“น้ำเต้าหู้” ประโยชน์คับแก้ว

HEALTHY LIFESTYLE

“น้ำเต้าหู้” ประโยชน์คับแก้ว

29 ส.ค. 2023

1.หลายคนดื่มน้ำเต้าหู้เพื่อลดความอ้วน ลดน้ำหนัก และไขมัน
            มีงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองประสิทธิผลของนมวัว นมถั่วเหลืองปรุงแต่ง และอาหารเสริมแคลเซียมที่มีผลต่อการลดไขมันในผู้หญิงก่อนวัยทองที่มีภาวะอ้วน และภาวะน้ำหนักเกิน พบว่าการบริโภคนมไขมันต่ำอย่างนมถั่วเหลืองปรุงแต่ง ช่วยลดภาวะอ้วนและภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มตัวอย่างทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกหนึ่งการทดลองได้เปรียบเทียบประสิทธิผลของน้ำเต้าหู้กับนมวัวขาดมันเนยกับระดับไขมันในเลือดและการทำปฏิกิริยากับผนังเซลล์ไขมัน (Lipid Peroxidation) ในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ผลลัพธ์ที่ได้ชี้ว่าน้ำเต้าหู้มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันในเลือดและลดการเกิดปฏิกิริยาที่สารอนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในผนังเซลล์ ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูง


            ส่วนการทดลองเพื่อหาประสิทธิผลในการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายด้วยเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลือง โดยทำการทดลองในกลุ่มตัวอย่างชาวฝรั่งเศสที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงในกลุ่มความเสี่ยงระดับปานกลาง ผลที่ได้คือ การบริโภคเครื่องดื่มจากถั่วเหลืองที่มีสารแพลนท์ สเตอรอล (Plant Sterol) ช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลชนิดเลว (non-HDL และ LDL) ลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า น้ำเต้าหู้อาจช่วยควบคุมและลดระดับไขมันในผู้ป่วยที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงที่อยู่ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง


2.น้ำเต้าหู้บำรุงกระดูก
            การทดลองเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมถั่วเหลืองที่มีสารไอโซฟลาโวนที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตและกระบวนการสร้างหรือสลายกระดูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนชาวสเปน พบว่าการบริโภคนมถั่วเหลืองช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินดี และช่วยลดกระบวนการสลายกระดูก นอกจากนั้น การบริโภคสารไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองเพิ่มเติม อาจช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่างได้ และช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกได้อีกด้วย


3.สำหรับคนที่ความดันสูงเป็นประจำ น้ำเต้าหู้ช่วยลดความดันโลหิต
            มีการทดลองศึกษาประสิทธิผลของเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลือง ในด้านคุณค่าทางโภชนาการและอิทธิพลต่อการลดน้ำหนัก พบว่าเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลืองอาจช่วยลดระดับความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลงได้ ซึ่งเป็นความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว ในกลุ่มตัวอย่างเยาวชนเพศหญิงที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน อย่างไรก็ตาม ในการทดลองนี้ยังไม่พบผลลัพธ์ในด้านน้ำหนักตัวที่ลดลง หรือขนาดเส้นรอบเอวที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด


            อีกงานทดลองที่ศึกษาผลลัพธ์จากการบริโภคน้ำเต้าหู้ที่สัมพันธ์กับระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะไตผิดปกติร่วมด้วย พบว่าการบริโภคน้ำเต้าหู้มีผลต่อการควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มนี้ค่ะ


4.มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน
            จากการค้นคว้าหาประสิทธิผลของการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันทั้งก่อนมื้ออาหาร 30 นาที และพร้อมมื้ออาหารในกลุ่มทดลองเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี เพื่อศึกษาหาอิทธิพลต่อระบบย่อยอาหาร ระดับน้ำตาลและสารอินซูลินในเลือด พบว่า การดื่มนม ทั้งนมถั่วเหลืองและนมวัวก่อนมื้ออาหาร 30 นาที จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้มากกว่าการดื่มพร้อมมื้ออาหาร ซึ่งวิธีการนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานจากการบริโภคอาหารที่มีค่า GI สูง (Glycemic Index: ค่าดัชนีน้ำตาล) ซึ่งยังต้องค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดและเป็นประโยชน์ในอนาคต


