เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

Club Pride Day Recap

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

31 ม.ค. 2025

“การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จำเป็นต้องรอ และวันนี้ปิงมีลูก เพื่อทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ในอนาคตเราจะต้องเจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกมากมาย ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรในรุ่นต่อไป จึงอยากให้มีการทำความเข้าใจ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฝัน และมันไม่ผิดแปลกเลยที่ปิง อยากจะมีลูก”

 

 

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ปิงลี่ เฟมัส” แม่ค้าขายของออนไลน์สุดปัง อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง แถมดีกรีเน็ตไอดอลพี่กระเทย ที่โด่งดังในโลกโซเชียล เคยปรากฏตัวตามในรายการดัง และเป็นเพื่อนของแก๊งอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เอม ตามใจตุ๊ด, นินิว เพชรด่านแก้ว และ มิกซ์ เฉลิมศรี นอกจากนี้แล้วยังมีดีกรีเป็นนางงาม เจ้าของตำแหน่ง มิสขี้เมา ปี 2024 กับบทบาทล่าสุดคือการเป็นคุณแม่ป้ายแดงอีกด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ

 

ปิงลี่ เฟมัส ชื่อนี้ได้แต่ใดมา

“ต้องบอกว่าตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ปิงลี่ ฮะโหน่ง เพราะว่า มิกซ์ เฉลิมศรี เป็นคนตั้งให้ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนติดดูดวงมาก ก็เลยได้หมอดูคนดังมาดูดวงให้ ทีนี้เค้าเลยบอกว่าให้ตั้งชื่อว่า ปิงลี่ เฟมัส แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะอยู่ในวงการนี้ได้นาน และค่อย ๆ ก้าวไปแบบมั่นคง ถ้าใช้ชื่อว่า ฮะโหน่ง คนก็จะจําแบบไม่นาน หมอดูก็เลยให้ใช้เป็นชื่อนี้ จะได้วางตัวดี ๆ หน่อย

ส่วนชื่อ ปิง ได้มาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นกะเทยหัวโปก แล้วไปเห็นว่ามีรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ต่างโรงเรียนกัน แล้วน้องชื่อ น้องปิง เป็นดาวโรงเรียน สวยชนิดที่ว่า ถ้าพูดชื่อนี้ที่พิษณุโลก คือรู้จักเลย แล้วเราก็อยากให้คนรู้จักบ้าง ก็เลยใช้ชื่อ น้องปิง จากนั้นก็กลายเป็นว่าใช้ชื่อนี้มาจนถึงเรียน ม.กรุงเทพ แล้วพอมาเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นใครมีชื่อสองพยางค์มันน่ารักเลย ก็เลยใช้ชื่อ ปิงลี่

ก่อนเป็น ปิงลี่ เราชื่อ วัด เพราะตอนเด็ก ๆ ป่วยบ่อย คุณแม่ก็เลยเอาไปเป็นลูกบุญธรรมของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อบอกว่าให้เอามาถวายให้หลวงพ่อ จะทำให้แข็งแรงขึ้น ผีจะได้ไม่เอาไป”

 

 

มาถึงวันนี้ ปิงลี่ ภาคภูมิใจอะไรที่สุดในชีวิต

“ปิงภูมิใจเรื่องของ ความอดทน ของตัวเอง เพราะปิงใช้คําว่าช่างมันกับตัวเองค่อนข้างเยอะมาก จนสามารถผ่านเรื่องที่เลวร้าย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย แล้วมันก็เกิดขึ้นกับเรา จน ปิงลี่ ก็ใช้คําว่า ช่างมัน และ อดทน จนผ่านมันมา

ปิงเกิดในครอบครัวที่ พ่อแม่เป็นกรรมกร แล้วตั้งแต่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณแม่ก็จะเป็นคนที่หาเงินคนเดียว ได้เงินเดือนละ 3,000 บาท แล้วแม่ต้องเลี้ยงลูกสองคน ดังนั้นเรื่องที่เราจะต้องได้เสื้อผ้าใหม่ หรือของเล่นอะไรใหม่ ๆ คือเกิดขึ้นน้อยมาก หรือบางครั้งขาดไปเลยก็มี เพราะต้องใช้เงินเพื่อกินไปวัน ๆ เท่านั้น

