Club Inspired Day Recap

Club Inspired Day Recap

ถอดรหัสชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ฟรัง นรีกุล” หมอ นักแสดง สู่ผู้หญิงเก่งรอบด้าน ที่กล้าเลือกทางเดินใหม่เสมอ

Club Inspired Day Recap

view all
รับแรงบันดาลใจจาก “คิวเท โอปป้า” กับเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านสู่ "ความสุขที่ละเอียดกว่า" ในชีวิตจริง

10 พ.ย. 2025

รับแรงบันดาลใจจาก “คิวเท โอปป้า” กับเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านสู่ "ความสุขที่ละเอียดกว่า" ในชีวิตจริง

“เรื่องกรรม จริง ๆ เวลาเราทำผิดพลาดไป มันก็กลายเป็นกรรมแล้ว เราไม่สามารถให้คนอื่นมาช่วยแก้กรรมให้เราได้หรอก คนที่จะช่วยได้คือตัวเราเองนี่แหละ ถ้าเราเคยทำอะไรไม่ดีมาก่อน พอรู้ตัวเอง ก็จงเปลี่ยนตัวเอง คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้ตลอดเวลา และสุดท้ายหากเจตนาเราดี ทุกอย่างมันก็จะดีเองครับ”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ“ดีเจเป้”และ“ดีเจแคน”ได้เปิดไมค์ต้อนรับ คิวเท โอปป้ายูทูบเบอร์ชื่อดังชาวไทยเชื้อสายเกาหลี ที่ได้แชร์ประสบการณ์ของ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของคิวเทตั้งแต่วัยเด็ก การสร้างตัวตนแบบโอเวอร์ในฐานะยูทูบเบอร์ระดับต้น ๆ ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน ไปจนถึงการเผชิญกับความทุกข์ทางจิตใจอย่างรุนแรงแม้จะมีชื่อเสียงและทรัพย์สินมากมาย สิ่งที่ผลักดันให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลานั้นและเปลี่ยนมาเป็นคนปัจจุบันคือการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางการทำคอนเทนต์ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ และมีสติมากขึ้น รวมถึงการใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตและการทำงาน โดยเฉพาะประสบการณ์จากการเดินเท้าจากกรุงเทพฯ ไปพัทยาที่ถือเป็นการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตจริงที่ช่วยให้เขาเกิดความสุขที่ละเอียดและยั่งยืน เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจุดกำเนิด 'เกาหลีบ้า' และความสุขที่ฉาบฉวยคิวเท โอปป้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นยูทูบเบอร์เบอร์ต้น ๆ ของไทยในยุคที่ YouTube เริ่มรุ่งเรือง โดยเขาเป็นคนที่ขยันมาก สามารถลงคลิปได้ถึงสัปดาห์ละ 3 คลิปเบื้องหลังคาแรกเตอร์สุดเหวี่ยง บุคลิกในคลิปของเขา (เช่น ท่าแนะนำตัวที่เป็นเอกลักษณ์ หรือการทำอะไรที่ "โอเวอร์" และ "แรง ๆ") นั้น แตกต่างจากตัวตนจริง ที่ค่อนข้างเงียบ และเรียบร้อยเมื่ออยู่โรงเรียน คาแรกเตอร์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของคนไทย โดยเริ่มจากการทำคลิปล้อเลียน (Parody) เช่น "เกาหลีเต้นสายย่อ" จนกลายเป็นฉายาที่คนมักเรียกเขาว่า “เกาหลีบ้า”ในช่วงแรก คิวเทรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรแปลก ๆ แล้วคนสนใจ และความฝันในตอนนั้นคือการมี 1,000,000 Subscribe แม้ว่าเป้าหมายนี้จะสำเร็จ เพราะมียอดถึง 9,000,000 Subscribe ในปัจจุบัน รวมถึงการมีรถและมีบ้าน แต่เขากลับพบว่าความสุขเหล่านั้นอยู่ได้เพียงชั่วคราวและเขายังคงมีปัญหาในชีวิตอยู่เรื่อย ๆเมื่อชื่อเสียงเงินทอง ไม่อาจเยียวยา 'ความทุกข์ใหญ่หลวง'แม้ว่าชีวิตภายนอกจะดูเพอร์เฟค มีเงินทองชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ความทุกข์ภายในกลับทำให้เขาต้องเริ่มคิดหลายอย่างมากขึ้น ซึ่งความทุกข์ครั้งใหญ่ของคิวเทเกิดจากเรื่องพื้นฐาน เช่น ความเชื่อใจและการหักหลัง ในความสัมพันธ์ เขาตระหนักว่าก่อนหน้านั้นเขาพยายามทำเป็นไม่รู้ และยึดติดกับความคิดที่ว่าสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่จะคงที่ตลอดไป แต่เมื่อชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง เขาจึงเริ่มเป๋เหมือนกันความทุกข์นี้ทำให้เขาเริ่มมีวุฒิภาวะในการตัดสินใจน้อยลง และนำไปสู่ความรู้สึกที่เหมือนกับซึมเศร้า เขาถึงกับรู้สึกว่าขาไม่มีแรงที่จะก้าวเดินไปห้องน้ำ เพราะความทุกข์มันเยอะมาก ความคิดลบจะหมุนวนอยู่ในสมอง ซึ่งช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ยาวนานประมาณหนึ่งปีจากสายคริสต์ สู่การค้นพบ 'ทางดับทุกข์' ด้วยธรรมะเมื่อเจอกับปัญหาหนักหน่วง คิวเทเริ่มหาทางออกจากความทุกข์ และพบว่าธรรมะ คือสิ่งที่ช่วยให้เขาหลุดออกมาได้จริง โดยมียูทูบเบอร์ชื่อดังอย่าง SPD คือผู้ที่แนะนำให้เขาเริ่มศึกษาธรรมะเป็นคนแรก โดยแนะนำให้ลอง ถือศีล 5 คิวเทยอมรับว่าครอบครัวเขาเป็นคริสต์ (คุณพ่อเป็นมิชชันนารี และบาทหลวง) และเขาเคย แอนตี้เรื่องวัดและพระ มาก่อนแต่ในช่วงที่ความคิดลบวนเวียนหนักขึ้นจนเกิดอาการหลอน (คิดไปเองว่าคนอื่นหัวเราะหรือนินทาเขา) เขาจึงตัดสินใจไปวิเวก (อยู่เงียบ ๆ ตัดขาดจากโลกภายนอก) โดยเดินทางไปยังชายแดนที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลา 5 วัน โดยเขานำเครื่องเล่น MP3 ที่มี พุทธวจนะ (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ไปฟังหยุด 'วงจรความคิดลบ' ด้วยสติ พร้อมบทเรียนจากนันทิและลมหายใจหลังจากฟังพุทธวจนะไปเรื่อย ๆ ประมาณวันที่ 3 หรือ 4 เขาก็เริ่มเข้าใจคำสอนบางอย่าง เขาเรียนรู้ว่าการที่เรา เพลินกับความคิดไม่ดี (อกุศล) นั้นเรียกว่า นันทิ ซึ่งเปรียบเหมือนการกดปุ่มหรือใส่ใจอารมณ์นั้น ๆ ทำให้ความคิดลบวนซ้ำคิวเทถูกสอนว่าเมื่อมีความคิดไม่ดีเข้ามา ให้รีบดึงสติกลับมาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สติ เหมือนเป็นเบรก และการฝึกโฟกัสที่ลมหายใจ จะช่วยให้สติเด้งขึ้นมาเป็นเบรก ในการหยุดความคิดลบไม่ให้ไหลต่อไปเขาเริ่มเห็นว่าความคิดลบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงข้อมูลจาก อดีต หรือการวาดภาพ อนาคต และให้กำลังใจตัวเองว่ามันจบไปแล้ว จะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ การฝึกดึงสติกลับมาอย่างต่อเนื่องนี้เหมือนกับการฝึกฝน หรือขี่จักรยาน ทำให้เขามั่นใจว่าสามารถนำทักษะนี้กลับไปใช้ในชีวิตปกติได้คิวเทเตือนว่าในช่วงแรกของการปฏิบัติธรรมอาจเกิดกับดักธรรมะ ที่เรียกว่า บ้าธรรมะ คือการคิดว่าตัวเองเหนือกว่าหรือตัดสินผู้อื่น ซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่ดี (อกุศล) เช่นกัน เขาจึงเน้นย้ำถึง สายกลาง คือการปฏิบัติธรรมนิด ๆ หน่อย ๆ ทุกวัน เช่น นั่งสมาธิ และใช้ชีวิตปกติอย่างมีสติ การวางตัวให้ฉลาดเมื่ออยู่กับผู้คนในทางโลกก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เอาธรรมะไปพูดกับทุกคนจนคนเบื่อบทพิสูจน์ 5 วันบนถนน เปลี่ยนความท้อเป็น 'พลังแห่งการให้'หลังจากผ่านช่วงวิกฤต คิวเทต้องการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุขและสดใสมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจทำคลิป เดินเท้า 6 วันจากกรุงเทพฯ ไปพัทยา เขาสัญญา และตัดสินใจกับตัวเองว่าจะไม่โมโห ไม่โกรธ ไม่ท้อ และจะเป็นคนคิดบวกตลอดเวลาเมื่อเกิดความรู้สึกเหนื่อยหรือท้อ เขาลองเปลี่ยนจากการหายใจไปโฟกัสที่เท้า ทำให้ความคิดลบหายไป เหมือนกับการฝึกจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเขาเลือกที่จะเดินจริง ๆ ตลอดทาง ไม่ใช้รถ (ยกเว้นในสถานการณ์จำเป็นและมีการถ่ายให้คนดูเห็น) เพราะเขาอยากซื่อสัตย์ต่อผู้ชมการเดินทำให้เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างชัดเจน จากวันแรกที่เต็มไปด้วยความคิดลบ สู่การไม่รู้สึกอะไรเลยในวันสุดท้าย เขาตระหนักว่าที่ผ่านมาเขาคิดไปเอง ทั้งหมดว่าคนอื่นไม่ชอบเขา แต่สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจที่สุดคือ การให้ แม้ความสุขจากการครอบครองจะอยู่เพียงไม่นานแล้วหายไป แต่เมื่อเขาแจกของและเห็นคนอื่นมีความสุข เขากลับมีแรงเดินต่อ ความสุขจากการให้เป็นความสุขที่ละเอียดยิ่งกว่า และทำให้ใจรู้สึกเบาทิ้งคลิปขยะ 600 คลิป พร้อมแรงบันดาลใจจากการ 'เปลี่ยนเจตนา'คิวเทได้ทำการลบคลิปเก่า ๆ ที่มียอดวิวสูง (รวมถึงคลิป 20 กว่าล้านวิว) ทิ้งไปกว่า 600 คลิป เพราะเขารู้สึกผิดและละอาย ต่อสิ่งที่เคยทำไป เพราะมันขัดแย้งกับหลักการในปัจจุบัน แม้ว่าคลิปเหล่านั้นอาจจะไม่ได้แย่ตามมาตรฐาน Content ยุคใหม่ แต่เขากลัวว่ามันจะเป็น คอนเทนต์ขยะ ที่ส่งผลกระทบและทำให้เด็กเลียนแบบ การตัดสินใจลบคลิปทั้งหมดเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วและไม่เสียดายเลย เขามั่นใจว่าการเปลี่ยนมาทำคอนเทนต์ ที่เป็น น้ำดี นั้นดีกว่ามากคิวเทเน้นย้ำเรื่องกรรม ซึ่งหมายถึง เจตนา เราไม่สามารถให้คนอื่นมาช่วยแก้กรรมได้ คนที่จะช่วยได้คือตัวเราเองทุกคนสามารถเปลี่ยนนิสัยหรือการกระทำได้ตลอดเวลา หากมีเจตนาที่ดี เขาไม่ได้วางเป้าหมายว่า 30 หรือ 40 ปีจะต้องเป็นอย่างไร แต่พยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หากวันนี้ดี พรุ่งนี้ก็จะดีเอง "ถ้าเราเจตนาเราดีอ่ะ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีเอง"การเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิดลบด้วยสติของคิวเท เปรียบเสมือนการที่เรากำลังขับรถชีวิต (ความคิด) ที่มีแนวโน้มจะพุ่งชน โดย สติ ทำหน้าที่เป็นพวงมาลัยและเบรก หากเราฝึกใช้เบรกนี้บ่อย ๆ รถก็จะค่อย ๆ ลดความเร็วและไม่พุ่งชนสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อทางจิตใจให้แข็งแรงและควบคุมได้เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ปรัชญาชีวิตและความเป็นจริงจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” กับมุมมองความเชื่อ ความศรัทธา และการอ่านภาษากาย

