Club Inspired Day Recap

Club Inspired Day Recap

ถอดรหัสชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ฟรัง นรีกุล” หมอ นักแสดง สู่ผู้หญิงเก่งรอบด้าน ที่กล้าเลือกทางเดินใหม่เสมอ

12 ธ.ค. 2025

ถอดรหัสชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ฟรัง นรีกุล” หมอ นักแสดง สู่ผู้หญิงเก่งรอบด้าน ที่กล้าเลือกทางเดินใหม่เสมอ

ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจพุฒ” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ฟรัง นรีกุล” นักแสดงและแพทย์ที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจหลายด้าน โดยเธอเปิดเผยว่าการเริ่มต้นธุรกิจส่วนใหญ่มักมาจากความชอบส่วนตัว แม้ว่าบางครั้งอาจขาดการวางแผนด้านการเงินหรือการตลาดในช่วงแรก โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และความอิสระในการทำงาน ด้านชีวิตส่วนตัว เธอเปิดเผยว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความรักในขณะนี้ แต่เริ่มคิดถึงการมีลูกแล้ว และการที่เธอทำงานหลายอย่างนั้น ต้องอาศัยความอึดและการจัดสรรเวลาอย่างมาก โดยมีเป้าหมายคือการมีอิสรภาพทางการเงินและสามารถเลือกทำในสิ่งที่รักได้ เรื่องราวสีสันชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการ"ความถึก" คีย์สำคัญสู่บัลลังก์คุณหมอ และนักแสดงฟรังเริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุประมาณ 16-17 ปี และเป็นที่รู้จักจากซีรีส์ Hormones แม้ว่าภาพลักษณ์ของเธอในสายตาผู้ชมจะดูเป็นนักเรียนมัธยมวัยใส แต่เบื้องหลังเธอต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนัก ในช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัวสอบเข้าแพทย์ เธอต้องทำงานหนักและอ่านหนังสืออย่าง "ถึก" โดยเลิกกองถ่ายทำเวลา 22:00 น. แล้วอ่านหนังสือต่อจนถึง 02:00 น. และต้องออกกองต่อในเช้าวันถัดไปการอยู่ในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็กช่วยสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเอง (Confidence) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เธอรู้สึกว่า "เราทำได้" เมื่อต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่งการจะประสบความสำเร็จในสาขาที่ต้องการความทุ่มเทสูงอย่างแพทยศาสตร์ ต้องอาศัยความ "ถึก" และความพยายามอย่างมาก ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากการเรียนหมอ และเมื่อเลือกที่จะทำสองทางพร้อมกัน ฟรังตระหนักว่าไม่มีใครมาเห็นใจในความเหนื่อยยากของเธอ ดังนั้น เธอจึงต้อง "เอาไปให้สุด" ในสิ่งที่เลือกทั้งสองด้าน"ไม่เสียดาย 6 ปีเรียนหมอ" เมื่อแพชชั่นธุรกิจเรียกร้องปัจจุบัน ฟรังเรียนจบแพทย์ 6 ปีแล้ว แต่ขณะนี้เธอกำลังอินกับธุรกิจมากกว่า เธอเล่าว่าตนเองโตมาในครอบครัวพ่อค้า และลึก ๆ แล้วมีความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างมาโดยตลอด แม้จะไม่ได้ทิ้งอาชีพหมอโดยสิ้นเชิง แต่เธอมองว่าประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการแพทย์สามารถนำมาต่อยอดในด้านอื่น ๆ ได้จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเธอได้ใช้ทุนและเริ่มเจอโลกแห่งความจริงของการเป็นหมอ เช่น ต้องไปอยู่ต่างจังหวัด หรือรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมชีวิตส่วนตัว การพักผ่อน หรือการนอนให้เป็นเวลาได้ ทำให้เธอต้องกลับมาทบทวนกับตัวเองว่าสามารถอยู่กับวิถีชีวิตแบบนี้ไปได้ทั้งชีวิตหรือไม่ธุรกิจแรกที่ทำอย่างจริงจังคือ แบรนด์สูทสำหรับผู้หญิง ซึ่งเริ่มจากปัญหาและความชอบส่วนตัว เนื่องจากเธอไม่สามารถหาสูทผู้หญิงที่มีดีไซน์สวยถูกใจหรือสีที่ต้องการได้เหมือนสูทของผู้ชาย เธอจึงตัดสินใจลงมือทำธุรกิจนี้เพื่อเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เก่งและทำงานได้เช่นเดียวกับผู้ชายในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปการเริ่มต้นธุรกิจที่ดีสามารถมาจาก "ปัญหา" หรือ "ความไม่สะดวก" ที่ตนเองเผชิญอยู่ แม้จะเปลี่ยนสายงาน แต่ทักษะและความรู้ที่สั่งสมมาไม่สูญเปล่า และสามารถนำมาปรับใช้หรือต่อยอดในธุรกิจใหม่ได้ และหากรู้สึกว่าเส้นทางที่เลือกยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตอย่างแท้จริง การ "explore ทางอื่น ๆ" เพื่อค้นหาสิ่งที่อินกว่าเป็นสิ่งที่ควรลองบทเรียนราคาแพง เมื่อแพชชั่นไม่เท่ากับกำไร และความสำคัญของการโฟกัสการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย ฟรังยอมรับว่าการทำธุรกิจนั้น "ยากกว่าเป็นหมออีก" ในช่วงเริ่มต้น เพราะเธอไม่มีความรู้และต้องจัดการทุกด้านเองทั้งหมด ตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงหลังบ้าน เช่น การคุยกับช่าง การจัดการภาษี และการเปิดบริษัทในช่วงแรกของแบรนด์สูท เธอหลงทางด้วยการรับตัดสูทผู้ชายเมื่อมีลูกค้าเข้ามา แต่สุดท้ายเธอตระหนักว่าต้องกลับมา "โฟกัส" ที่สูทผู้หญิงอย่างเดียว เพื่อให้แบรนด์มีภาพลักษณ์และจุดยืนที่ชัดเจนธุรกิจสมูทตี้ ที่เริ่มต้นจากความชอบอีกครั้ง กลับประสบปัญหาใหญ่คือ "มีรายได้แต่กำไรไม่ค่อยมี" เนื่องจากเธอไม่ได้เริ่มต้นจากการคำนวณความสามารถในการทำกำไร (Feasibility) หรือการทำงบประมาณ (Budgeting) เธอขยายครัวเพราะโปรตีนบอลขายดี แต่ขาดทุนทั้งหมดเพราะไม่ได้คิดเผื่อต้นทุนแฝง เช่น ค่า GP แพลตฟอร์ม และค่าส่งดังนั้นการเริ่มต้นธุรกิจควรมี "เงินสำรอง" ระดับหนึ่ง และไม่ควรไปกู้ยืมมาทำ เพราะจะช่วยลดความกดดัน ทำให้สามารถมองการเติบโตในระยะยาว (Long Term) ได้มากกว่าการเน้นยอดขายระยะสั้น ถึงแม้จะเริ่มจากความชอบได้ แต่ฟรังเรียนรู้ว่าต่อจากนี้ต้อง "ดูตลาดก่อน" และวิเคราะห์ความต้องการในตลาด (Needs Analysis) เพื่อให้ธุรกิจมีความต้องการของคนหมู่มากและเติบโตได้ง่ายขึ้นอิสรภาพคือ Key Value และการรับมือความเครียดแบบ "ช่างมัน"ปัจจุบัน ฟรังเป็นนักแสดงอิสระ ซึ่งทำให้เธอต้องจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง การเป็นนักแสดงอิสระนี้เองที่ช่วยให้เธอเข้าใจ "ภาพรวมทั้งหมด" ของการทำธุรกิจ ตั้งแต่การติดต่อลูกค้า การกำหนดเรทการ์ด รวมถึงการรู้ "มูลค่า" ของตัวเองในตลาดฟรังให้ความสำคัญกับ "อิสรภาพ" (Key Value) และตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุอิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) ในเร็ววัน โดยนิยามคำว่าเกษียณของเธอคือ การที่เราสามารถ "เลือกทำสิ่งที่ชอบได้ อยากทำก็ทำ ไม่ทำก็ไม่ต้องทำ"เมื่อเกิดเรื่องผิดพลาดหรือได้รับคอมเมนต์ที่ไม่ดี เช่น ในช่วงทำธุรกิจ เธอจะพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ลูกค้าพึงพอใจก่อน ส่วนการจัดการความเครียดส่วนตัว เธอเป็นคนไม่เครียดง่าย และใช้กลยุทธ์ "ช่างมัน" หรือตัดสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ออกไปได้อย่างรวดเร็วแม้ชีวิตจะทุ่มเทให้กับการทำงานเกือบทุกอย่าง แต่เธอยังคงพยายามรักษาสุขภาพ โดยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และการนอนหลับให้ได้ 6-7 ชั่วโมงต่อวันเธอเชื่อว่าเด็ก Gen Z มีศักยภาพสูงและเก่ง แต่พวกเขาไม่ชอบการถูกบังคับ ดังนั้น ในองค์กรของเธอจึงให้ความอิสระและพยายามหาที่ที่เหมาะสมกับคนเหล่านั้น ในอนาคต ฟรังอยากเล่นบทที่มี "ปม" หรือบทที่ท้าทายที่ชีวิตจริงไม่มีโอกาสได้ทำ และมีเป้าหมายส่วนตัวคือการมีลูก 2-3 คนก่อนอายุ 35 ปี โดยสเปกคู่ชีวิตที่ต้องการคือคนที่มีแพชชั่น เก่ง (เช่น ด้านการเงินหรือไอที) และสามารถเป็นคนที่เรานับถือได้ฟรัง นรีกุล ย้ำว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องมีชีวิตเหมือนเธอ เพราะความสุขและเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตให้มีความสุขในปัจจุบัน และพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ ควรคำนวณความเสี่ยง เตรียมเงินเก็บให้พร้อม และหากมีโอกาสเข้ามาในชีวิตก็ควร "คว้าไปเหอะ" เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะนำพาอะไรที่ดีเข้ามาบ้าง ชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด และทุกประสบการณ์จะเชื่อมโยงกันในที่สุดเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ Shortcut ของ “คุณโซอี้” จากเภสัชกรหญิง สู่ 'นางฟ้าการตลาดดิจิทัล' และชีวิตที่ไม่ยอมเป็นค่าเฉลี่ย

04 ธ.ค. 2025

เรียนรู้ Shortcut ของ “คุณโซอี้” จากเภสัชกรหญิง สู่ 'นางฟ้าการตลาดดิจิทัล' และชีวิตที่ไม่ยอมเป็นค่าเฉลี่ย

