เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

Club Pride Day Recap

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

10 ก.พ. 2025

“พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ เราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมาก ๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย และรู้ว่าความสุขมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว และมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน”

 

 

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่สวยระดับโลก “โม จิรัชยา” อินฟลูเอนเซอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุค ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง สู่ความทุ่มเทตั้งใจจนได้เป็น Miss Tiffany's Universe 2016 พ่วงกับตำแหน่ง Miss International Queen 2016 เพราะพลังที่สำคัญที่สุด คือพลังที่อยู่ในตัวเอง และ ณ วันนี้ เธอพบว่าความสุขในชีวิตมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ

 

ย้อนวัยใส ของ ด.ช.อัครพล

“ตอนเด็ก ๆ ชื่อ โจ้ อัครพล แล้วมาเปลี่ยนเป็น โม จิรัชยา ตอนประกวดนางงามแล้ว คือจริง ๆ เราไม่อยากเปลี่ยนชื่อเล่นเลย แต่ว่าพอโตขึ้นเราอยากให้ชื่อมันลื่นหูขึ้น เพราะตอนเข้าโรงพยาบาลแล้วโดนเรียกชื่อคนไข้ คุณอัครพล เราจะต้องเจอสายตาที่งง ๆ เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนชื่อให้มันลื่นหูก็น่าจะดี เพื่อความสบายใจของตัวเอง ก็เลือกชื่อ โม แล้วกันง่าย ๆ แล้วชื่อจริงก็ตั้งเองด้วย พยายามหา สละ พยัญชนะ ที่เราใช้ได้ แล้วเราก็มาเลือกชื่อที่ชอบ

โม เกิดในครอบครัวคนจีน มีพี่ชายหนึ่งคน แล้วเราก็เป็นน้องชาย ซึ่งกว่าที่โมจะได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้หญิง ก็คือตอนเรียนปี 1 แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเรากดดันนะ ทั้งเรื่องที่เราแอบทานยาคุม หรือมีเพื่อนที่เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ที่บ้านเราจะกีดกันหมด ในตอนที่รู้ว่าโมทานยาคุม ที่บ้านก็คือค้นโต๊ะ ค้นทุกอย่าง แล้วให้ทุกคนในครอบครัวมานั่งคุยเลยว่าจะเอายังไง ยานี้มันอันตรายไหม ซึ่งตอนนั้นเค้าก็คงเป็นห่วงเรามาก ๆ แล้วความเป็นฮอร์โมน เค้าก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ แล้วพอโตขึ้นมา เค้าก็เห็นเราไปอยู่กับเพื่อนกะเทยเยอะ ซึ่งก็เป็นที่มาของการที่โมตีเทนนิสในปัจจุบันนี้ เพราะเค้าจับหนูให้ไปเรียนเทนนิส เพื่อที่จะไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนหลังเลิกเรียน ทำให้เราต้องอยู่บ้าน แต่เป็นชีวิตที่คุยกับที่บ้านน้อยมาก พออยู่บ้านเราจะเป็นอีกคนที่ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยไม่กล้าแสดงความเป็นตัวเองแบบ 100% เพราะเรากลัวว่าเค้าจะมองเราไม่ดี แล้วเราจะโดนดุ เราก็เลยต้องพยายามทำตัวเป็นคนเรียบร้อย จะได้แต่งเป็นผู้หญิง ใส่กางเกงขาสั้นแค่ตอนจะออกจากบ้าน แต่ตอนจะกลับบ้านก็ต้องกลับสู่ปกติ แต่การใช้ชีวิตในแต่ละวันมันต้องลุ้น และระแวงว่าเพื่อนของพ่อจะเจอเราไหม พ่อจะเจอเราข้างนอกบ้านไหม มันกลัวไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าตอนเรียนมัธยมเป็นช่วงที่ตัวเองรู้สึกอึดอัดที่สุด จนผ่านมาถึงมหาวิทยาลัย”

 

 

