกัน ผมยังหวังดีกับคุณเสมอตลอดเวลา ซัพพอร์ททุกผลงาน มีงานอะไรก็จะเชียร์ ดันหลังกันไปกันมาตลอด แล้วก็จะบอกว่าขอให้ได้ทำตามฝันตัวเอง ทั้งเรื่องการเป็นนักแสดง แล้วก็เรื่องที่อยากจัดงานแกลอรี่ นอกจากงานปั้นแล้ว ผมก็อยากให้เค้าได้จัดงานภาพด้วย เพราะว่าเค้าเป็นคนที่วาดภาพได้ลึกซึ้ง แล้วผมก็ชอบงานภาพเช่นกัน ก็ขอให้ทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ครับ”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

GREEN HEART

“Food waste กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวโลก !”

20 ส.ค. 2024

“Food waste กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวโลก !”

ในปัจจุบันนี้ปัญหาขยะอาหาร (food waste) ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงอาหารที่ถูกทิ้งขว้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ นอกจากจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานที่ใช้ในการผลิตแล้ว ยังสร้างปัญหามลพิษจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะอาหารอีกด้วยFOOD WASTE คืออะไร?ขยะอาหาร (Food Waste) หมายถึง อาหารเหลือทิ้งในตอนปลายของห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) จากทั้งในส่วนของผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค ทั้งเศษอาหารที่รับประทานไม่หมด อาหารกระป๋องที่หมดอายุ เศษผักผลไม้ตกแต่งจาน รวมไปถึงอาหารเน่าเสีย และหมดอายุจากการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมของร้านอาหาร ภัตตาคาร และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ​คนไทยสร้างขยะอาหาร (Food Waste) เฉลี่ย 86 กิโลกรัม/คน/ปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 79 กิโลกรัม/คน/ปีในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการสร้าง Food Waste มากขึ้น การแก้ไขปัญหานี้ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปรับปรุงกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียอาหาร และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนแล้วแต่ละที่มีวิธีจัดการยังไงบ้าง ?เนื่องจากปัญหานี้กลายเป็นปัญหาที่ทั่วโลกตระหนักถึง จึงเริ่มมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมปัญหาเช่น· ประเทศสเปน มีการร่างกฎหมายเพื่อลดขยะอาหาร กำหนดให้ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารส่งเศษอาหารเหลือทิ้ง หรือผลไม้ที่สุกมากแล้วให้กับธนาคารอาหารและองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อนำไปแปรรูป· ประเทศจีน ได้มีการตั้งกฎหมายห้ามสั่งอาหารเกินความจำเป็นและมีการห้ามทำไลฟ์สตรีมมิ่งกินจุเกินความจำเป็น· ประเทศฝรั่งเศส มีการออกกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านขยะอาหาร โดยให้ร้านค้าปลีกที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไปจะต้องบริจาคสินค้าอาหารที่ยังทานได้แก่มูลนิธิรับบริจาคอาหาร เพื่อ ให้ผู้ที่ต้องการ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับประมาณ 133,293 บาทไทย ในขณะเดียวกันผู้บริจาคจะได้รับเครดิตภาษี 60% ของมูลค่าอาหารที่บริจาคสุดท้ายนี้หากเราต้องการลดปัญหา food waste เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เริ่มจากการไม่ซื้ออาหารเกินความจำเป็น ดูวันหมดอายุก่อนซื้อ หรือถ้ามีอาหารเหลือ ควรนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือนำไปใช้ทำเมนูใหม่ๆ มาช่วยกันรักษาโลกให้น่าอยู่ด้วยการลด food waste กันค่ะ !Author : Warissแหล่งข้อมูล :https://tdri.or.th/2019/10/food-waste/https://ngthai.com/science/40756/food-waste-food-loss/https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/SBUVol3N8-FB-2024-04-22.aspx?utm_source=SBUVol3N8utm_medium=linkutm_campaign=fbfbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0lbJOIxi7s9jT_oLAJodRNPE3IuvTVhxsM-pB3xX4orrRQzRvt-OSN7oM_aem_wX47GkR5ETVGVPSbmf70SA