โซอี้จะพูดเสมอว่า “เราไม่เป็นค่าเฉลี่ย เราต้องเป็น TOP 5 ในสายอาชีพที่เราทำ เพราะค่าเฉลี่ยมักไม่มีคนจำ และถ้าหากเราทำเหมือนคนอื่น เราก็คือค่าเฉลี่ย ดังนั้นถ้าคุณอยากเป็น TOP 5 คุณต้องทำให้แตกต่าง และในวันนี้ในการทำธุรกิจออนไลน์ใครก็สามารถเริ่มต้นได้ เพราะธุรกิจนี้ “คนน้อย - ทุนน้อย - เวลาน้อย”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “คุณโซอี้” หรือ เภสัชกรหญิง โสภา พิมพ์สิริพาณิชย์ เป็นผู้หญิงเก่งที่สวมหมวกหลายใบมาก ทั้งเป็นเภสัชกร, สถาปนิก, นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, และนักธุรกิจที่สร้างแบรนด์ เธอเป็นผู้ที่โด่งดังในฐานะที่ปรึกษาด้านดิจิทัล, อาจารย์, และผู้บุกเบิกด้านการตลาด ซึ่งได้รับสมญานามว่า "นางฟ้าการตลาดดิจิทัล" และชื่อเพจคือ "โซอี้ Digital Shortcut" นี่คือเส้นทางชีวิต พร้อมข้อคิดสำคัญที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จบนโลกธุรกิจและดิจิทัลจุดเปลี่ยนชีวิต! เมื่อ Top Sales เภสัชกรหญิง 'เดินไม่ได้'คุณโซอี้มีพื้นฐานทางการศึกษาที่แข็งแกร่ง โดยจบปริญญาตรีเภสัชศาสตร์และปริญญาโทสถาปัตยกรรม หลังจบเภสัชฯ เธอทำงานเป็นผู้แทนยามา 4 ปี โดยอยู่บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า 2 ปี และไฟเซอร์ 2 ปี ตลอด 4 ปีนี้ เธอเป็น Top Sales มาโดยตลอด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานแต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเธอตื่นมาแล้วเดินไม่ได้ หลังการตรวจพบซีสต์ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น (8 ซม.) เกาะอยู่ที่รังไข่ เหตุการณ์นี้ทำให้เธอเริ่มย้อนคิดถึงเป้าหมายในชีวิต และคิดว่าต้องการกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน (ร้านขายส่งโชห่วยขนาดยาที่ปากช่อง) เพื่อให้พ่อแม่มีชีวิตที่สุขสบายความมุ่งมั่นทำอะไรทำจริงเป็นคุณสมบัติสำคัญในการทำงาน แต่การเผชิญหน้ากับวิกฤตสุขภาพอาจเป็น "จุดเปลี่ยนชีวิต" ที่ทำให้เรากลับมาทบทวนความต้องการที่แท้จริงและเป้าหมายในการดูแลครอบครัวเรียนถูกอย่างเดียว ไม่ต้องเรียนผิด สูตรสำเร็จธุรกิจอสังหาฯหลังผ่าตัดและซีสต์ไม่เป็นเนื้อร้าย คุณโซอี้ได้ตัดสินใจกลับบ้านและแจ้งความต้องการที่จะเปลี่ยนธุรกิจให้มีกำไรและสบายกว่าการขายส่งโชห่วย ป๊าของเธอจึงแนะนำให้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือไม่ก็เปิดร้านขายทอง เธอเลือกอสังหาริมทรัพย์เพราะการเปิดร้านทองมีความเสี่ยงเรื่องการปล้นคุณโซอี้ใช้คำพูดของป๊ามาตลอดชีวิตว่า "ถ้าอยากประสบความสำเร็จในเรื่องไหน ต้องเรียนรู้กับคนที่เขาประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น ๆ" ซึ่งหมายความว่าให้ "เรียนถูกอย่างเดียว ไม่ต้องเรียนผิด" เพราะคนอื่นลองผิดมาให้ดูเยอะแล้ว ป๊าจึงส่งเธอไปเรียนรู้กับเพื่อนที่ทำอพาร์ตเมนต์ถึง 50 ตึก เธอเรียนรู้ตั้งแต่การดูทำเล, คุมคนงานก่อสร้าง, จนถึงการบริหารหอพัก และสามารถสร้างหอพัก 2 ตึกสำเร็จตอนอายุเพียง 26 ปี โดยเปลี่ยนธุรกิจที่บ้านที่ปากช่องมาให้โลตัสเช่าแทนการเลือกที่จะ "เรียนถูกอย่างเดียว" จากผู้ที่ประสบความสำเร็จจริง เป็น "Digital Shortcut" ในการเริ่มธุรกิจ ทำให้ประหยัดเวลาและทรัพยากรแอบทำ 1 ชั่วโมงต่อวัน สร้างแบรนด์ผ้าพันคอ 100 ล้านหลังจากแต่งงาน คุณโซอี้เข้าสู่ธุรกิจกงสีขนาดใหญ่ของสามี (ธุรกิจเหล็กและอสังหาฯ) แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีที่ให้แสดงผลงาน เนื่องจากคนอื่น ๆ อยู่มานาน 30 กว่าปี และกำเก้าอี้ไว้แน่นในช่วง 14-15 ปีที่แล้ว (ยุคที่ Facebook เริ่มต้น) ธุรกิจออนไลน์กำลังมา เธอจึงเริ่ม "แอบขายของออนไลน์" โดยเริ่มจากการเป็นผู้ซื้อเพื่อทำความเข้าใจความกลัวและความไม่มั่นใจของลูกค้าในการโอนเงินซื้อของ เธอเริ่มต้นด้วย การลงทุน 0 บาท โดยรับเสื้อผ้าจากไต้หวันมาแบบพรีออเดอร์ จนมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือนเมื่อตลาดเสื้อผ้าเริ่มตัน (Red Ocean) และไม่สามารถเพิ่มราคาได้ เธอตัดสินใจสร้างแบรนด์ผ้าพันคอ Zoe Scarf ของตัวเอง โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 30,000 บาท แบรนด์ของเธอประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วหนังสือเล่มแรกของเธอที่ชื่อว่า "แอบทำ 1 ชั่วโมงต่อวัน ฝันเปลี่ยน" ก็มาจากประสบการณ์จริงที่เธอต้องแอบขายผ้าพันคอวันละ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ เธอยังเคยประสบปัญหาครั้งใหญ่เมื่อผ้าพันคอล็อตแรก 200 ผืน มีขอบเบี้ยวเนื่องจากการใช้ผ้าซิลค์ซาติน แต่เธอแก้ปัญหานี้โดยการเข้าไปที่โรงงานและไปอยู่หน้าเครื่องกับช่างเอง เพื่อหาวิธีทำให้ผ้าเป็นบล็อกตรง ๆความสำเร็จบนโลกออนไลน์ต้อง "ทำทั้ง ๆ ที่กลัว" และเมื่อเราสร้างแบรนด์แล้ว แบรนด์นั้นคือลูกของเรา เราต้องมี Passion และลุยเต็มที่เพื่อดูแลมันทะยานสู่ที่ 1 นางฟ้าการตลาดดิจิทัล และ TikTok Expertด้วยความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผ้าพันคอ 100 ล้าน คุณโซอี้ได้รับเชิญไปบรรยายให้ภาคส่วนต่าง ๆ จนกลายเป็นโค้ช และเป็นผู้ก่อตั้งหลักสูตรการตลาดดิจิทัลที่คณะบริหารธุรกิจ ม.หอการค้าหลักการสำคัญที่เธอมุ่งเน้นคือ หากจะเข้าสู่ตลาดไหน "เราจะต้องกระโดดเข้าไปเป็นที่ 1 เลย" เพราะที่ 1 มีคู่แข่งแค่คนเดียว คือคนที่เป็นที่ 1 ในตอนนั้น หากเราเป็นที่ 100 เรากำลังแข่งกับคนอีกเป็นร้อยเป็นพันความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลของเธอนำมาซึ่งตำแหน่งสำคัญในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ดังนี้1. Line Certified Coach เป็นคนแรกของประเทศไทย และเป็นคนเดียวที่ได้รับรางวัลจากบริษัท Line ต่อเนื่อง 9 ปี2. TikTok Expert และ Brand Ambassador TikTok3. Shopee Guru เป็นเพียง 3 ท่านในประเทศไทย4. Lazada Expert เป็นคนแรกของประเทศไทยเธอเน้นย้ำว่า การจะเป็นที่ 1 คือการเปรียบเทียบข้อดีของคู่แข่งเบอร์ 1 มี 10 อย่าง แล้วเราต้องทำได้ 13 อย่าง และปิดจุดอ่อนของพวกเขาได้การเป็น "เบอร์ 1" หรือ "ท็อป 5 ในสายอาชีพ" ที่เราทำคือสิ่งสำคัญ เพราะการเป็นค่าเฉลี่ยจะไม่มีใครจดจำ และความสำเร็จบนโลกออนไลน์คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะยังไม่ "เอาจริง"ทักษะแห่งโลกอนาคต และการรับมือ AIคุณโซอี้มองว่า SME ไทยมีความสำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศ และทุกคนสามารถทำธุรกิจออนไลน์ได้ด้วยสูตร "คนน้อย เงินน้อย เวลา น้อย" ที่เธอเริ่มต้นจากการทำแบรนด์ผ้าพันคอด้วยตัวเองคนเดียว ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง และทุน 30,000 บาทหลักการสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล ได้แก่การเอาจริง ไม่ใช่แค่ลงคลิปทุกวัน แต่ต้องดูสถิติและ ปรับแก้ อย่างต่อเนื่อง (ไม่เริ่มต้นแบบมั่ว ๆ)การเข้าใจ Audience เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง ทำในสิ่งที่เขาอยากเห็น และเขียนในสิ่งที่เขาอยากอ่าน ในเวลาที่เขาต้องการ นี่คือหลักการของ "คาถานะหน้าทอง"การหาเพชรในตัว ทุกคนมีศักยภาพ (เพชร) ในตัวเอง แค่ต้องหาให้เจอแล้วหยิบมันออกมาเจียระไน เพื่อสร้างความชัดเจนในช่องทางของเราในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาท ทักษะสำคัญที่มนุษย์ต้องมีคือ ทักษะการถามคำถาม และ ทักษะการตรวจสอบคำตอบ คุณโซอี้อ้างถึงแนวคิดของ Harvard Business Review (ปี 2023) ที่ระบุว่า "AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่คนที่ไม่ใช้ AI จะถูกแทนที่ด้วยคน ที่ใช้ AI"อนาคตโลกจะถูกแบ่งเป็น 2 ชนชั้นวรรณะ คือ กลุ่มคนที่ทันเทคโนโลยี กับ กลุ่มคนที่ไม่ทันเทคโนโลยี ดังนั้น มนุษย์ต้องทันเทรนด์ นำ และควบคุม AI ให้ได้เราต้องปรับตัวและไม่หยุดนิ่ง การรู้จักใช้ AI และการเรียนรู้ตลอดเวลาคือสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่รอดและประสบความสำเร็จในอนาคต เหมือนกับนักธุรกิจที่เก่งต้องพยายามเป็น "หัวแถว" เพื่อคว้าเงินที่ลอยอยู่ในอากาศเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “เซ้นต์ ศุภพงษ์” คนรุ่นใหม่ผู้มองการล้มเป็น ‘รสชาติ’ ของการเรียนรู้

01 ธ.ค. 2025

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “เซ้นต์ ศุภพงษ์” คนรุ่นใหม่ผู้มองการล้มเป็น ‘รสชาติ’ ของการเรียนรู้

“ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่มันคือการเรียนรู้ แม้แต่เมื่อคุณล้ม คุณจะเกิดการเรียนรู้ และเมื่อเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ คุณจะเป็นคนที่เก่ง และแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งคุณจะไม่ใช่หมากของคนอื่น ผมเองเคยเป็นหมากของคนหลายคนมาก่อน และผมยอมเป็นหมากด้วย เพื่อให้ผมได้มีองค์ความรู้ และประสบการณ์”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “เซ้นต์ ศุภพงษ์” ซึ่งมาแบ่งปันเรื่องราวรากฐานทางธุรกิจที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก เขาเผยว่าแรงจูงใจในการค้าขายตั้งแต่ประถมคือการหาเงินไปทำบุญและงานอาสาโดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อตัดสินใจเปลี่ยนสังคมเพื่อความสำเร็จด้วยการย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ เพื่อเข้าใกล้กลุ่มนักธุรกิจ ในการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง เซ้นต์ยอมรับว่ามีเป้าหมายเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการระดมทุนเพื่อกิจกรรมทางสังคม ซึ่งนำไปสู่บทบาทการแสดงที่โด่งดังทั้งในซีรีส์วายยุคแรก และละครดราม่าเข้มข้นนอกจากนี้ เขายังได้แบ่งปันปรัชญาทางธุรกิจที่ยอมรับว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และแนะนำให้ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจให้เลือกทำในสิ่งที่ถนัดมากกว่าสิ่งที่ชอบ และมองว่าความสำเร็จคือการสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมเป็นสำคัญ เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการฝันวัยเยาว์ที่ไม่ธรรมดา จาก "เด็กอยากบวช" สู่รากฐานแห่งการทำบุญเซ้นต์ ศุภพงษ์ เติบโตขึ้นที่จังหวัดตราด โดยคุณแม่เป็นคนตราด และคุณพ่อเป็นคนกรุงเทพ ในวัยเด็ก เซ้นต์มีความฝันที่ไม่เหมือนเด็กทั่วไป คือ เขาอยากเป็นพระ และเคยตั้งใจจะบวชไม่สึกด้วยซ้ำ จุดนี้มีที่มาเมื่อคุณพ่อเสียชีวิตในขณะที่เซ้นต์บวชเป็นสามเณรอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เซ้นต์ได้อ่านหนังสือ และทำวัตรจนรู้สึกอยากละทางโลกและเข้าสู่ทางธรรม แม้จะไม่ได้บวชต่อ แต่ความปรารถนาในการทำความดี และการทำบุญนี้เองที่กลายมาเป็นแรงผลักดันสำคัญในการทำธุรกิจของเขาป. 2 ก็ทำเงินได้! บทเรียนแรกจากสติกเกอร์ และการประเมิน 'คุณค่าของเงิน'เซ้นต์ถูกปลูกฝังให้เป็นคนหัวการค้าตั้งแต่เด็ก โดยคุณแม่สอนให้เขาไปเปิดท้ายขายของ และเมื่อเห็นที่บ้านค้าขายจักรยานและประดับยนต์ เขาจึงเริ่มทำเงินได้ตั้งแต่อยู่ชั้น ป. 2 ด้วยการนำสติกเกอร์รูปหัวใจ (ที่ซื้อมายกปึกในราคา 20 บาท และมีประมาณ 100 แผ่น) ไปขายที่โรงเรียน โดยขายดวงละ 1 บาท หรือขายเป็นแผ่นในราคา 20 บาท ทำให้เขามีรายได้มากกว่าค่าขนมประจำวันหลายเท่าตัว นอกจากนี้ เขายังได้เรียนรู้คุณค่าของเงินและสิ่งของ ผ่านการแบกขยะรีไซเคิลไปขายได้เพียงหลักพันบาท เทียบกับราคาของเล่นพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ ที่ราคาสูงถึง 3,000 บาท โดยการเริ่มต้นทำเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เกิดทักษะและ ความเข้าใจในมูลค่าของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นนักธุรกิจม. 4 ตัดสินใจย้ายโรงเรียน! ด้วยกลยุทธ์ "เปลี่ยนสังคม" ตามตำราธุรกิจเมื่ออยู่ช่วง ม. 3 ขึ้น ม. 4 เซ้นต์ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (พ่อรวยสอนลูก) ที่กล่าวว่า หากต้องการพัฒนาและเก่งขึ้น ต้องเปลี่ยนสังคม เขาจึงตัดสินใจครั้งสำคัญโดยย้ายจากตราดมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเข้าเรียนที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เขาค้นคว้ามาแล้วว่าเป็นแหล่งรวมลูกหลานนักธุรกิจ แม้ว่าครอบครัวจะกังวลว่าเขาอาจจะเกเรหรือเสียคนในกรุงเทพ แต่คุณแม่ก็เชื่อมั่นและสนับสนุนเขา การตัดสินใจนี้ทำให้เขาได้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ธุรกิจตามที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นหากต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด ต้องกล้าที่จะนำตัวเองไปอยู่ในสังคม หรือสภาพแวดล้อมที่ผู้คนในแวดวงนั้นประสบความสำเร็จสวมบท "นายหน้าวัยเรียน" สู่บทเรียนราคาแพงของการทำ OEMเมื่อเข้ามาอยู่ในสังคมใหม่ เซ้นต์ก็เริ่มสานต่อความฝันทางธุรกิจทันที เขาขอให้รุ่นพี่พาไปเรียนรู้งาน โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาชอบคือการขายรถ เขาทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการซื้อขายรถเก่า และต่อมาก็ขยับไปเป็นนายหน้าซื้อขายคอนโด นอกจากนี้ เขายังคงซื้อมาขายไปอย่างต่อเนื่อง เช่น ลูกรูบิกที่ซื้อจากคลองถมมาราคาถูกและนำไปขายต่อ อย่างไรก็ตาม เขาพบกับ การขาดทุนจริงจัง เมื่อเริ่มทำธุรกิจ OEM (ผลิตสินค้าเอง) กับเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงงาน เขาเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจคนเดียวสู้การทำเป็นทีมไม่ได้ และการไม่รู้เรื่องการจดทะเบียนบริษัทหรือการดำเนินการทางกฎหมายทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ไหวเซ้นต์มองว่า การล้มคือ รสชาติของการเรียนรู้ แม้การเรียนรู้จะมีราคาที่สูง แต่เมื่อเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เราจะเก่งขึ้นและแข็งแรงขึ้น และการเป็นหมากให้คนอื่นเดินบ้างก็ถือเป็นการสะสมองค์ความรู้และประสบการณ์โอกาสในวงการบันเทิง สร้างชื่อเสียงเพื่อ "ความน่าเชื่อถือ" ในงานอาสาแม้จะถูกชักชวนเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่สมัยประถม แต่เซ้นต์มักตอบปฏิเสธโดยยืนยันว่าเขาอยากเป็นนักธุรกิจ จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาสนใจวงการบันเทิงจริงจังเกิดขึ้นจากงานอาสา เมื่อเขาเดินเปิดกล่องรับบริจาค เขาถูกผู้คนมองว่าเป็นมิจฉาชีพ เซ้นต์จึงคิดว่าเขาต้องมี ความน่าเชื่อถือ เพื่อระดมเงินบริจาคได้มากขึ้น เขาจึงตัดสินใจว่า วงการบันเทิงจะดี และตั้งเป้าหมายว่าการอยู่ในวงการนี้คือการพาคนไปทำความดีได้มากที่สุด เขาเริ่มจากการแคสงานโฆษณา และถูกชวนไปแคสซีรีส์วายเรื่อง บังเอิญรัก ซึ่งเป็นโอกาสที่เขาคว้าไว้ แม้จะเคยบอกทุกคนว่าผมไม่หล่อ และสู้คนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็ทุ่มเททำการบ้านอย่างหนัก จนประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักในทุกวันนี้ทุ่มหมดหน้าตัก การลงทุน 25 ล้านบาทในซีรีส์แรก...ยอมขาดทุนเพื่อเรียนรู้เมื่อเริ่มทำธุรกิจบันเทิงอย่างจริงจัง เซ้นต์แสดงให้เห็นถึงความกล้าเสี่ยงอย่างมาก เขาลงทุนเงินเก็บสะสมมาทั้งชีวิตตั้งแต่เป็นนักธุรกิจ ซึ่งเป็นเงินสดเกือบทั้งหมด เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 25 ล้านบาท สำหรับซีรีส์เรื่องแรก ซึ่งเทียบได้กับมูลค่าของรถ Ferrari 1 คัน ในเชิงตัวเลขของตัวซีรีส์เองนั้นอาจจะขาดทุน แต่เซ้นต์มองว่าการลงทุนนี้เป็นกระบวนการ ที่ต่อยอดไปสู่รายได้อื่น ๆ เช่น คอนเสิร์ต และกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เขามีความคิดว่าในวัย 20 ต้น ๆ เขายังมีเวลาที่จะเก็บเงิน สร้างใหม่ และสู้ใหม่ได้อีกยาวนานข้อคิดสำหรับผู้กล้า ทำงานด้วยความสุข ไม่เป็นแค่ 'หมาก' และเป้าหมายเพื่อสังคมเซ้นต์เน้นย้ำถึงปรัชญาการทำงานที่สำคัญ คือ ต้องหาให้เจอว่า "ถนัดที่สุด" คืออะไร? ไม่ใช่แค่สิ่งที่ "ชอบที่สุด" เพราะสิ่งที่ถนัดอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่า และหากสามารถปรับสิ่งที่ชอบรวมกับสิ่งที่ถนัดได้ จะนำมาซึ่งความสุขในการทำงาน เมื่อทำด้วยความสุข จะไม่รู้สึกเหนื่อยความพยายามต้อง "ขยันให้ถูกที่" เพราะหาก "ขยันผิดที่ 10 ปี ก็ไม่รวย" การทำงานที่มีเพดานรายได้จำกัดอาจไม่นำไปสู่ความสำเร็จตามความฝันพันล้านได้ การเป็นคนของสังคม เมื่อก้าวมาเป็นคนของสังคมหรือมีชื่อเสียงแล้ว ต้องทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง และไม่ควรลืมความเป็นตัวตนและอุดมการณ์ในวันแรกที่เริ่มต้น ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เมื่อทำธุรกิจ เขาต้องคิดถึงพนักงานบริษัททุกคน ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ เพราะการที่เราอยู่ได้หมายถึงการที่เราได้แบกรับชีวิตของครอบครัวพวกเขาไว้ด้วย เป้าหมายเพื่อสังคม การสร้างสรรค์ผลงานบันเทิงทุกชิ้นคือการสร้างสรรค์สังคม ที่จะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง เป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้าของเขาคือการเป็นนักธุรกิจที่มีทุนทรัพย์ในการทำเพื่อสังคม และเป็นผู้ให้ได้มากขึ้น และความสำเร็จที่ยั่งยืนคือการ ทำในสิ่งที่รักและถนัด พร้อม ๆ กับการมองภาพใหญ่ที่ครอบคลุมไปถึง การสร้างสรรค์สังคมและการช่วยเหลือผู้อื่นชีวิตของเซ้นต์ ศุภพงษ์ เปรียบเสมือน วิศวกรผู้สร้างสะพาน เขาไม่ได้เพียงแค่สร้างโครงสร้าง (ธุรกิจ) ให้แข็งแรงเท่านั้น แต่เขายังคำนวณอย่างรอบคอบว่าจะใช้โครงสร้างนั้นในการ เชื่อมโยงผู้คน (ผ่านวงการบันเทิง) เพื่อให้ทุกคนสามารถข้ามผ่านอุปสรรคและไปถึงจุดมุ่งหมายของการทำความดีและการพัฒนาสังคมได้เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเคล็ดลับฮีลใจ และสร้างความสุขด้วยตัวเองของ “อูน ชนิสรา” จากผู้หญิงที่รำคาญตัวเอง สู่การมองกระจกแล้วรู้สึกรักและภูมิใจ

25 พ.ย. 2025

เปิดเคล็ดลับฮีลใจ และสร้างความสุขด้วยตัวเองของ “อูน ชนิสรา” จากผู้หญิงที่รำคาญตัวเอง สู่การมองกระจกแล้วรู้สึกรักและภูมิใจ