28 ต.ค. 2025

ปรัชญาชีวิตและความเป็นจริงจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” กับมุมมองความเชื่อ ความศรัทธา และการอ่านภาษากาย

“ความเชื่อ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ถูกส่งต่อมาจากครอบครัว หรือคนใกล้ตัว ซึ่งความเชื่อมีทั้งแง่บวก และลบ แต่การกระทำก็ยังเป็นตัวหลักอยู่ดี ในการทำให้เราดำเนินชีวิตไปข้างหน้า หรือข้างหลัง สำหรับผมคิดว่าความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดก่อนเกิดการกระทำเท่านั้นเอง”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจเฟี๊ยต” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” นักอาชญาวิทยา ที่ได้พูดคุยเจาะลึกถึงรากฐานของพฤติกรรมมนุษย์และหลักการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท้าทายความเชื่อ และสิ่งเหนือธรรมชาติที่สังคมยึดถือกันมาอาจารย์ตฤณห์ได้นำเสนอจุดยืนที่ชัดเจนและแตกต่าง โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียง "เรื่องเสพเพื่อความบันเทิง" สำหรับท่านเท่านั้น และย้ำว่าการตั้งคำถามอยู่เสมอคือสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ"ความเชื่อคือเรื่องบันเทิง" เมื่อนักอาชญาวิทยาไม่ยอมให้ใครมาท้าทายตรรกะอ.ตฤณห์ โพธิ์รักษา เป็นอาจารย์และนักอาชญาวิทยาผู้ยึดมั่นในหลักเหตุผลและความยุติธรรม โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียงเรื่องที่ควร "เสพเพื่อความบันเทิง" เท่านั้น ท่านไม่เคยเชื่อในตารางสีเสื้อมงคล แต่เชื่อว่าหลักการสำคัญในการใช้ชีวิตคือ กาลเทศะ โดยยกตัวอย่างว่าสีเนื้อผ้ามีผลต่อการป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น สีสะท้อนแสงในเวลากลางคืนอ.ตฤณห์ ตั้งคำถามเชิงตรรกะต่อความเชื่อเรื่องดวง และราศีอย่างรุนแรง โดยชี้ว่า หากโลกนี้มีคน 1,000 ล้านคน แต่มีเพียง 12 ราศี แสดงว่าคนทั้งหมดจะมีดวงแค่ 12 แบบเท่านั้นหรือ? ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และย้ำว่าการมีศรัทธาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความเชื่อที่ปราศจากการตั้งคำถาม หรือตั้งอยู่บนหลักที่ไม่มีเหตุผล จะกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ดังนั้น การตั้งคำถามอยู่เสมอ คือเกราะป้องกันตนเอง อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้ยิน อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้เห็น และการที่ธุรกิจจะเติบโตได้นั้นมาจากการกระทำ และความตั้งใจของเราเอง ไม่ใช่การถวายไข่ 100 ฟอง โดยที่เราไม่นั่งทำงานดวงดี ดวงร้าย และ "สภาวะจิตไม่ปกติ" เมื่อคำทำนายกลายเป็นคำสั่งให้ระแวงอ.ตฤณห์อธิบายว่า คำว่า "ดวงดี" หรือ "ดวงไม่ดี" เป็นเพียงการปลอบใจตนเอง หรือการโทษสิ่งอื่นเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เช่น สอบตกเพราะไม่ตั้งใจเรียน แต่กลับโทษว่าเป็นเพราะดวงท่านชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการดูดวงหรือคำทำนายล่วงหน้าว่า เมื่อเราทราบคำทำนายแล้ว มันจะทำให้เกิด "สภาวะจิตที่ไม่ปกติ" ซึ่งจะทำให้เรา ดึงทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น ตัวอย่างเช่น หากเราอ่านคำทำนายว่าอาทิตย์นี้จะเกิดอุบัติเหตุ เราจะโฟกัสและระวังเรื่องอุบัติเหตุเป็นพิเศษ จนกระทั่งการเตะโต๊ะเบา ๆ ที่ปกติไม่นับเป็นอุบัติเหตุ ก็จะถูกนับเป็นอุบัติเหตุด้วย ท่านเน้นว่านี่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจมากกว่าดังนั้นการเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องโชคลาง จะช่วยให้เรา ปรับสภาวะจิตใจให้เป็นปกติ และการเชื่อตาม ๆ กันโดยไม่ตั้งคำถาม ทำให้เกิดเป็น ขนบธรรมเนียม ที่แพร่หลาย (เช่น การบวงสรวง หรือการแก้ชง) นั่นเองต้นกำเนิดของการโกหก เราถูกฝึกให้ซ่อนความรู้สึกมาตั้งแต่เด็กอ.ตฤณห์ อธิบายถึงการกำเนิดของพฤติกรรมการโกหกว่า เราเป็นคนสอนให้ลูกชอบโกหกเอง ในทางธรรมชาติ เด็กจะมีอารมณ์ไม่กี่อย่าง เช่น ร้องไห้ หัวเราะ โกรธ แต่เมื่อเด็กร้องไห้ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไม่ปล่อยให้เด็กร้องจนสุดอารมณ์ แต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กเงียบ เช่น การเปิดการ์ตูน, เอาขนมให้, หรือขู่ด้วยเรื่องต่าง ๆเมื่อเด็กเรียนรู้ว่าเวลาที่เขาแสดงอารมณ์จริง ผู้ปกครองจะแสดงความไม่พอใจ เด็กจึงเรียนรู้ที่จะ เก็บอารมณ์และแสดงอย่างอื่นแทน นี่คือขั้นตอนแรกของการฝึกโกหก เช่นเดียวกับการกลัวผีหรือวิญญาณ ซึ่งท่านเชื่อว่าความกลัวเหล่านี้ถูก "สร้างขึ้นโดยผู้ใหญ่" เพื่อเป็นกุศโลบายให้เด็กกลัวความมืดและรีบกลับบ้านดังนั้นการเข้าใจที่มาของพฤติกรรมตนเอง (เช่น การโกหกหรือการเก็บอารมณ์) เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มนุษย์ตามธรรมชาติกลัวสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้เมื่อความอยุติธรรมนำไปสู่กฎหมาย พร้อมบทเรียนจากยุคล่าแม่มดอ.