Healthy Lifestyle

HEALTHY LIFESTYLE

“น้ำเต้าหู้” ประโยชน์คับแก้ว

29 ส.ค. 2023

“น้ำเต้าหู้” ประโยชน์คับแก้ว

1.หลายคนดื่มน้ำเต้าหู้เพื่อลดความอ้วน ลดน้ำหนัก และไขมัน มีงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองประสิทธิผลของนมวัว นมถั่วเหลืองปรุงแต่ง และอาหารเสริมแคลเซียมที่มีผลต่อการลดไขมันในผู้หญิงก่อนวัยทองที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน พบว่าการบริโภคนมไขมันต่ำอย่างนมถั่วเหลืองปรุงแต่ง ช่วยลดภาวะอ้วนและภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มตัวอย่างทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญอีกหนึ่งการทดลองได้เปรียบเทียบประสิทธิผลของน้ำเต้าหู้กับนมวัวขาดมันเนยกับระดับไขมันในเลือดและการทำปฏิกิริยากับผนังเซลล์ไขมัน (Lipid Peroxidation)ในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ผลลัพธ์ที่ได้ชี้ว่าน้ำเต้าหู้มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันในเลือดและลดการเกิดปฏิกิริยาที่สารอนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในผนังเซลล์ ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูง ส่วนการทดลองเพื่อหาประสิทธิผลในการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายด้วยเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลือง โดยทำการทดลองในกลุ่มตัวอย่างชาวฝรั่งเศสที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงในกลุ่มความเสี่ยงระดับปานกลาง ผลที่ได้คือ การบริโภคเครื่องดื่มจากถั่วเหลืองที่มีสารแพลนท์ สเตอรอล (Plant Sterol)ช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลชนิดเลว (non-HDLและLDL)ลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า น้ำเต้าหู้อาจช่วยควบคุมและลดระดับไขมันในผู้ป่วยที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงที่อยู่ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง2.น้ำเต้าหู้บำรุงกระดูก การทดลองเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมถั่วเหลืองที่มีสารไอโซฟลาโวนที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตและกระบวนการสร้างหรือสลายกระดูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนชาวสเปน พบว่าการบริโภคนมถั่วเหลืองช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินดี และช่วยลดกระบวนการสลายกระดูก นอกจากนั้น การบริโภคสารไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองเพิ่มเติม อาจช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่างได้ และช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกได้อีกด้วย3.สำหรับคนที่ความดันสูงเป็นประจำ น้ำเต้าหู้ช่วยลดความดันโลหิต มีการทดลองศึกษาประสิทธิผลของเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลือง ในด้านคุณค่าทางโภชนาการและอิทธิพลต่อการลดน้ำหนัก พบว่าเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลืองอาจช่วยลดระดับความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลงได้ ซึ่งเป็นความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว ในกลุ่มตัวอย่างเยาวชนเพศหญิงที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน อย่างไรก็ตาม ในการทดลองนี้ยังไม่พบผลลัพธ์ในด้านน้ำหนักตัวที่ลดลง หรือขนาดเส้นรอบเอวที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด อีกงานทดลองที่ศึกษาผลลัพธ์จากการบริโภคน้ำเต้าหู้ที่สัมพันธ์กับระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2ที่มีภาวะไตผิดปกติร่วมด้วย พบว่าการบริโภคน้ำเต้าหู้มีผลต่อการควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มนี้ค่ะ4.มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน จากการค้นคว้าหาประสิทธิผลของการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันทั้งก่อนมื้ออาหาร30นาที และพร้อมมื้ออาหารในกลุ่มทดลองเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี เพื่อศึกษาหาอิทธิพลต่อระบบย่อยอาหาร ระดับน้ำตาลและสารอินซูลินในเลือด พบว่า การดื่มนมทั้งนมถั่วเหลืองและนมวัวก่อนมื้ออาหาร30นาที จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้มากกว่าการดื่มพร้อมมื้ออาหาร ซึ่งวิธีการนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานจากการบริโภคอาหารที่มีค่าGIสูง (Glycemic Index:ค่าดัชนีน้ำตาล) ซึ่งยังต้องค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดและเป็นประโยชน์ในอนาคต5.ลดความเครียดแถมยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย งานวิจัยมากมายได้นำเสนอประสิทธิผลของน้ำเต้าหู้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง มีงานวิจัยหนึ่งที่สนับสนุนคุณประโยชน์ของโปรตีนถั่วเหลืองเช่นกัน แต่นำเสนอในด้านที่แตกต่าง คือ การทดลองให้ผู้ป่วยกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome)บริโภคโปรตีนถั่วเหลืองในปริมาณแต่น้อยเพียง25กรัม ทุกวัน ผลคือกลุ่มทดลองได้บริโภคโปรตีนถั่วเหลืองปริมาณ25กรัม ทุกวัน เป็นเวลา90วัน โดยไม่พบผลข้างเคียงในการทดลองนี้ และยังเป็นประโยชน์ในทางรักษา คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มไขมันดี (HDL)ในผู้ป่วยกลุ่มอาการเมตาบอลิกอีกด้วยค่ะ พูดง่ายๆคือน้ำเต้าหู้อุดมไปด้วยโปรตีนและฮอร์โมนเอสโตรเจน น้ำเต้าหู้ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังและขจัดความอ่อนแอให้กับร่างกาย ลดสารตะกั่วในเลือดช่วยป้องกันตับไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายและยังช่วยให้เมทาบอริซึมในร่างกายเผาพลานทำงานดีขึ้นแนะนำผู้สูงอายุดื่มบ่อยๆจะช่วยไม่ให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวหรือโรคกระดูกพรุนได้ง่ายอีกด้วยนะคะขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ผู้หญิง ผู้ชาย ไตอ่อนแอ อาการเหมือนกันไหม ?

16 ส.ค. 2023

ผู้หญิง ผู้ชาย ไตอ่อนแอ อาการเหมือนกันไหม ?