“อูนอยากให้ทุกคนมองคนในกระจก แล้วรักตัวเอง อยากให้มองไปแล้วรู้สึกว่าพอแล้ว และภูมิใจในตัวเอง บางครั้งอาจจะมองกระจกแล้วรู้สึกว่าวันนี้ไม่ดีแลย ก็บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เอาใหม่พรุ่งนี้ เก่งแล้วที่สู้ และเราต้องซื่อสัตย์กับคนในกระจก ทั้งเวลาเจอความผิดพลาด ความล้มเหลว หรือแม้แต่ความชอบ หรือความภูมิใจ ก็ตาม ขอแค่มองเข้าไปในกระจก แล้วรักตัวเองให้ได้ค่ะ”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “อูน ชนิสรา” ซึ่งมาแบ่งปันเรื่องราวชีวิต การทำธุรกิจ และความหลงใหลในดิสนีย์ที่จุดประกายแรงบันดาลใจ โดยเฉพาะการแยกแยะระหว่างงานที่ทำด้วยความรับผิดชอบและการใช้เงินจากงานไปทำตามความสนใจส่วนตัว นอกจากนี้ คุณอูนยังให้มุมมองที่แตกต่างในการบริหารธุรกิจอย่างมีหลักการที่ชัดเจน รวมถึงการให้ความสำคัญกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันและการพัฒนาความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการให้เกียรติและพัฒนาตนเองในฐานะสามีภรรยา เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจากผู้ชมที่ห่างไกล สู่การเรียนรู้ดีเทลที่เปลี่ยนชีวิตคุณอูนเติบโตมาในยุคเดียวกับที่ภาพยนตร์ Aladdin ออกฉาย ทำให้เธอใกล้ชิดกับคอนเทนต์ของดิสนีย์มาตั้งแต่เด็ก แม้เธอจะรักดิสนีย์ แต่ในวัยเด็กเธอเคยรู้สึกว่า ดิสนีย์เป็นสิ่งที่ไกลตัวและไม่สามารถเข้าถึงได้ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเธอได้ไปเที่ยว Disneyland World ที่ฟลอริดาเป็นครั้งแรก ซึ่งเธอไปแบบไม่ได้เตรียมตัวและพลาดความสนุกไป แต่เมื่อเธอได้ไปเยี่ยมชมในครั้งต่อ ๆ ไป เธอเริ่มเห็น รายละเอียดเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ความหลงใหลของเธอไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แต่เป็นการไปเพื่อเรียนรู้ เธอเคยใช้เวลา 50 วัน และทริปล่าสุด 60 วัน อยู่ในดิสนีย์ทั่วโลก ทริปหนึ่งเธอได้เดินทางไปพร้อมกับนักประวัติศาสตร์ (historian) ของดิสนีย์ และทุกคนที่ร่วมทริปต่างตั้งใจจดเลคเชอร์ อย่างจริงจังเธอค้นพบว่าบนหน้าต่างบริเวณ Main Street U.S.A. ในดิสนีย์แลนด์ มีการสลักชื่อของคนที่สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ในปาร์คเพื่อเป็นการให้เครดิต เธอประทับใจที่ดิสนีย์มองเห็นว่าความสุขไม่ได้เกิดจากคนปัจจุบันเท่านั้นซึ่งการได้รู้เบื้องหลังของดิสนีย์ทำให้เธอรักอย่างแท้จริง และเห็นว่าหน้าที่ของคนสร้างสรรค์คือ การมอบความสุข สิ่งนี้ได้กลายเป็น แรงบันดาลใจในการทำงานในแต่ละวัน เพื่อให้เธอสามารถตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกชื่นใจ แม้ว่าการทำธุรกิจจะเป็นเรื่องที่หนักและเหนื่อยก็ตามงานคือความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความสุขส่วนตัว ปรัชญาธุรกิจที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางคุณอูนเป็นนักธุรกิจที่เชื่อมั่นในการ แยกแพชชั่นออกจากงานอย่างชัดเจน เธอไม่เคยนำความชอบส่วนตัวมาใช้ในการทำธุรกิจเลย แม้กระทั่งงานเพลง (ซึ่งเป็นแพชชั่น) เธอจะไม่รับเงิน หรือหากได้รับเงินก็จะบริจาคทั้งหมด 100% โดยไม่หักค่าใช้จ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดจากการหาเงิน เธอเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถเอาความสุขมาหาเงินได้ เพราะมันจะนำมาซึ่งความเครียดและในการทำธุรกิจ หากธุรกิจยึดโยงกับความชอบส่วนตัว (เช่น ถ้าทำคอลเลกชันดิสนีย์ตามที่เธอชอบที่สุดคือจัสมิน) เธออาจจะลืมมองความชอบของลูกค้า ธุรกิจคือการนำของไปขายและต้องรับผิดชอบต่อเงินของลูกค้า ซึ่งเธอทำธุรกิจด้วยความเต็มใจ และความรับผิดชอบ ไม่ใช่ด้วยความสนุกเมื่อดิสนีย์ติดต่อมาเสนอให้ทำคอลเลกชันลิขสิทธิ์ (Licensing) เธอปฏิเสธในตอนแรกถึงแม้จะเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ เพราะเธอยังไม่พร้อมด้านมาตรฐานโรงงานและการสื่อสาร เธอรอจนกว่าจะแน่ใจว่าได้มาตรฐานและมั่นใจว่าลูกค้าจะเข้าใจ และ "ยิ้ม" กับสิ่งที่เธอทำ การตัดสินใจนี้คำนึงถึงผลกระทบต่อพนักงาน 200 คน และลูกค้าทุกคนคุณอูนไม่มองหางานที่มีความสุข เพราะความสุขและความสบายคือ สิ่งฟุ่มเฟือย (luxury) เธอเชื่อว่า งานคือการแก้ปัญหา และทุกคนทำงานเพื่อเงินในการเลี้ยงชีพ ซึ่งเงินนั้นจะนำไปเสพแพชชั่นของตัวเองสร้างองค์กรที่ไม่เป็นบ้า เน้นความจริงใจและการแก้ปัญหาในฐานะผู้นำที่ดูแลพนักงานประมาณ 200 คน คุณอูนเน้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจนและมุ่งเน้นผลลัพธ์ เธอให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ให้ "เป็นบ้า" เธอมีกฎที่ชัดเจน เช่น หากจับได้ว่านินทาที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของผู้อื่น จะไล่ออกในการแก้ปัญหา เธอเน้นที่ข้อเท็จจริง (Fact) เธอกล่าวว่าความจริงไม่แคร์ความรู้สึกของเรา และหากเราแก้ปัญหาด้วยความรู้สึก ลูกค้าจะไม่ได้อะไร เธอมีแนวคิดที่จะตำหนิและชื่นชมทำในที่สาธารณะ(หน้าไมค์) เพราะความผิดพลาดควรเป็นบทเรียนที่ทุกคนสามารถเห็นใจและเรียนรู้ร่วมกันได้เธอเชื่อว่าพนักงานทุกคนควรทำงานในสภาวะ peace of mind ที่เท่ากัน และพนักงานสามารถตักเตือนหรือดุเธอกลับได้หากเธอทำผิดพลาด ในการรับพนักงานใหม่ ทีมงานต้องเข้ากันได้ดี เพราะพนักงานต้องทำงานร่วมกันเองภูมิใจในสิ่งเล็ก ๆ ไปวัน ๆ กุญแจสำคัญสู่การรัก และชื่นชมตัวเองคุณอูนเชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการคือ การมองในกระจกแล้วรู้สึกรักตัวเองและภูมิใจเส้นทางสู่การรักตัวเอง เธอเคยมีช่วงเวลาที่ไม่ชอบหน้าตัวเอง ไม่มองกระจก และรู้สึกรำคาญความล้นหรือความบุ่มบ่ามของตัวเอง สามี (พี่แพ็ค) เข้ามาช่วยเยียวยา โดยบอกว่า "อยากได้ภรรยาคืน" สามีของเธอเป็นตัวอย่างในการชื่นชมตัวเองอย่างเปิดเผย ทำให้เธอตระหนักว่าทุกคนทำงานหนักเพื่อเป็นคนที่ดีขึ้น และเราควรให้เครดิตตัวเองบ้างเธอเริ่มให้กำลังใจตัวเองในทุกสิ่งที่ทำได้ดี แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น "วันนี้กินข้าวทัน เก่งมาก" ซึ่งเป็นการสั่งให้สมองชื่นชมตัวเองและนำไปสู่การทำได้ดีขึ้นในวันถัดไป โดยในช่วง 3 ปีแรกของการทำแบรนด์ที่ไม่มีลูกค้าเลย ต้องใช้เงินจากการทำงานฟรีแลนซ์ เธอเรียนรู้ว่า "อย่าเพิ่งตัดสินตัวเองด้วยปัญหา" และไม่ควรให้ปัญหาหนึ่ง ๆ มาเป็นทั้งหมดของชีวิต หากเราไม่ไหว ก็แค่กลับไปทำงานประจำก็ได้ ไม่เป็นไรรักษาความพิเศษเฉพาะ หัวใจของความสัมพันธ์ 17 ปีคุณอูนและสามีคบกันมายาวนานถึง 17 ปี และเธอมองว่าความสัมพันธ์นี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เธอรู้สึกภูมิใจที่สามีเป็นสามีที่ดีขึ้นทุกวัน และเธอก็เป็นภรรยาที่ Professional ขึ้นทุกวันเช่นกัน แม้จะรู้สึกเหมือนเพื่อนเหมือนครอบครัวในบางครั้ง แต่ทั้งคู่ ไม่เคยปฏิบัติต่อกันเป็นเพื่อน เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ลืมดูแลความสัมพันธ์ในฐานะสามีและภรรยาคุณอูนเน้นย้ำว่า สามีเป็นครอบครัวเดียวที่เราเลือกได้ในชีวิต เมื่อปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งคู่ระวังกับคู่ของตนมากกว่าการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน โดยเธอระวังโทนเสียง และจังหวะการใช้ชีวิตของเขาโดยความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนจำเป็นต้องมีการเลือกที่จะรัก การพัฒนาตนเอง และการรักษาความเป็น Exclusive เอาไว้ ไม่ใช่แค่การเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันไปวัน ๆชีวิตของคุณอูน ชนิสรา จึงเป็นดั่ง ปราสาทที่สร้างจากอิฐแห่งความจริงและประดับด้วยมนตราแห่งความฝัน เป็นแบบอย่างของผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า การใช้ชีวิตอย่างมีวินัยในโลกแห่งความจริง คือหนทางเดียวที่จะทำให้โลกแห่งความสุข และความฝันดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกทำลายเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จ๋า ยศสินี” 'ปลาโลมาผู้มีบาดแผล' สู่ผู้จัดที่ใช้ความฟีลกู้ดสร้างสรรค์การเล่าเรื่อง

19 พ.ย. 2025

เรียนรู้ชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จ๋า ยศสินี” 'ปลาโลมาผู้มีบาดแผล' สู่ผู้จัดที่ใช้ความฟีลกู้ดสร้างสรรค์การเล่าเรื่อง

“เนื่องจากบริบทสังคมมันเปลี่ยน วัฒนธรรม หรือแม้แต่วิธีคิดคนก็เปลี่ยนตาม ละครหลายเรื่องถ้าเอามาเล่าวันนี้อาจจะยาก ดังนั้นในฐานะผู้จัดละครก็ต้องเติบโตไปกับมัน เราเป็นนักสื่อสาร ณ วันนี้เราต้องฟังให้มาก ฟังว่าคนดูต้องการอะไร คนดูมีปัญหาอะไร คนดูให้ความสำคัญกับอะไร และเราต้องรู้เท่าทันสังคม”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ“ดีเจเป้”และ“ดีเจแคน”ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “คุณจ๋า-ยศสินี ณ นคร” ผู้จัดละครและรายการโทรทัศน์ชื่อดังของไทย โดยได้แชร์ประสบการณ์ของการทำงานในวงการอันยาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งรวมถึงการเป็นผู้จัดละครที่สร้างสรรค์ผลงานแนวFeel Goodและการเป็นผู้ผลิตรายการยอดนิยมอย่าง"ตีท้ายครัว"นอกจากนี้ บทสนทนายังครอบคลุมถึงเบื้องหลังการทำงานที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสื่อ และวิธีการที่คุณจ๋าใช้ในการรับมือกับความเครียด และความเหงาส่วนตัวในฐานะคนทำงานที่ต้องจัดการกับผู้คนจำนวนมาก เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการทายาท 'ปักธง' เติบโตท่ามกลางกองถ่าย และความกดดันที่เป็น 'ปัญหาของคนอื่น'คุณจ๋าเติบโตในครอบครัวที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง โดยมีคุณแม่คือ อาจิ๋ม มยุรฉัตร ซึ่งโด่งดังมาก ส่วนคุณพ่อคือ คุณโยธิน ณ นคร และคุณแม่ได้แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก และคุณพ่อที่เลี้ยงดูเธอมาคือ คุณนริศ อหะหมัดจุฬา (คุณพ่อแป๊ะ)เธอยอมรับว่าในวัยเด็ก เมื่อคุณแม่มาถ่ายละครที่โรงเรียน เธอจะรู้สึกยืดอก และสามารถเดินเข้าไปในกองถ่ายได้คนเดียว แม้จะโดนปักธง หรือหล่อหลอมให้เป็นผู้จัดละครมาตั้งแต่แรก แต่เมื่อต้องเผชิญกับความรับผิดชอบจริง ๆ เธอพบว่า ความกดดันนั้นเป็น "ปัญหาของคนอื่น" เพราะความรับผิดชอบในฐานะผู้จัดละครนั้นเยอะมาก จนเธอไม่มีเวลามานั่งคิดว่าตนเองจะทำได้ดีเท่าคุณแม่หรือไม่ หน้าที่หลักของเธอคือการ แก้ปัญหาตรงหน้า และ เอาให้รอดไปให้ได้ใน 1 วันก่อนความฝันที่ถูกทิ้งไว้ในครัว บทเรียน 'ทำเสร็จ 2 ครั้ง' ที่เปลี่ยนชีวิตผู้จัดแม้จะถูกกำหนดให้เป็นผู้จัดละคร แต่ความฝันเดิมของคุณจ๋าคือการทำอาหาร เธอได้ไปเรียนทำอาหารที่อเมริกา และมีความชื่นชอบในสิ่งนี้ แต่เธอไม่ได้อยากเปิดร้านอาหาร เพราะเธอรู้สึก ขี้เกียจยืน เนื่องจากงานครัวต้องยืนเป็นเวลานานมาก (บางวันยืนตั้งแต่ตี 5 ถึง 4 ทุ่ม)อย่างไรก็ตาม การทำอาหารได้ให้บทเรียนที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการทำงานเป็นผู้จัดละคร การทำอาหารสอนให้เธอมี ระเบียบวินัยและการวางแผน หลักการที่สำคัญคือ เธอจะทำทุกอย่าง "เสร็จ 2 ครั้งเสมอ" ครั้งแรกคือ "เสร็จในหัว" (การมองลำดับขั้นตอนเหมือนการแข่งขันทำอาหาร เห็นวัตถุดิบและรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง) และครั้งที่สองคือ "ทำจริง" คุณจ๋ากล่าวว่า ถ้าเธอไม่ได้เรียนทำอาหาร เธออาจจะเป็นผู้จัดไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะวิธีคิดแบบเชฟช่วยให้เธอมองเห็นภาพรวมของการทำหนังและละครการเริ่มต้นที่โกลาหล วิกฤต 'รถชน' และ 20 ปีแห่งการปลอบใจคนคุณจ๋าเริ่มเป็นผู้จัดละครตอนอายุ 26 ปี ในฐานะผู้จัดละคร เธอต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่การอ่านนิยาย เสนอช่อง ติดต่อผู้กำกับ/นักแสดง วางคิว ไปจนถึงการแก้ปัญหาหน้ากองถ่าย เช่น การสร้างห้องน้ำ หรือการฉีดยุง งานทั้งหมดคือการทำตั้งแต่ ก.ไก่ จนถึง ฮ.นกฮูกในวันแรกของการเปิดกล้องละครเรื่องแรก เธอต้องเผชิญกับวิกฤตเมื่อ รถเข้าฉากเกิดอุบัติเหตุชน เธอทำอะไรไม่ถูกเลย จนคุณแม่ต้องวิ่งข้ามถนนไปดิวตำรวจ ทำให้เธอเรียนรู้ว่าผู้จัดเขาเป็นอย่างนี้เอง ปัญหาเฉพาะหน้าตลอด 20 ปีในการทำงานมักเกี่ยวข้องกับ "คน" ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพท้องเสีย หรือนักแสดงอกหัก งานหลักของผู้จัดจึงกลายเป็นการ ปลอบใจให้ทุกคนไปต่อได้รายการเรือธง 'ตีท้ายครัว' ยืนหยัด 20 ปีด้วย 'ความเผือก' และการประชุมทุกสัปดาห์บริษัทของเธอ (เงาะถอดรูป) ซึ่งเริ่มต้นจากการทำรายการ เงาะถอดรูป ซึ่งขาดทุนและทำเพียงปีเดียว ก่อนจะเปลี่ยนมาทำรายการ ตีท้ายครัว ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง และดำเนินมาได้ยาวนานถึง 20 ปีคอนเซปต์หลักของรายการ ตีท้ายครัว คือ ความเผือกล้วน ๆ แต่ทำด้วย จิตผู้จัดที่มีเมตตา เนื่องจากในยุคก่อนไม่มีโซเชียลมีเดีย นักแสดงไม่มีพื้นที่พูด รายการจึงเป็นช่องทางให้พวกเขาได้อธิบายข่าวที่เกิดขึ้น และการเป็นผู้จัดละครทำให้ได้รับ ความไว้ใจ จากนักแสดงให้ยอมเปิดบ้านได้ง่ายกว่ารายการอื่น ๆความยั่งยืนของรายการมาจากความทุ่มเทอย่างหนัก ผู้จัดประชุมกันทุกอาทิตย์ ตลอด 20 ปี และพร้อมปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เช่น ในช่วงโควิด-19 ซึ่งไม่สามารถเข้าบ้านใครได้ ทีมงานได้ปรับรูปแบบไปใช้โมเดลรายการเกาหลี โดยให้แขกรับเชิญถ่ายคลิปชีวิตตนเอง แล้วพิธีกรใช้การวิดีโอคอลเพื่อดูคลิปและแสดงความเห็นคน Introvert ผู้ใช้ 'ความเหงา' สร้างสรรค์คุณจ๋าเปิดเผยว่าเธอเป็น Introvert แบบสุด ๆ ทันทีที่เลิกงาน เธอจะต้องอยู่คนเดียวเพื่อชาร์จพลัง เธอถึงขนาดเคยหายไปเกาหลี 2 อาทิตย์คนเดียว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดคุยกับใครเลยเธอเล่าว่าเคยเหงาสุดขีดตอนอยู่ที่อเมริกา จนถึงขั้นโทรศัพท์มาหาคุณพ่อในขณะที่ท่านกำลังใส่บาตร และร้องไห้ออกมา แต่เมื่อเธอ ดีลกับความเหงาได้ เธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย เธอสามารถนั่งเฉย ๆ ได้ทั้งวัน เธอค้นพบว่าการไม่เหงาทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และการอยู่กับความเหงาได้นั้น สร้างงานได้เยอะ เช่น การเขียนบทละคร หรือการเขียนเพลง เป็นต้นการเยียวยา 'บาดแผล' หลักคิดจัดการความกลัวและมีหลายบทบาทคุณจ๋ายอมรับว่าคำพูดของ พี่อ้อม สุนิสา ที่ว่าเธอเหมือน "ปลาโลมา" ที่ดูสนุกสนาน แต่ถ้าเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นว่า "แผลเต็มตัวไปหมดเลย" นั้นเปลี่ยนชีวิตเธอ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่มีคนมองเห็นว่ากว่าจะมายืนอย่างมั่นคง เธอต้องผ่าน "สงคราม" และการล้มเหลวมาเมื่อเผชิญกับความวุ่นวาย เธอไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลา และมีวันที่ "ฟุบอยู่กับพื้น" และไม่ไหว สิ่งที่ช่วยเธอคือการมีครอบครัว สามี และกัลยาณมิตรที่ดี แต่ที่สำคัญที่สุดคือเธอต้อง "อยู่กับตัวเองให้เยอะ ๆ" และรู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรเปลี่ยนความโกรธเป็นความกลัว เธอพบว่าความหงุดหงิดหรือโมโหนั้น ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการ "กลัว" หากรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคือความกลัว ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายขึ้น หลักคิดนี้ถูกนำไปใส่ในบทละคร มาตาลดา โดยให้พ่อพระเอกที่ดูดุและเข้มงวดกับลูก ใช้ความดุนั้นกลบซ่อนความกลัวของตัวเองไว้การมีหลายบทบาท เธอแนะนำให้ ให้โอกาสตนเองได้เป็นหลายบทบาท (เช่น ภรรยา, นักกีฬา, ไม่ใช่แค่ผู้จัด 100%) เพื่อให้มีที่สำหรับหลบหลีกจากความเครียดในงานและพักผ่อนร่างกายผู้สื่อสารสังคม การปรับตัวของละครไทย และการก้าวสู่ซีรีส์วายคุณจ๋ามองว่าตนเองเป็น "นักสื่อสาร" ที่ต้อง "ฟัง" สังคมอยู่เสมอ เธอเชื่อว่า บริบทสังคมเปลี่ยนไปแล้ว ละครคลาสสิกบางเรื่อง (เช่น จำเลยรัก) จึงไม่สามารถเล่าในยุคปัจจุบันได้ หากไม่ปรับบท เช่น ซีนที่พระเอกดึงนางเอกเข้าไปในห้องนั้นทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว นี่ทำให้เธอพัฒนารูปแบบงานใหม่ ๆ เช่น การทำ เพลิงบุญ โดยเปลี่ยนให้เป็นเรื่องของผู้หญิงเพื่อนผู้หญิงที่แข่งกันเอง ไม่ใช่แข่งกันเพราะผู้ชายมาตาลดา กับความระมัดระวัง ในการทำละครที่ละเอียดอ่อนอย่าง มาตาลดา เธอต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ทั้งหมอหัวใจ จิตแพทย์ และต้องให้ความเคารพต่อประเด็น LGBTQ+ โดยการใช้คนที่มีเพศสภาพจริง ๆ มาแสดงส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือ ต้อง รีเฟล็กซ์บท ในทุกขั้นตอน และไม่ให้คำพูดของคนแบบเธอไปใส่ในปากตัวละครเพื่อ "ป้องกันไม่ให้มีการแอทแทคใคร"คำแนะนำสำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ เธอมองว่ายุคนี้เป็นยุคของ "คนจริง" นักแสดงรุ่นใหม่ต้องไม่ปลอม และต้องเป็นตัวจริงให้ได้ เธอชื่นชมนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง "จิมมี่-ซี" ที่ทำการบ้านมาอย่างดีจนไม่เคยต้องถือบทเลยการสำรวจโลกใหม่ เพื่อพัฒนาตัวเอง เธอได้กระโดดเข้ามาทำ ซีรีส์วาย (Series Y) เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรง และเป็นอีกทางที่ผู้จัดละครควรต้องเรียนรู้แรงบันดาลใจจาก 'จ๋า ยศสินี'คุณจ๋า สอนให้เห็นว่า ความสามารถในการสร้างสรรค์งาน "Feel Good" มาจากรากฐานของการจัดการปัญหาที่เข้มงวด การเอาชนะความกลัวและความเหงาภายใน การเป็นนักเล่าเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่การสร้างเรื่องให้สนุก แต่คือการเป็น "นักฟัง" ที่ดีของสังคม เพื่อให้งานที่ออกมาสามารถเยียวยาและสะท้อนบริบทที่แท้จริงของโลกปัจจุบันได้เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