ตฤณห์ เชื่อมโยงความกลัวเข้ากับรากฐานของสังคม โดยชี้ว่าเมื่อมนุษย์หาคำตอบไม่ได้เกี่ยวกับภัยพิบัติหรือความตาย ศาสนจักร จึงเข้ามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและโยนความผิดให้กับเรื่องลี้ลับ เช่น แม่มดหรือซาตานท่านใช้ประวัติศาสตร์ของการล่าแม่มดมาอธิบายถึงความอยุติธรรมที่เป็น ต้นกำเนิดของการกำเนิดขึ้นมาของกฎหมายและอาชญาวิทยา ในกระบวนการพิสูจน์ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดนั้น เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เช่น1.การชั่งน้ำหนัก หากผู้ต้องสงสัยบริสุทธิ์ จะต้องเบากว่าขน นก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเป้าหมายคือการหาแพะมารับโทษ2.การถ่วงน้ำ จับผู้ต้องสงสัยมัดถ่วงน้ำ หากใครสามารถรอดขึ้นมาได้ ถือว่าคนนั้นไม่ใช่คน (เป็นแม่มด) และจะถูกจับขึ้นมาเผาทั้งเป็น ส่วนคนที่จมก็จะจมไปเลย สรุปคือ ไม่มีใครรอดอยู่ดีซึ่งความอยุติธรรมในอดีตสอนให้เราตระหนักถึงความจำเป็นของการมีหลักเหตุผลและความยุติธรรม ในการดำรงชีวิต การเข้าใจรากฐานของสังคมช่วยให้เราตระหนักว่า มนุษย์มีความซับซ้อนและมีชั้นเชิงระดับที่แตกต่างหลากหลายมาก ซึ่งไม่ใช่แค่รหัส 01100 เหมือนระบบ AIเหยื่อวิทยาและภัยจากลัทธิ ทำไมคนเปราะบางถึงตกเป็นเป้าหมายอ.ตฤณห์ อธิบายว่า กลุ่มคนที่ถูกชักจูงเข้าสู่ลัทธิได้ง่ายมักมี สภาวะจิตใจเปราะบาง อ่อนแอ และต้องการที่พึ่ง ซึ่งไม่จำกัดว่าจะเป็นคนรวยหรือจน วิชาเหยื่อวิทยา (Victimology) ได้จำแนกประเภทของเหยื่อเหล่านี้ไว้ เช่น คนอกหัก, คนสติไม่สมประกอบ, คนล้มละลาย, ผู้หญิง, เด็ก, หรือคนชราอ.ตฤณห์เตือนว่า สถานที่ปฏิบัติธรรมมักเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะผู้ที่มาแสวงหาความสงบส่วนใหญ่เป็นคนที่มีทุกข์ (เช่น สูญเสียคนรักหรือล้มละลาย) และมิจฉาชีพมักจะไปล่อลวงคนจากสถานที่เหล่านี้ สำหรับคนที่หลงเชื่อลัทธิอย่างหน้ามืดตามัวจนถึงขั้นขโมยของไปถวายวัด การช่วยทำได้ยาก และต้องได้รับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ การบำบัดต้องเริ่มจากการไม่ให้เข้าถึงเครื่องมือสื่อสารที่พาไปสู่วงจรนั้นได้ดังนั้นหากเรามีอาการที่น่าสงสัย เช่น รู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ, นอนหลับมากไป/น้อยไป, หรือน้ำหนักขึ้นลงเกิน 5 กิโลกรัม ควรหาผู้เชี่ยวชาญปรึกษา อย่าพยายามวินิจฉัยโรคเองทางอินเทอร์เน็ต โดยการเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ควรผ่านการตั้งคำถาม เช่น เรื่องมนุษย์ต่างดาวที่อ้างว่าโทรคุยได้หรือใช้ Line ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลยรักตัวเองคือเกราะป้องกัน กฎเหล็กสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นพิษในเรื่องความสัมพันธ์ อ.ตฤณห์ แนะนำว่า ไม่ควรใช้ทักษะการจับโกหกเพื่อ "ทนอยู่" กับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่ควร รักตัวเอง และให้เกียรติตัวเองมากๆ หากเรามีศักดิ์ศรีและให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่อถูกไม่ให้เกียรติแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถเดินหน้าได้ไวอ.ตฤณห์ เน้นว่า ทุกความสัมพันธ์ต้องมีกฎการอยู่ร่วมกัน เพราะคนสองคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทำตามกฎที่ตกลงกันได้ แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ให้คุณค่ากับชีวิตคู่เท่ากันเรื่องความขี้หึง คนที่ขี้หึงมักเป็นคนที่มี self-esteem ต่ำ (ไม่มั่นใจในตัวเอง) การหึงหวงถึงขั้นรุนแรงที่ทำลายร่างกายหรือจิตใจไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ หากมีปัญหานี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือจิตแพทย์ และการบำบัดต้องทำทั้งคู่ดังนั้นพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นพิษ (Toxic) ในบ้าน เช่น ความรุนแรงทางคำพูด, การด่ากัน, หรือแม้แต่ "การเงียบ" ไม่เคลียร์ปัญหา ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่เป็นพิษ และความรักที่เราเคยรับรู้จากครอบครัว (เช่น พ่อเมาเหล้าซ้อมแม่) อาจฝังอยู่ในหัว ทำให้เรามองว่าความรุนแรงบางรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในความสัมพันธ์สติและวุฒิภาวะทางอารมณ์ การอยู่รอดในสังคมที่มีคนป่วยทางจิต 20%อ.ตฤณห์วิเคราะห์ว่า ในสังคมไทยมีผู้ที่มีปัญหาทางจิตถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้น การจัดการอารมณ์และวุฒิภาวะของตนเองจึงเป็นทักษะสำคัญท่านกล่าวว่าเราสามารถ อนุญาตให้ตัวเองมีความอ่อนแอได้ เพราะไม่มีใครเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญคือวิธีที่เราจะดูแลความอ่อนแอนั้น และวิธีรับมือกับสถานการณ์ ท่านแนะนำว่า "สติ" เป็นยาที่ดีที่สุด การจัดการกับความโกรธนั้นขึ้นอยู่กับ "วุฒิภาวะทางอารมณ์" เช่น การขับรถที่โดนปาดหน้า หากเราด่าในรถแล้วจบ ก็ถือเป็นการระบายอารมณ์ แต่ถ้าเริ่มเปิดกระจกด่า หรือขับรถปาดคืนเพื่อสู้กัน ถือเป็นการขาดวุฒิภาวะการจัดการเหยื่อที่ถูกสต๊อกเกอร์ หากสงสัยว่าถูกสะกดรอยตาม ให้ทดสอบโดยการเดินเลี้ยวขวาหรือซ้าย 3 ครั้ง เพื่อให้กลับมาที่เดิม หากเขายังตามอยู่ให้เก็บหลักฐานและแจ้งความทันทีเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้เส้นทางชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ผู้ตีความกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ ‘พอดีคำ’ สู่ภาพจำ ‘ทนายโซเชียล’