แล้วปิงมองว่ามันน่าจะเป็นทุกบ้านที่จะมีลูกรักของพ่อ หรือลูกรักของแม่ ซึ่งปิงเองเป็นลูกของแม่ แล้วตั้งแต่พ่อเลิกกับแม่ไป พี่สาวก็จะได้เจอกับคุณพ่อบ่อย ส่วนเราก็ไม่เจอเลย แต่เราก็เป็นคนเลือกที่จะไม่เจอนะ เพราะเรารู้สึกว่าทําใจไม่ได้กับการเลิกกันของทั้งคู่ และไม่สบายใจเวลาที่เห็นแม่ร้องไห้

นอกเหนือจากความอดทนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวแล้ว อีกอันคือ ในยุคนั้นการบูลลี่ การแกล้ง โดยเฉพาะเป็นเพศนี้ ก็จะโดนแกล้ง ซึ่งต้องใช้ความอดทนกว่าจะผ่านมาได้ มันเลยเป็นสิ่งที่เราภูมิใจค่ะ”

 

 

ที่เข้มแข็งในวันนี้ เพราะเคยโดนบูลลี่มาก่อน

“ตอนเด็ก ๆ ปิง โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งบ่อย มีครั้งหนึ่งคือถูกเอาปืนแก๊ป ที่มันเป็นหลุมยิงได้ 6 นัด เอามายิงใส่เสื้อเสื้อเราจนขาดเพราะมันเป็นประกายไฟ พอกลับไปบ้านก็โดนแม่ตี เรื่องนี้แหละนำให้ปิงไปสู่การที่ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง เพราะตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากเลย กับการโดนแกล้ง จนไม่อยากออกไปเจอเพื่อนเลย ไม่อยากไปโรงเรียนด้วย

ซึ่งคนที่ทำให้ปิงฮึดสู้คือพี่ชายค่ะ ตอนนั้นเค้าเห็นว่าเราไม่สู้คนเลย แล้วเค้าก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราโตไปโดยที่เราไม่ปกป้องตัวเองเลย มันจะทำให้เราเสียเปรียบ แล้วเราก็จะโดนแกล้งอยู่ตลอด เค้าก็เลยพาเราไปสอน ซึ่งตอนนั้นมันจะเป็นมวยคาดเชือก คือเอาเชือกมากั้นเป็นเวที แล้วก็ให้เราขึ้นไปยืน จากนั้นก็ให้เด็กที่ใส่นวมต่อยเรา แล้วเราต้องยืนอยู่ตรงกลาง แล้วก็ต้องทนให้เค้าต่อย จนทำให้ร่างกายมันจํา จะโดนต่อยตรงไหนก็ต้องเกร็งตรงนั้น ถ้าล้มก็ต้องเริ่มใหม่ แล้วเค้าก็จะมาสอนเราว่า ถ้าเราไปสู้มันจะเจ็บแบบนี้ ให้เราได้รู้ก่อนว่าความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง พอเราจําว่าเราจะต้องเจ็บยังไง วันต่อมาเราก็ต้องเริ่มที่จะชก เริ่มที่จะต้องปัด ฝึกแบบนั้นตั้งแต่ 9 ขวบค่ะ”

 

 

เป็นคนรักเพื่อน เพราะมีเพื่อน ถึงมีปิงลี่วันนี้

“หลากหลายครั้งที่ ปิงลี่ เจ็บตัว มันแลกมากับการที่เราพยายามปกป้องเพื่อนเรา เพราะปิงโตมากับเพื่อน เพราะตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อ มันทำให้ปิงมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่แค่แป๊บเดียว เพราะแม่ต้องทำงาน แล้วช่วงที่เราเข้ามัธยม ปิงก็ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหมดเลย กลายเป็นว่า เพื่อนพาไปนอนบ้าน พาไปกินข้าว พาไปโรงเรียน พาไปเที่ยว มันก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน จนเพื่อนเปรียบเสมือนครอบครัวไปเลย

ที่ปิงเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ก็เป็นเพราะเพื่อนเลย ตอนนั้นเรามีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 12 คน ซึ่งทุกคนช่วยกันลงขันคนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันจ่ายค่าเทอมให้ปิง ตอนนั้นค่าเทอมประมาณ 40,000 บาท แล้วพวกเราช่วยกันเรียน ช่วยกันทํางานส่งอาจารย์ จนเรียนจบมาด้วยกันได้