รับแรงบันดาลใจจาก “คิวเท โอปป้า” กับเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านสู่ "ความสุขที่ละเอียดกว่า" ในชีวิตจริง

10 พ.ย. 2025

รับแรงบันดาลใจจาก “คิวเท โอปป้า” กับเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านสู่ "ความสุขที่ละเอียดกว่า" ในชีวิตจริง

“เรื่องกรรม จริง ๆ เวลาเราทำผิดพลาดไป มันก็กลายเป็นกรรมแล้ว เราไม่สามารถให้คนอื่นมาช่วยแก้กรรมให้เราได้หรอก คนที่จะช่วยได้คือตัวเราเองนี่แหละ ถ้าเราเคยทำอะไรไม่ดีมาก่อน พอรู้ตัวเอง ก็จงเปลี่ยนตัวเอง คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้ตลอดเวลา และสุดท้ายหากเจตนาเราดี ทุกอย่างมันก็จะดีเองครับ”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ“ดีเจเป้”และ“ดีเจแคน”ได้เปิดไมค์ต้อนรับ คิวเท โอปป้ายูทูบเบอร์ชื่อดังชาวไทยเชื้อสายเกาหลี ที่ได้แชร์ประสบการณ์ของ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของคิวเทตั้งแต่วัยเด็ก การสร้างตัวตนแบบโอเวอร์ในฐานะยูทูบเบอร์ระดับต้น ๆ ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน ไปจนถึงการเผชิญกับความทุกข์ทางจิตใจอย่างรุนแรงแม้จะมีชื่อเสียงและทรัพย์สินมากมาย สิ่งที่ผลักดันให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลานั้นและเปลี่ยนมาเป็นคนปัจจุบันคือการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางการทำคอนเทนต์ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ และมีสติมากขึ้น รวมถึงการใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตและการทำงาน โดยเฉพาะประสบการณ์จากการเดินเท้าจากกรุงเทพฯ ไปพัทยาที่ถือเป็นการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตจริงที่ช่วยให้เขาเกิดความสุขที่ละเอียดและยั่งยืน เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจุดกำเนิด 'เกาหลีบ้า' และความสุขที่ฉาบฉวยคิวเท โอปป้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นยูทูบเบอร์เบอร์ต้น ๆ ของไทยในยุคที่ YouTube เริ่มรุ่งเรือง โดยเขาเป็นคนที่ขยันมาก สามารถลงคลิปได้ถึงสัปดาห์ละ 3 คลิปเบื้องหลังคาแรกเตอร์สุดเหวี่ยง บุคลิกในคลิปของเขา (เช่น ท่าแนะนำตัวที่เป็นเอกลักษณ์ หรือการทำอะไรที่ "โอเวอร์" และ "แรง ๆ") นั้น แตกต่างจากตัวตนจริง ที่ค่อนข้างเงียบ และเรียบร้อยเมื่ออยู่โรงเรียน คาแรกเตอร์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของคนไทย โดยเริ่มจากการทำคลิปล้อเลียน (Parody) เช่น "เกาหลีเต้นสายย่อ" จนกลายเป็นฉายาที่คนมักเรียกเขาว่า “เกาหลีบ้า”ในช่วงแรก คิวเทรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรแปลก ๆ แล้วคนสนใจ และความฝันในตอนนั้นคือการมี 1,000,000 Subscribe แม้ว่าเป้าหมายนี้จะสำเร็จ เพราะมียอดถึง 9,000,000 Subscribe ในปัจจุบัน รวมถึงการมีรถและมีบ้าน แต่เขากลับพบว่าความสุขเหล่านั้นอยู่ได้เพียงชั่วคราวและเขายังคงมีปัญหาในชีวิตอยู่เรื่อย ๆเมื่อชื่อเสียงเงินทอง ไม่อาจเยียวยา 'ความทุกข์ใหญ่หลวง'แม้ว่าชีวิตภายนอกจะดูเพอร์เฟค มีเงินทองชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ความทุกข์ภายในกลับทำให้เขาต้องเริ่มคิดหลายอย่างมากขึ้น ซึ่งความทุกข์ครั้งใหญ่ของคิวเทเกิดจากเรื่องพื้นฐาน เช่น ความเชื่อใจและการหักหลัง ในความสัมพันธ์ เขาตระหนักว่าก่อนหน้านั้นเขาพยายามทำเป็นไม่รู้ และยึดติดกับความคิดที่ว่าสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่จะคงที่ตลอดไป แต่เมื่อชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง เขาจึงเริ่มเป๋เหมือนกันความทุกข์นี้ทำให้เขาเริ่มมีวุฒิภาวะในการตัดสินใจน้อยลง และนำไปสู่ความรู้สึกที่เหมือนกับซึมเศร้า เขาถึงกับรู้สึกว่าขาไม่มีแรงที่จะก้าวเดินไปห้องน้ำ เพราะความทุกข์มันเยอะมาก ความคิดลบจะหมุนวนอยู่ในสมอง ซึ่งช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ยาวนานประมาณหนึ่งปีจากสายคริสต์ สู่การค้นพบ 'ทางดับทุกข์' ด้วยธรรมะเมื่อเจอกับปัญหาหนักหน่วง คิวเทเริ่มหาทางออกจากความทุกข์ และพบว่าธรรมะ คือสิ่งที่ช่วยให้เขาหลุดออกมาได้จริง โดยมียูทูบเบอร์ชื่อดังอย่าง SPD คือผู้ที่แนะนำให้เขาเริ่มศึกษาธรรมะเป็นคนแรก โดยแนะนำให้ลอง ถือศีล 5 คิวเทยอมรับว่าครอบครัวเขาเป็นคริสต์ (คุณพ่อเป็นมิชชันนารี และบาทหลวง) และเขาเคย แอนตี้เรื่องวัดและพระ มาก่อนแต่ในช่วงที่ความคิดลบวนเวียนหนักขึ้นจนเกิดอาการหลอน (คิดไปเองว่าคนอื่นหัวเราะหรือนินทาเขา) เขาจึงตัดสินใจไปวิเวก (อยู่เงียบ ๆ ตัดขาดจากโลกภายนอก) โดยเดินทางไปยังชายแดนที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลา 5 วัน โดยเขานำเครื่องเล่น MP3 ที่มี พุทธวจนะ (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ไปฟังหยุด 'วงจรความคิดลบ' ด้วยสติ พร้อมบทเรียนจากนันทิและลมหายใจหลังจากฟังพุทธวจนะไปเรื่อย ๆ ประมาณวันที่ 3 หรือ 4 เขาก็เริ่มเข้าใจคำสอนบางอย่าง เขาเรียนรู้ว่าการที่เรา เพลินกับความคิดไม่ดี (อกุศล) นั้นเรียกว่า นันทิ ซึ่งเปรียบเหมือนการกดปุ่มหรือใส่ใจอารมณ์นั้น ๆ ทำให้ความคิดลบวนซ้ำคิวเทถูกสอนว่าเมื่อมีความคิดไม่ดีเข้ามา ให้รีบดึงสติกลับมาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สติ เหมือนเป็นเบรก และการฝึกโฟกัสที่ลมหายใจ จะช่วยให้สติเด้งขึ้นมาเป็นเบรก ในการหยุดความคิดลบไม่ให้ไหลต่อไปเขาเริ่มเห็นว่าความคิดลบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงข้อมูลจาก อดีต หรือการวาดภาพ อนาคต และให้กำลังใจตัวเองว่ามันจบไปแล้ว จะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ การฝึกดึงสติกลับมาอย่างต่อเนื่องนี้เหมือนกับการฝึกฝน หรือขี่จักรยาน ทำให้เขามั่นใจว่าสามารถนำทักษะนี้กลับไปใช้ในชีวิตปกติได้คิวเทเตือนว่าในช่วงแรกของการปฏิบัติธรรมอาจเกิดกับดักธรรมะ ที่เรียกว่า บ้าธรรมะ คือการคิดว่าตัวเองเหนือกว่าหรือตัดสินผู้อื่น ซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่ดี (อกุศล) เช่นกัน เขาจึงเน้นย้ำถึง สายกลาง คือการปฏิบัติธรรมนิด ๆ หน่อย ๆ ทุกวัน เช่น นั่งสมาธิ และใช้ชีวิตปกติอย่างมีสติ การวางตัวให้ฉลาดเมื่ออยู่กับผู้คนในทางโลกก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เอาธรรมะไปพูดกับทุกคนจนคนเบื่อบทพิสูจน์ 5 วันบนถนน เปลี่ยนความท้อเป็น 'พลังแห่งการให้'หลังจากผ่านช่วงวิกฤต คิวเทต้องการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุขและสดใสมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจทำคลิป เดินเท้า 6 วันจากกรุงเทพฯ ไปพัทยา เขาสัญญา และตัดสินใจกับตัวเองว่าจะไม่โมโห ไม่โกรธ ไม่ท้อ และจะเป็นคนคิดบวกตลอดเวลาเมื่อเกิดความรู้สึกเหนื่อยหรือท้อ เขาลองเปลี่ยนจากการหายใจไปโฟกัสที่เท้า ทำให้ความคิดลบหายไป เหมือนกับการฝึกจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเขาเลือกที่จะเดินจริง ๆ ตลอดทาง ไม่ใช้รถ (ยกเว้นในสถานการณ์จำเป็นและมีการถ่ายให้คนดูเห็น) เพราะเขาอยากซื่อสัตย์ต่อผู้ชมการเดินทำให้เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างชัดเจน จากวันแรกที่เต็มไปด้วยความคิดลบ สู่การไม่รู้สึกอะไรเลยในวันสุดท้าย เขาตระหนักว่าที่ผ่านมาเขาคิดไปเอง ทั้งหมดว่าคนอื่นไม่ชอบเขา แต่สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจที่สุดคือ การให้ แม้ความสุขจากการครอบครองจะอยู่เพียงไม่นานแล้วหายไป แต่เมื่อเขาแจกของและเห็นคนอื่นมีความสุข เขากลับมีแรงเดินต่อ ความสุขจากการให้เป็นความสุขที่ละเอียดยิ่งกว่า และทำให้ใจรู้สึกเบาทิ้งคลิปขยะ 600 คลิป พร้อมแรงบันดาลใจจากการ 'เปลี่ยนเจตนา'คิวเทได้ทำการลบคลิปเก่า ๆ ที่มียอดวิวสูง (รวมถึงคลิป 20 กว่าล้านวิว) ทิ้งไปกว่า 600 คลิป เพราะเขารู้สึกผิดและละอาย ต่อสิ่งที่เคยทำไป เพราะมันขัดแย้งกับหลักการในปัจจุบัน แม้ว่าคลิปเหล่านั้นอาจจะไม่ได้แย่ตามมาตรฐาน Content ยุคใหม่ แต่เขากลัวว่ามันจะเป็น คอนเทนต์ขยะ ที่ส่งผลกระทบและทำให้เด็กเลียนแบบ การตัดสินใจลบคลิปทั้งหมดเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วและไม่เสียดายเลย เขามั่นใจว่าการเปลี่ยนมาทำคอนเทนต์ ที่เป็น น้ำดี นั้นดีกว่ามากคิวเทเน้นย้ำเรื่องกรรม ซึ่งหมายถึง เจตนา เราไม่สามารถให้คนอื่นมาช่วยแก้กรรมได้ คนที่จะช่วยได้คือตัวเราเองทุกคนสามารถเปลี่ยนนิสัยหรือการกระทำได้ตลอดเวลา หากมีเจตนาที่ดี เขาไม่ได้วางเป้าหมายว่า 30 หรือ 40 ปีจะต้องเป็นอย่างไร แต่พยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หากวันนี้ดี พรุ่งนี้ก็จะดีเอง "ถ้าเราเจตนาเราดีอ่ะ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีเอง"การเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิดลบด้วยสติของคิวเท เปรียบเสมือนการที่เรากำลังขับรถชีวิต (ความคิด) ที่มีแนวโน้มจะพุ่งชน โดย สติ ทำหน้าที่เป็นพวงมาลัยและเบรก หากเราฝึกใช้เบรกนี้บ่อย ๆ รถก็จะค่อย ๆ ลดความเร็วและไม่พุ่งชนสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อทางจิตใจให้แข็งแรงและควบคุมได้เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ปรัชญาชีวิตและความเป็นจริงจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” กับมุมมองความเชื่อ ความศรัทธา และการอ่านภาษากาย