21 ต.ค. 2025

เรียนรู้เส้นทางชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ผู้ตีความกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ ‘พอดีคำ’ สู่ภาพจำ ‘ทนายโซเชียล’

“กฎหมายมันต้องแก้ตลอดเวลา ดังนั้นเราหยุดอ่านหนังสือไม่ได้ โดยเฉพาะนักกฎหมายต้องเรียนรู้ และต้องอัปเดตกฎหมายอยู่บ่อย ๆ และเราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เราทุกคนจำเป็นต้องรู้กฎหมาย”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไทย ที่ได้ให้ความรู้ และอธิบายประเด็นทางกฎหมายที่ซับซ้อน และเป็นที่สนใจของสังคมในหลากหลายหัวข้อ เช่นกฎหมายครอบครัว(การฟ้องชู้ สินสมรส),กฎหมายอาญา(การหมิ่นประมาท การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ),ความเข้าใจผิดทางกฎหมาย(การอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย), รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวในการเป็นทนายความและการทำคดีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงการเปลี่ยนความฝันจากการเป็นหมอมาสู่อาชีพทนายความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของภาษาและข้อกฎหมายที่ต้องตีความอย่างละเอียดถี่ถ้วนในคดีข่มขืน นอกจากอาชีพทนายแล้ว ทนายแก้วยังกล่าวถึงธุรกิจส่วนตัวคือร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้วซึ่งมีถึง 27 สาขา และเรื่องราวในครอบครัว รวมถึงแนะนำประชาชนทั่วไปในการเลือกทนายความอีกด้วย เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้ตั้งใจ จากฝันอยากเป็นหมอ สู่ทนายความที่ชื่นชอบกฎหมายทนายแก้วเล่าว่าในวัยเด็ก และช่วงแรกของการศึกษา ท่านมีความฝันที่จะเป็น คุณหมอ เนื่องจากเรียนสายวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เมื่อการสอบเข้าไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ จึงได้ตัดสินใจพัก และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อได้นั่งฟังวิชากฎหมาย โดยเฉพาะวิชากฎหมายอาญา ที่อาจารย์ได้สอนเรื่องการข่มขืนกระทำชำเรา ท่านรู้สึกทึ่งในภาษา และถ้อยคำของกฎหมายที่ต้องใช้ความชัดเจนและสิ้นสงสัยอย่างมาก ทนายแก้วชื่นชมว่า กฎหมายมีความมหัศจรรย์และมีเสน่ห์ ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากที่เคยอยากเป็นหมอ มาเป็นนักกฎหมายอย่างจริงจังจากเรื่องราวพาร์ทนี้จะเห็นว่า บางครั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเราเปิดใจค้นพบ “เสน่ห์” ในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และความหลงใหลนั้นก็กลายเป็นแรงผลักดันให้เราประสบความสำเร็จในที่สุดปริญญาเอกและเนติบัณฑิต เส้นทางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตหลังจากค้นพบความหลงใหลในกฎหมาย ทนายแก้วได้ทุ่มเทอย่างหนัก โดยท่านระบุว่าได้ศึกษาด้านกฎหมายโดยตรงในทุกระดับตั้งแต่ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกด้านกฎหมาย นอกจากนี้ ยังได้เรียนเสริมจนจบ เนติบัณฑิต อีกด้วยท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกฎหมายมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่เป็นนักเรียนกฎหมาย ท่านต้องอ่านหนังสือ และท่องกฎหมาย อย่างหนักถึงวันละ 8-9 ชั่วโมง ท่านมองว่านักกฎหมายที่ดีต้องมีความเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง และต้องติดตามความเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงของหลักฐานทางกฎหมาย เช่น ปัจจุบันข้อความจากการแชทไลน์สามารถใช้ฟ้องร้องได้ซึ่งความรู้ในวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่ง หากต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราต้องทุ่มเทให้กับการอ่านและการทบทวนอยู่เสมอ เพราะกฎหมายนั้น "ต้องแก้ตลอดเวลา""ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้ว” ทนายความที่มาพร้อมการเป็นนักธุรกิจ 27 สาขานอกเหนือจากการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่มักปรากฏตัวในรายการ "โหนกระแส" และเชี่ยวชาญคดีสังคม (เช่น พินัยกรรม มรดก กฎหมายครอบครัว และกฎหมายแพ่ง) ทนายแก้วยังเป็นนักธุรกิจด้วย โดยเป็นเจ้าของร้าน ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้ว ซึ่งมีมากถึง 27 สาขา ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากความชอบส่วนตัวในการทานเป็ดพะโล้ที่คุณแม่ชอบซื้อมาให้ตั้งแต่เด็กนั่นเองเดิมพันชีวิตเพื่อชาวบ้าน สู่คดีที่ทนายแก้วประทับใจที่ได้ทำหนึ่งในภารกิจที่ทนายแก้วภาคภูมิใจที่สุดคือการทำงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยไม่หวังผลตอบแทน ในปี 2564 ท่านได้รับมอบหมายจากสภาทนายความให้เป็นหัวหน้าชุดดูแลช่วยเหลือชาวบ้านที่ ต.นาเคียน และ ต.นาซราย จ.นครศรีธรรมราช ในคดีบ่อขยะขนาดใหญ่ บ่อขยะดังกล่าวมีขนาดเทียบเท่า 6 สนามฟุตบอล และกองสูงถึง 10 ชั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและนาข้าวของชาวบ้านมากว่า 10 ปี คดีนี้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลล้วน ๆ และมีการโทรมาข่มขู่ แต่ท่านก็เดินหน้าฟ้องหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถึง 14 หน่วยงาน ในที่สุด ศาลปกครองกลางได้พิพากษาให้ชาวบ้านชนะคดี แม้ว่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับจากสภาทนายความจะน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเห็นรอยยิ้มของชาวบ้าน การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลหรือความอยุติธรรม เป็นความภาคภูมิใจที่เหนือกว่าผลตอบแทนทางวัตถุแสงสว่างในความมืด บทบาทของทนายความยุคใหม่ทนายแก้วยังได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของนักกฎหมายและประชาชน ไว้ดังนี้1.การช่วยบรรเทาความทุกข์ ท่านเน้นย้ำว่าผู้ที่ถูกฟ้องหรือตกเป็นจำเลยจะรู้สึกเหมือน "ไฟเผาทรวง" คือมีความทุกข์ทรมานใจและกระวนกระวายอย่างมาก ท่านจึงฝากถึงนักกฎหมายว่า หากมีความรู้ก็ควรเร่งช่วยตอบและอธิบายแก่ชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาคลายความกังวลและได้หลับสบาย2.สิทธิของจำเลย ท่านอธิบายถึงหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญว่า ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษา ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ การที่สื่อมักเบลอใบหน้าผู้ต้องหาก็เป็นไปตามสิทธินี้3.หลักการทำงานของทนายความ ทนายความมีหน้าที่ให้ข้อดีข้อเสียแก่จำเลย เช่น การแนะนำให้รับสารภาพเพื่อรับโทษที่เบาลง หรือการช่วยเขียนฎีกา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องช่วยให้จำเลยหลุดพ้นจากคดีเสมอไป4.ประชาชนควรรู้กฎหมาย กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลอ้างว่า "ไม่รู้กฎหมาย" ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงควรมีความรู้พื้นฐานทางกฎหมายติดตัวไว้บ้าง เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้กระทำความผิดในช่วงท้าย ทนายแก้ว ยังได้ฝากข้อคิดแรงบันดาลใจไว้ว่า "เราทำความดีต่อไปเถอะ อย่าไปท้อแท้" ในฐานะพลเมืองในสังคม เราต้องมีความเอื้อเฟื้อ และการใช้ความรู้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของนักกฎหมายเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดแรงบันดาลใจการทำเพลงของ “ตู่ ภพธร” พร้อมวิธีเลี้ยงลูกแบบ 'ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ' ที่เลือกสอนลูกในช่วงเวลากลางคืน