5.ลดความเครียดแถมยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย
            งานวิจัยมากมายได้นำเสนอประสิทธิผลของน้ำเต้าหู้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง มีงานวิจัยหนึ่งที่สนับสนุนคุณประโยชน์ของโปรตีนถั่วเหลืองเช่นกัน แต่นำเสนอในด้านที่แตกต่าง คือ การทดลองให้ผู้ป่วยกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) บริโภคโปรตีนถั่วเหลืองในปริมาณแต่น้อยเพียง 25 กรัม ทุกวัน ผลคือกลุ่มทดลองได้บริโภคโปรตีนถั่วเหลืองปริมาณ 25 กรัม ทุกวัน เป็นเวลา 90 วัน โดยไม่พบผลข้างเคียงในการทดลองนี้ และยังเป็นประโยชน์ในทางรักษา คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มไขมันดี (HDL) ในผู้ป่วยกลุ่มอาการเมตาบอลิกอีกด้วยค่ะ
      

            พูดง่ายๆคือน้ำเต้าหู้อุดมไปด้วยโปรตีนและฮอร์โมนเอสโตรเจน น้ำเต้าหู้ มีคุณสมบัติ ช่วยเพิ่มพลังและขจัดความอ่อนแอให้กับร่างกาย ลดสารตะกั่วในเลือด ช่วยป้องกันตับไม่ให้ถูกทำลายได้ง่าย และยังช่วยให้เมทาบอริซึมในร่างกายเผาพลานทำงานดีขึ้น แนะนำผู้สูงอายุดื่มบ่อยๆจะช่วยไม่ให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว หรือโรคกระดูกพรุนได้ง่ายอีกด้วยนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

related HEALTHY LIFESTYLE

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

01 พ.ย. 2022

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

ตื่นเช้ามาอากาศเย็นๆ พอเที่ยงๆเริ่มแดดออก ตกบ่ายฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก…ปรับการใช้ชีวิตกันไม่ทันแล้วค่ะ แล้วอารมณ์ของเราจะปรับทันหรอ จริงมั้ยคะ ? บางวันแอดตื่นมาก็รู้สึกเหนื่อยๆ มองท้องฟ้าครึ้มๆยิ่งรู้สึกเศร้าใจ โดยไม่มีสาเหตุ บางวันแดดร้อนมากๆก็รู้สึกหงุดหงิด นั้นเป็นเพราะอากาศส่งผลต่ออารมณ์ของเรานั้นเองภาพจาก pixabay.com ในทางการแพทย์กล่าวว่า อุณหภูมิที่อยู่ภายนอกมักจะส่งผลต่อระบบการทำงานในร่างกายของตัวเราด้วยยิ่งอากาศลดต่ำลงการทำงานของร่างกายก็จะช้าลง และยังสอดคล้องในเรื่องของระยะเวลาการเกิดกลางวันกลางคืนอีกด้วย ซึ่งช่วงฤดูหนาวเวลากลางวันจะสั้นกว่าช่วงกลางคืน ทำให้ส่งผลต่อนาฬิกาในการใช้ชีวิตของเรา หรือการดำเนินชีวิตของเราก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย ทำให้ร่างกายมีการทำงานและมีกลไกบางอย่างที่ทำงานผิดปกติไป หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับอุณหภูมิภายนอก ก็จะส่งผลให้เกิดอาการทางจิตเวชตามมาภาพจาก brandinside.asiaหรือที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล Seasonal affective disorder (SAD) คือ โรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่จะเกิดในช่วงเวลาเดียวกัน ในแต่ละปี และมักจะเกิดขึ้นในหน้าหนาว อาจจะทำให้มีอากาศ ซึมเศร้า เก็บตัว รู้สึกเหนื่อยล้าแล้วแบบนี้มีวิธีแก้ไหมนะ?ภาพจาก sunawaythailand.comหากไม่อยากอารมณ์เปลี่ยนไปตามอากาศแบบนี้ก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ง่ายๆ1.เปิดม่าน ให้ร่างกายได้โดนแดดอ่อนๆในยามเช้า เพราะแสงแดดมีสารที่ชื่อว่า เซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น2.เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กล้วย ถั่ว ป๋นอาหารที่ช่วยสร้าง เซโรโทนิน ทำให้เราอารมณ์ดี3. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30-60 นาทีต่อวัน นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้นค่ะ ถ้ามีอาการ บางทีก็เศร้าซึมแบบไม่ทราบสาเหตุ อย่าพึ่งคิดมากนะทุกคน บางทีอาจจะเป็นเพราะ สาเหตุข้างต้นได้ เพราะฉนั้น ลองแก้ไขตามวิธีที่แอดให้ไปก่อน หรือวิธีที่ง่ายที่สุด เปิดเพลงฟังให้สบายหู ที่ Green Wave 106.5 FM ก็จะช่วยให้อารมณ์ดีได้นะคะ และหากบทความนี้เป็นประโยชน์ก็แชร์ให้เพื่อนๆได้รู้กันได้เลยน้าแหล่งอ้างอิง : https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/men-improve-sex-life-doing-householdแหล่งอ้างอิง : https://nph.go.th/?p=4758แหล่งอ้างอิง : https://www.alljitblog.com/?p=3710

ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับการนอน

10 พ.ค. 2022

ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับการนอน

วันนี้มีเคล็ดลับการนอนเพื่อสุขภาพดีดีจากศาสตร์แพทย์แผนจีนมาฝากค่ะเพราะช่วงเวลานอนเป็นช่วงเวลาสุดมหัศจรรย์ที่ร่างกายเราใช้ปรับสมดุลหลังจากเผชิญการทำงานหนักและอารมณ์ที่หลากหลายมาทั้งวันถ้านอนดี นอนได้มีคุณภาพ ก็ถือเป็นการรีเซ็ตในแต่ละวัน และเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีเยี่ยมเลยค่ะแต่ยังมีความเข้าใจผิดๆ เรื่องการนอนอยู่มากส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันบ้าง ตามไปดูกันค่ะ 1.ดื่มเหล้าหรือของมึนเมาแล้วทำให้นอนหลับ สำหรับบางคนอาจเชื่อว่า เมื่อเราดื่มจนเมามายแล้ว จะช่วยให้หลับได้ง่ายเพราะเมื่อร่างกายดูดซึมแอลกอฮอล์ อาจรู้สึกมึนหัวง่วงนอนแต่ในความเป็นจริง พอตื่นนอนก็จะรู้สึกปวดหัว และไม่กระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ตับซึ่งทำหน้าที่ล้างพิษในร่างกายถ้าแอลกอฮอล์เข้าสู่ตับจำนวนมาก จะทำให้ตับเกิดภาวะอักเสบอาจจะทำให้เป็นโรคตับแข็ง หรือโรคตับอักเสบ คนไข้จะมีอาการหงุดหงิดง่ายอารมณ์แปรปรวน ปวดท้องได้ง่ายอีกด้วยค่ะ 2.นอนวันละ 8 ชั่วโมงยังรู้สึกไม่พอ ความต้องการในการนอนหลับขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่จำเป็นต้องนอนครบ8ชม.ขอให้ตื่นแล้วสดชื่นก็เพียงพอ บางคนนอนไป8 - 10ชม.ตื่นมาก็ยังไม่กระปรี้กระเปร่า ทางแพทย์แผนจีนเรียกว่า "นอนมาก"เกิดจากหลายสาเหตุหลักๆมาจากม้ามอ่อนแอ ทำให้กักเก็บพลังในร่างกายได้น้อยลงไปด้วยเหมือนแบตเตอรี่ที่ใกล้เสื่อมสภาพ ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรอยากนอนตลอดเวลา 3.นอนก่อน 5ทุ่ม แต่ยังคิดโน้นคิดนี่ ตื่นเป็นเวลาดีกว่านอนเป็นเวลานะคะบางคนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่ได้หลับตอนตี2คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับแม้เข้านอนเร็ว ก็อาจไม่หลับจนถึงเช้า ซึ่งมาจากปัจจัยหลายสาเหตุ เช่นใจสั่นง่าย ใจร้อนง่าย กังวล เครียด จนทำให้นอนไม่หลับ อันนี้ไม่ไหวนะคะตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น ซึ่งแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการนอนมากโดยเฉพาะการหลับก่อน5ทุ่มที่ตับต้องดึงเลือดมาเก็บไว้ เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนแล้วนอนหลับมากไปกว่านี้ ช่วงเวลานั้นร่างกายของเรายังผลิตสารและฮอร์โมนต่างๆรวมทั้งโกรทฮอร์โมนสำหรับเด็กๆ ที่ช่วยเรื่องการเจริญเติบโต (และทำให้สูง)อีกด้วยค่ะ 4.ออกกำลังกายก่อนนอน บางครั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังอาจทำให้เรารู้สึกง่วงจึงคิดว่าการออกกำลังกายก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ในทางแพทย์แผนจีนเวลานอนหลับนั้นเลือดจะไหลกลับไปและเก็บไว้ที่ตับแต่กลับกันการออกกำลังกายเลือดจะออกมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและผิวหนังทำให้ร่างกายเกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจจะทำให้นอนไม่หลับนะคะ 5.วันทำงานนอนไม่อิ่ม มานอนชดเฉยในวันหยุด ในวันหยุดหลายคนอาจจะนอนถึงเที่ยงแล้วค่อยตื่นการนอนชดเชยในหลักแพทย์แผนจีนนั้นไม่มีนะคะเพราะตื่นมาอาจจะเหนื่อยกว่าเดิม และก็ปวดตามเนื้อตามตัวแนะนำให้ตื่นเป็นเวลาแม้ในวันหยุดก็ตาม เพราะช่วงเวลากลางวันพลังหยางมากส่วนช่วงเวลากลางคืนพลังหยินมาก พลังหยินใช้เวลานอน พลังหยางใช้เวลาตื่นการนอนในช่วงเวลาที่พลังหยางมากจึงทำให้เมื่อเราตื่นเที่ยง จึงไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนตื่นเช้านั่นเองค่ะ นอนน้อยก็ไม่ดี นอนมากไปก็ไม่ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอน่าจะดีที่สุด แต่ถ้าใครนอนไม่หลับ Green Wave อยู่เป็นเพื่อนคุณตลอด 24 ชั่วโมงนะคะ ^^ ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ไม่อยากเป็นเกาต์ ให้เค้าดูแลสิ

