Club Pride Day Recap

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

04 มี.ค. 2025

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

“โรสว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราถูกทำร้ายอยู่ทุกวัน คือการนึกถึงอดีต อยากให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญเสียงเพราะมีเสน่ห์ “โรส ศิรินทิพย์” เจ้าของเพลงรักที่โด่งดัง เช่น มากกว่ารัก ก้อนหินก้อนนั้น เกิดมาแค่รักกัน ฟ้าเปลี่ยนสี อย่าเปลี่ยนไป ซึ่งเธอไม่ได้มีดีแค่ด้านการร้องเพลง แต่ยังมีความสามรถในการเล่นกีต้าร์และเปียโนอีกด้วย พร้อมมีรางวัลการันตีมาหลายเวที และผลงานเพลงคุณภาพที่กลายเป็นที่จดจำ และเป็นพลังใจให้กับแฟนคลับมากมาย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการโรส ชื่อนี้มีที่มา“ตอนแรกแม่จะตั้งว่า Ruth (รูท) เพราะว่าพ่อแม่เป็นคริสเตียนอยู่ในโบสถ์ แล้วจะมีชื่อในคัมภีร์ อย่างพี่ชายโรสก็ชื่อ เดวิด มาจากกษัตริย์เดวิด แม่ก็อยากจะให้เราชื่อรูท แต่เหมือนคุณแม่มีเพื่อนชื่อรูทเยอะ เลยตั้งชื่อว่า โรส ก็แล้วกันลูกจะได้สวย ก็เลยออกมาเป็นโรส แล้วโรสก็ไม่ชอบชื่อตัวเองเลยตอนเด็ก ๆ เพราะว่าโรสเป็นคนที่ออกเสียงชัด เพราะฉะนั้นมันเป็น ร.เรือ มันเป็น ส.เสือ เราจะต้องออกว่าโรสทุกครั้ง แล้วรู้สึกว่าพอแนะนำตัว ชื่อโรส มันขัดกับลุค เราไม่ชอบเลย จนกระทั่งจบ ม.3 จะต้องไปเรียนต่อ ม.4 แล้วก่อนที่จะไปเข้าโรงเรียนใหม่ เราได้ไปเข้าค่ายที่หนึ่ง แล้วคนทั้งค่ายไม่มีใครรู้จักกัน ทุกคนต้องแนะนำตัวกันใหม่ 200 คน เราก็เลยคิดว่าชื่ออะไรดี ใช้ชื่อ โอ๊ต แล้วกัน แล้วก็เข้าโรงเรียนไปด้วยชื่อโอ๊ต พอจบ ม.ปลาย ก็เป็นนักร้อง เราก็ยังได้ยินเพื่อน ๆ หรือว่ารุ่นน้อง ยังเถียงกันว่า คนนี้ไงรุ่นพี่ที่เป็นนักร้อง เค้าชื่อโรส ไม่ใช่เค้าชื่อโอ๊ต เธออย่ามาเถียงฉัน ก็ต้องขอโทษที่สร้างความแตกแยกด้วยนะคะ ชื่อจริง ๆ ชื่อโรสค่ะ แต่ชื่อโอ๊ตก็ได้ เรียกได้ทั้งคู่ค่ะ”โรส ตัวตน และการยอมรับจากคนในครอบครัว“จริง ๆ เวลาอยู่บ้านก็เป็นตัวโรสเลยค่ะ ไม่ได้มีการต้องใส่กระโปรง คือเราก็เป็นแค่ตัวเราที่ผมยาวแค่นั้น บุคลิกเราก็ยังเป็นแบบนี้แหละ ขี้เล่น พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีอะไรที่ฝืนค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ โรสคิดว่าเค้าก็รู้มาตลอด ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นยังไง เพียงแต่ว่ามันอาจจะพูดไม่ได้ความเป็นผู้ใหญ่ บางคนเค้าก็รู้สึกว่าไม่พูดดีกว่า ต่อให้รู้ก็เงียบ ๆ ไว้ดีกว่าการเปิดใจ ก็เคยได้คุยกับคุณแม่ พอเราโตมาประมาณนึง เราก็จะคิดว่ายังไงเราก็คงต้องแต่งงาน ก็คงต้องมีครอบครัว เพราะว่าโลกมันเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาประมาณหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราเคยพยายามที่จะคุยกับผู้ชาย แต่พอคุยไปมันก็ไม่ใช่ เราก็เลยคุยกับคุณแม่ ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโต เค้าก็จะบอกว่าไม่ได้นะ มันไม่โอเคหรอก เพราะว่าเราจะต้องมีครอบครัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่เค้าก็ได้รับสาย คล้าย ๆ กับฮอทไลน์ ที่ต้องคุยปรึกษาปัญหา แล้วเค้าก็จะได้รับหลาย ๆ สายที่จะโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้าง ปัญหาครอบครัวบ้าง ปัญหางานบ้าง แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แล้วก็เลยได้คุยกัน แล้วเค้าก็บอกเราว่า แม่ก็เริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามันก็มีหลายสายที่โทรเข้ามา แล้วก็มีบางสายที่เป็นลูกที่แม่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นผู้หญิงได้ไหม ทีนี้พอคุณแม่อยู่ตรงกลาง เค้าก็เลยเริ่มได้มองเห็นมุมที่ทั้งคู่มาบรรจบกันว่า ไม่ได้มีใครที่เลือกที่จะเป็นแบบนี้ เหมือนกับที่เราเลือกไม่ได้ว่า เราจะเกิดเป็นผู้หญิงหรือเกิดมาเป็นผู้ชาย โรสก็เลยได้คุยกับคุณแม่ และบอกเค้าตรง ๆ ว่า ก็รู้ว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่โอเค แต่ว่าถ้าโรสไม่ได้คุยกับแม่แบบนี้ เราก็อาจจะไม่ได้คุยกันเลย โรสก็อาจจะไม่มีวันที่จะได้คุยเรื่องไหนกับเค้าอย่างจริงใจ พอได้คุยกันจริง ๆ เวลามีอะไรเราก็สามารถที่จะคุยกับเค้าได้มากขึ้น เหมือนกำแพงที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้ว”โรส ศิรินทิพย์ กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“ตอนนั้น ม.5 ค่ะ เป็นครั้งแรกที่โรสเดินเข้าตึกซีมิค เพราะว่า พี่ฟั่น เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่แกรนด์ แล้วเราอยู่โบสถ์เดียวกัน แล้วเค้าก็แนะนำโรสให้กับโปรดิวเซอร์คนอื่น ๆ ว่าน้องคนนี้ร้องเพลงเพราะ โรสก็เลยได้ไปอัดเสียง แล้วพี่ปั่นก็เอาไปส่งให้พี่ ๆ โปรดิวเซอร์ฟัง หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเข้าไปตอน ม.5 ค่ะโรสคิดว่าความพิเศษที่ทำให้คนในโบสถ์ร้องเพลงได้ เป็นเพราะว่าอย่างโรสเองเกิดมาก็เป็นคริสต์เลย ไม่เคยเป็นศาสนาอื่น แล้วก็การอยู่ในโบสถ์มันจะมีช่วงที่ต้องนมัสการ คือเป็นช่วงที่ต้องร้องเพลง เราก็เลยโตมากับเสียงเพลง ทุกวันอาทิตย์เราต้องโดนบังคับให้ได้ร้องเพลงเพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนซึมซับเข้าไปในโสตประสาทของเรา เราต้องร้องเพลงได้ แล้วก็เล่นดนตรีได้ เพื่อที่จะสามารถเล่นดนตรีในโบสถ์ได้จริง ๆ นักร้องมันคือ ฝันที่ไม่กล้าฝันของโรสค่ะ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ จนมาถึงโต โรสเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดี และตอนเด็ก ๆ เราจะมีตัวอย่างให้เห็นว่านักร้องตอนนั้น พี่ทัช ทาทา พี่มาช่า แต่ละคนเค้าหน้าตาดีกันหมดเลย เราก็เลยคิดว่าตัวเองอยากทำอะไรในวงการเพลง แต่คงไม่ถึงกับเป็นนักร้อง อาจจะเป็นแค่นักดนตรี หรืออะไรก็ได้ แต่ถามว่าชอบร้องเพลงไหม เราชอบมาก ชอบฟังเพลงแล้วก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่บนเวที แต่ว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เลยคือ การร้องเพลงต่อหน้าคนพอช่วงเรียนมัธยม ตอนนั้นเล่นดนตรีแล้วร้องเพลงกับเพื่อน แล้วเพื่อนบอกว่าเสียงดีนี่นา ไปเป็นนักร้องไหม เราก็เลยลองไปสมัครประกวดร้องเพลง จำได้เลยครั้งแรกที่ไปประกวดแล้วดีใจมากที่ได้เข้ารอบ คือโครงการของพี่แอมดา ตอนนั้นประกวดเพลงเพื่อเธอตลอดไป แล้วเราจำได้ว่าติด 12 คนสุดท้าย ซึ่งดีใจมากเพราะว่า 12 คนนี้ ตอนที่เค้าเรียกเข้าไปที่สตูดิโอ ตอนนั้นมีผู้หญิงแค่ 2 คน แล้วโรส เด็กที่สุด เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนมัธยม แล้วอีกคนที่เป็นผู้หญิง ดูแล้วเค้าต้องเป็นนักร้องกลางคืนที่ช่ำชอง แล้วทุกคนดูเก่งมาก ตอนที่นั่งซ้อมก่อนเข้าอัดรายการ เราก็ร้องแล้วก็ฟังเสียงคนอื่น ก็แอบคิดว่าเราสู้ได้ พอเข้าห้องอัด เจอกรรมการ กลายเป็นว่าเราลืมทุกอย่างเลย เพราะเป็นคนที่ไม่มั่นใจ แล้วพอเห็นคนจ้องมองเรา มีคนตัดสินเราว่าจะต้องหักคะแนนตรงนี้ตรงนั้น แบบนั้นเราจะทำไม่ได้เลยวันนั้นก็ตกรอบเลยค่ะ เพราะร้องแล้วลืมเนื้อ แล้ววันนั้นมันก็ทำให้ความมั่นใจดิ่งลงข้างล่างอีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายพอพี่ฟั่นเรียกเข้ามาที่แกรมมี่ แล้วก็พี่ ๆ ก็ตกลงจะให้เป็นศิลปิน เราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้ละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันน่าจะไม่รอด ก็เลยเริ่มไปร้องเพลงกลางคืน เริ่มสมัครไปร้องเพลงตามร้านอาหาร เพราะเราเล่นกีต้าร์ได้อยู่แล้ว ก็ไปหัดเพื่อที่จะได้ร้องเพลงต่อหน้าคนได้ จนเรารู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองทำได้ เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่มาดูเฉย ๆ แบบคนที่นั่งตามร้านอาหาร เราจะทำได้ แต่ถ้าต้องประกวด หรือมีกรรมการมาจับจ้อง แบบว่าหักคะแนนตรงนี้ เสียงปลิ้นตรงนี้ อะไรแบบนี้โรสทำไม่ได้”เพลงสร้างชื่อ ของ โรส ศิรินทิพย์“จริง ๆ เพลงสร้างชื่อของโรส คือ เพลงก้อนหินห้อนนั้น แต่ไม่ใช่เพลงแรกนะคะ เพราะเพลงแรกชื่อเพลง TOMORROW อยู่ในอัลบั้มรวม ซึ่งตอนแรกอัลบั้มโรสใช้เวลาทำ 4 ปี ซึ่งพอไปฟังประวัติ พี่โบ สุนิตา พี่เค้าใช้เวลาทำ 2 ปี ซึ่งนานมาก ก็เลยมาคุยกับพี่ ๆ ทีหลังว่าทำไมในการทำอัลบั้มถึงนาน ก็ได้รู้เพราะเค้ากลัวว่า ถ้าเราออกอัลบั้มไปโดยที่เราไม่ได้มีนามสกุล หรือเหมือนมีอะไรติดท้าย มันจะกลายเป็นว่า ออกมาได้ยังไง ดังนั้นเค้าก็เลยลองให้โรสไปร้องคอรัสบ้าง หรือว่าให้ออกอัลบั้มที่รวมศิลปินใหม่ ตอนนั้นเป็น จีราฟ เรคคอร์ด โดย พี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล เป็นคนดูแล เป็นอัลบั้มที่เอาศิลปินใหม่มารวม ๆ กัน แล้วเพลง TOMORROW เป็นเพลงที่พี่ฉายเขียน ตอนที่อยู่อเมริกา แล้วเค้าก็เลยบอกว่าให้โรสร้องดีกว่า เพราะว่าตอนที่ออดิชั่นเข้ามา โรสมีทั้งเพลงสากล และเพลงไทย พี่ ๆ เค้าก็ลงความเห็นกันว่า โรสร้องเพลงสากลดีกว่า ก็เลยเอาเพลงนี้ให้โรสร้องส่วนเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ความจริงเลยตอนนั้นไม่ได้ตื่นเต้นที่รู้ว่า พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นคนแต่ง เพราะโรสเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย เราชอบร้องเพลงอย่างเดียว และไม่เคยมานั่งดูว่า เพลงนี้คนแต่งคือใคร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่กดดันว่านี่คือผลงานของพี่ดี้ ถ้ารู้ตอนนี้ว่านั่นคือพี่ดี้ น่าจะเกร็งค่ะ แต่ตอนนั้นไม่รู้เลย ก็เลยร้องไปด้วยความไม่ได้รู้สึกว่าเกร็งอะไร แล้วถ้าดู MV เพลงก้อนหินก้อนนั้น โรสจะโผล่มาสัก 3 วินาที ใส่หมวกผมยาวหลบอยู่หลังเปียโน เพราะฉะนั้นน้อยคนมากที่จะจำโรสได้ แต่คนจะจำได้เมื่อใส่หมวกเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้น เหมือนเป็นการสอนใช่ไหมคะ แต่พี่ดี้เค้าได้คิดไว้แล้ว คือตอนแรกที่เค้าได้ยินเสียงโรส ทุกคนคงนึกภาพไว้ประมาณว่าต้องผมยาว ต้องสวย ต้องดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอได้เห็นตัวจริงว่าเราอยู่ ม.5 พี่ดี้เค้าก็เลยใส่คำว่า เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา ก็เลยกลายเป็นว่า ฉันไม่ได้พูดเอง มันมีคนสอนฉันมาอีกที เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันก็เลยกลายเป็นเหมือนเพลงที่ใครก็ร้องได้ เพราะว่ามีคนบอกฉันมาอีกที ฉันไม่ได้พูดเอง”นักร้อง ที่เสียงร้อง เหมือนเสียงพูด และร้องเพลงไหน คนก็คิดว่าเป็นเพลงตัวเอง“ชอบมีคนบอกโรสว่า ทำไมร้องเพลงไหนก็เหมือนเพลงตัวเอง เพราะว่าโรสพูดกับร้องเหมือนกัน คือโรสไม่ได้พยายามที่จะทำอะไร อย่างสมมติว่าโรสเล่าเรื่อง โรสจะเล่าเรื่องนั้นเป็นเสียงของโรสเอง มันก็เลยทำให้คนอาจจะคิดว่าถ้าโรสร้องเพลงใครแล้วจะฆ่าต้นฉบับ จริง ๆ แล้วมันแค่เหมือนการที่เราพูดในแบบของเราเท่านั้นเองเพลงฟ้าเปลี่ยนสี จริง ๆ จะไม่ใช่เพลงของโรสนะคะ ตอนนั้น พี่นิ่ม สีฟ้า เป็นคนเขียน แล้วพี่นิ่มก็บอกว่า โรสมาร้องเพลงนี้หน่อย พอดีว่าเหมือนละครจะออนแอร์แล้ว แต่พี่แอมไม่สบาย โรสก็เลยได้รับเพลงนี้ไปเลย หรือเพลง มากกว่ารัก เพลงนี้ตอนนั้น พี่พจน์ อานนท์ ทำภาพยนตร์เรื่องซารังเฮเการักที่เกาหลี แล้วก็บอกว่า อยากให้โรสร้อง โรสว่าเพลงนี้ความเพราะของมันมีอยู่แล้วตั้งแต่พีทร้อง แล้วมันเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ แต่อาจจะด้วยความตอนที่โรสเอามาร้องใหม่ มันอยู่ในหนัง คนก็อาจจะได้ยินมากกว่าตอนที่พีทร้อง แต่ก็เคยมีคนที่มาบอกโรสว่า ทำไมฉันฟังรอบแรกแล้วฉันก็ร้องได้เลย มันเหมือนจิตวิทยา ที่จริง ๆ แล้ว เค้าได้ยินเวอร์ชั่นพีทมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้ดัง ทั้ง ๆ ที่ พีท เป็นคนที่ปูทางมาให้ก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับความรู้สึกว่า ตัวเองไม่ดัง“ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโต โรสไม่ได้มีความมั่นใจ แล้วเราไม่ได้หน้าตาพิมพ์นิยม เราก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ๆ แล้วยิ่งเพลงของเรามันเป็นที่รู้จัก เพลงก้อนหินก้อนนั้น คนรู้จักกันเยอะมาก แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มันไม่ใช่เพลงที่เปรี้ยงปร้าง แต่มันเป็นเพลงที่เวลามีคนฟังแล้วเค้าชอบ แล้วเก็บไว้ในใจ จนกว่าเค้าจะเจอคนที่เคยเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเค้า ถึงจะแนะนำกันปากต่อปากมากกว่า เพราะฉะนั้นโรสก็เลยไม่เคยรู้สึกว่าเพลงมันดัง คนน่าจะรู้จักบ้างแหละ แต่ว่าเราคงไม่ได้ดังขนาดนั้นจนกระทั่งโรสไลฟ์ Tiktok แล้วก็คุยกับแฟน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนมีคนหนึ่งมาบอกว่า หนูเคยเจอพี่โรสตอนนานมาแล้ว แต่หนูไม่กล้าคุยเพราะพี่ดังมาก โรสก็เลยประหลาดใจว่าตัวเองดังเหรอ จากนั้นทุกคนใน Tiktok ก็บอกว่าดังมาก แล้วเค้าก็มาพิมพ์บอกเรา ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองดัง ขอบคุณนะคะเพลงของโรสมีเยอะมาก โรสจำไม่ได้เลยว่าโรสร้องไปกี่เพลง และโรสก็ไม่คาดหวังว่ามันจะดัง เพราะว่าถ้ามันจะดังทุกเพลง ป่านนี้โรสคงไม่ได้เดินไปไหนแล้ว แต่เราก็ทำหน้าที่ของเรา นั่นคือร้องเพลง เราเป็นนักร้อง เราก็จะร้องทุกเพลงที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีที่สุด โดยที่จะไม่หวังเลยว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ เรารู้แค่ว่าเราทำดีแล้ว และเราก็พอใจ”ลุคนี้ ที่เป็นตัวตนของโรส ศิรินทิพย์“โรสว่าพี่ ๆ ทีมงานก็งงเหมือนกัน ตอนที่ต้องออกเพลงใหม่ ๆ เพราะว่าถ้าพูดกันตรง ๆ คือโรส ก็ไม่ได้เป็นสาวหวาน แค่ผมยาว แต่เราก็ไม่ได้อยากผมยาว แต่เวลาช่างทำผมเค้าก็อาจจะเคยชินกับการทำผู้หญิงผมยาว โรสเคยถามเค้าว่า อยากตัดผมสั้นได้ไหมคะ เพราะโรสไม่อยากผมยาวมันเสียเวลา พี่เค้าก็บอกว่าไม่รอด ผมหนูตัดไม่ได้เลยเพราะว่าผมหนูฟู แล้วผมหนูหนา ถ้าหนูตัดก็ไม่รอด แล้วพอผมยาว เค้าก็คิดต่อว่าจะทำไงกับลุค จะใส่กระโปรงเหรอ ใส่กางเกงเหรอหรือเสื้ออะไร แต่ด้วยความที่โรสค่อนข้างเป็นคนที่ง่าย ๆ ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็น่าจะได้ แล้วใส่หมวกอะไรง่าย ๆ ก็เลยกลายเป็นลุคที่สบาย ๆ ดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงง่ายโรสตัดผมสั้นตอนไปเรียนที่เกาหลีค่ะ เพราะว่าช่วงนั้นจะหายไป 3 เดือน จะไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว เราก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ฉันจะหายไป 3 เดือน ถ้ามันจะไม่รอด ก็ให้มันไม่รอดที่เกาหลีแล้วกัน แล้วถ้ากลับมาก็น่าจะผมยาวประมาณนึง ก็เลยตัด แล้วรู้สึกชอบ มันไม่ได้แย่อย่างที่เค้าว่า หลังจากนั้นก็เลยไม่ไว้ยาวอีกแล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับบทบาทการให้คำปรึกษา“ช่วงนี้มีคนมาขอคำปรึกษาเยอะค่ะ ก็มีทั้งเพื่อน มีทั้งแฟนคลับ ที่ส่งข้อความมาคุยบ้างเวลาไลฟ์ โรสก็พยายามที่จะให้คำแนะนำ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถามว่าประสบการณ์เรา บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ว่าข้อดีก็คือ โรสเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจโลกด้วยแหละ ก็เลยอาจจะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างกลาง ๆ หลัก ๆ ก็ปรึกษาความรัก แต่อาจจะเป็นความรักเชิงชู้สาว หรือบางทีก็ความรักในครอบครัวที่ไม่เข้าใจคนที่มีความฝัน สำหรับโรสคคิดว่า การทำผิดจะช่วยเราได้เยอะ การทำผิดจะช่วยทำให้รู้ว่า สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ใช่ จนกว่าเราจะเจอสิ่งที่ถูกก็คือทำให้เยอะที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำไมวันนั้นเราไม่ลองทำแบบนี้ ถ้าเราลองทำแบบนี้เราอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ ก็คือลองทำเยอะ ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ โรส ศิรินทิพย์“โรสชอบตอนที่ตัวเองมีความรัก แต่ว่าตอนที่โสดก็ไม่ได้แย่ โรสว่าตอนที่โสดก็เป็นตอนที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่อาจจะทำไม่ได้ตอนที่เรามีคู่ สิ่งไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าตอนที่มีความรักก็ดีอีกแบบหนึ่ง ที่เราสามารถมีคนที่หันไปแล้วเราปรึกษาเค้าได้ทุกเรื่อง ก็เลยคิดว่าถ้าให้เลือก ก็เลือกเป็นตอนมีความรักดีกว่าค่ะที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่ความรักพังมาก จำได้เลยวันนั้นต้องร้องเพลงเกิดมาแค่รักกัน แล้วโรรสร้องไม่ไหว พอใจมันคิดถึงเรื่องอะไร มันไปเลย ก็ค่อนข้างลำบาก แต่ว่าต้องปิดโหมด แล้วก็โฟกัสที่คนดูเท่านั้น เวลาอกหักฟังเพลงตัวเองบ้างค่ะ แล้วการฮีลลิ่งการกินก็ช่วยได้ แต่สำหรับโรส เพื่อนสำคัญ คนรอบข้างสำคัญที่สุด แล้วโรสก็ค่อนข้างโชคดีด้วยที่มีเพื่อนรักที่ดี มันทำให้โรสฮีลลิ่งได้เร็ว เพราะว่าเพื่อนจะรู้ว่าต้องพูดอะไร ต้องทำอะไร ถ้าสมมติว่ามันกำลังจะแย่ เค้าจะบล็อคความรู้สึกนั้น หนึ่งคนนั้นคือ คุณไดอาน่า จงจินตนาการ เค้าจะเป็นคนที่รู้เสมอ บางทีมีช่วงที่เรายุ่งกันทั้งคู่ แต่ถ้าโรสโทรไป เค้าก็จะรู้เลยว่าจะเอาอะไร รู้เลยว่าเราต้องการเค้าความรักตอนนี้ก็ลงตัวทีเดียวค่ะ เพราะว่ามันเหมือนเป็นเพื่อนที่ซัพพอร์ทกันทุกเรื่อง เป็นซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีมาก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเคมีมันตรงกันมาก ศีลมันเสมอกันมาก ๆ เลย มันเคยมีวันที่เราตื่นมาแล้วเราได้ยินเสียงเพลงในหัว ได้ยินอยู่สักพักเค้าก็ร้องออกมา เราก็แปลกใจว่าได้ยินมาจากไหน เค้าบอกว่าเค้าก็ได้ยินในหัวของเค้าเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันเท่จัง หรือว่าบางทีพูดอะไรก็พูดคำเดียวกัน จบประโยคเหมือนกัน มันใช่ไปหมดเลยความรักครั้งนี้ เราเจอกันตอนทำงาน ซึ่งก็ดูอยู่พักใหญ่ ๆ เลย เพราะว่าเราก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเค้าก็เหมือนกับมีท่าทีว่าชอบเราเหมือนกัน สมมติเราอยู่ใกล้เค้าเวลาทำอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึกว่ามันจะมีอาการบางอย่างที่มันทำให้คิดแบบนั้น แล้วเค้ามีความ Professional มาก นี่คือข้อแรกที่เรารู้สึกประทับใจในตัวเค้า แล้วก็เลยเริ่มศึกษากัน เริ่มพูดคุยกัน ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเค้าเก่งมาก ๆ คือตอนที่พี่ชายของโรสเสีย แล้วตอนนั้นทั้งบ้านงงไปหมด เค้าเป็นคนบอกให้เราทำแบบนี้ ไปที่เขต ไปแจ้งเรื่องก่อน เหมือนกับเค้าช่วยทุกคนไว้ได้เลย เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าเก่งมากเลย แล้วก็ประทับใจเค้ามากขึ้นด้วยทำงานกับคนรัก มีปัญหาบ้างไหม มีบ้างค่ะ เพราะว่าความต่างของเราคือ โรสจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ แล้วเป็นคนที่เฉย ๆ มาก มีอารมณ์ศิลปิน ลงรูปเราก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ถ้ารู้สึกอยากจะลงเราก็ค่อยลง แต่เค้าจะบอกว่าไม่ได้ ด้วยความที่เค้าเป็น PR ด้วย กลายเป็นว่าอาชีพก็ส่งเสริมกัน เพราะเค้ารู้ว่าการโปรโมทเราควรจะทำอะไรยังไง เค้าก็จะคอยบอกว่าลงงานด้วยค่ะ ไปงานมาถ่ายรูปแล้วก็ลงด้วยค่ะ แล้วเค้าก็จะคอยตามเก็บรูปโรส เวลาไปงานต่าง ๆ หรือว่าไปเจอศิลปินดารา ก็ถ่ายลง ซึ่งเค้ารู้แหละว่าเราไม่ชอบ แต่ว่าตอนนี้เราไม่มีบริษัทแล้ว เราก็ต้องทำ เพื่อที่คนจะได้เห็นเรา ซึ่งตอนแรกโรสก็ไม่อยากทำเลย แต่พอเราเริ่มทำตามที่เค้าบอก ก็กลายเป็นว่า คนรู้จักเราเยอะขึ้นจริง ๆ แล้วงานก็เข้ามามากขึ้น เราก็เลยเริ่มเชื่อใจกัน”สีสันแรงบันดาลใจจาก โรส ศิรินทิพย์“ความสุขของโรส โรสคิดว่าจริง ๆ มันก็มีเยอะเนาะ การร้องเพลงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คือโรสชอบร้องเพลงจริง ๆ แล้วก็ชอบทำให้คนมีความสุขกับเสียงเพลงของโรสจริง ๆ แล้วการได้อยู่กับคนที่สบายใจ ก็เป็นความสุขมาก ๆ ด้วยค่ะโรสอยากให้ทุกคนมองปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคต อย่าไปมองอดีต โรสว่าหนึ่งสิ่งที่ทำร้ายหลาย ๆ คน ตลอดมาคือการมัวแต่คิดถึงอดีต ถ้ามัวแต่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่โอเค ก็มองถึงชีวิต ณ ปัจจุบัน แล้วก็มองถึงอนาคตว่า เราอยากเป็นแบบไหน เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วก็ทำตัวเองให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้ มีความสุขเยอะ ๆ กับคนรอบข้าง มองสิ่งรอบข้างที่เรามี และชื่นชมในสิ่งที่เรามีค่ะ” - โรส ศิรินทิพย์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิตทั้งนอกและในคอร์ท ของ “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักสู้ ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ครองแชมป์แบดมินตันระดับโลก

27 ก.พ. 2025

เรียนรู้ชีวิตทั้งนอกและในคอร์ท ของ “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักสู้ ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ครองแชมป์แบดมินตันระดับโลก

“ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็อยากให้ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ มีระเบียบวินัยในตัวเอง รับผิดชอบตัวเองให้มาก ๆ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพอที่จะทำได้ ถ้าเรารักในสิ่งนั้นจริง ๆ”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญระดับแชมป์โลก “ปอป้อ ทรัพย์สิรี” นักกีฬาแบดมินตันหญิงไทยคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์มาแล้วทุกประเภท และประเภทคู่ผสมที่เธอได้รักษามาตราฐานของเธอเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม จนไต่ขึ้นสู่มือวางอันดับ 1 ของโลก แต่กว่าจะมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ และก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางสายแบดมินตันได้นั้นไม่ง่าย เธอต้องผ่านอุปสรรคทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ต้องเสียสละชีวิตวัยรุ่นและเวลาส่วนตัว เพื่อทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมแบดมินตัน เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการการแข่งขัน และรางวัลล่าสุด ของนักตบลูกขนไก่“ล่าสุดเพิ่งได้เหรียญทองแดง เป็นการแข่งขันประเภททีมผสมชิงแชมป์เอเชียค่ะ ซึ่งแมตช์นี้ก็มีความยาก ด้วยทีมเราก็ไม่ได้เป็นทีมที่ดีที่สุด แต่ก็ถือว่าดีสำหรับเราในตอนนี้ ก็พยายามทำหน้าที่ให้เต็มที่ ให้มันดีที่สุดในทุก ๆ แมตช์ที่ได้ลงใน 1 ปี ป้อจะมีแข่งประมาณ 16 Tournament อย่างต่ำเดือนละครั้ง ช่วงที่แข่งถี่สุด ๆ คือตอนโควิด ตอนนั้นไปแข่ง 3 เดือนไม่ได้กลับไทยเลย ตีแบดกันทุกอาทิตย์ แล้วก็บินไปโซนยุโรป กลับมาเอเชีย แล้วก็ไปยุโรป ถึงจะกลับไทย ซึ่งการเดินทางบ่อยมีปัญหาต่อนักกีฬาไหม เรียกว่าต้องปรับตัวหมดทุกคน แต่ถ้าของป้อไม่มีปัญหา สมมติว่าเราไปยุโรป เราเป็นคนนอนได้ง่ายอยู่แล้วเพราะว่าเวลามันช้ากว่าไทย แต่พอกลับมาเอเชียช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มเจ็ทแล็ก บางทีก็ต้องใช้ยาช่วยกันบ้างเรื่องซ้อมก็อาทิตย์ละ 6 วัน ที่จริงมันก็คือ 5 วันครึ่ง เค้าจะหยุดวันอาทิตย์ครึ่งวัน กับจันทร์ทั้งวันแล้ว 1 วัน ต้องซ้อม 5-6 ชั่วโมง เช้า 3 เย็น 3 ส่วนวันว่างบางทีก็นอน ดูหนัง กินข้าว พักผ่อนไปค่ะ”จุดเริ่มต้น ของนักตบลูกขนไก่“ชื่อ ปอป้อ อากงเป็นคนตั้งค่ะ มันมาจากคำว่า เป๊าเป่า เป็นภาษาจีนที่แปลว่า เบบี้ คือทางพ่อของฝั่งแม่ป้อเป็นคนจีน 100% ส่วนทางพ่อก็เป็นครึ่งจีนครึ่งไทย แล้วครอบครัวป้อทำธุรกิจเปิดร้านทอง ขายเพชรขายทองค่ะความฝันตอนเด็ก ๆ ป้อไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นนักแบดมินตัน แต่ด้วยคุณพ่อกับคุณแม่ชอบเล่นแบดมินตัน แล้วก็เป็นนักกีฬาที่เล่นให้กับทางมหาวิทยาลัย ก็เลยเอาป้อไปออกกำลังกายเฉย ๆ แล้วตรงนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ป้อเริ่มเล่นแบดมินตัน แต่เราก็ตีแค่ตีแบดอยู่หน้าบ้าน หรือไปตีที่คอร์ทเพื่อออกกำลังกายกับพ่อแม่ แต่การเป็นนักแบดมินตันของป้อ มันเริ่มจากการที่ลงแข่งเลย ไปแข่งที่ตรังด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนอุดรธานี การแข่งครั้งแรกไปใต้เลย ผลตอนนั้นก็แพ้ 11-0 ,11-1 หรือได้แต้มเดียวก็มี ซึ่งที่แม่พาไปก็เพราะอยากให้ลอง แล้วที่บ้านก็สนับสนุนอยู่แล้ว ถ้าอยากเล่นกีฬาก็เล่นเลยเต็มที่ พอเราแพ้ครั้งนั้น ก็เลยอยากจะกลับมาลองฝึกซ้อมแบบตามตารางจริงจังดูว่า เราจะไปได้ไกลขนาดไหน ก็เลยซ้อมหลังเลิกเรียน 2 ชั่วโมง แล้วก็พักผ่อน ซ้อมแบบนั้นมาเรื่อย ๆ จนอายุ 14 ปี ป้อก็เล่นข้ามรุ่น ไปแข่งรุ่นอายุ 15 ปี แล้วเราได้แชมป์ พออายุ 15 ปี ได้แชมป์รุ่น 18 ปี ก็เลยติดทีมชาติ ตั้งแต่อายุ 15 ปี ซึ่งเป้าหมายแรก เชื่อว่าทุกคนก็อยากจะติดทีมชาติอยู่แล้ว แล้วพอเราเริ่มมีเป้าหมายคือเราติดทีมชาติแล้ว เราก็อยากจะได้แชมป์โลกเรา อยากจะเป็นมือหนึ่งของโลก เราอยากจะคว้าแชมป์เวิลด์ทัวร์กี่รายการ เราก็เริ่มแพลน เริ่มตั้งเป้าหมายเอาไว้ทักษะที่สำคัญของแบดมินตัน เป็นเรื่องของเบสิคค่ะ ป้อรู้สึกว่าทุกกีฬา เรื่องเบสิคสำคัญที่สุด และแต่ละกีฬามีการเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน ถ้าเบสิคใครดี มันสามารถต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ เช่น แบดมินตัน อาจจะมีเรื่องของการจับไม้ และการวิ่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมันก็จะเหมือนกับจับไม้หน้าเดียว ตีได้แค่โฟร์แฮนด์อย่างเดียว แต่ถ้าต้องตีแบ็คแฮนด์ แล้วตีไม่ทันอย่าง ถ้ามันไม่ได้ฝึกการหมุนไม้ พลิกไม้ มันก็พัฒนาได้มากขึ้น ทำให้เราเล่นเก่งขึ้นได้ค่ะ”ปอป้อ กับการรับมือกับความผิดหวัง“กว่าจะมาถึงวันนี้ ระหว่างทางมันก็มีผิดหวังเยอะค่ะ บางทีเรารู้สึกว่าตัวเองตั้งใจซ้อมมาก ๆ แล้วอยู่ดี ๆ เราแพ้เกม 3 บางทีเราก็มีเฟลไปบ้าง ว่าทำไมเราทำไม่ได้ อุตส่าห์ตั้งใจซ้อมมาเยอะมาก ทำไมแค่นี้ทำไม่ได้เวลาผิดหวัง ป้อก็คุยกับครอบครัว พ่อแม่ แล้วเพื่อน ๆ ก็ให้กำลังใจกัน เพราะว่าสุดท้าย แบดมินตัน มันมีการแข่งขันอยู่ตลอด เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราเสียใจได้ไม่นาน มันต้องมูฟออนต่อไปเรื่อย ๆ เวลาคุยก็เป็นเชิงระบายความรู้สึกเราออกมา แล้วคนรอบข้างก็จะคอยปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่แมตช์หนึ่ง ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจออยู่แล้วในนักกีฬา”เป้าหมายต่อไป ของ ปอป้อ“แมตช์ที่ภูมิใจที่สุดของป้อ ก็การเป็นแชมป์โลกปี 2021 ค่ะ ตอนนั้นแข่งที่สเปน ค่ะ ก็คือรู้สึกว่าเอ๊ยเราก็ทำได้นะ แล้วปีนั้นคือเป็นแชมป์โลกแล้วก็ได้ขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกด้วยในปีเดียวกัน เลยรู้สึกว่าเราทำได้ มันเป็นเป้าหมายของเราอยู่แล้วที่เราอยากจะได้ และเป้าหมายต่อไป ป้อก็อยากได้เหรียญโอลิมปิกค่ะจากโอลิมปิก 2024 ก็มีนั่งวิเคราะห์ว่า ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ณ สถานการณ์ตอนนั้นเราอาจจะแก้ปัญหาได้ไม่ดีพอ หรือว่าอะไรก็ตาม คือกีฬามันจะมีเรื่องของไหวพริบแค่เสี้ยววินาที เพราะเราวางแผนไปเพื่อจะไปเล่นกับเค้า พอเค้าแก้เกมมา เราก็ต้องแก้กลับ แต่ถ้าเราตั้งหลักไม่ทัน แป๊บเดียวแต้มมันไหลไปแล้วแน่นอนว่าในยุคนี้มันจะมีคอมเมนต์จากคนในโลกโซเชียล แต่ป้อเป็นคนที่ไม่เทคคอมเมนต์ลบอยู่แล้ว ถ้าเรารู้สึกว่าอ่านแล้วรู้สึกไม่ดี เราก็ไม่ต้องอ่าน ก็อันไหนที่มันดี ก็เอาเป็นกำลังใจ และจะชอบรับกำลังใจจากคนรอบข้างดีกว่า คนที่เราใกล้ชิด แล้วเค้ารู้ว่าเราทำอะไร คือกว่าเราจะมาถึงตรงนี้ เบื้องหลังไม่มีใครรู้ ทุกคนจะดูแค่หน้างาน ณ วันนั้น ถ้าชนะก็ชม ถ้าแพ้ก็ด่า เป็นเรื่องปกติความตั้งใจจากนี้ ป้อวางไว้อีก 4 ปีข้างหน้า โอลิมปิก ที่ ลอสแอนเจลิส ป้ออยากจะไปอีกครั้งป้อจะพยายามทำให้เต็มที่ และตอนนี้ก็พยายามรักษาร่างกายตัวเอง แล้วก็ Maintain ร่างกายทุกอย่างให้มันดีที่สุดค่ะ”สิ่งที่นักกีฬา กลัวที่สุด“สำหรับนักกีฬา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดเลยก็คือการบาดเจ็บ ซึ่งป้อเคยเจ็บหนักสุด ๆ คือปี 2017 ค่ะ ที่ซีเกมส์รอบชิงแมตช์สุดท้ายพอดี ก็คือกระโดดลงมาแล้วเข่าบิด เอ็นไขว้หน้าขาด พักไป 8 เดือน ต้องผ่าตัด กายภาพ หลายเดือนเลยป้อไม่ได้เดิน 3 เดือน แต่พอเดินเริ่มลงน้ำหนัก เดือนที่ 4 แล้วเดือนที่ 5 แข่งเลย ตอนนั้นต้องพักฟื้น 8 เดือน กว่าจะหายจริง ๆ คือ 1 ปี จนตอนนี้ก็ปกติแล้ว นั่ง วิ่ง เล่นแบดมินตัน ทำได้ทุกอย่างทุกท่า ไม่ได้รู้สึกติดอะไร ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ”เปิดตารางซ้อม พร้อมทริคการเป็นนักแบดมินตัน“ทุกวันนี้ก็ซ้อมเป็นลูทีนอยู่แล้ว ต้องรับผิดชอบตัวเอง ปกติก็จะซ้อม 8 โมงครึ่งถึง 11 โมง แล้วก็ซ้อมอีกทีบ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งแบดมินตันใช้ความแข็งแรงของทุกส่วนทั้ง แขน ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ลำตัว แม้กระทั่งขา มันใช้ทั้งตัวจริง ๆ แล้วแบดมินตันมันใช้ข้อมือ แต่ก็จะคนละรูปแบบกับเทนนิส อาจจะใช้อีกวงหนึ่ง ซึ่งมันคนละวงกันซ้อมทุกวันก็มีเบื่อบ้างค่ะ แต่บางทีเบื่อป้อก็จะขอพักหรือว่าขอไปเที่ยวบ้างสัก 2-3 วัน ซึ่งถ้าได้เที่ยวนี่คือไม่ออกกำลังกายนะคะ แล้วมันจะเหมือนได้เติมพลังให้ตัวเอง เรื่องอายุในการเป็นนักแบดมินตัน ในอยู่ที่ว่าใครรักษาร่างกายได้ดีกว่ากัน ที่จริงอายุสูงสุดเคยเห็นถึง 40 ปี นะคะ แต่ก็อาจจะทรมานเกินไป ถ้ายังจะเล่นให้ได้อันดับโลก ซึ่งนักกีฬาส่วนใหญ่อายุก็จะอยู่ประมาณ 35-36 ปี หรือถ้าใครรักษาร่างกายดี ๆ หน่อยก็ 38 ปี แต่มีไม่เยอะค่ะเรื่องน้ำหนัก ไม่มีผลค่ะ บางคนอาจจะตัวใหญ่ น้ำหนักเยอะแต่มือดี คนสูงกับคนไม่สูง ก็จะมีสรีระของแต่ละคน และจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ไม่เหมือนกัน แล้วแบดมินตัน มันเป็นกีฬาลดความสามารถด้วย สมมติว่าคนตัวเล็กอาจจะชอบแบบตีเร็ว ๆ คนตัวสูงบางทีก็เคลื่อนตัวช้า แต่ถ้าเค้าได้ตบสูง ๆ เค้าจะชอบ แล้วเราจะทำยังไงให้เค้าไม่ได้ตบโดยในการซ้อมจุดเหนื่อยของป้อวัดด้วยจากแบบชีพจร คือป้อจะมีจุดที่เหมือนเราไปสุดแล้ว จนเรารู้สึกว่าเราไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่จุดนี้มันสามารถขยับได้ทีละนิด แต่ก่อนอาจจะแบบ จาก 1 ไป 4 ได้ พอมันไปถึง 4 ขึ้นไป 10 แต่หลังจากนั้นมันอาจจะไม่ได้ขึ้นไป 13 เลย มันจะค่อย ๆ ขึ้นแบบช้า ๆ แต่มันก็จะแล้วแต่คนเวลาแข่งมันก็เจอความกดดัน หรือความคาดหวังของใครหลาย ๆ คน แต่มันก็อยู่ที่ตัวเราด้วย ว่าเราสามารถขจัดมันได้รึเปล่า เพราะสุดท้ายนักกีฬาทุกคนมันต้องเจอทั้งแรงกดดัน หรือความคาดหวังอยู่แล้ว แล้วตัวเราเองก็คาดหวังกับตัวเราเองอยู่แล้ว แล้วบางทีเราไปเอาความคาดหวังคนอื่นมาใส่ด้วย มันก็อาจจะทำให้แย่ขึ้นไปอีกป้อเคยไปปฏิบัติธรรมด้วยนะคะ เพราะว่าบางทีที่แข่ง เวลาเรามองลูก ถ้าเรามีสมาธิ มีสติมาก ๆ เราจะเห็นลูกเป็นภาพสโลว์โมชั่น เราจะเห็นตั้งแต่รูปกระทบจากฝั่งโน้นมาเลย แต่เราจะมองแค่ลูกอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องมองมุมกว้างด้วย ต้องรู้ว่าจุดไหนเป็นช่องว่างที่เราจะตีไปให้ได้แต้ม มันต้องมองเปิด ๆ เพื่อวางแผนการเล่นสำหรับป้อมองว่า เล่นเดี่ยว ยากกว่า เล่นคู่ เพราะว่าเล่นคนเดียว รับผิดชอบคนเดียว แล้วก็ต้องมีระเบียบของตัวเองคนเดียวจริง ๆ เพราะแบดมินตันจากสมัยก่อนจนถึงสมัยนี้ มันเหมือนอัพเกรดขึ้นไปเยอะมาก แต่ก่อนมันอาจจะแบบเราช้า แต่เดี๋ยวนี้มันทั้งหนัก ทั้งเร็ว ทั้งทน ใครอึดกว่าได้เปรียบ แต่ก่อนอาจจะต้องมีทักษะแค่สองอย่าง แต่ตอนนี้ 4-5 อย่างต้องมีในคนเดียว แต่ด้วยความที่ต้องดีคู่ เราซ้อมเยอะเลยรู้ใจกัน ลูกนี้ใครตี ลูกนี้ใครไม่ตี มันจะรู้กันอยู่แล้ว และด้วยสไตล์การเล่นที่มันคล้าย ๆ กัน การเล่นมันก็จะดูเข้าขากัน”เสียงเชียร์ กับการแข่งขันของนักกีฬา“ก็มีบ้างค่ะที่เสียงเชียร์มีผลต่อการเล่น เวลาเราตีโต้ไปก็มีร้องเชียร์ดังขึ้น แล้วเวลาแข่งกันเอง ก็อาจจะมีแบบการกวนกันอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ที่ว่าใครควบคุมอารมณ์ได้ บางทีกวนแล้วเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจอะไร ก็ไม่มีผล แล้วบางทีอาจจะไม่ใช่ฝั่งตรงข้าม แต่อาจจะเป็นกรรมการก็ได้ คือสมมติว่าเราตีไป เราเห็นว่าลูกไปโดนตัวฝั่งโน้นแล้วมันออก แต่กรรมการไม่เห็น แล้วกรรมการให้แต้มฝั่งโน้น เราก็จะงงว่าไม่เห็นเหรอว่าโดน แต่กรรมการก็เค้าตัดสินไปแล้วไงว่าเราเสียแต้ม ซึ่งกล้องมันดูได้แค่ลูกลงกับลูกออก ลูกโดนตัวดูไม่ได้”จากนักแบดมินตัน สู่เส้นทางสายบันเทิง“ที่เลือกเรียน นิเทศศาสตร์ เพราะป้อมองว่ามันเป็นความรู้รอบตัว แล้วมันง่ายดี ป้อเรียนปริญญาตรี PR ต่อปริญญาโท MC พอได้เรียนก็รู้สึกว่าตัวเองกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูดมากขึ้น ตั้งแต่เรียนจบมา เพราะตอนแรกคือถ้าถามคำตอบคำเลย ไม่ได้มีพูดต่อส่วนช่องยูทูบ ก็เหมือนอยากให้ทุกคนเห็นในมุมที่ไม่มีใครเห็น เวลาเราไปแข่ง แล้วเราทำอะไรบ้าง หรือว่ามุมพักผ่อนของนักกีฬาต่างชาติที่ป้อสนิทด้วย ว่าเค้าเป็นคนยังไง ซึ่งบางทีคนดูเค้าอยากรู้ จากคนขี้อาย แต่พอได้มาลองทำยูทูบเบอร์ การพูดมันก็ง่ายขึ้น ป้อรู้สึกว่ามันเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งที่ป้อได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้พูดกับตัวเอง มันเลยเป็นการผ่อนคลายไปด้วย”เปิดหัวใจ ส่องสเป็ก ของ ปอป้อ“ตอนนี้ไม่มีค่ะ โสดอยู่ โฟกัสที่เรื่องงาน และป้อไม่เคยอกหักแรง ๆ ค่ะ อาจจะมีเคยคุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงอะไรลึก เพราะสุดท้ายด้วยแบดมินตันเราต้องซ้อมทั้งวันจริง ๆ ไม่มีเวลาเลย แล้วส่วนใหญ่นักแบดมินตัน ก็จะมีแฟนเป็นนักแบดมินตันกันเองซะส่วนใหญ่ถ้าสเป็กของป้อ ก็ชอบคนน่ารัก มีเสน่ห์ พูดเก่ง เข้ากับเราได้ ถ้าคุยเข้ากันได้ก็โอเค ส่วนเพื่อนสนิทมีประมาณ 2 คนค่ะ ที่สนิทกันจริง ๆ และคุยได้”นักกีฬา กับสิ่งที่ต้องแลก“ก็ต้องเสียสละเรื่องเวลา ที่เราแบบไม่ได้เจอเพื่อน แต่ป้อไม่คิดว่าเราเสีย เพราะว่าการเล่นกีฬามันมีอายุการใช้งานของมัน ถ้าวันหนึ่งเราเลิกไป เราอยากจะไปเที่ยว ไปพัก มันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ ณ ตอนนี้ เราโฟกัสตรงนี้ เราะว่าเรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะแบดมินตัน แพลนในอนาคตก็เคยมีคิดบ้างว่า บางทีอยากเปิดคาเฟ่ หรือว่าขายของออนไลน์ หรือว่าเปิดร้านอาหาร ก็มีคิดแต่มันก็ยังไม่ได้เจาะจงอะไร ก็คิดไปเรื่อย ๆ ปรึกษาเพื่อนไปเรื่อย ๆ”ป้อป้อ และความภาคภูมิใจของตัวเอง“ถ้ารู้ตัวว่าเราชอบอะไร แล้วพอทำสิ่งนั้นแล้วเรามีความสุข ก็อยากให้มุ่งมั่นทุ่มเทให้เต็มที่เลย เพราะว่าความสำเร็จ ป้อรู้สึกมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าเราทำแล้วเรามีความสุข เราจิตใจดี ร่างกายดี ทุกอย่างดี มันประสบความสำเร็จอยู่แล้วทุกวันนี้ป้อรู้สึกดีใจ และภูมิใจในตัวเองที่เราอดทน เรามุ่งมั่น เรารับผิดชอบตัวเองได้มากขนาดนี้ แล้วทำให้เรามีทุกอย่างวันนี้ได้ก็เพราะกีฬานี้ และป้อรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ได้นำเสนอในทุก ๆ เวลาเราออกไปแข่ง เราทำเพื่อประเทศไทยจริง ๆ ไปทำเพื่อชาติ แล้วพอเราได้กลับมา มันก็เป็นชื่อเสียงของประเทศเรา ป้อก็เลยรู้สึกภูมิใจในตรงนี้ แล้วก็เหมือนเป็นชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลและครอบครัวด้วยทุกวันนี้ความสุขของป้อ ก็คือการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วได้เป็นตัวเองที่สุด เหมือนเป็นสนามของตัวเองในทุก ๆ อย่างที่เราทำ แล้วเรารู้สึกว่าเราทำทุกอย่างด้วยความเต็มที่ มุ่งมั่น ไม่ท้อ อดทนทุกอย่าง จนมาวันนี้เรามีความสุขแล้วค่ะ”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ปอป้อ“ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ว่าจะแบดมินตัน หรือว่ากีฬาอื่นไร หรือแม้แต่อาชีพทุกอย่าง ถ้าสมมติรู้ว่าเราชอบ เราทำแล้วเรามีความสุข ก็อยากให้ทุ่มเทมันให้เต็มที่ แล้วก็มีระเบียบวินัยในตัวเอง รับผิดชอบตัวเองให้มาก ๆ เพราะว่าป้อเองรู้สึกว่า ทุกคนมีศักยภาพและความสามารถพอที่จะทำได้ แล้วก็คิดว่ามันไม่ยาก ถ้าเรารักมันจริง ๆ เราอยู่กับมันจริง ๆ เชื่อว่าเราทำได้อยู่แล้ว” - ปอป้อ ทรัพย์สิรีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิตที่ไม่ได้เบา ๆ แบบชื่อเพลง ของ “ซิน Singular” ศิลปินเสียงนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ ที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิน

17 ก.พ. 2025

เรียนรู้ชีวิตที่ไม่ได้เบา ๆ แบบชื่อเพลง ของ “ซิน Singular” ศิลปินเสียงนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ ที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิน

“การที่เรายอมรับตัวตนของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมายอมรับเรา บางทีมันก็มีความสุขได้เลย เพราะเงื่อนไขบางเงื่อนไข มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่หลายคนคิดถึง “ซิน Singular” ศิลปินหน้าหวานผู้มีเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์ กับการเติบโตระหว่างทางกว่า 15 ปีในวงการ วันนี้ซินกลายเป็นศิลปินอิสระที่จัดการงานเองแทบทุกอย่างตั้งแต่เบื้องหน้าถึงเบื้องหลัง และตั้งเป้าหมายเพียงแค่อยากทำงานอย่างมีความสุข เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ10 ปีที่หายไป ของ ซิน Singular“จริง ๆ ที่หายไปเป็นช่วงรอยต่อตอนที่เป็นวง กับตอนที่ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวก็คือ 2 ปี แต่ว่านั่นก็เมื่อ 10 ปีได้ที่หายไป เพราะหลังจากนั้นก็อาจจะมีช่วงหนึ่งที่ซินไปทำงานที่ญี่ปุ่น คือเราไปออกเพลงที่ญี่ปุ่น และก็ยังทำเพลงตลอด แต่ที่มันอาจจะรู้สึกว่าหายไป เพราะมันก็มีเพลงที่ดังบ้างไม่ดังบ้างที่ห่างหายไม่ค่อยได้ออกรายการสัมภาษณ์ ถ้าให้เราเดาก็คือ ตามรายการต่าง ๆ อาจจะคิดว่าเราไม่ค่อยอยากไปออกด้วยส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ ซินไม่เคยปฏิเสธเลยนะ ถ้ามีคนติดต่อมาแทบไม่ปฏิเสธเลย และมันอาจจะเป็นภาพไปก่อนที่ช่วงแรก ๆ ซินอาจจะดูเป็นคนแบบพูดไม่เก่ง คิดว่าเป็นภาพจำแต่ซินคิดว่าตัวเองมีหลายโหมด ถ้าสนิทก็จะมีความคุยเก่ง คุยได้ทั้งวัน แต่บางวันไม่มีพลังก็จะนิ่ง ๆ ถ้าถามว่าเป็น Introvert ไหม ก็ใช่แหละ แต่เป็นมานานแล้ว ก่อนที่มันจะมาฮิตคำว่า Introvert เสียอีก”ย้อนวัยเด็กสุดขี้อาย ของ ซิน Singular“ซินเป็นเด็กขี้อายมาก จำได้เลยว่าตอน ม.1 เวลาออกไปรายงานหน้าชั้น เราไม่สามารถที่จะออกไปได้เลย สมมติว่ามันถึงคิวแล้ว เราจะไม่สบตาใครเลย แล้วก็อ่านโพยเท่านั้น เคยมีครั้งนึงที่มือไม้สั่นแล้วเป็นลมไปเลยจริง ๆ ช่วงแรกที่ขึ้นเวทีร้องเพลงมันก็ยังเป็นอาการประมาณนี้อยู่นะ แต่เราต้องคิดว่า The Show must go on แต่ถ้าถามว่ามันตื่นเต้นไหม มันตื่นเต้นมาก ควบคุมอะไรไม่ได้เลย ถ้าไปดูโชว์แรก ๆ ของซิน จะรู้เลยว่าเราตื่นเต้นมาก มันค่อยมาลดลงตอนที่เราชินกับบรรยากาศแล้ว หรือชินกับเวทีแล้วซินชอบร้องเพลงมาตั้งแต่จำความได้ ตอนนั้นเราก็ร้องอยู่ที่บ้าน ร้องให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง หรือตอนนั่งรถไปโรงเรียนก็ร้องไปเรื่อย แต่ถ้าหน้าห้อง หรือ งานโรงเรียน ก็คือไม่ร้องเลย ไม่มีเด็ดขาดที่คนจะได้เห็นเราร้องเพลง ตอนเด็ก ๆ เพลงที่ชอบร้องคือ เพลงรุ้งตัวอ้วน ของพี่อุ้ย รวิวรรณ จินดา เหมือนเราฟังตามคุณพ่อคุณแม่แล้วจำได้นักร้อง เป็นความฝันเดียวเลยที่ซินอยากจะเป็น แต่มันก็เป็นแค่ความฝันที่เราเก็บเอาไว้ในใจ เพราะเรารู้สึกว่ายุคนั้น การเป็นนักร้องมันน่าจะยากเหมือนกันที่จะเป็นศิลปิน มันไม่เหมือนยุคนี้ที่ใครก็ร้องเพลงลงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ แต่เด็กยุคก่อนแทบไม่รู้เลยว่า การจะเป็นนักร้องมันจะต้องเริ่มยังไง”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“มันเริ่มมาจากที่เราชอบร้องเพลง แล้วเราก็อินกับเพลงที่ร้อง ว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง และเราชอบดูเนื้อเพลง เราชอบเก็บสะสมแผ่นซีดีดูว่าแบบใครเป็นโปรดิวเซอร์ แล้วจำได้ว่าวันเกิดอายุ 14 ซินก็ลองแต่งเพลงของตัวเองดูเล่นๆ แล้วก็แต่งมาเรื่อย ๆ ซึ่งเราไม่ได้นึกหรอกว่า นี่มันคือการที่เรากำลังทำตามความฝันอยู่รึเปล่า เราแค่ลองทำเพราะเราชอบ จนแบบได้ลองมาทำเพลงเป็นเดโม่จริง ๆ แล้วก็ลองเข้าห้องอัดดู พอเจอพี่ที่ห้องอัดเค้าก็เหมือนมีคอนเน็คชั่นกับค่ายเพลง ก็เลยแนะนำเราให้ส่งเดโม่ไปที่ค่ายดูสิ ซินก็ส่งไปที่ค่ายโซนี่มิวสิค แล้วเค้าก็ได้เรียกเข้ามาคุยรายละเอียด มีกระบวนการอยู่ประมาณ 6 เดือน กว่าจะได้เดบิวต์เป็นศิลปิน”กว่าจะเป็นวง Singular“ตอนแรกต้องบอกว่าซินเข้าไปคนเดียว แล้วก็ถ้าพูดตามตรงคือตอนนั้นด้วยลุคของซิน ทำให้ทางค่ายยังไม่รู้ว่าจะขายออกมายังไง เค้าก็เลยลองเติมสมาชิกอีกคนนึงดู สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นวงก็ต้องขอบคุณทุกคนฮะ ที่ทำให้เพลง เบาเบา ดังมาก ไม่คิดเลยเพราะถ้าส่วนตัว ซินชอบเพลง 24.7 ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกที่ปล่อยมา แต่กับเพลงเบาเบา เรารู้สึกว่ามันก็เพราะดี ตอนที่เราแต่งเราก็รู้สึกว่าเพลงนี้ก็ดีนะ แต่ไม่ได้คิดไปถึงขนาดว่ามันจะดังขนาดนี้ ที่มาของเพลงเบาเบา คือถ้าสมมติเราให้สัมภาษณ์กันสมัยก่อน เราจะบอกว่าเพลงนี้มีที่มาจาก เพื่อนมาปรึกษาหลังทะเลาะกับแฟน ซึ่งอันนั้นก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ที่มาของท่อนฮุค มาจากซินนั่งรถไฟฟ้าอยู่ แล้วก็เจอคู่รักวัยใส กำลังกอดกันแบบแทบจะจูบกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว แล้วคนในขบวนก็คือมีมวลของความแบบ เบา ๆ กันหน่อยมั้ย เราก็เลยปิ๊งไอเดียซึ่งมันก็เวิร์คเหมือนกัน ก็เลยเอามาเขียนต่อให้เป็นเพลงในยุคที่วงดังมาก ก็จะมีแฟนคลับที่ติดตามเราแบบเกือบทุกการใช้ชีวิต แต่ด้วยตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีช่องทางให้เราปกป้องสิทธิ์ตัวเองขนาดนั้น จริง ๆ แฟนคลับมีหลายรูปแบบ มีทั้งถ้าไปงานต่างจังหวัดแล้วเราต้องนั่งรถตู้กลับบ้าน ก็จะมีแฟนคลับขับรถตาม ซึ่งซินว่าอันนี้อันตรายไปนิดนึง บางครั้งเราก็จะบอกให้คนขับหยุดรถก่อน ให้เค้าแซงไปเลย แล้วเราก็ค่อยไป ซึ่งมันก็มีความคิดว่าฉันจะต้องลำบากขนาดนี้เลยเหรอในการเดินทาง ศิลปินมันก็เป็นอาชีพ ๆ หนึ่ง ซินว่ามันต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ที่คนอื่นต้องเคารพพื้นที่นั้นของเราด้วย พอมีเรื่องคนตามคุกคามความเป็นส่วนตัว มันก็ทำให้ซินแย่ไปเลยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องสภาพจิตใจ มันสะสมมาเรื่อย ๆ จนช่วงรอยต่อระหว่างตอนที่เป็นวงกับตอนที่เป็นศิลปินเดี่ยว พอซินปล่อยอัลบั้มชุดแรกออกมาแล้วไปขึ้นโชว์ ซินก็จะมีความแบบแพนิคประมาณนึง แล้วมันบวกกับการที่ซินเป็นคนขี้อายด้วย แล้วจะต้องไปอยู่ในสภาวะที่ต้องไปอยู่ท่ามกลางมวลชน เราต้องสู้จริง ๆ เพราะว่าเรารักที่จะทำเพลง รักที่จะร้องเพลง ก็เลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ หน่อย ถ้าเป็นช่วงนี้ ซินจะรู้สึกโอเคกับโชว์ของตัวเองมาก ๆ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ มันต้องมีการเขียนเป็นสคริปต์เลยว่าวันนี้ถ้าจบเพลงนี้เราจะพูดอะไรบ้าง เราต้องเตรียมตัวและมีการท่องที่วงเราดัง เราก็ตกใจ และก็ดีใจไปด้วย จนท้ายที่สุดเมื่อ Singular ต้องแยกวงกัน ซินคิดว่ามันเป็นเรื่องของการที่เรามองกันไปคนละทิศทาง เหมือนเราโฟกัสกันคนละอย่าง แล้วก็คิดว่าเป็นการพูดคุยกันระหว่างวงเอง แล้วก็ค่ายด้วยว่า ถ้าเรายังฝืนทำต่อไป คิดว่าน่าจะไม่ไหว เลยตัดสินใจแยกย้ายไปทำในสิ่งที่แต่ละคนชอบดีกว่า”ซิน Singular กับการถูกตั้งคำถามจากสังคม“คอมเมนต์คลาสสิคที่จะเห็นตลอด 15 ปี คือ พี่เค้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะครับ คำถามนี้จะมีมาตลอด ซึ่งซินไม่เคยอธิบายนะ อาจจะด้วยความที่ว่ายุคนั้นมันเป็นยุคงง ๆ ของหลาย ๆ อย่าง ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งวงการเพลง วงการข่าว มันยังเป็นยุคที่เปลี่ยนผ่าน คนยังไม่รู้ว่าจะต้องรีแอ็คยังไง รวมถึงตัวศิลปินด้วยก็ยังไม่รู้ว่ามีคำถามแบบนี้แล้วฉันพูดได้มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าจริง ๆ ซินก็เป็นตัวของซินเองอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นมันไม่ได้มีช่องทางอะไรที่จะให้เราได้อธิบาย แล้วซินจะเป็นสายที่ไม่ค่อยเข้าไปอ่านคอมเมนต์มากนัก เพราะว่าถ้าอ่านเยอะก็จะรู้สึกไม่โอเค จะไวกับเรื่องเหล่านี้ เราเลยพยายามเอาโฟกัสไปไว้กับจุดที่เราสามารถทำให้มันดีขึ้นได้มากกว่าอาจจะเพราะตอนนั้นซินไว้ผมยาวด้วย ทำให้เวลาไปเข้าห้องน้ำ คุณป้าแม่บ้าน หรือพนักงานก็จะบอกว่าอันนี้ห้องน้ำชายนะคะ ซึ่งเค้าก็ไม่รู้จริง ๆ อันนี้มันก็ไม่เป็นไร อย่างตอนนั้นมีครั้งหนึ่งซินไปขึ้นคอนเสิร์ต ซินไม่แน่ใจว่ามันอาจจะเป็นในแพลตฟอร์มที่สามารถขึ้นคอมเมนต์ได้ แล้วมันก็จะมีคอมเมนต์เด้งขึ้นมา แล้วมีทีมงานเล่าให้ฟังว่า มันมีคอมเมนต์เด้งขึ้นมาตอนที่เราโชว์อยู่ว่า ไม่ต้องแอ๊ปก็ได้ค่ะ ซินก็งงว่านี่เราแอ๊ปอยู่เหรอตอนนี้ ก็แปลก ๆ ดี แต่ซินก็ไม่ได้ไม่ค่อยได้ไปคิดอะไรกับมันมาก ซึ่งคำถามแบบนี้ สมมติว่าเป็นคนรู้จักกัน ซินว่าเรื่องพวกนี้ เราแค่มองหน้ากัน คุยกัน เราก็น่าจะรู้และเข้าใจอยู่แล้วซินคิดว่ายุคนี้เรื่องระบบความคิด หรือว่าการยอมรับหลาย ๆ อย่าง มันก็พัฒนาตามวันเวลาไปด้วย เพราะฉะนั้นซินว่ายุคนี้เป็นยุคที่เหมือนเราจะเห็นว่าศิลปินหลาย ๆ คน ก็แบบสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่มาก ซึ่งซินเห็นแล้วก็ดีใจแทนคนเหล่านั้น ที่เค้าสามารถเป็นตัวเองได้เลยแบบเต็มที่ แต่ยุคก่อนเหมือนแฟนคลับเค้าจะมีตัวตนเราในความคิดที่เค้าสร้างขึ้นมาว่า ช่วงนึงที่เพลงเบาเบา ดังมาก หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าซินเป็นคนแบบเบาเบา อบอุ่น แต่เปล่าเลย จริง ๆ แล้ว ซินเป็นคนที่มีหลายเลเยอร์ บางทีก็เป็นคนเครียด เป็นคนดุ และเป็นคนสนุกได้”โควิดพลิกชีวิตให้ ซิน Singular ได้มีผลงานที่ญี่ปุ่น“ช่วงโควิดพอดีเลย ที่เหมือนมันมีโอกาสเข้ามาหาซินตอนช่วงปี 2019 ที่ซินได้ทำอัลบั้มญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ไปญี่ปุ่นนะ จะเป็นการทำงานออนไลน์ เพลงที่ปล่อยมาจะเป็นแอนนิเมชั่นของซินกับศิลปินที่ซินฟีทเจอริ่งด้วย เป็นศิลปินญี่ปุ่น ซึ่งก็ให้เค้าถ่ายเป็นวีดีโอมา แล้วก็ให้ศิลปินไทยของเราเป็นคนวาด ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป เพราะว่าตอนนั้นมันยังบินไม่ได้ เพลงที่ทำที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มีให้ฟังในทุกสตรีมมิ่ง ชื่ออัลบั้ม Self Portrait ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย”มุมมองการเปลี่ยนผ่านของวงการเพลง“ตอนที่ Singular มีเพลงดัง ตอนนั้นมันจะเป็นยุคที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่ยุคโซเชียล ตอนนั้นก็เพิ่งจะเริ่มมีอินสตราแกรม ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ เพิ่งจะมามีอินตราแกรมตอนที่เป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว ซินคิดว่ายุคนี้มันยากขึ้นที่จะมีเพลงร้อยล้านวิว เหมือนสมัยก่อนจะมีเพลงร้อยล้านวิวมาเรื่อย ๆ แต่ซินรู้สึกว่าพอเป็นยุคนี้เราะจะเห็นเพลงร้อยล้านวิวน้อยลง เพราะว่าคนฟังจะแยกไปฟังในแนวเพลงที่เค้าชอบ ในแพลตฟอร์มที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีเพลงฮิตแตกต่างกัน แล้วแต่ช่วงวัยด้วย ถามว่ามันมีข้อดีไหม ซินก็คิดว่ามันก็มีข้อดีนะ คือมันมีความหลากหลายมากขึ้น คนก็ไปรวมกลุ่มของตัวเองในกรุ๊ปเดียวกัน กรุ๊ปฮิพฮ็อพ กรุ๊ปป๊อบ กรุ๊ปเพลงสไตล์ต่าง ๆ ซินว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันในเรื่องการหาแรงบันดาลใจ ถ้าเป็นเพลงประกอบหนัง หรือประกอบซีรี่ส์ ซินรู้สึกว่ามันเป็นความสนุกอีกแบบหนึ่ง เพราะเหมือนเราได้สวมคาแรกเตอร์ลงไป หรือการจะเขียน มันต้องอ่านเนื้อเรื่องก่อน คือเราต้องเข้าไปอินในโลกนั้น ก็รู้สึกสนุกดี แต่ว่าถ้าเป็นเพลงที่มาจากตัวเอง อาจจะมีบ้างที่เพลงนี้เราเคยพูดไปแล้ว มันก็จะต้องหาอะไรใหม่ ๆ หรืออาจจะต้องมีไปหาแรงบันดาลใจที่ไม่ได้มาจากตัวเราล้วน ๆ อย่างเช่นอาจจะต้องไปดูหนัง ฟังเพลง หรือไปลองพูดคุยกับคนอื่น ๆ ดูบ้าง หรืออย่างการได้ไปฟีทเจอริ่งกับศิลปินอื่น ๆ ก็เหมือนได้รู้จักกับคนใหม่ ๆ ได้รู้จักกับศิลปินบางคนที่ถ้าเราไม่ได้ไปฟีทเจอริ่งกัน เราอาจจะแบบไม่ได้เจอกัน เพราะมันคนละแนวเพลงกันซินน่าจะทำเพลงไปจนกว่าเราจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ซึ่งยังไม่ได้คิดนะว่าจะทำไปถึงอายุเท่าไหร่ คิดว่าถ้าสมมติไม่ได้ทำงานเบื้องหน้าแล้ว ก็จะไปทำเบื้องหลัง จริง ๆ ซินชอบหมดเลยเกี่ยวกับวงการเพลง ถ้าถามว่าให้ไปลองบริหารค่ายเพลงดูอยากทำไหม ถ้ามีโอกาสในวันหนึ่งก็อยากลองดูเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ที่ได้ทำไปแล้วก็คือเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินอื่น ๆซินคิดว่าเพลงน่าจะเหมือนกับแฟชั่น หลาย ๆ เพลง ซินคิดว่ามันน่าจะวนกลับมา แล้วก็มีบางเพลงที่หายไป อย่างถ้าเป็นยุคนี้คนจะชอบทำเพลงสั้น ๆ ยุคถัดไปไม่แน่คนอาจจะอยากฟังเพลงยาวขึ้น อาจจะกลับมาชอบฟังเพลง 5 นาที เหมือนสมัยก่อนก็ได้”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ ซิน Singular“ความรักตอนนี้ไม่ได้โฟกัสขนาดนั้น ซินไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมานานแล้ว มีคนที่เหมือนศึกษาดูกันเรื่อย ๆ ในตลอดระยะเวลาที่เป็นโสดมาก็ไม่ได้ปิดไม่คุยกับใครเลย แต่แค่เหมือนคุยกัน แล้วมันก็ยังไม่ได้จริงจังขนาดที่จะเป็นเรียกใครว่าเป็นแฟนซินคิดว่าซินเป็นแฟนที่เข้าใจยาก ปกติก็เป็นคนคิดเยอะประมาณนึงอยู่แล้ว สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วนะ พอยิ่งเป็นแฟนกับใครก็จะยิ่งมีความซับซ้อนไปใหญ่ มันจะยากนิดนึงนะสำหรับซิน แล้วซินไม่รู้สึกว่าชอบตัวเองตอนที่มีแฟนเท่าไหร่ เพราะมันจะดูทุกสิ่งทุกอย่างมันยุ่งเหยิง การใช้ชีวิตของเรามันดูทำไมมันยากจัง หรือเป็นเพราะว่ายังไม่เจอคนที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายด้วยตอนนี้ซินคิดว่าตัวเองมีความสุขดี แล้วชีวิตก็เต็มได้ด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาหาคน ๆ นั้นสักเท่าไหร่”ซิน Singular กับการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น“สมัยก่อนตอนซินเป็นศิลปินใหม่ ๆ เราจะเป็นคนคิดเยอะ เวลาขึ้นเวทีจะคิดเยอะมาก มันก็เลยอาจจะดูไม่ได้สบายตัวขนาดนั้น แต่ว่าถ้าเป็นช่วงหลัง ๆ ด้วยประสบการณ์ ด้วยอายุที่เยอะขึ้นเรื่องบางเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็ตัดออก หรือแค่วางลง แล้วทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นณ วันนี้ ความสุขของซิน คือการที่ยังได้ทำงานเพลงอยู่ แล้วก็รวมถึงได้ทำหลาย ๆ อย่าง ที่เรามีเป้าหมายว่าอยากจะทำ อย่างทำเพลงที่ญี่ปุ่นนั่นก็เป็นเป้าหมายหนึ่ง หรือว่าในอนาคต มันอาจจะมีงานบางส่วนที่ซินรู้สึกว่าเราอยากเข้าไปลองทำ ความสุขคงจะเป็นการที่เรายังมีแพชชั่นกับการทำงานอยู่ ณ วันนี้ไม่รู้จะขอบคุณยังไง ที่แฟนคลับยังฟังเพลงเรามายาวนานหวังว่าเราจะฟังกันต่อไปเรื่อย ๆ ซินก็ยังคงทำหน้าที่ของซิน ทำเพลงที่ซินคิดว่าดีที่สุดออกไปให้ทุกคนฟังอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าซินรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรจะพูด หรือว่าไม่มีใครฟังแล้ว ตอนนี้มีเพลงที่เพิ่งปล่อยก็มี เป็นเพลงประกอบซีรี่ส์ เรื่อง Us รักของเรา ชื่อเพลงว่า ไม่อยากจูบเธอในฝัน ก็ฝากทุกคนฟังกันเหมือนเดิม”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ซิน Singular“ซินคิดว่าบางครั้งเราต้องการการยอมรับจากครอบครัว ซึ่งมันจำเป็นกับการที่เราจะมีความสุข แต่ซินมองว่า บางทีถ้าเรายอมรับตัวเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมายอมรับเรา บางทีมันก็มีความสุขได้เลย เพราะถ้าเกิดว่าเค้าไม่ยอมรับเลยในชีวิตนี้ แล้วเราจะต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตรึเปล่า ซินว่ามันก็ไม่จำเป็นนะ บางทีเราก็มีความสุขได้เลย ณ ตอนนี้ ถ้าเราไปโฟกัสที่สิ่งที่เราชอบหรือไปโฟกัสกับสิ่งที่เราอยากทำคนหลาย ๆ คนจะชอบอะไรที่มันชัดเจน ฉันสามารถแปะป้ายได้ว่านี่คือแอปเปิ้ล นี่กล้วย นี่ส้มจริง ๆ แล้ว ซินว่าประชากรโลกเรามี 7,000 ล้านคนเลยนะ มันไม่มีทางที่คนมันจะเหมือนกัน หรือว่าชอบอะไรเหมือนกันขนาดนั้น ถึงแม้ว่าคุณไปแปะป้ายว่าลูกนี้เป็นส้ม คุณยังจะต้องไปดูอีกนะว่าส้มลูกนี้มันพันธุ์อะไร แล้วมันเป็นพันธุ์ที่มีเม็ดมาก เม็ดน้อย เป็นสีอะไร เพราะฉะนั้นซินว่ามันแบบเออก็เหมือนกัน แค่เรายอมรับในความหลากหลายและทำความเข้าใจมัน” - ซิน Singularพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

10 ก.พ. 2025

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

“พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ เราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมาก ๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย และรู้ว่าความสุขมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว และมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่สวยระดับโลก “โม จิรัชยา” อินฟลูเอนเซอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุค ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง สู่ความทุ่มเทตั้งใจจนได้เป็น Miss Tiffany's Universe 2016 พ่วงกับตำแหน่ง Miss International Queen 2016 เพราะพลังที่สำคัญที่สุด คือพลังที่อยู่ในตัวเอง และ ณ วันนี้ เธอพบว่าความสุขในชีวิตมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส ของ ด.ช.อัครพล“ตอนเด็ก ๆ ชื่อ โจ้ อัครพล แล้วมาเปลี่ยนเป็น โม จิรัชยา ตอนประกวดนางงามแล้ว คือจริง ๆ เราไม่อยากเปลี่ยนชื่อเล่นเลย แต่ว่าพอโตขึ้นเราอยากให้ชื่อมันลื่นหูขึ้น เพราะตอนเข้าโรงพยาบาลแล้วโดนเรียกชื่อคนไข้ คุณอัครพล เราจะต้องเจอสายตาที่งง ๆ เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนชื่อให้มันลื่นหูก็น่าจะดี เพื่อความสบายใจของตัวเอง ก็เลือกชื่อ โม แล้วกันง่าย ๆ แล้วชื่อจริงก็ตั้งเองด้วย พยายามหา สละ พยัญชนะ ที่เราใช้ได้ แล้วเราก็มาเลือกชื่อที่ชอบโม เกิดในครอบครัวคนจีน มีพี่ชายหนึ่งคน แล้วเราก็เป็นน้องชาย ซึ่งกว่าที่โมจะได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้หญิง ก็คือตอนเรียนปี 1 แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเรากดดันนะ ทั้งเรื่องที่เราแอบทานยาคุม หรือมีเพื่อนที่เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ที่บ้านเราจะกีดกันหมด ในตอนที่รู้ว่าโมทานยาคุม ที่บ้านก็คือค้นโต๊ะ ค้นทุกอย่าง แล้วให้ทุกคนในครอบครัวมานั่งคุยเลยว่าจะเอายังไง ยานี้มันอันตรายไหม ซึ่งตอนนั้นเค้าก็คงเป็นห่วงเรามาก ๆ แล้วความเป็นฮอร์โมน เค้าก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ แล้วพอโตขึ้นมา เค้าก็เห็นเราไปอยู่กับเพื่อนกะเทยเยอะ ซึ่งก็เป็นที่มาของการที่โมตีเทนนิสในปัจจุบันนี้ เพราะเค้าจับหนูให้ไปเรียนเทนนิส เพื่อที่จะไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนหลังเลิกเรียน ทำให้เราต้องอยู่บ้าน แต่เป็นชีวิตที่คุยกับที่บ้านน้อยมาก พออยู่บ้านเราจะเป็นอีกคนที่ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยไม่กล้าแสดงความเป็นตัวเองแบบ 100% เพราะเรากลัวว่าเค้าจะมองเราไม่ดี แล้วเราจะโดนดุ เราก็เลยต้องพยายามทำตัวเป็นคนเรียบร้อย จะได้แต่งเป็นผู้หญิง ใส่กางเกงขาสั้นแค่ตอนจะออกจากบ้าน แต่ตอนจะกลับบ้านก็ต้องกลับสู่ปกติ แต่การใช้ชีวิตในแต่ละวันมันต้องลุ้น และระแวงว่าเพื่อนของพ่อจะเจอเราไหม พ่อจะเจอเราข้างนอกบ้านไหม มันกลัวไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าตอนเรียนมัธยมเป็นช่วงที่ตัวเองรู้สึกอึดอัดที่สุด จนผ่านมาถึงมหาวิทยาลัย”เขียนจดหมายเปิดใจ จนได้เจอความสุขที่แท้จริง“ความภูมิใจแรก ๆ มันเกิดขึ้นตอนสอบติดมาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อแม่ก็รู้สึกประหลาดใจด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน โม สอบติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรียนแฟชั่นดีไซน์ ศิลปกรรม ซึ่งตอนปี 1 ต้องไปเรียนที่องครักษ์ จ.นครปฐม นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง เพราะต้องอยู่หอ พ่อแม่ไม่เจอเรา ก็เลยได้ใช้ชีวิตแบบเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อชั้นใน ใส่ชุดนิสิตหญิง จนถึงวันที่เราต้องกลับมาเรียนปี 2 ที่ ประสานมิตร เราทำใจไม่ได้ถ้าต้องกลับมาแต่งชาย เพราะเรารู้สึกว่าสังคมเพื่อน คนรอบตัวมองเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ถ้าเราจะกลับไปเป็นผู้ชาย เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มาก ๆ ก็เลยกลับไปคุยกับที่บ้าน เป็นการคุยโดยการเขียนจดหมาย เพราะว่าเราไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง วันนั้นเป็นคาบเรียนสุดท้าย เรียนเสร็จเราก็นั่งเขียนจดหมายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นแบบไหน อยากให้พ่อแม่เข้าใจ ตอนนั้นเขียนไปแล้วร้องไห้น้ำตาท่วม แต่สุดท้ายมันง่ายมาก เพราะพ่อบอกว่าก็รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยงงว่าทำไมทุกคนเข้าใจง่ายจัง หลังจากได้อ่านจดหมาย วันรุ่งขึ้นแม่พาไปซื้อเสื้อชั้นในเลย หลังจากนั้นมันกลายเป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนเราไม่มีอะไรที่ต้องโกหก ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง พอมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราก็อยากเล่าสู่ครอบครัว เดี๋ยวจะไปกับเพื่อนนะ เราสามารถพูดได้เลย มันไม่เหมือนกับตอน ม.ปลาย และยิ่งโตขึ้นมามันยิ่งแฮปปี้ขึ้น เพราะที่บ้านกลายเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างสนิทกันมาก คุยเล่นได้หมดเลย พ่อแม่จะกลายเป็นเหมือนเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่องแม่กระทั่งตอนจะไปหาผู้ชาย ก็เปิด Instagram ผู้ชายให้แม่ดูได้เลย แม่ก็จะบอกเลยคนนี้หล่อดีนะ คนนี้ไม่โอเคนะ เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ครอบครัวเราน่ารัก พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง เช่น ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 อยากทำหน้าอกมาก เราก็ตื้อจนพ่อก็พาไปโรงพยาบาล ไปจ่ายเงินให้ ทำทุกอย่างให้ แม้แต่ตอนจะทรานส์พ่อก็ไปรับไปส่ง ดูและเราอย่างดี มันคือความสุขที่เกิดขึ้นและเราสัมผัสได้”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงาม“จุดเริ่มต้นบนเส้นทางนางงามของโม คือ ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนที่เล่นโซเชียล ไม่ได้เป็นคนที่ดูนางงาม แต่แค่มองอนาคตว่า เราชอบวงการบันเทิง แล้วเราจะทำยังไงดีให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงได้ เราก็เลยรู้สึกว่าการประกวดนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำได้ และทำให้เรารู้สึกว่ามันได้นำทักษะที่เราเรียนมา เอามาใช้ในการประกวดด้วย ก็เลยไปประกวด Miss Tiffany’s Universe ตอนปีแรกที่ประกวดคือ 2014 ตอนนั้นไม่พร้อม ตกรอบ 30 คนสุดท้าย เดินชุดราตรีสวย ๆ แล้วก็กลับบ้าน แต่พอปี 2016 มีรุ่นพี่ที่แนะนำเราให้กับค่ายนางงามที่ชื่อ พี่ชาติ ซึ่งค่อนข้างที่จะคร่ำหวอดในวงการนางงาม ซึ่งตอนเราประกวด เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่ง เพราะว่าเค้าไม่มีเวลาแต่เราก็บอกว่า แม่จะส่งหนูไหม ถ้าแม่ส่ง แม่แค่แต่งหน้าให้หนู เรื่องชุด เรื่องสไตล์ลิส เดี๋ยวหนูจัดการเอง พี่ชาติ ก็เลยตกลงส่งเราประกวด วันที่เจอกันครั้งแรกคือวันออดิชั่น และเป็นวันที่ไวรัลที่สุด เพราะมันจะมีรูปที่คนแชร์กันเยอะมากในโซเชียล เป็นรูปที่โมใส่ชุดสีขาว แล้วก็จะมี แปรงแต่งหน้าจากมือแม่ชาติ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้เล่นโซเชียล แล้วเราก็ไม่ได้รู้เรื่องว่ารูปมันเป็นไวรัล จนกลับมาจากออดิชั่นถึงเริ่มรู้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคนถึงรู้จักเรา เหตุผลมาจาก พี่ช่า ไดอารี่ตุ๊ดซี่ แชร์รูปของเรา แล้วหลังจากนั้นคน 20,000 คน ก็เริ่มมาติดตามเรา แล้วเราก็เริ่มมาสนใจโซเชียลมากขึ้น และมาคิดได้ว่าการจะเป็นที่รู้จักของคนในโซเชียลมันเร็วมากเลยตอนกลับไปประกวดปี 2016 เราเตรียมตัวมาอย่างดี เรียนบุคลิกภาพ แล้วก็เข้าใจประโยคที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เพราะว่าการเป็นนางงาม มันก็จะต้องมีความเป็นนางงามอยู่โมก็พยายามคิดว่า เราจะนำเสนออะไรที่มันเป็นรูปแบบใหม่ ๆ แต่สุดท้ายนางงามมันก็จะต้องมีมาตรฐานความเป็นนางงามอยู่ ดังนั้นการเดิน บุคลิกภาพ เราต้องเรียน แล้วปี 2016 ตอนนั้นคนที่ประกวดได้ต้องอายุไม่เกิน 25 ปี แล้วตอนนั้น โม อายุ 25 พอดี มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเราใส่เต็ม แล้วในปีนั้นกระแสการเชียร์นางงามกำลังมา น้ำตาล ชลิตา, โม จิรัชยา แล้วก็ ฝ้าย สุภาพร จะมีแต่ตัวเต็งของเวทีเกิดขึ้นต้องขอบคุณสังคม คือเราเรียนแฟชั่นมา เราก็จะรู้จักแบรนด์ต่าง ๆ หรือรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วย เคยฝึกงานพร้อมกัน แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เราชอบจากที่เราเรียนก็คือการแต่งตัวแฟชั่น หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ เรารู้ว่าตัวเองใส่อะไรแล้วสวย ใส่สีอะไรแล้วเราดูดี แล้วในยุคที่โมประกวด มันเป็นยุคที่การออกงานต่าง ๆ จะต้องมีการถ่ายรูป ชุด หน้าผม แล้วก็แท็กชื่อคน ชื่อห้องเสื้อ แล้วช่วงนั้นเรารู้สึกว่าสนุกกับการประกวด เราเตรียมเสื้อผ้า วางลุคไว้แต่ละวัน ไม่ซ้ำแบรนด์กันเลย ทำการบ้านว่าเราจะต้องนำเสนอสิ่งที่เราชอบ ทรงผม การแต่งหน้า การแต่งตัว การเดิน กริยาต่าง ๆ มันต้องเป็นตัวเราที่สุด แล้วตอนนั้นการประกวดมันก็ค่อนข้างเข้มข้น เพราะว่ามันเป็นยุคที่คนเริ่มมาดูนางงาม นางงามต้องมีการเตรียมตัวแบบสุด ๆ นอกจากบุคลิกภาพ เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ก็ยังมีเรื่องของน้ำหนัก เพราะแต่ก่อนเราผอม อยู่บนเวทีมันก็จะยิ่งตัวเล็ก แต่นางงามมันต้องมีน้ำมีนวล มีความเป็นควีน แม่ชาติก็พาไปกินทุเรียนทุกวันตอน 4 ทุ่ม กินขนมปังเนยนม ให้มันมีเนื้อมีหนัง แล้วการประกวดนางงามมันเหนื่อยมาก 7 โมงเช้าเราต้องเข้ากอง ดังนั้น ตี 4 ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผม แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะได้ตื่นตี 4 ทำกิจกรรมเสร็จกว่าจะกลับบ้านรถติด ต้องเตรียมของ ถึงบ้านก็ตี 1 แล้ว ตอนนั้นเรานอนน้อยมาก แล้วโมเป็นภูมิแพ้ เวลาแต่งหน้าน้ำตาก็จะไหล ขนตาก็จะหลุด ระหว่างแต่งหน้าเราก็จาม บอกเลยว่าการเป็นนางงามมันที่สุดในชีวิตเลย นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เราเหนื่อยหน้าที่เราจะต้องคอยยิ้มหวาน เหนื่อยสมองเวลามีสัมภาษณ์ ต้องตอบให้ดูเป็นคนฉลาด มีความรู้ ต้องมีโครงการเพื่อสังคม เข้าใจเลยว่าถ้าเห็นนางงามคนไหนหน้าบูด ไม่ต้องไปโกรธเค้านะคะ เพราะเค้าเหนื่อย ให้เค้าพักบ้างอย่างปีนี้ Miss Tiffany’s Universe 2025 มาในธีม Moving Forward พุ่งทะยานสู่วันใหม่ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่นางงาม โมมองว่ายุคนี้สิ่งที่ต้องการมาก ๆ มันคือโลกโซเชียล ทุกอย่างมันต้องเร็ว ต้องสมัยใหม่ นางงามจะต้องทันโลก แล้วหนูเคยฟัง คุณจ๋า พูดในรายการหนึ่งว่า เค้าชอบคนที่กระฉับกระเฉง มีไหวพริบ ฉับไว ดังนั้นถามอะไรตอบให้ตรง ไม่ต้องไปอ้อมโลก เราอยากจะให้น้อง ๆ นางงาม คิดว่าถ้าสมมติตัวเองเป็นเจ้าของเวที เราจะเลือกใครมง แล้วเราก็จงเป็นคน ๆ นั้น ต้องดูว่าเวทีต้องการอะไร เราจะต่อยอดได้ยังไง ถ้าตอบโจทย์ก็มงได้ค่ะ”จากตัวแทนประเทศไทย สู่ชัยชนะบนเวที Miss International Queen 2016“การประกวดในประเทศ และต่างประเทศ ความยากเย็นมันแตกต่างตรงที่ว่า ในประเทศเราทำเพื่อตัวเอง ส่วนต่างประเทศ มันต้องแบกภาระ มันมีความคาดหวัง มีคำแนะนำเยอะ จนเราสับสนว่าต้องทำให้ใครก่อน แล้วมันกดดัน แต่ตอนนั้นโมรู้สึกว่า การได้เข้ามาเป็นตัวแทนที่สวมสายสะพายไทยแลนด์ มันมีโอกาสเดียว แล้วน้อยคนมากที่จะเข้ามาได้ ก็เลยอยากทำให้มันเต็มที่ ต้องทำทุกอย่าง หาสปอนเซอร์ชุด ช่างหน้า ช่างผม ทุกอย่างต้องอินเตอร์ขึ้น ต้องซ้อมการแสดงความสามารถ ต้องหาเงินเพื่อจองตั๋วเครื่องบิน อย่างรอบไฟนอลก็ได้สปอนเซอร์ชุดจาก พี่ฉอด ต้องขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่แบบซัพพอร์ตเรา แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน จนวินาทีสุดท้ายก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมงลงเหมือนกันหลังจากนั้น พ่อแม่ภูมิใจกับเรามาก ๆ เหมือนลูกเป็นดาราแล้ว พอเรากลับพ่อแม่ก็จะดีใจ อวดไปสามบ้านแปดบ้านว่า โมกลับมาแล้ว มาถ่ายรูปไหม เหมือนเด็กอวดของ เราก็ดีใจแล้วนั่นมันกลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ได้กำลังใจ”เมื่อความภูมิใจ คือการได้ส่งต่อโอกาส“ณ ตอนนี้ สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการที่เราทำอะไรให้สังคม แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง พอเราโตขึ้นมา แล้วผ่านการประกวด สิ่งต่าง ๆ ที่เราพูดออกไป มันออกไปสู่สังคมได้มากขึ้น คือตอนนี้หนูได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “Feline Agency” เป็นเอเจนซี่เกี่ยวกับโมเดลล้วน ๆ ที่เปิดรับทุกเพศตั้งแต่เกย์ ทรานส์ หญิง ชาย หรือ Nonbinary ทุกอย่างครบหมดเลย มันเริ่มมาจากที่เราทำงานมา แล้วเรารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานของทรานส์ในวงการนางแบบมันมีน้อยมาก แล้วเราก็ถูกปิดโอกาส จนได้มาเจอ พี่มี่ มิลิน กับ พี่เล็ก สองคนก็มาคุยกันว่า มีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง หนูก็เล่าชีวิตหนูไป แล้วก็เลยเกิดมาเป็น “Feline Agency” มีเด็กในสังกัด 20-30 คน เป็นการให้โอกาส แล้วก็ต่อยอดเส้นทางความฝันของน้อง ๆ ทำมาประมาณ 4 ปี แล้วเรารู้สึกว่าทำแล้วเกิดเป็นพลังงานดี ๆ กับคนอื่น เป็นความภูมิใจของเรา ก็เลยรู้สึกว่า “Feline Agency” เป็นสิ่งที่ภูมิใจอย่างประสบการณ์ของโม แต่ก่อนเราก็เคยโดนปิดกั้น ตอนเด็กเราอยากเป็นพริตตี้มาก 10 ปีก่อน การเป็นพริตตี้นี่คือเป็นอาชีพที่ทำเงินมาก ๆ แล้วเรารู้สึกว่าคนสวยเท่านั้นที่จะได้เป็น แล้วเราก็ส่งไลน์ไปสมัคร แล้วเค้าก็บอกว่ารับแต่ผู้หญิงแท้อย่างเดียว ซึ่งเราก็รู้สึกว่าพริตตี้บางงานมันไม่ต้องพูด มันไม่จำเป็นจะต้องใช้เสียง แล้วคุณสมบัติอื่น ๆ เรามีนะ แล้วเราสามารถทำได้ แต่ว่าตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าสังคมมันค่อนข้างที่จะปิดโอกาส เราก็เลยถูกปฏิเสธ จนเรารู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมา หากมีโอกาสก็อยากให้เรื่องการทำงาน หรือความฝันของแบบทรานส์ หรือคนทุก เพศ หากอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร ต้องได้ทำ”เพราะฉันเป็นฉัน“สมัยก่อนมันไม่มีคำว่าทรานส์ ไม่มีคำว่า LGBTQ+ มันจะมี ชาย หญิง ตุ๊ด กะเทย ส่วน เกย์อาจจะมีช่วงหลัง ๆ มันจะมีแค่นี้ แล้วพอเราโตมา เราก็ถูกสังคมมองว่าทุกอย่างจะต้องเหมือนผู้หญิง ต้องผมยาว ต้องมีหน้าอก ต้องมีสรีระที่คล้ายผู้หญิงมากที่สุด ต้องมีกิริยาที่เหมือนผู้หญิง ต้องมีการแต่งตัวให้เหมือนผู้หญิง ต้องใช้เสียงโทนผู้หญิง มีช่วงหนึ่งที่เราก็พยายามทำตามสังคม แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ฉัน เพราะว่าเราเป็นคนฉับไว กระฉับกระเฉง ด้วยนิสัยของเราเป็นคนตลก สนุก เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองถูกกดด้วยสังคมอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้หญิงก็ได้ เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นอะไร คนอื่นรู้หรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา มันเป็นเรื่องมุมมองของเขาที่มองกลับมาหาเรามากกว่า ดังนั้นเราทำให้ตัวเองสบายใจ ส่วนคนอื่นจะมองยังไง นั่นคือเรื่องของความรู้ อุดมคติ การใช้ชีวิต และการมองโลกของเค้า ที่มองเข้ามาหาเรา ใครที่จะมาเรียกเราว่า กะเทย ตุ๊ด ผู้หญิง หรือทรานส์ แล้วแต่เลย เราไม่รู้สึกอะไร และฉันเป็นฉันแค่นั้นเอง”ความรัก หัวใจ และความสุขที่ใช่ จากเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว“ความรัก ตอนนี้โมโสดมา 7 ปี ก้าวเข้าปีที่ 8 เรามองว่าอาจจะเจอคนที่ไม่พร้อมสำหรับเรา เหมือนมันก็มีคนเข้ามานะ แต่ว่าโมรู้สึกว่า มันมีคนเข้ามาน้อย เพราะคนส่วนมากจะคิดว่าเป็นคนสวยจะต้องมีคนจีบเยอะเลย แต่จริง ๆ เราไม่มีคนคุย เพราะโมเป็นคนที่ไม่คุยไปเรื่อย แล้วถ้าสมมติเราไม่ชอบ เราก็จะไม่พยายามไปชอบเค้า เพราะว่าเรามองมุมกลับ ถ้าสมมติเราไปชอบคน ๆ หนึ่ง แล้วเค้าพยายามคุยให้เราสบายใจ มันคือการทำร้ายเค้าทางอ้อมแต่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันก็จะเข้ามาป๊บเดียวก็หายไป ไม่ได้เรียกว่าแฟน หรือมีสถานะที่จริงจัง แต่การเป็นโสด เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แต่กลับมีความสุขมาก ๆ พอเราโตขึ้นเราจะรู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ และเราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมากเลย โมรู้สึกว่าตอนนี้เราเป็น Best Version มาก ๆ เราตื่นมาอยากไปยิมก็ไป เล่นยิมเสร็จอยากกินอะไรอร่อย ๆ โมก็ขับไปกินคนเดียว ง่ายมากเลย ทุกอย่างคือความสุขรอบตัว เราหยิบจับอะไรก็เป็นความสุข คนอื่นพยายามไปหาว่าอะไรคือความสุข แต่สำหรับโม แค่กินของอร่อยก็มีความสุขแล้ว ถ้ากินไม่อร่อยก็ทิ้งไป ไปซื้อใหม่แค่นั้นก็มีความสุขแล้วตอนนี้กำแพงหัวใจของเราไม่สูงนะ แต่กำแพงอาจจะมีหลายชั้น คือเราค่อนข้างที่จะเลือก บอกตามตรงว่าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แค่หน้าหล่อ แต่รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วย มันต้องมีความกลมกล่อม สิ่งสำคัญมากคือ เรามองว่าการมีแฟนต้องคุยรู้เรื่อง ถ้าถามปูตอบปลาก็ไม่เอา คุยให้มันตื่นเต้น รู้สึกสนุกกับชีวิต อยากทำอะไรไปทำด้วยกัน ไม่ต้องเครียด เพราะไม่อยากเอาความเครียดมาใส่หัว อนาคตเธอจะวางแผนยังไง ไม่ต้องยุ่งฉันดูแลตัวเองได้ ขอแค่มาเป็นเพื่อนที่เข้าใจกัน มันที่สุดแล้วสำหรับโม”ความฝันต่อไป ของ โม จิรัชยา“ตอนนี้โมรู้สึกมีแพชชั่นกับการใช้ชีวิตของตัวเองมาก ๆ แต่ก่อนการเป็นทรานส์ จะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกาย กลัวมีกล้ามมี Six Pack ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบเข้ายิมเลย แต่ตอนนี้เรากลับมาเข้ายิมได้ประมาณ 5 เดือน แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่เรารู้สึกว่า ทำไมมุมมองสมัยก่อนเรามองตัวเองว่าจะต้องเป็นคนไม่มีกล้ามเนื้อ เป็นคนตัวนิ่ม ๆ เหลว ๆ แต่พอตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยน เรารู้สึกว่ารักร่างกายตัวเองที่มันมีกล้ามเนื้อที่ดี แล้วอารมณ์ดีขึ้น ไม่เครียด และมันมีความสุข แล้วโมก็กลับมาตีเทนนิส ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบทรานส์ที่ตีเทนนิสเก่ง ๆ แล้วพอมานั่งคิดก็รู้สึกว่า ถ้าเราเก่งแล้วเราจะลงแข่ง เราจะอยู่ประเภทไหน ชายเดี่ยวหรือหญิงคู่ หรือว่าผสม รู้สึกว่ามันเป็นอะไรใหม่ ๆ ที่เราอยากลองทำดู”สีสันแรงบันดาลใจจาก โม จิรัชยา“โมมองว่าทุกคนมีฝันหมด แต่ถ้าสมมติมันไปไม่ถึงฝัน ก็อย่าคิดว่าความฝันของเรามันมีแค่ความฝันเดียว มันมีอีกหลากหลายเส้นทาง เราบอกกับทุกคนเสมอว่า ถ้ามีฝันก็พยามไปให้ให้ถึง อาจจะต้องทำจนเหนื่อย ก็ลองทำไปเลย แต่ถ้าสมมติท้อเมื่อไหร่ ไม่ต้องทำ เพราะถ้าท้อมันจะเป็นทุกข์ หรือลองหันไปทำอย่างอื่น ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบเลย เราอาจจะกลายเป็นชอบขึ้นมาก็ได้ และสุดท้ายสิ่งที่เราทำได้ดี มันอาจจะเป็นความฝันของเราอีกทางก็ได้ บนโลกนี้มีหลากหลายอาชีพ มีหลากหลายความฝัน คนก็เหมือนกัน ทักษะเรามีเยอะแยะ ลองทำหลาย ๆ อย่าง และอย่าลืมว่าความฝันอย่างอื่น ก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน” - โม จิรัชยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

