Club Pride Day Recap

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

Club Pride Day Recap

view all
เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

31 ม.ค. 2025

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

“การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จำเป็นต้องรอ และวันนี้ปิงมีลูก เพื่อทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ในอนาคตเราจะต้องเจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกมากมาย ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรในรุ่นต่อไป จึงอยากให้มีการทำความเข้าใจ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฝัน และมันไม่ผิดแปลกเลยที่ปิง อยากจะมีลูก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ปิงลี่ เฟมัส” แม่ค้าขายของออนไลน์สุดปัง อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง แถมดีกรีเน็ตไอดอลพี่กระเทย ที่โด่งดังในโลกโซเชียล เคยปรากฏตัวตามในรายการดัง และเป็นเพื่อนของแก๊งอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เอม ตามใจตุ๊ด, นินิว เพชรด่านแก้ว และ มิกซ์ เฉลิมศรี นอกจากนี้แล้วยังมีดีกรีเป็นนางงาม เจ้าของตำแหน่ง มิสขี้เมา ปี 2024 กับบทบาทล่าสุดคือการเป็นคุณแม่ป้ายแดงอีกด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการปิงลี่ เฟมัส ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“ต้องบอกว่าตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ปิงลี่ ฮะโหน่ง เพราะว่า มิกซ์ เฉลิมศรี เป็นคนตั้งให้ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนติดดูดวงมาก ก็เลยได้หมอดูคนดังมาดูดวงให้ ทีนี้เค้าเลยบอกว่าให้ตั้งชื่อว่า ปิงลี่ เฟมัส แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะอยู่ในวงการนี้ได้นาน และค่อย ๆ ก้าวไปแบบมั่นคง ถ้าใช้ชื่อว่า ฮะโหน่ง คนก็จะจําแบบไม่นาน หมอดูก็เลยให้ใช้เป็นชื่อนี้ จะได้วางตัวดี ๆ หน่อยส่วนชื่อ ปิง ได้มาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นกะเทยหัวโปก แล้วไปเห็นว่ามีรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ต่างโรงเรียนกัน แล้วน้องชื่อ น้องปิง เป็นดาวโรงเรียน สวยชนิดที่ว่า ถ้าพูดชื่อนี้ที่พิษณุโลก คือรู้จักเลย แล้วเราก็อยากให้คนรู้จักบ้าง ก็เลยใช้ชื่อ น้องปิง จากนั้นก็กลายเป็นว่าใช้ชื่อนี้มาจนถึงเรียน ม.กรุงเทพ แล้วพอมาเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นใครมีชื่อสองพยางค์มันน่ารักเลย ก็เลยใช้ชื่อ ปิงลี่ก่อนเป็น ปิงลี่ เราชื่อ วัด เพราะตอนเด็ก ๆ ป่วยบ่อย คุณแม่ก็เลยเอาไปเป็นลูกบุญธรรมของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อบอกว่าให้เอามาถวายให้หลวงพ่อ จะทำให้แข็งแรงขึ้น ผีจะได้ไม่เอาไป”มาถึงวันนี้ ปิงลี่ ภาคภูมิใจอะไรที่สุดในชีวิต“ปิงภูมิใจเรื่องของ ความอดทน ของตัวเอง เพราะปิงใช้คําว่าช่างมันกับตัวเองค่อนข้างเยอะมาก จนสามารถผ่านเรื่องที่เลวร้าย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย แล้วมันก็เกิดขึ้นกับเรา จน ปิงลี่ ก็ใช้คําว่า ช่างมัน และ อดทน จนผ่านมันมาปิงเกิดในครอบครัวที่ พ่อแม่เป็นกรรมกร แล้วตั้งแต่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณแม่ก็จะเป็นคนที่หาเงินคนเดียว ได้เงินเดือนละ 3,000 บาท แล้วแม่ต้องเลี้ยงลูกสองคน ดังนั้นเรื่องที่เราจะต้องได้เสื้อผ้าใหม่ หรือของเล่นอะไรใหม่ ๆ คือเกิดขึ้นน้อยมาก หรือบางครั้งขาดไปเลยก็มี เพราะต้องใช้เงินเพื่อกินไปวัน ๆ เท่านั้นแล้วปิงมองว่ามันน่าจะเป็นทุกบ้านที่จะมีลูกรักของพ่อ หรือลูกรักของแม่ ซึ่งปิงเองเป็นลูกของแม่ แล้วตั้งแต่พ่อเลิกกับแม่ไป พี่สาวก็จะได้เจอกับคุณพ่อบ่อย ส่วนเราก็ไม่เจอเลย แต่เราก็เป็นคนเลือกที่จะไม่เจอนะ เพราะเรารู้สึกว่าทําใจไม่ได้กับการเลิกกันของทั้งคู่ และไม่สบายใจเวลาที่เห็นแม่ร้องไห้นอกเหนือจากความอดทนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวแล้ว อีกอันคือ ในยุคนั้นการบูลลี่ การแกล้ง โดยเฉพาะเป็นเพศนี้ ก็จะโดนแกล้ง ซึ่งต้องใช้ความอดทนกว่าจะผ่านมาได้ มันเลยเป็นสิ่งที่เราภูมิใจค่ะ”ที่เข้มแข็งในวันนี้ เพราะเคยโดนบูลลี่มาก่อน“ตอนเด็ก ๆ ปิง โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งบ่อย มีครั้งหนึ่งคือถูกเอาปืนแก๊ป ที่มันเป็นหลุมยิงได้ 6 นัด เอามายิงใส่เสื้อเสื้อเราจนขาดเพราะมันเป็นประกายไฟ พอกลับไปบ้านก็โดนแม่ตี เรื่องนี้แหละนำให้ปิงไปสู่การที่ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง เพราะตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากเลย กับการโดนแกล้ง จนไม่อยากออกไปเจอเพื่อนเลย ไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซึ่งคนที่ทำให้ปิงฮึดสู้คือพี่ชายค่ะ ตอนนั้นเค้าเห็นว่าเราไม่สู้คนเลย แล้วเค้าก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราโตไปโดยที่เราไม่ปกป้องตัวเองเลย มันจะทำให้เราเสียเปรียบ แล้วเราก็จะโดนแกล้งอยู่ตลอด เค้าก็เลยพาเราไปสอน ซึ่งตอนนั้นมันจะเป็นมวยคาดเชือก คือเอาเชือกมากั้นเป็นเวที แล้วก็ให้เราขึ้นไปยืน จากนั้นก็ให้เด็กที่ใส่นวมต่อยเรา แล้วเราต้องยืนอยู่ตรงกลาง แล้วก็ต้องทนให้เค้าต่อย จนทำให้ร่างกายมันจํา จะโดนต่อยตรงไหนก็ต้องเกร็งตรงนั้น ถ้าล้มก็ต้องเริ่มใหม่ แล้วเค้าก็จะมาสอนเราว่า ถ้าเราไปสู้มันจะเจ็บแบบนี้ ให้เราได้รู้ก่อนว่าความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง พอเราจําว่าเราจะต้องเจ็บยังไง วันต่อมาเราก็ต้องเริ่มที่จะชก เริ่มที่จะต้องปัด ฝึกแบบนั้นตั้งแต่ 9 ขวบค่ะ”เป็นคนรักเพื่อน เพราะมีเพื่อน ถึงมีปิงลี่วันนี้“หลากหลายครั้งที่ ปิงลี่ เจ็บตัว มันแลกมากับการที่เราพยายามปกป้องเพื่อนเรา เพราะปิงโตมากับเพื่อน เพราะตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อ มันทำให้ปิงมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่แค่แป๊บเดียว เพราะแม่ต้องทำงาน แล้วช่วงที่เราเข้ามัธยม ปิงก็ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหมดเลย กลายเป็นว่า เพื่อนพาไปนอนบ้าน พาไปกินข้าว พาไปโรงเรียน พาไปเที่ยว มันก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน จนเพื่อนเปรียบเสมือนครอบครัวไปเลยที่ปิงเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ก็เป็นเพราะเพื่อนเลย ตอนนั้นเรามีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 12 คน ซึ่งทุกคนช่วยกันลงขันคนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันจ่ายค่าเทอมให้ปิง ตอนนั้นค่าเทอมประมาณ 40,000 บาท แล้วพวกเราช่วยกันเรียน ช่วยกันทํางานส่งอาจารย์ จนเรียนจบมาด้วยกันได้แล้วในชีวิต ปิงรู้สึกว่า มีเพื่อนอยู่สองคน ที่ปิงทักไปหา แล้วอยากเป็นเพื่อนกับสองคนนี้มาก จนทักไปบอกว่า เราขอเป็นเพื่อนเธอได้ไหม ซึ่งสองคนนั้นคือ นินิว เพชรด่านแก้ว และ เอม วิทวัส หรือ เอม ตามใจตุ๊ด ในตอนนั้นปิงรู้สึกว่าพวกเรามันคือไทป์เดียวกัน ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันคงจะตลก แล้วปิงอยากมีเพื่อนตลก แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยที่เป็นเพื่อนกับทั้งสองคน ปิงทักไปหา นินิว ก่อน แล้วถึงจะทักไปหา เอม ซึ่งนางสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว พอได้คบกันแล้วไลฟ์สไตล์เราเข้ากันได้ ก็คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”คลิปสุดปัง เปลี่ยนชีวิตปิงลี่“ถ้าเป็นคลิปที่ดังที่สุดเลย ตอนนั้นก็ต้องเป็น Socialcam เลย ย้อนไป 12 ปีก่อน ตอนนั้นมี Socialcam ก็จะเป็นแอปพลิเคชัน ที่คล้าย Tiktok ที่จะมีการโพสต์วิดีโอลงไป แล้วก็จะมีคลิปที่ปิงถ่ายคู่กับ ธาวิน ก็คือแฟนคนปัจจุบัน มันเป็นคลิปเล่นกันปกติเลย คือปิงตั้งกล้องไว้ แล้วก็จะทํากับข้าวไป อยู่ดี ๆ ธาวิน ก็วิ่งมาผลักเราลงเตียง แกล้งกันแค่นี้เลย แล้วเราก็อัพโหลดคลิป ลงไป กลายเป็นว่าเกิดเป็นไวรัล ยอดผู้ติดตามขึ้นมาเกือบ 200,000 คน กลายเป็นว่าปิงก็ดังข้ามคืนไปเลยจากนั้นหลังจาก Socialcam ปิด ปิงก็เงียบไปเลย เราก็ไปเป็นแม่ค้า แล้วช่วงนั้น นินิว มีโปรเจกต์อยากทํา สตุ๊ดจ๊อบ แล้วก็มาชวนกันทํา เพราะ นินิว บอกว่า เห็นเราอยู่เฉย ๆ ซึ่งรายการนี้ เกิดมาเพราะว่าเพื่อนมองว่าหนูอยู่เฉย ๆ แต่จริง ๆ เราเป็นแม่ค้าอยู่นะ แต่เพื่อนไม่คิดว่าเราเป็นแม่ค้า มันคิดว่าเราว่างงาน แล้วดูน่าสงสารจัง เพื่อนก็เลยชวนว่ามาทํารายการกันไหม เป็นรายการ สตุ๊ดจ๊อบ ซึ่งตอนนั้น เอม เค้าก็มีรายการตามใจตุ๊ดอยู่ด้วย ก็เลยเกิดเป็นรายการที่แก๊งเพื่อนไปลองทําอาชีพต่าง ๆ จนคนรู้จักปิงมากขึ้น แล้วคนก็มาติดตามเรามากขึ้น แล้วปิงก็เริ่มกลับมาสู่เส้นทาง อินฟลูเอนเซอร์ และ ยูทูบเบอร์ อีกครั้งหนึ่งค่ะ”จากจริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ ของ ปิงลี่ เฟมัส“แรงบันดาลใจในการมีลูกส่วนหนึ่งก็คือ แฟนนี่แหละค่ะ เพราะว่าธาวินเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นคุณพ่อ แล้วเขาก็เลือกแล้วว่าต้องเป็นเรา เขาก็เลยบอกกับเราบ่อย ๆ ว่าเขาอยากมีลูก มีให้หน่อยได้ไหมเรา แล้วเขาศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นกะเทย ดังนั้นการมีลูกมันต้องตอบคําถามหลายอย่างมาก ต้องตอบลูกไม่พอ ยังต้องตอบคำถามกับสังคมอีก จะต้องทํายังไงให้คนได้รู้ว่า มันมีเด็กที่เกิดจาก LGBTQ+ ที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมเราแล้วนะ เราต้องทําให้คนเข้าใจก่อนว่ากระบวนการ และ วิธีการอะไรบ้างที่ทําให้เกิดเด็กแบบนี้ขึ้นได้ในช่วงแรกที่ปิงคิดจะมีลูก ปิงกลัวว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง ต่อให้เรารู้สึกว่าเราจะเป็นแม่ แต่เราไม่ได้คลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องตั้งคําถามกับตัวเองว่า แล้วเวลาที่คนอื่นมองเข้ามา เค้าก็จะมองว่าเราไม่ใช่แม่อยู่แล้ว เพราะเราคลอดไม่ได้ เราไม่ได้อุ้มท้อง สิ่งเหล่านี้มันทําให้ปิงรู้สึกกลัวมากเลยกับการที่จะต้องมานั่งบอกกับลูกซึ่งก่อนหน้านั้นปิงก็ไม่ได้เป็นคนรักเด็ก เวลาเด็กเจอหน้าเราก็จะกรี๊ดเลย เพราะว่าเด็กกลัว เราก็เลยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าอุ้ม ขนาดเป็นลูกของเพื่อน ต่อให้เอ็นดูกับขนาดไหน เราก็จะไม่อุ้ม แต่ในวันที่อยากมีลูก ปิงต้องทําการบ้านเรื่องเด็ก ไปพร้อม ๆ กับการหาคําตอบให้เขา ซึ่งมันยากมากเลย ซึ่งปิงก็จะเล่าให้ฟังหมดเลยว่า เค้าเกิดมาจากความรัก ทุกคนต้องการที่จะให้หนูเกิด และเชื่อว่าหนูจะได้รับความรักจากทุกคนเลยบนโลกใบนี้พอเราตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการ โดยลูกเค้าก็ต้องรู้ทั้งหมดว่า เค้าเกิดมาจากพี่สาวของเราที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน เป็นดีเอ็นเอเดียวกัน แล้วเค้าเกิดมาจากการที่พี่สาวของปิงอุ้มบุญให้ โดยกว่าที่กระบวนการทุกอย่างจะสำเร็จ ปิงก็ผิดหวังมาหลายรอบมาก แล้วพี่สาวก็ทุ่มเทมาก ในการที่จะต้องรักษาตัวเอง รักษามดลูก แล้วทุกวิธีกามันบั่นทอนจิตใจพี่สาวมากเลย ทั้งการเก็บไข่ การขูดมดลูก การเตรียมฉีดฮอร์โมนเข้าตัวเอง แล้วพี่สาวก็อดทนมาก ๆ เพื่อที่จะทำให้ปิงมีลูกให้ได้ ซึ่งตอนนั้นพี่สาวก็อายุ 40 แล้วด้วย ทำให้การดูแลตัวเองต้องเยอะมาก แล้วต้องมีกระบวนการปฏิสนธิในหลอดแก้ว เพราะฉะนั้นพี่สาวก็จะต้องขยับตัวให้น้อย และต้องทานอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเยอะมาก ต้องมีกฎระเบียบกับตัวเองมาก ๆ เลย เพื่อบํารุงครรภ์ ซึ่งในกระบวนการกว่าจะมีลูกได้ ปิงผิดหวังและพลาดไปสองครั้ง ซึ่งถ้าพลาดแล้วทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมดเลย ตั้งแต่การเตรียมพร้อมร่างกาย การฉีดฮอร์โมน จนมันทําให้เรารู้สึกเสียใจและไม่อยากทําแล้ว เพราะว่าเราเป็นห่วงพี่สาว เป็นห่วงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเค้ามาก ๆ เลยในวันที่ มาร์เบลล์ คลอดออกมา เราขอบคุณทุกอย่างเลย ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณแฟน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างเลยที่ทำให้ลูกของปิงได้เกิดมา หลังจากลูกเกิดมา ก็โชคดีที่น้องของปิงที่เค้ามีลูกมาแล้ว และก็มีพี่สาวของปิงเอง คอยให้คําแนะนําในการเลี้ยงลูกอยู่ตลอด ว่าต้องให้นมแม่นะ ให้นมทำยังไง การอุ้มต้องประคองยังไง ซึ่งปิงอยากอุ้มเขาให้ได้เยอะที่สุด เพราะปิงรู้ว่าตัวเองทํางานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เลยค่อนข้างมีเวลาอยู่ที่บ้านน้อย ปิงก็เลยพยายามอุ้มเค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทําได้ ส่วนแฟนของปิงด้วยความที่เค้ามีความเป็นผู้นําครอบครัว แล้วก็มีความเป็นคุณพ่อแบบ 100% คือเค้าเตรียมให้ลูกหมดเลยทุกอย่าง แล้วเค้าก็หาข้อมูลมาหมดเลยว่า ต้องใส่ใจลูกยังไง ไปจนถึงขั้นที่ว่า ไปตรวจความสามารถลูก เพื่อวางแผนอนาคตให้ลูกว่า เค้าจะเติบโตไปในทิศทางไหน เตรียมผลักดันเค้าให้ถูกต้อง ทําทั้งหมดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นพ่อที่ดีให้กับกับเด็กคนหนึ่งได้มาถึงวันนี้ปิงมองว่า การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จําเป็นต้องรอ เพราะคําว่าพร้อมมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเรามัวแต่รอ โดยที่ไม่มีการเริ่มขึ้นมาก่อนเลย ไม่ได้ลองผิดลองถูกก่อนเลย มันก็ยังเป็นแค่ลม แต่ที่ปิงมีลูก ก็ไม่ใช่การมีลูกเพื่อที่จะต้องมาเรียกร้องกฎหมาย แต่ปิงมีลูกเพื่อที่จะทําให้ทุกคนได้รู้ว่าในอนาคตต่อไป เราจะต้องได้เจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกเยอะมาก ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรของประเทศไทยในรุ่นต่อไป แล้วเค้าก็ต้องได้กฎหมายคุ้มครองเหมือนกันกับทุกคนในสังคม ซึ่งก็เป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าไม่เริ่มขึ้นเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้แล้วปิงก็ใช้การเป็นนางงามของปิง ทําให้ทุกคนได้รู้ว่า เรากําลังจะได้เป็นแม่ แล้วการที่จะเป็นแม่ของเรา มันจะต้องทําให้ทุกคนได้เข้าใจว่า การเป็นแม่ของ LGBTQ+ หรือการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมันต้องเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และลูกต้องเข้าใจว่าเค้าเกิดมาได้ยังไง และการเกิดมาเป็นลูกกระเทย มันก็ไม่ได้แย่ ปิงคิดว่า เราควรที่จะต้องมีการปลูกฝังพื้นฐาน ให้สังคมเข้าใจก่อน อย่าเพิ่งแอนตี้ อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนปิงมีลูกแล้ว และเราทําให้ดูอยู่ด้วย แล้วปิงเชื่อมั่นว่าในอนาคตข้างหน้า ทุกคนจะเข้าใจ และเปิดใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”ย้อนเส้นทางนางงาม ของ ปิงลี่ เฟมัส“มิสขี้เมา 2024 มันเป็นเวทีของเพื่อน เอม และแฟนเอม จัดการประกวดนี้ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก กับการที่เราเข้าไปประกวดเวทีของเพื่อน แล้วเพื่อนจะให้เราผ่านเข้ารอบ ในสายตาเพื่อน มันแทบจะตัดเราออกไปเลย แล้วพื้นฐานการเป็นนางงามของปิงแย่มาก เราก็เลยต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น ซ้อมจนกว่าการเดินของเรามันจะดีขึ้น การวางตัว การวางท่า เราต้องปรับใหม่ทั้งหมดเลย แล้วมันกินเวลาเยอะมาก และมันมีช่วงที่ท้อด้วยนะที่ปิงคว้ามงได้ คิดว่าเป็นเพราะวันนั้นปิงมีสติ คือเพื่อนจะพูดเสมอว่า ปิงเป็นคนพูดอะไรแล้วจะพูดไม่จบ ไม่สามารถที่จะลงท้ายแบบจบได้สวย แต่กลายเป็นว่าวันนั้นมันเป็นวันของเราจริง ๆ ทุกอย่างมันก็เลยออกมาดีไปหมดเลย ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปิงทำอย่าเต็มที่ในทุกรอบการประกวด เพราะปิงคิดว่าลูกจะต้องกลับมาดูคลิป แล้วถ้าแม่เดินทุเรศมันอายคนนะ ปิงอยากทำให้ดีที่สุด อยากทำให้ลูกเห็น ก็เลยกลายเป็นว่า ทุก ๆ การเดินของปิง ปิงเต็มที่กับทุกก้าว ทำให้ดี ทำให้สง่า เพราะวันข้างหน้าเราอยากให้ลูกภูมิใจในฐานะนางงามรุ่นพี่ ปิงรู้สึกว่า นางงามในรุ่นต่อไป มันคือการแข่งขันที่สูงมาก แล้วนางงามก็จะต้องสร้างทั้งฐานแฟนคลับด้วย แล้วก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วย เพราะฉะนั้นปิงอยากให้ทุกคนมีใจที่จะเป็นนางงามจริง ๆ ไม่ได้นึกถึงแค่ชื่อเสียง แต่มันจะต้องดีจากภายใน ดีโดยเนื้อแท้จริง ๆ แล้วเวลาเราทําอะไรแล้ว เราจะไม่หลุดไปเป็นคนอื่น การดีจากเนื้อในมันจะทําให้ทุกกิริยาของเรา มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่มองเห็นง่ายทะลุปรุโปร่ง”ชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังจากได้เป็นคุณแม่“ตอนนี้ มาร์เบลล์ จะ 4 เดือนแล้วค่ะ และปิงก็ยังเป็นคุณแม่ที่ดูแลใกล้ชิด คอยดูพัฒนาการของลูกอยู่ตลอด เรียนรู้ทุกวัน แล้วก็ต้องเป็นนักคาดเดาด้วย สมมติว่าถ้าเค้าร้องไห้ สิ่งแรกที่เราต้องเริ่มดูเลยก็คือ หิวไหม ผ้าอ้อมเปียกรึเปล่า ถ้าเราเช็คแล้วแต่เค้ายังร้องอีก มันก็ต้องเริ่มใหม่อีกรอบ ทุกวันนี้ปิงก็เลยสนุกอยู่กับการคาดเดากับลูกเชื่อไหมว่า ปิงปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มันต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะมาก แล้วปิงปรับตัวไม่ทัน เพราะเวลาเราอยู่กับลูก เราอ่อนโยนมาก เราไม่พูดคําหยาบเลย ให้เค้าฟังเพลงเบา ๆ แต่พอกลับเข้ามาอยู่กับพวกเพื่อนเราก็ต้องพูดแบบใช้พลัง แล้วกลายเป็นว่าเราไม่ทันเพื่อน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไปถึงไหน หรือว่าเพื่อนกําลังพูดเรื่องอะไร เวลาไปออกรายการ เราจะช้าแล้วก็ประมวลยากกว่าเดิม กลายเป็นการกดดันตัวเองมากช่วงนั้นปิงปรึกษาเพื่อนหมดเลย แล้วก็เลยต้องเลี้ยงลูกแบบแบ่งเวลาดี ๆ จนตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”ความภูมิใจ จาก ปิงลี่ สู่ ลูกสาว“ถ้าวันหนึ่งลูกของปิงโตขึ้น และได้มาดู Club Pride Day ในวันนี้ แม่อยากให้หนูภูมิใจในตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ ใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุขมาก ๆเพราะว่าแม่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่กับหนูได้ทั้งชีวิต แล้วก็ตอนนี้ หลายคนรู้จักกับหนูแล้ว และก็เป็นกําลังใจให้หนูอยู่เสมอ อยากให้หนูใช้ชีวิตให้ดี เลือกชีวิตตัวเองให้ถูก แล้วแม่ก็มั่นใจว่าหนูจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนเปิดรับแล้วก็ซัพพอร์ทหนูเหมือนกับที่แม่ได้รับแน่นอน” - ปิงลี่ เฟมัสพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราว ตัวตน บนความรักตัวเอง ของ “ต้น ธนษิต” จากแชมป์รายการดัง สู่นักร้อง R&B กับแนวดนตรี Queer Pop สุดปัง!