28 ต.ค. 2025

ปรัชญาชีวิตและความเป็นจริงจาก “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” กับมุมมองความเชื่อ ความศรัทธา และการอ่านภาษากาย

“ความเชื่อ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ถูกส่งต่อมาจากครอบครัว หรือคนใกล้ตัว ซึ่งความเชื่อมีทั้งแง่บวก และลบ แต่การกระทำก็ยังเป็นตัวหลักอยู่ดี ในการทำให้เราดำเนินชีวิตไปข้างหน้า หรือข้างหลัง สำหรับผมคิดว่าความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดก่อนเกิดการกระทำเท่านั้นเอง”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจเฟี๊ยต” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” นักอาชญาวิทยา ที่ได้พูดคุยเจาะลึกถึงรากฐานของพฤติกรรมมนุษย์และหลักการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท้าทายความเชื่อ และสิ่งเหนือธรรมชาติที่สังคมยึดถือกันมาอาจารย์ตฤณห์ได้นำเสนอจุดยืนที่ชัดเจนและแตกต่าง โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียง "เรื่องเสพเพื่อความบันเทิง" สำหรับท่านเท่านั้น และย้ำว่าการตั้งคำถามอยู่เสมอคือสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ"ความเชื่อคือเรื่องบันเทิง" เมื่อนักอาชญาวิทยาไม่ยอมให้ใครมาท้าทายตรรกะอ.ตฤณห์ โพธิ์รักษา เป็นอาจารย์และนักอาชญาวิทยาผู้ยึดมั่นในหลักเหตุผลและความยุติธรรม โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียงเรื่องที่ควร "เสพเพื่อความบันเทิง" เท่านั้น ท่านไม่เคยเชื่อในตารางสีเสื้อมงคล แต่เชื่อว่าหลักการสำคัญในการใช้ชีวิตคือ กาลเทศะ โดยยกตัวอย่างว่าสีเนื้อผ้ามีผลต่อการป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น สีสะท้อนแสงในเวลากลางคืนอ.ตฤณห์ ตั้งคำถามเชิงตรรกะต่อความเชื่อเรื่องดวง และราศีอย่างรุนแรง โดยชี้ว่า หากโลกนี้มีคน 1,000 ล้านคน แต่มีเพียง 12 ราศี แสดงว่าคนทั้งหมดจะมีดวงแค่ 12 แบบเท่านั้นหรือ? ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และย้ำว่าการมีศรัทธาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความเชื่อที่ปราศจากการตั้งคำถาม หรือตั้งอยู่บนหลักที่ไม่มีเหตุผล จะกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ดังนั้น การตั้งคำถามอยู่เสมอ คือเกราะป้องกันตนเอง อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้ยิน อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้เห็น และการที่ธุรกิจจะเติบโตได้นั้นมาจากการกระทำ และความตั้งใจของเราเอง ไม่ใช่การถวายไข่ 100 ฟอง โดยที่เราไม่นั่งทำงานดวงดี ดวงร้าย และ "สภาวะจิตไม่ปกติ" เมื่อคำทำนายกลายเป็นคำสั่งให้ระแวงอ.ตฤณห์อธิบายว่า คำว่า "ดวงดี" หรือ "ดวงไม่ดี" เป็นเพียงการปลอบใจตนเอง หรือการโทษสิ่งอื่นเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เช่น สอบตกเพราะไม่ตั้งใจเรียน แต่กลับโทษว่าเป็นเพราะดวงท่านชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการดูดวงหรือคำทำนายล่วงหน้าว่า เมื่อเราทราบคำทำนายแล้ว มันจะทำให้เกิด "สภาวะจิตที่ไม่ปกติ" ซึ่งจะทำให้เรา ดึงทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น ตัวอย่างเช่น หากเราอ่านคำทำนายว่าอาทิตย์นี้จะเกิดอุบัติเหตุ เราจะโฟกัสและระวังเรื่องอุบัติเหตุเป็นพิเศษ จนกระทั่งการเตะโต๊ะเบา ๆ ที่ปกติไม่นับเป็นอุบัติเหตุ ก็จะถูกนับเป็นอุบัติเหตุด้วย ท่านเน้นว่านี่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจมากกว่าดังนั้นการเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องโชคลาง จะช่วยให้เรา ปรับสภาวะจิตใจให้เป็นปกติ และการเชื่อตาม ๆ กันโดยไม่ตั้งคำถาม ทำให้เกิดเป็น ขนบธรรมเนียม ที่แพร่หลาย (เช่น การบวงสรวง หรือการแก้ชง) นั่นเองต้นกำเนิดของการโกหก เราถูกฝึกให้ซ่อนความรู้สึกมาตั้งแต่เด็กอ.ตฤณห์ อธิบายถึงการกำเนิดของพฤติกรรมการโกหกว่า เราเป็นคนสอนให้ลูกชอบโกหกเอง ในทางธรรมชาติ เด็กจะมีอารมณ์ไม่กี่อย่าง เช่น ร้องไห้ หัวเราะ โกรธ แต่เมื่อเด็กร้องไห้ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไม่ปล่อยให้เด็กร้องจนสุดอารมณ์ แต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กเงียบ เช่น การเปิดการ์ตูน, เอาขนมให้, หรือขู่ด้วยเรื่องต่าง ๆเมื่อเด็กเรียนรู้ว่าเวลาที่เขาแสดงอารมณ์จริง ผู้ปกครองจะแสดงความไม่พอใจ เด็กจึงเรียนรู้ที่จะ เก็บอารมณ์และแสดงอย่างอื่นแทน นี่คือขั้นตอนแรกของการฝึกโกหก เช่นเดียวกับการกลัวผีหรือวิญญาณ ซึ่งท่านเชื่อว่าความกลัวเหล่านี้ถูก "สร้างขึ้นโดยผู้ใหญ่" เพื่อเป็นกุศโลบายให้เด็กกลัวความมืดและรีบกลับบ้านดังนั้นการเข้าใจที่มาของพฤติกรรมตนเอง (เช่น การโกหกหรือการเก็บอารมณ์) เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มนุษย์ตามธรรมชาติกลัวสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้เมื่อความอยุติธรรมนำไปสู่กฎหมาย พร้อมบทเรียนจากยุคล่าแม่มดอ.ตฤณห์ เชื่อมโยงความกลัวเข้ากับรากฐานของสังคม โดยชี้ว่าเมื่อมนุษย์หาคำตอบไม่ได้เกี่ยวกับภัยพิบัติหรือความตาย ศาสนจักร จึงเข้ามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและโยนความผิดให้กับเรื่องลี้ลับ เช่น แม่มดหรือซาตานท่านใช้ประวัติศาสตร์ของการล่าแม่มดมาอธิบายถึงความอยุติธรรมที่เป็น ต้นกำเนิดของการกำเนิดขึ้นมาของกฎหมายและอาชญาวิทยา ในกระบวนการพิสูจน์ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดนั้น เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เช่น1.การชั่งน้ำหนัก หากผู้ต้องสงสัยบริสุทธิ์ จะต้องเบากว่าขน นก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเป้าหมายคือการหาแพะมารับโทษ2.การถ่วงน้ำ จับผู้ต้องสงสัยมัดถ่วงน้ำ หากใครสามารถรอดขึ้นมาได้ ถือว่าคนนั้นไม่ใช่คน (เป็นแม่มด) และจะถูกจับขึ้นมาเผาทั้งเป็น ส่วนคนที่จมก็จะจมไปเลย สรุปคือ ไม่มีใครรอดอยู่ดีซึ่งความอยุติธรรมในอดีตสอนให้เราตระหนักถึงความจำเป็นของการมีหลักเหตุผลและความยุติธรรม ในการดำรงชีวิต การเข้าใจรากฐานของสังคมช่วยให้เราตระหนักว่า มนุษย์มีความซับซ้อนและมีชั้นเชิงระดับที่แตกต่างหลากหลายมาก ซึ่งไม่ใช่แค่รหัส 01100 เหมือนระบบ AIเหยื่อวิทยาและภัยจากลัทธิ ทำไมคนเปราะบางถึงตกเป็นเป้าหมายอ.ตฤณห์ อธิบายว่า กลุ่มคนที่ถูกชักจูงเข้าสู่ลัทธิได้ง่ายมักมี สภาวะจิตใจเปราะบาง อ่อนแอ และต้องการที่พึ่ง ซึ่งไม่จำกัดว่าจะเป็นคนรวยหรือจน วิชาเหยื่อวิทยา (Victimology) ได้จำแนกประเภทของเหยื่อเหล่านี้ไว้ เช่น คนอกหัก, คนสติไม่สมประกอบ, คนล้มละลาย, ผู้หญิง, เด็ก, หรือคนชราอ.ตฤณห์เตือนว่า สถานที่ปฏิบัติธรรมมักเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะผู้ที่มาแสวงหาความสงบส่วนใหญ่เป็นคนที่มีทุกข์ (เช่น สูญเสียคนรักหรือล้มละลาย) และมิจฉาชีพมักจะไปล่อลวงคนจากสถานที่เหล่านี้ สำหรับคนที่หลงเชื่อลัทธิอย่างหน้ามืดตามัวจนถึงขั้นขโมยของไปถวายวัด การช่วยทำได้ยาก และต้องได้รับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ การบำบัดต้องเริ่มจากการไม่ให้เข้าถึงเครื่องมือสื่อสารที่พาไปสู่วงจรนั้นได้ดังนั้นหากเรามีอาการที่น่าสงสัย เช่น รู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ, นอนหลับมากไป/น้อยไป, หรือน้ำหนักขึ้นลงเกิน 5 กิโลกรัม ควรหาผู้เชี่ยวชาญปรึกษา อย่าพยายามวินิจฉัยโรคเองทางอินเทอร์เน็ต โดยการเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ควรผ่านการตั้งคำถาม เช่น เรื่องมนุษย์ต่างดาวที่อ้างว่าโทรคุยได้หรือใช้ Line ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลยรักตัวเองคือเกราะป้องกัน กฎเหล็กสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นพิษในเรื่องความสัมพันธ์ อ.ตฤณห์ แนะนำว่า ไม่ควรใช้ทักษะการจับโกหกเพื่อ "ทนอยู่" กับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่ควร รักตัวเอง และให้เกียรติตัวเองมากๆ หากเรามีศักดิ์ศรีและให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่อถูกไม่ให้เกียรติแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถเดินหน้าได้ไวอ.ตฤณห์ เน้นว่า ทุกความสัมพันธ์ต้องมีกฎการอยู่ร่วมกัน เพราะคนสองคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทำตามกฎที่ตกลงกันได้ แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ให้คุณค่ากับชีวิตคู่เท่ากันเรื่องความขี้หึง คนที่ขี้หึงมักเป็นคนที่มี self-esteem ต่ำ (ไม่มั่นใจในตัวเอง) การหึงหวงถึงขั้นรุนแรงที่ทำลายร่างกายหรือจิตใจไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ หากมีปัญหานี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือจิตแพทย์ และการบำบัดต้องทำทั้งคู่ดังนั้นพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นพิษ (Toxic) ในบ้าน เช่น ความรุนแรงทางคำพูด, การด่ากัน, หรือแม้แต่ "การเงียบ" ไม่เคลียร์ปัญหา ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่เป็นพิษ และความรักที่เราเคยรับรู้จากครอบครัว (เช่น พ่อเมาเหล้าซ้อมแม่) อาจฝังอยู่ในหัว ทำให้เรามองว่าความรุนแรงบางรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในความสัมพันธ์สติและวุฒิภาวะทางอารมณ์ การอยู่รอดในสังคมที่มีคนป่วยทางจิต 20%อ.ตฤณห์วิเคราะห์ว่า ในสังคมไทยมีผู้ที่มีปัญหาทางจิตถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้น การจัดการอารมณ์และวุฒิภาวะของตนเองจึงเป็นทักษะสำคัญท่านกล่าวว่าเราสามารถ อนุญาตให้ตัวเองมีความอ่อนแอได้ เพราะไม่มีใครเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญคือวิธีที่เราจะดูแลความอ่อนแอนั้น และวิธีรับมือกับสถานการณ์ ท่านแนะนำว่า "สติ" เป็นยาที่ดีที่สุด การจัดการกับความโกรธนั้นขึ้นอยู่กับ "วุฒิภาวะทางอารมณ์" เช่น การขับรถที่โดนปาดหน้า หากเราด่าในรถแล้วจบ ก็ถือเป็นการระบายอารมณ์ แต่ถ้าเริ่มเปิดกระจกด่า หรือขับรถปาดคืนเพื่อสู้กัน ถือเป็นการขาดวุฒิภาวะการจัดการเหยื่อที่ถูกสต๊อกเกอร์ หากสงสัยว่าถูกสะกดรอยตาม ให้ทดสอบโดยการเดินเลี้ยวขวาหรือซ้าย 3 ครั้ง เพื่อให้กลับมาที่เดิม หากเขายังตามอยู่ให้เก็บหลักฐานและแจ้งความทันทีเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เรียนรู้เส้นทางชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ผู้ตีความกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ ‘พอดีคำ’ สู่ภาพจำ ‘ทนายโซเชียล’