แล้วในชีวิต ปิงรู้สึกว่า มีเพื่อนอยู่สองคน ที่ปิงทักไปหา แล้วอยากเป็นเพื่อนกับสองคนนี้มาก จนทักไปบอกว่า เราขอเป็นเพื่อนเธอได้ไหม ซึ่งสองคนนั้นคือ นินิว เพชรด่านแก้ว และ เอม วิทวัส หรือ เอม ตามใจตุ๊ด ในตอนนั้นปิงรู้สึกว่าพวกเรามันคือไทป์เดียวกัน ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันคงจะตลก แล้วปิงอยากมีเพื่อนตลก แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยที่เป็นเพื่อนกับทั้งสองคน ปิงทักไปหา นินิว ก่อน แล้วถึงจะทักไปหา เอม ซึ่งนางสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว พอได้คบกันแล้วไลฟ์สไตล์เราเข้ากันได้ ก็คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”

 

 

คลิปสุดปัง เปลี่ยนชีวิตปิงลี่

“ถ้าเป็นคลิปที่ดังที่สุดเลย ตอนนั้นก็ต้องเป็น Socialcam เลย ย้อนไป 12 ปีก่อน ตอนนั้นมี Socialcam ก็จะเป็นแอปพลิเคชัน ที่คล้าย Tiktok ที่จะมีการโพสต์วิดีโอลงไป แล้วก็จะมีคลิปที่ปิงถ่ายคู่กับ ธาวิน ก็คือแฟนคนปัจจุบัน มันเป็นคลิปเล่นกันปกติเลย คือปิงตั้งกล้องไว้ แล้วก็จะทํากับข้าวไป อยู่ดี ๆ ธาวิน ก็วิ่งมาผลักเราลงเตียง แกล้งกันแค่นี้เลย แล้วเราก็อัพโหลดคลิป ลงไป กลายเป็นว่าเกิดเป็นไวรัล ยอดผู้ติดตามขึ้นมาเกือบ 200,000 คน กลายเป็นว่าปิงก็ดังข้ามคืนไปเลย

จากนั้นหลังจาก Socialcam ปิด ปิงก็เงียบไปเลย เราก็ไปเป็นแม่ค้า แล้วช่วงนั้น นินิว มีโปรเจกต์อยากทํา สตุ๊ดจ๊อบ แล้วก็มาชวนกันทํา เพราะ นินิว บอกว่า เห็นเราอยู่เฉย ๆ ซึ่งรายการนี้ เกิดมาเพราะว่าเพื่อนมองว่าหนูอยู่เฉย ๆ แต่จริง ๆ เราเป็นแม่ค้าอยู่นะ แต่เพื่อนไม่คิดว่าเราเป็นแม่ค้า มันคิดว่าเราว่างงาน แล้วดูน่าสงสารจัง เพื่อนก็เลยชวนว่ามาทํารายการกันไหม เป็นรายการ สตุ๊ดจ๊อบ ซึ่งตอนนั้น เอม เค้าก็มีรายการตามใจตุ๊ดอยู่ด้วย ก็เลยเกิดเป็นรายการที่แก๊งเพื่อนไปลองทําอาชีพต่าง ๆ จนคนรู้จักปิงมากขึ้น แล้วคนก็มาติดตามเรามากขึ้น แล้วปิงก็เริ่มกลับมาสู่เส้นทาง อินฟลูเอนเซอร์ และ ยูทูบเบอร์ อีกครั้งหนึ่งค่ะ”

 

 

จากจริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ ของ ปิงลี่ เฟมัส

“แรงบันดาลใจในการมีลูกส่วนหนึ่งก็คือ แฟนนี่แหละค่ะ เพราะว่าธาวินเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นคุณพ่อ แล้วเขาก็เลือกแล้วว่าต้องเป็นเรา เขาก็เลยบอกกับเราบ่อย ๆ ว่าเขาอยากมีลูก มีให้หน่อยได้ไหมเรา แล้วเขาศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นกะเทย ดังนั้นการมีลูกมันต้องตอบคําถามหลายอย่างมาก ต้องตอบลูกไม่พอ ยังต้องตอบคำถามกับสังคมอีก จะต้องทํายังไงให้คนได้รู้ว่า มันมีเด็กที่เกิดจาก LGBTQ+ ที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมเราแล้วนะ เราต้องทําให้คนเข้าใจก่อนว่ากระบวนการ และ วิธีการอะไรบ้างที่ทําให้เกิดเด็กแบบนี้ขึ้นได้