21 ม.ค. 2025

เปิดเรื่องราว ตัวตน บนความรักตัวเอง ของ “ต้น ธนษิต” จากแชมป์รายการดัง สู่นักร้อง R&B กับแนวดนตรี Queer Pop สุดปัง!

“อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง เพราะต้นเคยกลัวมาก่อน เลยรู้ว่ามันทำให้เราไม่สบายตัวขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องไปตามบรรทัดฐาน หรือไม้บรรทัดของใคร เพราะวันนี้เรามีไม้บรรทัดเป็นของตัวเอง”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ต้น ธนษิต” ศิลปินมากความสามารถ ผู้มีใจรักในการร้องเพลง และเป็นผู้ชนะเลิศในรายการประกวดร้องเพลง ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซันที่ 8 ผู้มีสไตล์ และแนวการร้องเพลงที่ถนัดอย่างแนว โซล, ป็อป, RB และแจ๊ส มีผลงานเพลงดังอย่าง รู้ยัง, โดยไม่มีเธอ, TRUTH or DARE เป็นต้น กว่าจะมาถึงวันนี้เรียกว่าชีวิตของเขาไม่ง่ายเลย และเขากลับมาพร้อมการนำเสนอตัวตนบนแนวดนตรีชีชื่อว่า “Queer Pop” เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการจาก RB ที่ชอบ สู่ Queer Pop ที่ใช่“ต้นเป็นคนชอบฟังเพลง แล้วจริง ๆ จะชอบเพลงแนว ฮิปฮอปอาร์แอนด์บี แต่หลัง ๆ ก็จะมีฟังแนวอิเล็คโทรนิคส์ บ้าง เปลี่ยนไปแนวเต้น ๆ บ้าง ส่วนแนวที่ถนัดร้องก็จะเป็นอาร์แอนด์บี ที่ได้ร้องบ่อยที่สุดต้นรู้สึกว่าเราร้องเพลงอาร์แอนด์บีมาสักพักนึงแล้ว ก็เริ่มอยากจะหันไปทำเพลงที่มันเป็นจังหวะเต้น ๆ ขึ้นมาบ้างนิดนึง เพราะตัวตนจริง ๆ เป็นคนสนุกมาก เป็นคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบปาร์ตี้ แต่ว่าเรามาจากรายการประกวดร้องเพลง ที่มันจะเป็นแบบอีกพาร์ทในเรื่องของการร้อง จะไม่ใช่พาร์ทที่มันเป็นบุคลิกจริง ๆ ของเราส่วน Queer pop ต้นไปเห็นมา ตอนนั้นต้นอ่าน Article แล้วรู้สึกว่าเราชอบคำว่า Queer Pop ซึ่งมันเหมือนเพลงป๊อบซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่ม LGBTQ+ หรือว่าเป็นเพลงที่ได้รับการยอมรับ หรือได้รับความนิยมได้ แล้วเราก็ได้รู้สึกว่า เราอยากออกเพลงมาแล้วเราได้รับการยอมรับ ซึ่งคำว่า Queer ของต้น มันก็คือทุกอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบรรทัดฐานของความเป็นเพศนั้น ๆ คือผู้ชายไม่ใช่ต้องชอบผู้หญิง ผู้ชายชอบผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงชอบผู้หญิงก็ได้ หรือเป็น Bisexual หรือว่าแบบเป็น Nonbinary ซึ่งมันคืออะไรก็ตามที่มันอยู่นอกจากบรรทัดฐานของสังคม เราก็ยกให้เป็น Queer หมด”ต้น ธนษิต กับการยอมรับตัวตนของตัวเอง“จริง ๆ ต้นยอมรับมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว ก่อนหน้านั้นก็ยังมีความสงสัยว่าเราชอบผู้ชายหรือเปล่า หรือชอบผู้หญิง จนกระทั่งตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา แล้วก็ไปชอบเด็กผู้ชายเยอรมันคนนึง นั่นแหล่ะเป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายซึ่ง พ่อแม่ คือหนึ่งในความกังวลเหมือนกัน แล้วก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง อยู่ดี ๆ เราก็พูดกับแม่เลยว่า แม่ ชอบผู้ชายนะ คือเราไม่ได้เรียกมาเพื่อจะคุยกันแบบเป็นกิจจะลักษณะ อารมณ์เหมือนตื่นมาแล้วเดินไปหาแม่เลยว่า แม่มีไรจะบอก เพราะเราแค่รู้สึกว่าอยากบอกเฉย ๆ เพราะเพื่อนฝูงก็รู้อยู่แล้ว และรู้สึกว่าคนใกล้ตัวที่เป็นครอบครัวเรา อย่างน้อยที่สุด เค้าควรจะได้รู้ว่าวิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ จะได้ไม่ต้องมาถาม หรือสงสัยอะไรกัน หลังจากที่บอก แม่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าก็บอกว่าโอเค ซึ่งก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะเป็นแบบนี้”ครั้งหนึ่ง การเป็น LGBTQ+ ในวงการบันเทิง ก็ไม่ง่าย“ยากมากครับ ก็ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนต้นจะออดิชั่น AF เลย ตอนนั้นสังคมก็ยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ แล้วตัวเราเองพอรู้ว่าติดเข้าไปอยู่ในรายการเรียลลิตี้โชว์ที่มีกล้องอยู่ แล้วต้องไปอยู่นานสามเดือน มันก็แอบกังวลอยู่เหมือนกันว่า เราจะวางตัวยังไงกับตัวตนของเราดี หรือตอนที่ได้คนครบ 24 คน กำลังจะเข้าบ้าน แล้วต้องไปตามรายการเพื่อไปสัมภาษณ์ต่าง ๆ ต้นก็เคยโดนคำถามว่า เธอเป็นไหม เค้าถามเลย แล้วเราก็ตกใจมาก ด้วยความที่เราก็ไม่อยากโกหก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง เราก็บอกว่า ไว้ไปรอดูในบ้านแล้วกัน เราก็ใช้ไหวพริบของเรา กับเหตุการณ์ตรงนั้น เราแค่รู้สึกว่าสมัยก่อนมันเป็นอะไรที่ดูเป็นเรื่องใหญ่จังเลยกับการที่เป็นเกย์ แล้วจะเข้าไปอยู่ในวงการบันเทิง มันดูเหมือนล่าแม่มด ทุกวันนี้ต้นคิดย้อนกลับไปว่า ตอนนั้นเรากลัวอะไร ทำไมเราถึงไม่พูดความจริงในตอนที่กำลังจะเข้าบ้าน AF ต้นตกลงกับตัวเองก่อนเลยว่า ฉันจะไม่โกหก ฉันจะไม่แอ๊บ คือจะไม่พูดว่าชอบผู้หญิง แต่ว่าเราอาจจะระวังอาการ หรือกิริยาของเรา เพราะว่ามันก็มีพ่อแม่ที่ดูอยู่ มีเพื่อนของพ่อแม่ ที่เราต้องคิดหลายอย่าง แต่ก็บอกกับตัวเองไว้เลยว่า ฉันจะไม่พูดว่าฉันชอบผู้หญิงเด็ดขาด แต่ละวันก็ใช้ชีวิตไป เราก็สนุกสนานเฮฮาไป แต่ถามว่าเป็นตัวเอง 100% ไหม มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นความกดดันมันเป็นแค่ช่วงแรก ๆ แต่พออยู่ไปสักพัก เราก็เริ่มรู้สึกว่ายังไงคนก็รู้อยู่ดี เพราะต้องอยู่ตั้ง 3 เดือน เค้าจะไม่รู้เลยเหรอ มันเป็นไปได้ยังไง เปิดกล้อง 24 ชั่วโมง ตลอด 3 เดือน ดังนั้นถ้าเค้าจะรู้ก็รู้ไป เราก็ถือว่า เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ต้องโฟกัสที่การร้องเพลง แล้วช่วงนั้นมันเริ่มมีการจิ้นเกิดขึ้น คนก็มีการจิ้นเรา และเป็นยุคเริ่มต้นของวาย เราก็เลยรู้สึกว่า เค้าก็คงยอมรับได้แล้วแหละ เพราะเราก็อยู่มาจนถึงรอบสุดท้ายแล้วถ้าเรื่องการยอมรับของทุก ๆ คน ต้นว่าก็เป็นเหมือนที่เราคิดนะ อาจจะดีกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ แต่ว่าช่วงแรก ๆ เค้าไม่ได้มาพูดตักเตือน หรือ ขีดกรอบให้เรา แต่เหมือนเรารู้กันเอง แต่ว่าสิ่งที่เป็นกังวลมากคือในเรื่องของงาน ถ้าเป็นพาร์ทแฟนคลับหรือคนรอบข้างเราไม่ค่อยกังวล แต่ว่ามันจะเริ่มมีประโยคหนึ่ง หลังจากต้นได้แชมป์ เราก็เริ่มเซ็นสัญญา เริ่มจะต้องทำงาน ซึ่งจะมีประโยคหนึ่งที่เราจะจำไปจนวันตายเลย เค้าพูดว่า อย่าสาวมากนะเดี๋ยวไม่มีงาน คำนี้มันเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมการที่จะเป็นสาว หรือจะเป็นเกย์ มันเป็นเรื่องผิดขนาดนั้นเลยเหรอ มันจะกระทบกับการที่เราจะได้งานหรือไม่ได้งานขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วมันก็ทำให้เราวางตัวยากขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงดี ที่เราเป็นตัวเราเองมันผิดเหรอ ทำให้เราวางตัวอยู่กลาง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ต้นไม่เคยอยู่ดี ๆ แล้วพูดออกมาพูดว่าตัวเองเป็นเกย์ เพราะรู้สึกว่าคนรู้อยู่แล้ว แล้วเราจะรู้สึกตลกมากถ้าอยู่ดี ๆ ออกมาพูด แต่มันก็มีเกิดเหตุการณ์คือ หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตมาเรื่อย ๆ ดำเนินชีวิตมาเรื่อย ๆ แล้วก็ร้องเพลงในแบบที่เราชอบ เราก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปบาร์เกย์ แต่เพียงแค่อาจจะไม่ได้ลงโซเชียล แต่ว่าใช้ชีวิตปกติเลย เดทและคุยกับผู้ชายมาเรื่อย ๆ จนมีอีกประโยคหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือช่วงนั้นเด็กที่เกิดจาก AF เค้าก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะไปดังในวงกว้างให้ได้ เช่นไปเล่นละคร ไปเล่นซีรี่ส์ แล้วเราเองก็อยากเล่นบ้าง เพราะเราก็อยากจะมีชื่อเสียงที่มากกว่าวงในจากแฟนคลับ เราก็โดนประโยคนึงกลับมาว่า เธอเล่นละครไม่ได้หรอก เธอพูดประโยคยาว ๆ แล้วเธอจะหลุดสาวออกมา แล้วเค้าไม่ได้ให้เราพยายามเลยด้วยซ้ำ อันนี้คือสิ่งที่ฝังใจเราตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยได้เล่นละครเลยครับ แอบน้อยใจว่าอย่างน้อยให้เราลองก่อนไหม หรือไปแคสก่อนไหม แล้วถ้าเราทำไม่ได้จริง ๆ เราก็จะยอมรับ แต่นี่เหมือนคุณยังไม่ได้ให้โอกาสเราได้ลองเลย แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่รู้สึกว่าคนที่มีคาแรกเตอร์คล้าย ๆ เรา เค้าสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้แล้วอย่างสบายตัวสบายใจ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ แต่ดันมาช้าไปนิดนึงสำหรับเรา ตั้งแต่ถ้าเป็นซีรี่ส์ หรือละครทีวี เราไม่เคยได้เล่นเลย แต่จะมีได้เล่นละครเวทีอยู่บ้าง ที่ต้องออดิชั่นอยู่ 3 ปี กว่าจะได้โอกาสครับ”เส้นทางการต่อสู้ของ ต้น บนเวทีประกวด AF“ต้นไปออดิชั่นตั้งแต่สองปีแรก ถึงขั้นต้องไปต่างจังหวัดด้วย เพราะว่าต่างจังหวัดมันจะออดิชั่นก่อนกรุงเทพ ไปออดิชั่นอยู่ 2 ปี ก็ยังไม่ได้ จนรู้สึกว่าหรือมันอาจจะไม่ใช่แล้ว จนกระทั่งปีที่ 3 ปีนั้นโชคดีมากที่มี พี่ทาทายัง เป็นกรรมการ แล้วเราร้องเพลงฝรั่งตามสไตล์เราไป แล้วพี่ทาทายังเค้าชอบ จนพูดเลยว่า คนนี้ต้องเข้ารอบเวลาถูกตัดสินว่าไม่ผ่านท้อครับ ต้นว่าทุกคนที่เป็นคนประกวดต้องเคยท้อกันหมด ตัวต้นเองตอนนั้นเราคิดในใจแล้วด้วยซ้ำว่า ถ้าปีนี้ไม่ได้ ต้นก็อาจจะไม่ลองแล้ว เพราะมันเหนื่อย และใช้ความอดทน บวกกับความพยายามเยอะมาก แต่เราก็ลองเปลี่ยนเพลง ลองเปลี่ยนแนว ต้องคิดหลายอย่าง เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันไม่ผ่านเพราะอะไร เพราะกรรมการก็พูดแค่คำเดียวว่า ขอบคุณค่ะ เชิญค่ะความฝันในการเป็นนักร้อง จริง ๆ มันเริ่มจากการคิดแค่ อยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากจะได้ร้องเพลง อยากจะออกคอนเสิร์ต อยากจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง แล้วเราก็ได้ทำจริง ๆ หลังจากที่ออกจาก AF แล้ว ซึ่งความฝันการเป็นนักร้อง มันเริ่มมาในตอนที่ไปอยู่อเมริกา โรงเรียนที่ไปเรียนแลกเปลี่ยน เค้ามีชมรมร้องประสานเสียง แล้วเปิดโอกาสให้ได้ไปร้อง เราก็ไป ปรากฏว่า เพื่อนก็ชมว่าเธอร้องเพลงได้ หลังจากนั้นกลับมาไทย ก็เลยอยากลองยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ ก็ลองไปออดิชั่นดู ตอนนั้นที่กลับมาเป็นซีซั่นที่ 6 ลองไป 2 ปีก็เริ่มรู้สึกว่า หรือนักร้องมันจะไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอาชีพของเราแล้ว จนกระทั่งซีซั่นที่ 8 เราก็ติดขึ้นมา หลังจากได้แชมป์ ก็เริ่มมีเพลงที่คนร้องตามได้ เรารู้สึกดีใจที่ว่ามีคนฟังเพลงเราด้วย แล้วเค้าก็ร้องตาม เค้าสามารถร้องเพลงเราได้ เค้ารู้จักว่าเราเป็นใครณ วันนี้ ต้นสบายตัวมาก จนกระทั่งลงรูปคู่กับแฟน จนทำให้สื่อทราบในวงกว้าง คือตอนนั้นเราลงรูปคู่กับแฟน วาระครบรอบ 3 ปี แล้วก็เป็นข่าวขึ้นมา วันนั้นเป็นช่วงที่เล่นละครเวทีอยู่ แล้วไม่เคยมีการสัมภาษณ์ครั้งไหนที่มีไมค์เยอะที่สุดในชีวิตเท่าวันนั้นมาก่อน”ต้น ธนษิต กับมุมมองความรักของ LGBTQ+“หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า ความรักของเกย์มันฉาบฉวยมาก มันก็จริงส่วนหนึ่งนะ แต่ว่าความรักของคู่ชายหญิงมันก็มีที่ฉาบฉวยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยวเลยว่า พอเป็นเกย์แล้วมันจะฉาบฉวย ต้นคิดว่ามันแล้วแต่คนมากกว่า แล้วแต่ว่าเราเจอใครที่ ถูกต้อง ถูกใจ ในเวลาที่มันใช่มากกว่าเรื่องสเป็กของต้น เราชอบคนสูง และต้องเป็นคนที่ใส่ใจ แล้วก็ต้องมีความสม่ำเสมอ มีความอบอุ่นด้วยนิดนึง ซึ่งหลาย ๆ ครั้งที่รักมันไม่สมหวัง มันก็เกิดจากความงี่เง่าของเรา บางทีก็เช็คโทรศัพท์ ไปดูว่าเค้าไปคอมเมนท์ใครไหม ซึ่งก่อนจะเจอแฟนคนนี้ บางทีเราเองก็รู้สึกว่าตัวเราเองก็เยอะเหมือนกันนะ เหมือนไม่มั่นใจในตัวเค้า แต่ว่าจริง ๆ แล้ว มันสะท้อนความไม่มั่นใจในตัวเรามากกว่า ว่าเราไม่สามารถที่จะให้คน ๆ นี้อยู่กับเราได้ ก่อนหน้านี้มันก็มีเจอคนที่มีแฟนแล้วชอบมาคุยด้วย เยอะมากจริง ๆ ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะมีเจ้าของอยู่ แล้วมารู้ทีหลังก็มี หรือพอคุยไปแป๊บนึง เค้าก็บอกเองเลยว่า จริง ๆ มีแฟนแล้วนะครับ เราก็จะเกิดคำถามว่า แล้วมาคุยทำไม เราก็ตัดจบเลยกับคนปัจจุบัน คบกันมา 7 ปีแล้วครับ ไม่รู้เรียกว่าเคล็ดลับได้รึเปล่า แต่ว่าเราปล่อยให้กันและกันเป็นตัวเอง เราจะไม่ค่อยมีการบังคับ คือต้นเป็นคนที่เที่ยวกลางคืน แล้วเค้าไม่ค่อยเที่ยว ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่เป็นไรก็เที่ยวได้ เราก็โอเคไม่บังคับกัน หรือด้วยความที่แฟนเราเค้าไม่ชอบแต่งตัวใส่สูทดูทางการ แต่เรามีเพื่อนเยอะมาก เวลาต้องไปงานแต่งงาน เราเลยจะชวนคนที่เราสนิทจริง ๆ และเค้าสนิทจริง ๆ เพราะเรารู้ว่าเค้าไม่ชอบแต่งตัวแล้วปกติเวลาถึงวันครบรอบ เราก็จะมีถามแฟนว่า อยากให้ต้นเปลี่ยนอะไรไหม เค้าก็จะมีบอกว่า เก็บของไม่เป็นที่ ยาสีฟันไม่ปิดให้สนิท เค้าเป็นคนเป๊ะ แต่ว่าเค้าตอนหลัง ๆ เค้าก็บอกว่าก็ทำใจแล้ว ก็คงได้ประมาณนึงแหละ ในขณะที่เค้าเป็นคนเป๊ะ แต่เราจะเป็นคนไม่เป๊ะ ชอบทำรก เราก็มีจุดที่ต่างกันอยู่ แต่ก็ปรับจูนกันได้”ในวันที่ สมรสเท่าเทียม เกิดขึ้นในประเทศไทย“พอ สมรสเท่าเทียม ผ่าน ต้นกับแฟนก็คุยเรื่องจดทะเบียนกันว่ามีแน่นอน แต่เรื่องงานแต่งงาน มีคนถามมาเยอะมาก ก็ถ้าจดทะเบียนได้ เราก็อยากจดอยู่แล้ว เพราะในแง่ของกฎหมายอะไรต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่เป็นงานแต่งงาน หรืองานเฉลิมฉลอง อันนั้นก็ไว้ว่ากัน แฟนเค้าเคยเปรย ๆ อยู่เหมือนกันว่า ถ้าสมรสเท่าเทียมผ่าน แต่งงานกันมั้ย แต่ว่าอันนี้ยังไม่ถือว่าขอนะ มันเหมือนนอนคุยกันเล่น ๆ แต่กับ สมรสเท่าเทียม เรารู้สึกดีใจมาก ๆ เลย เราดีใจแทนคู่รัก LGBTQ+ ทุก ๆ คู่ ที่เค้าอยู่กันมานาน ที่เค้ามีแพลนจะแต่งงานกัน คือมันไม่ต้องมานั่งกังวลแล้วว่ามันแต่งไม่ได้ คือตอนนี้มันแต่งได้แล้ว และมันเป็นนิมิตหมายที่ดีมาก ๆเรื่องความรัก ต้นว่าขึ้นอยู่กับจังหวะ และเวลาที่ใช่ อย่างตัวต้นเอง ก็เคยคิดเหมือนกัน คือต้นเคยไม่มีแฟนมา 3 ปี เราก็คิดว่าในช่วงระหว่าง 3 ปีนั้น บางทีอาจจะไม่เจอแล้วก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็เจอ ขอแค่อย่าเพิ่งหมดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก หรือเรื่องอื่น ๆ เราคิดว่าอดทนไปเรื่อย ๆ ก่อน แล้วมันจะเจอเอง ที่รู้จักคนล่าสุดนี้ เพราะเพื่อนแนะนำ โดยเพื่อนลากให้มาคุยแชทกัน แล้วเพื่อนก็ออกจากกลุ่มไปเลย ซึ่งเหมือนต้น กับ แฟน เราเคยเจอตัวจริงกันแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยคุยกัน เหมือนเค้าก็บอกว่าตอนนี้เค้าโสด แล้วตอนนี้ต้นก็โสด ก็เลยลองคุยกันดูก่อนหลังจากนั้น เวลาอยู่กับเค้าแล้วมันมีความสุข แล้วมันไม่ยาก สบายใจ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เราสามารถเป็นตัวเองได้ เค้าก็เป็นตัวเองได้ มันแฮปปี้ ก็เลยลองคบกันดู จนวันนี้ก็คบมา 7 ปีแล้วครับ”ความยากของวงการเพลงในปัจจุบัน“ต้นว่ายากขึ้นมากเลยครับ เพราะมันไม่มีสูตรตายตัวว่า อะไรมันจะฮิต อะไรมันจะดัง อะไรมันจะมา เราไม่มีทางรู้ได้เลย คือต้นคิดว่า วงการนี้เก่งอย่างเดียวมันไม่ได้ มันต้องเก่งแล้วก็ต้องพึ่งดวงด้วย มันมีคนร้องเก่งกว่าต้นตั้งเยอะ แต่ว่าเค้าก็อาจจะไม่ได้สำเร็จเหมือนเรา ตัวเราเองก็มองว่า บางทีเราก็อาจจะไม่ได้สำเร็จเท่าคนโน้นคนนี้ แล้วก็เอาตัวเองไปเทียบบ้างอย่างตอนทำเพลง รู้ยัง ไม่คิดเลยนะว่ามันจะดัง ก็ทำตามโควต้าที่ได้มา ก็คือสล็อตอัลบั้มนี้มี 9 เพลง รู้ยัง เป็นเพลงปิดอัลบั้ม มันก็คือแค่นั้นเลย ฟังก์ชั่นของเพลงก็แค่เป็นเพลงปิดอัลบั้ม แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ตั้งใจนะ เราตั้งใจทำทุก ๆ เพลง และทำไปตามขั้นตอนที่ต้องทำ ตอนแรกที่เพลงออกมา คนก็ชอบประมาณนึง แล้วอยู่ ๆ มันไปดังใน The Mask Singer หน้ากากนักร้อง เพราะ พี่ทอม ที่เป็นหน้ากากทุเรียน เค้าเอาไปร้องในรอบไฟนอล แล้วระหว่างทาง มีคนทายว่าต้น เป็นหน้ากากทุเรียน จนทำให้เพลง รู้ยัง มันกลับมาดังเปรี้ยงอีกรอบคือจริง ๆ ถ้าพูดในมุมความเป็นนักร้อง ต้นยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่อยากได้ คือ เพลงรู้ยัง มันอาจจะดัง แต่ว่าต้นก็อยากมีเพลงอื่น ๆ อีก ที่มันดังเท่านี้ นั่นคือชาเล้นจ์ที่ต้นเจอ คือหลังจาก เพลงรู้ยัง ออกมา ก็ยังไม่สามารถที่จะทำเพลงไหน ให้มันดังกว่า หรือดังเท่าได้เลย มันก็เลยรู้สึกว่า เราก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก ถึงแม้ว่าเราจะได้แชมป์รายการประกวดร้องเพลงมา แต่มันก็แค่นั้น มันก็คือรายการ พอรายการจบ มันก็คือจบ ทุกคนต้องเริ่มใหม่ในวงการนี้นอกจาก เพลงรู้ยัง จริง ๆ มีอีกเพลงนึงที่ชอบคือเพลง โดยไม่มีเธอ เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ชอบโดยเฉพาะผู้ชายชอบเพลงนี้เยอะมาก มันเป็นอีกหนึ่งเพลงเศร้าที่ต้นร้องแล้วมันอิน ซึ่งแปลกมาก เพราะตอนนั้นมีแฟนด้วยนะ แต่แปลกมากที่เวลาร้องแล้วมันออกมาดูลงตัว น้ำเสียงที่เราใช้ หรือบีทเพลง ร้องแล้วรู้สึกว่าเพลงนี้ดี มันเศร้าดีถ้าเป็นยุคนี้ ก็จะแนะนำคนที่อยากทำเพลงว่า เป็นตัวเองดีที่สุด อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเองในยุคนี้ ซึ่งเราอาจจะแนะนำแบบนี้ไม่ได้ในตอนนั้น แต่ในตอนนี้ เป็นตัวเองดีที่สุด มีความสุขกับตัวเอง อยากทำอะไรทำ ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุดของต้นเอง ช่วงนี้ก็มีเพลง ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาชื่อเพลง เธอจะเข้าใจฉันต่อเมื่อไม่มีฉันให้เข้าใจแล้ว กรีนเวฟเล่นอยู่ แล้วก็ตอนนี้มีธุรกิจที่อยู่นอกเหนือจากการร้องเพลง ก็จะมีบีชคลับ อยู่ที่บางแสน ชื่อว่า Badasga Beach Club ครับ”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ต้น ธนษิต“สิ่งที่ทำให้เป็น ต้น ธนษิต ในวันนี้ คือการเป็นตัวเองนี่แหละ อย่างที่ต้นบอกไว้แล้วว่า อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง ต้นเคยกลัวมาก่อน เพราะฉะนั้นพอต้นรู้ว่ามันทำให้เราไม่สบายตัวขนาดไหน ณ วันนี้เรามีความสุขกับตัวเอง เราแฮปปี้ที่เราจะเป็นตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่า มันมีความสุขครับ” - ต้น ธนษิตพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดปีนักษัตรสุดปัง เสริมพลังส่งท้ายปี ไปกับ “ซินแสเป็นหนึ่ง” จากชีวิตที่เคยเสียศูนย์ สู่ซินแสขวัญใจคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