21 ต.ค. 2025

เรียนรู้เส้นทางชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ผู้ตีความกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ ‘พอดีคำ’ สู่ภาพจำ ‘ทนายโซเชียล’

“กฎหมายมันต้องแก้ตลอดเวลา ดังนั้นเราหยุดอ่านหนังสือไม่ได้ โดยเฉพาะนักกฎหมายต้องเรียนรู้ และต้องอัปเดตกฎหมายอยู่บ่อย ๆ และเราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เราทุกคนจำเป็นต้องรู้กฎหมาย”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ทนายแก้ว มนต์ชัย” ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไทย ที่ได้ให้ความรู้ และอธิบายประเด็นทางกฎหมายที่ซับซ้อน และเป็นที่สนใจของสังคมในหลากหลายหัวข้อ เช่นกฎหมายครอบครัว(การฟ้องชู้ สินสมรส),กฎหมายอาญา(การหมิ่นประมาท การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ),ความเข้าใจผิดทางกฎหมาย(การอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย), รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวในการเป็นทนายความและการทำคดีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงการเปลี่ยนความฝันจากการเป็นหมอมาสู่อาชีพทนายความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของภาษาและข้อกฎหมายที่ต้องตีความอย่างละเอียดถี่ถ้วนในคดีข่มขืน นอกจากอาชีพทนายแล้ว ทนายแก้วยังกล่าวถึงธุรกิจส่วนตัวคือร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้วซึ่งมีถึง 27 สาขา และเรื่องราวในครอบครัว รวมถึงแนะนำประชาชนทั่วไปในการเลือกทนายความอีกด้วย เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้ตั้งใจ จากฝันอยากเป็นหมอ สู่ทนายความที่ชื่นชอบกฎหมายทนายแก้วเล่าว่าในวัยเด็ก และช่วงแรกของการศึกษา ท่านมีความฝันที่จะเป็น คุณหมอ เนื่องจากเรียนสายวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เมื่อการสอบเข้าไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ จึงได้ตัดสินใจพัก และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อได้นั่งฟังวิชากฎหมาย โดยเฉพาะวิชากฎหมายอาญา ที่อาจารย์ได้สอนเรื่องการข่มขืนกระทำชำเรา ท่านรู้สึกทึ่งในภาษา และถ้อยคำของกฎหมายที่ต้องใช้ความชัดเจนและสิ้นสงสัยอย่างมาก ทนายแก้วชื่นชมว่า กฎหมายมีความมหัศจรรย์และมีเสน่ห์ ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากที่เคยอยากเป็นหมอ มาเป็นนักกฎหมายอย่างจริงจังจากเรื่องราวพาร์ทนี้จะเห็นว่า บางครั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเราเปิดใจค้นพบ “เสน่ห์” ในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และความหลงใหลนั้นก็กลายเป็นแรงผลักดันให้เราประสบความสำเร็จในที่สุดปริญญาเอกและเนติบัณฑิต เส้นทางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตหลังจากค้นพบความหลงใหลในกฎหมาย ทนายแก้วได้ทุ่มเทอย่างหนัก โดยท่านระบุว่าได้ศึกษาด้านกฎหมายโดยตรงในทุกระดับตั้งแต่ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกด้านกฎหมาย นอกจากนี้ ยังได้เรียนเสริมจนจบ เนติบัณฑิต อีกด้วยท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกฎหมายมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่เป็นนักเรียนกฎหมาย ท่านต้องอ่านหนังสือ และท่องกฎหมาย อย่างหนักถึงวันละ 8-9 ชั่วโมง ท่านมองว่านักกฎหมายที่ดีต้องมีความเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง และต้องติดตามความเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงของหลักฐานทางกฎหมาย เช่น ปัจจุบันข้อความจากการแชทไลน์สามารถใช้ฟ้องร้องได้ซึ่งความรู้ในวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่ง หากต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราต้องทุ่มเทให้กับการอ่านและการทบทวนอยู่เสมอ เพราะกฎหมายนั้น "ต้องแก้ตลอดเวลา""ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้ว” ทนายความที่มาพร้อมการเป็นนักธุรกิจ 27 สาขานอกเหนือจากการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่มักปรากฏตัวในรายการ "โหนกระแส" และเชี่ยวชาญคดีสังคม (เช่น พินัยกรรม มรดก กฎหมายครอบครัว และกฎหมายแพ่ง) ทนายแก้วยังเป็นนักธุรกิจด้วย โดยเป็นเจ้าของร้าน ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเฮียแก้ว ซึ่งมีมากถึง 27 สาขา ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากความชอบส่วนตัวในการทานเป็ดพะโล้ที่คุณแม่ชอบซื้อมาให้ตั้งแต่เด็กนั่นเองเดิมพันชีวิตเพื่อชาวบ้าน สู่คดีที่ทนายแก้วประทับใจที่ได้ทำหนึ่งในภารกิจที่ทนายแก้วภาคภูมิใจที่สุดคือการทำงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยไม่หวังผลตอบแทน ในปี 2564 ท่านได้รับมอบหมายจากสภาทนายความให้เป็นหัวหน้าชุดดูแลช่วยเหลือชาวบ้านที่ ต.นาเคียน และ ต.นาซราย จ.นครศรีธรรมราช ในคดีบ่อขยะขนาดใหญ่ บ่อขยะดังกล่าวมีขนาดเทียบเท่า 6 สนามฟุตบอล และกองสูงถึง 10 ชั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและนาข้าวของชาวบ้านมากว่า 10 ปี คดีนี้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลล้วน ๆ และมีการโทรมาข่มขู่ แต่ท่านก็เดินหน้าฟ้องหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถึง 14 หน่วยงาน ในที่สุด ศาลปกครองกลางได้พิพากษาให้ชาวบ้านชนะคดี แม้ว่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับจากสภาทนายความจะน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเห็นรอยยิ้มของชาวบ้าน การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลหรือความอยุติธรรม เป็นความภาคภูมิใจที่เหนือกว่าผลตอบแทนทางวัตถุแสงสว่างในความมืด บทบาทของทนายความยุคใหม่ทนายแก้วยังได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของนักกฎหมายและประชาชน ไว้ดังนี้1.การช่วยบรรเทาความทุกข์ ท่านเน้นย้ำว่าผู้ที่ถูกฟ้องหรือตกเป็นจำเลยจะรู้สึกเหมือน "ไฟเผาทรวง" คือมีความทุกข์ทรมานใจและกระวนกระวายอย่างมาก ท่านจึงฝากถึงนักกฎหมายว่า หากมีความรู้ก็ควรเร่งช่วยตอบและอธิบายแก่ชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาคลายความกังวลและได้หลับสบาย2.สิทธิของจำเลย ท่านอธิบายถึงหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญว่า ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษา ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ การที่สื่อมักเบลอใบหน้าผู้ต้องหาก็เป็นไปตามสิทธินี้3.หลักการทำงานของทนายความ ทนายความมีหน้าที่ให้ข้อดีข้อเสียแก่จำเลย เช่น การแนะนำให้รับสารภาพเพื่อรับโทษที่เบาลง หรือการช่วยเขียนฎีกา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องช่วยให้จำเลยหลุดพ้นจากคดีเสมอไป4.ประชาชนควรรู้กฎหมาย กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลอ้างว่า "ไม่รู้กฎหมาย" ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงควรมีความรู้พื้นฐานทางกฎหมายติดตัวไว้บ้าง เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้กระทำความผิดในช่วงท้าย ทนายแก้ว ยังได้ฝากข้อคิดแรงบันดาลใจไว้ว่า "เราทำความดีต่อไปเถอะ อย่าไปท้อแท้" ในฐานะพลเมืองในสังคม เราต้องมีความเอื้อเฟื้อ และการใช้ความรู้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของนักกฎหมายเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ถอดแรงบันดาลใจการทำเพลงของ “ตู่ ภพธร” พร้อมวิธีเลี้ยงลูกแบบ 'ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ' ที่เลือกสอนลูกในช่วงเวลากลางคืน