‘Greener Bangkok’ กทม. รวมไว้แล้ว ! ความรู้สีเขียวของคนเมือง

19 ส.ค. 2024

‘Greener Bangkok’ กทม. รวมไว้แล้ว ! ความรู้สีเขียวของคนเมือง

ทำยังไงดีอยากแยกขยะให้ถูก ?หาที่พาหมาไปเดินเล่นใกล้ๆบ้าน ?อยากบริจาคอาหารและของใช้ ?เว็ปไซต์ Greener Bangkok รวบรวมข้อมูลไว้แล้วในที่เดียว! ผ่านการเป็นพื้นที่ให้ความรู้สีเขียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองกรุง โดยการร่วมมือกันระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ทุกคนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากต้นทาง หรือ เริ่มต้นจากสองมือของเรานั่นเองในปัจจุบัน เมืองหลวงของเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการจัดการขยะปริมาณ 10,000 ตันในแต่ละวัน โดยขยะส่วนใหญ่ถูกส่งไปฝังกลบที่ต่างจังหวัด เช่น อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และอ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โดยภายในพื้นที่ของกทม.มีจำนวนขยะเพียง 500 ตันเท่านั้นที่ถูกส่งไปที่โรงเผาขยะที่หนองแขม ส่งผลให้จำนวนขยะที่เหลือกลายปัญหาสำหรับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ต้องแบกรับมลพิษทางกลิ่นที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนในเมืองขาดความรู้ความเข้าใจ จากการที่ไม่มีแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่ายหรือรวมเป็นหลักเป็นแหล่งโดยนายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกทม. และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกทม. กล่าวว่า Greener Bangkok เป็นดั่งศูนย์กลางข้อมูลออนไลน์ เสมือนคลังข้อมูลให้ประชาชน องค์กร และทุกภาคส่วนที่ต้องการข้อมูลและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างและดูแลเมืองหลวงของเราให้เป็นเมืองยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถ้าอย่างนั้นมาแอบส่องไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในเว็ปไซต์กันดีกว่า ว่าก้าวแรกที่เราจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทำให้เมืองน่าอยู่ได้ มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?·How to ทิ้ง ช่วยทุกคนจัดการและรีไซเคิลขยะอย่างถูกวิธีให้ความรู้การทิ้งขยะกว่า 115 ชนิด อย่างถูกวิธีง่ายๆ เข้าใจวิธีการจัดการที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง·ตรวจเช็คค่าฝุ่น PM 2.5 เรียกดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ทุกพื้นที่·ให้บริการข้อมูลพื้นที่สีเขียว พิกัดสวนสาธารณะใกล้บ้านที่สัตว์เลี้ยงสามารถเข้าได้·บริการกำจัดขยะชิ้นใหญ่ฟรีกทม.จะทำการส่งรถไปรับบริการถึงที่ เพื่อรับสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าจะทิ้งลงในถังขยะทั่วไป· บริการตัดต้นไม้โดยรุกขกร ตัดต้นไม้โดยช่างตัดแต่งมืออาชีพ·มินิเกมแสนสนุกแฝงความรู้เรียนรู้เรื่องกรีนๆอย่างสนุกสนาน ผ่านมินิเกมที่จะพาประเมินว่าภายในหนึ่งปี ตัวเราปล่อยคาร์บอนสู่โลกนี้ไปมากน้อยแค่ไหน หรือการจำลองแยกชนิดขยะด้วยตัวเอง สู่การนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเองเห็นเลยได้ว่า Greener Bangkok ได้รวมฟังก์ชันที่หลากหลายไว้แล้วครบเครื่องจริงๆ แต่กระซิบไว้ก่อนว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเพียงเท่านั้น ทุกคนสามารถกดเข้าไปลองอ่าน ลองเล่น และค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆได้เพิ่มเติม ที่ greenerbangkok.com รับรองได้เลยว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้นจะมีมากกว่าความรู้อย่างแน่นอน แล้วมาร่วมกันคนละไม้คนละมือ ให้เมืองของเราน่าอยู่มากขึ้นกันเถอะ !Author : L’araอ้างอิงgreenerbangkok.comระบบสารสนเทศด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (pcd.go.th)"ขยะล้นเมือง" คนไทยสร้างขยะเฉลี่ย 7.3 หมื่นตัน/วัน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอสวาระซ่อมกรุงเทพฯ : แผนจัดการขยะกทม. 20 ปี ยังคง 'ล้นเมือง' ต่อไป - ThaiPublicaกรุงเทพฯ กับปัญหาขยะล้นเมือง (arcgis.com)ขยะของคน กทม. ที่ถูกนำไปทิ้งที่บ้านคนอื่น - Rocket Media Lab

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

16 ก.ค. 2024

กินเที่ยวฟรี ที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ค ถ้าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม!!