27 ธ.ค. 2024

เปิดปีนักษัตรสุดปัง เสริมพลังส่งท้ายปี ไปกับ “ซินแสเป็นหนึ่ง” จากชีวิตที่เคยเสียศูนย์ สู่ซินแสขวัญใจคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

“ฮวงจุ้ย คือความสบายใจ แล้วอะไรที่เป็นประโยชน์ ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดี และอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี เช่นบ้านนี้มีประตู 5 บาน แต่ประตูไม่เคยมีคนใช้เลย ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ซินแสเป็นหนึ่ง” ซินแสที่ดาราดังหลายคนต่างใช้บริการในการปรึกษาเรื่องราวต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นซินแสที่ฮอตสุด ๆ ถ้าใครจะดูดวงต้องจองคิวข้ามปี ซึ่งกว่าจะมาเป็นซินแสชื่อดังในวันนี้ ท่านเคยล้มเหลวจากการทำธุรกิจ เคยเจ็บใจจากการปรับฮวงจุ้ย ไม่มีข้าวกิน ไม่มีที่นอน ต้องอาศัยวัด จนพบประโยคพลิกชีวิต “น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง” เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเปิดคำทำนายปีนักษัตร 2568 กับอาจารย์เป็นหนึ่งปีชวด มีโอกาสได้รับตําแหน่งที่โตขึ้น แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการเงินอย่าไปไว้อย่าไว้ใจใคร ความรัก อาจจะมีคนโสดเข้ามา แต่โสดยังไม่สุด สุขภาพ ให้ระวังเรื่องของช่องปาก เรื่องของฟันปีฉลู งานราบรื่น อะไรก็ตามที่รู้สึกแย่เนี่ยมันจะจบทันทีก่อนปีใหม่ ความรัก คนโสดมีโอกาสจะได้เจอคนใหม่ ๆ สุขภาพ ระวังเจ็บป่วยเล็กน้อยปีขาล 2 - 3 เดือนสุดท้ายต้องควบคุมอารมณ์ให้ดี ถ้านิ่งได้จะมีโอกาสดี ๆ มากมาย การเงิน มีเงินเข้ามาแต่ต้องรอบคอบ ความรัก คนโสดต้องรอก่อน อาจจะเจ็บตัวเรื่องความรักได้ สุขภาพ เรื่องของการทานอาหาร การพักผ่อนให้เพียงพอ อาจจะมีภาวะปัญหาช่องท้องที่ต้องระมัดระวังปีเถาะ มีโอกาสปรับเปลี่ยนในเรื่องงานที่ดีมาก ๆ การเงินมาจากการเดินทางจะมีโอกาสในการเงินที่ดี ความรัก คนโสดเนี่ยจะมีโอกาสเจอคน แต่ไม่แนะนําทุ่มเทให้เต็มที่ แนะนําให้ดูก่อนสุขภาพ อาจจะมีโอกาสในการอุบัติเหตุเดินเล็กน้อยแต่ไม่ได้เป็นอะไรหนัก โชคลาภ กรณีเจอเพศตรงข้าม จะมีโอกาสดีสําหรับคุณปีมะโรง มีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ความรัก คนโสดแอบชอบคนมีเจ้าของ สุขภาพ มีโอกาสที่คอบ่าไหล่เจ็บปวดต่าง ๆ ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเอง อาจจะเรื้อรัง ต้องรีบรักษา โชคลาภ มาจากบุญเก่าปีมะเส็ง โดยส่วนใหญ่ต้องเพิ่มความรอบคอบ ความรัก คนที่โสดจะเจอคนที่ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกัน ส่วนคนมีคู่ราบรื่น โชคลาภ จะมาแบบไม่คาดฝันปีมะเมีย จะมีคนยุแยงแยงตะแคงตะแคงรั่วเลยตลอดเวลา ต้องระมัดระวังโดยเฉพาะเรื่องงานการเงิน มีเงินเก็บมาแต่ต้องโอนทันที สุขภาพ ให้ระวังเรื่องราวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ความรัก ระวังความเข้าใจผิดปีมะแม จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ต้องยอมรับ เป็นโอกาสที่ถ้าคุณปฏิเสธไป คุณจะช้าไปเป็น 10ปี ความรัก คนโสดอาจจะเจอคนไม่โสด โชคลาภ จะมีโอกาสได้ทรัพย์สิน จะมีบ้านที่คุณอยากได้ มีโอกาสดี ๆ มาออฟเฟอร์ให้คุณมีเงินก้อนใหญ่ปีวอก งานใหญ่จะสําเร็จตามเป้า ความรัก คนโสดมีคนเข้ามาแต่ ยังไม่ใช่ ดังนั้นควรจะคิดความสัมพันธ์เป็นเพื่อนไว้ก่อน สุขภาพ สุขภาพไม่น่าห่วง โชคลาภ มีเข้ามาแบบเรื่อย ๆปีระกา งานต้องสู้และพิสูจน์ สําหรับเมืองนอกที่คุณรอ มีโอกาสสมหวังตามความปรารถนาการเงิน ต้องประหยัดอดออม ความรัก คนโสดควรดูกันนาน ๆ สุขภาพ ระวังเรื่องระบบการย่อยอาหาร อาจจะมีปัญหาเรื่องอาหารการกินปีจอ มีโปรเจ็กต์ใหญ่ มีโอกาสครั้งสําคัญที่คุณจะได้ทําสิ่งใหญ่ การเงิน ต้องระวังการใช้จ่าย ส่วนใหญ่หมดไปกับออนไลน์ ความรัก คนโสดเจอคนใหม่ ได้เจอโอกาสสังคมใหม่ ๆ สุขภาพ ไม่มีปัญหาใด ๆ โชคลาภ ได้มาจากผู้ใหญ่ปีกุน จะมีโอกาสรับงานใหม่ มีโอกาสดี ๆ จะได้โชคลาภในเรื่องการเงินจากผู้ใหญ่ ความรัก คนโสดจะเจอคนที่ถูกใจ สุขภาพ ดูแลระบบการย่อยอาหารปีชงคืออะไร ปี 2568 นักษัตรไหนชงบ้าง?“ปีหน้ามี 4 ปีนักษัตร ปีกุน ปีมะเส็ง ปีขาล ปีวอก ที่เป็นปีชง หลายคนถามอาจารย์ว่า มันจะมีเรื่องเลวร้ายไหม จริง ๆ ต้องอธิบายว่าเรื่องของปีชง เป็นเรื่องราวของคนจีนแผ่นดินใหญ่ กาลครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ในช่วงปีชง แล้วก็บินตรงไปที่เมืองจีนเลย เพราะจะมีความรู้สึกว่าต้องไปแก้ที่นั่น พอไปถึงเหล่าซือที่เค้าทำพิธีใหญ่มาก ๆ เค้าถามว่า เราคือคนไทยใช่ไหม เราก็บอกว่าใช่ เราเป็นคนไทย เค้าบอกว่าลื้อไม่ชงนะ เราก็บอกว่าไม่ชงได้ยังไง เพราะเราเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เค้าบอกว่า จริง ๆ ลื้อไม่ได้ชงนะ เรื่องปีชงโดยส่วนใหญ่เนี่ยเป็นเรื่องของคนจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้น 4 ปี ที่คุณต้องระมัดระวังอารมณ์ แล้วก็ตามสถานที่ที่มีการแก้ แนะนำให้คุณไปเถอะเพื่อความสบายใจ แต่ความเป็นจริงไม่ต้องไปวิตกกังวล เค้าจะวัดผลในเดือนธันวาคม ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไร มันจะกลายเป็นชงขึ้น แต่ถ้ามีเหตุการณ์ต้องเลือดตกยางออก แสดงว่าตลอดทั้งปีคุณต้องระมัดระวัง แต่ถ้าเกิดในเดือนธันวาคมไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แสดงว่า 4 นักษัตร จะชงรวยทันที อันนี้ถือว่าจะดีจริง ๆ แล้ว ปีชง คือปีที่เค้าให้ระมัดระวังอารมณ์ของตัวเอง คุณสังเกตดูนะ ตารางของปีชงมันจะมีช่วงอายุ เค้ากำหนดมาตามตารางปีชง ซึ่งเป็นช่วงอายุที่มีอารมณ์แปรปรวน เช่นพออายุ 15 ขับรถต้องระวัง พออายุ 60 เป็นช่วงจังหวะที่มีความเครียดมีความกังวลใจ ดังนั้นคนจีนจึงระบุช่วงอายุตามตารางของปีนักษัตร หรือปี พ.ศ.เกิด เป็นช่วงระหว่างที่คุณต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ และมาเตือนเป็นกุศโลบายว่า ช่วงปีพวกนี้ พวกคุณโดยส่วนใหญ่ต้องระมัดระวัง เมื่อไหร่ที่คุณสามารถคิดดี ทำดี พูดดี ใช้ชีวิตให้ดี ทุกอย่างจะดีหมด”ปี 2568 เศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม?“ต้องบอกว่าจะดีไม่ดี มันเหมือนแผล เวลาแผลสดมันจะตกตะกอน เราก็จะรู้ว่ามันหายแล้ว แต่ถ้าเกิดระหว่างที่แผลเหมือนเป็นสะเก็ด แล้วเรารู้สึกว่ามันคัน แสดงว่าใกล้หาย แต่วันนี้คุณรู้สึกไหมว่ามันเพิ่งเป็นแผลสด มันเพิ่งเริ่มมีสัญญาณให้เราเห็น แล้วมันเป็นระดับโลกมันไม่ใช่เป็นแค่ประเทศไทย ไม่ว่าเรื่องสงคราม เรื่องค่าเงินที่มันผันผวน ในระยะหลังเราจะเห็นว่าสัญญาณทุกอย่างมันมาเกือบครบแล้วในเรื่องความเสื่อมของหลาย ๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมเรื่องของความมีชื่อเสียงของใครหลายคน เรื่องของพุทธศาสนาที่เจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และทำให้เรารู้สึกว่า ฉันต้องระวัง จะพูดอะไรต้องระวัง และหลายสิ่งมันเป็นสัญญาณให้เราเห็นว่า ปีหน้าหนักกว่านี้อีก”ย้อนวันวาน ของนักธุรกิจ ที่เคยเจ็บใจ ในเรื่องการปรับฮวงจุ้ย“ก่อนหน้านี้เราเป็นนักธุรกิจมาก่อน เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว แล้วก็เจ๊ง แล้วครั้งที่เราล้มเหลว บังเอิญมันมีจุดเปลี่ยนก็คือ บรรดาเพื่อน ๆ หรือผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเรา ก็จะมองว่าเป็นหนึ่ง เธอไม่น่าจะล้มนะเพราะเธอเป็นคนเก่ง เธอเป็นคนที่สามารถทำให้คน หรือใครก็ตามมีธุรกิจเติบโตขึ้นได้ แต่คุณล้มเพราะอะไร พวกเราคิดว่าเธอต้องไปเช็คดวงแล้วนะณ วันที่เราเจ๊ง ไม่เหลืออะไรแล้ว แต่เรามีเงินส่วนหนึ่งที่จะต้องเลย์ออฟพนักงาน เราก็เลยมีความคิดว่า ถ้าเราปรับทั้งหมดเงินก็จะเพิ่มขึ้นเ ราก็จะมีเงินจ้างพนักงานได้ และก็เริ่มต้นจากการดูหมอ เราเลยบอกน้อง ๆ ทีมงานที่ยังเหลืออยู่ก่อนจะปิดบริษัท ให้น้อง ๆ ตามหาหมอดูให้ดิฉันหน่อย ดิฉันอยากจะดูดวงกับหมอดูให้ได้วันละ 2 คน แล้วเราเหลือเวลาอีก 31 วัน เอา 31 คูณ 2 เป็น 62 คน หมอดูที่มาดูดวงให้เรา 62 คน ไล่ดูเราตั้งแต่คนแรกถึงคนที่ 62 ซึ่งคนที่ 62 เป็นคนที่เรารู้สึกว่า เราใส่อารมณ์กับเค้า หงุดหงิดใส่ที่สุด เราพูดกับเค้าว่า คุณไม่ถามดิฉันเลยว่าอาชีพฉันทำอะไร คุณไม่ฟังแนวคิดฉันเลยว่าฉันทำงานอะไร คุณไม่ถามฉันเลยว่าวิธีการใช้ชีวิตฉันเป็นยังไง แล้วคุณก็บอกให้ฉันไปปล่อยนกปล่อยปลา ปฏิบัติธรรมแล้วจะดีขึ้น คุณไม่ถามเลยเหรอ สมมติวันนี้เธอเจ๊งจากธุรกิจมา เราต้องมานั่งคุยกันเพื่อมารื้อว่าการตลาดคุณเป็นยังไง HR คุณเป็นยังไงสตรองไหม ฝ่ายขายคุณขายเป็นยังไง ผลประกอบการเป็นยังไง เพื่อมาหาจุดโหว่ แล้วก็โปะมัน รีแบรด์ดิ้งใหม่ แต่หมอดูไม่เห็นถามเรื่องนี้เลย เชียร์เราอย่างเดียวให้ปล่อยนกปล่อยปลาปฏิบัติธรรม แล้วมันดีเหรอ สุดท้ายหมอดูคนนี้ก็ตกใจกับสิ่งที่ดิฉันถาม แล้วเค้าบอกว่าพอดีที่หนูเรียนมาแบบนี้ เราเลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวฉันจะทำตามเธอทุกอย่าง ซึ่งแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือหมอดูทั้ง 62 คน เค้ามักจะพูดทิ้งท้ายว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วอีก 15 วันจะดีขึ้น ดิฉันก็เลยจบทุกอย่างใน 62 คนก็เลยเรียกน้อง ๆ มาบอกว่าฉันพร้อมที่จะต้องทำบุญ อันดับแรกคือปล่อยปลา เป็นหนึ่งปล่อยปลาไป 150,000 บาท เพราะดิฉันอยากปลดหนี้ วันที่ไปปล่อยปลาจำได้เลยคือ เราไปขออนุญาตผู้ดูแลบอกว่าพอดีเราอยากจะปล่อยปลา เค้าก็เลยบอกว่าปล่อยสิ ทำไมต้องมาบอกผม