ไตพร่อง เป็นปัญหาของหลายคน ลักษณะอาการ ใบหน้าจะมองคล้ำ ปวดหลัง ขาไม่มีแรง อาจจจะรวมไปถึงคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง เส้นเลือดสมองอุดตัน อาการเป็นพิษในเลือด หรือโรคไตวายเรื้อรัง โรคที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแต่มีอาการไตพร่องระยะสุดท้ายแทบทั้งสิ้น แต่เราจะรอจนเป็นระยะสุดท้ายแล้วค่อยดูแลตามแนวการรักษาแบบฉบับแพทย์แผนจีน เมื่อเห็นตับมีปัญหา ให้ไปรักษาที่ม้าม หมายถึงการรักษาเมื่อโรคยังไม่เกินนั่นเอง หลายคนที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรและไม่คิดรักษา แต่พอเป็นแล้วมันอาจจะใกล้จุดจบของชีวิตแล้วก็ได้นะคะ ไตในหลักแพทย์แผนจีนจะเสื่อมลงเรื่อยๆตามอายุของเรา ฉะนั้นการดูรักษาไตให้คงอยู่ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เป็นโรค อาการที่กล่าวไปนั้นถ้าหากคุณมีอาการ 1 ใน 3 แสดงว่าไตคุณเริ่มพร่องแล้วค่ะอาการไตพร่องจะมีอาการปวดหลัง เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง ระบบการมองและการฟังประสิทธิภาพแย่ลง ผมร่วงง่าย ผมขาวก่อนวัย ฟันโยกง่ายและรากฟันไม่แข็งแรง ขอบตาดำคล้ำ ผิวหน้าดำคล้ำ สภาวะแก่ก่อนวัย ลืมง่าย ไม่อยากอาหาร ปวดกระดูกหรือข้อรู้สึกตัวร้อนโดยไม่มีสาเหตุ และมีอาการมึนหัวบ่อยๆอาการไตพร่องในผู้ชายและผู้หญิงมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกันนะคะอาการไตพร่องของผู้ชายอาการไตพร่องจะเกี่ยวกับสมรภาพทางเพศ ทำให้สมรภาพทางเพศลดลง ความต้องการทางเพศลดลง ถ้าหนักเข้า จะทำให้อวัยเพศไม่แข็งตัว หลั่งเร็ว เมื่อนำอสุจิไปตรวจสอบ อสุจิจะไม่แข็งแรง ซึ่งเป็นสาเหตุของคนมีบุตรยากค่ะส่วนผู้หญิงที่มีอาการไตพร่องผู้หญิงจะเกี่ยวกับประจำเดือนมาร่วมด้วย เช่น เลือดออกกระปิดกระปอย ประจำเดือนมานานกว่าปกติ การตั้งครรภ์ได้ยาก แท้งบ่อยก็เป็นอาการของคนไตพร่องได้เช่นกันค่ะอาหารที่เหมาะกับคนไตพร่องอาการไตพร่องจะแบ่งออกเป็นไตหยินพร่อง และไตหยางพร่อง อาการไตหยางพร่องนั้นจะเป็นคนที่ขี้หนาว ส่วนอาการไตหยินพร่องจะมีอาการร้อนวูบวาบ กระหายน้ำง่าย อุ้งมือเท้าร้อนไตหยินพร่อง เช่น ปลิงทะเล เก๋ากี้ ตะพาบน้ำ เห็ดหูหนูขาว เพื่อที่จะไปบำรุงไตหยินไตหยางพร่อง เช่น เนื้อแพะ เขากวาง อบเฉยเป็นต้นการบำรุงไตไม่ใช่แค่อาหารตามข้างต้นนี้ แต่ตามหลักแพทย์แผนจีนแล้ว อาหารที่เป็นสีดำก็สามารถบำรุงไตได้เช่นกัน อาทิ ถั่วดำ งาดำ เห็ดหูหนูดำ เห็ดหอม สาหร่ายทะเลก็สามารถบริโภคได้เช่นกันค่ะการถูเอวบำรุงไตในทางทฤษฏีของแพทย์แผนจีน "เอวคือบ้านของไต" เราสามารถถูเอวเพื่อที่จะบำรุงไต เพราะการถูเอวทำให้เอวมีความร้อน สรรพคุณบำรุงไตให้ไตแข็งแรง ทำให้เลือดลมบริเวณเอวไหลเวียนได้ดีขึ้นนวดท้องน้อยเพิ่มพลัง (จุดตานเทียน)จุด丹田(ตานเทียน)อยู่ใต้สะดึอ 3 นิ้ว หรือ 1 ฝ่ามือการนวดท้องน้อยหรือตานเทียนจะช่วยเพิ่มพลัง สร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะไปต่อสู้กับโรคต่างๆ และยังสามารถบำรุงไต ทำให้อายุยืนได้อีกด้วย การนวดจุดตานเทียน ต้องถูฝ่ามือให้ร้อนก่อน นำมาตั้งที่จุดตานเทียน นวดเบาๆทิศทางสวนเข็มนาฬิกาการบำรุงสามารถทำได้หลายอย่าง1.รักษาระดับอารมณ์“ความกลัวจะไปทำร้ายไต”คนเป็นโรคไต ต้องรักษาระดับอารมณ์ให้ดี ทำจิตใจให้สงบ สดชื่น ไม่เครียด เท่านี้พลังไตก็จะไม่สูญเสีย ถ้าหากพลังไตเพียงพอ อวัยวะต่างๆก็จะมีพลังไปหล่อเลี้ยงด้วย จะทำให้ร่างกายแข็งแรง2.ดุแลระบบทางเดินอาหารการบำรุงดูแลไตนั้น ต้องให้ความสำคัญกับม้ามและกระเพาะอาหาร เพราะม้ามกระเพาะอาหารเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกาย การรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคไต ต้องลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะอาหารเหล่านี้อาจจะไปทำให้ไตเสื่อมได้เร็วขึ้น ตามหลักแพทย์แผนจีนแล้วการดูแลม้ามกระเพาะอาหาร ทำให้ศูนย์กลางแข็งแรง สามารถนำพลังไปเลี้ยงไตได้ เมื่อไตแข็งแรงจะทำให้ร่างกาย มีพลังที่จะไปต่อสู่กับโรค3.อย่าเหนื่อยเกินเหตุความเหนื่อยจนเกินไป ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม จะทำให้สูญเสียพลังของร่างกายไป พลังต่างๆของร่างกายล้วนแต่มาจากเลือดทั้งสิ้น การที่เราเหนื่อยจนเกินไปนั้น ทำให้สูญเสียเลือดไป พอขาดเลือด พลังก็จะไม่เพียงพอที่จะไปเลี้ยงร่างกาย เช่น การใช้สมองบ่อย การใช้สายตาบ่อย จะทำให้สูญเสียพลังเช่นกัน ฉะนั้นการทำกิจกรรมทุกอย่าง อย่าให้เยอะจนเกินไป อย่าให้เหนื่อยจนเกินไป เพราะเราไม่ทราบได้ว่าจะทำให้เลือดที่หล่อเลี้ยงเราสูญเสียไปแค่ไหน ดูแล ป้องกัน ดีกว่าการมารักษาทีหลังนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก GREEN WAVE ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ถอดสูตรกินบุฟเฟต์ยังไงไม่ให้อ้วน