เขียนจดหมายเปิดใจ จนได้เจอความสุขที่แท้จริง

“ความภูมิใจแรก ๆ มันเกิดขึ้นตอนสอบติดมาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อแม่ก็รู้สึกประหลาดใจด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน โม สอบติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรียนแฟชั่นดีไซน์ ศิลปกรรม ซึ่งตอนปี 1 ต้องไปเรียนที่องครักษ์ จ.นครปฐม นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง เพราะต้องอยู่หอ พ่อแม่ไม่เจอเรา ก็เลยได้ใช้ชีวิตแบบเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อชั้นใน ใส่ชุดนิสิตหญิง จนถึงวันที่เราต้องกลับมาเรียนปี 2 ที่ ประสานมิตร เราทำใจไม่ได้ถ้าต้องกลับมาแต่งชาย เพราะเรารู้สึกว่าสังคมเพื่อน คนรอบตัวมองเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ถ้าเราจะกลับไปเป็นผู้ชาย เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มาก ๆ ก็เลยกลับไปคุยกับที่บ้าน เป็นการคุยโดยการเขียนจดหมาย เพราะว่าเราไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง วันนั้นเป็นคาบเรียนสุดท้าย เรียนเสร็จเราก็นั่งเขียนจดหมายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นแบบไหน อยากให้พ่อแม่เข้าใจ ตอนนั้นเขียนไปแล้วร้องไห้น้ำตาท่วม แต่สุดท้ายมันง่ายมาก เพราะพ่อบอกว่าก็รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยงงว่าทำไมทุกคนเข้าใจง่ายจัง หลังจากได้อ่านจดหมาย วันรุ่งขึ้นแม่พาไปซื้อเสื้อชั้นในเลย หลังจากนั้นมันกลายเป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนเราไม่มีอะไรที่ต้องโกหก ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง พอมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราก็อยากเล่าสู่ครอบครัว เดี๋ยวจะไปกับเพื่อนนะ  เราสามารถพูดได้เลย มันไม่เหมือนกับตอน ม.ปลาย และยิ่งโตขึ้นมามันยิ่งแฮปปี้ขึ้น เพราะที่บ้านกลายเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างสนิทกันมาก คุยเล่นได้หมดเลย พ่อแม่จะกลายเป็นเหมือนเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่องแม่กระทั่งตอนจะไปหาผู้ชาย ก็เปิด Instagram ผู้ชายให้แม่ดูได้เลย แม่ก็จะบอกเลยคนนี้หล่อดีนะ คนนี้ไม่โอเคนะ เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ครอบครัวเราน่ารัก พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง เช่น ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 อยากทำหน้าอกมาก เราก็ตื้อจนพ่อก็พาไปโรงพยาบาล ไปจ่ายเงินให้ ทำทุกอย่างให้ แม้แต่ตอนจะทรานส์พ่อก็ไปรับไปส่ง ดูและเราอย่างดี มันคือความสุขที่เกิดขึ้นและเราสัมผัสได้”

 

 

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงาม

“จุดเริ่มต้นบนเส้นทางนางงามของโม คือ ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนที่เล่นโซเชียล ไม่ได้เป็นคนที่ดูนางงาม แต่แค่มองอนาคตว่า เราชอบวงการบันเทิง แล้วเราจะทำยังไงดีให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงได้ เราก็เลยรู้สึกว่าการประกวดนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำได้ และทำให้เรารู้สึกว่ามันได้นำทักษะที่เราเรียนมา เอามาใช้ในการประกวดด้วย ก็เลยไปประกวด Miss Tiffany’s Universe ตอนปีแรกที่ประกวดคือ 2014 ตอนนั้นไม่พร้อม ตกรอบ 30 คนสุดท้าย เดินชุดราตรีสวย ๆ แล้วก็กลับบ้าน แต่พอปี 2016 มีรุ่นพี่ที่แนะนำเราให้กับค่ายนางงามที่ชื่อ พี่ชาติ ซึ่งค่อนข้างที่จะคร่ำหวอดในวงการนางงาม ซึ่งตอนเราประกวด เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่ง เพราะว่าเค้าไม่มีเวลาแต่เราก็บอกว่า แม่จะส่งหนูไหม ถ้าแม่ส่ง แม่แค่แต่งหน้าให้หนู เรื่องชุด เรื่องสไตล์ลิส เดี๋ยวหนูจัดการเอง พี่ชาติ ก็เลยตกลงส่งเราประกวด วันที่เจอกันครั้งแรกคือวันออดิชั่น และเป็นวันที่ไวรัลที่สุด เพราะมันจะมีรูปที่คนแชร์กันเยอะมากในโซเชียล เป็นรูปที่โมใส่ชุดสีขาว แล้วก็จะมี แปรงแต่งหน้าจากมือแม่ชาติ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้เล่นโซเชียล แล้วเราก็ไม่ได้รู้เรื่องว่ารูปมันเป็นไวรัล จนกลับมาจากออดิชั่นถึงเริ่มรู้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคนถึงรู้จักเรา เหตุผลมาจาก พี่ช่า ไดอารี่ตุ๊ดซี่ แชร์รูปของเรา แล้วหลังจากนั้นคน 20,000 คน ก็เริ่มมาติดตามเรา แล้วเราก็เริ่มมาสนใจโซเชียลมากขึ้น และมาคิดได้ว่าการจะเป็นที่รู้จักของคนในโซเชียลมันเร็วมากเลย