แต่พอเค้าเห็นรถสิบล้อบรรทุกปลามาเค้าก็ตกใจ ซึ่งหลังจากปล่อยปลาไป 45 วันฉันดีขึ้นไหม ไม่เลย แย่กว่าเดิม และเราต้องมีหนี้เพิ่มอยู่ที่ 150,000 บาท ก็เลยคิดต่อว่า หรือว่าต้องปล่อยนก ดิฉันก็เลยไปปล่อยนกอีก 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท เราเสียเวลา 45 วัน 2 ครั้ง เสียเวลาไป 90 วัน ชีวิตแย่ลง ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม ซึ่งทำให้เราได้เห็นสัจธรรม เราเลือกไปปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อจรัญ ซึ่งตัวเองไม่เคยคิดจะไปเข้าวัดเลย แล้วพอเข้าไปปฏิบัติธรรมจริง ๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะมันต้องเดินชั่วโมง เดินยุบหนอพองหนอ ระหว่างที่เดินหัวมันก็คิดว่าจะทำยังไงดี หนี้ก็ต้องใช้ เงินก็จะหมด เราก็เลยตั้งจิตอธิษฐานบอกว่า หลวงพ่อจรัญถ้ามีอยู่จริง ถ้าเรื่องความเชื่อ หรือสิ่งที่ควรที่จะต้องทำ ถ้ามีอยู่จริงขอให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้ลูกหน่อย ตอนนี้ลูกจะตายแล้ว ผลปรากฏว่า เราได้ยินเสียงตามสายระหว่างที่เราเดิน เสียงตามสายพูดว่า น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลออกมาเอง ท่านย้ำ 2 ครั้งดิฉันก็เลยหยุด แล้วก็บอกแม่ชีว่า เราได้ยินเสียงเนี้ย แล้วแม่ชีบอกว่าหยุด ห้องนี้ไม่มีลำโพง คุณต้องสงบ หลังจากนั้นเช้ามาเราก็ได้ไปกราบตรงลาน เราก็บอกขอบคุณท่านมาก คำว่าน้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลออกเอง มันทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณต้องเป็นน้ำ คุณต้องไปในทุก ๆ ที่ที่น้ำไป ฉันต้องเดินหน้าลุยต่อ เรื่องของดวงจากหมอดู 62 คน มันคือบทเรียนที่เราก็เข้าใจ การปล่อยนกปล่อยปลาไม่ได้ช่วยให้คุณหนี้สินหมด แต่ทำให้คุณสบายใจกับการปลดปล่อยเท่านั้นเองหลังจากนั้นก็เจอเรื่องที่ใหญ่ขึ้น คือเพื่อนก็มาแนะนำว่า ต้องดูฮวงจุ้ย เราถามว่าฮวงจุ้ยคืออะไร คือยุคนั้นฮวงจุ้ยเป็นเรื่องที่มันสูงมาก แต่ก็อยากลองก็โดนไปทั้งหมด 3 คน เราเชิญมาทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกที่เชิญมา ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าซินแสคืออะไร แต่ท่านก็บอกว่าบ้านเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราเลยถามกลับไปว่ามีคำพูดดีกว่านี้ไหม คือเราเป็นคนชัดเจน เราเชิญคุณมาเพื่อต้องการอยากให้คุณมาช่วยเรา แต่ไม่ได้มาซ้ำเติมเรานะ ก็เลยถามไปว่าต้องทำอะไรบ้าง เค้าบอกว่าสมัยก่อนเรามีบ่อปลาคาร์ฟ แล้วบ่อนั้นเป็นบ่อที่เราอยากทำมาก แต่เค้าบอกให้กลบ เค้าบอกว่าบ่อปลาคาร์ฟบ่อนี้ทำให้เราล้มเหลวในชีวิต ให้กลบแล้วชีวิตจะดีขึ้นใน 45 วัน สุดท้ายเราก็กลบ เงินหมดไปเป็นล้านเลยนะ ผ่านไป 45 วัน ชีวิตไม่เห็นจะดีขึ้น แย่ลงด้วยซ้ำ เลยปรึกษาซินแสคนที่สอง เค้าเข้ามาแล้วก็มาหยุดที่ตรงจุดเดิม แล้วก็บอกต้องทำบ่อปลาคาร์ฟ เราด่าเลยนะ เรียนมาจากไหน ทำไมพูดกันคนละเรื่อง จนสุดท้าย มาเจอซินแสคนสุดท้าย ท่านบอกว่าถ้าลื้ออยากจะโชคดี ลื้อต้องเช่าสิงห์ของเรา คู่ละ 500,000 บาท สิงห์เนี่ยจะไล่ล่าเงิน สิงห์นี้มาจากเมืองจีน มีคู่เดียวที่มีเลข 1 1 1 แล้วดันเป็นชื่อเราอีก ด้วยความที่เราไม่ฉลาดในตอนนั้นเพราะเรารู้สึกว่าอยากจะปลดหนี้ ก็เลยจ่ายแล้วจบเลย จนสิงห์มาส่ง เราก็ดูมันมีเลข 1 1 1 ก็โอเค แล้วซินแสก็บอกว่า เดี๋ยวตอนเช้าลื้อตื่นมาตี 3 ครึ่ง แล้วลื้อกระซิบทางหูของสิงห์ บอกว่าขอให้รวย พูดแบบนี้ไป 45 วัน พอทำไปได้สักไม่เกิน 7 วัน ได้ผลปรากฎว่า ลูกน้องบอกว่า พรุ่งนี้บ่ายโมงจะมีกองบังคับคดีมานะ เพราะว่ามันน่าจะจบ ธุรกิจเรามีปัญหา พรุ่งนี้บ่ายโมงเดี๋ยวจะมีหลาย ๆ คนมาคุยเรื่องของต่าง ๆ แล้วพอตอนเช้า เราตื่นมา 9 โมง ไปนั่งเศร้าอยู่หน้าบ้าน นั่งมองสิงห์ คิดว่าเราทำอะไรลงไป พอบ่ายโมงรถจอด เราเลยวิ่งไปกอดสิงห์ ร้องไห้ บอกว่าทำไมต้องหลอกฉัน มันคือเงินก้อนสุดท้าย แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งลงมาจากรถแล้วก็ตบบ่าเราบอกว่า เป็นหนึ่งคุณตื่นนะ เรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง คุณต้องลุกขึ้นสู้ หลังจากนั้น 2-3 วัน เราต้องเก็บเคลียร์ของทุกอย่าง แล้วเราเคยอ่านในหนังสือว่า เวลาคนเราจะตาย หรือเค้าจะคิดสั้น เค้าจะเห็นว่าข้างล่างเป็นน้ำ ซึ่งมันจริงนะ ตอนนั้นเราเดินขึ้นไปอยู่ตึกชั้น 4 เรามองเห็นข้างล่างเป็นทะเล แล้วก็มีความรู้สึกว่า ถ้าฉันโดดมันคือจบ หน้าตา ศักดิ์ศรี ความไม่เหลือแล้ว มันจบนะ แล้วระหว่างที่กำลังจะตัดสินใจ แม่บ้านเปิดประตูเข้ามา แล้วบอกว่าคุณเป็นหนึ่งจะทำอะไร เราบอกว่า ป้ามันไม่เหลือ เราไม่สามารถจะพาป้าไปถึงฝั่ง แต่เป็นหนึ่งก็พาป้ามาจนถึงวันนี้นะ จากนั้นป้าควักเงินในกระเป๋าออกมา ป้าบอกว่าทั้งชีวิตป้าทำงานกับเป็นหนึ่งมา ป้าให้เป็นหนึ่งนะ มันไม่ได้เยอะนะ แต่เป็นเงินที่ป้าเก็บ เป็นหนึ่งเอาเงินนี้ไปใช้หลังจากนี้นะ เพราะหลังจากนี้ต้องแยกย้ายกัน เงินนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีสติขึ้นมาทันที เราก็เลยลืมทุกอย่าง แล้วเราก็เข้ากรุงเทพ มานอนตามป้ายรถเมล์ มานอนอยู่ที่วัดธาตุทอง นอนแบบคนบ้า เสียสติทุกอย่างประมาณเกือบเดือน แล้วก็มีเงินติดตัวอยู่ 5 บาท พยายามจะเก็บไม่ให้ 5 บาทหาย มีอยู่วันหนึ่งเราไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยว เราหิวมาก เราอยากกินก๋วยเตี๋ยว ก็เลยไปยกมือบอกเจ้าของร้านขอผักบุ้งซัก 4-5 ชิ้นได้ไหม ปรากฎว่าเจ้าของร้านตักให้เต็มจานไปหมดเลย ป้าก็ให้เรากินฟรี แล้ว 5 บาทเราก็ยังเก็บ จนมาวันหนึ่งเราไปถ่ายรายการ คนถามว่าเป็นหนึ่ง 5 บาทนั้นเธอเก็บไว้ทำไม เราบอกว่า ฉันเก็บไว้โทรหาแม่ตอนสุดท้ายที่ฉันต้องตายแล้วไง จะได้บอกแม่ว่าไม่อยู่แล้วนะ แล้วฉันก็เก็บไว้”น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง“สุดท้ายชีวิตมันกลับมาฟื้นด้วยคำของหลวงพ่อจรัญ คือน้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง เพราะหลังจากนั้นเราก็ไปสมัครงาน แต่ในการสมัครงานไม่ใช่เรื่องง่าย มีบริษัทหนึ่งถามเราว่า ขอโทษนะคะ เราถามตรง ๆ อย่าโกรธเรานะ เราจะรับคุณมาได้อย่างไร ในเมื่อคุณเป็นคนล้มเหลว บริษัทคุณยังไปไม่รอดเลย เราจะต้องรับคุณเหรอ ซึ่งเราตอบเค้าว่า เราเองเรารู้ความล้มเหลวในอดีต แต่เมื่อไหร่ที่คุณได้มีโอกาสรับเราทำงาน คุณจะไม่มีวันที่จะล้มแบบเรา เพราะเราเรียนรู้ที่จะล้มมาแล้ว แต่ไม่เป็นไร ไม่รับเราไม่ได้มีปัญหา เราก็ถือว่าเราได้มาเจอ ต้องขอบคุณที่เปิดโอกาสให้เราได้สัมภาษณ์งาน กว่าจะได้งานทำ กว่าจะได้โอกาส พอเราเริ่มมีงานต่าง ๆ ชีวิตเริ่มดีขึ้น เราบอกกับตัวเองเลยว่าฉันจะไปศึกษาเรื่องนี้เองที่เมืองจีนด้วยความเจ็บใจ พอไปเรียนที่เมืองจีนมา สิ่งที่เราฟังมาไม่มีอยู่จริง เสาไฟฟ้าอยู่หน้าบ้านได้ไม่แปลก บันไดเทออกไปทางหน้าบ้านได้ไม่แปลก ประตูซ้อนกันได้ไม่แปลก ทุกอย่างที่เราเรียนรู้มามันมีครบหมดโดยที่ไม่มีปัญหาใดๆ เลยส่วนเรื่องของสิงห์ ตามตำราเค้าจะไม่วางอยู่หน้าบ้าน เพราะสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของการส่งวิญญาณ ถ้าเป็นเมืองจีนต้นตำหรับเลย เค้าจะวางสิงห์ไว้ที่สุสาน วัด หน่วยงานราชการ หรือโรงพยาบาล เค้าจะไม่นิยมวางในบ้าน แล้วไม่ว่าจะเป็นสิงห์ หรือนกอินทรีย์ต่าง ๆ เป็นเหมือนอุปกรณ์ตกแต่ง เพื่อยกระดับฐานะของคนยุคนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับความเชื่อเลย เหมือนบ้านหนึ่งถ้าคุณสามารถมีนกอินทรีย์อยู่บนหลังคาได้ แสดงว่าบ้านนี้ต้องรวยมาก มันเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ในการยกฐานะของคน แต่บังเอิญพอยุคมันเปลี่ยน คนมันมีเชิงพาณิชย์มากขึ้น มันก็เลยหากินจากการขายสิ่งเหล่านี้ แล้วพอมันมีกิเลส มันก็เจอเรื่องราวต่าง ๆ นี่คือสิ่งที่มันเป็นความจริง”ฮวงจุ้ย คืออะไร?“ฮวงจุ้ย มันคือความสบายใจ ให้คุณจำไว้เลยว่า อะไรที่มีประโยชน์ ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยดีที่สุด แล้วอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ถือว่าไม่ดี เช่นสมมติบ้านหนึ่งหลังมีประตู 5 บาน แต่ถ้าเกิด 5 บานไม่มีคนใช้ แสดงว่าไม่มีประโยชน์ ฮวงจุ้ยไม่ดี แล้วคำว่าฮวงจุ้ย เค้าแบ่งไว้ชัดเจนว่ามันคืออะไร ห้องนั่งเล่น คือ นั่งยังไงให้มันนั่งสบาย ห้องนอน คนนอนต้องหลับลึกหลับสบาย ห้องครัว คือการทำอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย ห้องน้ำ คือห้องแห่งความสุขปลดทุกข์เท่านั้นเองแต่พอมายุคนี้มันเปลี่ยน คนดันเอาไปประกอบพาณิชย์ขายความกลัว ความกลัวมันขายง่าย คนเรากลัวไม่กี่เรื่อง เรื่องผัว เรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องสิ่งที่เค้ารัก เค้าถึงเอามาแปลงว่าถ้าเกิดนอนห้องนี้โอกาสจะสูญเสียลูก เค้าก็ต้องกลัว วางของตรงนี้สามีจะมีปัญหา เค้าก็ต้องกลัว ดังนั้นพอขายความกลัวของคนมันง่ายแล้วข้อสุดท้ายที่อยากจะบอกทุกคน คืออย่าไปทักทายใครในแง่มุมที่มันเป็นลบ เช่น เธอบ้านเลขที่นี้ บ้านเธอจะมีปัญหานะ นั่นมันคือวจีกรรม เหล่าซือสอนว่า ลื้อจำไว้เลยนะเป็นหนึ่งต่อให้ลื้อเรียนเรื่องพวกนี้มาจนจบ ห้ามไปทักทายใครในมุมที่รู้สึกเป็นลบให้เค้าเกิดทุกข์ คุณจะติดวจีกรรมไปตลอดชีวิตและต้องบอกว่าในศาสตร์ของอาจารย์ พุทธคุณมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 95 เปอร์เซ็นต์คือมานะตน” – ซินแสเป็นหนึ่งพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