08 ส.ค. 2023

ถอดสูตรกินบุฟเฟต์ยังไงไม่ให้อ้วน

ที่เห็นพุงกลม ๆ ทุกวันนี้ต้องขอบคุณชาบูทุกหม้อ บุฟเฟต์ทุกอย่างที่เคยกินมาเลยจริง ๆ แหม ก็เรามันเป็นสายนี้กันนี่หน่า แล้วบรรดาพวกโปรโมชั่นต่าง ๆ ก็เหมือนจะรู้งานชอบมาตอนที่กำลังจะเริ่มน้ำหนักพอดี แงงงง ก่อนที่น้ำหนักจะทะยานไปมากกว่านี้ เราเลยไปหาสูตร หาวิธีกินบุฟเฟต์ยังไงไม่ให้อ้วนมาฝากให้กับทุกคน รับรองว่าแฮปปี้แน่นอน !!เทคนิคการทานบุฟเฟต์ให้คุมน้ำหนักอยู่เลือกสิ่งแรกที่กินเข้าไปให้ถูกต้องไหน ๆ ลองเดาสิว่าเราต้องเลือกอะไรเป็นอย่างแรก ติ๊กต่อก ๆ เฉลย สิ่งแรกที่เราต้องกินก็คือ น้ำเปล่า! ฟังไม่ผิดทุกมันคือน้ำเปล่าจ้าาาา เรียกตัดกำลังกันตั้งแต่เริ่ม 5555555 แต่ทุกคนรู้ไหมทุกครั้งก่อนที่เราจะทานอาหาร ถ้าเราดื่มน้ำเปล่า 500 ml. จะทำให้เราเผาผลาญแคลอรี่ไปได้ถึง 23 แคลอรี่ เชียวนะ แถมยังเผาผลาญไขมันได้ดีมากขึ้นอีกด้วย แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องกินก่อนก็คือไฟเบอร์ หรือว่าพวกผักนั่นเอง เพราะตัวถ่วงกระเพาะที่เป็นไฟเบอร์จะทำให้กระเพาะอาหารของเราฟู อิ่ม และรู้สึกอยู่ท้องมากขึ้น ต่อไปถ้าจะเลือกหยิบอย่างแรกคงไม่ใช่เนื้อสัตว์ หรือของทอดแล้วนะ ต้องดื่มน้ำเปล่า แล้วก็กินผักเข้าไปก่อนนะทุกคนนนคุณภาพของอาหารหลาย ๆ คนมักจะคำนวนแคลอรี่ แต่ความจริงแล้ว คุณภาพของอาหารสำคัญกว่าแคลอรี่! ตั้งแต่ปี 2019 Harvard University เขาบอกเลยว่า ไม่ต้องนับแคลอรี่ก็ได้ ถ้าอาหารที่เลือกมีคุณภาพ โปรตีนที่ดี ถ้าจะทานแล้วควบคุมน้ำหนักได้ดี คือพวก ปลา ถั่ว ไข่ เห็ด สาหร่าย เต้าหู้ ถ้าเป็นสัตว์ขนาดเล็กจะไม่ค่อยมีไขมันเยอะ แต่มีโปรตีนสูง ส่วนพวกเนื้อสัตว์ใหญ่จะมีความแฝงของไขมันค่อนข้างเยอะ ถ้าหลาย ๆ คนทานอาหารแล้วพยายามไม่กินของมันเยอะ พยายามควบคุมความมัน แต่ยังชอบกินเนื้อวัว ไขมันที่มันแฝงมาในเนื้อวัว ที่มันแดง ๆ ข้างในนั้นจะมีไขมันแทรกเข้าไปอยู่ถึง 40% !!เคี้ยวช้า ไม่กินเร็วสาเหตุที่ต้องเคี้ยวช้า ๆ ก็เพราะว่าศูนย์หิวอิ่มของคนเรา จะอยู่ที่ 15 นาทีแรก ดังนั้นคนที่กินเร็วในตอนแรกอาหารจะถูกเข้าไปอยู่ในกระเพาะหมดแล้ว พออิ่มปุ๊บทุกอย่างจะกองอยู่ที่กระเพาะ ร่างกายจะเริ่มทำงานหนัก ระบบย่อยจะไม่ดี แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ค่อย ๆ กิน ทานช้า เคี้ยวช้า ปริมาณอาหารที่เข้าไปก็จะน้อยกว่าปกติ การย่อยก็เลยจะดีกว่า กรดในกระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนัก ใครที่รู้สึกว่าตัวเองกินเร็ว รีบกิน กลัวกินไม่ทันเพื่อน ก็จะต้องปรับพฤติกรรม ให้กินช้าลงด้วยนะ เพราะถ้าเรากินช้าลง แคลอรี่ก็จะลดลงนอกจาก 3 เทคนิคด้านบนแล้ว ช่วงเวลาในการกินบุฟเฟต์ก็มีส่วนด้วยเหมือนกันเทคนิการกินบุฟเฟต์ไมใช่เรื่องยาก จำง่าย ๆ เลยหวังว่าสาระที่เอามาฝากทุกคนวันนี้จะช่วยให้กินชาบู กินบุฟเฟต์แล้วมีความสุขมากขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก บางข้อเราอาจจะยังทำไม่ต้อนนี้ ก็ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป เลือกให้มันพอดีกับตัวเรา อย่างน้อยได้อ่านบทความนี้ไม่รู้เทคนิคในการกินก็ถือว่าคุ้มค่าและก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีต่อสุขภาพแล้วน้าาาาาา