การท่องเที่ยวเมืองโคเปนเฮเก้น เปิดตัวแคมเปญทดลอง “Copenpay” เที่ยวฟรี ถ้านักท่องเที่ยวช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวหรือ ผู้อยู่อาศัยในเมือง ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม แลกกับ อาหารฟรี และ ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ฟรีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถทำได้อย่างเช่น เก็บขยะ ใช้ขนส่งสาธารณะ ใช้จักรยานในการเดินทางรอบเมือง หรือ เป็นอาสาสมัครให้ฟาร์ฺมในเมืองสิ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถแลกได้ เช่นอาหารกลางวัน กาแฟ ไวน์ หรือ พายเรือคายัคฟรี เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง พิพิธภัณฑ์ บาร์ต่างๆ หรือ ที่อื่นๆฟรีโดยสถานที่ท่องเที่ยวเอกชนเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการสมัครใจเข้าร่วมโครงการซึ่งตอนนี้มีประมาณ 24 หน่วยงานเอกชนที่เข้าร่วม โครงการนำร่องนี้ซึ่งการแลกจริงๆ ก็ไม่ได้มีการตรวจเช็คหลักฐานใดๆ จากนักท่องเที่ยว อาจจะต้องมีการโชว์ภาพขี่จักรยานบ้าง หรือ ตั๋วโดยสารขนส่งสาธารณะบ้าง แต่โดยหลักจะใช้ระบบ ความเชื่อใจนักท่องเที่ยวโครงการนี้ทำขึ้นมาเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว แค่การบินไปเที่ยวต่างประเทศก็ทำลายสภาพชั้นบรรยากาศแล้ว แต่ นักท่องเที่ยวสามารถไปลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางเป็นการชดเชยโคเปนเฮเกน เป็นเมืองที่ได้รับคะแนนความยั่งยืนลำดับต้นๆของโลก ที่นี่มีจำนวนจักรยานมากกว่า รถยนต์ถึง 4 เท่า ประชากร 62% เดินทางโดยใช้จักรยาน ในเมืองมีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้จักรยาน โรงแรมส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานรักษาส่ิงแวดล้อม คลองสะอาดว่ายน้ำได้ น้ำประปาสะอาด ใช้ดื่มได้ พลังงานไฟฟ้า 70% มากจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานความร้อนที่ใช้ มาจากวัสดุย่อยสลายทางธรรมชาติโดยหน่วยงานการท่องเที่ยวโคเปนเฮเกนหวังว่า โครงการนี้จะจุดประกายให้ขยายไปเมืองต่างๆ ทั่วเดนมาร์ค หรือ แม้กระทั่งไปยังเมืองต่างๆทั่วโลกถ้าใครอยากเข้าร่วมโครงการนี้ ก็จะต้องรีบหน่อย เพราะโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึง 11 ส.ค. นี้เท่านั้น แต่ถ้าโครงการประสบความสำเร็จอาจจะมีการขยายไปจนถึงปลายปีนี้ด้วยแหล่งที่มา :BBC https://www.visitcopenhagen.com/copenpayhttps://youtu.be/KbZYnnXoSVs?si=_8huK7nS5NkE4Nqe

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

09 ก.ค. 2024

ผ่านมาครึ่งปี ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม จากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว กว่า 7,000 คน!

ทั่วโลกมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 50 ล้านคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจาก กว่า 1.19 ล้านคนต่อปีและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ของผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 5-29 ปีนอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิต คือคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และ ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์92% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มาจากประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ ประเทศกำลังพัฒนา มีจำนวนรถเพียง 60% ของทั้งโลกประเทศไทยเองก็มีการเก็บสถิติ ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวัน เฉลี่ยวันละหลายสิบราย และ บาดเจ็บเฉลี่ยวันละ 2 พันกว่าคนโดดช่วงเวลาที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด คือ ช่วง 17.00-21.00 น. โดยผู้เสียชีวิต 75% เป็นเพศชาย และ ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุ 82% คือ มอเตอร์ไซค์ และจังหวัดที่มีอุบัติเหตุลำดับต้นๆได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุท้องถนน ปีละ 17,000 คน และ มีผู้พิการจากอุบัติเหตุกว่า 15,000 คน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้านบาทซึ่ง UN ได้ออกมารณรงค์ เรียกร้องเป็น ทศวรรษที่ 2 ให้ทุกคนใส่ใจ เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน เช่นการใส่หมวกกันน็อค การไม่ขับขี่ขณะมึนเมา หรือ แม้แต่การคาดเข็มขัดนิรภัย ที่ลดอัตราการเสียชีวิตได้มากถึง 50%และยังพบว่าพฤติกรรมคนขับรถ ที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุขึ้น 4 เท่านอกจากนี้ยังมีการรณรงค์ให้ภาครัฐของทุกประเทศ ช่วยกันปรับปรุงเส้นทางการคมนาคมขนส่ง และ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมายการลดอุบัติเหตุลงให้ได้ครึ่งนึง ภายในปี 2030พวกเราในฐานะผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน สิ่งที่พอจะควบคุมได้ หากเพียงผู้ขับขี่ยานพาหนะ เคารพกฏจราจร ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย และมีสติขณะขับขี่ หรือ ขณะใช้ท้องถนนอยู่เสมอ ก็จะสามารถลดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นลงไปได้มากแล้วข้อมูลจาก :WEFมูลนิธิเมาไม่ขับ