23 ธ.ค. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

“ดวงชะตามันเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ สำหรับวั้งมองว่า การดูดวงมันคือการให้คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วตัวเราเองเป็นคนเลือก เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูชื่อดัง ในเรื่องการดูดวงด้วยไพ่ออราเคิล ที่คนในวงการบันเทิงต่อคิวดูดวงกันมากมาย จากไสตล์การดูดวงที่เป็นกันเองมาก ๆ จนเกิดเป็นฉายา หมอดูอินดี้ ซึ่งกว่าจะมาเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงในวันนี้ ชีวิตของเขาเริ่มจากความไม่เชื่อมาก่อน และชีวิตของเขาต้องผ่านบททดสอบมามากมาย และนอกจากการเป็นหมอดู เขายังมีอีกหลายบทบาท เช่น การถ่ายภาพ และการเป็นครีเอเตอร์ด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการไพ่ออราเคิล คืออะไร? ใช้ทำนายอย่างไร?“ไพ่ออราเคิล คือ ไพ่ที่เป็นรูปภาพ ซึ่งถูกเรียกว่า ไพ่ภาพพยากรณ์ ซึ่งสิ่งที่วั้งชอบในการใช้ไพ่นี้คือ มันเป็นการใช้โดยที่ไม่มีขีดจำกัดในการพยากรณ์ แล้วก็จริง ๆ แล้วในการดูดวงด้วยไพ่ ถ้าพูดแบบตรง ๆ เลย มันคือการเสี่ยงทาย เหมือนบางครั้งที่เราต้องการความมั่นใจสักอย่าง แล้วเราโยนเหรียญ เพื่อดูว่าออกหัวหรือก้อย มันเหมือนกันเลย แต่ว่าข้อดีของไพ่ คือมันมีความเป็น Storytelling คือมันต้องเล่าเรื่องราวได้ ในสิ่งที่เราถามแล้ววั้ง เป็นคนที่เชื่อเรื่องที่ว่าไม่มีอะไรบังเอิญ สมมติมาดูดวง เราบอกว่าสับไพ่ให้วั้งหน่อยค่ะ 9 ครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความจดจ่อ เพื่อให้คนเกิดสมาธิ แล้วพอสับไพ่เสร็จ วั้งก็จะหยิบไพ่โดยเรียงตามลำดับที่ได้สับไว้แล้วเท่านั้น จะไม่สุ่มไพ่ จะไม่กรีดไพ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นสถิติ หรือมันจะเป็นความไม่บังเอิญก็ไม่รู้ ที่เวลาที่เค้าถามในเรื่องราวนั้น ภาพของไพ่ก็จะเป็นสตอรี่ในเรื่องนั้น ๆ เช่นกันซึ่งคนที่ทำไพ่ออราเคิลนี้ ชื่ออาจารย์สมบูรณ์สุข ท่านเป็นช่างศิลป์ แล้วก็เรียนโหราศาสตร์ จากนั้นก็มาวาดทำไพ่นี้ขึ้น ตอนนี้น่าจะทำไพ่ประมาณ 3-4 ชุด แต่ชุดที่วั้งใช้ เป็นชุดที่สองของเค้า ที่เลือกใช้ชุดนี้เพราะว่า ในไพ่ชุดนี้ มีไพ่ที่มีวั้งเป็นต้นแบบ คือเค้าถ่ายรูปเรา แล้ววาดออกมาเป็นไพ่นั่นเองค่ะ”เปิดไพ่ทำนายดวง 2568 ปีนักษัตรไหนปัง ปีไหนต้องระวัง!“คนเกิดปีชวด ปีหน้าคนปีชวดมีโอกาสที่จะได้เริ่มอะไรใหม่ ๆ เหมาะกับช่วงของการที่จะต้องเริ่มต้นจริงจัง ต้องลงมือทุ่มเทตั้งใจ แล้วประคับประคองทุกสิ่งอย่างให้มันดี ให้มันผ่านพ้นไปได้แล้วจะเป็นปีที่ดีของคุณเลยคนเกิดปีฉลู ปีหน้าเป็นช่วงที่จะมีความโดดเด่นในเรื่องของการเดินทาง การสัญจร ทุกการเดินทางมีความสุขมากขึ้น เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายให้กับตัวเองมากขึ้น เป็นการเดินทางกับกลุ่มคนสนิทรักใคร่ คนคุ้นเคย คนใกล้ตัว ถ้าเป็นเรื่องงาน ก็จะเป็นคนที่ต้องทำงานที่มีการเดินทางไปโน่นมานี่ ติดต่อประสานงาน มันต้องมีการไป Walk-in บ้าง ไม่ใช่แค่อินเตอร์เน็ต หรือทางออนไลน์อย่างเดียว เราจะทำให้มันเป็นเชิงรุกมากขึ้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิถี สำหรับคนปีฉลูคนเกิดปีขาล ปีหน้าถือว่าเป็นปีแห่งชัยชนะ ปีแห่งความสำเร็จ เพราะฉะนั้นคนปีขาล ถ้าเกิดว่าในปี 2567 มันโหดร้ายกับคุณ ในปี 2568 มันเป็นปีที่คุณจะทำสำเร็จ มันเป็นปีที่คุณรู้สึกว่าได้รางวัลจากสิ่งที่คุณทุ่มเทตั้งใจ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อ รางวัลรออยู่ รางวัลแห่งชีวิต รางวัลแห่งผลงาน หรือแม้กระทั่งความชื่นชมจากคนรอบตัวของคุณ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ดีของคนปีขาลเช่นกันคนเกิดปีเถาะ ปีหน้าเป็นปีแห่งการต้องเรียนรู้วิธีการ ฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น สิ่งไหนที่เราคิดว่าเรายังทำไม่ดี เรายังทำไม่ได้ การฝึกฝนจะไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราพยายามทำมันอย่างสม่ำเสมอจนกว่าเราจะบอกได้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะ ในปีหน้ามันอาจจะมีเรื่องให้คุณมีความรู้สึกท้อบ้างในบางช่วงของปี แต่อย่างที่บอกไปว่า การเรียนมากมันไม่สู้การเรียนรู้นะ คือเรียนมามาก แต่ถ้าไม่เคยเรียนรู้ คือเรียนแล้วไม่ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะเรียนรู้เท่านั้นที่จะช่วยทำให้คุณเติบโตและก้าวหน้าได้คนเกิดปีมะโรง ในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่มีจุดเลือก มีทางเลือกให้เราต้องตัดสินใจค่อนข้างเยอะ ซึ่งทุกการตัดสินใจของคนปีมะโรง มีผลในระยะยาว 1-2 ปีจากนี้ ถ้าคุณใช้เหตุและผล ใช้สติ แล้วก็ใช้ความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มันจะทำให้การตัดสินใจของคุณเกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด และจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนปีมะโรงตลอดทั้งปีเลยคนเกิดปีมะเส็ง ปีหน้าเป็นปีชงด้วยนะ ซึ่งในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่อาจจะทำให้คุณเจอปัญหาหรือความรู้สึกที่ทำให้หมดไฟได้ มีความขี้เกียจ มีความรู้สึกเหนื่อยหน่าย เบื่อ เซ็ง ไม่มีแพชชั่น ไม่มีการผลักดันให้ตัวเองอยากจะทำ อยากจะสู้ อยากจะลุยต่อ แต่ไพ่บอกว่า คุณเหนื่อยนะ แต่มันคือการพักผ่อน เพราะฉะนั้นคนปีมะเส็งพักได้แต่อย่านาน เพราะเวลามันเดินเร็วมาก คนปีมะเส็ง ปีหน้าเหนื่อยได้ท้อได้ไม่ว่ากัน แต่ขออย่างเดียว อย่าทิ้งโอกาส อย่ารอเวลา ลุกขึ้นได้เมื่อไหร่ ทำให้สำเร็จเร็วได้มากเท่านั้นคนเกิดปีมะเมีย ในปีหน้าเป็นช่วงปีที่คุณอาจจะเจอเรื่องราวดราม่าจากคนอื่น ๆ รอบตัวได้ง่าย เช่นถูกจับตามองเป็นพิเศษ ถูกติฉินนินทา กล่าวร้ายให้โทษ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เรากีดกั้นคนอื่นให้คิดหรือพูดถึงเราไม่ได้ แต่ให้รู้ไว้เลยว่าในปีหน้า คุณควรที่จะต้องสตรองมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเจออะไร ให้นึกเอาไว้เลยว่า สิ่งไหนสบายใจ ทำแล้วฮีลใจได้ ให้ทำสิ่งนั้น เจอเรื่องกระทบกระทั่งบ้าง เจอดราม่าบ้าง แล้วจะเจอบ่อยตลอดทั้งปีเลยสำหรับคนที่เกิดปีนี้ แต่ไม่ต้องไปสนใจ บางทีสิ่งเหล่านี้มันทำร้ายใจเราได้ แต่เราไม่ควรทำร้ายใจตัวเองคนเกิดปีมะแม ในปีหน้า ที่พึ่งทางใจของคุณที่ดีที่สุดก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เคารพ สิ่งไหนที่รู้สึกว่าคุณได้ทำดี คิดดี ปฏิบัติดี จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ กับคนปีมะแม เพราะฉะนั้นคนไหนที่รู้สึกว่า ปีที่ผ่านมาฉันมีเรื่องที่ฉันผิดพลาด ฉันมีการเกเร รีบ ๆ ปรับตัว เพราะดวงชะตาของคุณส่งผลกับการกระทำของคุณจากปี 2567 ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นในปี 2568 คนปีมะแม ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องก่อนถูกใจ แล้วชีวิตคุณราบรื่นตลอดปี 2568 แน่นอนคนเกิดปีวอก ในปี 2567 ที่ผ่านมา คุณจะเจอความชอกช้ำจิตใจ คุณจะเหน็ดเหนื่อย จะท้อแท้มาแค่ไหนก็ตาม ปี 2568 ถึงเวลาที่เป็นปีของคุณแล้ว มันเป็นปีของหัวใจนักสู้ ความโลดโผนในชีวิตที่บางทีก็ไม่ได้คิดไว้ว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรขนาดนี้ ปีหน้ามันกำลังจะดีขึ้น หัวใจของคุณมันกำลังจะแข็งแกร่ง ร่างกายซ่อมแซมมาแล้วอย่างดี มันแกร่งขึ้น มันดีขึ้น มันอดทนได้มากขึ้นและมันต้านทานต่ออุปสรรค และปัญหาชีวิตได้ดีกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดหวังไว้ มันมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ง่าย และมากขึ้นเช่นกันคนเกิดปีระกา ในปีหน้าสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคนปีระกาคือ ความว้าวุ่นเรื่องความรัก อย่างเดียวเลย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีอยู่แล้ว หรือความรักที่กำลังอยากจะมี อยากจะหามาใหม่ หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องเดียวที่รบกวนจิตใจ เพราะจริง ๆ แล้วคนปีระกา เป็นคนที่รักคนยากอยู่แล้วโดยพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเวลาที่เค้าจะต้องรักใคร มันหมายถึงการทุ่มไปทั้งตัวเลย แต่นอกนั้น ในปีหน้าอะไรก็ตามที่มีการเรียนเพิ่ม เรียนมาเพื่อเสริมอาชีพ หรือมีรายได้เสริม ลุยเลย คนปีระกาเงินรออยู่ จากการเรียนรู้ของคุณคนเกิดปีจอ ปีหน้าต้องระวังมากที่สุดในเรื่องของสุขภาพ บางครั้งการไม่ตรวจ ก็คือไม่รู้ แต่ฝากย้ำไว้เลยว่า สำหรับในช่วงของปีหน้า สิ่งที่คนปีจอต้องให้ความสำคัญคือเรื่องสุขภาพร่างกายตัวเอง และมันเป็นช่วงปีที่อาจจะเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยนตัวตนไป ซึ่งมันจะส่งผลในด้านบวก มากกว่าในด้านลบ และสิ่งที่คุณคาดหวัง มันจะสำเร็จได้ ถ้าคุณกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงคนเกิดปีกุน ไพ่อาจจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะว่ามันหมายถึง คนปีกุน อาจจะต้องเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจ ปัญหาสุขภาพ เจอเรื่องที่ทำให้เสียอกเสียใจ เพราะปีหน้า ปีกุน ชงเต็ม แต่ใจเย็น ๆ คุณอาจจะเสพคอนเทนต์มากเกินไป ว่าฉันชง 100% แล้วจะเจอแต่เรื่องไม่ดี จะบอกให้เลยว่า ส่วนตัววั้ง เรื่องเปอร์เซ็นต์ของปีชงไม่มีผลเลย จากการพิสูจน์มาแล้วทั้งชีวิต ดวงมันมาจากการกระทำของเราล้วน ๆ บางคนบอกว่าชง 100% ไม่ดี แต่ปีนั้นชีวิตวั้งดีมากเลยนะ เพราะฉะนั้น คนปีกุนอาจจะให้ระวังหน่อย ถ้าคุณรู้สึกว่ามันกังวลมาก ไม่สบายใจ อยากไปทำบุญ อยากไปทำทาน อยากจะเข้าวัด เข้าศาลเจ้า อยากไปช่วยเหลือบริจาคอะไร ทำเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าฉันได้ทำสิ่งดี ๆ แล้ว สิ่งดี ๆ จะเกิดกับฉัน แต่ว่าเรื่องสุขภาพอันนี้ย้ำเลย เรื่องของความเสียอกเสียใจ ความแตกสลายทางความรู้สึก ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรีบรักษามันให้เร็ว แค่นั้นเองส่วนไพ่ของปีหน้า 2568 ทำนายว่า ปีหน้าผู้หญิงมีอำนาจเยอะ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงอาจจะมีการลุกขึ้นมามีความเป็นผู้นำมากกว่าคุณผู้ชาย หรือเป็นเพศที่หาเงินได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นผู้หญิงอย่านิ่งดูดาย ถึงแม้เราจะเป็นมนุษย์แม่ ดูแลลูกอยู่บ้าน ทุกวันนี้มันมีอาชีพออนไลน์นะหลายคนมองข้าม แต่มันทำให้เรามีรายได้นะ แต่ถ้าเป็นภาพโดยรวม วั้งมองว่า ปีหน้าเราต้องจับตามองมาก ๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจบ้านเรา ว่ามันจะเติบโตได้จริงไหมต้องตีความว่าเป็นของช่วงระหว่างปี 2568 กับ 2569 สองปีนี้มันมีผลมาก ๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ การเงิน การค้าขาย ในบ้านเรา ที่มันพร้อมจะดีเลยก็ได้ แต่ในช่วงสั้น ๆ และเป็นช่วงที่สามารถจะพลิกให้แย่ลงไปเลยก็ได้ในช่วงสั้น ๆ เช่นกัน เพราะฉะนั้น การเงินในปีหน้า ควรวางแผนชีวิตให้ดี มันมีความไม่แน่นอนสูง เวลามันดีมันอาจจะเหมือนพลุมี่ขึ้นไปสวย แล้วร่วงมาเร็ว เพราะฉะนั้นก็ให้ระวังเรื่องการใช้จ่าย ไตร่ตรองให้รอบคอบ ปีหน้าทุกการใช้เงินมีผลกับคุณในระยะยาว”ทริคจัดบ้านรับปีใหม่ บ้านแบบไหนถึงจะปัง?