เตรียมร่างกายให้ฟิต รับหน้าฝน

02 ส.ค. 2023

เตรียมร่างกายให้ฟิต รับหน้าฝน

แค่อยากจะรู้ว่าตรงที่เธอยืนนั้นมีฝนตกไหม สบายดีไหม... ~~ อ๊ะ ๆ ไม่ได้เศร้าอะไรนะทุกคนน ก็แหม ช่วงนี้พี่ฝนเขาแวะทักทายบ่อยซะเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงจะเลิกงานเนี่ย ละพอโดนฝนทีไร เดี๋ยวหวัดเอย น้ำมูกเอยทักหาทุ๊กกกกที ฮัดชิ้วว!!นอกจากอุปกรณ์กันฝนต่าง ๆ ที่ต้องเตรียม อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การเตรียมร่างกายของเราให้พร้อมนั่นเอง เพราะถ้า ร่างกายเราแข็งแรง ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก ก็ไม่หวั่น! วันนี้กรีนเวฟ เลยมีทริคดูแลตัวเองให้พร้อมรับมือกับหน้าฝนมาทุกคนกัน ใครอยากมีร่างกายฟิตรับหน้าฝนตามไปดูกันเลย ! !ภูมิคุ้มกันภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมให้พร้อมเป็นอย่างแรกและเป็นอย่างสำคัญ เพราะถ้าภูมิคุ้มกันเราแข็งแรงไม่ว่าจะฤดูไหน เราก็พร้อมจะรับมือ โดยคนเราเนี่ยจะมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด แต่มันก็จะลดลงได้ถ้าไม่ดูแล หรือเสริมภูมิคุ้มกันอยู่เสมอภูมิคุ้มกันเนี่ย เขาก็มีชื่อเรียกเหมือนกันน้า จะมีทั้งหมด 2 ระบบ (หรือ 2 ชื่อนั่นเอง)Innate Immunity ภูมิคุ้มกันตั้วนี้ เป็นภูมิคุ้มกันครอบจักรวาล ก็คือ ว่าจะเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียอะไรที่ไม่รู้จัก เจ้าภูมิคุ้มกันตัวนี้ก็จะสามารถกำจัดได้ทั้งหมด!Adaptive Immunity ภูมิคุ้มกันตัวนี้เป็นภูมิคุ้มกันแบบจดจำ ก็คือมันจะต้องเจอเชื้อก่อนสักหนึ่งครั้ง พอมันเจอเชื้อและจำได้ หลังจากนั้นมันถึงจะต่อสู้กับเชื้อนั้นได้ เช่น ตอนที่เราฉีดวัคซีน เราต้องฉีดเข้าไปก่อนให้ร่างกายเราเจอเชื้อสักนิดนึง ให้ร่างกายจดสักหน่อยนึง ที่นี้ พอครั้งต่อไปร่างกายเราจำได้ พอเจอเชื้อนี้ปุ๊บก็จะสามารถสู้ได้ปั๊บสิ่งที่เราต้องเผชิญกับทุกวันนี้ มีทั้งสิ่งที่ร่างกายเราไม่เคยรู้จักมาก่อน อย่างเช่น Covid – 19 และ P.M 2.5 ซึ่งสิ่งเรานี้พอมันเกิดขึ้น หรือมีขึ้นมาแล้ว ร่างกายเราก็ต้องการภูมิคุ้มกันเพื่อไปจัดการเหมือนกัน หรืออีกหนึ่งที่หลาย ๆ คนไม่อยากเจอ ก็คือ มะเร็ง ทั้งหมดนี้ เราต้องการภูมิคุ้มกันเข้าไปจัดการทั้งสิ้นทำยังไงให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้นจริง ๆ การเพิ่มภูมิกันให้สูงขึ้นมีหลากหลายวิธีมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดีก็คือ การออกกำลังกายซึ่งมีงานวิจัยที่เปรียบเทียบ ระหว่างคนที่เดินเฉย ๆ กับกับคนที่ออกกำลังกาย 20 นาที 3 วันติดกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน 2 เท่าแต่ถ้าเราออกกำลังกายหนักจนเกินไป ก็คือหัวใจจะเต้นเร็ว 180 – 190 ครั้ง / นาที หรือ อยู่ในประมาณ โซน 5 ต่อเนื่องนานเกิน 1 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสเป็นหวัดมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย 6 เท่าการนอนอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของเราให้สูงขึ้น ก็คือในเรื่องของการนอน แหม! มาถึงข้อนี้หลายคนจะเป็นกังวล บางคนเลิกงานดึก บางคนนอนไม่หลับ แต่อย่างน้อย ๆ ควรนอนให้ได้ 6- 8 ชั่วโมง แต่ถ้าช่วงเวลาที่ดีในการการนอนแนะนำเป็นก่อน 5 ทุ่ม เพราะ NK CELL หรือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทหารที่แกร่งที่สุดในร่างกาย เป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับสิ่งที่แปลกปลอม ไม่ว่าจะที่รู้จัก หรือไม่รู้จัก NK Cell สามารถกำจัดได้หมด ซึ่งมันจะมาต่อเมื่อเรานอนก่อน 5 ทุ่มพอบอกว่า ถ้านอนก่อน 5 ทุ่ม ถึงจะมี NK Cell หลาย ๆ คนอาจจะถอดใจ หรือรู้สึกท้อ เพราะนอนหลัง 5 ทุ่มมาโดยตลอด แต่ไม่ต้องห่วงนะทุกคน เพราะ แค่เราหันมานอนเร็วแค่ 1 วัน NK Cell จะขึ้นกลับมาเป็นตัวเดิมได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ นอนเร็วแค่วันเดียวน้า อย่าลืมต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะทุกคนนการกินที่ทำร้ายภูมิคุ้มกันนอกการดูแลตัวเองทั้งในด้านออกกำลังกาย และการนอนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือการกิน การกินหรือสิ่งที่เข้าปากเราสำคัญมากเหมือนกัน หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าน้ำตาล ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำลายภูมิคุ้มกันของเรา เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยง อีกสิ่งหนึ่งก็คือสิ่งที่เป็นกรด อย่างเช่น คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ใหญ่เยอะ ๆ พวกเนื้อวัว เนื้อแดง ที่มีค่า PH 6-7 อันนี้ก็จะสามารถทำร้ายภูมิคุ้มกันได้เหมือนกัน ส่วนสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ ก็จะเป็นพวก วิตามิน C, D และ Zinc ที่จะมาช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หรืออาจจะเป็นพวก Whole Grain ธัญพืช ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว เจ้าพวกนี้ก็สามารถช่วยเสริมภูมิของเราได้เหมือนกันบอกเลยว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายเราสำคัญที่สุด ถ้าอยากร่างกายฟิตก็ต้องดูแลภูมิคุ้มกันให้ดี เพราะไม่ว่าจะไวรัสอะไรเข้ามา Covid-19 หรือ แม้แต่กระทั่งเซลล์ร่างกาย กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง ภูมิคุ้มกันที่ดีก็จะสามารถจัดการได้ ลองทำตาม หรือปรับกันไปทีละข้อ เชื่อว่าภูมิคุ้มกันจะดีขึ้นแน่นอน ^^