กว่าจะเป็น “มิ้วกี้ ไปรยา” ตัวแม่สุดเซ็กซี่ซู่ซ่า กับการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกเพศ หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง

07 ก.พ. 2025

กว่าจะเป็น “มิ้วกี้ ไปรยา” ตัวแม่สุดเซ็กซี่ซู่ซ่า กับการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกเพศ หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง

“หนูยังอยากให้ผู้หญิงทุกคน มีหน้าที่การงานของตัวเอง สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเอง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกกัน มันจะไม่แค่เสียใจที่จากกัน แต่มันจะวุ่นวายกว่านั้นมาก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “มิ้วกี้ ไปรยา” ยูทูบเบอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุคที่ทั้งเก่งทั้งเซ็กซี่ ปัจจุบันเป็นเจ้าของช่องยูทูบ Milky Praiya เป็นไอดอลของสาว ๆ รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์สุดปัง กว่าจะมีวันนี้ เธอเคยผ่านความอุปสรรค และความยากลำบากมาก่อน จนพบจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเรื่องยากในชีวิต ที่ต้องผ่านไปให้ได้“เรื่องยากที่สุดของปีนี้ เพิ่งเกิดขึ้นเลยค่ะ คุณพ่อเสียชีวิตกะทันหันมากเลยแบบเราไม่ได้ตั้งตัว คือคุณพ่อรู้สึกแน่นหน้าอกตอน 11 โมง แล้วรู้สึกหายใจไม่ออก น้องสาวก็พาไปหาหมอ พอไปหาหมอได้สักพัก น้องสาวก็โทรมาบอกว่า คุณหมอบอกว่าคุณพ่ออาการ 50:50 เราก็ตกใจว่าเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนแรกเราก็คิดว่าคุณหมอน่าจะช่วยคุณพ่อได้ เพราะว่าคุณพ่อเคยผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจมาแล้วตอนนั้นคุณพ่อก็รอดชีวิตมาได้ ครั้งนี่เราเลยคิดว่าคุณหมอก็น่าจะช่วยได้ มิวกี้ กับ คุณแม่ เลยรีบไปโรงพยาบาล ไปถึงน้องสาวก็บอกว่าคุณพ่อหยุดหายใจไป 20 นาทีและ ทีนี้มันเป็นฉากเหมือนในละครเลยค่ะ มิวกี้ น้องสาว และคุณแม่ นั่งอยู่ในห้องที่ปิดกระจกแล้วให้เรานั่งรอ เค้าก็จะมีจอทีวีให้เราเห็นการผ่าตัด สักพักก็มีพยาบาลท่านนึงเดินมาแล้วก็เปิดจอทีวี จังหวะนั้นเราก็หันไปคุยกับคุณแม่แป๊บเดียว ไม่ถึง 2 นาที หันกลับมาอีกที ก็มีคุณหมอสองท่านมายืน แล้วก็มีพยาบาลอีกประมาณ 4-5 ท่านมายืนแล้วก็บอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราช่วยชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้ ด้วยความที่มิ้วกี้ตกใจมาก ๆ ก็เลยถามกลับไปด้วยความตกใจมาก ๆ ว่า หมายความว่าไงคะ คุณหมอพ่อเสียชีวิตเหรอคะ เค้าก็บอกว่า ใช่ครับ ด้วยความช็อกมิ้วกี้ถามย้ำแบบนี้อีก 2 ครั้ง ได้คำตอบเหมือนกันเลย ตอนนั้นมิ้วกี้ปล่อยโฮแล้วก็กอดกับคุณแม่ถามคุณหมอว่า ไม่มีทางช่วยเลยเหรอคะ เพราะเราก็คิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะช่วยได้อีกสัก ครั้ง คุณหมอก็บอกว่า เสียใจด้วยนะครับ คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว นี่คือเรื่องที่เรียกว่ายากมากเลยที่เกิดขึ้นกับมิ้วกี้”มิวกี้ ไปรยา ทำอาชีพอะไรบ้าง?“ก่อนหน้าที่จะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีงานภาพยนตร์ หรือว่ามีละคร หนูเป็นนักธุรกิจหรือแม่ค้านั่นเอง แล้วหนูได้ตำแหน่ง Miss Sexy Leo Girl 2012 แล้วก็ได้อยู่ในวงการมาตั้งแต่ช่วงนั้น แล้วก็ออกจากวงการมาเร็วเพื่อมาทำธุรกิจ เพราะหนูรู้สึกว่า งานในวงการมันไม่ยั่งยืน ตอนที่ได้รับรางวัลหนูก็รีบทำงานกอบโกยแล้วก็รีบออกไป ตอนนั้นโซเชียลยังไม่เป็นที่นิยม ก็เลยไม่ค่อยมีคนรู้จักเรามากนัก แต่ก็จะมีฐานแฟนที่เป็นฐานแฟนจริง ๆ ที่รู้จักว่าเราอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 2012 แล้วก็รู้จักเรามานานแล้ว แล้วหนูก็รีบเก็บเงินให้เร็วที่สุด แล้วก็ออกจากวงการไปเปิดร้านอาหาร ไปทำอาหารเสริมเป็นแม่ค้าทำออนไลน์ จนวันหนึ่งได้กลับเข้ามาทำ Youtube อีกครั้ง จนมีชื่อเสียงกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์อีกครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์เป็นนางเอกอีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นทั้งแม่ค้า เป็นทั้งอินฟลูเอนเซอร์ แล้วก็เป็นตัวแม่ ที่ต้องต่อสู้ค่ะ”ตัวแม่ ผู้อยู่ท่ามกลางความหลากหลาย“หนูอยู่กับพี่สาว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ที่เป็นกะเทย แล้วน้องสาวของหนู ก็เป็นทอม ซึ่งหนูอยู่กับคนใกล้ตัวที่เป็น LGBTQ+ แล้วหนูไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องแปลก หรือแตกต่างเลย หนูอยู่กับคนเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด เลยไม่ได้รู้สึกว่าการมีเพศที่สาม หรือการมีกะเทย การมีทอม มีเลสเบี้ยน มีหญิงรักหญิง ชายรักชาย มันเป็นเรื่องพิเศษหรือแตกต่างและหนูโชคดีมากเลยที่ทุกคนในครอบครัวเปิดกว้าง อย่างคุณแม่ก็เข้าใจน้องมาก ๆ คุณพ่อก็เข้าใจ ที่บ้านไม่มีการบูลลี่ หรือพูดถึงความหลากหลายในทางที่ไม่ดี รวมถึงตัวหนูเองก็ไม่เคยว่าน้อง เราเข้าใจซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องดีมากที่เราไม่ตัดสินด้วยเพศมากันตั้งแต่แรก แล้วหนูก็อยู่กับพี่สาวที่เป็นกะเทยนางโชว์ หนูก็จะซึมซับความเป็นกะเทยมาเยอะ ก็เหมือนสนิทกัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกแตกต่าง มันเป็นธรรมชาติมาก ๆ”คอนเทนต์ที่ไม่ได้สร้างแค่ความบันเทิง“ที่คนชอบดูคอนเทนต์หนู หนูคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่า หนูไม่ได้ให้แต่ความบันเทิง หนูอาจจะให้แรงบันดาลใจ เพราะว่าหนูจะชอบเขียนแคปชั่น หรือพูดถึงเรื่องราวของตัวเอง ลงไปในช่องทางของตัวเอง ว่าเราเคยผ่านอะไร หรือเราเคยเจออะไรมาบ้าง เพื่อให้เป็นแนวทาง หรือสมมติว่ามีคนที่กำลังดาวน์อยู่ จากการเจอเรื่องราวแบบเดียวกับเรา แล้วเค้าผ่านมาเจอข้อความของหนู แล้วมันอาจจะช่วยเหลือเค้าได้ในวันที่เค้าแย่ที่สุด ซึ่งหนูได้รับข้อความจากแฟนคลับเยอะมาก ๆ ที่บอกว่า พี่มิ้วกี้หนูเคยคิดสั้นเพราะหนูเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หนูไม่มีงานทำ หมดสิ้นหนทางแล้ว หนูไปต่อไม่ได้แล้ว แต่พอหนูมาเจอพี่แล้วพี่ทำให้หนูรู้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แล้วก็ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง เราได้ข้อความเหล่านี้เยอะมาก ซึ่งหนูรู้สึกดีมาก ๆ เลย แล้วอีกแรงผลักดันที่ทำให้หนูอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป เพราะหนูรู้ดีว่าถ้าเราได้พูดอะไรแล้วเสียงมันมักจะดังกว่า ซึ่งหนูอยากจะทำให้คนที่เลิกกับสามี หรือว่ามีปัญหาอะไรก็ตามที่หากหนูได้พูดให้เค้าฟังแล้วเค้าสามารถเอาสิ่งที่หนูพูด ไปเป็นแรงบันดาลใจ หนูจะมีความสุขที่วันนี้หนูได้ช่วยเค้าเหล่านั้น ซึ่งความบันเทิงก็มีค่ะ มีให้ตลอด แต่หนูอยากให้อะไรที่มันมากกว่านั้น”การช็อปปิ้ง ตามแบบฉบับของ มิวกี้ ไปรยา“หลายคนคิดว่าหนูเริ่มมาจากการทำคลิปช็อปปิ้งเลย ซึ่งบอกก่อนเลยว่าคลิปแรกมันคือคลิปที่หนูพาลูกพาสามีเก่าไป Dreamworld แล้วหนูก็นั่งคิดว่าคลิปต่อไปทำอะไรต่อดี หนูก็เอาของที่หนูใช้อยู่มารีวิว ซึ่งหนูไม่ได้เสียเงินอะไรเลย หนูเสียแค่ค่าตัดต่อ แล้วพอดีว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนูจะต้องไปต่างประเทศกับสามีพอดี ก็จะมีการไปเที่ยวกัน แล้วก็คุยกันเล่น ๆ แซวกันว่า วันนี้หนูจะช็อปปิ้ง พี่ให้หนูเท่าไหร่ไหนบอกมาซิ แล้วเค้าก็บอกว่า ล้านนึง หนูก็ตอบไปว่า ล้านนึงไม่พอหรอก ต้อง สองล้าน มันเหมือนสามีภรรยาแซวกันเล่น ๆ แล้วก็เริ่มไวรัลจากจุดตรงนั้น คนก็ชอบดูเวลาหนูช็อปปิ้งเพราะว่าหนูช็อปสนุก หนูช็อปแบบให้ความรู้ด้วย แล้วหนูก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า หนูจะทำอะไรที่ทำให้หนูอยู่ตรงนี้ได้ยาว ๆ เพราะหนูยิ่งทำไปได้เรื่อย ๆ หนูก็ยิ่งรักในช่องของหนู เริ่มรักในตัวตนของมิ้วกี้ ไปรยา หนูก็เลยคิดว่างั้นเราต้องเป็นตัวเอง หนูชอบช็อปปิ้ง ก็เลยทำคลิปช็อปปิ้ง กลายเป็นตัวแม่แห่งการช็อปปิ้งไปเลยแรก ๆ อาจจะโดนด่าว่าอวดรวยบ้าง อวดความแพงบ้าง แต่ตอนหลัง ๆ ไม่ค่อยโดนด่าแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ปลอม หนูซื้อจริง ทุกอันที่ทำคลิปหนูซื้อจริง ๆ ตอนแรกที่โดนด่า หนูเคยอยากด่ากลับ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย หนูรู้สึกว่าแม้คนด่าเราทุกวันแต่เราไม่ได้ยิน เราแค่ไม่อ่านมันก็จบ ก็ปล่อยไป บางทีมันรำคาญตามากก็ลบไปเลย แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องอ่าน เราก็เลือกอ่านแต่คอมเมนท์ดี ๆ เมื่อก่อนหนูเคยพยายามอธิบายกับทุกคอมเมนท์เลย แต่หนูรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะทำ ถ้าคนไม่ชอบเค้าก็ไม่ชอบอยู่ดี แล้วเค้าเป็นใครก็ไม่รู้ หลัง ๆ ก็เลยปล่อยวางค่ะ”กว่าจะรวยมาก ชีวิตก็ผ่านความลำบากมาก่อน“ย้อนกลับไปก่อนหนูจะมีชีวิตเหมือนทุกวันนี้ ตอนนั้นหนูไม่มีบ้าน จนอายุ 23-24 หนูอยู่บ้านเช่ามาหลายปี ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านหลังแรกจะเป็นบ้านที่เหมือนคุณพ่อไปปลูกร่วมกับญาติคุณพ่อ เป็นบ้านหลังเล็กมาก ๆ หนูก็อยู่กันพ่อแม่ แล้วก็น้องสาว หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านคุณยาย ก็จะมีหลายห้อง แต่ก็จะมีคุณน้า หลาย ๆ คนอยู่ จนวันหนึ่งหนูก็บอกพ่อกับแม่ว่า เราน่าจะย้ายได้แล้วนะ เพราะว่าหนูกับน้องสาวก็เริ่มโตแล้ว เราจะอยู่ห้องรวมแบบนี้ไม่น่าจะได้ ก็ย้ายออกมามาอยู่บ้านเช่าซึ่งเป็นตึกแถว ค่าเช่าห้องละ 3,000 บาทแต่หนูมุ่งมั่น หนูมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ว่าถ้าโตขึ้นหนูจะทำให้พ่อแม่ไม่ต้องลำบาก พ่อแม่หนูจะต้องไม่อยู่บ้านเช่า จะต้องอยู่ดี กินดี อยู่สบาย หนูจะทำทุกอย่างไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม เป้าหมายของหนูคือพ่อแม่จะสบายโดยที่ไม่ได้คิดว่าฉันจะมาเป็นนักช็อปปิ้ง แต่ทุกครั้งที่หนูผ่านตึกใหญ่ ๆ สูง ๆ หนูจะนั่งมองทุกครั้ง แล้วหนูก็จะคิดว่า สักวันหนึ่งหนูจะเป็นเจ้าของตึกพวกนี้ให้ได้ คิดโดยที่ไม่ได้บอกใคร เก็บเอาไว้ในใจ แล้วพอวันหนึ่งที่มันชัดภาพมันชัด หนูก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ และหนูจะพูดคำนี้เสมอว่า อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร หลายคนชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ เช่น ตอนนี้ฉันอายุ 35 แล้ว ยังไม่มีอะไรเลย แต่ดูมิวกี้เค้ามีทุกอย่างเลยตอน 35 ซึ่งจริง ๆ แล้ว ความสำเร็จเค้าไม่ได้วัดแค่ตอนอายุ 35 หรือ 40 เค้าวัดกันทั้งชีวิต ช่วงเวลาของคุณอาจจะไม่ใช่ 35 แต่อาจจะเป็นช่วง 50 ก็ได้ ตอนคุณอายุ 50 คุณอาจจะมีทุกอย่าง มีบ้านที่มันมั่นคง มีรถ มีทุกอย่างที่มันมั่นคงก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แล้วข้อดีของหนูคือหนูไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านเลย หนูโฟกัสหน้าที่ของหนู หนูทำงานของหนู แล้วหนูก็ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ด้อยค่าตัวเอง แม้ว่าหนูจะเจอเรื่องหนักแค่ไหนก็ตาม หนูไม่เคยด้วยค่าตัวเอง คนเราเจอปัญหาได้ คนเราล้มได้ ล้มแล้วต้องลุก คนตายเท่านั้นที่จะไม่สู้ เรายังไม่ตายเราต้องสู้”ทำงานกับ มิวกี้ ต้องอย่าลืมความ Beauty“หนูรู้สึกว่า การแต่งหน้า มันเป็นพลังอย่างหนึ่ง แล้วไม่ได้เกิดพลังแค่กับตัวเรา มันเกิดพลังกับคนรอบตัวด้วย ตัวอย่างเช่นเวลาเราไม่แต่งหน้า เราจะหลบหน้าผู้คน เราจะไม่อยากเจอใคร หรือฉันขอใส่แมสก์ดีกว่า แต่ถ้าเราแต่งหน้า เราจะมั่นใจ วันนี้ลูกค้ามาฉันพร้อมเปิดรับ ดังนั้นมันเลยกลายเป็นกฎเหล็กกับทุกคนในบริษัทหนูว่า ทุกคนต้องแต่งหน้า เราขายความสวยความงามอยู่ ถ้าหน้าลูกน้องยังไม่พร้อม แล้วเราจะขายอะไร ดังนั้นทุกคนต้องแต่หน้า ตื่นมาพอเค้าได้แต่งหน้าทาปาก แล้วมันจะได้มีความมั่นใจ เพิ่มพลังให้ตัวเอง และสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเจอด้วย”ความรักครั้งเก่า ที่ต้องก้าวผ่าน“ความรักกับสามีเก่า มันเป็นการเลิกรากันที่ก็ไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกัน หนูเคยมีความคิดมาตลอดว่า คน ๆ หนึ่งจะสามารถอยู่กับอีกคนได้นานขนาดที่จะแก่ไปด้วยกันเท่ารุ่นพ่อแม่เราไหม จนวันหนึ่งหนูก็ได้ใช้ชีวิตครอบครัว แล้วก็อยู่กันมา 9 ปีแล้วหลังจากเลิกรากันไป มันค่อนข้างแย่พอสมควร เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของหนู และอดีตสามี แต่มันดันเป็นเรื่องของประชาชนด้วย มันกลายเป็นการเข้าใจผิดมากมายหลายอย่าง คนเดากันไปหลายอย่างมาก แต่ว่าคะแนนคนด่ามันมาทางหนูที่เป็นฝ่ายผิด หลายคนมองว่าหนูมีคนอื่นณ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า ความรัก ถ้ามันไม่เท่าเดิม มันควรจะเพิ่มขึ้น และต้องไม่น้อยลง แล้วตอนนั้นเราต่างทำงานเยอะมากกันทั้งคู่เหมือนกัน แล้วเค้าก็เหมือนอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา จากที่เมื่อก่อนเราคุยกัน ไปช็อปปิ้งด้วยกัน มันกลายเป็นก้มดูโทรศัพท์ตลอดเวลา จนหนูก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเลยที่เค้ามากับเรา แล้วมันก็มีอีกหลายปัญหาที่ยิบย่อย ที่ทำให้หนูรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่อยู่คนเดียว หลายคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ ก็จะมาว่าหนูว่า เค้าดีจะตาย เค้าน่ารัก ซึ่งหนูไม่เถียงเลย เค้าเป็นสามีที่ดี ตั้งแต่เราอยู่กันมา 9 ปีไม่เคยมีเรื่องชู้สาว เราไม่เคยมีเรื่องนี้เลยทั้งคู่ แล้วก็ความรักมันไม่ใช่แค่เรื่องชู้สาว มันมีรายละเอียดอีกมากมายที่มันเกิดขึ้นระหว่างทาง และตอนหลัง ๆ เราเริ่มคุยกันคนละเรื่อง หลาย ๆ อย่างที่เราเคยทำร่วมกัน หนูกลายเป็นทำคนเดียว หนูก็เลยเลือกอยู่คนเดียวดีกว่าต้องบอกก่อนว่า หนูเป็นผู้หญิงที่ทำงานและหาเงินเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก และหนูอยากจะบอกผู้หญิงทุกคนเลยว่า ถ้าคุณโชคดีที่มีสามีที่รวยมาก แล้วเลี้ยงคุณได้ เนี่ยแล้วคุณมั่นใจมาก ๆ ว่าชีวิตนี้เค้าจะเลี้ยงคุณไปตลอดก็ไม่เป็นไร แต่หนูยังอยากให้ผู้หญิงทุกคนมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง สามารถยืนได้ด้วยขาตัวเอง เพราะว่าวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนหนูก็ไม่ได้ตั้งตัวเหมือนกัน หนูก็ไม่ได้อยากให้เรื่องราวจบแบบนี้ แต่หนูโชคดีมากที่หนูทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ใช่แค่เสียใจที่จากกัน มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในตอนที่เลิกกันมันกลายเป็นกระแส หนูโดนด่าหนักมาก จนประสาทเสียมาก ๆ ตอนนั้นหนูยอมรับว่าหนูเซมาก ๆ หนูต้องจิตแข็งมากถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ขนาดนี้ ทำไมชีวิตเราต้องมาเจอกับคนเหล่านี้ด้วย ที่เค้าด่าหนูเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่เคยรู้จัก บางคนไม่เคยเจอ ไม่เคยคุยกับเราด้วยซ้ำ”ล้มไม่ได้ เพราะต้องพายเรือส่งอีกหลายชีวิต“มรสุมชีวิตช่วงนั้น หนูก็ลืมนึกไปเลยว่าสามารถผ่านมันมาได้ยังไง แต่ว่ามันยากมากกับภาวะจิตใจ รวมถึงหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนอ่ะหนูเป็นคนคิดเร็วทำเร็วมาก ๆ พอเจอปัญหาตรงไหน หนูจะรีบแก้ไขทันทีไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่เรื่องของชีวิตคู่ เรื่องของความรักครั้งนี้ที่มันพังลง หนูยอมรับเลยว่าตัวเองเพิ่งจะเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่อง มันต้องใช้เวลาหนูตั้งสติว่าวันนี้เราตัวคนเดียวแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเรามีลูกที่รอเราอยู่ เรามีแม่ มีพ่อ ที่รอเราอยู่ มีลูกน้องที่รอเราอยู่ หนูเหมือนคนพายเรือ เหมือนหนูมีเรืออยู่ลำนึง แล้วหนูก็พายไปเรื่อย ๆ บนเรือหนูจะมีพ่อและแม่ แล้วก็มีลูกอยู่ด้วย แล้ววันนึงลูกน้องเจอก็อยากขึ้นฝั่ง หนูก็เรียกขึ้นมา จนเต็มเรือไปหมด เพราะฉะนั้นแล้วหน้าที่ของหนูคือ ต้องพายไปอย่างสม่ำเสมอ พายไปอย่างมั่นคง โดยที่ให้ทุกคนบนเรือไปถึงฝั่งแบบปลอดภัย เพราะฉะนั้นหนูจะมาทำตัวเมาเละเทะ ทำชีวิตพังไปวัน ๆ ไม่ได้ เพราะหนูมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องรับผิดชอบ หนูดูแลหลายชีวิตมากเลย หนูรู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่ามาก ๆ สำหรับการที่จะต้องดูแลคนหลาย ๆ คน ฉะนั้นต้องไปต่อ และการก้าวผ่านปัญหาครั้งนั้น มันทำให้หนูเปิดใจให้กับเพศที่สามมากขึ้น เปิดใจให้กับทุกเพศเลยที่เข้ามา มันไม่แปลกเลยถ้าเราจะชอบผู้หญิง ไม่เห็นแปลกเลยที่เรารู้สึกว่าอยู่กับผู้หญิงแล้วเรามีความรู้สึกดี คุยกันแล้วมันเข้าใจ คุยกันแล้วรู้เรื่อง เจอกันแล้วรู้สึกดีจังเลย เราก็เปิดใจได้ ไม่เห็นจะต้องปิดตัวเองสำหรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย”ความสุขแสนง่าย ของ มิ้วกี้ ไปรยา“ความสุขของหนูง่ายมากเลย มันคือการตื่นมาแล้วแม่คลุกข้าวกับปลาดุกย่างให้หนูกิน แค่นั้นหนูก็มีความสุขแล้ว การที่หนูได้กินของที่ชอบ หนูก็มีความสุขแล้ว หนูรู้สึกว่าดีจังเลยที่วันนี้ตื่นมาแล้วไม่ปวดหัว เพราะหนูเป็นไมเกรน หนูเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรที่ง่ายมาก ๆ อย่างผู้ชายที่มาจีบ หรือใครที่มาจีบจะเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างงั้น หาสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อให้หนู คือได้ของเราดีใจนะ แต่ถ้าถามตัวหนูจริง ๆ ความสุขของหนูคือง่ายมาก หนูเจอมิตรภาพที่ดี เจอผู้จัดการที่ดี หนูรู้สึกว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เรามี ณ ขณะนี้ มันดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องทะเยอทะยานมากจนเกินไป รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ มีสติอยู่กับมัน แค่นี้ก็โอเคแล้ว”ความเป็นคุณแม่ ของ มิ้วกี้ ไปรยา“หนูค่อนข้างเลี้ยง น้องกาเนส แบบแมน ๆ ค่อนข้างเป็นแม่ที่มีความเป็นผู้ชายสูงมาก หนูจะไม่แบบลูกขา ทำอย่างนี้ค่ะ หนูเป็นแม่ที่ค่อนข้างมีความเป็นผู้ชายในตัวอยู่ด้วยแล้ว น้องกาเนส เหมือน มิ้วกี้ ในเวอร์ชั่นจิ๋ว เวลาพูด เวลาทำอะไร คำศัพท์ต่าง ๆ ที่พูดออกมา รู้เลยใครเลี้ยงลูก และ มิวกี้ สอนลูกเสมอว่า ลูกต้องห้ามดูถูกเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม เราไม่ชอบก็ห้ามว่า ให้เก็บไว้ในใจ แล้วโลกมันไปไกลมาก แม่จะมีแฟนเป็นผู้หญิงก็ได้ แล้วเค้าก็เห็นน้าสาวที่มีแฟนเป็นผู้หญิงเค้าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาสงสัย แต่ มิ้วกี้ จะคุยกับเค้าเรื่องเพศบ่อยมากว่า ตอนนี้มันเปิดกว้างมาก สอนตลอดเพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกโตไปจะเป็นเพศไหน เผื่อวันหนึ่งเค้าสับสนในตัวเอง เค้าจะได้รู้ว่าแม่สอนเรามาแบบนี้ และเค้าจะได้กล้าเปิดกับเราว่า เค้าชอบอะไรก็อยากจะบอกเค้าว่า หม่ามี้ รัก กาเนส มาก ๆ แล้วก็อยากให้กาเนส สามารถอยู่กับคนได้ อยากให้กาเนสเป็นคนที่อยู่ง่ายกินง่ายเข้าใจง่าย แล้วก็เข้าใจทุกคน ทำตัวสบาย ๆ ยอมรับความหลากหลายและความแตกต่าง แม่อยากให้กาเนสอยู่กับใคร แล้วใคร ๆ ก็รักเค้า” - มิ้วกี้ ไปรยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