ในช่วงแรกที่ปิงคิดจะมีลูก ปิงกลัวว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง ต่อให้เรารู้สึกว่าเราจะเป็นแม่ แต่เราไม่ได้คลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องตั้งคําถามกับตัวเองว่า แล้วเวลาที่คนอื่นมองเข้ามา เค้าก็จะมองว่าเราไม่ใช่แม่อยู่แล้ว เพราะเราคลอดไม่ได้ เราไม่ได้อุ้มท้อง สิ่งเหล่านี้มันทําให้ปิงรู้สึกกลัวมากเลยกับการที่จะต้องมานั่งบอกกับลูก

ซึ่งก่อนหน้านั้นปิงก็ไม่ได้เป็นคนรักเด็ก เวลาเด็กเจอหน้าเราก็จะกรี๊ดเลย เพราะว่าเด็กกลัว เราก็เลยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าอุ้ม ขนาดเป็นลูกของเพื่อน ต่อให้เอ็นดูกับขนาดไหน เราก็จะไม่อุ้ม แต่ในวันที่อยากมีลูก ปิงต้องทําการบ้านเรื่องเด็ก ไปพร้อม ๆ กับการหาคําตอบให้เขา ซึ่งมันยากมากเลย ซึ่งปิงก็จะเล่าให้ฟังหมดเลยว่า เค้าเกิดมาจากความรัก ทุกคนต้องการที่จะให้หนูเกิด และเชื่อว่าหนูจะได้รับความรักจากทุกคนเลยบนโลกใบนี้

พอเราตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการ โดยลูกเค้าก็ต้องรู้ทั้งหมดว่า เค้าเกิดมาจากพี่สาวของเราที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน เป็นดีเอ็นเอเดียวกัน แล้วเค้าเกิดมาจากการที่พี่สาวของปิงอุ้มบุญให้ โดยกว่าที่กระบวนการทุกอย่างจะสำเร็จ ปิงก็ผิดหวังมาหลายรอบมาก แล้วพี่สาวก็ทุ่มเทมาก ในการที่จะต้องรักษาตัวเอง รักษามดลูก แล้วทุกวิธีกามันบั่นทอนจิตใจพี่สาวมากเลย ทั้งการเก็บไข่ การขูดมดลูก การเตรียมฉีดฮอร์โมนเข้าตัวเอง แล้วพี่สาวก็อดทนมาก ๆ เพื่อที่จะทำให้ปิงมีลูกให้ได้ ซึ่งตอนนั้นพี่สาวก็อายุ 40 แล้วด้วย ทำให้การดูแลตัวเองต้องเยอะมาก แล้วต้องมีกระบวนการปฏิสนธิในหลอดแก้ว เพราะฉะนั้นพี่สาวก็จะต้องขยับตัวให้น้อย และต้องทานอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเยอะมาก ต้องมีกฎระเบียบกับตัวเองมาก ๆ เลย เพื่อบํารุงครรภ์ ซึ่งในกระบวนการกว่าจะมีลูกได้ ปิงผิดหวังและพลาดไปสองครั้ง ซึ่งถ้าพลาดแล้วทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมดเลย ตั้งแต่การเตรียมพร้อมร่างกาย การฉีดฮอร์โมน จนมันทําให้เรารู้สึกเสียใจและไม่อยากทําแล้ว เพราะว่าเราเป็นห่วงพี่สาว เป็นห่วงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเค้ามาก ๆ เลย