ตอนกลับไปประกวดปี 2016 เราเตรียมตัวมาอย่างดี เรียนบุคลิกภาพ แล้วก็เข้าใจประโยคที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เพราะว่าการเป็นนางงาม มันก็จะต้องมีความเป็นนางงามอยู่โมก็พยายามคิดว่า เราจะนำเสนออะไรที่มันเป็นรูปแบบใหม่ ๆ แต่สุดท้ายนางงามมันก็จะต้องมีมาตรฐานความเป็นนางงามอยู่ ดังนั้นการเดิน บุคลิกภาพ เราต้องเรียน แล้วปี 2016 ตอนนั้นคนที่ประกวดได้ต้องอายุไม่เกิน 25 ปี แล้วตอนนั้น โม อายุ 25 พอดี มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเราใส่เต็ม แล้วในปีนั้นกระแสการเชียร์นางงามกำลังมา น้ำตาล ชลิตา, โม จิรัชยา แล้วก็ ฝ้าย สุภาพร จะมีแต่ตัวเต็งของเวทีเกิดขึ้น

ต้องขอบคุณสังคม คือเราเรียนแฟชั่นมา เราก็จะรู้จักแบรนด์ต่าง ๆ หรือรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วย เคยฝึกงานพร้อมกัน แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เราชอบจากที่เราเรียนก็คือการแต่งตัวแฟชั่น หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ เรารู้ว่าตัวเองใส่อะไรแล้วสวย ใส่สีอะไรแล้วเราดูดี แล้วในยุคที่โมประกวด มันเป็นยุคที่การออกงานต่าง ๆ จะต้องมีการถ่ายรูป ชุด หน้าผม แล้วก็แท็กชื่อคน ชื่อห้องเสื้อ แล้วช่วงนั้นเรารู้สึกว่าสนุกกับการประกวด เราเตรียมเสื้อผ้า วางลุคไว้แต่ละวัน ไม่ซ้ำแบรนด์กันเลย ทำการบ้านว่าเราจะต้องนำเสนอสิ่งที่เราชอบ ทรงผม การแต่งหน้า การแต่งตัว การเดิน กริยาต่าง ๆ มันต้องเป็นตัวเราที่สุด แล้วตอนนั้นการประกวดมันก็ค่อนข้างเข้มข้น เพราะว่ามันเป็นยุคที่คนเริ่มมาดูนางงาม นางงามต้องมีการเตรียมตัวแบบสุด ๆ นอกจากบุคลิกภาพ เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ก็ยังมีเรื่องของน้ำหนัก เพราะแต่ก่อนเราผอม อยู่บนเวทีมันก็จะยิ่งตัวเล็ก แต่นางงามมันต้องมีน้ำมีนวล มีความเป็นควีน แม่ชาติก็พาไปกินทุเรียนทุกวันตอน 4 ทุ่ม กินขนมปังเนยนม ให้มันมีเนื้อมีหนัง แล้วการประกวดนางงามมันเหนื่อยมาก  7 โมงเช้าเราต้องเข้ากอง ดังนั้น ตี 4 ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผม แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะได้ตื่นตี 4 ทำกิจกรรมเสร็จกว่าจะกลับบ้านรถติด ต้องเตรียมของ ถึงบ้านก็ตี 1 แล้ว ตอนนั้นเรานอนน้อยมาก แล้วโมเป็นภูมิแพ้ เวลาแต่งหน้าน้ำตาก็จะไหล ขนตาก็จะหลุด ระหว่างแต่งหน้าเราก็จาม บอกเลยว่าการเป็นนางงามมันที่สุดในชีวิตเลย นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เราเหนื่อยหน้าที่เราจะต้องคอยยิ้มหวาน เหนื่อยสมองเวลามีสัมภาษณ์ ต้องตอบให้ดูเป็นคนฉลาด  มีความรู้ ต้องมีโครงการเพื่อสังคม เข้าใจเลยว่าถ้าเห็นนางงามคนไหนหน้าบูด ไม่ต้องไปโกรธเค้านะคะ เพราะเค้าเหนื่อย ให้เค้าพักบ้าง