31 ม.ค. 2025

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “ปิงลี่ เฟมัส” จากนักสู้จริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง

“การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จำเป็นต้องรอ และวันนี้ปิงมีลูก เพื่อทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ในอนาคตเราจะต้องเจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกมากมาย ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรในรุ่นต่อไป จึงอยากให้มีการทำความเข้าใจ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฝัน และมันไม่ผิดแปลกเลยที่ปิง อยากจะมีลูก”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ปิงลี่ เฟมัส” แม่ค้าขายของออนไลน์สุดปัง อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง แถมดีกรีเน็ตไอดอลพี่กระเทย ที่โด่งดังในโลกโซเชียล เคยปรากฏตัวตามในรายการดัง และเป็นเพื่อนของแก๊งอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เอม ตามใจตุ๊ด, นินิว เพชรด่านแก้ว และ มิกซ์ เฉลิมศรี นอกจากนี้แล้วยังมีดีกรีเป็นนางงาม เจ้าของตำแหน่ง มิสขี้เมา ปี 2024 กับบทบาทล่าสุดคือการเป็นคุณแม่ป้ายแดงอีกด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการปิงลี่ เฟมัส ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“ต้องบอกว่าตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ปิงลี่ ฮะโหน่ง เพราะว่า มิกซ์ เฉลิมศรี เป็นคนตั้งให้ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนติดดูดวงมาก ก็เลยได้หมอดูคนดังมาดูดวงให้ ทีนี้เค้าเลยบอกว่าให้ตั้งชื่อว่า ปิงลี่ เฟมัส แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะอยู่ในวงการนี้ได้นาน และค่อย ๆ ก้าวไปแบบมั่นคง ถ้าใช้ชื่อว่า ฮะโหน่ง คนก็จะจําแบบไม่นาน หมอดูก็เลยให้ใช้เป็นชื่อนี้ จะได้วางตัวดี ๆ หน่อยส่วนชื่อ ปิง ได้มาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นกะเทยหัวโปก แล้วไปเห็นว่ามีรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ต่างโรงเรียนกัน แล้วน้องชื่อ น้องปิง เป็นดาวโรงเรียน สวยชนิดที่ว่า ถ้าพูดชื่อนี้ที่พิษณุโลก คือรู้จักเลย แล้วเราก็อยากให้คนรู้จักบ้าง ก็เลยใช้ชื่อ น้องปิง จากนั้นก็กลายเป็นว่าใช้ชื่อนี้มาจนถึงเรียน ม.กรุงเทพ แล้วพอมาเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นใครมีชื่อสองพยางค์มันน่ารักเลย ก็เลยใช้ชื่อ ปิงลี่ก่อนเป็น ปิงลี่ เราชื่อ วัด เพราะตอนเด็ก ๆ ป่วยบ่อย คุณแม่ก็เลยเอาไปเป็นลูกบุญธรรมของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อบอกว่าให้เอามาถวายให้หลวงพ่อ จะทำให้แข็งแรงขึ้น ผีจะได้ไม่เอาไป”มาถึงวันนี้ ปิงลี่ ภาคภูมิใจอะไรที่สุดในชีวิต“ปิงภูมิใจเรื่องของ ความอดทน ของตัวเอง เพราะปิงใช้คําว่าช่างมันกับตัวเองค่อนข้างเยอะมาก จนสามารถผ่านเรื่องที่เลวร้าย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย แล้วมันก็เกิดขึ้นกับเรา จน ปิงลี่ ก็ใช้คําว่า ช่างมัน และ อดทน จนผ่านมันมาปิงเกิดในครอบครัวที่ พ่อแม่เป็นกรรมกร แล้วตั้งแต่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณแม่ก็จะเป็นคนที่หาเงินคนเดียว ได้เงินเดือนละ 3,000 บาท แล้วแม่ต้องเลี้ยงลูกสองคน ดังนั้นเรื่องที่เราจะต้องได้เสื้อผ้าใหม่ หรือของเล่นอะไรใหม่ ๆ คือเกิดขึ้นน้อยมาก หรือบางครั้งขาดไปเลยก็มี เพราะต้องใช้เงินเพื่อกินไปวัน ๆ เท่านั้นแล้วปิงมองว่ามันน่าจะเป็นทุกบ้านที่จะมีลูกรักของพ่อ หรือลูกรักของแม่ ซึ่งปิงเองเป็นลูกของแม่ แล้วตั้งแต่พ่อเลิกกับแม่ไป พี่สาวก็จะได้เจอกับคุณพ่อบ่อย ส่วนเราก็ไม่เจอเลย แต่เราก็เป็นคนเลือกที่จะไม่เจอนะ เพราะเรารู้สึกว่าทําใจไม่ได้กับการเลิกกันของทั้งคู่ และไม่สบายใจเวลาที่เห็นแม่ร้องไห้นอกเหนือจากความอดทนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวแล้ว อีกอันคือ ในยุคนั้นการบูลลี่ การแกล้ง โดยเฉพาะเป็นเพศนี้ ก็จะโดนแกล้ง ซึ่งต้องใช้ความอดทนกว่าจะผ่านมาได้ มันเลยเป็นสิ่งที่เราภูมิใจค่ะ”ที่เข้มแข็งในวันนี้ เพราะเคยโดนบูลลี่มาก่อน“ตอนเด็ก ๆ ปิง โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งบ่อย มีครั้งหนึ่งคือถูกเอาปืนแก๊ป ที่มันเป็นหลุมยิงได้ 6 นัด เอามายิงใส่เสื้อเสื้อเราจนขาดเพราะมันเป็นประกายไฟ พอกลับไปบ้านก็โดนแม่ตี เรื่องนี้แหละนำให้ปิงไปสู่การที่ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง เพราะตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากเลย กับการโดนแกล้ง จนไม่อยากออกไปเจอเพื่อนเลย ไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซึ่งคนที่ทำให้ปิงฮึดสู้คือพี่ชายค่ะ ตอนนั้นเค้าเห็นว่าเราไม่สู้คนเลย แล้วเค้าก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราโตไปโดยที่เราไม่ปกป้องตัวเองเลย มันจะทำให้เราเสียเปรียบ แล้วเราก็จะโดนแกล้งอยู่ตลอด เค้าก็เลยพาเราไปสอน ซึ่งตอนนั้นมันจะเป็นมวยคาดเชือก คือเอาเชือกมากั้นเป็นเวที แล้วก็ให้เราขึ้นไปยืน จากนั้นก็ให้เด็กที่ใส่นวมต่อยเรา แล้วเราต้องยืนอยู่ตรงกลาง แล้วก็ต้องทนให้เค้าต่อย จนทำให้ร่างกายมันจํา จะโดนต่อยตรงไหนก็ต้องเกร็งตรงนั้น ถ้าล้มก็ต้องเริ่มใหม่ แล้วเค้าก็จะมาสอนเราว่า ถ้าเราไปสู้มันจะเจ็บแบบนี้ ให้เราได้รู้ก่อนว่าความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง พอเราจําว่าเราจะต้องเจ็บยังไง วันต่อมาเราก็ต้องเริ่มที่จะชก เริ่มที่จะต้องปัด ฝึกแบบนั้นตั้งแต่ 9 ขวบค่ะ”เป็นคนรักเพื่อน เพราะมีเพื่อน ถึงมีปิงลี่วันนี้“หลากหลายครั้งที่ ปิงลี่ เจ็บตัว มันแลกมากับการที่เราพยายามปกป้องเพื่อนเรา เพราะปิงโตมากับเพื่อน เพราะตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อ มันทำให้ปิงมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่แค่แป๊บเดียว เพราะแม่ต้องทำงาน แล้วช่วงที่เราเข้ามัธยม ปิงก็ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหมดเลย กลายเป็นว่า เพื่อนพาไปนอนบ้าน พาไปกินข้าว พาไปโรงเรียน พาไปเที่ยว มันก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน จนเพื่อนเปรียบเสมือนครอบครัวไปเลยที่ปิงเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ก็เป็นเพราะเพื่อนเลย ตอนนั้นเรามีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 12 คน ซึ่งทุกคนช่วยกันลงขันคนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันจ่ายค่าเทอมให้ปิง ตอนนั้นค่าเทอมประมาณ 40,000 บาท แล้วพวกเราช่วยกันเรียน ช่วยกันทํางานส่งอาจารย์ จนเรียนจบมาด้วยกันได้แล้วในชีวิต ปิงรู้สึกว่า มีเพื่อนอยู่สองคน ที่ปิงทักไปหา แล้วอยากเป็นเพื่อนกับสองคนนี้มาก จนทักไปบอกว่า เราขอเป็นเพื่อนเธอได้ไหม ซึ่งสองคนนั้นคือ นินิว เพชรด่านแก้ว และ เอม วิทวัส หรือ เอม ตามใจตุ๊ด ในตอนนั้นปิงรู้สึกว่าพวกเรามันคือไทป์เดียวกัน ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันคงจะตลก แล้วปิงอยากมีเพื่อนตลก แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยที่เป็นเพื่อนกับทั้งสองคน ปิงทักไปหา นินิว ก่อน แล้วถึงจะทักไปหา เอม ซึ่งนางสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว พอได้คบกันแล้วไลฟ์สไตล์เราเข้ากันได้ ก็คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”คลิปสุดปัง เปลี่ยนชีวิตปิงลี่“ถ้าเป็นคลิปที่ดังที่สุดเลย ตอนนั้นก็ต้องเป็น Socialcam เลย ย้อนไป 12 ปีก่อน ตอนนั้นมี Socialcam ก็จะเป็นแอปพลิเคชัน ที่คล้าย Tiktok ที่จะมีการโพสต์วิดีโอลงไป แล้วก็จะมีคลิปที่ปิงถ่ายคู่กับ ธาวิน ก็คือแฟนคนปัจจุบัน มันเป็นคลิปเล่นกันปกติเลย คือปิงตั้งกล้องไว้ แล้วก็จะทํากับข้าวไป อยู่ดี ๆ ธาวิน ก็วิ่งมาผลักเราลงเตียง แกล้งกันแค่นี้เลย แล้วเราก็อัพโหลดคลิป ลงไป กลายเป็นว่าเกิดเป็นไวรัล ยอดผู้ติดตามขึ้นมาเกือบ 200,000 คน กลายเป็นว่าปิงก็ดังข้ามคืนไปเลยจากนั้นหลังจาก Socialcam ปิด ปิงก็เงียบไปเลย เราก็ไปเป็นแม่ค้า แล้วช่วงนั้น นินิว มีโปรเจกต์อยากทํา สตุ๊ดจ๊อบ แล้วก็มาชวนกันทํา เพราะ นินิว บอกว่า เห็นเราอยู่เฉย ๆ ซึ่งรายการนี้ เกิดมาเพราะว่าเพื่อนมองว่าหนูอยู่เฉย ๆ แต่จริง ๆ เราเป็นแม่ค้าอยู่นะ แต่เพื่อนไม่คิดว่าเราเป็นแม่ค้า มันคิดว่าเราว่างงาน แล้วดูน่าสงสารจัง เพื่อนก็เลยชวนว่ามาทํารายการกันไหม เป็นรายการ สตุ๊ดจ๊อบ ซึ่งตอนนั้น เอม เค้าก็มีรายการตามใจตุ๊ดอยู่ด้วย ก็เลยเกิดเป็นรายการที่แก๊งเพื่อนไปลองทําอาชีพต่าง ๆ จนคนรู้จักปิงมากขึ้น แล้วคนก็มาติดตามเรามากขึ้น แล้วปิงก็เริ่มกลับมาสู่เส้นทาง อินฟลูเอนเซอร์ และ ยูทูบเบอร์ อีกครั้งหนึ่งค่ะ”จากจริตตัวแม่ สู่การเป็นคุณแม่ ของ ปิงลี่ เฟมัส“แรงบันดาลใจในการมีลูกส่วนหนึ่งก็คือ แฟนนี่แหละค่ะ เพราะว่าธาวินเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นคุณพ่อ แล้วเขาก็เลือกแล้วว่าต้องเป็นเรา เขาก็เลยบอกกับเราบ่อย ๆ ว่าเขาอยากมีลูก มีให้หน่อยได้ไหมเรา แล้วเขาศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นกะเทย ดังนั้นการมีลูกมันต้องตอบคําถามหลายอย่างมาก ต้องตอบลูกไม่พอ ยังต้องตอบคำถามกับสังคมอีก จะต้องทํายังไงให้คนได้รู้ว่า มันมีเด็กที่เกิดจาก LGBTQ+ ที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมเราแล้วนะ เราต้องทําให้คนเข้าใจก่อนว่ากระบวนการ และ วิธีการอะไรบ้างที่ทําให้เกิดเด็กแบบนี้ขึ้นได้ในช่วงแรกที่ปิงคิดจะมีลูก ปิงกลัวว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง ต่อให้เรารู้สึกว่าเราจะเป็นแม่ แต่เราไม่ได้คลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องตั้งคําถามกับตัวเองว่า แล้วเวลาที่คนอื่นมองเข้ามา เค้าก็จะมองว่าเราไม่ใช่แม่อยู่แล้ว เพราะเราคลอดไม่ได้ เราไม่ได้อุ้มท้อง สิ่งเหล่านี้มันทําให้ปิงรู้สึกกลัวมากเลยกับการที่จะต้องมานั่งบอกกับลูกซึ่งก่อนหน้านั้นปิงก็ไม่ได้เป็นคนรักเด็ก เวลาเด็กเจอหน้าเราก็จะกรี๊ดเลย เพราะว่าเด็กกลัว เราก็เลยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าอุ้ม ขนาดเป็นลูกของเพื่อน ต่อให้เอ็นดูกับขนาดไหน เราก็จะไม่อุ้ม แต่ในวันที่อยากมีลูก ปิงต้องทําการบ้านเรื่องเด็ก ไปพร้อม ๆ กับการหาคําตอบให้เขา ซึ่งมันยากมากเลย ซึ่งปิงก็จะเล่าให้ฟังหมดเลยว่า เค้าเกิดมาจากความรัก ทุกคนต้องการที่จะให้หนูเกิด และเชื่อว่าหนูจะได้รับความรักจากทุกคนเลยบนโลกใบนี้พอเราตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการ โดยลูกเค้าก็ต้องรู้ทั้งหมดว่า เค้าเกิดมาจากพี่สาวของเราที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน เป็นดีเอ็นเอเดียวกัน แล้วเค้าเกิดมาจากการที่พี่สาวของปิงอุ้มบุญให้ โดยกว่าที่กระบวนการทุกอย่างจะสำเร็จ ปิงก็ผิดหวังมาหลายรอบมาก แล้วพี่สาวก็ทุ่มเทมาก ในการที่จะต้องรักษาตัวเอง รักษามดลูก แล้วทุกวิธีกามันบั่นทอนจิตใจพี่สาวมากเลย ทั้งการเก็บไข่ การขูดมดลูก การเตรียมฉีดฮอร์โมนเข้าตัวเอง แล้วพี่สาวก็อดทนมาก ๆ เพื่อที่จะทำให้ปิงมีลูกให้ได้ ซึ่งตอนนั้นพี่สาวก็อายุ 40 แล้วด้วย ทำให้การดูแลตัวเองต้องเยอะมาก แล้วต้องมีกระบวนการปฏิสนธิในหลอดแก้ว เพราะฉะนั้นพี่สาวก็จะต้องขยับตัวให้น้อย และต้องทานอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเยอะมาก ต้องมีกฎระเบียบกับตัวเองมาก ๆ เลย เพื่อบํารุงครรภ์ ซึ่งในกระบวนการกว่าจะมีลูกได้ ปิงผิดหวังและพลาดไปสองครั้ง ซึ่งถ้าพลาดแล้วทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมดเลย ตั้งแต่การเตรียมพร้อมร่างกาย การฉีดฮอร์โมน จนมันทําให้เรารู้สึกเสียใจและไม่อยากทําแล้ว เพราะว่าเราเป็นห่วงพี่สาว เป็นห่วงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเค้ามาก ๆ เลยในวันที่ มาร์เบลล์ คลอดออกมา เราขอบคุณทุกอย่างเลย ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณแฟน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างเลยที่ทำให้ลูกของปิงได้เกิดมา หลังจากลูกเกิดมา ก็โชคดีที่น้องของปิงที่เค้ามีลูกมาแล้ว และก็มีพี่สาวของปิงเอง คอยให้คําแนะนําในการเลี้ยงลูกอยู่ตลอด ว่าต้องให้นมแม่นะ ให้นมทำยังไง การอุ้มต้องประคองยังไง ซึ่งปิงอยากอุ้มเขาให้ได้เยอะที่สุด เพราะปิงรู้ว่าตัวเองทํางานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เลยค่อนข้างมีเวลาอยู่ที่บ้านน้อย ปิงก็เลยพยายามอุ้มเค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทําได้ ส่วนแฟนของปิงด้วยความที่เค้ามีความเป็นผู้นําครอบครัว แล้วก็มีความเป็นคุณพ่อแบบ 100% คือเค้าเตรียมให้ลูกหมดเลยทุกอย่าง แล้วเค้าก็หาข้อมูลมาหมดเลยว่า ต้องใส่ใจลูกยังไง ไปจนถึงขั้นที่ว่า ไปตรวจความสามารถลูก เพื่อวางแผนอนาคตให้ลูกว่า เค้าจะเติบโตไปในทิศทางไหน เตรียมผลักดันเค้าให้ถูกต้อง ทําทั้งหมดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นพ่อที่ดีให้กับกับเด็กคนหนึ่งได้มาถึงวันนี้ปิงมองว่า การมีครอบครัวในฝัน มันไม่จําเป็นต้องรอ เพราะคําว่าพร้อมมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเรามัวแต่รอ โดยที่ไม่มีการเริ่มขึ้นมาก่อนเลย ไม่ได้ลองผิดลองถูกก่อนเลย มันก็ยังเป็นแค่ลม แต่ที่ปิงมีลูก ก็ไม่ใช่การมีลูกเพื่อที่จะต้องมาเรียกร้องกฎหมาย แต่ปิงมีลูกเพื่อที่จะทําให้ทุกคนได้รู้ว่าในอนาคตต่อไป เราจะต้องได้เจอเด็กที่เกิดจากกลุ่ม LGBTQ+ อีกเยอะมาก ซึ่งเค้าก็จะเป็นประชากรของประเทศไทยในรุ่นต่อไป แล้วเค้าก็ต้องได้กฎหมายคุ้มครองเหมือนกันกับทุกคนในสังคม ซึ่งก็เป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าไม่เริ่มขึ้นเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้แล้วปิงก็ใช้การเป็นนางงามของปิง ทําให้ทุกคนได้รู้ว่า เรากําลังจะได้เป็นแม่ แล้วการที่จะเป็นแม่ของเรา มันจะต้องทําให้ทุกคนได้เข้าใจว่า การเป็นแม่ของ LGBTQ+ หรือการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมันต้องเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และลูกต้องเข้าใจว่าเค้าเกิดมาได้ยังไง และการเกิดมาเป็นลูกกระเทย มันก็ไม่ได้แย่ ปิงคิดว่า เราควรที่จะต้องมีการปลูกฝังพื้นฐาน ให้สังคมเข้าใจก่อน อย่าเพิ่งแอนตี้ อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนปิงมีลูกแล้ว และเราทําให้ดูอยู่ด้วย แล้วปิงเชื่อมั่นว่าในอนาคตข้างหน้า ทุกคนจะเข้าใจ และเปิดใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”ย้อนเส้นทางนางงาม ของ ปิงลี่ เฟมัส“มิสขี้เมา 2024 มันเป็นเวทีของเพื่อน เอม และแฟนเอม จัดการประกวดนี้ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก กับการที่เราเข้าไปประกวดเวทีของเพื่อน แล้วเพื่อนจะให้เราผ่านเข้ารอบ ในสายตาเพื่อน มันแทบจะตัดเราออกไปเลย แล้วพื้นฐานการเป็นนางงามของปิงแย่มาก เราก็เลยต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น ซ้อมจนกว่าการเดินของเรามันจะดีขึ้น การวางตัว การวางท่า เราต้องปรับใหม่ทั้งหมดเลย แล้วมันกินเวลาเยอะมาก และมันมีช่วงที่ท้อด้วยนะที่ปิงคว้ามงได้ คิดว่าเป็นเพราะวันนั้นปิงมีสติ คือเพื่อนจะพูดเสมอว่า ปิงเป็นคนพูดอะไรแล้วจะพูดไม่จบ ไม่สามารถที่จะลงท้ายแบบจบได้สวย แต่กลายเป็นว่าวันนั้นมันเป็นวันของเราจริง ๆ ทุกอย่างมันก็เลยออกมาดีไปหมดเลย ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปิงทำอย่าเต็มที่ในทุกรอบการประกวด เพราะปิงคิดว่าลูกจะต้องกลับมาดูคลิป แล้วถ้าแม่เดินทุเรศมันอายคนนะ ปิงอยากทำให้ดีที่สุด อยากทำให้ลูกเห็น ก็เลยกลายเป็นว่า ทุก ๆ การเดินของปิง ปิงเต็มที่กับทุกก้าว ทำให้ดี ทำให้สง่า เพราะวันข้างหน้าเราอยากให้ลูกภูมิใจในฐานะนางงามรุ่นพี่ ปิงรู้สึกว่า นางงามในรุ่นต่อไป มันคือการแข่งขันที่สูงมาก แล้วนางงามก็จะต้องสร้างทั้งฐานแฟนคลับด้วย แล้วก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วย เพราะฉะนั้นปิงอยากให้ทุกคนมีใจที่จะเป็นนางงามจริง ๆ ไม่ได้นึกถึงแค่ชื่อเสียง แต่มันจะต้องดีจากภายใน ดีโดยเนื้อแท้จริง ๆ แล้วเวลาเราทําอะไรแล้ว เราจะไม่หลุดไปเป็นคนอื่น การดีจากเนื้อในมันจะทําให้ทุกกิริยาของเรา มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่มองเห็นง่ายทะลุปรุโปร่ง”ชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังจากได้เป็นคุณแม่“ตอนนี้ มาร์เบลล์ จะ 4 เดือนแล้วค่ะ และปิงก็ยังเป็นคุณแม่ที่ดูแลใกล้ชิด คอยดูพัฒนาการของลูกอยู่ตลอด เรียนรู้ทุกวัน แล้วก็ต้องเป็นนักคาดเดาด้วย สมมติว่าถ้าเค้าร้องไห้ สิ่งแรกที่เราต้องเริ่มดูเลยก็คือ หิวไหม ผ้าอ้อมเปียกรึเปล่า ถ้าเราเช็คแล้วแต่เค้ายังร้องอีก มันก็ต้องเริ่มใหม่อีกรอบ ทุกวันนี้ปิงก็เลยสนุกอยู่กับการคาดเดากับลูกเชื่อไหมว่า ปิงปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มันต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะมาก แล้วปิงปรับตัวไม่ทัน เพราะเวลาเราอยู่กับลูก เราอ่อนโยนมาก เราไม่พูดคําหยาบเลย ให้เค้าฟังเพลงเบา ๆ แต่พอกลับเข้ามาอยู่กับพวกเพื่อนเราก็ต้องพูดแบบใช้พลัง แล้วกลายเป็นว่าเราไม่ทันเพื่อน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไปถึงไหน หรือว่าเพื่อนกําลังพูดเรื่องอะไร เวลาไปออกรายการ เราจะช้าแล้วก็ประมวลยากกว่าเดิม กลายเป็นการกดดันตัวเองมากช่วงนั้นปิงปรึกษาเพื่อนหมดเลย แล้วก็เลยต้องเลี้ยงลูกแบบแบ่งเวลาดี ๆ จนตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”ความภูมิใจ จาก ปิงลี่ สู่ ลูกสาว“ถ้าวันหนึ่งลูกของปิงโตขึ้น และได้มาดู Club Pride Day ในวันนี้ แม่อยากให้หนูภูมิใจในตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ ใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุขมาก ๆเพราะว่าแม่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่กับหนูได้ทั้งชีวิต แล้วก็ตอนนี้ หลายคนรู้จักกับหนูแล้ว และก็เป็นกําลังใจให้หนูอยู่เสมอ อยากให้หนูใช้ชีวิตให้ดี เลือกชีวิตตัวเองให้ถูก แล้วแม่ก็มั่นใจว่าหนูจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนเปิดรับแล้วก็ซัพพอร์ทหนูเหมือนกับที่แม่ได้รับแน่นอน” - ปิงลี่ เฟมัสพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราว ตัวตน บนความรักตัวเอง ของ “ต้น ธนษิต” จากแชมป์รายการดัง สู่นักร้อง R&B กับแนวดนตรี Queer Pop สุดปัง!