“โล่ง โปร่ง สะอาด ไม่มีกลิ่น มันเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมาก ๆ คือสะอาดตา อยู่แล้วสบายใจ ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มันทำให้คุณไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และทำให้คุณ หรือคนอื่นที่แวะมาเยี่ยมเยียนก็จะรู้สึกดีกับบ้านหลังนี้ ยังไงก็เป็นบ้านที่รู้สึกว่า เราสามารถดูแลตรวจตรา การที่มันไม่รกไม่ร้าง มันทำให้เกิดการปลอดภัย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นฮวงจุ้ยดี ๆ ที่ทำให้บ้านเรามันคือเซฟโซน แล้วจากประสบการณ์ที่วั้งทำ วั้งรู้สึกว่า บ้านที่ดีมันต้องปลอดภัยถูกใจคนอยู่ ต้องมีระเบียบ ข้าวของวางเป็นที่ ไม่เกิดอุบัติเหตุ เตะ เกี่ยว เฉี่ยว ชน คนในบ้านไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่อยู่ได้ และคุณก็ไม่ควรเก็บของให้มันเน่าเสียคาตู้เย็น เพราะมันจะเหม็นอับ ถ้าอับก็ต้องเปิดหน้าต่าง ให้มันมีวินัยของคนในบ้านในการทำความสะอาด และใส่ใจบ้านด้วย ทุกอย่างมันจะต้องกลมกลืน นี่คือฮวงจุ้ยที่ดี และลงทุนน้อยที่สุด ไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะมาตั้ง มาจัด มาวาง มาทุบ เราเลือกไม่ได้ว่าจะต้องเป็นที่อยู่ที่ดี และดวงชะตามันบอกเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ บางคนอาจจะบอกว่า การดูดวงคือแผนที่ สำหรับวั้ง เมื่อก่อนเคยเห็นด้วย แต่พอเราเติบโตขึ้น เราจะรู้ว่าการดูดวงมันไม่ใช่แผนที่ มันคือการที่คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วให้คุณเป็นคนเลือก เราต้องเชื่อว่ามันมีหลายอย่างมากในชีวิตมนุษย์ที่มันเอาชนะโชคชะตาได้เสมอ”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู ของ หมอวั้ง วรางคณา“วั้งเริ่มดูดวงมาตั้งแต่ 9 ขวบ ตอนนั้นวั้งไปอยู่กับคุณพ่อที่อเมริกา ซึ่งคุณพ่อได้รับเชิญให้ไปเปิดสำนักสอนนั่งปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ที่อเมริกา แล้วคุณพ่อก็รักเรามาก เราเป็นลูกคนเดียวที่คุณพ่อเลี้ยง ไปไหนคุณพ่อก็หนีบไปด้วย พอไปอยู่ที่นั่นคุณพ่อก็จะรับแขก รับลูกศิษย์ ที่จะมาดูดวงบ้าง มานั่งสมาธิบ้าง แล้วอยู่ ๆ ก็มีอยู่เคสหนึ่ง ที่เค้าอยากจะขายที่ดิน แล้วคุณพ่อก็บอกว่าลองตอบให้พี่เค้าหน่อยสิว่าพี่เค้าจะขายที่ดินผืนนี้ได้ไหม จากเซ้นส์ของวั้ง คือมนุษย์เรามันมีเซ้นส์ทุกคนอยู่แล้ว แต่เราฝึกใช้มันได้ไม่เท่ากัน แล้ววิธีที่จะฝึกใช้เซ้นส์ ก็คือการคาดเดา แล้วตอนนั้นเรารู้สึกว่าที่ดินขายได้ แต่ว่ามันจะช้าหน่อย แต่มันจะขายได้แน่ ๆ แล้วภายใน 3 อาทิตย์ อยู่ ๆ เค้าก็ขายที่ดินตรงนั้นได้จริง ๆ วั้งก็เลยได้ค่าดูหมอมา 1 ดอลล่าร์ ณ วันนั้น ก็ประมาณ 40 กว่าบาท ก็ถือว่าเยอะนะ นั่นคือจุดแรก แล้วก็ไม่เคยสนใจดูดวงเลย เพราะว่าวั้งไม่เคยภูมิใจในอาชีพพ่อมาตั้งแต่เด็กย้อนไป 40 กว่าปีที่แล้ว เมื่อเราต้องตอบใคร ๆ ที่โรงเรียน ว่าคุณพ่อทำอาชีพอะไรมันน่าอายมากนะ คือเราจะรู้สึกว่าเพื่อนในห้อง คุณพ่อจะเป็นทหาร คุณแม่เป็นพยาบาล เป็นตำรวจ แต่พอเป็นเรา ต้องบอกว่าคุณพ่อเป็นหมอดู คุณแม่เป็นนางพยาบาล ณ วันนั้นเรารับไม่ได้ เราไม่เคยภูมิใจเลยว่าฉันมีพ่อทำอาชีพหมอดูแต่เมื่อไม่นานมานี้ ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา วั้งมาค้นเจอจดหมายที่พ่อเค้าเขียนถึงเรา ซึ่งคุณพ่อวั้งเสียชีวิตเร็ว เสียตั้งแต่เราอายุ 11 แล้วคุณแม่ก็เสียตั้งแต่เราอายุ 13 เสียตามกัน 2 ปีเลย แต่ปรากฏว่าเค้าก็บันทึกหลายอย่างว่า พ่อไปแจ้งเกิดวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ ลูกเกิดวันนี้ เพราะลูกจะดวงดีกว่า ลูกยิงปืนลมครั้งแรกตอน 9 ขวบ แล้วนี่ก็คือเป้าที่ลูกยิงเอาไว้ คือคุณพ่อเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ ชอบเขียนบันทึก ชอบเก็บรูปถ่าย แล้ววั้งก็เพิ่งมาเมื่อ 2 ปีแล้วนี่เอง มันก็รู้สึกได้ว่าพ่อรักเรามาก จนวันพ่อที่ผ่าน วั้งอยากจะบอกให้รู้ว่า ภูมิใจมากที่มีพ่อเป็นหมอดู”จุดพลิกชีวิตของ หมอวั้ง วรางคณา“จุดลำบากของวั้งเลยคือ ช่วงอายุประมาณ 14 ด้วยความที่คุณพ่อเสียเร็ว คุณแม่ก็เสียเร็ว เพราะฉะนั้นชีวิตเราเติบโตมากับการต้องไปอยู่บ้านอาก่อน จากบ้านอาก็หนีออกจากบ้านเพราะเราจะไปหาคุณแม่ สุดท้ายก็ต้องมาอยู่บ้านพี่สาวคนละแม่ ช่วงที่มาอยู่ตรงนี้ ก็เหมือนพจมานเลย ทำทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เป็นงานคนใช้ วั้งทำหมด ดูแลทุกคนในบ้าน ทำทุกอย่าง จะไปเรียนหนังสือ ต้องตื่นตี 4 คือต้องทำงานบ้านก่อนทุกสิ่งอย่างถึงจะไปโรงเรียนโด้ ณ วันนั้นวั้งรู้สึกว่าโรงเรียนคือสวรรค์ บ้านมันคือนรก อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน แล้วเรารู้สึกว่าอุ่นใจ เราได้ไปโรงเรียน ได้ไปเจอเพื่อน แล้วก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่วั้งตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แล้วก็ไปอาศัยตามบ้านเพื่อน หาเงินกินข้าวโดยการไปนั่งดูดวงตรงใกล้ ๆ เสาชิงช้า คือตรงศาลพระวิษณุ อยู่ตรงเกาะกลางถนนหน้าโรงเรียน นั่นคือออฟฟิศแรกที่ไปนั่งดูดวงตอนนั้นวั้งไม่รู้สึกว่าทุกข์นะ เรารู้สึกว่าตัวเองมีอะไรให้ทำ และสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่เป็นอาชีพที่ฉันจะเลือก ฉันแค่ต้องการหาเงินโดยที่ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้เงินมา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปขโมยของ ดีกว่าไปหลอกเงิน การดูดวงมันเป็นความพึงพอใจที่เค้าจะให้เงินเรา บางคนเค้าให้เกินก็มี ถ้าถามว่าทุกข์ทรมานไหม เรามองว่า นี่ยังไม่ใช่จุดทุกข์ทรมาน เพราะจุดที่ทุกข์ทรมานจริง ๆ คือในวันที่เราพยายามทำหลาย ๆ อาชีพเหมือนคนอื่น ๆ เราก็อยากจะเหมือนคนอื่นที่เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงิน แต่เราเป็นคนเรียนหนังสือน้อย วั้งเรียนถึง ปวช. ปี 3 และก็เรียนออกแบบตกแต่งภายใน แต่ไม่ได้สอบไฟนอล แล้วต้องดร็อปเรียน แล้วเวลาที่เราจะต้องไปสมัครงาน มันจะต้องใช้วุฒิ วั้งได้แค่วุฒิ ม.3 ก็เอาไปสมัครงาน ซึ่งตามหลักมันหางานไม่ได้หรอก แต่เราก็ได้งานมาตลอดนะ”หมอวั้ง วรางคณา กับความสามารถ และบทบาทที่หลากหลาย“งานแรกเลยที่วั้งไปสมัครแล้วเค้ารับ คือนิตยสารปลื้ม ไปสมัครตำแหน่งตำแหน่งนักข่าว และวาดรูปล้อดารา เพราะเป็นนิตยสารภาพล้อการ์ตูนดารา เป็นเจ้าเดียวเลย เราก็ไปทำเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง ตอนนั้นเงินเดือนน่าจะ 4,000 บาท ก็ไปทำแบบงง ๆ ทำอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน ก็ได้ไปทำอยู่ที่ มีเดียออฟมีเดีย เป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง แล้วก็ไปเป็นตากล้อง ซึ่งเป็นตากล้องที่ถ่ายรูปไม่เป็น แต่ในยุคนั้นเวลาที่เราจะไปถ่ายภาพข่าว มันจะต้องใช้ฟิล์มสไลด์ ซึ่งมันถ่ายยากมาก เราก็ต้องไปฝึกเอา เราไม่เคยเรียน แล้วสมัยก่อนถ้าจะถ่ายลงนิตยสาร อาร์ทเวิร์คมันจะต้องเป็นฟิล์มสไลด์ ไม่ใช่ฟิล์มทั่วไปเหมือนที่เราใช้กล้องฟิล์มนะ ซึ่งมันยากก็ต้องไปฝึกเอาเองหลังจากนั้นเราก็อยากมีรายได้ ก็ทำหมดเลย ไปเรียนเสริมสวย เป็นช่างเสริมสวย ก่อนหน้านั้นก็มีไปรับจ้างร้านยาดอง อยู่ที่เชียงใหม่ ไปขายพวกไส้ย่าง ไปรับจ้างขนถังแก๊ส ขับรถขนผัก จากนครปฐมมาคลองขวาง อะไรก็ได้ที่ได้เงินเราทำหมดเลยส่วนสิ่งที่ชอบจริง ๆ คือ ชอบถ่ายรูป อาจจะเป็นเพราะว่าเราเห็นคนที่บ้านเรา คือคุณพ่อ เป็นคนชอบถ่ายรูป ที่บ้านเราก็จะมีรูปภาพที่คุณพ่อชอบถ่ายเอาไว้เยอะมาก แล้วมันทำให้เรารู้ว่าในวันที่มันมีภาพถ่าย มันทำให้เรามีความทรงจำ มันดีมากเลยนะ อาจจะไม่เหมือนยุคนี้ เรามีมือถือกดถ่ายได้เลย แต่ในยุคนั้นมันต้องตั้งใจ มันต้องเอาฟิล์มไปล้าง ไปอัดภาพออกมา เรารู้สึกว่าตัวเองชอบถ่ายภาพ ตอนที่เรียนปวช. วั้งอยากเรียนถ่ายภาพมากเลย แต่ไม่ได้เรียน วั้งเลือกเรียนคณะศิลปประยุกต์ เป็นศิลปกรรมออกแบบตกแต่งภายใน ก็ไปเรียนแบบไม่ได้อยากเรียน แต่ดันสอบผ่านเลยต้องไปเรียน ก็เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ เขียนแบบ ทำดิสเพลย์ ออกแบบผลิตภัณฑ์”หมอวั้ง กับการยอมรับตัวตน จากคนในครอบครัว“เรื่องการยอมรับตัวตน จะมีแค่ช่วงตอนอยู่กับพี่สาว ที่เค้าแบบรับได้ หรือรับไม่ได้ ตาวั้งเป็นคนที่บุคลิกชัดมากตั้งแต่ 5-6 ขวบ เพราะว่าเราโตมากับคุณพ่อ ก็เติบโตมาแบบลูกชายคนหนึ่ง แต่คุณแม่ทำงานโรงพยาบาล เค้าก็ไปเช้าเย็นกลับ ชีวิตและบุคลิกส่วนใหญ่เราก็ได้มาจากคุณพ่อทั้งหมด เช่น ไม่ค่อยอยากจะใส่เสื้อ ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว ใส่ผ้าโสร่ง จนทุกวันนี้วั้งก็เป็นคนชอบนุ่งโสร่งอยู่บ้าน ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ๆ ก็เลยเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว และติดนิสัยพูดเร็ว เพราะเราเป็นคนอ่านออกเสียงมาตลอด วั้งโชคดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยโดนบูลลี่ หรือโดนกดดันมาก ๆ จากครอบครัว อาจจะเป็นเพราะว่า เราหนีออกจากบ้าน เราก็เลยเหมือนคนที่มาเติบโตอยู่ข้างนอก ดังนั้นคนในครอบครัวไม่ค่อยมีผลกับตัวตนวั้งเลย ในตอนที่โตมาการที่เราเป็นทอมบอย มันมีปัญหาอยู่สองเรื่องที่ทุกวันนี้วั้งก็ยังเป็นอยู่ เรื่องแรกคือการเข้าห้องน้ำ แต่ความโชคดีคือ คนยุคก่อนกับคนยุคนี้ การใช้สายตาแบบไม่มีมารยาทมันลดลง สมัยก่อนสายตาไม่มีมารยาทมากนะ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราคือตัวประหลาด การที่เราไปเข้าห้องน้ำผู้หญิงแล้วคนหันมามอง หรือโดนแม่บ้านไล่ มันเหมือนเราเป็นตัวประหลาด จนบางทีถ้าทนไม่ไหว วั้งก็เดินออก แล้วเดินเข้าห้องน้ำผู้ชายเลย โชคดีที่ยุคนี้คนที่เค้าไม่มีมารยาททางสายตามันลดลงไปมาก อาจจะด้วยสังคมที่เข้าใจพวกเรามากขึ้น สังคมที่มันเปิดกว้างมากขึ้น คนเรามันควรจะมาดูกันในเรื่องของนิสัยใจคอ ความคิด การกระทำ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่เรื่องของบุคลิกทางเพศ กับอีกเรื่องที่วั้งมีปัญหา คือเรื่องของการใช้หางเสียง ไม่รู้จะใช้ครับ หรือค่ะ เพราะเราเคยโดนคอมเมนต์ว่าเป็นผู้หญิงอย่าพูดครับ แต่ก็ไม่ได้ให้ค่า ไม่สนใจ ถ้าคิดว่าตัวเองใจบางทนไม่ได้ ก็แค่ลบ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราตอบ เดี๋ยวเค้าก็อาจจะกลับมาอีก แล้วคนที่เจ็บช้ำใจไม่ใช่เค้า แต่เป็นเรา ก็เลยเลือกด่าในใจ บางทีวั้งก็แก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องใส่หางเสียง ซึ่งมันเป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน”เรื่องความรัก อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจ“สมมติว่าใครอยากจะมาดูดวงกับวั้งเรื่องความรัก ถ้าคุณมีแฟน แนะนำว่าให้มาทั้งคู่ แล้วดูไปพร้อม ๆ กัน อะไรดีไม่ดีจะได้ช่วยกัน วั้งไม่ชอบการดูดวงความรักที่แยกกันดู มันจะกลายเป็นว่าเราคือคนกลางที่ไปทำให้เค้าตีกัน หรือรักกันได้ และมันจะกลายเป็นรักกันเพราะหมอดูบอก เลิกกันเพราะหมอดูทัก เรื่องของความรัก เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ใช้ดวงในการตัดสิน มันเป็นเรื่องคนสองคน ความรักมันสวยงามได้ และมันก็คือทำลายเราได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องความรัก ไม่อยากให้ตัดสินด้วยดวง อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจมากกว่าวั้งก็มีความรักที่ดี ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วค่ะที่คบกัน เราผ่านอะไรมาเยอะ เราหนักหนาสาหัสมาเยอะ จริง ๆ แล้ว ความรักแบบนี้มันค่อนข้างต้องเป็นรักที่สตรอง กว่ามันจะเป็นรักที่สังคมยอมรับ กว่ามันจะเปิดเผย มันก็ต้องมีอุปสรรค แต่ว่าโชคดีที่เราเป็นคนที่ไม่เคยจะต้องไปเจอความรักที่คู่เราจะต้องบอกไม่ได้ว่าเราคือทอม เพราะเราเป็นคนชัด จึงไม่ได้โดนปิดกั้นเรื่องผู้ใหญ่เวลาจะเข้าหาใครการดูแลความรัก อย่างแรกเลยคือ ความเข้าใจ ความรักเนี่ยนะ สมมติเราเจอคนสวย เก่ง รวย แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วท็อกซิก ก็ไม่ไหว วั้งจะบอกคนอื่นเสมอว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าคุณรักใครสักคน แล้วถ้าความสุขกับความทุกข์มันใกล้กันมาก แสดงว่ามันไม่สุข เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักมันสุข ความทุกข์มันต้องน้อยที่สุด”ดูดวงอย่างไรถึงจะมีประโยชน์กับชีวิต“ดูดวงแบบฟังหูไว้หู การดูดวงที่ดี ได้ประโยชน์จากการดูดวง แล้วไม่ทำให้ชีวิตคุณพัง หรือว่างมงายจนเกินไป คือฟังหมอดู แล้วคิดดูบนความเป็นจริงในสิ่งที่เราเจออยู่ แบบนี้คุณจะได้ประโยชน์จากหมอดู และการเลือกหมอดูที่คุณรู้สึกว่าถูกจริต อันนี้ก็สำคัญ คือบางครั้งถ้าหมอดูแนะนำให้คุณทำอะไรที่มันจะทำให้คุณคลายทุกข์ หรือสบายใจขึ้น แต่ถ้ามันจะต้องเสียเงินทองมากมาย ต้องคิดดี ๆ ว่ามันใช่รึเปล่า หรือสมมติคุณมีเงิน 1,000 บาท คุณอยากจะทำบุญแล้วหมอดูบอกว่าให้ไปทำบุญนี้ไปเลย 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นวั้ง วั้งจะรู้สึกว่า ถ้าคุณทำบุญได้แค่ 1,000 บาท คุณแบ่งไปทำบุญที่ละ 100 บาท คุณก็ทำบุญได้ตั้ง 10 ที่นะ เพราะฉะนั้นการดูดวงมันไม่ใช่เรื่องงมงายหรอก แต่ว่าการดูดวงเราต้องมีเหตุและผล อย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย” – หมอวั้ง วรางคณาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “หมอไวท์ เปิดดวง” หนุ่มวิศวะหน้าใส ผู้หลงใหลในโหราศาสตร์