14 ต.ค. 2025

ถอดแรงบันดาลใจการทำเพลงของ “ตู่ ภพธร” พร้อมวิธีเลี้ยงลูกแบบ 'ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ' ที่เลือกสอนลูกในช่วงเวลากลางคืน

“กับลูก เราเล่นกันแบบเป็นเพื่อน แต่สอนแบบพ่อแม่ เราเลี้ยงลูกโดยเน้นเหตุผล และพยายามคุยกับเขาเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เราจะอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ถึงทำได้หรือทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่สั่งห้ามเฉย ๆ โดยไม่ให้เหตุผล เช่น หากลูกอยากเล่นอะไรที่เสี่ยง เราก็จะสอนวิธีที่ปลอดภัยและให้ระวัง แทนที่จะห้ามไปเลย เพราะผมไม่ชอบให้เด็กถูกห้ามจนไม่กล้าทำไปเลยโดยการขู่ และรอสอนลูกในช่วงที่คิดว่ามีสติ สมาธิที่กำลังดี โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนก่อนนอน เพราะลูกจะสงบที่สุด และไม่มานั่งเถียง ทำให้รับฟังเรื่องราวที่ต้องการสื่อสารได้ดี”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้”ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ตู่ ภพธร” นักร้องและนักแสดงชาวไทย ที่ได้แชร์เรื่องราวที่มาของภาพลักษณ์ในปัจจุบันที่ดูสนุกสนานขึ้น เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์อบอุ่นในอดีต จากนั้นได้กล่าวถึง ภูมิหลังในวัยเด็ก รวมถึงการเริ่มต้นเรียนดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น 12 ปีที่สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาเริ่มอาชีพเป็น นักร้องตามร้านอาหารไทย ก่อนจะได้รับโอกาสกลับมาทำงานเพลงในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึง การรับมือกับความเครียด ในชีวิต และ การเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองคน ในสไตล์ที่เน้นการใช้เหตุผลและความเข้าใจ รวมถึงผลงานการแสดง และแผนงานเพลงที่จะมีขึ้นในปีหน้า เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการเสียงดนตรีจากวันวาน...สู่การค้นหาตัวเองในต่างแดนย้อนไปเมื่อวัยเด็ก ตู่ ภพธ เริ่มต้นเรียนคีย์บอร์ดตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ที่สยามกลการ ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งกาจในการเล่น แต่ก็ถือเป็นการสร้างพื้นฐานด้านดนตรีและการฟังที่ดี ครอบครัวของเขา โดยเฉพาะคุณแม่ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เขาได้เรียนรู้ดนตรี ในวัยเด็ก เขาค้นพบว่าตนเองชอบการร้องเพลง และเริ่มร้องเพลงต่อหน้าผู้คนตามงานญาติหรือพิธีแต่งงาน โดยมักจะได้รับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นค่าตอบแทน ซึ่งปลูกฝังความคิดที่ว่า "ร้องเพลงต้องได้เงิน"เมื่ออายุ 13 ปี ตู่ ภพธร ได้ย้ายไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณแม่และพี่สาว เป็นเวลา 12 ปี การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากแยกทางกับคุณพ่อ แม้ว่าคุณตู่จะมีความรู้สึก “อยากไป”เพราะมองว่าอเมริกาเป็นแหล่งรวมของเล่นและสิ่งที่เห็นในหนัง แต่เมื่อไปถึง เขากลับรู้สึก “เหงาสุด ๆ” เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและแตกต่างจากเมืองไทย เขาต้องใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตัวในช่วงที่อยู่ที่นั่น เขาได้เรียนรู้การทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เช่น ช่วยคุณแม่ทำงานที่ร้านอาหารไทย เก็บโต๊ะ หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟในช่วงปิดเทอม เพื่อหาเงินค่าขนมจากชีวิตพาร์ทนี้ ทำให้เราเรียนรู้ว่า รากฐานสำคัญเสมอ การเรียนรู้พื้นฐานใด ๆ ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือทักษะอื่น ๆ จะเป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสในอนาคต และ ความเหงาคือส่วนหนึ่งของการเติบโต การเผชิญหน้ากับความเหงาและความแตกต่างในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เป็นบททดสอบที่ทำให้เกิดการปรับตัวและเรียนรู้จากนักร้องร้านอาหาร สู่จุดหักเหที่ชวนให้คิดถึงงานเสิร์ฟหลังเรียนจบหลักสูตร Certificate Course ด้าน Entertainment ในอเมริกา ตู่รู้สึกเคว้งคว้างและไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อหรือหางาน แต่ชีวิตนักร้องก็เริ่มต้นขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเขาไปเที่ยวร้านอาหารไทยกับเพื่อน และถูกชวนให้ไปร้องเพลงกับคาราโอเกะในร้าน เขาได้รับโอกาสเป็นนักร้องในร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ และร้องเพลงอยู่ 5 ปีตู่ได้พบกับ พี่บอย โกสิยพงษ์ ผ่านการร้องประสานเสียงให้กับ พี่นภ พรชำนิ และพี่บอย ในคอนเสิร์ตที่อเมริกา พี่บอยชักชวนให้เขากลับมาร้องเพลง "จะทำยังไง" ในอัลบั้ม RB Boy 11 ซึ่งเป็นเพลงแรกในฐานะนักร้องอาชีพของเขาในไทยในช่วงแรกของการทำงานกับค่าย LOVEiS ที่เป็นค่ายอินดี้ คุณตู่ต้องดูแลตัวเองทั้งเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เนื่องจากพี่บอยไม่เชื่อเรื่องช่างแต่งหน้า เขามักถูกแซวว่าดูเหมือนช่างเทคนิคหลังเวที เพราะหน้ามัน ทำให้ต้องไปซื้อแป้งมาทาเอง และเริ่มเรียนรู้การแต่งหน้าด้วยตัวเองหลังจากช่วงโปรโมทเพลงจบลง งานของตู่ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เขาเคยรู้สึกท้อแท้มาก จนคิดจะกลับอเมริกาไปทำงานเสิร์ฟเหมือนเดิมเพื่อประทังชีวิต เขาต้องขายทรัพย์สินชิ้นเดียวที่มีคือรถยนต์ที่แม่ซื้อให้ ซึ่งกลายเป็นเงินสำรองที่ค่อย ๆ หมดไป ในช่วงที่ไม่มีงานทำและเหงาจัด เขาใช้การ "เดิน" ทางไกล (เช่น เดินจาก BTS พระโขนงไปถึงแยกคลองตัน) เพื่อให้ตัวเองเหนื่อยจะได้ไม่คิดมาก และกลับไปพักผ่อนแม้จะโดนดูถูกหรือขาดความมั่นใจในเรื่องที่ไม่ถนัด (เช่น