21 ม.ค. 2025

เปิดเรื่องราว ตัวตน บนความรักตัวเอง ของ “ต้น ธนษิต” จากแชมป์รายการดัง สู่นักร้อง R&B กับแนวดนตรี Queer Pop สุดปัง!

“อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง เพราะต้นเคยกลัวมาก่อน เลยรู้ว่ามันทำให้เราไม่สบายตัวขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องไปตามบรรทัดฐาน หรือไม้บรรทัดของใคร เพราะวันนี้เรามีไม้บรรทัดเป็นของตัวเอง”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ต้น ธนษิต” ศิลปินมากความสามารถ ผู้มีใจรักในการร้องเพลง และเป็นผู้ชนะเลิศในรายการประกวดร้องเพลง ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซันที่ 8 ผู้มีสไตล์ และแนวการร้องเพลงที่ถนัดอย่างแนว โซล, ป็อป, RB และแจ๊ส มีผลงานเพลงดังอย่าง รู้ยัง, โดยไม่มีเธอ, TRUTH or DARE เป็นต้น กว่าจะมาถึงวันนี้เรียกว่าชีวิตของเขาไม่ง่ายเลย และเขากลับมาพร้อมการนำเสนอตัวตนบนแนวดนตรีชีชื่อว่า “Queer Pop” เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการจาก RB ที่ชอบ สู่ Queer Pop ที่ใช่“ต้นเป็นคนชอบฟังเพลง แล้วจริง ๆ จะชอบเพลงแนว ฮิปฮอปอาร์แอนด์บี แต่หลัง ๆ ก็จะมีฟังแนวอิเล็คโทรนิคส์ บ้าง เปลี่ยนไปแนวเต้น ๆ บ้าง ส่วนแนวที่ถนัดร้องก็จะเป็นอาร์แอนด์บี ที่ได้ร้องบ่อยที่สุดต้นรู้สึกว่าเราร้องเพลงอาร์แอนด์บีมาสักพักนึงแล้ว ก็เริ่มอยากจะหันไปทำเพลงที่มันเป็นจังหวะเต้น ๆ ขึ้นมาบ้างนิดนึง เพราะตัวตนจริง ๆ เป็นคนสนุกมาก เป็นคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบปาร์ตี้ แต่ว่าเรามาจากรายการประกวดร้องเพลง ที่มันจะเป็นแบบอีกพาร์ทในเรื่องของการร้อง จะไม่ใช่พาร์ทที่มันเป็นบุคลิกจริง ๆ ของเราส่วน Queer pop ต้นไปเห็นมา ตอนนั้นต้นอ่าน Article แล้วรู้สึกว่าเราชอบคำว่า Queer Pop ซึ่งมันเหมือนเพลงป๊อบซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่ม LGBTQ+ หรือว่าเป็นเพลงที่ได้รับการยอมรับ หรือได้รับความนิยมได้ แล้วเราก็ได้รู้สึกว่า เราอยากออกเพลงมาแล้วเราได้รับการยอมรับ ซึ่งคำว่า Queer ของต้น มันก็คือทุกอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบรรทัดฐานของความเป็นเพศนั้น ๆ คือผู้ชายไม่ใช่ต้องชอบผู้หญิง ผู้ชายชอบผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงชอบผู้หญิงก็ได้ หรือเป็น Bisexual หรือว่าแบบเป็น Nonbinary ซึ่งมันคืออะไรก็ตามที่มันอยู่นอกจากบรรทัดฐานของสังคม เราก็ยกให้เป็น Queer หมด”ต้น ธนษิต กับการยอมรับตัวตนของตัวเอง“จริง ๆ ต้นยอมรับมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว ก่อนหน้านั้นก็ยังมีความสงสัยว่าเราชอบผู้ชายหรือเปล่า หรือชอบผู้หญิง จนกระทั่งตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา แล้วก็ไปชอบเด็กผู้ชายเยอรมันคนนึง นั่นแหล่ะเป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายซึ่ง พ่อแม่ คือหนึ่งในความกังวลเหมือนกัน แล้วก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง อยู่ดี ๆ เราก็พูดกับแม่เลยว่า แม่ ชอบผู้ชายนะ คือเราไม่ได้เรียกมาเพื่อจะคุยกันแบบเป็นกิจจะลักษณะ อารมณ์เหมือนตื่นมาแล้วเดินไปหาแม่เลยว่า แม่มีไรจะบอก เพราะเราแค่รู้สึกว่าอยากบอกเฉย ๆ เพราะเพื่อนฝูงก็รู้อยู่แล้ว และรู้สึกว่าคนใกล้ตัวที่เป็นครอบครัวเรา อย่างน้อยที่สุด เค้าควรจะได้รู้ว่าวิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ จะได้ไม่ต้องมาถาม หรือสงสัยอะไรกัน หลังจากที่บอก แม่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าก็บอกว่าโอเค ซึ่งก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะเป็นแบบนี้”ครั้งหนึ่ง การเป็น LGBTQ+ ในวงการบันเทิง ก็ไม่ง่าย“ยากมากครับ ก็ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนต้นจะออดิชั่น AF เลย ตอนนั้นสังคมก็ยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ แล้วตัวเราเองพอรู้ว่าติดเข้าไปอยู่ในรายการเรียลลิตี้โชว์ที่มีกล้องอยู่ แล้วต้องไปอยู่นานสามเดือน มันก็แอบกังวลอยู่เหมือนกันว่า เราจะวางตัวยังไงกับตัวตนของเราดี หรือตอนที่ได้คนครบ 24 คน กำลังจะเข้าบ้าน แล้วต้องไปตามรายการเพื่อไปสัมภาษณ์ต่าง ๆ ต้นก็เคยโดนคำถามว่า เธอเป็นไหม เค้าถามเลย แล้วเราก็ตกใจมาก ด้วยความที่เราก็ไม่อยากโกหก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง เราก็บอกว่า ไว้ไปรอดูในบ้านแล้วกัน เราก็ใช้ไหวพริบของเรา กับเหตุการณ์ตรงนั้น เราแค่รู้สึกว่าสมัยก่อนมันเป็นอะไรที่ดูเป็นเรื่องใหญ่จังเลยกับการที่เป็นเกย์ แล้วจะเข้าไปอยู่ในวงการบันเทิง มันดูเหมือนล่าแม่มด ทุกวันนี้ต้นคิดย้อนกลับไปว่า ตอนนั้นเรากลัวอะไร ทำไมเราถึงไม่พูดความจริงในตอนที่กำลังจะเข้าบ้าน AF ต้นตกลงกับตัวเองก่อนเลยว่า ฉันจะไม่โกหก ฉันจะไม่แอ๊บ คือจะไม่พูดว่าชอบผู้หญิง แต่ว่าเราอาจจะระวังอาการ หรือกิริยาของเรา เพราะว่ามันก็มีพ่อแม่ที่ดูอยู่ มีเพื่อนของพ่อแม่ ที่เราต้องคิดหลายอย่าง แต่ก็บอกกับตัวเองไว้เลยว่า ฉันจะไม่พูดว่าฉันชอบผู้หญิงเด็ดขาด แต่ละวันก็ใช้ชีวิตไป เราก็สนุกสนานเฮฮาไป แต่ถามว่าเป็นตัวเอง 100% ไหม มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นความกดดันมันเป็นแค่ช่วงแรก ๆ แต่พออยู่ไปสักพัก เราก็เริ่มรู้สึกว่ายังไงคนก็รู้อยู่ดี เพราะต้องอยู่ตั้ง 3 เดือน เค้าจะไม่รู้เลยเหรอ มันเป็นไปได้ยังไง เปิดกล้อง 24 ชั่วโมง ตลอด 3 เดือน ดังนั้นถ้าเค้าจะรู้ก็รู้ไป เราก็ถือว่า เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ต้องโฟกัสที่การร้องเพลง แล้วช่วงนั้นมันเริ่มมีการจิ้นเกิดขึ้น คนก็มีการจิ้นเรา และเป็นยุคเริ่มต้นของวาย เราก็เลยรู้สึกว่า เค้าก็คงยอมรับได้แล้วแหละ เพราะเราก็อยู่มาจนถึงรอบสุดท้ายแล้วถ้าเรื่องการยอมรับของทุก ๆ คน ต้นว่าก็เป็นเหมือนที่เราคิดนะ อาจจะดีกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ แต่ว่าช่วงแรก ๆ เค้าไม่ได้มาพูดตักเตือน หรือ ขีดกรอบให้เรา แต่เหมือนเรารู้กันเอง แต่ว่าสิ่งที่เป็นกังวลมากคือในเรื่องของงาน ถ้าเป็นพาร์ทแฟนคลับหรือคนรอบข้างเราไม่ค่อยกังวล แต่ว่ามันจะเริ่มมีประโยคหนึ่ง หลังจากต้นได้แชมป์ เราก็เริ่มเซ็นสัญญา เริ่มจะต้องทำงาน ซึ่งจะมีประโยคหนึ่งที่เราจะจำไปจนวันตายเลย เค้าพูดว่า อย่าสาวมากนะเดี๋ยวไม่มีงาน คำนี้มันเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมการที่จะเป็นสาว หรือจะเป็นเกย์ มันเป็นเรื่องผิดขนาดนั้นเลยเหรอ มันจะกระทบกับการที่เราจะได้งานหรือไม่ได้งานขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วมันก็ทำให้เราวางตัวยากขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงดี ที่เราเป็นตัวเราเองมันผิดเหรอ ทำให้เราวางตัวอยู่กลาง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ต้นไม่เคยอยู่ดี ๆ แล้วพูดออกมาพูดว่าตัวเองเป็นเกย์ เพราะรู้สึกว่าคนรู้อยู่แล้ว แล้วเราจะรู้สึกตลกมากถ้าอยู่ดี ๆ ออกมาพูด แต่มันก็มีเกิดเหตุการณ์คือ หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตมาเรื่อย ๆ ดำเนินชีวิตมาเรื่อย ๆ แล้วก็ร้องเพลงในแบบที่เราชอบ เราก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปบาร์เกย์ แต่เพียงแค่อาจจะไม่ได้ลงโซเชียล แต่ว่าใช้ชีวิตปกติเลย เดทและคุยกับผู้ชายมาเรื่อย ๆ จนมีอีกประโยคหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือช่วงนั้นเด็กที่เกิดจาก AF เค้าก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะไปดังในวงกว้างให้ได้ เช่นไปเล่นละคร ไปเล่นซีรี่ส์ แล้วเราเองก็อยากเล่นบ้าง เพราะเราก็อยากจะมีชื่อเสียงที่มากกว่าวงในจากแฟนคลับ เราก็โดนประโยคนึงกลับมาว่า เธอเล่นละครไม่ได้หรอก เธอพูดประโยคยาว ๆ แล้วเธอจะหลุดสาวออกมา แล้วเค้าไม่ได้ให้เราพยายามเลยด้วยซ้ำ อันนี้คือสิ่งที่ฝังใจเราตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยได้เล่นละครเลยครับ แอบน้อยใจว่าอย่างน้อยให้เราลองก่อนไหม หรือไปแคสก่อนไหม แล้วถ้าเราทำไม่ได้จริง ๆ เราก็จะยอมรับ แต่นี่เหมือนคุณยังไม่ได้ให้โอกาสเราได้ลองเลย แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่รู้สึกว่าคนที่มีคาแรกเตอร์คล้าย ๆ เรา เค้าสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้แล้วอย่างสบายตัวสบายใจ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ แต่ดันมาช้าไปนิดนึงสำหรับเรา ตั้งแต่ถ้าเป็นซีรี่ส์ หรือละครทีวี เราไม่เคยได้เล่นเลย แต่จะมีได้เล่นละครเวทีอยู่บ้าง ที่ต้องออดิชั่นอยู่ 3 ปี กว่าจะได้โอกาสครับ”เส้นทางการต่อสู้ของ ต้น บนเวทีประกวด AF“ต้นไปออดิชั่นตั้งแต่สองปีแรก ถึงขั้นต้องไปต่างจังหวัดด้วย เพราะว่าต่างจังหวัดมันจะออดิชั่นก่อนกรุงเทพ ไปออดิชั่นอยู่ 2 ปี ก็ยังไม่ได้ จนรู้สึกว่าหรือมันอาจจะไม่ใช่แล้ว จนกระทั่งปีที่ 3 ปีนั้นโชคดีมากที่มี พี่ทาทายัง เป็นกรรมการ แล้วเราร้องเพลงฝรั่งตามสไตล์เราไป แล้วพี่ทาทายังเค้าชอบ จนพูดเลยว่า คนนี้ต้องเข้ารอบเวลาถูกตัดสินว่าไม่ผ่านท้อครับ ต้นว่าทุกคนที่เป็นคนประกวดต้องเคยท้อกันหมด ตัวต้นเองตอนนั้นเราคิดในใจแล้วด้วยซ้ำว่า ถ้าปีนี้ไม่ได้ ต้นก็อาจจะไม่ลองแล้ว เพราะมันเหนื่อย และใช้ความอดทน บวกกับความพยายามเยอะมาก แต่เราก็ลองเปลี่ยนเพลง ลองเปลี่ยนแนว ต้องคิดหลายอย่าง เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันไม่ผ่านเพราะอะไร เพราะกรรมการก็พูดแค่คำเดียวว่า ขอบคุณค่ะ เชิญค่ะความฝันในการเป็นนักร้อง จริง ๆ มันเริ่มจากการคิดแค่ อยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากจะได้ร้องเพลง อยากจะออกคอนเสิร์ต อยากจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง แล้วเราก็ได้ทำจริง ๆ หลังจากที่ออกจาก AF แล้ว ซึ่งความฝันการเป็นนักร้อง มันเริ่มมาในตอนที่ไปอยู่อเมริกา โรงเรียนที่ไปเรียนแลกเปลี่ยน เค้ามีชมรมร้องประสานเสียง แล้วเปิดโอกาสให้ได้ไปร้อง เราก็ไป ปรากฏว่า เพื่อนก็ชมว่าเธอร้องเพลงได้ หลังจากนั้นกลับมาไทย ก็เลยอยากลองยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ ก็ลองไปออดิชั่นดู ตอนนั้นที่กลับมาเป็นซีซั่นที่ 6 ลองไป 2 ปีก็เริ่มรู้สึกว่า หรือนักร้องมันจะไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอาชีพของเราแล้ว จนกระทั่งซีซั่นที่ 8 เราก็ติดขึ้นมา หลังจากได้แชมป์ ก็เริ่มมีเพลงที่คนร้องตามได้ เรารู้สึกดีใจที่ว่ามีคนฟังเพลงเราด้วย แล้วเค้าก็ร้องตาม เค้าสามารถร้องเพลงเราได้ เค้ารู้จักว่าเราเป็นใครณ วันนี้ ต้นสบายตัวมาก จนกระทั่งลงรูปคู่กับแฟน จนทำให้สื่อทราบในวงกว้าง คือตอนนั้นเราลงรูปคู่กับแฟน วาระครบรอบ 3 ปี แล้วก็เป็นข่าวขึ้นมา วันนั้นเป็นช่วงที่เล่นละครเวทีอยู่ แล้วไม่เคยมีการสัมภาษณ์ครั้งไหนที่มีไมค์เยอะที่สุดในชีวิตเท่าวันนั้นมาก่อน”ต้น ธนษิต กับมุมมองความรักของ LGBTQ+“หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า ความรักของเกย์มันฉาบฉวยมาก มันก็จริงส่วนหนึ่งนะ แต่ว่าความรักของคู่ชายหญิงมันก็มีที่ฉาบฉวยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยวเลยว่า พอเป็นเกย์แล้วมันจะฉาบฉวย ต้นคิดว่ามันแล้วแต่คนมากกว่า แล้วแต่ว่าเราเจอใครที่ ถูกต้อง ถูกใจ ในเวลาที่มันใช่มากกว่าเรื่องสเป็กของต้น เราชอบคนสูง และต้องเป็นคนที่ใส่ใจ แล้วก็ต้องมีความสม่ำเสมอ มีความอบอุ่นด้วยนิดนึง ซึ่งหลาย ๆ ครั้งที่รักมันไม่สมหวัง มันก็เกิดจากความงี่เง่าของเรา บางทีก็เช็คโทรศัพท์ ไปดูว่าเค้าไปคอมเมนท์ใครไหม ซึ่งก่อนจะเจอแฟนคนนี้ บางทีเราเองก็รู้สึกว่าตัวเราเองก็เยอะเหมือนกันนะ เหมือนไม่มั่นใจในตัวเค้า แต่ว่าจริง ๆ แล้ว มันสะท้อนความไม่มั่นใจในตัวเรามากกว่า ว่าเราไม่สามารถที่จะให้คน ๆ นี้อยู่กับเราได้ ก่อนหน้านี้มันก็มีเจอคนที่มีแฟนแล้วชอบมาคุยด้วย เยอะมากจริง ๆ ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะมีเจ้าของอยู่ แล้วมารู้ทีหลังก็มี หรือพอคุยไปแป๊บนึง เค้าก็บอกเองเลยว่า จริง ๆ มีแฟนแล้วนะครับ เราก็จะเกิดคำถามว่า แล้วมาคุยทำไม เราก็ตัดจบเลยกับคนปัจจุบัน คบกันมา 7 ปีแล้วครับ ไม่รู้เรียกว่าเคล็ดลับได้รึเปล่า แต่ว่าเราปล่อยให้กันและกันเป็นตัวเอง เราจะไม่ค่อยมีการบังคับ คือต้นเป็นคนที่เที่ยวกลางคืน แล้วเค้าไม่ค่อยเที่ยว ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่เป็นไรก็เที่ยวได้ เราก็โอเคไม่บังคับกัน หรือด้วยความที่แฟนเราเค้าไม่ชอบแต่งตัวใส่สูทดูทางการ แต่เรามีเพื่อนเยอะมาก เวลาต้องไปงานแต่งงาน เราเลยจะชวนคนที่เราสนิทจริง ๆ และเค้าสนิทจริง ๆ เพราะเรารู้ว่าเค้าไม่ชอบแต่งตัวแล้วปกติเวลาถึงวันครบรอบ เราก็จะมีถามแฟนว่า อยากให้ต้นเปลี่ยนอะไรไหม เค้าก็จะมีบอกว่า เก็บของไม่เป็นที่ ยาสีฟันไม่ปิดให้สนิท เค้าเป็นคนเป๊ะ แต่ว่าเค้าตอนหลัง ๆ เค้าก็บอกว่าก็ทำใจแล้ว ก็คงได้ประมาณนึงแหละ ในขณะที่เค้าเป็นคนเป๊ะ แต่เราจะเป็นคนไม่เป๊ะ ชอบทำรก เราก็มีจุดที่ต่างกันอยู่ แต่ก็ปรับจูนกันได้”ในวันที่ สมรสเท่าเทียม เกิดขึ้นในประเทศไทย“พอ สมรสเท่าเทียม ผ่าน ต้นกับแฟนก็คุยเรื่องจดทะเบียนกันว่ามีแน่นอน แต่เรื่องงานแต่งงาน มีคนถามมาเยอะมาก ก็ถ้าจดทะเบียนได้ เราก็อยากจดอยู่แล้ว เพราะในแง่ของกฎหมายอะไรต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่เป็นงานแต่งงาน หรืองานเฉลิมฉลอง อันนั้นก็ไว้ว่ากัน แฟนเค้าเคยเปรย ๆ อยู่เหมือนกันว่า ถ้าสมรสเท่าเทียมผ่าน แต่งงานกันมั้ย แต่ว่าอันนี้ยังไม่ถือว่าขอนะ มันเหมือนนอนคุยกันเล่น ๆ แต่กับ สมรสเท่าเทียม เรารู้สึกดีใจมาก ๆ เลย เราดีใจแทนคู่รัก LGBTQ+ ทุก ๆ คู่ ที่เค้าอยู่กันมานาน ที่เค้ามีแพลนจะแต่งงานกัน คือมันไม่ต้องมานั่งกังวลแล้วว่ามันแต่งไม่ได้ คือตอนนี้มันแต่งได้แล้ว และมันเป็นนิมิตหมายที่ดีมาก ๆเรื่องความรัก ต้นว่าขึ้นอยู่กับจังหวะ และเวลาที่ใช่ อย่างตัวต้นเอง ก็เคยคิดเหมือนกัน คือต้นเคยไม่มีแฟนมา 3 ปี เราก็คิดว่าในช่วงระหว่าง 3 ปีนั้น บางทีอาจจะไม่เจอแล้วก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็เจอ ขอแค่อย่าเพิ่งหมดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก หรือเรื่องอื่น ๆ เราคิดว่าอดทนไปเรื่อย ๆ ก่อน แล้วมันจะเจอเอง ที่รู้จักคนล่าสุดนี้ เพราะเพื่อนแนะนำ โดยเพื่อนลากให้มาคุยแชทกัน แล้วเพื่อนก็ออกจากกลุ่มไปเลย ซึ่งเหมือนต้น กับ แฟน เราเคยเจอตัวจริงกันแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยคุยกัน เหมือนเค้าก็บอกว่าตอนนี้เค้าโสด แล้วตอนนี้ต้นก็โสด ก็เลยลองคุยกันดูก่อนหลังจากนั้น เวลาอยู่กับเค้าแล้วมันมีความสุข แล้วมันไม่ยาก สบายใจ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เราสามารถเป็นตัวเองได้ เค้าก็เป็นตัวเองได้ มันแฮปปี้ ก็เลยลองคบกันดู จนวันนี้ก็คบมา 7 ปีแล้วครับ”ความยากของวงการเพลงในปัจจุบัน“ต้นว่ายากขึ้นมากเลยครับ เพราะมันไม่มีสูตรตายตัวว่า อะไรมันจะฮิต อะไรมันจะดัง อะไรมันจะมา เราไม่มีทางรู้ได้เลย คือต้นคิดว่า วงการนี้เก่งอย่างเดียวมันไม่ได้ มันต้องเก่งแล้วก็ต้องพึ่งดวงด้วย มันมีคนร้องเก่งกว่าต้นตั้งเยอะ แต่ว่าเค้าก็อาจจะไม่ได้สำเร็จเหมือนเรา ตัวเราเองก็มองว่า บางทีเราก็อาจจะไม่ได้สำเร็จเท่าคนโน้นคนนี้ แล้วก็เอาตัวเองไปเทียบบ้างอย่างตอนทำเพลง รู้ยัง ไม่คิดเลยนะว่ามันจะดัง ก็ทำตามโควต้าที่ได้มา ก็คือสล็อตอัลบั้มนี้มี 9 เพลง รู้ยัง เป็นเพลงปิดอัลบั้ม มันก็คือแค่นั้นเลย ฟังก์ชั่นของเพลงก็แค่เป็นเพลงปิดอัลบั้ม แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ตั้งใจนะ เราตั้งใจทำทุก ๆ เพลง และทำไปตามขั้นตอนที่ต้องทำ ตอนแรกที่เพลงออกมา คนก็ชอบประมาณนึง แล้วอยู่ ๆ มันไปดังใน The Mask Singer หน้ากากนักร้อง เพราะ พี่ทอม ที่เป็นหน้ากากทุเรียน เค้าเอาไปร้องในรอบไฟนอล แล้วระหว่างทาง มีคนทายว่าต้น เป็นหน้ากากทุเรียน จนทำให้เพลง รู้ยัง มันกลับมาดังเปรี้ยงอีกรอบคือจริง ๆ ถ้าพูดในมุมความเป็นนักร้อง ต้นยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่อยากได้ คือ เพลงรู้ยัง มันอาจจะดัง แต่ว่าต้นก็อยากมีเพลงอื่น ๆ อีก ที่มันดังเท่านี้ นั่นคือชาเล้นจ์ที่ต้นเจอ คือหลังจาก เพลงรู้ยัง ออกมา ก็ยังไม่สามารถที่จะทำเพลงไหน ให้มันดังกว่า หรือดังเท่าได้เลย มันก็เลยรู้สึกว่า เราก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก ถึงแม้ว่าเราจะได้แชมป์รายการประกวดร้องเพลงมา แต่มันก็แค่นั้น มันก็คือรายการ พอรายการจบ มันก็คือจบ ทุกคนต้องเริ่มใหม่ในวงการนี้นอกจาก เพลงรู้ยัง จริง ๆ มีอีกเพลงนึงที่ชอบคือเพลง โดยไม่มีเธอ เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ชอบโดยเฉพาะผู้ชายชอบเพลงนี้เยอะมาก มันเป็นอีกหนึ่งเพลงเศร้าที่ต้นร้องแล้วมันอิน ซึ่งแปลกมาก เพราะตอนนั้นมีแฟนด้วยนะ แต่แปลกมากที่เวลาร้องแล้วมันออกมาดูลงตัว น้ำเสียงที่เราใช้ หรือบีทเพลง ร้องแล้วรู้สึกว่าเพลงนี้ดี มันเศร้าดีถ้าเป็นยุคนี้ ก็จะแนะนำคนที่อยากทำเพลงว่า เป็นตัวเองดีที่สุด อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเองในยุคนี้ ซึ่งเราอาจจะแนะนำแบบนี้ไม่ได้ในตอนนั้น แต่ในตอนนี้ เป็นตัวเองดีที่สุด มีความสุขกับตัวเอง อยากทำอะไรทำ ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุดของต้นเอง ช่วงนี้ก็มีเพลง ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาชื่อเพลง เธอจะเข้าใจฉันต่อเมื่อไม่มีฉันให้เข้าใจแล้ว กรีนเวฟเล่นอยู่ แล้วก็ตอนนี้มีธุรกิจที่อยู่นอกเหนือจากการร้องเพลง ก็จะมีบีชคลับ อยู่ที่บางแสน ชื่อว่า Badasga Beach Club ครับ”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ต้น ธนษิต“สิ่งที่ทำให้เป็น ต้น ธนษิต ในวันนี้ คือการเป็นตัวเองนี่แหละ อย่างที่ต้นบอกไว้แล้วว่า อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง ต้นเคยกลัวมาก่อน เพราะฉะนั้นพอต้นรู้ว่ามันทำให้เราไม่สบายตัวขนาดไหน ณ วันนี้เรามีความสุขกับตัวเอง เราแฮปปี้ที่เราจะเป็นตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่า มันมีความสุขครับ” - ต้น ธนษิตพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดปีนักษัตรสุดปัง เสริมพลังส่งท้ายปี ไปกับ “ซินแสเป็นหนึ่ง” จากชีวิตที่เคยเสียศูนย์ สู่ซินแสขวัญใจคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

27 ธ.ค. 2024

เปิดปีนักษัตรสุดปัง เสริมพลังส่งท้ายปี ไปกับ “ซินแสเป็นหนึ่ง” จากชีวิตที่เคยเสียศูนย์ สู่ซินแสขวัญใจคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

