“อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง เพราะต้นเคยกลัวมาก่อน เลยรู้ว่ามันทำให้เราไม่สบายตัวขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องไปตามบรรทัดฐาน หรือไม้บรรทัดของใคร เพราะวันนี้เรามีไม้บรรทัดเป็นของตัวเอง”

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ต้น ธนษิต” ศิลปินมากความสามารถ ผู้มีใจรักในการร้องเพลง และเป็นผู้ชนะเลิศในรายการประกวดร้องเพลง ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซันที่ 8 ผู้มีสไตล์ และแนวการร้องเพลงที่ถนัดอย่างแนว โซล, ป็อป, R&B และแจ๊ส มีผลงานเพลงดังอย่าง รู้ยัง, โดยไม่มีเธอ, TRUTH or DARE เป็นต้น กว่าจะมาถึงวันนี้เรียกว่าชีวิตของเขาไม่ง่ายเลย และเขากลับมาพร้อมการนำเสนอตัวตนบนแนวดนตรีชีชื่อว่า “Queer Pop” เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ

จาก R&B ที่ชอบ สู่ Queer Pop ที่ใช่
“ต้นเป็นคนชอบฟังเพลง แล้วจริง ๆ จะชอบเพลงแนว ฮิปฮอปอาร์แอนด์บี แต่หลัง ๆ ก็จะมีฟังแนวอิเล็คโทรนิคส์ บ้าง เปลี่ยนไปแนวเต้น ๆ บ้าง ส่วนแนวที่ถนัดร้องก็จะเป็นอาร์แอนด์บี ที่ได้ร้องบ่อยที่สุด
ต้นรู้สึกว่าเราร้องเพลงอาร์แอนด์บีมาสักพักนึงแล้ว ก็เริ่มอยากจะหันไปทำเพลงที่มันเป็นจังหวะเต้น ๆ ขึ้นมาบ้างนิดนึง เพราะตัวตนจริง ๆ เป็นคนสนุกมาก เป็นคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบปาร์ตี้ แต่ว่าเรามาจากรายการประกวดร้องเพลง ที่มันจะเป็นแบบอีกพาร์ทในเรื่องของการร้อง จะไม่ใช่พาร์ทที่มันเป็นบุคลิกจริง ๆ ของเรา
ส่วน Queer pop ต้นไปเห็นมา ตอนนั้นต้นอ่าน Article แล้วรู้สึกว่าเราชอบคำว่า Queer Pop ซึ่งมันเหมือนเพลงป๊อบซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่ม LGBTQ+ หรือว่าเป็นเพลงที่ได้รับการยอมรับ หรือได้รับความนิยมได้ แล้วเราก็ได้รู้สึกว่า เราอยากออกเพลงมาแล้วเราได้รับการยอมรับ ซึ่งคำว่า Queer ของต้น มันก็คือทุกอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบรรทัดฐานของความเป็นเพศนั้น ๆ คือผู้ชายไม่ใช่ต้องชอบผู้หญิง ผู้ชายชอบผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงชอบผู้หญิงก็ได้ หรือเป็น Bisexual หรือว่าแบบเป็น Nonbinary ซึ่งมันคืออะไรก็ตามที่มันอยู่นอกจากบรรทัดฐานของสังคม เราก็ยกให้เป็น Queer หมด”

ต้น ธนษิต กับการยอมรับตัวตนของตัวเอง
“จริง ๆ ต้นยอมรับมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว ก่อนหน้านั้นก็ยังมีความสงสัยว่าเราชอบผู้ชายหรือเปล่า หรือชอบผู้หญิง จนกระทั่งตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา แล้วก็ไปชอบเด็กผู้ชายเยอรมันคนนึง นั่นแหล่ะเป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย
ซึ่ง พ่อแม่ คือหนึ่งในความกังวลเหมือนกัน แล้วก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง อยู่ดี ๆ เราก็พูดกับแม่เลยว่า แม่ ชอบผู้ชายนะ คือเราไม่ได้เรียกมาเพื่อจะคุยกันแบบเป็นกิจจะลักษณะ อารมณ์เหมือนตื่นมาแล้วเดินไปหาแม่เลยว่า แม่มีไรจะบอก เพราะเราแค่รู้สึกว่าอยากบอกเฉย ๆ เพราะเพื่อนฝูงก็รู้อยู่แล้ว และรู้สึกว่าคนใกล้ตัวที่เป็นครอบครัวเรา อย่างน้อยที่สุด เค้าควรจะได้รู้ว่าวิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ จะได้ไม่ต้องมาถาม หรือสงสัยอะไรกัน หลังจากที่บอก แม่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าก็บอกว่าโอเค ซึ่งก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะเป็นแบบนี้”
ครั้งหนึ่ง การเป็น LGBTQ+ ในวงการบันเทิง ก็ไม่ง่าย
“ยากมากครับ ก็ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนต้นจะออดิชั่น AF เลย ตอนนั้นสังคมก็ยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ แล้วตัวเราเองพอรู้ว่าติดเข้าไปอยู่ในรายการเรียลลิตี้โชว์ที่มีกล้องอยู่ แล้วต้องไปอยู่นานสามเดือน มันก็แอบกังวลอยู่เหมือนกันว่า เราจะวางตัวยังไงกับตัวตนของเราดี หรือตอนที่ได้คนครบ 24 คน กำลังจะเข้าบ้าน แล้วต้องไปตามรายการเพื่อไปสัมภาษณ์ต่าง ๆ ต้นก็เคยโดนคำถามว่า เธอเป็นไหม เค้าถามเลย แล้วเราก็ตกใจมาก ด้วยความที่เราก็ไม่อยากโกหก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง เราก็บอกว่า ไว้ไปรอดูในบ้านแล้วกัน เราก็ใช้ไหวพริบของเรา กับเหตุการณ์ตรงนั้น เราแค่รู้สึกว่าสมัยก่อนมันเป็นอะไรที่ดูเป็นเรื่องใหญ่จังเลยกับการที่เป็นเกย์ แล้วจะเข้าไปอยู่ในวงการบันเทิง มันดูเหมือนล่าแม่มด ทุกวันนี้ต้นคิดย้อนกลับไปว่า ตอนนั้นเรากลัวอะไร ทำไมเราถึงไม่พูดความจริง
ในตอนที่กำลังจะเข้าบ้าน AF ต้นตกลงกับตัวเองก่อนเลยว่า ฉันจะไม่โกหก ฉันจะไม่แอ๊บ คือจะไม่พูดว่าชอบผู้หญิง แต่ว่าเราอาจจะระวังอาการ หรือกิริยาของเรา เพราะว่ามันก็มีพ่อแม่ที่ดูอยู่ มีเพื่อนของพ่อแม่ ที่เราต้องคิดหลายอย่าง แต่ก็บอกกับตัวเองไว้เลยว่า ฉันจะไม่พูดว่าฉันชอบผู้หญิงเด็ดขาด แต่ละวันก็ใช้ชีวิตไป เราก็สนุกสนานเฮฮาไป แต่ถามว่าเป็นตัวเอง 100% ไหม มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น
ความกดดันมันเป็นแค่ช่วงแรก ๆ แต่พออยู่ไปสักพัก เราก็เริ่มรู้สึกว่ายังไงคนก็รู้อยู่ดี เพราะต้องอยู่ตั้ง 3 เดือน เค้าจะไม่รู้เลยเหรอ มันเป็นไปได้ยังไง เปิดกล้อง 24 ชั่วโมง ตลอด 3 เดือน ดังนั้นถ้าเค้าจะรู้ก็รู้ไป เราก็ถือว่า เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ต้องโฟกัสที่การร้องเพลง แล้วช่วงนั้นมันเริ่มมีการจิ้นเกิดขึ้น คนก็มีการจิ้นเรา และเป็นยุคเริ่มต้นของวาย เราก็เลยรู้สึกว่า เค้าก็คงยอมรับได้แล้วแหละ เพราะเราก็อยู่มาจนถึงรอบสุดท้ายแล้ว