เลือกกินชีสให้เหมาะกับตัวเอง

24 ก.ค. 2023

เลือกกินชีสให้เหมาะกับตัวเอง

โอ้ยยย แค่พูดชื่อก็อยากกินแล้วค่าาาาา คนรักชีสอย่างเรา ๆ ถ้าเมนูไหนมีชีสต้องขอเพิ่มเท่านั้น!!! ถึงแม้จะรู้ว่ากินเยอะ อาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ใครมันจะไปอดใจไหว่อ่าาาาา ฮือออ แต่ไม่เป็นไรทุกคน ในเมื่อมันหยุดกินไม่ได้ วันนี้กรีนเวฟแจกทริคในการเลือกกินชีส ชีสแบบไหนที่ควรกิน ชีสแบบไหนที่เหมาะกับเรา เวลากินชีสจะได้ไม่รู้สึกผิด ว่าแล้วตามไปดูกันดีกว่าประเภทของชีสชีสจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆDairy Product ที่ทำจากนมNon Dairy Product ไม่ได้ทำจากนมวัว ซึ่งจะเรียกว่า Vegan CheeseDairy Product ที่ทำจากนมวัวเอานมวัวทั้งหมดมาทำเป็นชีส โดยไม่มีการสกัดเอา Fat ออก ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นไขมันเยอะ เลยทำให้มี Saturated Fat หรือไขมันอิ่มตัวที่สูง และคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งจะไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคหัวใจ หรือว่าคนที่มีไขมันในเลือดสูงชีสที่เขียนว่า LOW FAT คือมี % ของ FAT หรือไขมันน้อยกว่าชีสอื่น ๆ ประมาณ 25% ซึ่งชีสที่มีเขียนว่า LOW FAT จะมีการสกัดเอา FAT ออกไปให้ 25%Non Dairy Product ที่ทำจากถั่ว มะพร้าวหรือเรียกอีกอย่างว่า Vegan Cheese รสชาติจะไม่ได้อร่อยเท่าชีสที่ทำจากนมวัว แต่มีประโยชน์มากกว่า เพราะชีสที่ทำจากนมวัวจะไม่มีไฟเบอร์ แต่ถ้าเป็นชีสที่ทำมาจากพืชหรือที่เราเรียกว่า Non Dairy จะมีไฟเบอร์เข้ามาเพิ่มขึ้นทำให้การขับถ่ายดี และก็ Low Sugar ควบคุมระดับน้ำตาลให้ลดลง ลดคอเลสเตอรอลได้ โซเดียมน้อยกว่า Texture จะไม่แข็งมาก เพราะไม่ได้ผ่านการบ่ม ส่วนใหญ่จะทำจากถั่ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนอยากกินชีสแต่ก็อยากดูแลสุขภาพ ออกแนว Plant basedการแบ่งชีสออกตาม Textureถ้าสังเกตชีสที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด เราจะพบว่าจะมีทั้งแบบที่เป็นก้อน ๆ และแบบที่เป็นนุ่ม ๆ ซึ่งชีสที่แข็ง ๆ หน่อย มันจะเป็นชีสที่ผ่านการบ่ม จนกลายเป็นก้อนแข็ง ชีสประเภทที่เราพบเจอได้ ก็จะมีอย่างเช่นCheddar CheeseParmesan CheeseMozzarella CheeseSwiss Cheeseส่วนชีสอีกแบบคือชีสที่จะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม หรือ Fresh Cheese ซึ่งชีสประเภทนี้จะไม่ได้ผ่านการบ่ม เช่นCottage cheeseFeta cheeseRicotta cheeseเลือกกิน Chesses ยังไงให้เหมาะกับตัวเองในความเป็นชีส มันจะมีวิตามินและแร่ธาตุในตัวอยู่แล้ว จะมีทั้ง ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามิน B12 อันนี้คือ Basic ที่ชีสทุกชนิดจะมี เพียงแต่ว่าอันไหนมีอะไรมากน้อย อันนั้นก็อาจจะต้องลงรายละเอียดอีกทีนึง แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการกินชีสให้เหมาะสมกับตัวเอง อาจจะแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆกลุ่มที่ต้องการแคลเซียมสูง ก็จะให้กิน Cheddar Cheese เพราะว่า Cheddar Cheese 100 กรัมมีแคลเซียม 710 มิลลิกรัม (ซึ่งมีมากกว่านมวัวอีก) และมีวิตามิน D เหมาะกับคนที่ต้องการช่วยเรื่องกระดูกกลุ่มที่ต้องระวังเรื่องความเค็ม ก็คือคนที่มีปัญหาเรื่องไต หรือว่าความดันสูง ที่ต้องควบคุมในเรื่องของเกลือก็ต้องทานประเภท Swiss Cheese เพราะว่าใน 1 Oz. มันจะมีโซเดียมแค่ 53 มิลลิกรัม ต่างจากพวก Feta cheese เพราะใน Feta cheese 1 Oz. มีโซเดียม 323 มิลลิกรัม ถ้าคนเป็นโซเดียมสูงก็ให้เลือกเป็น Swiss Cheeseถ้าอยู่ในกลุ่มที่ต้องการคุมเรื่องน้ำหนัก แล้วยังอยากจะทานชีสก็ให้เลือก Cottage cheese เพราะว่า Cottage cheese เค้าทำจากนมที่พร่องมันเนย มีไขมันต่ำ แต่มีโปรตีนสูง และก็ไม่ผ่านการบ่มด้วย แคลอรี่ก็จะน้อยถ้าอยากดูแลเรื่องสมดุลลำไส้ ก็อาจจะต้องบอกเลยว่าในตัวชีสทำให้เรามี Probiotic ในร่างกายเยอะอยู่แล้ว ในชีสอย่าง Cheddar Cheese เขามีทั้ง lactobacillus acidophilus lactobacillus paracasei คือเป็นกลุ่มตระกูลแบคทีเรียตัวดีเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นสมดุลลำไส้เราต่อให้เรารู้แล้วว่าควรชีสอะไรให้เหมาะกับตัว แต่ก็อย่าลืมนะทุกคน ว่าควรกินแต่พอดีด้วย อย่ากินเยอะมากจนเกินไป เลือกที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะถ้าเลือกกินให้ดีก็มีประโยชน์ในตัวมันได้

6 วิธีง่ายๆ ทำแล้วสุขภาพดีขึ้นแน่นอน

17 ก.ค. 2023

6 วิธีง่ายๆ ทำแล้วสุขภาพดีขึ้นแน่นอน

1. เดินถอยหลัง 10 - 15 นาที ช่วยลดอาการปวดหลังการเดินถอยหลังเป็นการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณเอวและหลัง การบริหารนี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในท่าบริหารของมวยจีน "ไท้เก๊ก" ใครที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ ลองฝึกเดินถอยหลังดูนะคะ การเดินถอยหลังจะบังคับให้นิ้วเท้าสัมผัสพื้นก่อน ต่างจากการเดินปกติที่จะใช้ส้นเท้า จึงเป็นการลดแรงกระแทก และส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อในส่วนที่ต่างไปค่ะ 2. นั่งให้ตัวตรง น่องตั้งฉาก ลดอาการปวดหลังได้การนั่งที่ดี ต้องนั่งตัวตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง อาจจะเมื่อยนิดนึงนะคะ แต่ถ้าชินแล้ว จะทำให้อาการปวดหลังที่มาจากการนั่งตัวไม่ตรงดีขึ้น แนะนำให้เอาหมอนมาลองหลังด้วยนะคะ ป้องกันอาการปวดหลังได้อีกทางค่ะ3.แช่และนวดฝ่าเท้า วันละ 30 ครั้ง หรือ 10 นาที จะช่วยบำรุงไตการใช้น้ำร้อนแช่เท้านั้นไม่เพียงแต่จะบำรุงไต ยังช่วยขับความร้อนออกจากตับด้วยค่ะ ช่วยลดความดัน ช่วยให้อารมณ์ของเราสงบ และยังช่วยเรื่องการนอนให้หลับสบาย ถ้าหากหลังจากแช่เท้าแล้วได้นวดเท้าต่อ จะทำให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้ดีขึ้น อวัยวะภายในมีการปรับสมดุล แนะนำว่าหลังจากแช่เท้าแล้วไม่ควรทำกิจกรรมอื่นต่อ ให้เตรียมเข้านอนได้เลย จะทำให้การบำรุงไต ได้ผลมากยิ่งขึ้น ควรแช่เท้าเวลา 3 ทุ่ม เพราะจะช่วยให้นอนดีค่ะ4. ดื่มขิงเป็นประจำ เพื่อป้องกันหวัดแพทย์จีนจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะอาหาร แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคอเลสเตอรอลที่สะสมในตับ และเส้นเลือด ชาวจีนทั่วไปจึงนิยมต้มขิงกับน้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลแดง เพื่อช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้างจะช่วยแก้ปวดหัว หรือถ้าเอาขิงสดอมไว้ใต้ลิ้นจะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดีค่ะ5.ทานเนื้อสัตว์ให้น้อย ทานผักให้มาก ลดการเกิดไขมันอุดตันของเส้นเลือดเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ก็มากับไขมันทั้งนั้น มันแทรกอยู่ในอนูของเนื้อ ยิ่งลายพร้อยยิ่งอร่อย แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งอร่อย ก็ยิ่งทำร้ายร่างกายมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราควรเลือกเนื้อที่ไม่ติดมัน หรือติดมันน้อยที่สุด และอย่าทานมากเกินไป ปริมาณที่จะเหมาะสมคือ เนื้อไม่ติดมันขนาดเท่าฝ่ามือ ให้ทานผักมากกว่าเนื้อสัตว์ จะช่วยย่อย และช่วยระบบขับถ่ายด้วยค่ะ6.ทำสมาธิก่อนนอน 10 - 15 นาที ช่วยลดอาการเวียนศีรษะการทำสมาธิก่อนนอน เป็นเรื่องที่ดี จะช่วยให้ระบบสมองของเรามีการเรียงตัวที่ดี ช่วยให้เราหลับได้ดีอีกด้วย และทำให้ตื่นเช้าขึ้นมาไม่เวียนศีรษะค่ะแต่ละวิธีไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ลองค่อยๆปรับ เปลี่ยนไปด้วยกัน เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