18 ธ.ค. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “หมอไวท์ เปิดดวง” หนุ่มวิศวะหน้าใส ผู้หลงใหลในโหราศาสตร์

“ผมอยากให้คนที่มาดูดวง มีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นหลักก่อน แล้วค่อยปรึกษาหมอดูเป็นแนวทางเสริม เพราะไม่มีใครรู้เรื่องชีวิตของเรา ได้ดีเท่าตัวของเราเอง”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอไวท์ เปิดดวง” หมอดูหน้าใส ที่ไม่ได้มีแค่หน้าตา แต่มากด้วยฝีมือการทำนายตามหลักโหราศาสตร์ กับจุดเปลี่ยนของชีวิต จากเด็กวิศวะ สู่นักธุรกิจแบรนด์จิวเวลลี่ ที่ต้องผันตัวเรียนรู้ เข้าสู่วงการแห่งความศรัทธา จนได้ฉายาเป็น “หมอดูโอปป้า” เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเปิดดวง 12 ราศี ปี 2568“ปีหน้าจะเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยนะครับ หลายคนเริ่มรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2567 หรือมีผลกระทบมาค่อนข้างเยอะนะครับ แต่ว่าพอเข้าปี 2568 จะเป็นช่วงที่ดาวใหญ่ย้าย 3 ดวงในเวลาเดียวกัน คือช่วงเดือนพฤษภาคม วันที่ 5 พฤษภาคม มีราหูย้าย ดาวเสาร์ย้าย แล้วก็มีดาวพระพฤหัสบดีย้าย ซึ่งมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยนะครับทั้งเรื่องของ การงาน การเงิน ความรัก บางคนถ้าเกิดว่าถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนแล้วยังไม่เปลี่ยนตั้งแต่ปี 2567 ในปี 2568 มันจะเป็นจุดพีคในเรื่องของการเปลี่ยนให้เราเห็นจริง ๆ ปกติแล้วถือว่ายากนะครับที่ดาว 3 ดาวย้ายในเวลาเดียวกัน เพราะว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนของดวงเมือง ดวงโลกด้วย วิธีการตั้งหลักก็อาจจะต้องเตรียมตัวในเรื่องการบริหาร ในเรื่องของการใช้ชีวิต ถ้าใครรู้สึกว่าการงานไม่มั่นคง งานมันตกเทรนด์ไปแล้ว หรือว่ามันไม่ค่อยมีในเรื่องของอนาคตการต่อยอด ก็แนะนำให้เรียนเพิ่ม ศึกษาเพิ่ม หรือว่าไปหาสิ่งที่ใหม่ ๆ เข้ามาราศีที่ดีที่สุดลำดับต้น ๆ ของปี 2568 ก็คือ ราศีพฤษภ เพราะเป็นหนึ่งในราศีที่ได้รับอิทธิพลของดาวการเงินเด่นในรอบ 12 ปี เพราะฉะนั้นคนเกิดราศีพฤษภ แนวโน้มจะมีจังหวะในเรื่องของการได้เงินเพิ่ม มีรายได้เพิ่ม รวมไปถึงในเรื่องงาน เพราะดาวประจำเรื่องงานคือราหู ซึ่งเหมาะกับยุคปัจจุบัน เพราะว่า ราหู จะมีความเกี่ยวกับเรื่องของการขายออนไลน์ และเลขของราหู ก็คือเลข 8 แล้วปีหน้า ราหู เป็นตำแหน่งเกษตรตามโหราศาสตร์เค้าเรียกว่า ย้ายเข้าเรือนตัวเอง แล้วมันจะมีความมั่นคง เพราะฉะนั้นคนเกิดราศีพฤษภได้เปรียบในเรื่องของดาวราหูอยู่แล้ว ก็เลยทำให้เรื่องงานค่อนข้างจะดีกว่าราศีอื่น ซึ่งราศีพฤษภ คือคนที่เกิดตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมถึงวันที่ 14 มิถุนายน รวมไปถึงเรื่องการเงินด้วย เพราะว่าพอดาวราหูย้ายเข้าเรือนการงาน แต่ว่าดาวพฤหัสเข้าไปส่งในเรื่องการเงิน เป็นเรื่องของโชคลาภทางการเงิน ก็ทำให้มีเรื่องของการเงินเพิ่ม บางคนอาจจะมีเรื่องของรางวัลใหญ่ ถูกรางวัล หรือว่ามีโชคจากทางการเงินเข้ามา ก็เป็นปีที่โดดเด่นครับราศีมังกร คือคนที่เกิดระหว่างวันที่ 15 มกราคม ถึง 12 กุมภาพันธ์ ชาวราศีมังกรดาวประจำตัวคือดาวเสาร์ แล้วดาวเสาร์จะเป็นดาวที่เคลื่อนช้า ถ้าเปรียบเทียบกับราศีอื่น 2 ปีครึ่งถึงจะเคลื่อนที เพราะฉะนั้นในช่วงที่ผ่านมาดาวเสาร์ไม่ได้ย้ายเรือน ถึงทำให้คนเกิดราศีมังกรตั้งแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างจะเหมือนไม่ค่อยได้พัฒนาอะไรเท่าไหร่ หรือว่ามีปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้นในเรื่องของหนี้สิน หรือการหาเงินมันไม่ค่อยมีช่องทางใหม่ ๆ ให้ขยับ พอในปีหน้าจะเป็นปีที่ดาวเสาร์ย้าย แล้วจะย้ายเข้าไปในตำแหน่งของราศีมีน ส่งผลทำให้การเดินหน้าของดาวประจำตัวพอดี เกิดความมั่นคงในเรื่องอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ครับ รวมไปถึงในเรื่องการหาเงินตรงนี้เป็นจุดเด่นของราศีมังกรราศีกุมภ์ ดาวประจำตัวคือราหู อย่างที่บอกว่าปีหน้าราหูเด่น ชาวราศีกุมภ์จะมีความโดดเด่นขึ้นในเรื่องของดาวประจำตัว ส่งผลให้มีเสน่ห์ เกิดความน่าสนใจ ในเรื่องของอาชีพการงาน เค้าก็จะไปเจออาชีพที่มั่นคง บางคนเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ หรือการปั้นแบรนด์ตัวเอง คนเกิดราศีกุมภ์ค่อนข้างจะเป็นปีทองเลยนะครับ แล้วก็มีโอกาสดีในเรื่องของการเงิน แต่ว่าต้องระวังนิดนึงเพราะว่าในช่วงปีหน้า ก็เป็นปีที่ดาวเสาร์ย้ายเข้าทับเรือนการเงิน ดาวเสาร์คือดาวแห่งความเครียด ถ้าเข้าทับเรือนไหนเครียดเรื่องนั้น มันเลยส่งผลทำให้คนเกิดราศีกุมภ์ มีโอกาสเครียดในเรื่องการเงิน ตีความว่า อาจจะไปซื้อทรัพย์สินใหม่ ๆ เพิ่ม มีการลงทุนเพิ่ม แล้วมันมีรายจ่ายบานปลาย เพราะฉะนั้นชาวราศีกุมภ์ เป็นหนึ่งราศีที่ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องการใช้จ่ายราศีมีน จะเป็นราศีที่มีดาวเสาร์ย้ายเข้าไปทับ ก็จะเกิดความเครียดจากคลื่นพระเสาร์ แต่ว่าพอดีว่าชาวราศีมีน ดาวเสาร์เป็นตำแหน่งเจ้าเรือนลาภะ ลาภะแปลว่าโชคลาภ เพราะฉะนั้นพอมีโชคลาภย้ายเข้าไป ถึงแม้ว่าเครียด แต่ว่าเครียดเพื่อสิ่งที่ดีกว่า หรือว่ามีสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาอาจจะเป็นความกดดันเกิดขึ้นเรื่องของหน้าที่การงาน อาจจะมีความพัฒนายิ่งใหญ่ไปอีกสำหรับคนเกิดราศีมีน แต่ก็นำมาพร้อมกับความเครียดเกิดขึ้นด้วย รวมไปถึงในเรื่องของการต้องระมัดระวังเรื่องของสุขภาพด้วยเล็กน้อย ถ้าแนะนำก็เหมาะกับการทำบุญในการช่วยเหลือสังคมนะครับ บุญแบบใหญ่ ๆ อย่าง ร่วมสร้างอาคารตามโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยทำให้คนเกิดราศีมีนรอดพ้นปลอดภัยในปีหน้าราศีเมษ ดาวประจำตัวคือดาวอังคาร แล้วก็เป็นตัวแทนของดวงเมืองดวงโลก ซึ่งถ้าดูจากปีที่ผ่านมา ราศีเมษก็จะเป็นหนึ่งในราศีที่เหมือนมีปัญหาเยอะ ดวงเมืองก็เจอทั้งน้ำท่วม มีการเปลี่ยนนายก หรือว่าเรื่องต่าง ๆ ที่มีการจัดการเยอะ พอเข้าปี 2568 ก็จะมีแนวโน้มที่ต้องมีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องของงาน เพราะคนเกิดราศีเมษเหมือนจะต้องมีกลยุทธ์ใหม่ ๆ จะมีการทำมาร์เก็ตติ้ง จะมีการวางแผนเรื่องของระบบ เพราะว่าดาวเสาร์โคจรเข้าทัพตำแหน่งเรือนวินาศเค้าเรียกว่า เรือนการงานเข้าเรือนวินาศ มีผลทำให้ปรับเปลี่ยนต้องใช้กลยุทธ์เข้ามา มันอาจจะมีเรื่องของการผสมผสานสิ่งต่าง ๆ เข้าร่วมด้วยกัน เพื่อให้คนราศีเมษมีโอกาสที่จะทำมาหากินได้ดีในปีถัดไป อาจจะพัฒนาในเรื่องของธุรกิจ อย่างบางคนอาจจะไม่เคยทำออนไลน์ หรือว่าทำออนไลน์แล้ว แต่ว่ายังไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ ซึ่งในปีที่จะถึง อาจจะเป็นเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องการทำงานมากขึ้นครับราศีเมถุน จะเป็นหนึ่งราศีที่โชคดีในเรื่องของดาวพระพฤหัสบดีย้ายเข้ามาทับดวง เพราะว่าเป็นเจ้าภาพของการที่รับดาวพระพฤหัสบดี พระพฤหัสบดีก็เป็นตำแหน่งดาวที่ดี เพราะฉะนั้นคนเกิดราศีมิถุนถือว่าโชคดี ในเรื่องของการงาน ในเรื่องคู่ครอง บางคนมีเกณฑ์แต่งงาน หรือใครที่เหมือนคบกับคู่มานานแล้ว กำลังวางแผนที่จะแต่งงาน เมถุนก็อยู่ในราศีที่มีเกณฑ์แต่งงาน รวมไปถึงเรื่องของธุรกิจใหม่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นด้วย ในปีที่จะถึงราศีกรกฎ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายปี เหมือนเป็นการรีสตาร์ทชีวิตใหม่ ๆ บางคนอยากเปลี่ยนงาน ย้ายงาน หรือว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่ ราศีกรกฎจะเกิดขึ้นในช่วงปีที่จะถึง เพราะฉะนั้นในช่วงปลายปีนี้ ไปจนถึงต้นปี ก็ต้องพยายามเตรียมความพร้อมเยอะ ๆ เพราะว่าคนเกิดราศีกรกฎ ต้องรับมือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง จริง ๆ เหมือนสถานการณ์เค้าถูกเลือกให้ต้องเลือกที่จะทำธุรกิจใหม่แล้ว เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าธุรกิจเก่าอาจจะไม่หารายได้ได้ดีเท่าไหร่ เพราะว่าปีที่จะถึง พระราหูย้ายเข้าเรือนมรณะ มันเหมือนเป็นการจบจากสิ่งเก่า เริ่มต้นสิ่งใหม่ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นปีแห่งการเริ่มต้น ถ้าหากตัดสินใจในช่วงนี้ อยากเรียนรู้อะไรเริ่มใหม่ ผมว่าเป็นจังหวะที่ดีราศีสิงห์ เป็นธาตุไฟ จะเป็นคนที่ไฟแรง ดาวประจำตัวเป็นดาวอาทิตย์ ปีที่ผ่านมามีดาวเสาร์ซึ่งเป็นเจ้าเรือนอริเล็งดวงอยู่ ทำให้จังหวะของดวงบางทีเหมือนมีลุ้น คาดหวังได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่ว่าปีที่จะถึงดาวเสาร์ย้ายออก คืออริย้ายเข้าเรือนมรณะ แปลว่าศัตรูแพ้ภัยนะครับ ปัญหาในเรื่องของสิ่งต่าง ๆ ที่จะเจอในช่วงปีที่ผ่านมาก็จะจบไป แต่ว่าราหูจะย้ายมาเล็งดวงแทน ซึ่งเป็นจุดที่คนเกิดราศีสิงห์ จะต้องระมัดระวัง เพราะว่าพอราหูย้าย มันก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องของบุคคลได้ หรือว่าเราไปชอบใครสักคนแบบหลงไหลเค้าได้ เพราะว่าดวงราศีสิงห์คือคู่เรือนเป็นราหู เค้าก็จะมีลูกเล่น มีเสน่ห์ มีความวาไรตี้ต่าง ๆ ที่เห็นแล้วลุ่มหลง ซึ่งถ้ารู้สึกว่ามีใครที่เข้ามาในรูปแบบประมาณนี้ต้องระวังครับราศีกันย์ ก็จะเป็นราศีที่ถือว่าดวงดีขึ้นจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เค้ามีปัญหาเยอะนะครับเพราะว่าคนเกิดราศีกันย์ โดนดาวเสาร์เล็ง แล้วเดี๋ยวราหูเล็งอีก แล้วก็ปีก่อนหน้านี้คือดาวพฤหัสบดีตกเรือนมรณะ บางคนมีปัญหาเรื่องหนี้สิน การสูญเสีย หรือว่ามีผลกระทบ เค้าเจอเรื่องของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ไปแล้ว เพราะฉะนั้นปีที่จะถึงมันเป็นปีที่ค่อนข้างจะเป็นการเริ่มต้นการเติบโต หรือว่าสิ่งที่เค้าทำในช่วงปี 2567 ก็จะถูกพัฒนาในช่วงปี 2568 ก็ถือว่าเป็นราศีที่มีความราบรื่น มีความโดดเด่นเรื่องการทำงานกับคนในครอบครัว แล้วก็มีบริวารเข้ามาช่วยซัพพอร์ทดีราศีตุลย์ เด่นเรื่องการพ้นเคราะห์ เพราะว่าปีที่ผ่านมา ดาวพฤหัสเข้าเรือนมรณะของราศีตุลย์ทำให้คนเกิดราศีตุลย์มีปัญหาคือจะมีเรื่องของการสูญเสีย เสียเงิน เสียคนรัก ที่มีผลกระทบมาในช่วงปีก่อนครับ พอเข้าปี 2568 ก็ถือว่าจุดเด่นของดวงค่อนข้างดี แล้วก็ราหูเป็นเจ้าเดือนปุตตะ ปุตตะแปลว่าเรื่องของโชคก็ได้ เรื่องของบริวารก็ได้ เพราะฉะนั้นคนเกิดราศีตุลย์ ค่อนข้างจะมีโชคดี เป็น 1 ใน 12 ราศี ที่เด่นเรื่องโชคมาก ๆ ครับราศีพิจิก ก็เป็นหนึ่งในราศีที่มีแนวโน้มของการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะว่าชาวราศีพิจิก ดาวพระพฤหัสบดีจะย้ายเข้าเรือนมรณะ ชาวราศีพิจิกในช่วงกลางปี ก็จะเหมาะกับการทำอะไรที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ดวงเหมือนโกอินเตอร์ ถ้าหากว่าทำธุรกิจกิจการต่าง ๆ แนะนำให้ไปทำเกี่ยวกับต่างชาติแล้วจะดี หรือค้าขายก็แนะนำให้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการขายออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะการขายออนไลน์ก็ยังเป็นจุดเด่น เพราะปีหน้าเป็นเลข 8 เป็นเลขของราหู เพราะฉะนั้นก็จะเป็นยุคที่เราจะต้องทันในเรื่องของโลกโซเชียลมากขึ้นราศีธนู เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ราศีธนูจะพบในเรื่องของปัญหาเยอะ เพราะว่าดาวประจำตัวเข้าเรือนอริปัญหา เรื่องของการที่ผู้สื่อสารเจรจาแล้วไปมีผลกระทบกับคนใกล้ตัว พูดแล้วก็ทะเลาะกับคนใกล้ตัวบ้าง เรื่องคู่ เรื่องความรัก ก็โดนมาหมด รวมไปถึงเรื่องของคนในที่ทำงานด้วย ดังนั้นพอปีที่จะถึง 2568 จุดเด่นก็คือดาวประจำตัวย้ายออกจากเรือนอริ ส่งผลให้เป็นคนที่เหมือนมีสมรรถภาพเรื่องร่างกายแข็งแรงขึ้น คำพูดมีน้ำหนักขึ้น ทำให้ลดทอนในเรื่องของอริศัตรูไปครับ”ต้อนรับปีใหม่ มูเตลูอย่างไรดี?“ช่วงต้นปีก็แนะนำให้ไหว้ศาลหลักเมือง เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย แล้วก็วัดริมน้ำ จะเป็นเทรนด์ของปีที่จะถึง เพราะว่าเป็นการช่วยในเรื่องของการขจัดสิ่งที่ไม่ราบรื่น วัดที่แนะนำให้ไปก็อย่างเช่น วัดกัลยาณมิตร ไปขอในเรื่องมิตรตามชื่อเลย วัดอรุณก็ขอให้ชีวิตรุ่งอรุณ แล้วก็วัดระฆังก็ขอในเรื่องชื่อเสียงเรื่องการงาน อย่างผมไปเยอะมากเลย ก็มีวัดอรุณ วัดกัลยาณมิตร วัดระฆัง วัดยานนาวา ใครที่อยากได้เงินก้อนใหญ่ๆ ก็แนะนำเป็นวัดยานนาวา แล้วก็อีกจุดหนึ่งที่เด่นคือ วัดหงส์ ที่จะเด่นเกี่ยวกับเรื่องของ บ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ต่างประเทศก็ไปหลายที่ อย่างเช่นปีที่ผ่านมา ผมไปมูอินเดีย เน้นเกี่ยวกับเรื่องของการทำบุญใหญ่ ๆ เพราะว่าเค้าจะมีขอทานเยอะ ใครที่รู้สึกว่าเหมือนปีนั้นดวงตก ก็แนะนำให้ไปทำบุญแบบจัดเต็มที่อินเดีย แล้วก็อีกที่หนึ่งใกล้ประเทศไทยแล้วก็เดินทางง่ายคือ ฮ่องกง ไปมูเรื่องฮวงจุ้ย สำหรับคนที่อยากปรับเปลี่ยนดวงชะตาด้วยตัวเอง หรือเอาตัวเองไปอยู่ในฮวงจุ้ยที่เค้ารับพลังงานดี ๆ ฮ่องกงก็จะมีศาลเจ้าแม่ทับทิมที่เก่าที่สุดอยู่ที่ริมน้ำ เด่นที่จะขอเรื่องการเงิน ได้ดีมาก ๆ การไปต่างประเทศมันก็เหมือนเปลี่ยนพลังงาน เปลี่ยนแอตติจูดความคิดในช่วงเวลานั้นการเอาตัวเองไปอยู่ในโมเม้นท์ที่ดี พลังงานดี ๆ หรือว่าเปลี่ยนบรรยากาศชีวิต มันก็คือการรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาครับจริง ๆ ปีหน้าถ้าให้แนะนำก็อยากให้เน้นการทำบุญ ปีใหม่ ก็ถือว่าเป็นฤกษ์ดีเลย เพราะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลัก ๆ คือไปไหว้ศาลหลักเมือง ไหว้พระประจำวันของตัวเองก็ได้ พอทำบุญเสร็จเราก็ทำทานด้วยนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกัน พอทำทานเสร็จก็ไปไหว้เทพเพื่อขอเงิน ผมจะใช้จังหวะประมาณนี้ ไม่ได้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือทำให้ครบ อย่างเช่นเทพที่ผมศรัทธาที่ไหว้ประจำก็จะเป็น พระพิฆเนศ เพื่อขอในเรื่องการเงินการงานครับ”ดวงเมืองไทย ปี 2568“จริง ๆ ดวงเมืองไทยปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ราหูจรเป็นกาลกิณี มันเลยทำให้มีปัญหาเยอะ แล้วก็ไปส่งผลกระทบกับดวงเมืองมาก ๆ ในเรื่องของน้ำ เป็นผลกระทบหลักเลย แล้วก็เรื่องของความชุลมุน เพราะว่าราหูไปร่วมกับดาวพุธเป็นเลข 48 สี่ คือการเจรจา แปด คือเรื่องเกี่ยวกับทางโลก เกี่ยวกับเรื่องของการราหูหรือกลโกงก็ได้ มันเลยทำให้มีปัญหาเรื่องของกลโกงเกิดขึ้น คนที่ไม่ดีอะไรต่าง ๆ เกิดขึ้นมาเต็มเลยปีหน้าช่วงต้นปีจะต้องระวังเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่พอหลังจากราหูย้าย แนวโน้มตรงก็จะเปลี่ยน เหมือนคนมีสติขึ้น มีสมาธิขึ้น เหมือนรู้ทัน ก็เลยทำให้เรื่องแบบนี้มันน่าจะหายไปจากช่วงต้นปีไปถึงกลางปี แต่พอหลังจากนั้นมันจะไปพบผลกระทบจากดาวเสาร์ที่เข้ามาเจอกับดาวศุกร์ ตรงนี้ก็จะเกี่ยวกับเรื่องของการเงิน เศรษฐกิจก็ยังต้องดูอยู่เหมือนกันครับผม ปีหน้าราหูเป็นเกษตรในดวงเมืองดวงโลก ส่งผลทำให้คนที่เข้าไปค้นพบสิ่งที่ใช่จะมีมากขึ้น เหมือนเค้าเริ่มทันโลก ทันกับเทรนด์ ไม่ว่าจะอยู่วัยไหนก็ตาม พอเราเรียนรู้แล้วเราทันเกี่ยวกับเทรนด์ มันก็ทำให้เรามีอนาคต สามารถหาเงินได้ ซึ่งก็จะเป็นจุดเด่นที่จะเกิดขึ้น2568 ถ้าสมมติว่า 6 ดาวศุกร์ 8 เป็นเลขราหู ปีหน้าก็จะเป็นลักษณะเหมือนตัวเลข 8 เด่น เป็นเลขของการแข่งขัน เพราะฉะนั้นมันก็จะเป็นเรื่องของการแข่งขันมากขึ้นไปอีก