อย่างปีนี้ Miss Tiffany’s Universe 2025 มาในธีม Moving Forward พุ่งทะยานสู่วันใหม่ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่นางงาม โมมองว่ายุคนี้สิ่งที่ต้องการมาก ๆ มันคือโลกโซเชียล ทุกอย่างมันต้องเร็ว ต้องสมัยใหม่ นางงามจะต้องทันโลก แล้วหนูเคยฟัง คุณจ๋า พูดในรายการหนึ่งว่า เค้าชอบคนที่กระฉับกระเฉง มีไหวพริบ ฉับไว ดังนั้นถามอะไรตอบให้ตรง ไม่ต้องไปอ้อมโลก เราอยากจะให้น้อง ๆ นางงาม คิดว่าถ้าสมมติตัวเองเป็นเจ้าของเวที เราจะเลือกใครมง แล้วเราก็จงเป็นคน ๆ นั้น ต้องดูว่าเวทีต้องการอะไร เราจะต่อยอดได้ยังไง ถ้าตอบโจทย์ก็มงได้ค่ะ”

 

 

จากตัวแทนประเทศไทย สู่ชัยชนะบนเวที Miss International Queen 2016

“การประกวดในประเทศ และต่างประเทศ ความยากเย็นมันแตกต่างตรงที่ว่า ในประเทศเราทำเพื่อตัวเอง ส่วนต่างประเทศ มันต้องแบกภาระ มันมีความคาดหวัง มีคำแนะนำเยอะ จนเราสับสนว่าต้องทำให้ใครก่อน แล้วมันกดดัน แต่ตอนนั้นโมรู้สึกว่า การได้เข้ามาเป็นตัวแทนที่สวมสายสะพายไทยแลนด์ มันมีโอกาสเดียว แล้วน้อยคนมากที่จะเข้ามาได้ ก็เลยอยากทำให้มันเต็มที่ ต้องทำทุกอย่าง หาสปอนเซอร์ชุด ช่างหน้า ช่างผม ทุกอย่างต้องอินเตอร์ขึ้น ต้องซ้อมการแสดงความสามารถ ต้องหาเงินเพื่อจองตั๋วเครื่องบิน อย่างรอบไฟนอลก็ได้สปอนเซอร์ชุดจาก พี่ฉอด ต้องขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่แบบซัพพอร์ตเรา แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน จนวินาทีสุดท้ายก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมงลงเหมือนกัน

หลังจากนั้น พ่อแม่ภูมิใจกับเรามาก ๆ เหมือนลูกเป็นดาราแล้ว พอเรากลับพ่อแม่ก็จะดีใจ อวดไปสามบ้านแปดบ้านว่า โมกลับมาแล้ว มาถ่ายรูปไหม เหมือนเด็กอวดของ เราก็ดีใจแล้วนั่นมันกลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ได้กำลังใจ”

 

 

เมื่อความภูมิใจ คือการได้ส่งต่อโอกาส

“ณ ตอนนี้ สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการที่เราทำอะไรให้สังคม แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง พอเราโตขึ้นมา แล้วผ่านการประกวด สิ่งต่าง ๆ ที่เราพูดออกไป มันออกไปสู่สังคมได้มากขึ้น คือตอนนี้หนูได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “Feline Agency” เป็นเอเจนซี่เกี่ยวกับโมเดลล้วน ๆ ที่เปิดรับทุกเพศตั้งแต่เกย์ ทรานส์ หญิง ชาย หรือ Nonbinary ทุกอย่างครบหมดเลย มันเริ่มมาจากที่เราทำงานมา แล้วเรารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานของทรานส์ในวงการนางแบบมันมีน้อยมาก แล้วเราก็ถูกปิดโอกาส จนได้มาเจอ พี่มี่ มิลิน กับ พี่เล็ก สองคนก็มาคุยกันว่า มีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง หนูก็เล่าชีวิตหนูไป แล้วก็เลยเกิดมาเป็น “Feline Agency” มีเด็กในสังกัด 20-30 คน เป็นการให้โอกาส แล้วก็ต่อยอดเส้นทางความฝันของน้อง ๆ ทำมาประมาณ 4 ปี แล้วเรารู้สึกว่าทำแล้วเกิดเป็นพลังงานดี ๆ กับคนอื่น เป็นความภูมิใจของเรา ก็เลยรู้สึกว่า “Feline Agency” เป็นสิ่งที่ภูมิใจ