อยากเผาผลาญดี วิตามินอะไรช่วยได้

14 ก.ค. 2023

อยากเผาผลาญดี วิตามินอะไรช่วยได้

วางแผนมาตั้งแต่ต้นปี ว่าปีนี้จะลดน้ำหนัก ปาเข้าไปกลางปีน้ำหนักไม่ลด แถมยังเพิ่มอีกต่างหาก จะทำยังไง ทำเท่าไหร่ น้ำหนักก็ไม่ลดซักที พูดแล้วก็ท้อใจจจจจ TT แต่ไม่เป็นไรทุกคน วันนี้มีตัวช่วยมาให้ทุกคน เป็นทริคลดน้ำหนักจากคุณหมอเพื่อน ซึ่งคุณหมอได้พูดในราบการเพื่อนเป็นหมอ ถึงเรื่องวิตามินที่ช่วยในเรื่องของการ Burn Fat ช่วยในการเผาผลาญเอาไว้ วันนี้กรีนเวฟเลยสรุปมาให้ทุกคน ใครอยากรู้จะมีวิตามินอะไรบ้างตามไปดูกัน ^^ทำไมหนักลงเป็นขีด ขึ้นทีเป็นโล มันเพราะอะไร !เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนก็คงสงสัยกันใช่ไหมหละ นั่นก็เพราะว่าสาเหตุของการที่น้ำหนัดลดยากของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการเผาผลาญ Metabolism ด้วย ถ้าใครที่ เหงื่อออกง่าย ท้องไม่ค่อยผูก ทานอาหารแล้วย่อยได้ดี คนเหล่านี้มักจะมี Metabolism ดี นอกจากนี้เรายังจะต้องดูอีกว่า เรากินถูกรึเปล่า ออกกำลังกายไหม หรือนอนดีรึเปล่าการ Fasting ที่ดีที่สุด คือการงดอาหารมื้อเย็นบางคนลดน้ำหนัก จะเลือกไม่ทานอาหารเลย หรืออาจจะทานน้อยมาก แต่น้ำหนักก็ยังขึ้น แปลว่าสารอาหารที่ได้รับเข้าไปไม่เพียงพอ เลยกลายเป็นการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี เพราะฉะนั้นถ้าจะลดน้ำหนักจริง ๆ 4 อาหารที่ไม่ควรงดเลยก็คือไขมันดี ถ้าเราขาดไขมันดีการ Burn Fat จะลดลง ซึ่งไขมันดีสามารถหาได้จาก ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอกโปรตีน โปรตีนจะเป็นตัวทำให้เรารู้ว่าอิ่มท้องและอยู่ได้นานขึ้น ถ้าสมุติว่าเราทานอาหารตอน และทานอาหารตอนเที่ยง ช่วงเย็นจะรู้สึกหิวน้อยลง เพราะโปรตีนจะทำให้เราไม่ดื้ออินซูลินในช่วงบ่าย และจะโหยน้อยลงคาร์โบไฮเดรตที่ดี ตอนช่วงเช้าถ้าเราไม่ทานคาร์โบไฮเดรตที่ดี กล้ามเนื้อไม่สร้าง ตัวที่เผาผลาญและเก็บกล้ามเนื้อไม่มีเลยจะทำให้ Burn Fat ได้น้อยลงไฟเบอร์ การที่มีไฟเบอร์ถ่วงที่ท้องให้หนักขึ้น เขาจะเป็นตัวนำพาเอาน้ำตาลที่ไม่ดี ไขมันที่ไม่ดี ออกไปทางอุจจาระเวลาขับถ่าย4 หลักการก่อนที่จะ Burn Fatเซลล์เราต้องการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น วิตามินหรือสิ่งที่เสริมเค้าต้องทำให้เซลล์เหมือนถูกกระตุ้นแล้วใช้พลังงานมากขึ้น เช่นกลุ่มคาเฟอีนต้องถ่วงในกระเพาะเราอิ่มตัว ซึ่งสิ่งที่ช่วยถ่วงให้อิ่มก็คือพวกไฟเบอร์ เพราะฉะนั้นจะต้องทานผักเพิ่มขึ้นวันประมาณ 40 กรัม (ในจานข้าวต้องมีผักครึ่งหนึ่ง)ต้องมีตัวนำพาไขมันเข้าไปในเซลล์ที่ชื่อว่า Mitochondrion ซึ่งตัวที่นำพามาก็คือ L-carnitine ถ้าเราไม่ออกกำลังกาย การที่จะพาไขมันเข้าไปในเซลล์มันจะไม่ถูกพาเข้าไป เพราะฉะนั้น หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคุณหมอพูดว่า ถ้าทาน L-carnitine ให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเมื่อ L-carnitine เข้ามาในเซลล์แล้ว เขาจะมีการช่วยให้ตัวพันธะของไขมันเหมือนกรรไกร ย่อยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็จะเป็นการสลาย FAT ที่ดีการต้องการทำให้น้ำตาลเผาผลาญดียิ่งขึ้น แร่ธาตุที่สำคัญคือโครเมียม ซึ่งจะได้จากธัญพืช ข้าวกล้องไม่ขัดสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต อีกหนึ่งอย่างก็คืออบเชย อบเชยจะเป็นตัวที่ทำให้เราสามารถลดภาวะการณ์ดื้ออินซูลิน หรือสามารถทำให้น้ำตาลที่เราทานเข้าไปสลายออกไปใช้มากยิ่งขึ้น ไม่ทำให้สะสมเป็น FAT หรือ ไขมันวิตามินอะไรช่วงในเรื่องของการเผาผลาญวิตามิน D เป็นวิตามินที่ดีสมชื่อ ถ้าใครมีวิตามิน D ต่ำจะทำให้การ Burn Fat แย่ลง เพราะวิตามิน D จะทำให้กลไกล 4 อย่างด้านบนที่กล่าวมานั้น ทำงานได้เป็นอย่างดีวิตามิน B เป็นวิตามินที่หลายคนทานแล้วสดชื่นขึ้น ทานตอนเช้าแล้วอาจจะทำให้รู้สึกมีพลัง หนึ่งในข้อดีของวิตามิน B คือ ช่วยในเรื่องของการ Burn Fat ร่วมด้วยปริมาณในการกินวิตามินL-carnitine โดสโดยปกติจะเม็ดละ 500 มิลลิกรัม การกินจะอยู่ที่ 500 – 2,000 มิลกรัมแล้วแต่คน ถ้าคนที่ Burn ยากหน่อยก็อาจจะเพิ่มเป็น 2,000 มิลลิกรัมได้ โดยควรรับประทาน ครึ่งชั่วโมงก่อนออกกำลัง เพื่อให้ L-carnitine เข้าเซลล์แล้วไปตัดไขมันวิตามิน B ส่วนมากจะกระจายโดสอยู่ที่ 5-10 มิลลิกรัม สามารถทานเป็นวิตามิน B รวมก็ ได้ แต่ต้องระวังถ้ามีวิตามิน B6 เยอะอาจจะทำให้หิวมากยิ่งขึ้นวิตามิน D โดสจะอยู่ที่ 3,000 วิตามิน D3 โดสจะอยู่ที่ 3,000 – 5,000 IU ถ้าคนอยากรู้สึกเผาผลาญเร็ว หรือถ้าอยาก Boost ก่อนในช่วงแรก อาจจะ Overdose ได้ แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อบเชย 1 ช้อนชาต่อวันโครเมียม 200-600 ไมโครกรัมได้วิตามินกันไปแล้วก็อย่าลืมที่จะออกกำลังกายและดูแลเรื่องอาหารควบคู่กันไปด้วยน้า ฝากไว้นิดดดนึงการออกกำลังกายควรออก 30 นาที ขึ้นไป ถึงจะเกิดการ Burn Fatแต่ถ้าออกแค่ 15 นาที คุณจะน่องโต แทนที่จะ Burn Fat ออกได้ถ้าเดินต้องเดิน 7,499 ก้าว ถึงจะกลายเป็นการ Burn Fat ประมาณ 20 นาที