01 มี.ค. 2022

ไม่อยากเป็นเกาต์ ให้เค้าดูแลสิ

โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากผลึกของ Monosodium Urate Monohydrate ตกตะกอนในข้อ ซึ่งมีผลมาจากกรดยูริก ซึ่งเป็นผลผลิตของกระบวนการเมตาบอลิสซึ่มของสารพิวรีน (Purene metabolism) ฟังแล้วอาจจะงง แต่ถ้า พิวรีนสูงมากจนตกตะกอนเป็นผลึกของยูเรทสะสมตามข้อต่อเนื้อเยื่อ รอบๆ ข้อและไต ทำให้พบผลึกนี้ในเม็ดเลือดขาวของน้ำไขข้อจากการเจาะข้อที่กำลังอักเสบได้เลยนะคะโรคเกาต์เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงส่วนมากพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป เพราะผู้ชาย ชอบกินเหล้า กินเบียร์ จริงๆ แล้วการขับยูริกในผู้หญิงจะดีกว่าผู้ชายส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือนค่ะปวดเกาต์ ปวดแรกๆมักจะเป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่พบส่วนมาก จะเป็นนิ้วหัวแม่เท้า ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจพบในผู้ป่วยบางราย ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง เอาหลังมือไปวัดจะร้อนและแดง ขณะที่เดินอาการ เริ่มทุเลา ผิวหนังบริเวณนั้นจะลอกและคันได้ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการปวดในช่วงตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง หรือ หลังกินเลี้ยง โต๊ะจีนมื้ออาหารที่กินมากกว่าปกติ หรือ เดินสะดุด บางครั้งอาจมีอาการขณะมีภาวะความเครียดทางจิตใจก็อาจจะทำให้ปวดได้ค่ะถ้าปวดเกาต์ข้อที่ปวดจะมีลักษณะ บวม แดง ร้อน อาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจมีตุ่มขึ้นใสๆ หรือมีน้ำไหลออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจะทำให้เกิดภาวะข้อพิการ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะแทรกซ้อนตามมาได้และเป็นโรคไตในที่สุดค่ะนอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์มักมีโอกาสเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากกว่าคนปกติ และหากไม่ได้ควบคุมโรคเหล่านี้ ในที่สุดก็อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบและไตวายได้นะคะ1. อาการปวดจาก ลม-ชื้น-ร้อนอาการอักเสบเฉียบพลัน มักเกิดเวลากลางคืนมีไข้ร่วม กระหายน้ำ แน่นหน้าอกปวดหัว เหงื่อออก ปัสสาวะเข้ม ท้องผูก- อาการโรคเกาต์ตามกลุ่มอาการลมร้อนชื้น ทานยาสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณ แก้ปวด ขับร้อน ขับชื้น สลายลมร้อน2. อาการปวดจาก ลม-เย็น-ชื้น ข้อบวม อักเสบ เคลื่อนไหวข้อลำบาก มีก้อน Tophiถ้าลมเยอะตำแหน่งข้อที่อักเสบจะเปลี่ยน ถ้าความเย็นมาก จะปวด อักเสบมากและเป็นเฉพาะบางที่ ถ้าความชื้นมาก ข้อจะหนัก ไม่เปลี่ยนตำแหน่ง ร่วมกับอาการชาร่วมด้วย- อาการตามกลุ่มลมเย็นชื้น และม้ามพร่อง ทานยาสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณ แก้ปวด สลายลมเย็น ขับชื้น อุ่นเส้นลมปราณ บำรุงม้าม3. อาการปวดจากเสมหะอุดตันเป็นระยะข้ออักเสบเรื้อรัง ข้อผิดรูป มีก้อน