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

03 ก.ค. 2024

“โอลิมปิค ปารีส 2024 มหกรรมกีฬาร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์”

กีฬาโอลิมปิคที่ปารีสในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่าง 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดกว่า 40⁰C เพราะเป็นช่วงที่เป็นฤดูร้อนของยุโรปในซีกโลกเหนือพอดีมหกรรมกีฬาโอลิมปิคในคราวนี้ ฝรั่งเศสตั้งเป้าไว้ให้เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่เขียวที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ (ย้อนไปอ่านบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ได้)หมู่บ้านนักกีฬา เป็นสถานที่ใช้รับรองนักกีฬา และเจ้าหน้าที่กว่า 15,000 คนในกีฬาโอลิมปิค และใช้รับรองนักกีฬา และ เจ้าหน้าที่กว่า 9,000 คนในกีฬาพาราลิมปิค สถานที่นี้ถูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำแซน ใช้กระแสลมธรรมชาติพัดผ่านให้ความเย็นกับกลุ่มอาคาร ประกอบกับการใช้ระบบระบายความร้อนในอาคาร ที่มีการติดตั้งหลังคาสีเขียวลดความร้อน มีบานประตู หน้าต่าง ป้องกันแสงแดด และความร้อนในเวลากลางวัน รวมทั้งมีการปลูกต้นไม้รายรอบอาคาร เพิ่มร่มเงา และความเย็นในพื้นที่ ส่วนภายในห้องพักจัดไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียง และ พัดลม คือ...มีทุกอย่าง แต่ไม่มีแอร์ เครื่องปรับอากาศซึ่งเหตุผลของการไม่ติดตั้งแอร์ เพราะแอร์อาจทำให้นักกีฬาเย็นได้จริง แต่จะสร้างความร้อนให้กับพื้นที่รอบข้าง และการตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยกว่าโอลิมปิกลอนดอน 2012 ให้ได้ 50%ทำให้นักกีฬาหลายประเทศ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค อังกฤษ กรีก และ อิตาลี ประกาศว่า จะยกแอร์ไปติดเอง ส่วนนักกีฬานิวซีแลนด์ ก็จะเอาแอร์เคลื่อนที่ไปติดเองเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ทุกห้อง จะกระจายไปในหลายอาคารที่พวกเขาพักในกีฬาโอลิมปิคครั้งล่าสุด ในปี 2021ที่ญี่ปุ่น ที่ว่าร้อนแล้ว สภาพอากาศปีนั้นอุปสรรคอย่างมากกับนักกีฬา มีผู้เข้าแข่งขันหลายคน ทั้งอาเจียน และ เป็นลมขณะแข่งขัน เพราะความร้อน แต่ครั้งนี้ สภาพอากาศก็จะร้อนยิ่งกว่า จากการพยากรณ์อากาศ มีแนวโน้มมากถึง 70% ที่อากาศปารีสจะร้อนกว่าปกติ และเมื่อรวมกับความชื้นในอากาศที่สูง ยิ่งทำให้ ความร้อนที่รู้สึก สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งมีคำเตือนว่า กรณีเลวร้ายที่สุด อาจทำให้นักกีฬาเสียชีวิตและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “คลื่นความร้อน (Heatwave)” ที่อาจเกิดขึ้นขณะที่จัดการแข่งขัน ซึ่งจากสถิติตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ปารีสโดนคลื่นความร้อนเล่นงานไปกว่า 50 ครั้งแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อน กว่า 14,000 คนซึ่งสาเหตุของคลื่นความร้อน ก็มาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง และเป็นการเตือนโลกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกมหกรรมกีฬา จะต้องประสบปัญหาเรื่องความร้อนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดปัญหาโลกร้อนจึงไม่ใช่แค่ปัญหาของวงการสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้มันพิสูจน์ชัดแล้ว ว่ากระทบไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาการแข่งขันที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่การแข่งกีฬา หรือ การแก่งแย่งกันเอง แต่เป็นการแข่งขันที่มนุษยชาติต้องร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำทุกวิถีทาง เพื่อเข้าเส้นชัย หยุดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เร็วที่สุด โดยที่มีชีวิตเพื่อนมนุษย์ทุกคนเป็นเดิมพัน

European Green Deal คืออะไร? เมื่อ ‘ฝาขวดน้ำ’ ก็ช่วยโลกได้

01 ก.ค. 2024

European Green Deal คืออะไร? เมื่อ ‘ฝาขวดน้ำ’ ก็ช่วยโลกได้

การได้ไปเที่ยวยุโรป เปิดขวดเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบในวันที่อากาศร้อน นับเป็นหนึ่งในความสุขสดชื่นอีกแบบ แต่ในฤดูร้อนปีนี้ประสบการณ์ดื่มคงจะแตกต่างออกไป จากการกำหนดนโยบาย‘ลดโลกร้อน’และการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของยุโรปครั้งใหม่ ที่จะมีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 นี้European Green Deal คืออะไร ?ในเดือน ก.ค. 2021คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission)มีแผนการทำงานเพื่อสนับสนุนให้อุณหภูมิของโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ และในปี 2050 ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทำให้เกิดเป็น‘European Green Deal’ หรือมาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 55 ในปี 2030 หรือFit for 55 Packageซึ่งเป็นร่างกฎหมายเพื่อรับรองเรื่อง- การปรับปรุงสิทธิการซื้อขายและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก- การส่งเสริมการคมนาคมสีเขียวทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ- การกำหนดอัตราภาษีธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม- การกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน- การตั้งเป้าหมายการดูดซับก๊าซเรือนกระจก- และการออกมาตรการCBAM(Carbon Border Adjustment Mechanism)มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป คือการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป European Union (EU)EU Green Deal – EU-ASEAN (euinasean.eu)สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ ‘ฝาขวดน้ำ’นโยบายดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุโรป ดังล่าสุดที่หลายประเทศกำลังบอกลาฝาขวดพลาสติกแบบเก่า และหันมาใช้ขวดน้ำที่มีฝาติดอยู่ ตามกฎของ European Green Deal ที่จะมีข้อบังคับในวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 กำหนดให้เครื่องดื่มที่มีขนาดไม่เกิน 3 ลิตร ต้องใช้ฝาน้ำดื่มที่ติดอยู่กับตัวห่วงและขวดบรรจุภัณฑ์ (Tethered Caps)เพื่อลดการหลุดรอดไปยังสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสัตว์โดยโฆษกกระทรวงสิ่งแวดล้อมสภาพภูมิอากาศและการสื่อสารแห่งไอร์แลนด์ กล่าวว่า“ฝาจํานวนมากถูกแยกออกจากขวดหลังการใช้งาน และฝาที่อยู่ในถังรีไซเคิลก็มักจะมีขนาดเล็กและเบาเกินไปสําหรับอุปกรณ์คัดแยกที่จะจัดการ และกลายเป็นขยะตกค้างไม่ได้นำไปรีไซเคิลในที่สุด”“รายงานจาก National Litter Pollution Monitoring System แสดงให้เห็นว่า ขยะจากฝาเครื่องดื่ม คิดเป็นประมาณ 15% ของขยะบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนของฝาขวดน้ำ ที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปนั้นมีอิสระในข้อกําหนดตนเอง ตราบใดที่ "ฝาปิดยังคงติดอยู่กับภาชนะในระหว่างใช้งาน ตามวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์"ดังนั้น หากคุณกำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวในแถบยุโรปช่วงเดือนกรกฎาคม คุณได้อาจเจอกับฝาพลาสติกรูปแบบใหม่ที่ติดอยู่กับขวด เป็นส่วนช่วยทำให้ขบวนการรีไซเคิลเกิดขึ้นได้ง่าย ลดอันตรายต่อสัตว์โลก และเป็นการลดโลกร้อนอีกทางหนึ่งอีกด้วย

album

0
0.8
1