เรื่องกล้วย ๆ กับประโยชน์ของกล้วย 4 สี

06 มิ.ย. 2023

เรื่องกล้วย ๆ กับประโยชน์ของกล้วย 4 สี

กล้วย เป็นผลไม้ที่กินกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะกินง่าย ประโยชน์เยอะ แต่ส่วนใหญ่ กล้วยที่มักจะกินกันก็คือกล้วยสุก สีเหลืออร่าม แต่จริง ๆ ประโยชน์ของกล้วย มีอีกมากมาย ไม่ว่ากินแบบดิบที่มีสีเขียว แบบห่ามที่เป็นสีเขียวอมเหลือง แบบสุกที่สีเหลืองน่ากิน หรือจะเป็นแบบงอมสีเหลือง ๆ เข้ม ๆ มีจุดดำๆ ที่ดูไม่ค่อยน่า ซึ่งในแต่ละสีก็จะมีประโยชน์ที่ต่างกันออกไป ตามไปดูกันดีกว่า ว่ากล้วยทั้ง 4 สีมีประโยชน์อะไรบ้าง1. กล้วยดิบ (เปลือกสีเขียว)มักจะนิยมเอามาทำเป็นผงกล้วยดิบ ส่วนมากจะช่วยในเรื่องของกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน เพราะว่าในกล้วยดิบ จะมีสารที่ชื่อ แทนนิน ซึ่งจะมีส่วนในการเคลือบกระเพาะ ก็เหมาะกับคนที่เป็นโรคกระเพาะ2. กล้วยห่าม (เปลือกสีเขียว ๆ เหลือง ๆ )สามารถรับประทานได้สดๆ รสชาติไม่หวานจัด ติดรสฝาดเล็กน้อย มีโพแทสเซียมสูง จึงให้ผลดีกับผู้มีอาการท้องเสียเนื่องจากผู้ป่วยจะสูญเสียโพแทสเซียมออกจากร่างกายมาก ซึ่งหากขาดมากอาจมีผลกระทบกับการเต้นของหัวใจได้ นอกจากนี้ยังมีจุลินทรีย์ตัวดีในลำไส้ (Probiotic) ค่อยข้างเยอะ เป็นแบคทีเรียชนิดดีที่พบในลำไส้ เลยช่วยให้จุลินทรีย์ชนิดนี้เพิ่มจำนวนขึ้นและยังอุดมไปด้วยสารแทนนิน ซึ่งมีส่วนช่วยในการรักษาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่รุนแรงได้3. กล้วยสุก (เปลือกสีเหลืองสด)มีรสรสชาติอร่อย เป็นที่นิยมในการกิน แต่จะมีฤทธิ์ระบายอ่อน ๆ เพราะว่าในกล้วยสุกนั้นจะมีสารที่เป็นเพ็กตินเยอะ เพ็กตินคือสารที่มีเส้นใย กากใย เพราะฉะนั้นก็จะทำให้มีฤทธิ์ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ช่วยทำให้คนที่เป็นริดสีดวงทวารขับถ่ายง่ายขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก4. กล้วยงอม (เปลือกสีเหลืองเข้ม คล้ำๆ )อาจจะดูเหมือนไม่น่ากิน แต่กลับให้ผลดีอย่างมากมายในการเพิ่มภูมิต้านทานโรคภัยต่างๆ มี Beta Carotene สูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีสารต้านมะเร็ง ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ มีจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดสารเสริมภูมิต้านทานนี้มากขึ้นข้อควรระวังใช่ว่ากล้วยจะมีประโยชน์กับทุกนะ เพราะถ้าคนที่มีระดับค่าไตเสื่อมค่อนข้างมาก ต้องระวังในเรื่องของโพแทสเซียม อาจจะไม่เหมาะกับการกินกล้วย เพราะกล้วยนั้นมีโพแทสเซียมสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น แต่ถ้าคนทั่วไปที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของโพแทสเซียม การกินกล้วยจะไม่ทำให้ชโพแทสเซียมสูงขึ้นได้ส่วนอีกกรณีในการกินที่ต้องระวัง คือบุคคลที่มีอาการท้องเสีย ถ้าบังเอิญว่าเราท้องเสียอยู่ แล้วไปกินกล้วยสุก ก็อาจจะทำให้ท้องเสียมากยิ่งขึ้นได้ และอาจจะต้องระวังเรื่องของน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในกลัว ถ้าหากกินมากเกินไปเป็นยังไงกันบ้างกับประโยชน์ของกล้วยทั้ง 4 สี ไม่ว่าจะแบบไหนก็ดีต่อร่างกายและสุขภาพของเราทั้งนั้น ใครชอบกินแบบไหน หรืออยากลองกินแบบก็ไปเลือกกันได้