การดูแลภาพลักษณ์) ก็ต้องพยายามหาทางพัฒนาตัวเองและทำสิ่งที่จำเป็น เมื่อเผชิญกับช่วงตกต่ำ การหาทางออกเพื่อปลดปล่อยอารมณ์หรือทำให้ตัวเอง "หายเหนื่อย" (เช่น การเดิน) เป็นวิธีที่ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงยากลำบากไปได้การจัดการอารมณ์และการเติบโตบนเส้นทางศิลปินคุณตู่ยอมรับว่าในอดีตเขาเป็นคน "ใจร้อน" แต่ ณ ปัจจุบัน เขาพยายามทำตัวเองให้ "ใจเย็น" มากขึ้น เพราะต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก และตระหนักว่าความใจเย็นช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุด โดยวิธีการจัดการความเครียดและความโกรธของเขาคือ การหายใจลึก ๆ (Bubble Breathing) ที่เขามักสอนลูก และนำมาใช้กับตัวเองเพื่อให้กลับมาอยู่กับลมหายใจและสมาธิ รวมไปถึง การปล่อยวางและเตือนตัวเอง พยายามปล่อยให้เร็วที่สุดและคิดอยู่เสมอว่าความโมโหนั้น "ไม่คุ้มกัน" เพราะมันส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว และรู้จัก การรอเวลา เขาเชื่อว่าปัญหาหลายเรื่องเมื่อเวลาผ่านไปมันจะดูไม่ใหญ่เท่าไหร่นอกจากการร้องเพลงแล้ว ตู่ยังได้เข้าสู่วงการแสดงจากการชักชวนให้ไปแคสติ้งละครเวทีเรื่องแรกคือ น้ำใสใจจริง The Musical ซึ่งเขาพบว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากแต่สนุก และได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และตู่เคยได้รับบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูด Thirteen Lives ที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียในช่วงโควิด แม้จะเป็นงานเล็ก แต่เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้ลอง เพราะได้เห็นวิธีการทำงานโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่ ได้ฝึกดำน้ำเพื่อเข้าฉาก และได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้กำกับและนักแสดงที่ชื่นชอบวินาทีประทับใจที่ไม่ลืม ช่วงที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียนั้นตรงกับช่วงที่ภรรยา (คุณนุช) กำลังจะคลอดลูกคนที่ 2 เขาได้ตัดสินใจ แอบนำโทรศัพท์มือถือเข้ากองถ่าย เพื่อ Face Time คุยกับภรรยาในขณะที่กำลังคลอด โดยซ่อนโทรศัพท์ไว้หลังรูปจ่าแซม ซึ่งเป็น Prop ที่ต้องถือเข้าฉากพอดี เหตุการณ์นี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจและได้เห็นความเข้าใจกันในครอบครัวพาร์ทนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า หากได้ทำสิ่งที่รัก (เช่น การแสดงในหนังที่ชื่นชอบ) แม้จะเป็นบทบาทเล็ก ๆ ก็ยังคุ้มค่า เพราะได้เรียนรู้ ได้เห็นวิธีการทำงานที่ยิ่งใหญ่ และความใจร้อนมีแต่เสีย การฝึกตัวเองให้ใจเย็น การรู้จักปล่อยวาง และการเตือนตนเองอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตโดยเฉพาะเมื่อมีครอบครัวพ่อผู้ใช้เหตุผล และรักที่ต้องเติมเต็มตู่และภรรยาเลี้ยงลูกสาวสองคนด้วยวิธีการแบบสมัยใหม่ โดยเน้นการใช้ "เหตุผล" พยายามคุย และอธิบายลูกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และจะไม่ห้ามโดยไม่มีเหตุผล โดยตู่จะพยายามดุด้วยความเฟิร์มแบบไม่ใช้อารมณ์และมีเทคนิคเฉพาะที่เรียนรู้มาจากภรรยาคือการ สอนลูกในช่วงกลางคืนก่อนนอน เพราะเป็นช่วงที่ลูกสงบที่สุด และจะตั้งใจฟังตู่ยอมรับว่าหลังจากมีลูกสองคนแล้ว เวลาระหว่างเขากับภรรยาจะน้อยลง ทุกอย่างจะนึกถึงแต่ลูก ทำให้ต้องคอย เตือนตัวเองให้เติมความหวานให้กัน เช่น การหาเวลากินข้าวด้วยกัน การกอด หรือการหอมกันเมื่อนึกขึ้นได้ แม้เขาจะไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกมากนัก แต่ก็เคยเซอร์ไพรส์ภรรยาด้วยการทำเค้กให้ตู่มองว่า ลูกและครอบครัวคือความสุขและเป็นเหตุผลที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ เขาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความสุขกับการเลี้ยงลูก และใช้เวลากับช่วงวัยที่ลูกยังน่ารัก มาออดอ้อน เพราะช่วงเวลานั้นสั้นมาก (ก่อนอายุ 10-15 ปี)การสอนลูกด้วยเหตุผล การให้เกียรติพวกเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการสื่อสาร (เช่น ก่อนนอน) จะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพ และในชีวิตคู่ที่มีลูก การเติมความหวาน และการใช้เวลาร่วมกันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง "เตือนตัวเองให้ทำ" เพราะเป็นสิ่งที่สามารถลืมได้ง่ายข้อคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ และเส้นทางในอนาคตสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิง ตู่เน้นย้ำว่า "ฝึกฝนมาให้พร้อมที่สุด" ก่อนที่โอกาสจะมาถึง เขาแนะนำให้ใช้ช่องทางออนไลน์ในการเรียนรู้ (เช่น Masterclass) และใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้ตัวเอง เพราะปัจจุบันการหานักแสดงหรือนักร้องใหม่ ๆ อาจไม่ได้มาจากการแคสติ้งทั่วไป แต่มาจากช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องมีความขยัน มีวินัย และคิดอย่างมีกลยุทธ์ตู่ยืนยันว่าในปี 2026 จะมีผลงานเพลงใหม่ออกมาปล่อยเป็นซิงเกิล และวางแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตหลังจากนั้น แม้ว่าชีวิตส่วนตัวจะมีความสุขและอบอุ่น แต่ตู่ยังคงชอบที่จะร้องเพลงเศร้า เพราะเชื่อว่าเพลงเศร้าช่วยคนฟังได้ เป็นเหมือนขั้นตอนในการเยียวยาตัวเอง โดยการเศร้าให้สุดแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เขาเชื่อว่าคนเล่าเรื่องไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องของตัวเองเสมอไปเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดบทเรียนรับแรงบันดาลใจจาก “จูน กษมา” และ “เปิ้ล นาคร” นักธุรกิจที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และปรัชญาครอบครัวแบบออร์แกนิค