อย่างประสบการณ์ของโม แต่ก่อนเราก็เคยโดนปิดกั้น ตอนเด็กเราอยากเป็นพริตตี้มาก 10 ปีก่อน การเป็นพริตตี้นี่คือเป็นอาชีพที่ทำเงินมาก ๆ แล้วเรารู้สึกว่าคนสวยเท่านั้นที่จะได้เป็น แล้วเราก็ส่งไลน์ไปสมัคร แล้วเค้าก็บอกว่ารับแต่ผู้หญิงแท้อย่างเดียว ซึ่งเราก็รู้สึกว่าพริตตี้บางงานมันไม่ต้องพูด มันไม่จำเป็นจะต้องใช้เสียง แล้วคุณสมบัติอื่น ๆ เรามีนะ แล้วเราสามารถทำได้ แต่ว่าตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าสังคมมันค่อนข้างที่จะปิดโอกาส เราก็เลยถูกปฏิเสธ จนเรารู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมา หากมีโอกาสก็อยากให้เรื่องการทำงาน หรือความฝันของแบบทรานส์ หรือคนทุก เพศ หากอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร ต้องได้ทำ”

 

 

เพราะฉันเป็นฉัน

“สมัยก่อนมันไม่มีคำว่าทรานส์ ไม่มีคำว่า LGBTQ+ มันจะมี ชาย หญิง ตุ๊ด กะเทย ส่วน เกย์อาจจะมีช่วงหลัง ๆ มันจะมีแค่นี้ แล้วพอเราโตมา เราก็ถูกสังคมมองว่าทุกอย่างจะต้องเหมือนผู้หญิง ต้องผมยาว ต้องมีหน้าอก ต้องมีสรีระที่คล้ายผู้หญิงมากที่สุด ต้องมีกิริยาที่เหมือนผู้หญิง ต้องมีการแต่งตัวให้เหมือนผู้หญิง ต้องใช้เสียงโทนผู้หญิง มีช่วงหนึ่งที่เราก็พยายามทำตามสังคม แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ฉัน เพราะว่าเราเป็นคนฉับไว กระฉับกระเฉง ด้วยนิสัยของเราเป็นคนตลก สนุก เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองถูกกดด้วยสังคมอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้หญิงก็ได้ เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นอะไร คนอื่นรู้หรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา มันเป็นเรื่องมุมมองของเขาที่มองกลับมาหาเรามากกว่า ดังนั้นเราทำให้ตัวเองสบายใจ ส่วนคนอื่นจะมองยังไง นั่นคือเรื่องของความรู้ อุดมคติ การใช้ชีวิต และการมองโลกของเค้า ที่มองเข้ามาหาเรา ใครที่จะมาเรียกเราว่า กะเทย ตุ๊ด ผู้หญิง หรือทรานส์ แล้วแต่เลย เราไม่รู้สึกอะไร และฉันเป็นฉันแค่นั้นเอง”

 

ความรัก หัวใจ และความสุขที่ใช่ จากเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว

“ความรัก ตอนนี้โมโสดมา 7 ปี ก้าวเข้าปีที่ 8 เรามองว่าอาจจะเจอคนที่ไม่พร้อมสำหรับเรา เหมือนมันก็มีคนเข้ามานะ แต่ว่าโมรู้สึกว่า มันมีคนเข้ามาน้อย เพราะคนส่วนมากจะคิดว่าเป็นคนสวยจะต้องมีคนจีบเยอะเลย แต่จริง ๆ เราไม่มีคนคุย เพราะโมเป็นคนที่ไม่คุยไปเรื่อย แล้วถ้าสมมติเราไม่ชอบ เราก็จะไม่พยายามไปชอบเค้า เพราะว่าเรามองมุมกลับ ถ้าสมมติเราไปชอบคน ๆ หนึ่ง แล้วเค้าพยายามคุยให้เราสบายใจ มันคือการทำร้ายเค้าทางอ้อม