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

30 พ.ค. 2023

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

อย่างที่เรารู้กันว่าการนอนน้อย หรือ นอนดึก จะส่งผลให้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และอาจจะรวมถึงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อีกมากมายทั้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้หลงขี้ลืม น้ำหนักขึ้นไว แก่ก่อนวัย ไม่มีสมาธิ แต่จริง ๆ แล้ว ความร้ายกาจของการนอนน้อย หรือการนอนดึก อาจจะทำให้เราเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ว่าจะต้องนอนน้อยแค่ไหน หรือนอนมานานเท่าไหร่ถึงเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ วันนี้กรีนเวฟจะพาไปหาคำตอบด้วยกันต้องนอนดึกมานานแค่ไหนถึงเสี่ยงโรคร้ายจริง ๆ คงต้องบอกว่าไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะปัจจัยในการเกิดโรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และจะไม่มีการบอกว่านอนดึกมานานกี่ปีถึงจะเกิดโรคอะไร ขึ้นอยู่กับการปรับตัวแต่ละคน บางคนนอนดึกเป็น 10 ปี ก็ไม่เป็นอะไรก็มี แต่โดยมากการนอนดึกต่อเนื่อง 6 เดือน – 1 ปี ระดับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ก็จะเริ่มร่วงลง เมื่อฮอร์โมนลดลงการเกิดโรคต่าง ๆ ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันละ เพราะปัจจัยแต่ละโรคมันไม่ได้ขึ้นอยู่แต่แค่การนอนอย่างเดียวGrowth Hormone คืออะไรโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโต มีหน้าที่สำคัญทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีบทบาทที่แตกต่างกันในเด็ก โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่สร้างความเจริญเติบโตให้เด็ก มีส่วนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและกระดูก หากเด็กคนไหนขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้รูปร่างเตี้ย ตัวเล็ก ไม่มีกล้ามเนื้อ อาจมีภาวะอ้วนจากการสะสมไขมันที่ลำตัวมากในผู้ใหญ่ กรทฮอร์โมนทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ช่วยกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย ช่วยเพิ่มมวลและความสามารถของกล้ามเนื้อ ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ชะลอความแก่ชรา แต่ถ้าใครมีโกรทฮอร์โมนที่น้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันจะทำให้คนๆ นั้นมีความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสันหรือโรคทางด้านหัวใจและเส้นเลือดผิดปกติได้ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง ใบหน้าหย่อนคล้อยดูเหมือนแก่กว่าวัย ดังนั้นการที่มีโกรทฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคและชะลอการแก่ก่อนวัยอันควรโดยการเพิ่มโกรทฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี และ 1 ในนั้น คือเรื่องของการนอน ควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะสามารถผลิตโกรทฮอร์โมนได้มากที่สุด โดยปกติโกรทฮอร์โมนจะหลั่งช่วง 5 ทุ่ม - ตี 2 และควรนอนไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนอนน้อยเสี่ยงโรคมะเร็ง ?ได้มีการศึกษาและวิจัยว่าในคน 1,240 คน พบว่ามีคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงถึง 47% จะมีอาการของมะเร็งลำไส้ มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชม.ขึ้นไปนอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งลำไส้แล้วยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดฝ้าได้อีกด้วยเวลาที่เรานอน ฮอร์โมนของเราจะถูกสร้างให้รู้สึกผ่อนคลายและมีการสร้างของเม็ดสีที่มันเป็นไม่คล้ำ แต่ถ้าเกิดว่าเรานอนดึกจนเกินไป สมองแทนที่มันจะถูกพักและสร้างเม็ดสีที่ดี มันจะเปลี่ยนเป็นกระตุ้นเม็ดสีดำ ขึ้นมาเยอะแทน มันจะไปกระตุ้นฮอร์โมนชื่อ melanocyte stimulating hormone เรียกย่อว่า MSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีดำ และก็อาจจะทำให้ ยิ่งนอนน้อยยิ่งมีรอยเหี่ยวย่นเยอะ และก็ฝ้าเยอะได้พยายามนอนเร็วแล้ว แต่เป็นคนนอนหลับยากทำยังไงดีก่อนที่จะนอนถ้ากินมื้อเย็นหรือมื้อใหญ่ เช่นบุฟเฟ่ต์ก่อนหน้าที่จะเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้หลับยากยิ่งขึ้น เพราะเวลาที่เรากินมื้อเย็นเป็นมื้อใหญ่ หรือกินบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่เยอะ จะยิ่งไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น (Cortisol ฮอร์โมนความเครียด) เมื่อร่างการมีหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เข้าสู่วงจรการนอนหลับได้ยากขึ้นห่างแสงสีฟ้าอย่างต่ำ 2 เมตร เพราะคลื่นทำงานของมือถือ เค้าจะรบกวน การทำงานของสมองได้ กว่าที่ร่างกายจะสั่งให้หลับ มันจะมีการสร้างตัวสั่งให้หลับชื่อฮอร์โมนว่า Melatonin โดย Melatonin จะออกมาตอนที่ทุกอย่างมืด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเปิดไฟ ก็จะทำให้ melatonin มันไม่ออกมา แต่ตัวที่หนักกว่าไหที่เราเปิดคือแสงสีฟ้า หรือเรียกว่า Blue Light ซึ่งมันจะยับยั้งการหลั่ง melatonin ได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราหลับไปแล้ว แล้วดูแสงสีฟ้าขึ้นมา มันก็จะยิ่งทำให้กระตุ้นร่างกาย ทำให้ตัวสั่งหลับมันไม่ออกมามากยิ่งขึ้น เราก็จะนอนยากออกกำลังกายก่อนนอนบางคนคิดว่าทำให้ตัวเองเหนื่อยแล้วจะยิ่งนอนหลับได้ดี แต่จริง ๆ แล้วสำหรับคนที่ Sensitive ในเรื่องของการนอน จะแนะนำให้ออกกำลังกายก่อน 6 โมงเย็น เพราะว่าเวลาที่ออกกำลังกายแล้วเนี่ยมันจะมี Adrenaline Epinephrine หลั่ง ซึ่งพวกนี้เป็นสารของคาวม Active และความสดชื่น ทำให้ร่างกายตื่น เพราะฉะนั้นพอเราไปเข้านอน มันก็ยังคงความสดชื่นอยู่ เลยทำให้หลับยากชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ก็สามารถไปกระตุ้นในเรื่องของการนอนได้เหมือนกัน โดยปกติคาเฟอีนใช้เวลาขับออกจากร่างกายประมาณ 6-8 ชั่วโมง สมมุติถ้าเราจะนอนตอน 3 ทุ่ม สำหรับคนทั่วไป ถ้ากินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปช่วงบ่าย 3 กว่าจะเข้านอนเค้าก็สามารถระบายคาเฟอีกออกจากร่างกายได้หมด แต่สำหรับคนที่ Sensitive หากกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วบ่าย 3 เหมือนกัน ร่างกายอาจจะระบายออกมาไม่ทัน อาจจะต้องขยับเวลามากินช่วงก่อนเที่ยงเลยด้วยซ้ำแต่หากใครอยากดื่มชาก่อนนอน เราก็ขอแนะนำเป็นชาคาโมมายล์เท่านั้น เพราะเป็นชาตัวเดียวเท่านั้นที่ช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดีเป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับที่เอามาฝากกันวันนี้ อย่าลืมว่านอกจากจะดูแลตัวเองเรื่องของการกินและการออกกำลังกายแล้ว สุขภาพการนอนที่ดีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราร่างกายเราแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน

album

0
0.8
1