07 ต.ค. 2025

ถอดบทเรียนรับแรงบันดาลใจจาก “จูน กษมา” และ “เปิ้ล นาคร” นักธุรกิจที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และปรัชญาครอบครัวแบบออร์แกนิค

“ณ วันนี้จูนมองว่า เราไม่สามารถรอให้ลูกค้าเดินมาหาเราได้แล้ว เราต้องออกไปเร่ ต้องออกไปบอก ต้องออกไปเล่า อย่างเรามีสื่อเราก็ต้องเล่าทุกวัน มีโปรโมชั่นตลอด เราจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ถ้าอยู่นิ่งเราก็ไม่ได้เงิน” – จูน กษมา“สำหรับคนที่ทำมาค้าขาย เปิ้ลว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณภาพของสินค้า เพราะไม่ว่าจะโปรโมทดีแค่ไหน แต่งร้านดีแค่ไหน แต่สินค้าไม่ดีไม่มีคุณภาพ มันก็ขายไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นคุณภาพสินค้าสำคัญมาก” - เปิ้ล นาครที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่“ดีเจเป้”และ“ดีเจแคน”ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “จูน กษมา” และ “เปิ้ล นาคร” ที่ได้มาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจแกงไก่ออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงภายใต้ชื่อแบรนด์"หม้อแม่จูน"บทสนทนาครอบคลุมถึงแรงบันดาลใจในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งรวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของคุณจูนเกี่ยวกับการทำบุญและการสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็น การสนทนายังกล่าวถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นคุณภาพของสินค้า และการตลาดแบบปากต่อปาก นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและการเลี้ยงลูกทั้งสี่คนในแบบที่ไม่ยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติและเน้นความเข้าใจกันระหว่างคู่รักและลูก ๆ เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการธุรกิจจากแรงบันดาลใจ เมื่อเสียงเพรียกจาก "บุญ" นำไปสู่ "หม้อแม่จูน"จูน กษมา เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในหลายด้าน โดยเฉพาะธุรกิจล่าสุดที่กลายเป็นกระแสโด่งดังในโซเชียลมีเดียในระดับประเทศ นั่นคือ "หม้อแม่จูน"โดยชื่อ "หม้อแม่จูน" นี้มาจากแนวคิดเริ่มต้นที่ต้องการใช้ชื่อ "ครัวแม่จูน" แต่เมื่อผู้ออกแบบส่งโลโก้ที่เป็นรูปหม้อมาให้ เปิ้ล นาคร ก็เกิดความคิดและเสนอให้เปลี่ยนเป็น "หม้อแม่จูน" โดยเขามองว่ามันหมายถึง "หม้อเมียเรา" ซึ่งฟังแล้วเป็นคำที่สวยงามและน่าสนใจมากจุดกำเนิดเมนูแกงไก่ สาเหตุที่จูนเลือกทำเมนูแกงไก่ขายนั้น มีที่มาจากการทำบุญอย่างหนัก จูนมักจะทำบุญเกี่ยวกับ ศพไร้ญาติและศพยากไร้ อยู่เสมอ และทุกครั้งที่เธอทำอาหารเลี้ยง หรือทำบุญใหญ่ เธอมักจะทำ แกงไก่สูตรของเธอ ด้วยมือของตัวเองไปให้พวกเขาได้กินจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นหลังจากการทำบุญใหญ่ในวันที่ 9 ที่มีการวางอาหารเป็นพัน ๆ ชุด ในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 10) จูนก็มี "แวบ" หรือรู้สึกว่าต้องทำแกงไก่ขาย แม้ว่าเปิ้ล นาคร จะไม่เชื่อในตอนแรก และตั้งคำถามเพราะจูนทำธุรกิจอื่นอยู่แล้ว จูนยืนยันว่ามีความเชื่อในสิ่งที่มาบอกเคล็ดลับความอร่อยและสูตรจากบ้านเกิด แกงไก่ที่ทำขายนั้นไม่ใช่ "สูตรผีบอก" แต่เป็น สูตรที่คุณแม่ทำมาตั้งแต่จูนยังเด็ก เมื่อตัดสินใจทำธุรกิจนี้ จูนจึงเรียกคุณแม่จากจังหวัดตราดขึ้นมาพร้อมกับพริกแกง เพื่อให้รสชาติเป็นสูตรดั้งเดิมจาก 50 สู่หลักพัน การเริ่มต้นธุรกิจนั้นเริ่มจากการทดลองทำ 50 ชุดแรกเพื่อแจกเพื่อน วันที่สองต้องทำ 100 หม้อ เพราะมีคนสั่งซื้อ และเพียง 4 เดือน ธุรกิจก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันผลิตได้ในหลักพันชุดต่อวันปรัชญาธุรกิจ คุณภาพคือหัวใจ และความใจถึงคือการตลาดจูน กษมา และ เปิ้ล นาคร มีพื้นฐานการทำธุรกิจอาหารอยู่แล้วจากการเคยเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่มาก่อน แต่สำหรับ "หม้อแม่จูน" พวกเขามีหลักคิดที่เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการว่า1. คุณภาพสินค้าต้องมาก่อน (The Product is King) จูนเน้นย้ำว่าสิ่งแรกที่นำไปสู่ความสำเร็จในการค้าขายคือ คุณภาพของสินค้า (Product Quality) ไม่ว่าการตลาดจะดี โลเคชั่นจะสวยงาม หรือโปรโมทหนักขนาดไหน หากสินค้าไม่ดีหรือไม่อร่อย สุดท้ายก็จะดับไป ดังนั้น ต้องควบคุมคุณภาพสุดเข้มข้น ธุรกิจนี้ยังคง ทำมือ โดยใช้คนทำ เครื่องแกงต้องโขลกเองตามสูตร และที่สำคัญคือใช้น้ำ กะทิสด ไม่ใช่กะทิกล่อง คุณภาพถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยคุณแม่ ซึ่งพร้อมจะทิ้งกะทิหรือวัตถุดิบทั้งหมด หากมีกลิ่นไหม้ของกะลาเล็กน้อย หรือไก่มีขนาดเล็กเกินไป เพื่อรักษามาตรฐาน2. การสื่อสารและกลยุทธ์ออนไลน์ จูนทำธุรกิจแบบ ออร์แกนิคล้วน ๆ และเน้นการ เล่นกับสื่อวันต่อวัน พวกเขาต้องสื่อสารและเล่าเรื่องอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถ "อยู่ นิ่ง ๆ" ได้ ต้องมีการเปลี่ยนโปรโมชั่นหรือกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง3. ความคุ้มค่าและใจถึงกับลูกค้า คอนเซ็ปต์แรกเริ่มของจูนคือ "ใส่ไปเยอะ ๆ ให้เขาไปเยอะ ๆ" หม้อแม่จูนหนึ่งถุงมีน้ำหนักถึง 2 กิโลกรัม จูนนำค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเสียไปกับการเช่าหน้าร้าน มาเพิ่มเป็นปริมาณไก่และวัตถุดิบให้ลูกค้าแทน ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ามาก4. รับฟังแต่คงเอกลักษณ์ จูนตระหนักดีว่าอาหารเป็นเรื่องยาก เพราะร้อยคนก็ร้อยลิ้น แม้จะพร้อมปรับตัวตามคำติชม (เช่น เผ็ดไป หรือเค็มไป) แต่สุดท้ายแล้ว รสชาติหลักจะต้องเป็น "รสจูน" หรือรสชาติของแกงไก่แบบคนจังหวัดตราด ซึ่งเป็นรสชาติตะวันออกที่เธอต้องการให้ทุกคนได้ลอง5. เรื่องเล่าที่สร้างความประทับใจ จูนถือว่าลูกค้าเป็นหลัก และรู้สึกดีมากเมื่อได้ดูแลลูกค้า มีเรื่องราวความประทับใจที่ จูนและเปิ้ลต้องไปส่งแกงไก่ให้คุณป้าที่เป็น มะเร็งระยะสุดท้าย กำลังจะไปให้คีโม คุณป้ากลัวจะตายก่อนที่จะได้กินแกงที่สั่งไป เมื่อได้รับแกงไก่ คุณป้าถึงกับร้องไห้และบอกว่า "ถ้าตายไปในตอนนี้ ป้าก็ตายตาหลับแล้ว"ชีวิตครอบครัวและการเลี้ยงดู ปลูกฝังความเป็นพ่อแม่ด้วย "วิถีออร์แกนิค"จูนและเปิ้ลมีลูกด้วยกัน 4 คน โดยลูก ๆ แบ่งเป็นสองคู่คือ คู่โต (14-15 ปี) และคู่เล็ก (9-10 ปี) การมีลูก 4 คนไม่ได้เป็นไปตามแผน แต่ส่วนหนึ่งมาจากการอยากให้มีตัวกลางไกล่เกลี่ยความทะเลาะกันของลูกสองคนแรก และความหวังที่จะได้ลูกสาวสวย ๆ เหมือนแม่วัยเด็กที่ขาด "วัฒนธรรมครอบครัว" ทั้งจูนและเปิ้ลต่างเติบโตมาแบบดูแลตัวเองตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาทั้งคู่ขาด "วัฒนธรรมของครอบครัว" ที่สืบทอดกันมา เนื่องจากพวกเขาไม่มีแบบแผน การเลี้ยงดูจึงเป็นไปตามความรู้สึก (ออร์แกนิค/ธรรมชาติ) แต่สิ่งสำคัญที่เปิ้ลเน้นย้ำคือ การทำให้ลูกมีพ่อมีแม่ อยู่ด้วยจนโต พวกเขาต้องการรักษาความอบอุ่นและความเป็นครอบครัวไว้ให้ได้นานที่สุด และพยายาม นอนด้วยกันตลอดเวลา เพื่อรักษาความใกล้ชิด แม้ลูกจะโตแล้ว (ยกเว้นลูกคนโตสุดที่แยกห้อง) ครอบครัวยังคงนอนด้วยกันบนฟูก 4 อันที่วางติดกันบนพื้น เพื่อให้ได้เล่นกันและอยู่ด้วยกันก่อนนอนกฎพื้นฐานและหลักการใช้ชีวิต จูนมีกฎที่บ้าน เช่น ผู้ชายห้ามทำร้ายผู้หญิง แต่หลักการทำโทษคือทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการใช้คำว่า "พี่ต้องเสียสละให้น้อง" เพราะการที่เกิดก่อนหลังไม่ควรทำให้สิทธิไม่เท่ากัน ส่วนเปิ้ลสอนลูกชายว่า ห้ามทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า ถ้าจะต่อยใคร ต้องต่อยกับคนที่แข็งแรงเท่ากัน หรือแข็งแรงกว่าเท่านั้น และหากชนะจะยิ่งภูมิใจการสื่อสารและกิจกรรมร่วม จูนสื่อสารพูดคุยกับลูก ทุกเรื่อง ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ลูกรู้สึกใกล้ชิด และกล้าเล่าเรื่องส่วนตัว (เช่น เรื่องผู้หญิง) ให้พ่อแม่ฟัง นอกจากนี้ กิจกรรมที่ลูก ๆ ชอบทำ (การแสดง, กีฬา, ศิลปะ, TikTok) ยังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ก็ชอบด้วย ทำให้พวกเขามีเรื่องที่คุยกันรู้เรื่องและใช้เวลาร่วมกันเสมอวิถีคู่รักที่ไม่เหมือนใคร ความไว้ใจไร้ขีดจำกัด และพลังจากการ "ทำบุญ"การบริหารเวลาแบบไม่เหนื่อย จูนรับผิดชอบธุรกิจถึง 5 อย่าง แต่เธอบอกว่าเธอไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะเธอนอนเพียงวันละ 5-6 ชั่วโมง ทำให้มีเวลาเหลือเยอะ เธอสามารถบริหารงานได้ทั้งหมดผ่านมือถือ และสั่งงานจากโทรศัพท์ โดย ใช้สามีเข้าประชุม ในการติดตามงานแทนเธอ ในขณะที่เปิ้ลนอนวันละ 8-10 ชั่วโมงเคล็ดลับความสัมพันธ์ที่ยาวนาน คือ ความไว้ใจ เปิ้ล นาคร เผยว่าสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวคือ เขาไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของจูนเลยสักอย่าง เขามีความไว้ใจสูงมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง จูนลุกขึ้นมาแต่งตัวสวยตอน 23:30 น. เพื่อออกไปเรียนคอร์สหรือพบเพื่อน แต่เปิ้ลไม่ถามอะไรเลย เพียงแค่หันมามองแล้วนอนต่อ เปิ้ลให้เหตุผลว่า จูนเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีลูก 4 คน และคบหากับนักธุรกิจที่เป็นผู้ใหญ่ ทำให้เขาเชื่อว่าจูนไม่ได้ไปทำเรื่องเสียหาย ความไว้ใจนี้ทำให้ชีวิตคู่ไม่มีการระแวงกัน ซึ่งเป็นการรักษา "สุขภาพจิต" ของทั้งคู่พลังของ "บุญ" ที่นำพาความสำเร็จเปิ้ลเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตของจูนนั้น ไม่ได้มาจากแค่การกระทำเท่านั้น แต่มาจาก "บุญ" ที่จูนทำไว้เยอะมาก โดยเฉพาะการทำบุญหนักเรื่องการบริจาคโรงศพ ซึ่งจูนทำเป็นพัน ๆ โรงแล้ว เปิ้ลมองว่าบุญนั้นเข้ามาช่วยพวกเขา และพวกเขาต้องตอบแทนบุญคุณของบุญนั้นเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1