ถ้าเรื่องการยอมรับของทุก ๆ คน ต้นว่าก็เป็นเหมือนที่เราคิดนะ อาจจะดีกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ แต่ว่าช่วงแรก ๆ เค้าไม่ได้มาพูดตักเตือน หรือ ขีดกรอบให้เรา แต่เหมือนเรารู้กันเอง แต่ว่าสิ่งที่เป็นกังวลมากคือในเรื่องของงาน ถ้าเป็นพาร์ทแฟนคลับหรือคนรอบข้างเราไม่ค่อยกังวล แต่ว่ามันจะเริ่มมีประโยคหนึ่ง หลังจากต้นได้แชมป์ เราก็เริ่มเซ็นสัญญา เริ่มจะต้องทำงาน ซึ่งจะมีประโยคหนึ่งที่เราจะจำไปจนวันตายเลย เค้าพูดว่า อย่าสาวมากนะเดี๋ยวไม่มีงาน คำนี้มันเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมการที่จะเป็นสาว หรือจะเป็นเกย์ มันเป็นเรื่องผิดขนาดนั้นเลยเหรอ มันจะกระทบกับการที่เราจะได้งานหรือไม่ได้งานขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วมันก็ทำให้เราวางตัวยากขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงดี ที่เราเป็นตัวเราเองมันผิดเหรอ ทำให้เราวางตัวอยู่กลาง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ต้นไม่เคยอยู่ดี ๆ แล้วพูดออกมาพูดว่าตัวเองเป็นเกย์ เพราะรู้สึกว่าคนรู้อยู่แล้ว แล้วเราจะรู้สึกตลกมากถ้าอยู่ดี ๆ ออกมาพูด แต่มันก็มีเกิดเหตุการณ์คือ หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตมาเรื่อย ๆ ดำเนินชีวิตมาเรื่อย ๆ แล้วก็ร้องเพลงในแบบที่เราชอบ เราก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปบาร์เกย์ แต่เพียงแค่อาจจะไม่ได้ลงโซเชียล แต่ว่าใช้ชีวิตปกติเลย เดทและคุยกับผู้ชายมาเรื่อย ๆ จนมีอีกประโยคหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือช่วงนั้นเด็กที่เกิดจาก AF เค้าก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะไปดังในวงกว้างให้ได้ เช่นไปเล่นละคร ไปเล่นซีรี่ส์ แล้วเราเองก็อยากเล่นบ้าง เพราะเราก็อยากจะมีชื่อเสียงที่มากกว่าวงในจากแฟนคลับ เราก็โดนประโยคนึงกลับมาว่า เธอเล่นละครไม่ได้หรอก เธอพูดประโยคยาว ๆ แล้วเธอจะหลุดสาวออกมา แล้วเค้าไม่ได้ให้เราพยายามเลยด้วยซ้ำ อันนี้คือสิ่งที่ฝังใจเรา
ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยได้เล่นละครเลยครับ แอบน้อยใจว่าอย่างน้อยให้เราลองก่อนไหม หรือไปแคสก่อนไหม แล้วถ้าเราทำไม่ได้จริง ๆ เราก็จะยอมรับ แต่นี่เหมือนคุณยังไม่ได้ให้โอกาสเราได้ลองเลย แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่รู้สึกว่าคนที่มีคาแรกเตอร์คล้าย ๆ เรา เค้าสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้แล้วอย่างสบายตัวสบายใจ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ แต่ดันมาช้าไปนิดนึงสำหรับเรา ตั้งแต่ถ้าเป็นซีรี่ส์ หรือละครทีวี เราไม่เคยได้เล่นเลย แต่จะมีได้เล่นละครเวทีอยู่บ้าง ที่ต้องออดิชั่นอยู่ 3 ปี กว่าจะได้โอกาสครับ”

เส้นทางการต่อสู้ของ ต้น บนเวทีประกวด AF
“ต้นไปออดิชั่นตั้งแต่สองปีแรก ถึงขั้นต้องไปต่างจังหวัดด้วย เพราะว่าต่างจังหวัดมันจะออดิชั่นก่อนกรุงเทพ ไปออดิชั่นอยู่ 2 ปี ก็ยังไม่ได้ จนรู้สึกว่าหรือมันอาจจะไม่ใช่แล้ว จนกระทั่งปีที่ 3 ปีนั้นโชคดีมากที่มี พี่ทาทายัง เป็นกรรมการ แล้วเราร้องเพลงฝรั่งตามสไตล์เราไป แล้วพี่ทาทายังเค้าชอบ จนพูดเลยว่า คนนี้ต้องเข้ารอบ