“ฮวงจุ้ย คือความสบายใจ แล้วอะไรที่เป็นประโยชน์ ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดี และอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี เช่นบ้านนี้มีประตู 5 บาน แต่ประตูไม่เคยมีคนใช้เลย ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ซินแสเป็นหนึ่ง” ซินแสที่ดาราดังหลายคนต่างใช้บริการในการปรึกษาเรื่องราวต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นซินแสที่ฮอตสุด ๆ ถ้าใครจะดูดวงต้องจองคิวข้ามปี ซึ่งกว่าจะมาเป็นซินแสชื่อดังในวันนี้ ท่านเคยล้มเหลวจากการทำธุรกิจ เคยเจ็บใจจากการปรับฮวงจุ้ย ไม่มีข้าวกิน ไม่มีที่นอน ต้องอาศัยวัด จนพบประโยคพลิกชีวิต “น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง” เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเปิดคำทำนายปีนักษัตร 2568 กับอาจารย์เป็นหนึ่งปีชวด มีโอกาสได้รับตําแหน่งที่โตขึ้น แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการเงินอย่าไปไว้อย่าไว้ใจใคร ความรัก อาจจะมีคนโสดเข้ามา แต่โสดยังไม่สุด สุขภาพ ให้ระวังเรื่องของช่องปาก เรื่องของฟันปีฉลู งานราบรื่น อะไรก็ตามที่รู้สึกแย่เนี่ยมันจะจบทันทีก่อนปีใหม่ ความรัก คนโสดมีโอกาสจะได้เจอคนใหม่ ๆ สุขภาพ ระวังเจ็บป่วยเล็กน้อยปีขาล 2 - 3 เดือนสุดท้ายต้องควบคุมอารมณ์ให้ดี ถ้านิ่งได้จะมีโอกาสดี ๆ มากมาย การเงิน มีเงินเข้ามาแต่ต้องรอบคอบ ความรัก คนโสดต้องรอก่อน อาจจะเจ็บตัวเรื่องความรักได้ สุขภาพ เรื่องของการทานอาหาร การพักผ่อนให้เพียงพอ อาจจะมีภาวะปัญหาช่องท้องที่ต้องระมัดระวังปีเถาะ มีโอกาสปรับเปลี่ยนในเรื่องงานที่ดีมาก ๆ การเงินมาจากการเดินทางจะมีโอกาสในการเงินที่ดี ความรัก คนโสดเนี่ยจะมีโอกาสเจอคน แต่ไม่แนะนําทุ่มเทให้เต็มที่ แนะนําให้ดูก่อนสุขภาพ อาจจะมีโอกาสในการอุบัติเหตุเดินเล็กน้อยแต่ไม่ได้เป็นอะไรหนัก โชคลาภ กรณีเจอเพศตรงข้าม จะมีโอกาสดีสําหรับคุณปีมะโรง มีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ความรัก คนโสดแอบชอบคนมีเจ้าของ สุขภาพ มีโอกาสที่คอบ่าไหล่เจ็บปวดต่าง ๆ ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเอง อาจจะเรื้อรัง ต้องรีบรักษา โชคลาภ มาจากบุญเก่าปีมะเส็ง โดยส่วนใหญ่ต้องเพิ่มความรอบคอบ ความรัก คนที่โสดจะเจอคนที่ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกัน ส่วนคนมีคู่ราบรื่น โชคลาภ จะมาแบบไม่คาดฝันปีมะเมีย จะมีคนยุแยงแยงตะแคงตะแคงรั่วเลยตลอดเวลา ต้องระมัดระวังโดยเฉพาะเรื่องงานการเงิน มีเงินเก็บมาแต่ต้องโอนทันที สุขภาพ ให้ระวังเรื่องราวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ความรัก ระวังความเข้าใจผิดปีมะแม จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ต้องยอมรับ เป็นโอกาสที่ถ้าคุณปฏิเสธไป คุณจะช้าไปเป็น 10ปี ความรัก คนโสดอาจจะเจอคนไม่โสด โชคลาภ จะมีโอกาสได้ทรัพย์สิน จะมีบ้านที่คุณอยากได้ มีโอกาสดี ๆ มาออฟเฟอร์ให้คุณมีเงินก้อนใหญ่ปีวอก งานใหญ่จะสําเร็จตามเป้า ความรัก คนโสดมีคนเข้ามาแต่ ยังไม่ใช่ ดังนั้นควรจะคิดความสัมพันธ์เป็นเพื่อนไว้ก่อน สุขภาพ สุขภาพไม่น่าห่วง โชคลาภ มีเข้ามาแบบเรื่อย ๆปีระกา งานต้องสู้และพิสูจน์ สําหรับเมืองนอกที่คุณรอ มีโอกาสสมหวังตามความปรารถนาการเงิน ต้องประหยัดอดออม ความรัก คนโสดควรดูกันนาน ๆ สุขภาพ ระวังเรื่องระบบการย่อยอาหาร อาจจะมีปัญหาเรื่องอาหารการกินปีจอ มีโปรเจ็กต์ใหญ่ มีโอกาสครั้งสําคัญที่คุณจะได้ทําสิ่งใหญ่ การเงิน ต้องระวังการใช้จ่าย ส่วนใหญ่หมดไปกับออนไลน์ ความรัก คนโสดเจอคนใหม่ ได้เจอโอกาสสังคมใหม่ ๆ สุขภาพ ไม่มีปัญหาใด ๆ โชคลาภ ได้มาจากผู้ใหญ่ปีกุน จะมีโอกาสรับงานใหม่ มีโอกาสดี ๆ จะได้โชคลาภในเรื่องการเงินจากผู้ใหญ่ ความรัก คนโสดจะเจอคนที่ถูกใจ สุขภาพ ดูแลระบบการย่อยอาหารปีชงคืออะไร ปี 2568 นักษัตรไหนชงบ้าง?“ปีหน้ามี 4 ปีนักษัตร ปีกุน ปีมะเส็ง ปีขาล ปีวอก ที่เป็นปีชง หลายคนถามอาจารย์ว่า มันจะมีเรื่องเลวร้ายไหม จริง ๆ ต้องอธิบายว่าเรื่องของปีชง เป็นเรื่องราวของคนจีนแผ่นดินใหญ่ กาลครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ในช่วงปีชง แล้วก็บินตรงไปที่เมืองจีนเลย เพราะจะมีความรู้สึกว่าต้องไปแก้ที่นั่น พอไปถึงเหล่าซือที่เค้าทำพิธีใหญ่มาก ๆ เค้าถามว่า เราคือคนไทยใช่ไหม เราก็บอกว่าใช่ เราเป็นคนไทย เค้าบอกว่าลื้อไม่ชงนะ เราก็บอกว่าไม่ชงได้ยังไง เพราะเราเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เค้าบอกว่า จริง ๆ ลื้อไม่ได้ชงนะ เรื่องปีชงโดยส่วนใหญ่เนี่ยเป็นเรื่องของคนจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้น 4 ปี ที่คุณต้องระมัดระวังอารมณ์ แล้วก็ตามสถานที่ที่มีการแก้ แนะนำให้คุณไปเถอะเพื่อความสบายใจ แต่ความเป็นจริงไม่ต้องไปวิตกกังวล เค้าจะวัดผลในเดือนธันวาคม ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไร มันจะกลายเป็นชงขึ้น แต่ถ้ามีเหตุการณ์ต้องเลือดตกยางออก แสดงว่าตลอดทั้งปีคุณต้องระมัดระวัง แต่ถ้าเกิดในเดือนธันวาคมไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แสดงว่า 4 นักษัตร จะชงรวยทันที อันนี้ถือว่าจะดีจริง ๆ แล้ว ปีชง คือปีที่เค้าให้ระมัดระวังอารมณ์ของตัวเอง คุณสังเกตดูนะ ตารางของปีชงมันจะมีช่วงอายุ เค้ากำหนดมาตามตารางปีชง ซึ่งเป็นช่วงอายุที่มีอารมณ์แปรปรวน เช่นพออายุ 15 ขับรถต้องระวัง พออายุ 60 เป็นช่วงจังหวะที่มีความเครียดมีความกังวลใจ ดังนั้นคนจีนจึงระบุช่วงอายุตามตารางของปีนักษัตร หรือปี พ.ศ.เกิด เป็นช่วงระหว่างที่คุณต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ และมาเตือนเป็นกุศโลบายว่า ช่วงปีพวกนี้ พวกคุณโดยส่วนใหญ่ต้องระมัดระวัง เมื่อไหร่ที่คุณสามารถคิดดี ทำดี พูดดี ใช้ชีวิตให้ดี ทุกอย่างจะดีหมด”ปี 2568 เศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม?“ต้องบอกว่าจะดีไม่ดี มันเหมือนแผล เวลาแผลสดมันจะตกตะกอน เราก็จะรู้ว่ามันหายแล้ว แต่ถ้าเกิดระหว่างที่แผลเหมือนเป็นสะเก็ด แล้วเรารู้สึกว่ามันคัน แสดงว่าใกล้หาย แต่วันนี้คุณรู้สึกไหมว่ามันเพิ่งเป็นแผลสด มันเพิ่งเริ่มมีสัญญาณให้เราเห็น แล้วมันเป็นระดับโลกมันไม่ใช่เป็นแค่ประเทศไทย ไม่ว่าเรื่องสงคราม เรื่องค่าเงินที่มันผันผวน ในระยะหลังเราจะเห็นว่าสัญญาณทุกอย่างมันมาเกือบครบแล้วในเรื่องความเสื่อมของหลาย ๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมเรื่องของความมีชื่อเสียงของใครหลายคน เรื่องของพุทธศาสนาที่เจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และทำให้เรารู้สึกว่า ฉันต้องระวัง จะพูดอะไรต้องระวัง และหลายสิ่งมันเป็นสัญญาณให้เราเห็นว่า ปีหน้าหนักกว่านี้อีก”ย้อนวันวาน ของนักธุรกิจ ที่เคยเจ็บใจ ในเรื่องการปรับฮวงจุ้ย“ก่อนหน้านี้เราเป็นนักธุรกิจมาก่อน เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว แล้วก็เจ๊ง แล้วครั้งที่เราล้มเหลว บังเอิญมันมีจุดเปลี่ยนก็คือ บรรดาเพื่อน ๆ หรือผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเรา ก็จะมองว่าเป็นหนึ่ง เธอไม่น่าจะล้มนะเพราะเธอเป็นคนเก่ง เธอเป็นคนที่สามารถทำให้คน หรือใครก็ตามมีธุรกิจเติบโตขึ้นได้ แต่คุณล้มเพราะอะไร พวกเราคิดว่าเธอต้องไปเช็คดวงแล้วนะณ วันที่เราเจ๊ง ไม่เหลืออะไรแล้ว แต่เรามีเงินส่วนหนึ่งที่จะต้องเลย์ออฟพนักงาน เราก็เลยมีความคิดว่า ถ้าเราปรับทั้งหมดเงินก็จะเพิ่มขึ้นเ ราก็จะมีเงินจ้างพนักงานได้ และก็เริ่มต้นจากการดูหมอ เราเลยบอกน้อง ๆ ทีมงานที่ยังเหลืออยู่ก่อนจะปิดบริษัท ให้น้อง ๆ ตามหาหมอดูให้ดิฉันหน่อย ดิฉันอยากจะดูดวงกับหมอดูให้ได้วันละ 2 คน แล้วเราเหลือเวลาอีก 31 วัน เอา 31 คูณ 2 เป็น 62 คน หมอดูที่มาดูดวงให้เรา 62 คน ไล่ดูเราตั้งแต่คนแรกถึงคนที่ 62 ซึ่งคนที่ 62 เป็นคนที่เรารู้สึกว่า เราใส่อารมณ์กับเค้า หงุดหงิดใส่ที่สุด เราพูดกับเค้าว่า คุณไม่ถามดิฉันเลยว่าอาชีพฉันทำอะไร คุณไม่ฟังแนวคิดฉันเลยว่าฉันทำงานอะไร คุณไม่ถามฉันเลยว่าวิธีการใช้ชีวิตฉันเป็นยังไง แล้วคุณก็บอกให้ฉันไปปล่อยนกปล่อยปลา ปฏิบัติธรรมแล้วจะดีขึ้น คุณไม่ถามเลยเหรอ สมมติวันนี้เธอเจ๊งจากธุรกิจมา เราต้องมานั่งคุยกันเพื่อมารื้อว่าการตลาดคุณเป็นยังไง HR คุณเป็นยังไงสตรองไหม ฝ่ายขายคุณขายเป็นยังไง ผลประกอบการเป็นยังไง เพื่อมาหาจุดโหว่ แล้วก็โปะมัน รีแบรด์ดิ้งใหม่ แต่หมอดูไม่เห็นถามเรื่องนี้เลย เชียร์เราอย่างเดียวให้ปล่อยนกปล่อยปลาปฏิบัติธรรม แล้วมันดีเหรอ สุดท้ายหมอดูคนนี้ก็ตกใจกับสิ่งที่ดิฉันถาม แล้วเค้าบอกว่าพอดีที่หนูเรียนมาแบบนี้ เราเลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวฉันจะทำตามเธอทุกอย่าง ซึ่งแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือหมอดูทั้ง 62 คน เค้ามักจะพูดทิ้งท้ายว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วอีก 15 วันจะดีขึ้น ดิฉันก็เลยจบทุกอย่างใน 62 คนก็เลยเรียกน้อง ๆ มาบอกว่าฉันพร้อมที่จะต้องทำบุญ อันดับแรกคือปล่อยปลา เป็นหนึ่งปล่อยปลาไป 150,000 บาท เพราะดิฉันอยากปลดหนี้ วันที่ไปปล่อยปลาจำได้เลยคือ เราไปขออนุญาตผู้ดูแลบอกว่าพอดีเราอยากจะปล่อยปลา เค้าก็เลยบอกว่าปล่อยสิ ทำไมต้องมาบอกผม แต่พอเค้าเห็นรถสิบล้อบรรทุกปลามาเค้าก็ตกใจ ซึ่งหลังจากปล่อยปลาไป 45 วันฉันดีขึ้นไหม ไม่เลย แย่กว่าเดิม และเราต้องมีหนี้เพิ่มอยู่ที่ 150,000 บาท ก็เลยคิดต่อว่า หรือว่าต้องปล่อยนก ดิฉันก็เลยไปปล่อยนกอีก 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท เราเสียเวลา 45 วัน 2 ครั้ง เสียเวลาไป 90 วัน ชีวิตแย่ลง ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม ซึ่งทำให้เราได้เห็นสัจธรรม เราเลือกไปปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อจรัญ ซึ่งตัวเองไม่เคยคิดจะไปเข้าวัดเลย แล้วพอเข้าไปปฏิบัติธรรมจริง ๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะมันต้องเดินชั่วโมง เดินยุบหนอพองหนอ ระหว่างที่เดินหัวมันก็คิดว่าจะทำยังไงดี หนี้ก็ต้องใช้ เงินก็จะหมด เราก็เลยตั้งจิตอธิษฐานบอกว่า หลวงพ่อจรัญถ้ามีอยู่จริง ถ้าเรื่องความเชื่อ หรือสิ่งที่ควรที่จะต้องทำ ถ้ามีอยู่จริงขอให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้ลูกหน่อย ตอนนี้ลูกจะตายแล้ว ผลปรากฏว่า เราได้ยินเสียงตามสายระหว่างที่เราเดิน เสียงตามสายพูดว่า น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลออกมาเอง ท่านย้ำ 2 ครั้งดิฉันก็เลยหยุด แล้วก็บอกแม่ชีว่า เราได้ยินเสียงเนี้ย แล้วแม่ชีบอกว่าหยุด ห้องนี้ไม่มีลำโพง คุณต้องสงบ หลังจากนั้นเช้ามาเราก็ได้ไปกราบตรงลาน เราก็บอกขอบคุณท่านมาก คำว่าน้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลออกเอง มันทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณต้องเป็นน้ำ คุณต้องไปในทุก ๆ ที่ที่น้ำไป ฉันต้องเดินหน้าลุยต่อ เรื่องของดวงจากหมอดู 62 คน มันคือบทเรียนที่เราก็เข้าใจ การปล่อยนกปล่อยปลาไม่ได้ช่วยให้คุณหนี้สินหมด แต่ทำให้คุณสบายใจกับการปลดปล่อยเท่านั้นเองหลังจากนั้นก็เจอเรื่องที่ใหญ่ขึ้น คือเพื่อนก็มาแนะนำว่า ต้องดูฮวงจุ้ย เราถามว่าฮวงจุ้ยคืออะไร คือยุคนั้นฮวงจุ้ยเป็นเรื่องที่มันสูงมาก แต่ก็อยากลองก็โดนไปทั้งหมด 3 คน เราเชิญมาทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกที่เชิญมา ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าซินแสคืออะไร แต่ท่านก็บอกว่าบ้านเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราเลยถามกลับไปว่ามีคำพูดดีกว่านี้ไหม คือเราเป็นคนชัดเจน เราเชิญคุณมาเพื่อต้องการอยากให้คุณมาช่วยเรา แต่ไม่ได้มาซ้ำเติมเรานะ ก็เลยถามไปว่าต้องทำอะไรบ้าง เค้าบอกว่าสมัยก่อนเรามีบ่อปลาคาร์ฟ แล้วบ่อนั้นเป็นบ่อที่เราอยากทำมาก แต่เค้าบอกให้กลบ เค้าบอกว่าบ่อปลาคาร์ฟบ่อนี้ทำให้เราล้มเหลวในชีวิต ให้กลบแล้วชีวิตจะดีขึ้นใน 45 วัน สุดท้ายเราก็กลบ เงินหมดไปเป็นล้านเลยนะ ผ่านไป 45 วัน ชีวิตไม่เห็นจะดีขึ้น แย่ลงด้วยซ้ำ เลยปรึกษาซินแสคนที่สอง เค้าเข้ามาแล้วก็มาหยุดที่ตรงจุดเดิม แล้วก็บอกต้องทำบ่อปลาคาร์ฟ เราด่าเลยนะ เรียนมาจากไหน ทำไมพูดกันคนละเรื่อง จนสุดท้าย มาเจอซินแสคนสุดท้าย ท่านบอกว่าถ้าลื้ออยากจะโชคดี ลื้อต้องเช่าสิงห์ของเรา คู่ละ 500,000 บาท สิงห์เนี่ยจะไล่ล่าเงิน สิงห์นี้มาจากเมืองจีน มีคู่เดียวที่มีเลข 1 1 1 แล้วดันเป็นชื่อเราอีก ด้วยความที่เราไม่ฉลาดในตอนนั้นเพราะเรารู้สึกว่าอยากจะปลดหนี้ ก็เลยจ่ายแล้วจบเลย จนสิงห์มาส่ง เราก็ดูมันมีเลข 1 1 1 ก็โอเค แล้วซินแสก็บอกว่า เดี๋ยวตอนเช้าลื้อตื่นมาตี 3 ครึ่ง แล้วลื้อกระซิบทางหูของสิงห์ บอกว่าขอให้รวย พูดแบบนี้ไป 45 วัน พอทำไปได้สักไม่เกิน 7 วัน ได้ผลปรากฎว่า ลูกน้องบอกว่า พรุ่งนี้บ่ายโมงจะมีกองบังคับคดีมานะ เพราะว่ามันน่าจะจบ ธุรกิจเรามีปัญหา พรุ่งนี้บ่ายโมงเดี๋ยวจะมีหลาย ๆ คนมาคุยเรื่องของต่าง ๆ แล้วพอตอนเช้า เราตื่นมา 9 โมง ไปนั่งเศร้าอยู่หน้าบ้าน นั่งมองสิงห์ คิดว่าเราทำอะไรลงไป พอบ่ายโมงรถจอด เราเลยวิ่งไปกอดสิงห์ ร้องไห้ บอกว่าทำไมต้องหลอกฉัน มันคือเงินก้อนสุดท้าย แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งลงมาจากรถแล้วก็ตบบ่าเราบอกว่า เป็นหนึ่งคุณตื่นนะ เรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง คุณต้องลุกขึ้นสู้ หลังจากนั้น 2-3 วัน เราต้องเก็บเคลียร์ของทุกอย่าง แล้วเราเคยอ่านในหนังสือว่า เวลาคนเราจะตาย หรือเค้าจะคิดสั้น เค้าจะเห็นว่าข้างล่างเป็นน้ำ ซึ่งมันจริงนะ ตอนนั้นเราเดินขึ้นไปอยู่ตึกชั้น 4 เรามองเห็นข้างล่างเป็นทะเล แล้วก็มีความรู้สึกว่า ถ้าฉันโดดมันคือจบ หน้าตา ศักดิ์ศรี ความไม่เหลือแล้ว มันจบนะ แล้วระหว่างที่กำลังจะตัดสินใจ แม่บ้านเปิดประตูเข้ามา แล้วบอกว่าคุณเป็นหนึ่งจะทำอะไร เราบอกว่า ป้ามันไม่เหลือ เราไม่สามารถจะพาป้าไปถึงฝั่ง แต่เป็นหนึ่งก็พาป้ามาจนถึงวันนี้นะ จากนั้นป้าควักเงินในกระเป๋าออกมา ป้าบอกว่าทั้งชีวิตป้าทำงานกับเป็นหนึ่งมา ป้าให้เป็นหนึ่งนะ มันไม่ได้เยอะนะ แต่เป็นเงินที่ป้าเก็บ เป็นหนึ่งเอาเงินนี้ไปใช้หลังจากนี้นะ เพราะหลังจากนี้ต้องแยกย้ายกัน เงินนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีสติขึ้นมาทันที เราก็เลยลืมทุกอย่าง แล้วเราก็เข้ากรุงเทพ มานอนตามป้ายรถเมล์ มานอนอยู่ที่วัดธาตุทอง นอนแบบคนบ้า เสียสติทุกอย่างประมาณเกือบเดือน แล้วก็มีเงินติดตัวอยู่ 5 บาท พยายามจะเก็บไม่ให้ 5 บาทหาย มีอยู่วันหนึ่งเราไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยว เราหิวมาก เราอยากกินก๋วยเตี๋ยว ก็เลยไปยกมือบอกเจ้าของร้านขอผักบุ้งซัก 4-5 ชิ้นได้ไหม ปรากฎว่าเจ้าของร้านตักให้เต็มจานไปหมดเลย ป้าก็ให้เรากินฟรี แล้ว 5 บาทเราก็ยังเก็บ จนมาวันหนึ่งเราไปถ่ายรายการ คนถามว่าเป็นหนึ่ง 5 บาทนั้นเธอเก็บไว้ทำไม เราบอกว่า ฉันเก็บไว้โทรหาแม่ตอนสุดท้ายที่ฉันต้องตายแล้วไง จะได้บอกแม่ว่าไม่อยู่แล้วนะ แล้วฉันก็เก็บไว้”น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง“สุดท้ายชีวิตมันกลับมาฟื้นด้วยคำของหลวงพ่อจรัญ คือน้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง เพราะหลังจากนั้นเราก็ไปสมัครงาน แต่ในการสมัครงานไม่ใช่เรื่องง่าย มีบริษัทหนึ่งถามเราว่า ขอโทษนะคะ เราถามตรง ๆ อย่าโกรธเรานะ เราจะรับคุณมาได้อย่างไร ในเมื่อคุณเป็นคนล้มเหลว บริษัทคุณยังไปไม่รอดเลย เราจะต้องรับคุณเหรอ ซึ่งเราตอบเค้าว่า เราเองเรารู้ความล้มเหลวในอดีต แต่เมื่อไหร่ที่คุณได้มีโอกาสรับเราทำงาน คุณจะไม่มีวันที่จะล้มแบบเรา เพราะเราเรียนรู้ที่จะล้มมาแล้ว แต่ไม่เป็นไร ไม่รับเราไม่ได้มีปัญหา เราก็ถือว่าเราได้มาเจอ ต้องขอบคุณที่เปิดโอกาสให้เราได้สัมภาษณ์งาน กว่าจะได้งานทำ กว่าจะได้โอกาส พอเราเริ่มมีงานต่าง ๆ ชีวิตเริ่มดีขึ้น เราบอกกับตัวเองเลยว่าฉันจะไปศึกษาเรื่องนี้เองที่เมืองจีนด้วยความเจ็บใจ พอไปเรียนที่เมืองจีนมา สิ่งที่เราฟังมาไม่มีอยู่จริง เสาไฟฟ้าอยู่หน้าบ้านได้ไม่แปลก บันไดเทออกไปทางหน้าบ้านได้ไม่แปลก ประตูซ้อนกันได้ไม่แปลก ทุกอย่างที่เราเรียนรู้มามันมีครบหมดโดยที่ไม่มีปัญหาใดๆ เลยส่วนเรื่องของสิงห์ ตามตำราเค้าจะไม่วางอยู่หน้าบ้าน เพราะสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของการส่งวิญญาณ ถ้าเป็นเมืองจีนต้นตำหรับเลย เค้าจะวางสิงห์ไว้ที่สุสาน วัด หน่วยงานราชการ หรือโรงพยาบาล เค้าจะไม่นิยมวางในบ้าน แล้วไม่ว่าจะเป็นสิงห์ หรือนกอินทรีย์ต่าง ๆ เป็นเหมือนอุปกรณ์ตกแต่ง เพื่อยกระดับฐานะของคนยุคนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับความเชื่อเลย เหมือนบ้านหนึ่งถ้าคุณสามารถมีนกอินทรีย์อยู่บนหลังคาได้ แสดงว่าบ้านนี้ต้องรวยมาก มันเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ในการยกฐานะของคน แต่บังเอิญพอยุคมันเปลี่ยน คนมันมีเชิงพาณิชย์มากขึ้น มันก็เลยหากินจากการขายสิ่งเหล่านี้ แล้วพอมันมีกิเลส มันก็เจอเรื่องราวต่าง ๆ นี่คือสิ่งที่มันเป็นความจริง”ฮวงจุ้ย คืออะไร?“ฮวงจุ้ย มันคือความสบายใจ ให้คุณจำไว้เลยว่า อะไรที่มีประโยชน์ ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยดีที่สุด แล้วอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ถือว่าไม่ดี เช่นสมมติบ้านหนึ่งหลังมีประตู 5 บาน แต่ถ้าเกิด 5 บานไม่มีคนใช้ แสดงว่าไม่มีประโยชน์ ฮวงจุ้ยไม่ดี แล้วคำว่าฮวงจุ้ย เค้าแบ่งไว้ชัดเจนว่ามันคืออะไร ห้องนั่งเล่น คือ นั่งยังไงให้มันนั่งสบาย ห้องนอน คนนอนต้องหลับลึกหลับสบาย ห้องครัว คือการทำอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย ห้องน้ำ คือห้องแห่งความสุขปลดทุกข์เท่านั้นเองแต่พอมายุคนี้มันเปลี่ยน คนดันเอาไปประกอบพาณิชย์ขายความกลัว ความกลัวมันขายง่าย คนเรากลัวไม่กี่เรื่อง เรื่องผัว เรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องสิ่งที่เค้ารัก เค้าถึงเอามาแปลงว่าถ้าเกิดนอนห้องนี้โอกาสจะสูญเสียลูก เค้าก็ต้องกลัว วางของตรงนี้สามีจะมีปัญหา เค้าก็ต้องกลัว ดังนั้นพอขายความกลัวของคนมันง่ายแล้วข้อสุดท้ายที่อยากจะบอกทุกคน คืออย่าไปทักทายใครในแง่มุมที่มันเป็นลบ เช่น เธอบ้านเลขที่นี้ บ้านเธอจะมีปัญหานะ นั่นมันคือวจีกรรม เหล่าซือสอนว่า ลื้อจำไว้เลยนะเป็นหนึ่งต่อให้ลื้อเรียนเรื่องพวกนี้มาจนจบ ห้ามไปทักทายใครในมุมที่รู้สึกเป็นลบให้เค้าเกิดทุกข์ คุณจะติดวจีกรรมไปตลอดชีวิตและต้องบอกว่าในศาสตร์ของอาจารย์ พุทธคุณมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 95 เปอร์เซ็นต์คือมานะตน” – ซินแสเป็นหนึ่งพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