ในวันที่ มาร์เบลล์ คลอดออกมา เราขอบคุณทุกอย่างเลย ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณแฟน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างเลยที่ทำให้ลูกของปิงได้เกิดมา หลังจากลูกเกิดมา ก็โชคดีที่น้องของปิงที่เค้ามีลูกมาแล้ว และก็มีพี่สาวของปิงเอง คอยให้คําแนะนําในการเลี้ยงลูกอยู่ตลอด ว่าต้องให้นมแม่นะ ให้นมทำยังไง การอุ้มต้องประคองยังไง ซึ่งปิงอยากอุ้มเขาให้ได้เยอะที่สุด เพราะปิงรู้ว่าตัวเองทํางานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เลยค่อนข้างมีเวลาอยู่ที่บ้านน้อย ปิงก็เลยพยายามอุ้มเค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทําได้ ส่วนแฟนของปิงด้วยความที่เค้ามีความเป็นผู้นําครอบครัว แล้วก็มีความเป็นคุณพ่อแบบ 100% คือเค้าเตรียมให้ลูกหมดเลยทุกอย่าง แล้วเค้าก็หาข้อมูลมาหมดเลยว่า ต้องใส่ใจลูกยังไง ไปจนถึงขั้นที่ว่า ไปตรวจความสามารถลูก เพื่อวางแผนอนาคตให้ลูกว่า เค้าจะเติบโตไปในทิศทางไหน เตรียมผลักดันเค้าให้ถูกต้อง ทําทั้งหมดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นพ่อที่ดีให้กับกับเด็กคนหนึ่งได้

มาถึงวันนี้ปิงมองว่า การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จําเป็นต้องรอ เพราะคําว่าพร้อมมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเรามัวแต่รอ โดยที่ไม่มีการเริ่มขึ้นมาก่อนเลย ไม่ได้ลองผิดลองถูกก่อนเลย มันก็ยังเป็นแค่ลม แต่ที่ปิงมีลูก ก็ไม่ใช่การมีลูกเพื่อที่จะต้องมาเรียกร้องกฎหมาย แต่ปิงมีลูกเพื่อที่จะทําให้ทุกคนได้รู้ว่าในอนาคตต่อไป เราจะต้องได้เจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกเยอะมาก ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรของประเทศไทยในรุ่นต่อไป แล้วเค้าก็ต้องได้กฎหมายคุ้มครองเหมือนกันกับทุกคนในสังคม ซึ่งก็เป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าไม่เริ่มขึ้นเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้

แล้วปิงก็ใช้การเป็นนางงามของปิง ทําให้ทุกคนได้รู้ว่า เรากําลังจะได้เป็นแม่ แล้วการที่จะเป็นแม่ของเรา มันจะต้องทําให้ทุกคนได้เข้าใจว่า การเป็นแม่ของ LGBTQ+ หรือการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมันต้องเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และลูกต้องเข้าใจว่าเค้าเกิดมาได้ยังไง และการเกิดมาเป็นลูกกระเทย มันก็ไม่ได้แย่ ปิงคิดว่า เราควรที่จะต้องมีการปลูกฝังพื้นฐาน ให้สังคมเข้าใจก่อน อย่าเพิ่งแอนตี้ อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนปิงมีลูกแล้ว และเราทําให้ดูอยู่ด้วย แล้วปิงเชื่อมั่นว่าในอนาคตข้างหน้า ทุกคนจะเข้าใจ และเปิดใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”

 

 

ย้อนเส้นทางนางงาม ของ ปิงลี่ เฟมัส

“มิสขี้เมา 2024 มันเป็นเวทีของเพื่อน เอม และแฟนเอม จัดการประกวดนี้ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก กับการที่เราเข้าไปประกวดเวทีของเพื่อน แล้วเพื่อนจะให้เราผ่านเข้ารอบ ในสายตาเพื่อน มันแทบจะตัดเราออกไปเลย แล้วพื้นฐานการเป็นนางงามของปิงแย่มาก เราก็เลยต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น ซ้อมจนกว่าการเดินของเรามันจะดีขึ้น การวางตัว การวางท่า เราต้องปรับใหม่ทั้งหมดเลย แล้วมันกินเวลาเยอะมาก และมันมีช่วงที่ท้อด้วยนะ