เวลาถูกตัดสินว่าไม่ผ่านท้อครับ ต้นว่าทุกคนที่เป็นคนประกวดต้องเคยท้อกันหมด ตัวต้นเองตอนนั้นเราคิดในใจแล้วด้วยซ้ำว่า ถ้าปีนี้ไม่ได้ ต้นก็อาจจะไม่ลองแล้ว เพราะมันเหนื่อย และใช้ความอดทน บวกกับความพยายามเยอะมาก แต่เราก็ลองเปลี่ยนเพลง ลองเปลี่ยนแนว ต้องคิดหลายอย่าง เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันไม่ผ่านเพราะอะไร เพราะกรรมการก็พูดแค่คำเดียวว่า ขอบคุณค่ะ เชิญค่ะ
ความฝันในการเป็นนักร้อง จริง ๆ มันเริ่มจากการคิดแค่ อยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากจะได้ร้องเพลง อยากจะออกคอนเสิร์ต อยากจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง แล้วเราก็ได้ทำจริง ๆ หลังจากที่ออกจาก AF แล้ว ซึ่งความฝันการเป็นนักร้อง มันเริ่มมาในตอนที่ไปอยู่อเมริกา โรงเรียนที่ไปเรียนแลกเปลี่ยน เค้ามีชมรมร้องประสานเสียง แล้วเปิดโอกาสให้ได้ไปร้อง เราก็ไป ปรากฏว่า เพื่อนก็ชมว่าเธอร้องเพลงได้ หลังจากนั้นกลับมาไทย ก็เลยอยากลองยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ ก็ลองไปออดิชั่นดู ตอนนั้นที่กลับมาเป็นซีซั่นที่ 6 ลองไป 2 ปีก็เริ่มรู้สึกว่า หรือนักร้องมันจะไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอาชีพของเราแล้ว จนกระทั่งซีซั่นที่ 8 เราก็ติดขึ้นมา หลังจากได้แชมป์ ก็เริ่มมีเพลงที่คนร้องตามได้ เรารู้สึกดีใจที่ว่ามีคนฟังเพลงเราด้วย แล้วเค้าก็ร้องตาม เค้าสามารถร้องเพลงเราได้ เค้ารู้จักว่าเราเป็นใคร
ณ วันนี้ ต้นสบายตัวมาก จนกระทั่งลงรูปคู่กับแฟน จนทำให้สื่อทราบในวงกว้าง คือตอนนั้นเราลงรูปคู่กับแฟน วาระครบรอบ 3 ปี แล้วก็เป็นข่าวขึ้นมา วันนั้นเป็นช่วงที่เล่นละครเวทีอยู่ แล้วไม่เคยมีการสัมภาษณ์ครั้งไหนที่มีไมค์เยอะที่สุดในชีวิตเท่าวันนั้นมาก่อน”

ต้น ธนษิต กับมุมมองความรักของ LGBTQ+
“หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า ความรักของเกย์มันฉาบฉวยมาก มันก็จริงส่วนหนึ่งนะ แต่ว่าความรักของคู่ชายหญิงมันก็มีที่ฉาบฉวยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยวเลยว่า พอเป็นเกย์แล้วมันจะฉาบฉวย ต้นคิดว่ามันแล้วแต่คนมากกว่า แล้วแต่ว่าเราเจอใครที่ ถูกต้อง ถูกใจ ในเวลาที่มันใช่มากกว่า
เรื่องสเป็กของต้น เราชอบคนสูง และต้องเป็นคนที่ใส่ใจ แล้วก็ต้องมีความสม่ำเสมอ มีความอบอุ่นด้วยนิดนึง ซึ่งหลาย ๆ ครั้งที่รักมันไม่สมหวัง มันก็เกิดจากความงี่เง่าของเรา บางทีก็เช็คโทรศัพท์ ไปดูว่าเค้าไปคอมเมนท์ใครไหม ซึ่งก่อนจะเจอแฟนคนนี้ บางทีเราเองก็รู้สึกว่าตัวเราเองก็เยอะเหมือนกันนะ เหมือนไม่มั่นใจในตัวเค้า แต่ว่าจริง ๆ แล้ว มันสะท้อนความไม่มั่นใจในตัวเรามากกว่า ว่าเราไม่สามารถที่จะให้คน ๆ นี้อยู่กับเราได้ ก่อนหน้านี้มันก็มีเจอคนที่มีแฟนแล้วชอบมาคุยด้วย เยอะมากจริง ๆ ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะมีเจ้าของอยู่ แล้วมารู้ทีหลังก็มี หรือพอคุยไปแป๊บนึง เค้าก็บอกเองเลยว่า จริง ๆ มีแฟนแล้วนะครับ เราก็จะเกิดคำถามว่า แล้วมาคุยทำไม เราก็ตัดจบเลย