14 ต.ค. 2025

ถอดแรงบันดาลใจการทำเพลงของ “ตู่ ภพธร” พร้อมวิธีเลี้ยงลูกแบบ 'ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ' ที่เลือกสอนลูกในช่วงเวลากลางคืน

“กับลูก เราเล่นกันแบบเป็นเพื่อน แต่สอนแบบพ่อแม่ เราเลี้ยงลูกโดยเน้นเหตุผล และพยายามคุยกับเขาเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เราจะอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ถึงทำได้หรือทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่สั่งห้ามเฉย ๆ โดยไม่ให้เหตุผล เช่น หากลูกอยากเล่นอะไรที่เสี่ยง เราก็จะสอนวิธีที่ปลอดภัยและให้ระวัง แทนที่จะห้ามไปเลย เพราะผมไม่ชอบให้เด็กถูกห้ามจนไม่กล้าทำไปเลยโดยการขู่ และรอสอนลูกในช่วงที่คิดว่ามีสติ สมาธิที่กำลังดี โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนก่อนนอน เพราะลูกจะสงบที่สุด และไม่มานั่งเถียง ทำให้รับฟังเรื่องราวที่ต้องการสื่อสารได้ดี”ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้”ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ตู่ ภพธร” นักร้องและนักแสดงชาวไทย ที่ได้แชร์เรื่องราวที่มาของภาพลักษณ์ในปัจจุบันที่ดูสนุกสนานขึ้น เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์อบอุ่นในอดีต จากนั้นได้กล่าวถึง ภูมิหลังในวัยเด็ก รวมถึงการเริ่มต้นเรียนดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น 12 ปีที่สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาเริ่มอาชีพเป็น นักร้องตามร้านอาหารไทย ก่อนจะได้รับโอกาสกลับมาทำงานเพลงในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึง การรับมือกับความเครียด ในชีวิต และ การเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองคน ในสไตล์ที่เน้นการใช้เหตุผลและความเข้าใจ รวมถึงผลงานการแสดง และแผนงานเพลงที่จะมีขึ้นในปีหน้า เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการเสียงดนตรีจากวันวาน...สู่การค้นหาตัวเองในต่างแดนย้อนไปเมื่อวัยเด็ก ตู่ ภพธ เริ่มต้นเรียนคีย์บอร์ดตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ที่สยามกลการ ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งกาจในการเล่น แต่ก็ถือเป็นการสร้างพื้นฐานด้านดนตรีและการฟังที่ดี ครอบครัวของเขา โดยเฉพาะคุณแม่ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เขาได้เรียนรู้ดนตรี ในวัยเด็ก เขาค้นพบว่าตนเองชอบการร้องเพลง และเริ่มร้องเพลงต่อหน้าผู้คนตามงานญาติหรือพิธีแต่งงาน โดยมักจะได้รับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นค่าตอบแทน ซึ่งปลูกฝังความคิดที่ว่า "ร้องเพลงต้องได้เงิน"เมื่ออายุ 13 ปี ตู่ ภพธร ได้ย้ายไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณแม่และพี่สาว เป็นเวลา 12 ปี การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากแยกทางกับคุณพ่อ แม้ว่าคุณตู่จะมีความรู้สึก “อยากไป”เพราะมองว่าอเมริกาเป็นแหล่งรวมของเล่นและสิ่งที่เห็นในหนัง แต่เมื่อไปถึง เขากลับรู้สึก “เหงาสุด ๆ” เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและแตกต่างจากเมืองไทย เขาต้องใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตัวในช่วงที่อยู่ที่นั่น เขาได้เรียนรู้การทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เช่น ช่วยคุณแม่ทำงานที่ร้านอาหารไทย เก็บโต๊ะ หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟในช่วงปิดเทอม เพื่อหาเงินค่าขนมจากชีวิตพาร์ทนี้ ทำให้เราเรียนรู้ว่า รากฐานสำคัญเสมอ การเรียนรู้พื้นฐานใด ๆ ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือทักษะอื่น ๆ จะเป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสในอนาคต และ ความเหงาคือส่วนหนึ่งของการเติบโต การเผชิญหน้ากับความเหงาและความแตกต่างในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เป็นบททดสอบที่ทำให้เกิดการปรับตัวและเรียนรู้จากนักร้องร้านอาหาร สู่จุดหักเหที่ชวนให้คิดถึงงานเสิร์ฟหลังเรียนจบหลักสูตร Certificate Course ด้าน Entertainment ในอเมริกา ตู่รู้สึกเคว้งคว้างและไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อหรือหางาน แต่ชีวิตนักร้องก็เริ่มต้นขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเขาไปเที่ยวร้านอาหารไทยกับเพื่อน และถูกชวนให้ไปร้องเพลงกับคาราโอเกะในร้าน เขาได้รับโอกาสเป็นนักร้องในร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ และร้องเพลงอยู่ 5 ปีตู่ได้พบกับ พี่บอย โกสิยพงษ์ ผ่านการร้องประสานเสียงให้กับ พี่นภ พรชำนิ และพี่บอย ในคอนเสิร์ตที่อเมริกา พี่บอยชักชวนให้เขากลับมาร้องเพลง "จะทำยังไง" ในอัลบั้ม RB Boy 11 ซึ่งเป็นเพลงแรกในฐานะนักร้องอาชีพของเขาในไทยในช่วงแรกของการทำงานกับค่าย LOVEiS ที่เป็นค่ายอินดี้ คุณตู่ต้องดูแลตัวเองทั้งเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เนื่องจากพี่บอยไม่เชื่อเรื่องช่างแต่งหน้า เขามักถูกแซวว่าดูเหมือนช่างเทคนิคหลังเวที เพราะหน้ามัน ทำให้ต้องไปซื้อแป้งมาทาเอง และเริ่มเรียนรู้การแต่งหน้าด้วยตัวเองหลังจากช่วงโปรโมทเพลงจบลง งานของตู่ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เขาเคยรู้สึกท้อแท้มาก จนคิดจะกลับอเมริกาไปทำงานเสิร์ฟเหมือนเดิมเพื่อประทังชีวิต เขาต้องขายทรัพย์สินชิ้นเดียวที่มีคือรถยนต์ที่แม่ซื้อให้ ซึ่งกลายเป็นเงินสำรองที่ค่อย ๆ หมดไป ในช่วงที่ไม่มีงานทำและเหงาจัด เขาใช้การ "เดิน" ทางไกล (เช่น เดินจาก BTS พระโขนงไปถึงแยกคลองตัน) เพื่อให้ตัวเองเหนื่อยจะได้ไม่คิดมาก และกลับไปพักผ่อนแม้จะโดนดูถูกหรือขาดความมั่นใจในเรื่องที่ไม่ถนัด (เช่น การดูแลภาพลักษณ์) ก็ต้องพยายามหาทางพัฒนาตัวเองและทำสิ่งที่จำเป็น เมื่อเผชิญกับช่วงตกต่ำ การหาทางออกเพื่อปลดปล่อยอารมณ์หรือทำให้ตัวเอง "หายเหนื่อย" (เช่น การเดิน) เป็นวิธีที่ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงยากลำบากไปได้การจัดการอารมณ์และการเติบโตบนเส้นทางศิลปินคุณตู่ยอมรับว่าในอดีตเขาเป็นคน "ใจร้อน" แต่ ณ ปัจจุบัน เขาพยายามทำตัวเองให้ "ใจเย็น" มากขึ้น เพราะต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก และตระหนักว่าความใจเย็นช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุด โดยวิธีการจัดการความเครียดและความโกรธของเขาคือ การหายใจลึก ๆ (Bubble Breathing) ที่เขามักสอนลูก และนำมาใช้กับตัวเองเพื่อให้กลับมาอยู่กับลมหายใจและสมาธิ รวมไปถึง การปล่อยวางและเตือนตัวเอง พยายามปล่อยให้เร็วที่สุดและคิดอยู่เสมอว่าความโมโหนั้น "ไม่คุ้มกัน" เพราะมันส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว และรู้จัก การรอเวลา เขาเชื่อว่าปัญหาหลายเรื่องเมื่อเวลาผ่านไปมันจะดูไม่ใหญ่เท่าไหร่นอกจากการร้องเพลงแล้ว ตู่ยังได้เข้าสู่วงการแสดงจากการชักชวนให้ไปแคสติ้งละครเวทีเรื่องแรกคือ น้ำใสใจจริง The Musical ซึ่งเขาพบว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากแต่สนุก และได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และตู่เคยได้รับบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูด Thirteen Lives ที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียในช่วงโควิด แม้จะเป็นงานเล็ก แต่เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้ลอง เพราะได้เห็นวิธีการทำงานโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่ ได้ฝึกดำน้ำเพื่อเข้าฉาก และได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้กำกับและนักแสดงที่ชื่นชอบวินาทีประทับใจที่ไม่ลืม ช่วงที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียนั้นตรงกับช่วงที่ภรรยา (คุณนุช) กำลังจะคลอดลูกคนที่ 2 เขาได้ตัดสินใจ แอบนำโทรศัพท์มือถือเข้ากองถ่าย เพื่อ Face Time คุยกับภรรยาในขณะที่กำลังคลอด โดยซ่อนโทรศัพท์ไว้หลังรูปจ่าแซม ซึ่งเป็น Prop ที่ต้องถือเข้าฉากพอดี เหตุการณ์นี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจและได้เห็นความเข้าใจกันในครอบครัวพาร์ทนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า หากได้ทำสิ่งที่รัก (เช่น การแสดงในหนังที่ชื่นชอบ) แม้จะเป็นบทบาทเล็ก ๆ ก็ยังคุ้มค่า เพราะได้เรียนรู้ ได้เห็นวิธีการทำงานที่ยิ่งใหญ่ และความใจร้อนมีแต่เสีย การฝึกตัวเองให้ใจเย็น การรู้จักปล่อยวาง และการเตือนตนเองอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตโดยเฉพาะเมื่อมีครอบครัวพ่อผู้ใช้เหตุผล และรักที่ต้องเติมเต็มตู่และภรรยาเลี้ยงลูกสาวสองคนด้วยวิธีการแบบสมัยใหม่ โดยเน้นการใช้ "เหตุผล" พยายามคุย และอธิบายลูกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และจะไม่ห้ามโดยไม่มีเหตุผล โดยตู่จะพยายามดุด้วยความเฟิร์มแบบไม่ใช้อารมณ์และมีเทคนิคเฉพาะที่เรียนรู้มาจากภรรยาคือการ สอนลูกในช่วงกลางคืนก่อนนอน เพราะเป็นช่วงที่ลูกสงบที่สุด และจะตั้งใจฟังตู่ยอมรับว่าหลังจากมีลูกสองคนแล้ว เวลาระหว่างเขากับภรรยาจะน้อยลง ทุกอย่างจะนึกถึงแต่ลูก ทำให้ต้องคอย เตือนตัวเองให้เติมความหวานให้กัน เช่น การหาเวลากินข้าวด้วยกัน การกอด หรือการหอมกันเมื่อนึกขึ้นได้ แม้เขาจะไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกมากนัก แต่ก็เคยเซอร์ไพรส์ภรรยาด้วยการทำเค้กให้ตู่มองว่า ลูกและครอบครัวคือความสุขและเป็นเหตุผลที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ เขาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความสุขกับการเลี้ยงลูก และใช้เวลากับช่วงวัยที่ลูกยังน่ารัก มาออดอ้อน เพราะช่วงเวลานั้นสั้นมาก (ก่อนอายุ 10-15 ปี)การสอนลูกด้วยเหตุผล การให้เกียรติพวกเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการสื่อสาร (เช่น ก่อนนอน) จะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพ และในชีวิตคู่ที่มีลูก การเติมความหวาน และการใช้เวลาร่วมกันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง "เตือนตัวเองให้ทำ" เพราะเป็นสิ่งที่สามารถลืมได้ง่ายข้อคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ และเส้นทางในอนาคตสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิง ตู่เน้นย้ำว่า "ฝึกฝนมาให้พร้อมที่สุด" ก่อนที่โอกาสจะมาถึง เขาแนะนำให้ใช้ช่องทางออนไลน์ในการเรียนรู้ (เช่น Masterclass) และใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้ตัวเอง เพราะปัจจุบันการหานักแสดงหรือนักร้องใหม่ ๆ อาจไม่ได้มาจากการแคสติ้งทั่วไป แต่มาจากช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องมีความขยัน มีวินัย และคิดอย่างมีกลยุทธ์ตู่ยืนยันว่าในปี 2026 จะมีผลงานเพลงใหม่ออกมาปล่อยเป็นซิงเกิล และวางแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตหลังจากนั้น แม้ว่าชีวิตส่วนตัวจะมีความสุขและอบอุ่น แต่ตู่ยังคงชอบที่จะร้องเพลงเศร้า เพราะเชื่อว่าเพลงเศร้าช่วยคนฟังได้ เป็นเหมือนขั้นตอนในการเยียวยาตัวเอง โดยการเศร้าให้สุดแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เขาเชื่อว่าคนเล่าเรื่องไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องของตัวเองเสมอไปเปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1