ที่ปิงคว้ามงได้ คิดว่าเป็นเพราะวันนั้นปิงมีสติ คือเพื่อนจะพูดเสมอว่า ปิงเป็นคนพูดอะไรแล้วจะพูดไม่จบ ไม่สามารถที่จะลงท้ายแบบจบได้สวย แต่กลายเป็นว่าวันนั้นมันเป็นวันของเราจริง ๆ ทุกอย่างมันก็เลยออกมาดีไปหมดเลย ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปิงทำอย่าเต็มที่ในทุกรอบการประกวด เพราะปิงคิดว่าลูกจะต้องกลับมาดูคลิป แล้วถ้าแม่เดินทุเรศมันอายคนนะ ปิงอยากทำให้ดีที่สุด อยากทำให้ลูกเห็น ก็เลยกลายเป็นว่า ทุก ๆ การเดินของปิง ปิงเต็มที่กับทุกก้าว ทำให้ดี ทำให้สง่า เพราะวันข้างหน้าเราอยากให้ลูกภูมิใจ

ในฐานะนางงามรุ่นพี่ ปิงรู้สึกว่า นางงามในรุ่นต่อไป มันคือการแข่งขันที่สูงมาก แล้วนางงามก็จะต้องสร้างทั้งฐานแฟนคลับด้วย แล้วก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วย เพราะฉะนั้นปิงอยากให้ทุกคนมีใจที่จะเป็นนางงามจริง ๆ ไม่ได้นึกถึงแค่ชื่อเสียง แต่มันจะต้องดีจากภายใน ดีโดยเนื้อแท้จริง ๆ แล้วเวลาเราทําอะไรแล้ว เราจะไม่หลุดไปเป็นคนอื่น การดีจากเนื้อในมันจะทําให้ทุกกิริยาของเรา มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่มองเห็นง่ายทะลุปรุโปร่ง”

 

 

ชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังจากได้เป็นคุณแม่

“ตอนนี้ มาร์เบลล์ จะ 4 เดือนแล้วค่ะ และปิงก็ยังเป็นคุณแม่ที่ดูแลใกล้ชิด คอยดูพัฒนาการของลูกอยู่ตลอด เรียนรู้ทุกวัน แล้วก็ต้องเป็นนักคาดเดาด้วย สมมติว่าถ้าเค้าร้องไห้ สิ่งแรกที่เราต้องเริ่มดูเลยก็คือ หิวไหม ผ้าอ้อมเปียกรึเปล่า ถ้าเราเช็คแล้วแต่เค้ายังร้องอีก มันก็ต้องเริ่มใหม่อีกรอบ ทุกวันนี้ปิงก็เลยสนุกอยู่กับการคาดเดากับลูก

เชื่อไหมว่า ปิงปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มันต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะมาก แล้วปิงปรับตัวไม่ทัน เพราะเวลาเราอยู่กับลูก เราอ่อนโยนมาก เราไม่พูดคําหยาบเลย ให้เค้าฟังเพลงเบา ๆ แต่พอกลับเข้ามาอยู่กับพวกเพื่อนเราก็ต้องพูดแบบใช้พลัง แล้วกลายเป็นว่าเราไม่ทันเพื่อน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไปถึงไหน หรือว่าเพื่อนกําลังพูดเรื่องอะไร เวลาไปออกรายการ เราจะช้าแล้วก็ประมวลยากกว่าเดิม กลายเป็นการกดดันตัวเองมากช่วงนั้นปิงปรึกษาเพื่อนหมดเลย แล้วก็เลยต้องเลี้ยงลูกแบบแบ่งเวลาดี ๆ จนตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”

 

ความภูมิใจ จาก ปิงลี่ สู่ ลูกสาว

“ถ้าวันหนึ่งลูกของปิงโตขึ้น และได้มาดู Club Pride Day ในวันนี้ แม่อยากให้หนูภูมิใจในตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ ใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุขมาก ๆเพราะว่าแม่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่กับหนูได้ทั้งชีวิต แล้วก็ตอนนี้ หลายคนรู้จักกับหนูแล้ว และก็เป็นกําลังใจให้หนูอยู่เสมอ อยากให้หนูใช้ชีวิตให้ดี เลือกชีวิตตัวเองให้ถูก แล้วแม่ก็มั่นใจว่าหนูจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนเปิดรับ 
แล้วก็ซัพพอร์ทหนูเหมือนกับที่แม่ได้รับแน่นอน” - ปิงลี่ เฟมัส

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

ดูรายการย้อนหลัง

album
เผลอ

Artist: BETTER WEATHER

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110