กับคนปัจจุบัน คบกันมา 7 ปีแล้วครับ ไม่รู้เรียกว่าเคล็ดลับได้รึเปล่า แต่ว่าเราปล่อยให้กันและกันเป็นตัวเอง เราจะไม่ค่อยมีการบังคับ คือต้นเป็นคนที่เที่ยวกลางคืน แล้วเค้าไม่ค่อยเที่ยว ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่เป็นไรก็เที่ยวได้ เราก็โอเคไม่บังคับกัน หรือด้วยความที่แฟนเราเค้าไม่ชอบแต่งตัวใส่สูทดูทางการ แต่เรามีเพื่อนเยอะมาก เวลาต้องไปงานแต่งงาน เราเลยจะชวนคนที่เราสนิทจริง ๆ และเค้าสนิทจริง ๆ เพราะเรารู้ว่าเค้าไม่ชอบแต่งตัว
แล้วปกติเวลาถึงวันครบรอบ เราก็จะมีถามแฟนว่า อยากให้ต้นเปลี่ยนอะไรไหม เค้าก็จะมีบอกว่า เก็บของไม่เป็นที่ ยาสีฟันไม่ปิดให้สนิท เค้าเป็นคนเป๊ะ แต่ว่าเค้าตอนหลัง ๆ เค้าก็บอกว่าก็ทำใจแล้ว ก็คงได้ประมาณนึงแหละ ในขณะที่เค้าเป็นคนเป๊ะ แต่เราจะเป็นคนไม่เป๊ะ ชอบทำรก เราก็มีจุดที่ต่างกันอยู่ แต่ก็ปรับจูนกันได้”

ในวันที่ สมรสเท่าเทียม เกิดขึ้นในประเทศไทย
“พอ สมรสเท่าเทียม ผ่าน ต้นกับแฟนก็คุยเรื่องจดทะเบียนกันว่ามีแน่นอน แต่เรื่องงานแต่งงาน มีคนถามมาเยอะมาก ก็ถ้าจดทะเบียนได้ เราก็อยากจดอยู่แล้ว เพราะในแง่ของกฎหมายอะไรต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่เป็นงานแต่งงาน หรืองานเฉลิมฉลอง อันนั้นก็ไว้ว่ากัน แฟนเค้าเคยเปรย ๆ อยู่เหมือนกันว่า ถ้าสมรสเท่าเทียมผ่าน แต่งงานกันมั้ย แต่ว่าอันนี้ยังไม่ถือว่าขอนะ มันเหมือนนอนคุยกันเล่น ๆ แต่กับ สมรสเท่าเทียม เรารู้สึกดีใจมาก ๆ เลย เราดีใจแทนคู่รัก LGBTQ+ ทุก ๆ คู่ ที่เค้าอยู่กันมานาน ที่เค้ามีแพลนจะแต่งงานกัน คือมันไม่ต้องมานั่งกังวลแล้วว่ามันแต่งไม่ได้ คือตอนนี้มันแต่งได้แล้ว และมันเป็นนิมิตหมายที่ดีมาก ๆ
เรื่องความรัก ต้นว่าขึ้นอยู่กับจังหวะ และเวลาที่ใช่ อย่างตัวต้นเอง ก็เคยคิดเหมือนกัน คือต้นเคยไม่มีแฟนมา 3 ปี เราก็คิดว่าในช่วงระหว่าง 3 ปีนั้น บางทีอาจจะไม่เจอแล้วก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็เจอ ขอแค่อย่าเพิ่งหมดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก หรือเรื่องอื่น ๆ เราคิดว่าอดทนไปเรื่อย ๆ ก่อน แล้วมันจะเจอเอง ที่รู้จักคนล่าสุดนี้ เพราะเพื่อนแนะนำ โดยเพื่อนลากให้มาคุยแชทกัน แล้วเพื่อนก็ออกจากกลุ่มไปเลย ซึ่งเหมือนต้น กับ แฟน เราเคยเจอตัวจริงกันแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยคุยกัน เหมือนเค้าก็บอกว่าตอนนี้เค้าโสด แล้วตอนนี้ต้นก็โสด ก็เลยลองคุยกันดูก่อนหลังจากนั้น เวลาอยู่กับเค้าแล้วมันมีความสุข แล้วมันไม่ยาก สบายใจ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เราสามารถเป็นตัวเองได้ เค้าก็เป็นตัวเองได้ มันแฮปปี้ ก็เลยลองคบกันดู จนวันนี้ก็คบมา 7 ปีแล้วครับ”

ความยากของวงการเพลงในปัจจุบัน
“ต้นว่ายากขึ้นมากเลยครับ เพราะมันไม่มีสูตรตายตัวว่า อะไรมันจะฮิต อะไรมันจะดัง อะไรมันจะมา เราไม่มีทางรู้ได้เลย คือต้นคิดว่า วงการนี้เก่งอย่างเดียวมันไม่ได้ มันต้องเก่งแล้วก็ต้องพึ่งดวงด้วย มันมีคนร้องเก่งกว่าต้นตั้งเยอะ แต่ว่าเค้าก็อาจจะไม่ได้สำเร็จเหมือนเรา ตัวเราเองก็มองว่า บางทีเราก็อาจจะไม่ได้สำเร็จเท่าคนโน้นคนนี้ แล้วก็เอาตัวเองไปเทียบบ้าง