แต่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันก็จะเข้ามาป๊บเดียวก็หายไป ไม่ได้เรียกว่าแฟน หรือมีสถานะที่จริงจัง แต่การเป็นโสด เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แต่กลับมีความสุขมาก ๆ พอเราโตขึ้นเราจะรู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ และเราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมากเลย โมรู้สึกว่าตอนนี้เราเป็น Best Version มาก ๆ เราตื่นมาอยากไปยิมก็ไป เล่นยิมเสร็จอยากกินอะไรอร่อย ๆ โมก็ขับไปกินคนเดียว ง่ายมากเลย ทุกอย่างคือความสุขรอบตัว เราหยิบจับอะไรก็เป็นความสุข คนอื่นพยายามไปหาว่าอะไรคือความสุข  แต่สำหรับโม แค่กินของอร่อยก็มีความสุขแล้ว ถ้ากินไม่อร่อยก็ทิ้งไป ไปซื้อใหม่แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว

ตอนนี้กำแพงหัวใจของเราไม่สูงนะ แต่กำแพงอาจจะมีหลายชั้น คือเราค่อนข้างที่จะเลือก บอกตามตรงว่าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แค่หน้าหล่อ แต่รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วย มันต้องมีความกลมกล่อม สิ่งสำคัญมากคือ เรามองว่าการมีแฟนต้องคุยรู้เรื่อง ถ้าถามปูตอบปลาก็ไม่เอา คุยให้มันตื่นเต้น รู้สึกสนุกกับชีวิต อยากทำอะไรไปทำด้วยกัน ไม่ต้องเครียด เพราะไม่อยากเอาความเครียดมาใส่หัว อนาคตเธอจะวางแผนยังไง ไม่ต้องยุ่งฉันดูแลตัวเองได้ ขอแค่มาเป็นเพื่อนที่เข้าใจกัน มันที่สุดแล้วสำหรับโม”

 

 

ความฝันต่อไป ของ โม จิรัชยา

“ตอนนี้โมรู้สึกมีแพชชั่นกับการใช้ชีวิตของตัวเองมาก ๆ แต่ก่อนการเป็นทรานส์ จะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกาย กลัวมีกล้ามมี Six Pack ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบเข้ายิมเลย แต่ตอนนี้เรากลับมาเข้ายิมได้ประมาณ 5 เดือน แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่เรารู้สึกว่า ทำไมมุมมองสมัยก่อนเรามองตัวเองว่าจะต้องเป็นคนไม่มีกล้ามเนื้อ เป็นคนตัวนิ่ม ๆ เหลว ๆ แต่พอตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยน เรารู้สึกว่ารักร่างกายตัวเองที่มันมีกล้ามเนื้อที่ดี แล้วอารมณ์ดีขึ้น ไม่เครียด และมันมีความสุข แล้วโมก็กลับมาตีเทนนิส ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบทรานส์ที่ตีเทนนิสเก่ง ๆ แล้วพอมานั่งคิดก็รู้สึกว่า ถ้าเราเก่งแล้วเราจะลงแข่ง เราจะอยู่ประเภทไหน ชายเดี่ยวหรือหญิงคู่ หรือว่าผสม รู้สึกว่ามันเป็นอะไรใหม่ ๆ ที่เราอยากลองทำดู”

 

สีสันแรงบันดาลใจจาก โม จิรัชยา

“โมมองว่าทุกคนมีฝันหมด แต่ถ้าสมมติมันไปไม่ถึงฝัน ก็อย่าคิดว่าความฝันของเรามันมีแค่ความฝันเดียว มันมีอีกหลากหลายเส้นทาง เราบอกกับทุกคนเสมอว่า ถ้ามีฝันก็พยามไปให้ให้ถึง อาจจะต้องทำจนเหนื่อย ก็ลองทำไปเลย แต่ถ้าสมมติท้อเมื่อไหร่ ไม่ต้องทำ เพราะถ้าท้อมันจะเป็นทุกข์ หรือลองหันไปทำอย่างอื่น ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบเลย เราอาจจะกลายเป็นชอบขึ้นมาก็ได้ และสุดท้ายสิ่งที่เราทำได้ดี มันอาจจะเป็นความฝันของเราอีกทางก็ได้ บนโลกนี้มีหลากหลายอาชีพ มีหลากหลายความฝัน คนก็เหมือนกัน ทักษะเรามีเยอะแยะ ลองทำหลาย ๆ อย่าง และอย่าลืมว่าความฝันอย่างอื่น ก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน” - โม จิรัชยา

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1