ปีที่ผ่านมาคนก็ดิ้นรนมากแล้ว ปีถัดไปก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่เราก็ต้องพยายามเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ครับปีที่แล้ว 2024 ถ้า 24 คือ 2+4 เนี่ยเป็น 6 ส่วน 2025 2+5 ตกเลข 7 เลข 7 ก็ดูเหมือนเครียดเกี่ยวกับเรื่องของระบบ เพราะฉะนั้นมันก็น่าจะมีเรื่องเครียด ๆ เกิดขึ้นเยอะเหมือนกัน ที่จะต้องผ่านพ้นไปให้ได้ เพราะว่าดูจากปัจจุบันแล้ว บางคนก็กังวลเรื่องสงคราม แล้วก็เตรียมพบกับการเปลี่ยนแปลงจากตำแหน่งดาวใหญ่ ๆ อีก เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เราสามารถเตรียมความพร้อมได้ในทุกด้าน ทั้งเรื่องของการวางแผนทางการเงิน คือปีหน้าเราก็ต้องมองแล้วว่า ถ้าจะไปลงทุนซื้อของอะไรเยอะ ๆ แนะนำว่าอย่าเพิ่งดีกว่า เพราะว่ามันจะกลายเป็นการเพิ่มภาระ อะไรที่ปัจจุบันไม่เป็นภาระ ไม่เป็นหนี้ ผมว่ามันจะเซฟตัวเราในอนาคตมากกว่าครับ”สนใจศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ เพราะความกังวล“จริง ๆ สนใจมาตั้งแต่เด็กครับ แต่เริ่มเรียนจริงจังประมาณสัก 4-5 ปีที่ผ่านมา มันเกิดจากการที่เราเป็นคนที่มีความกังวล อาจจะออกแนวแพนิคเล็ก ๆ เหมือนเราลุ้นกับเรื่องอนาคต เรื่องงาน เรื่องการเรียน มันก็เลยทำให้ผมไปเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของโหราศาสตร์ แล้วก็เก็บสถิติ กลายเป็นว่าสามารถตอบโจทย์เราได้เหมือนกัน เพราะเราจะเอามาช่วยวางแผนว่าปีนี้จะเจอเรื่องนี้ จะแก้ยังไง จะต้องไปลุ้นกับเรื่องนี้ มีความหวังแค่ไหนวิศวะ กับ โหราศาสตร์ ในเรื่องวิศ จะเกี่ยวกับเรื่องการคำนวณ ถ้าสมมติว่าเราไม่มีพื้นฐานของการคำนวณ ในวิชาโหราศาสตร์ก็อาจจะทำให้เราคาดคะเนได้คลาดเคลื่อน เพราะว่าวิศวะ จะใช้หลักการเรื่องเหตุและผล ถ้าผมไม่ได้เรียนในเรื่องเหตุและผลมา บางทีมันอาจจะทำให้ผมมีความเชื่อแบบสุดโต่งมากเกินไป มันเลยไม่มีจุดยับยั้ง พอเรียนวิศวะมันเลยเป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มันก็เลยทำให้เรามีความเชื่อที่มีเหตุมีผลครับแล้วก่อนหน้าที่จะเป็นหมอดู ผมก็ไปทำงานธุรกิจเกี่ยวกับจิวเวอรี่ ค้าขายเครื่องประดับ แล้วพอที่บ้านมารับรู้ว่าเราเป็นหมอดู ก็กลายเป็นว่าเค้าโอเค และคอยซัพพอร์ตดี เพราะเค้ารู้ว่าเราชอบจริง ๆ แล้วปกติผมชอบไปทำบุญ ก็จะอยู่กับเรื่องของสิ่งเหล่านี้มาตลอด ส่วนเพื่อนค่อนข้างติง เพราะว่าเพื่อนที่รุ่นเดียวกันที่เรียนมา เค้าจะรู้สึกว่าทำไมเราไม่ทำงานประจำ อาจจะด้วยความที่เค้าอาจเป็นห่วง หรือว่าเค้ารู้สึกว่าจริง ๆ เราก็เรียนมาเยอะ เหมือนลงทุนกับการเรียนเยอะมาก เพราะฉะนั้นควรทำงานประจำไว้ดีกว่าและอีกหนึ่งปัจจัยที่เลือกเรียนโหราศาสตร์ เพราะโดนทักว่าดวงถึงคาด คือตอนที่ผมไปเรียนกับพระอาจารย์ ผมเรียนได้ 3 วัน พอวันที่ 3 พระอาจารย์บอกว่า วันนี้มีเรื่องจะบอกนะ ดวงของคุณถึงคาดในปีนี้นะครับ แล้วก็จะมีการเสียชีวิตจากการโดนฆาตกรรม เราก็ตกใจเพราะเราเป็นคนที่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วก็ศรัทธาเรื่องนี้มาก ๆ หลังจากนั้นก็ไปเรียนเพิ่ม แล้วพยายามศึกษาไปอีก เพื่อที่จะตอบให้ได้ว่า ดวงเราจะถึงคาดจริง ๆ ไหม เพราะว่าปีนั้นเหมือนมีดาวประจำตัวไปตกเดือนมรณะ แต่จริง ๆ พอเราเรียนไปเรื่อย ๆ ก็ได้รู้ว่าโหราศาสตร์มันมีนัยยะเยอะ แล้วก็เราจะจับทางในสไตล์การทำนายของเราได้ ซึ่งมันตีความเป็นอย่างอื่นได้ ดาวประจำตัวไปตกเดือนมรณะ มันสามารถแปลว่าต่างประเทศได้ แปลว่าโหราศาสตร์ได้ มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เราเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนเข้ามาอาชีพโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นการทำนายเกี่ยวกับชีวิตคน มันก็ทายไปในทางนี้ได้เลยครับ”การทำนาย ที่ช่วยชีวิตคน“เรื่องของการที่คนเข้ามาดูดวง บางทีมีคนคิดสั้นนะครับ หรือว่าเค้าหมดความหวังในชีวิต ไม่มีหนทาง ก็เลยปรึกษาหมอดู ซึ่งหมอดูก็จะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เค้าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่วันนั้นที่ผมวิเคราะห์ดวงลูกค้าท่านนึง เค้าโทรหาผมบอกว่าเค้าจะฆ่าตัวตายในเร็ว ๆ นี้เลย ซึ่งผมบอกว่าหยุดก่อน เพราะว่าดูจากพื้นดวง มันยังมีเวลาที่คุณจะทำอะไรอย่างอื่นได้อีกเยอะ ณ โมเม้นท์ที่คุณคิดสั้น แต่จริง ๆ ดวงคุณยังทำอย่างอื่นได้เยอะ ยังหาเงินได้ ยังสามารถทำงานได้ ผมก็แนะนำแนวทางไปว่าอีก 4 เดือน เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน ดวงจะมีจุดเปลี่ยน เค้าก็เลยเชื่อ หลังจากนั้น 4 เดือน เค้าก็โทรมาใหม่ว่าเค้าไปทำธุรกิจหนึ่ง แล้วมันได้เงินเข้ามาเกินกว่าที่เค้าคิดจากตอนแรกที่มีปัญหาเรื่องของหนี้สินต่อเดือน จนถึงขั้นที่จัดการเรื่องหนี้สินไม่ได้ ซึ่งการดูดงครั้งนั้นมันก็ทำให้มีความหวัง เพราะว่าคนที่ส่วนใหญ่จะคิดสั้น ต่อเมื่อหมดความหวังไปแล้ว หรือมันไม่เหลืออะไรแล้ว แต่พอเราสามารถเติมพลังใจให้เค้าได้ หรือว่ามีสิ่งที่ดีให้กับเค้า เค้าก็รู้สึกว่าจริง ๆ แล้วชีวิตเค้ามีคุณค่าครับผม”ที่มาของฉายา หมอดูโอปป้า“มันเกิดจากที่ผมชอบแต่งตัวไปเล่น Tiktok แต่งเหมือนสไตล์โอปป้า ตอนนั้นอาจจะยังไม่ค่อยมีหมอดูเยอะเท่าไหร่ในโซเชียล ก็เลยมีคนมาแซว ก็เลยเป็นฉายาว่า โอปป้า ครับซึ่งตอนที่ทำโซเชียลใหม่ๆ ผมก็จะโพสต์คีย์เวิร์ดที่ค่อนข้างจะติดความสองแง่สองง่าม มันอาจจะดูทะลึ่งนิด ๆ แล้วเราก็ดังจากคีย์เวิร์ด ดวงได้ของใหญ่ พอมีการทำนายว่ามีดวงได้ของใหญ่ ก็มีคนแชร์ มีคนเล่นตาม เค้าก็เลยไปตีความกันว่าอะไรที่ใหญ่ด้วยความที่ลุคเราจะดูเด็ก ยังดูโอ้ปป้าแบบนี้ ส่วนมากก็จะโดนผู้ใหญ่ทัก เพราะว่าเวลาเราไปทำงานที่แบบมันต้องใช้ความน่าเชื่อถือมาก ๆ เราก็จะโดนติงเปรียบเทียบกับหมอดูที่เค้าดูน่าเชื่อถือ เป็นซินแส มีเครา มีหนวด แล้วมันทำให้น้ำหนักของเราดูเทียบเท่าเค้าไม่ได้ ก็จะโดนติงไปเปลี่ยนเสื้อ อยากเปลี่ยนลุคเราให้เป็นอีกแบบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายว่าเราก็ต้องพยายามโตไปกับอาชีพนี้ เพราะว่าผมมาทำงานตรงนี้ ผมก็ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ การเก็บสถิติมันเริ่มจากวันแรกมันมาถึงวันนี้ สมมติว่าผ่านไปอีก 10 ปี สถิติที่ผมเก็บมันก็จะพัฒนาไปอีกขั้นนึง เพราะฉะนั้นผมก็ต้องพิสูจน์ให้คนเห็นจากการที่ทำงานให้พัฒนาไปเรื่อย ๆ”เป็นหมอดู ดวงดวงตัวเองไหม?“จริง ๆ ผมดูดวงให้ตัวเองเป็นประจำนะครับ เพราะว่ายิ่งเราดูดวงตัวเอง มันจะยิ่งทำให้เราได้ศึกษาเพิ่ม เหมือนพอเรารู้หลักการ เราก็จะวิเคราะห์ตลอดว่า เราจะเจอกับอะไร ซึ่งผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงช้ำ เพราะผมรู้สึกว่า สถิติมันเป็นการคำนวณไปเรื่อย ๆ แล้วก็สามารถคำนวณได้ตลอดการเริ่มดูดวง จริง ๆ ก็แล้วแต่เรื่องที่อยากรู้ ซึ่งถ้าเราอยู่ในวัยเรียน หรือวัยทำงาน เรื่องของโหราศาสตร์จะช่วยให้เราได้เป็นประโยชน์มากกว่า ดังนั้นช่วงประมาณกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็อาจจะอยากรู้ว่าอาชีพที่มันทำเงินให้กับเรา ดวงในโหราศาสตร์จะบอกในตำแหน่งดาวที่เหมาะกับเรื่องของอาชีพครับ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นประโยชน์ให้แนวทางว่าให้เค้าเรียนวิชานี้ไปเลย การเงินเค้าเหมาะกับด้านนี้”ตัวเลข บอกอะไรได้บ้าง?“เรื่องเกี่ยวกับตัวเลข มีอิทธิพลไปหมดในทุก ๆ ด้าน ถ้าเลขเด็ดอย่างเช่นเลข 1 เพราะเลข 1 คือดาวอาทิตย์ ถ้าเราเอาไปคู่กับดาวที่ดี ก็จะส่งผลให้พลังของดาวนั้นแรง อย่างเช่นถ้ามี 1 ไปคู่ 5 จะเกี่ยวกับเรื่องของวิชาการ เรื่องของสติปัญญา ที่เค้าเรียกว่าผู้ใหญ่อุปถัมภ์ มันก็จะมีความโดดเด่นขึ้น แล้วก็เลข 1 หรือ 3 มันแล้วแต่คน ว่าบางคนกลัวเลข 13 พี่ ไม่กล้าออกไปไหนวันศุกร์ 13 แต่สำหรับผม ผมเป็นคนที่เจอเลข 13 บ่อยมาก อย่างเช่นขึ้นเครื่องบินก็จะไปเจอสายพานที่ 13 กลายเป็นว่าเลขเนี้ยมันเป็นลัคกี้นัมเบอร์ของผม มีดาวอาทิตย์กับอังคารก็จะไปเกี่ยวข้องกับความขยัน ความตั้งใจ ความสำเร็จ จริง ๆ เลข 13 ก็เป็นเลขที่ดี ส่วนเลข 6 คือเลขเกี่ยวกับดาวศุกร์ เป็นดาวเกี่ยวกับคู่ ถ้าเรานำเลข 6 ไปคู่กับเลขที่ดีอย่างเช่นเลข 2 เป็น 26 ก็จะเกี่ยวกับเรื่องความรัก ความราบรื่น เสน่ห์ หรือเลข 24 ก็ได้ เพราะว่า 2 เป็นดาวพระจันทร์ 4 เกี่ยวกับเรื่องดาวพุธ กลายเป็นว่ามีเสน่ห์ในเรื่องการเจรจา แล้ว 2 บวก 4 กลายเป็น 6 ก็จะออกเลขดาวศุกร์ แล้วจะเป็นเลขเกี่ยวกับความรักเลข 67 นะฮะอย่างเช่นปีที่ผ่านมาเลข 67 เลข 6 67 นะฮะ ปี 2567 ตัวเลข 67 เนี่ยก็จะเป็นเลขที่ดูเหมือนมีความรุนแรงนะครับที่จริงมันก็จะไปเป็นเลขดาวศุกร์คู่กับดาวเสาร์ ศุกร์นี่คือความสุข เสาร์คือดาวความเครียด พอศุกร์คู่เสาร์มันมีความเครียดง่ายทำให้ไม่มีความสุขมันจะเป็นตัวเลขที่ 1 บางคนจะติดปัญหาเรื่องความรักนะครับ มีคู่ก็ต้องเลิก หรือบางคนก็ถึงหย่าร้างนะครับ มีปัญหาเรื่องการเงินหรือมีคู่ยากนะครับการมีคู่ ก็คือเลข 6 ไปคู่เลข 2 หรือคู่เลข 4 ก็ได้ เป็น 46 หรือ 26 แล้วก็เลข 3 ตัวก็คือ 146 ก็คือเป็นเลขที่ดี ใช้ต่อท้ายชื่อ Line ก็ได้ แล้วมันก็จะมีเลขที่สันโดษ เช่น เลข 5 จะเป็นดาวพฤหัสบดี จะเป็นผู้ให้ จริง ๆ ดีนะ แต่ว่าถ้าเกิดดีมากไป มันจะทำให้เราต้องเป็นผู้ให้คนอื่นมากไป อย่างเช่นยิ่งถ้า 5 ไปคู่ 9 ก็จะเป็นเลขเกี่ยวกับอาจารย์ เลขปลง เลขสันโดษ ทำให้ไม่มีคู่ เลข 36 ก็ดีนะครับ เกี่ยวกับความรัก เหมือนแบบว่ามีความรักแบบรุนแรงขึ้นมานิดนึง มีความตื่นเต้นเพราะว่ามีดาวอังคารเป็นไปร่วมดาวศุกร์”ดวงไม่สมพงษ์ แต่งงายกันได้ไหม?“ถ้าดวงไม่สมพงษ์ พอเราทราบเกี่ยวกับเรื่องดวง มันทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่า มันจะไปติดขัดเรื่องไหน อย่างเช่น ตำแหน่งการพูดดวงจิตของเค้ามันไม่สื่อสารกับเรา ตำแหน่งดาวความคิดเค้าเป็นดาวอาทิตย์ แต่ดาวความคิดเราเป็นดาวพระจันทร์ มันทำให้คู่ขัดแย้งเกิดขึ้น เค้าคิดแบบหนึ่ง เราคิดแบบหนึ่ง พอถึงเวลาต้องตัดสินใจอะไรร่วมกัน มันจะไปในทิศทางที่ไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ ฉะนั้นมันก็ทำให้จุดของชีวิตคู่มันค่อนข้างจะดำเนินไปด้วยกันยากซึ่งดวงไม่สมพงษ์กัน แต่งงานกันได้ครับ ถ้าเค้าสามารถที่จะปรับในเรื่องของความเข้าใจกันได้ เพราะที่จริงก็จะอยู่ได้ในบริบทแตกต่าง อย่างเช่นถ้าดวงไม่สมพงษ์กัน อยู่ด้วยกัน เค้าอาจจะอยู่ได้ แต่ว่ามันก็จะมีความทุกข์เกิดขึ้นในแต่ละเรื่องที่เค้าต้องเจอ แต่เค้าก็ยังประครองคู่กับไปได้ครับ มันเป็นเรื่องของไทป์ด้วย เหมือนเอ็กซ์โทรเวิร์ด กับ อินโทรเวิร์ด กว่ามันจะบาลานซ์กันก็ใช้เวลา แต่ถ้าสามารถทำความเข้าใจกันได้ ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ครับ”ดวง กับแนวทางการใช้ชีวิต“สำหรับผม ผมค่อนข้างเชื่อเรื่องดวงแบบมาก ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องดวงมันก็จะมีอิทธิพลกับชีวิตของเรามากเหมือนกัน เช่น ถ้าผมมองแล้วรู้เลยก็คือ โหงวเฮ้ง เราจะรู้เลยว่า โหงวเฮ้ง ของเค้าบ่งบอกนิสัยเค้าเป็นยังไง ฉลาดมั้ย สมองเค้าเป็นยังไง แต่มันไม่ละเอียดนะครับ เพราะว่าบางทีจะเอามาใช้ในการตัดสินไม่ได้ทั้งหมด เพราะว่าบางคนก็โหวงเฮ้งไม่ดี แต่ถ้าดวงเค้าดี นั่นแปลว่าเค้าก็ยังมีของ มีสิ่งที่ดีอยู่หลักการก็คือเรื่องของกรรมเก่าเรื่องของบุญ แล้วก็เรื่องของการกระทำมันก็ควบคู่กันไป พอเราเป็นหมอดู เราก็ต้องไปดูบุญดูกรรมของคนอื่น แล้วก็การกระทำปัจจุบัน มันเป็นเรื่องของลูกดวงว่าเค้าจะเดินยังไงต่อ ถ้าหากว่าเค้าเป็นคนดี เดินทางที่ดี มันก็สามารถช่วยปรับเส้นทางของการเดินทางของเค้าได้จริง ๆ ที่ผ่านมา 2567 เป็นปีที่หมอดูก็ได้รับผลกระทบเยอะเหมือนกัน แล้วมันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย หมอดูที่ดี หลักการคือมันอยู่เรื่องของคุณธรรม เหมือนเวลาเราบอกให้ลูกดวงเราไปทำแบบไหน กรรมนั้นมันก็กลับมากับเรา เหมือนถ้าเราบอกให้เค้าไปจ่ายเงินเยอะ ๆ นั่นคือหมอดูสร้างกรรมด้วย คือผลการกระทำของเราด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่า เรื่องคุณธรรม มันจะทำให้เราอยู่ในเส้นทางนี้ได้นาน แล้วมันก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราปลอดภัยด้วยครับจิตสัมผัส เป็นหลักสำคัญในการที่จะเป็นหมอดู ก่อนหน้านี้คือเราเรียนแล้วเชื่อเรื่องเหตุและผลมากเกินไป โดยไม่ใช้ความรู้สึก พอไม่ใช้ความรู้สึก มันเหมือนอินเนอร์หรือของข้างในครูบาอาจารย์อะไรต่าง ๆ เราไม่นำมาใช้ในการเป็นการวิเคราะห์ดูด้วย มันก็จะไม่ได้ใช้จิตสัมผัส อย่างผมเองเวลาไปวัดต่าง ๆ เราก็จะมีเซ้นส์ว่า ตรงนี้มีเทวดา มีเทพ ก็จะสัมผัสได้ครับจริง ๆ ถ้าดวงไม่ดี มีวิธีการแก้ครับ เรื่องของการดูดวง เป็นเรื่องของการบริหารบุญกรรม เหมือนพอเราไปดูดวงของลูกค้า เราจะทราบว่าเค้าติดเรื่องกรรมอะไร แล้วก็ปีชง หรือว่าดวงในช่วงปีนั้นเป็นปีที่ดาวเสาร์เข้าทัพเล็ง ก็มีวิธีในการปรับเปลี่ยน เหมือนเสริมดวง คือถ้าเกิดว่าติดกรรมในเรื่องนี้ ก็ไปทำบุญประเภทนี้ เพื่อเสริมดวงเข้าไป จะช่วยให้ลดทอนกรรม แต่จริง ๆ ก็เน้นหลัก ๆ เรื่องการทำบุญ เพราะว่าการกระทำมันก็ส่งผลให้กับตัวเราเอง ผมก็จะแนะนำลูกค้าส่วนใหญ่ ว่าถ้าเราทำดี มันก็เป็นเกราะป้องกันดวงชะตาเราในรูปแบบหนึ่งแล้วครับ”หากว่าเราตัดสินใจตามความรู้สึก หัวใจเรามันจะนำพาไปเจอในสิ่งที่เราชอบ“สมัยของผมเป็นเจนที่หากไม่ทำตามสิ่งที่ตัวเองเรียนมา มันเป็นอะไรที่ดูแปลกตา แต่ยุคปัจจุบัน ผมว่าเด็กรุ่นใหม่เค้ามีความกล้าที่จะเปลี่ยนมาก ๆ ซึ่งผมมองว่า ถ้าหากเราเรียนมา แต่ว่าใจเราไม่ชอบพอ ถึงจุดหนึ่งเราจะทำมันได้ไม่ดี หรือทำมันได้ไม่สุด ผมเลยเชื่อว่า ถ้าหากว่าเราตัดสินใจตามความรู้สึก หัวใจเรามันจะนำพาไปเจอในสิ่งที่เราชอบ มันจะลุยในสิ่งนั้นได้ดีกว่า แล้วมันจะมีความสุขกับชีวิตมากกว่า แล้วเรื่องของเซ้นส์ เรื่องของสิ่งที่ประกอบต่าง ๆ มันจะดีกว่าสิ่งที่เราไม่ชอบครับผมซึ่งอาชีพหมอดู ก็ช่วยคนได้ และเป็นโทษได้ ถ้าจัดการกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ก็เป็นการทำให้ความรู้สึกตัวเองดิ่งลงไปอีกด้วย เพราะว่าเรารับของคนอื่นมา ถ้าเราเชื่อในเรื่องพลังลบ เราฟังแต่เรื่องของพลังลบมาตลอด เราจะดิ่งมาก ๆ ผมก็เลยต้องพยายามปรับแอดติจูดตัวเอง ให้ตัวเองได้พลังบวกเข้ามาเรื่อย ๆ การอ่านธรรมะ การไปวัดการทำบุญ กว่าจะฮีลใจตัวเองจนมาถึงวันนี้มันก็ใช้เวลาเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้มันก็เคยมีประสบการณ์ที่ตัวเองเครียด นอนไม่หลับ หรือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพที่ส่งผล ดังนั้นเราต้องจัดการความคิดดี ๆ”สีสันแรงบันดาลใจ จาก หมอไวท์ เปิดดวง“ผมเป็นหมอดูที่ผมอยากจะให้คนที่เข้าไปดูดวง ตั้งใจทำงานแล้ว เป็นคนที่มีความพร้อมในเรื่องของงาน เรื่องของการเงินด้วย และสิ่งที่ไปคุยกับหมอดู เป็นแค่การรับฟังเพื่อพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องมีสติ เพราะถ้าเกิดว่าเราไปเชื่อเลย มันอาจจะเป็นผลลบก็ได้ บางทีเค้าอาจจะวิเคราะห์ได้ไม่ดีเท่าตัวเราก็ได้ เพราะตัวเราจะรู้ตัวเองมากกว่า เพราะฉะนั้นยังไงก็ต้องเชื่อตัวเองเป็นหลัก แล้วก็หมอดูเป็นแนวทางเสริมครับผม” หมอไวท์ เปิดดวงพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลังhttps://www.youtube.com/watch?v=v0BgcA2NXK8

album

0
0.8
1