23 ธ.ค. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

“ดวงชะตามันเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ สำหรับวั้งมองว่า การดูดวงมันคือการให้คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วตัวเราเองเป็นคนเลือก เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูชื่อดัง ในเรื่องการดูดวงด้วยไพ่ออราเคิล ที่คนในวงการบันเทิงต่อคิวดูดวงกันมากมาย จากไสตล์การดูดวงที่เป็นกันเองมาก ๆ จนเกิดเป็นฉายา หมอดูอินดี้ ซึ่งกว่าจะมาเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงในวันนี้ ชีวิตของเขาเริ่มจากความไม่เชื่อมาก่อน และชีวิตของเขาต้องผ่านบททดสอบมามากมาย และนอกจากการเป็นหมอดู เขายังมีอีกหลายบทบาท เช่น การถ่ายภาพ และการเป็นครีเอเตอร์ด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการไพ่ออราเคิล คืออะไร? ใช้ทำนายอย่างไร?“ไพ่ออราเคิล คือ ไพ่ที่เป็นรูปภาพ ซึ่งถูกเรียกว่า ไพ่ภาพพยากรณ์ ซึ่งสิ่งที่วั้งชอบในการใช้ไพ่นี้คือ มันเป็นการใช้โดยที่ไม่มีขีดจำกัดในการพยากรณ์ แล้วก็จริง ๆ แล้วในการดูดวงด้วยไพ่ ถ้าพูดแบบตรง ๆ เลย มันคือการเสี่ยงทาย เหมือนบางครั้งที่เราต้องการความมั่นใจสักอย่าง แล้วเราโยนเหรียญ เพื่อดูว่าออกหัวหรือก้อย มันเหมือนกันเลย แต่ว่าข้อดีของไพ่ คือมันมีความเป็น Storytelling คือมันต้องเล่าเรื่องราวได้ ในสิ่งที่เราถามแล้ววั้ง เป็นคนที่เชื่อเรื่องที่ว่าไม่มีอะไรบังเอิญ สมมติมาดูดวง เราบอกว่าสับไพ่ให้วั้งหน่อยค่ะ 9 ครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความจดจ่อ เพื่อให้คนเกิดสมาธิ แล้วพอสับไพ่เสร็จ วั้งก็จะหยิบไพ่โดยเรียงตามลำดับที่ได้สับไว้แล้วเท่านั้น จะไม่สุ่มไพ่ จะไม่กรีดไพ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นสถิติ หรือมันจะเป็นความไม่บังเอิญก็ไม่รู้ ที่เวลาที่เค้าถามในเรื่องราวนั้น ภาพของไพ่ก็จะเป็นสตอรี่ในเรื่องนั้น ๆ เช่นกันซึ่งคนที่ทำไพ่ออราเคิลนี้ ชื่ออาจารย์สมบูรณ์สุข ท่านเป็นช่างศิลป์ แล้วก็เรียนโหราศาสตร์ จากนั้นก็มาวาดทำไพ่นี้ขึ้น ตอนนี้น่าจะทำไพ่ประมาณ 3-4 ชุด แต่ชุดที่วั้งใช้ เป็นชุดที่สองของเค้า ที่เลือกใช้ชุดนี้เพราะว่า ในไพ่ชุดนี้ มีไพ่ที่มีวั้งเป็นต้นแบบ คือเค้าถ่ายรูปเรา แล้ววาดออกมาเป็นไพ่นั่นเองค่ะ”เปิดไพ่ทำนายดวง 2568 ปีนักษัตรไหนปัง ปีไหนต้องระวัง!“คนเกิดปีชวด ปีหน้าคนปีชวดมีโอกาสที่จะได้เริ่มอะไรใหม่ ๆ เหมาะกับช่วงของการที่จะต้องเริ่มต้นจริงจัง ต้องลงมือทุ่มเทตั้งใจ แล้วประคับประคองทุกสิ่งอย่างให้มันดี ให้มันผ่านพ้นไปได้แล้วจะเป็นปีที่ดีของคุณเลยคนเกิดปีฉลู ปีหน้าเป็นช่วงที่จะมีความโดดเด่นในเรื่องของการเดินทาง การสัญจร ทุกการเดินทางมีความสุขมากขึ้น เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายให้กับตัวเองมากขึ้น เป็นการเดินทางกับกลุ่มคนสนิทรักใคร่ คนคุ้นเคย คนใกล้ตัว ถ้าเป็นเรื่องงาน ก็จะเป็นคนที่ต้องทำงานที่มีการเดินทางไปโน่นมานี่ ติดต่อประสานงาน มันต้องมีการไป Walk-in บ้าง ไม่ใช่แค่อินเตอร์เน็ต หรือทางออนไลน์อย่างเดียว เราจะทำให้มันเป็นเชิงรุกมากขึ้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิถี สำหรับคนปีฉลูคนเกิดปีขาล ปีหน้าถือว่าเป็นปีแห่งชัยชนะ ปีแห่งความสำเร็จ เพราะฉะนั้นคนปีขาล ถ้าเกิดว่าในปี 2567 มันโหดร้ายกับคุณ ในปี 2568 มันเป็นปีที่คุณจะทำสำเร็จ มันเป็นปีที่คุณรู้สึกว่าได้รางวัลจากสิ่งที่คุณทุ่มเทตั้งใจ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อ รางวัลรออยู่ รางวัลแห่งชีวิต รางวัลแห่งผลงาน หรือแม้กระทั่งความชื่นชมจากคนรอบตัวของคุณ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ดีของคนปีขาลเช่นกันคนเกิดปีเถาะ ปีหน้าเป็นปีแห่งการต้องเรียนรู้วิธีการ ฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น สิ่งไหนที่เราคิดว่าเรายังทำไม่ดี เรายังทำไม่ได้ การฝึกฝนจะไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราพยายามทำมันอย่างสม่ำเสมอจนกว่าเราจะบอกได้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะ ในปีหน้ามันอาจจะมีเรื่องให้คุณมีความรู้สึกท้อบ้างในบางช่วงของปี แต่อย่างที่บอกไปว่า การเรียนมากมันไม่สู้การเรียนรู้นะ คือเรียนมามาก แต่ถ้าไม่เคยเรียนรู้ คือเรียนแล้วไม่ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะเรียนรู้เท่านั้นที่จะช่วยทำให้คุณเติบโตและก้าวหน้าได้คนเกิดปีมะโรง ในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่มีจุดเลือก มีทางเลือกให้เราต้องตัดสินใจค่อนข้างเยอะ ซึ่งทุกการตัดสินใจของคนปีมะโรง มีผลในระยะยาว 1-2 ปีจากนี้ ถ้าคุณใช้เหตุและผล ใช้สติ แล้วก็ใช้ความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มันจะทำให้การตัดสินใจของคุณเกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด และจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนปีมะโรงตลอดทั้งปีเลยคนเกิดปีมะเส็ง ปีหน้าเป็นปีชงด้วยนะ ซึ่งในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่อาจจะทำให้คุณเจอปัญหาหรือความรู้สึกที่ทำให้หมดไฟได้ มีความขี้เกียจ มีความรู้สึกเหนื่อยหน่าย เบื่อ เซ็ง ไม่มีแพชชั่น ไม่มีการผลักดันให้ตัวเองอยากจะทำ อยากจะสู้ อยากจะลุยต่อ แต่ไพ่บอกว่า คุณเหนื่อยนะ แต่มันคือการพักผ่อน เพราะฉะนั้นคนปีมะเส็งพักได้แต่อย่านาน เพราะเวลามันเดินเร็วมาก คนปีมะเส็ง ปีหน้าเหนื่อยได้ท้อได้ไม่ว่ากัน แต่ขออย่างเดียว อย่าทิ้งโอกาส อย่ารอเวลา ลุกขึ้นได้เมื่อไหร่ ทำให้สำเร็จเร็วได้มากเท่านั้นคนเกิดปีมะเมีย ในปีหน้าเป็นช่วงปีที่คุณอาจจะเจอเรื่องราวดราม่าจากคนอื่น ๆ รอบตัวได้ง่าย เช่นถูกจับตามองเป็นพิเศษ ถูกติฉินนินทา กล่าวร้ายให้โทษ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เรากีดกั้นคนอื่นให้คิดหรือพูดถึงเราไม่ได้ แต่ให้รู้ไว้เลยว่าในปีหน้า คุณควรที่จะต้องสตรองมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเจออะไร ให้นึกเอาไว้เลยว่า สิ่งไหนสบายใจ ทำแล้วฮีลใจได้ ให้ทำสิ่งนั้น เจอเรื่องกระทบกระทั่งบ้าง เจอดราม่าบ้าง แล้วจะเจอบ่อยตลอดทั้งปีเลยสำหรับคนที่เกิดปีนี้ แต่ไม่ต้องไปสนใจ บางทีสิ่งเหล่านี้มันทำร้ายใจเราได้ แต่เราไม่ควรทำร้ายใจตัวเองคนเกิดปีมะแม ในปีหน้า ที่พึ่งทางใจของคุณที่ดีที่สุดก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เคารพ สิ่งไหนที่รู้สึกว่าคุณได้ทำดี คิดดี ปฏิบัติดี จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ กับคนปีมะแม เพราะฉะนั้นคนไหนที่รู้สึกว่า ปีที่ผ่านมาฉันมีเรื่องที่ฉันผิดพลาด ฉันมีการเกเร รีบ ๆ ปรับตัว เพราะดวงชะตาของคุณส่งผลกับการกระทำของคุณจากปี 2567 ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นในปี 2568 คนปีมะแม ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องก่อนถูกใจ แล้วชีวิตคุณราบรื่นตลอดปี 2568 แน่นอนคนเกิดปีวอก ในปี 2567 ที่ผ่านมา คุณจะเจอความชอกช้ำจิตใจ คุณจะเหน็ดเหนื่อย จะท้อแท้มาแค่ไหนก็ตาม ปี 2568 ถึงเวลาที่เป็นปีของคุณแล้ว มันเป็นปีของหัวใจนักสู้ ความโลดโผนในชีวิตที่บางทีก็ไม่ได้คิดไว้ว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรขนาดนี้ ปีหน้ามันกำลังจะดีขึ้น หัวใจของคุณมันกำลังจะแข็งแกร่ง ร่างกายซ่อมแซมมาแล้วอย่างดี มันแกร่งขึ้น มันดีขึ้น มันอดทนได้มากขึ้นและมันต้านทานต่ออุปสรรค และปัญหาชีวิตได้ดีกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดหวังไว้ มันมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ง่าย และมากขึ้นเช่นกันคนเกิดปีระกา ในปีหน้าสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคนปีระกาคือ ความว้าวุ่นเรื่องความรัก อย่างเดียวเลย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีอยู่แล้ว หรือความรักที่กำลังอยากจะมี อยากจะหามาใหม่ หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องเดียวที่รบกวนจิตใจ เพราะจริง ๆ แล้วคนปีระกา เป็นคนที่รักคนยากอยู่แล้วโดยพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเวลาที่เค้าจะต้องรักใคร มันหมายถึงการทุ่มไปทั้งตัวเลย แต่นอกนั้น ในปีหน้าอะไรก็ตามที่มีการเรียนเพิ่ม เรียนมาเพื่อเสริมอาชีพ หรือมีรายได้เสริม ลุยเลย คนปีระกาเงินรออยู่ จากการเรียนรู้ของคุณคนเกิดปีจอ ปีหน้าต้องระวังมากที่สุดในเรื่องของสุขภาพ บางครั้งการไม่ตรวจ ก็คือไม่รู้ แต่ฝากย้ำไว้เลยว่า สำหรับในช่วงของปีหน้า สิ่งที่คนปีจอต้องให้ความสำคัญคือเรื่องสุขภาพร่างกายตัวเอง และมันเป็นช่วงปีที่อาจจะเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยนตัวตนไป ซึ่งมันจะส่งผลในด้านบวก มากกว่าในด้านลบ และสิ่งที่คุณคาดหวัง มันจะสำเร็จได้ ถ้าคุณกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงคนเกิดปีกุน ไพ่อาจจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะว่ามันหมายถึง คนปีกุน อาจจะต้องเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจ ปัญหาสุขภาพ เจอเรื่องที่ทำให้เสียอกเสียใจ เพราะปีหน้า ปีกุน ชงเต็ม แต่ใจเย็น ๆ คุณอาจจะเสพคอนเทนต์มากเกินไป ว่าฉันชง 100% แล้วจะเจอแต่เรื่องไม่ดี จะบอกให้เลยว่า ส่วนตัววั้ง เรื่องเปอร์เซ็นต์ของปีชงไม่มีผลเลย จากการพิสูจน์มาแล้วทั้งชีวิต ดวงมันมาจากการกระทำของเราล้วน ๆ บางคนบอกว่าชง 100% ไม่ดี แต่ปีนั้นชีวิตวั้งดีมากเลยนะ เพราะฉะนั้น คนปีกุนอาจจะให้ระวังหน่อย ถ้าคุณรู้สึกว่ามันกังวลมาก ไม่สบายใจ อยากไปทำบุญ อยากไปทำทาน อยากจะเข้าวัด เข้าศาลเจ้า อยากไปช่วยเหลือบริจาคอะไร ทำเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าฉันได้ทำสิ่งดี ๆ แล้ว สิ่งดี ๆ จะเกิดกับฉัน แต่ว่าเรื่องสุขภาพอันนี้ย้ำเลย เรื่องของความเสียอกเสียใจ ความแตกสลายทางความรู้สึก ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรีบรักษามันให้เร็ว แค่นั้นเองส่วนไพ่ของปีหน้า 2568 ทำนายว่า ปีหน้าผู้หญิงมีอำนาจเยอะ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงอาจจะมีการลุกขึ้นมามีความเป็นผู้นำมากกว่าคุณผู้ชาย หรือเป็นเพศที่หาเงินได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นผู้หญิงอย่านิ่งดูดาย ถึงแม้เราจะเป็นมนุษย์แม่ ดูแลลูกอยู่บ้าน ทุกวันนี้มันมีอาชีพออนไลน์นะหลายคนมองข้าม แต่มันทำให้เรามีรายได้นะ แต่ถ้าเป็นภาพโดยรวม วั้งมองว่า ปีหน้าเราต้องจับตามองมาก ๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจบ้านเรา ว่ามันจะเติบโตได้จริงไหมต้องตีความว่าเป็นของช่วงระหว่างปี 2568 กับ 2569 สองปีนี้มันมีผลมาก ๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ การเงิน การค้าขาย ในบ้านเรา ที่มันพร้อมจะดีเลยก็ได้ แต่ในช่วงสั้น ๆ และเป็นช่วงที่สามารถจะพลิกให้แย่ลงไปเลยก็ได้ในช่วงสั้น ๆ เช่นกัน เพราะฉะนั้น การเงินในปีหน้า ควรวางแผนชีวิตให้ดี มันมีความไม่แน่นอนสูง เวลามันดีมันอาจจะเหมือนพลุมี่ขึ้นไปสวย แล้วร่วงมาเร็ว เพราะฉะนั้นก็ให้ระวังเรื่องการใช้จ่าย ไตร่ตรองให้รอบคอบ ปีหน้าทุกการใช้เงินมีผลกับคุณในระยะยาว”ทริคจัดบ้านรับปีใหม่ บ้านแบบไหนถึงจะปัง?“โล่ง โปร่ง สะอาด ไม่มีกลิ่น มันเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมาก ๆ คือสะอาดตา อยู่แล้วสบายใจ ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มันทำให้คุณไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และทำให้คุณ หรือคนอื่นที่แวะมาเยี่ยมเยียนก็จะรู้สึกดีกับบ้านหลังนี้ ยังไงก็เป็นบ้านที่รู้สึกว่า เราสามารถดูแลตรวจตรา การที่มันไม่รกไม่ร้าง มันทำให้เกิดการปลอดภัย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นฮวงจุ้ยดี ๆ ที่ทำให้บ้านเรามันคือเซฟโซน แล้วจากประสบการณ์ที่วั้งทำ วั้งรู้สึกว่า บ้านที่ดีมันต้องปลอดภัยถูกใจคนอยู่ ต้องมีระเบียบ ข้าวของวางเป็นที่ ไม่เกิดอุบัติเหตุ เตะ เกี่ยว เฉี่ยว ชน คนในบ้านไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่อยู่ได้ และคุณก็ไม่ควรเก็บของให้มันเน่าเสียคาตู้เย็น เพราะมันจะเหม็นอับ ถ้าอับก็ต้องเปิดหน้าต่าง ให้มันมีวินัยของคนในบ้านในการทำความสะอาด และใส่ใจบ้านด้วย ทุกอย่างมันจะต้องกลมกลืน นี่คือฮวงจุ้ยที่ดี และลงทุนน้อยที่สุด ไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะมาตั้ง มาจัด มาวาง มาทุบ เราเลือกไม่ได้ว่าจะต้องเป็นที่อยู่ที่ดี และดวงชะตามันบอกเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ บางคนอาจจะบอกว่า การดูดวงคือแผนที่ สำหรับวั้ง เมื่อก่อนเคยเห็นด้วย แต่พอเราเติบโตขึ้น เราจะรู้ว่าการดูดวงมันไม่ใช่แผนที่ มันคือการที่คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วให้คุณเป็นคนเลือก เราต้องเชื่อว่ามันมีหลายอย่างมากในชีวิตมนุษย์ที่มันเอาชนะโชคชะตาได้เสมอ”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู ของ หมอวั้ง วรางคณา“วั้งเริ่มดูดวงมาตั้งแต่ 9 ขวบ ตอนนั้นวั้งไปอยู่กับคุณพ่อที่อเมริกา ซึ่งคุณพ่อได้รับเชิญให้ไปเปิดสำนักสอนนั่งปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ที่อเมริกา แล้วคุณพ่อก็รักเรามาก เราเป็นลูกคนเดียวที่คุณพ่อเลี้ยง ไปไหนคุณพ่อก็หนีบไปด้วย พอไปอยู่ที่นั่นคุณพ่อก็จะรับแขก รับลูกศิษย์ ที่จะมาดูดวงบ้าง มานั่งสมาธิบ้าง แล้วอยู่ ๆ ก็มีอยู่เคสหนึ่ง ที่เค้าอยากจะขายที่ดิน แล้วคุณพ่อก็บอกว่าลองตอบให้พี่เค้าหน่อยสิว่าพี่เค้าจะขายที่ดินผืนนี้ได้ไหม จากเซ้นส์ของวั้ง คือมนุษย์เรามันมีเซ้นส์ทุกคนอยู่แล้ว แต่เราฝึกใช้มันได้ไม่เท่ากัน แล้ววิธีที่จะฝึกใช้เซ้นส์ ก็คือการคาดเดา แล้วตอนนั้นเรารู้สึกว่าที่ดินขายได้ แต่ว่ามันจะช้าหน่อย แต่มันจะขายได้แน่ ๆ แล้วภายใน 3 อาทิตย์ อยู่ ๆ เค้าก็ขายที่ดินตรงนั้นได้จริง ๆ วั้งก็เลยได้ค่าดูหมอมา 1 ดอลล่าร์ ณ วันนั้น ก็ประมาณ 40 กว่าบาท ก็ถือว่าเยอะนะ นั่นคือจุดแรก แล้วก็ไม่เคยสนใจดูดวงเลย เพราะว่าวั้งไม่เคยภูมิใจในอาชีพพ่อมาตั้งแต่เด็กย้อนไป 40 กว่าปีที่แล้ว เมื่อเราต้องตอบใคร ๆ ที่โรงเรียน ว่าคุณพ่อทำอาชีพอะไรมันน่าอายมากนะ คือเราจะรู้สึกว่าเพื่อนในห้อง คุณพ่อจะเป็นทหาร คุณแม่เป็นพยาบาล เป็นตำรวจ แต่พอเป็นเรา ต้องบอกว่าคุณพ่อเป็นหมอดู คุณแม่เป็นนางพยาบาล ณ วันนั้นเรารับไม่ได้ เราไม่เคยภูมิใจเลยว่าฉันมีพ่อทำอาชีพหมอดูแต่เมื่อไม่นานมานี้ ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา วั้งมาค้นเจอจดหมายที่พ่อเค้าเขียนถึงเรา ซึ่งคุณพ่อวั้งเสียชีวิตเร็ว เสียตั้งแต่เราอายุ 11 แล้วคุณแม่ก็เสียตั้งแต่เราอายุ 13 เสียตามกัน 2 ปีเลย แต่ปรากฏว่าเค้าก็บันทึกหลายอย่างว่า พ่อไปแจ้งเกิดวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ ลูกเกิดวันนี้ เพราะลูกจะดวงดีกว่า ลูกยิงปืนลมครั้งแรกตอน 9 ขวบ แล้วนี่ก็คือเป้าที่ลูกยิงเอาไว้ คือคุณพ่อเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ ชอบเขียนบันทึก ชอบเก็บรูปถ่าย แล้ววั้งก็เพิ่งมาเมื่อ 2 ปีแล้วนี่เอง มันก็รู้สึกได้ว่าพ่อรักเรามาก จนวันพ่อที่ผ่าน วั้งอยากจะบอกให้รู้ว่า ภูมิใจมากที่มีพ่อเป็นหมอดู”จุดพลิกชีวิตของ หมอวั้ง วรางคณา“จุดลำบากของวั้งเลยคือ ช่วงอายุประมาณ 14 ด้วยความที่คุณพ่อเสียเร็ว คุณแม่ก็เสียเร็ว เพราะฉะนั้นชีวิตเราเติบโตมากับการต้องไปอยู่บ้านอาก่อน จากบ้านอาก็หนีออกจากบ้านเพราะเราจะไปหาคุณแม่ สุดท้ายก็ต้องมาอยู่บ้านพี่สาวคนละแม่ ช่วงที่มาอยู่ตรงนี้ ก็เหมือนพจมานเลย ทำทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เป็นงานคนใช้ วั้งทำหมด ดูแลทุกคนในบ้าน ทำทุกอย่าง จะไปเรียนหนังสือ ต้องตื่นตี 4 คือต้องทำงานบ้านก่อนทุกสิ่งอย่างถึงจะไปโรงเรียนโด้ ณ วันนั้นวั้งรู้สึกว่าโรงเรียนคือสวรรค์ บ้านมันคือนรก อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน แล้วเรารู้สึกว่าอุ่นใจ เราได้ไปโรงเรียน ได้ไปเจอเพื่อน แล้วก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่วั้งตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แล้วก็ไปอาศัยตามบ้านเพื่อน หาเงินกินข้าวโดยการไปนั่งดูดวงตรงใกล้ ๆ เสาชิงช้า คือตรงศาลพระวิษณุ อยู่ตรงเกาะกลางถนนหน้าโรงเรียน นั่นคือออฟฟิศแรกที่ไปนั่งดูดวงตอนนั้นวั้งไม่รู้สึกว่าทุกข์นะ เรารู้สึกว่าตัวเองมีอะไรให้ทำ และสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่เป็นอาชีพที่ฉันจะเลือก ฉันแค่ต้องการหาเงินโดยที่ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้เงินมา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปขโมยของ ดีกว่าไปหลอกเงิน การดูดวงมันเป็นความพึงพอใจที่เค้าจะให้เงินเรา บางคนเค้าให้เกินก็มี ถ้าถามว่าทุกข์ทรมานไหม เรามองว่า นี่ยังไม่ใช่จุดทุกข์ทรมาน เพราะจุดที่ทุกข์ทรมานจริง ๆ คือในวันที่เราพยายามทำหลาย ๆ อาชีพเหมือนคนอื่น ๆ เราก็อยากจะเหมือนคนอื่นที่เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงิน แต่เราเป็นคนเรียนหนังสือน้อย วั้งเรียนถึง ปวช. ปี 3 และก็เรียนออกแบบตกแต่งภายใน แต่ไม่ได้สอบไฟนอล แล้วต้องดร็อปเรียน แล้วเวลาที่เราจะต้องไปสมัครงาน มันจะต้องใช้วุฒิ วั้งได้แค่วุฒิ ม.3 ก็เอาไปสมัครงาน ซึ่งตามหลักมันหางานไม่ได้หรอก แต่เราก็ได้งานมาตลอดนะ”หมอวั้ง วรางคณา กับความสามารถ และบทบาทที่หลากหลาย“งานแรกเลยที่วั้งไปสมัครแล้วเค้ารับ คือนิตยสารปลื้ม ไปสมัครตำแหน่งตำแหน่งนักข่าว และวาดรูปล้อดารา เพราะเป็นนิตยสารภาพล้อการ์ตูนดารา เป็นเจ้าเดียวเลย เราก็ไปทำเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง ตอนนั้นเงินเดือนน่าจะ 4,000 บาท ก็ไปทำแบบงง ๆ ทำอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน ก็ได้ไปทำอยู่ที่ มีเดียออฟมีเดีย เป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง แล้วก็ไปเป็นตากล้อง ซึ่งเป็นตากล้องที่ถ่ายรูปไม่เป็น แต่ในยุคนั้นเวลาที่เราจะไปถ่ายภาพข่าว มันจะต้องใช้ฟิล์มสไลด์ ซึ่งมันถ่ายยากมาก เราก็ต้องไปฝึกเอา เราไม่เคยเรียน แล้วสมัยก่อนถ้าจะถ่ายลงนิตยสาร อาร์ทเวิร์คมันจะต้องเป็นฟิล์มสไลด์ ไม่ใช่ฟิล์มทั่วไปเหมือนที่เราใช้กล้องฟิล์มนะ ซึ่งมันยากก็ต้องไปฝึกเอาเองหลังจากนั้นเราก็อยากมีรายได้ ก็ทำหมดเลย ไปเรียนเสริมสวย เป็นช่างเสริมสวย ก่อนหน้านั้นก็มีไปรับจ้างร้านยาดอง อยู่ที่เชียงใหม่ ไปขายพวกไส้ย่าง ไปรับจ้างขนถังแก๊ส ขับรถขนผัก จากนครปฐมมาคลองขวาง อะไรก็ได้ที่ได้เงินเราทำหมดเลยส่วนสิ่งที่ชอบจริง ๆ คือ ชอบถ่ายรูป อาจจะเป็นเพราะว่าเราเห็นคนที่บ้านเรา คือคุณพ่อ เป็นคนชอบถ่ายรูป ที่บ้านเราก็จะมีรูปภาพที่คุณพ่อชอบถ่ายเอาไว้เยอะมาก แล้วมันทำให้เรารู้ว่าในวันที่มันมีภาพถ่าย มันทำให้เรามีความทรงจำ มันดีมากเลยนะ อาจจะไม่เหมือนยุคนี้ เรามีมือถือกดถ่ายได้เลย แต่ในยุคนั้นมันต้องตั้งใจ มันต้องเอาฟิล์มไปล้าง ไปอัดภาพออกมา เรารู้สึกว่าตัวเองชอบถ่ายภาพ ตอนที่เรียนปวช. วั้งอยากเรียนถ่ายภาพมากเลย แต่ไม่ได้เรียน วั้งเลือกเรียนคณะศิลปประยุกต์ เป็นศิลปกรรมออกแบบตกแต่งภายใน ก็ไปเรียนแบบไม่ได้อยากเรียน แต่ดันสอบผ่านเลยต้องไปเรียน ก็เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ เขียนแบบ ทำดิสเพลย์ ออกแบบผลิตภัณฑ์”หมอวั้ง กับการยอมรับตัวตน จากคนในครอบครัว“เรื่องการยอมรับตัวตน จะมีแค่ช่วงตอนอยู่กับพี่สาว ที่เค้าแบบรับได้ หรือรับไม่ได้ ตาวั้งเป็นคนที่บุคลิกชัดมากตั้งแต่ 5-6 ขวบ เพราะว่าเราโตมากับคุณพ่อ ก็เติบโตมาแบบลูกชายคนหนึ่ง แต่คุณแม่ทำงานโรงพยาบาล เค้าก็ไปเช้าเย็นกลับ ชีวิตและบุคลิกส่วนใหญ่เราก็ได้มาจากคุณพ่อทั้งหมด เช่น ไม่ค่อยอยากจะใส่เสื้อ ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว ใส่ผ้าโสร่ง จนทุกวันนี้วั้งก็เป็นคนชอบนุ่งโสร่งอยู่บ้าน ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ๆ ก็เลยเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว และติดนิสัยพูดเร็ว เพราะเราเป็นคนอ่านออกเสียงมาตลอด วั้งโชคดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยโดนบูลลี่ หรือโดนกดดันมาก ๆ จากครอบครัว อาจจะเป็นเพราะว่า เราหนีออกจากบ้าน เราก็เลยเหมือนคนที่มาเติบโตอยู่ข้างนอก ดังนั้นคนในครอบครัวไม่ค่อยมีผลกับตัวตนวั้งเลย ในตอนที่โตมาการที่เราเป็นทอมบอย มันมีปัญหาอยู่สองเรื่องที่ทุกวันนี้วั้งก็ยังเป็นอยู่ เรื่องแรกคือการเข้าห้องน้ำ แต่ความโชคดีคือ คนยุคก่อนกับคนยุคนี้ การใช้สายตาแบบไม่มีมารยาทมันลดลง สมัยก่อนสายตาไม่มีมารยาทมากนะ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราคือตัวประหลาด การที่เราไปเข้าห้องน้ำผู้หญิงแล้วคนหันมามอง หรือโดนแม่บ้านไล่ มันเหมือนเราเป็นตัวประหลาด จนบางทีถ้าทนไม่ไหว วั้งก็เดินออก แล้วเดินเข้าห้องน้ำผู้ชายเลย โชคดีที่ยุคนี้คนที่เค้าไม่มีมารยาททางสายตามันลดลงไปมาก อาจจะด้วยสังคมที่เข้าใจพวกเรามากขึ้น สังคมที่มันเปิดกว้างมากขึ้น คนเรามันควรจะมาดูกันในเรื่องของนิสัยใจคอ ความคิด การกระทำ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่เรื่องของบุคลิกทางเพศ กับอีกเรื่องที่วั้งมีปัญหา คือเรื่องของการใช้หางเสียง ไม่รู้จะใช้ครับ หรือค่ะ เพราะเราเคยโดนคอมเมนต์ว่าเป็นผู้หญิงอย่าพูดครับ แต่ก็ไม่ได้ให้ค่า ไม่สนใจ ถ้าคิดว่าตัวเองใจบางทนไม่ได้ ก็แค่ลบ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราตอบ เดี๋ยวเค้าก็อาจจะกลับมาอีก แล้วคนที่เจ็บช้ำใจไม่ใช่เค้า แต่เป็นเรา ก็เลยเลือกด่าในใจ บางทีวั้งก็แก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องใส่หางเสียง ซึ่งมันเป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน”เรื่องความรัก อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจ“สมมติว่าใครอยากจะมาดูดวงกับวั้งเรื่องความรัก ถ้าคุณมีแฟน แนะนำว่าให้มาทั้งคู่ แล้วดูไปพร้อม ๆ กัน อะไรดีไม่ดีจะได้ช่วยกัน วั้งไม่ชอบการดูดวงความรักที่แยกกันดู มันจะกลายเป็นว่าเราคือคนกลางที่ไปทำให้เค้าตีกัน หรือรักกันได้ และมันจะกลายเป็นรักกันเพราะหมอดูบอก เลิกกันเพราะหมอดูทัก เรื่องของความรัก เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ใช้ดวงในการตัดสิน มันเป็นเรื่องคนสองคน ความรักมันสวยงามได้ และมันก็คือทำลายเราได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องความรัก ไม่อยากให้ตัดสินด้วยดวง อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจมากกว่าวั้งก็มีความรักที่ดี ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วค่ะที่คบกัน เราผ่านอะไรมาเยอะ เราหนักหนาสาหัสมาเยอะ จริง ๆ แล้ว ความรักแบบนี้มันค่อนข้างต้องเป็นรักที่สตรอง กว่ามันจะเป็นรักที่สังคมยอมรับ กว่ามันจะเปิดเผย มันก็ต้องมีอุปสรรค แต่ว่าโชคดีที่เราเป็นคนที่ไม่เคยจะต้องไปเจอความรักที่คู่เราจะต้องบอกไม่ได้ว่าเราคือทอม เพราะเราเป็นคนชัด จึงไม่ได้โดนปิดกั้นเรื่องผู้ใหญ่เวลาจะเข้าหาใครการดูแลความรัก อย่างแรกเลยคือ ความเข้าใจ ความรักเนี่ยนะ สมมติเราเจอคนสวย เก่ง รวย แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วท็อกซิก ก็ไม่ไหว วั้งจะบอกคนอื่นเสมอว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าคุณรักใครสักคน แล้วถ้าความสุขกับความทุกข์มันใกล้กันมาก แสดงว่ามันไม่สุข เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักมันสุข ความทุกข์มันต้องน้อยที่สุด”ดูดวงอย่างไรถึงจะมีประโยชน์กับชีวิต“ดูดวงแบบฟังหูไว้หู การดูดวงที่ดี ได้ประโยชน์จากการดูดวง แล้วไม่ทำให้ชีวิตคุณพัง หรือว่างมงายจนเกินไป คือฟังหมอดู แล้วคิดดูบนความเป็นจริงในสิ่งที่เราเจออยู่ แบบนี้คุณจะได้ประโยชน์จากหมอดู และการเลือกหมอดูที่คุณรู้สึกว่าถูกจริต อันนี้ก็สำคัญ คือบางครั้งถ้าหมอดูแนะนำให้คุณทำอะไรที่มันจะทำให้คุณคลายทุกข์ หรือสบายใจขึ้น แต่ถ้ามันจะต้องเสียเงินทองมากมาย ต้องคิดดี ๆ ว่ามันใช่รึเปล่า หรือสมมติคุณมีเงิน 1,000 บาท คุณอยากจะทำบุญแล้วหมอดูบอกว่าให้ไปทำบุญนี้ไปเลย 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นวั้ง วั้งจะรู้สึกว่า ถ้าคุณทำบุญได้แค่ 1,000 บาท คุณแบ่งไปทำบุญที่ละ 100 บาท คุณก็ทำบุญได้ตั้ง 10 ที่นะ เพราะฉะนั้นการดูดวงมันไม่ใช่เรื่องงมงายหรอก แต่ว่าการดูดวงเราต้องมีเหตุและผล อย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย” – หมอวั้ง วรางคณาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1