อย่างตอนทำเพลง รู้ยัง ไม่คิดเลยนะว่ามันจะดัง ก็ทำตามโควต้าที่ได้มา ก็คือสล็อตอัลบั้มนี้มี 9 เพลง รู้ยัง เป็นเพลงปิดอัลบั้ม มันก็คือแค่นั้นเลย ฟังก์ชั่นของเพลงก็แค่เป็นเพลงปิดอัลบั้ม แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ตั้งใจนะ เราตั้งใจทำทุก ๆ เพลง และทำไปตามขั้นตอนที่ต้องทำ ตอนแรกที่เพลงออกมา คนก็ชอบประมาณนึง แล้วอยู่ ๆ มันไปดังใน The Mask Singer หน้ากากนักร้อง เพราะ พี่ทอม ที่เป็นหน้ากากทุเรียน เค้าเอาไปร้องในรอบไฟนอล แล้วระหว่างทาง มีคนทายว่าต้น เป็นหน้ากากทุเรียน จนทำให้เพลง รู้ยัง มันกลับมาดังเปรี้ยงอีกรอบ
คือจริง ๆ ถ้าพูดในมุมความเป็นนักร้อง ต้นยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่อยากได้ คือ เพลงรู้ยัง มันอาจจะดัง แต่ว่าต้นก็อยากมีเพลงอื่น ๆ อีก ที่มันดังเท่านี้ นั่นคือชาเล้นจ์ที่ต้นเจอ คือหลังจาก เพลงรู้ยัง ออกมา ก็ยังไม่สามารถที่จะทำเพลงไหน ให้มันดังกว่า หรือดังเท่าได้เลย มันก็เลยรู้สึกว่า เราก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก ถึงแม้ว่าเราจะได้แชมป์รายการประกวดร้องเพลงมา แต่มันก็แค่นั้น มันก็คือรายการ พอรายการจบ มันก็คือจบ ทุกคนต้องเริ่มใหม่ในวงการนี้
นอกจาก เพลงรู้ยัง จริง ๆ มีอีกเพลงนึงที่ชอบคือเพลง โดยไม่มีเธอ เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ชอบโดยเฉพาะผู้ชายชอบเพลงนี้เยอะมาก มันเป็นอีกหนึ่งเพลงเศร้าที่ต้นร้องแล้วมันอิน ซึ่งแปลกมาก เพราะตอนนั้นมีแฟนด้วยนะ แต่แปลกมากที่เวลาร้องแล้วมันออกมาดูลงตัว น้ำเสียงที่เราใช้ หรือบีทเพลง ร้องแล้วรู้สึกว่าเพลงนี้ดี มันเศร้าดี
ถ้าเป็นยุคนี้ ก็จะแนะนำคนที่อยากทำเพลงว่า เป็นตัวเองดีที่สุด อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเองในยุคนี้ ซึ่งเราอาจจะแนะนำแบบนี้ไม่ได้ในตอนนั้น แต่ในตอนนี้ เป็นตัวเองดีที่สุด มีความสุขกับตัวเอง อยากทำอะไรทำ ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด
ของต้นเอง ช่วงนี้ก็มีเพลง ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาชื่อเพลง เธอจะเข้าใจฉันต่อเมื่อไม่มีฉันให้เข้าใจแล้ว กรีนเวฟเล่นอยู่ แล้วก็ตอนนี้มีธุรกิจที่อยู่นอกเหนือจากการร้องเพลง ก็จะมีบีชคลับ อยู่ที่บางแสน ชื่อว่า Badasga Beach Club ครับ”

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ต้น ธนษิต
“สิ่งที่ทำให้เป็น ต้น ธนษิต ในวันนี้ คือการเป็นตัวเองนี่แหละ อย่างที่ต้นบอกไว้แล้วว่า อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง ต้นเคยกลัวมาก่อน เพราะฉะนั้นพอต้นรู้ว่ามันทำให้เราไม่สบายตัวขนาดไหน ณ วันนี้เรามีความสุขกับตัวเอง เราแฮปปี้ที่เราจะเป็นตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่า มันมีความสุขครับ” - ต้น ธนษิต

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