Tophi มากจนทะลุออกมา ผิวหนังเปลี่ยนสีลิ้นซีดและใหญ่หรือเป็นสีม่วงคล้ำ มีตำรับยาสมุนไพรจีนต่างๆ หลายตำรับสำหรับอาการปวดบวมแต่ละชนิด- อาการโรคเกาต์ตามกลุ่มอาการเสมหะอุดตัน ทำการฝังเข็มตามจุดเส้นลมปราณที่มีสรรพคุณ แก้ปวด สลาย และขับเสมหะฝังเข็มตามกลุ่มอาการ ทำการฝังเข็มปรับสมดุลร่างกายตามกลุ่มอาการต่างๆ ลดเสมหะ ขับลม ลดร้อน หรือลดเย็น ขึ้นอยู่กับหัตถการของแพทย์แต่ละท่านถ้ารู้ว่าเป็นเก๊าต์หรือยูริกสูง ควรปฏิบัติตัวยังไง เรามีคำแนะนำจากแพทย์แผนจีนมาฝากค่ะ1. ควรดื่มน้ำสะอาดให้ปริมาณเพียงพอ เพื่อป้องกันนิ่วในไต2. กรณีอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย ไม่ควรลดแบบหักโหมฮวบฮาบ เพราะอาจทำให้มีการสลายตัวของเซลล์รวดเร็วเกินไป และมีการสร้างกรดยูริก ทำให้ข้ออักเสบกำเริบได้ค่ะ3. ควรงดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์4. ควรระวังอย่าให้ข้อกระดูกได้รับบาดเจ็บ5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา ปลาซาร์ดีน หอย กะปิ อาหารที่มียีสต์ และยอดผักชนิดต่างๆสมุนไพรที่ช่วยลดการเกิดเก๊าต์1.ลูกเดือยสรรพคุณของลูกเดือยนั่นก็คือ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน ขับความชื้นบำรุงสุขภาพ บำรุงไต ม้าม บำรุงเลือดลม อีกทั้งยังบรรเทาอาการโรคเก๊าต์ จากความร้อนชื้น ได้อีกด้วย วิธีใช้ ต้มเป็นน้ำ กินได้ทั้งเนื้อและน้ำค่ะ2.เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต และลดการอักเสบของไต เมื่อไตทำงานดีขึ้นทำให้ไตสามารถขับกรดยูริคออกจากร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งควบคุมอาหารที่มีสารพิวรีนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้บรรเทาอาการได้ดียิ่งขึ้น ชงเป็นชาก็ได้นะคะ3.ขมิ้นชันจัดเป็นสมุนไพรประจำบ้านสรรพคุณครอบจักรวาล ซึ่งขมิ้นชันช่วยลดอาการอักเสบ ลดอาการปวดข้อ ทำให้อาการปวดข้อลดลง เป็นผลดีต่อคนเป็นเกาต์ วิธีใช้ ใช้ทานเป็นอาหาร หรือทานสด4.ชาตะไคร้ใบเตยนำตะไคร้ 4 - 5 ต้น ใบเตย 2 - 3 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด นำไปต้มในน้ำ ปิดฝาประมาณ 30 นาที ดื่มแทนน้ำประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วยล้างกรดยูริคในกระแสเลือด แต่การทานสมุนไพรนี้มีผลให้ปัสสาวะบ่อยนะคะ“ไม่อยากเป็นเกาต์ ให้เค้าดูแล” แต่ถ้าไม่มีใครเทคแคร์ เราก็ต้องดูแลตัวเองนะคะทุกคน ด้วยความปรารถนาดีจาก Green Wave ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

สวยจากภายใน ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ

01 พ.ย. 2023

สวยจากภายใน ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ

เราทุกคนอยากดูเด็ก ชอบให้คนอื่นทักยิ่งมองยิ่งสวยนะทำอะไรมา? ทำอย่างไรให้สวยแบบธรรมชาติที่สุดโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ฉะนั้นเราควรรู้ว่าอวัยวะภายในของเราทำงานอย่างไร มันทำให้เราสวยได้ยังไง สวยอยู่แล้วต้องบำรุงแบบไหน ตรงจุดไหม แล้วความสวยของเรานั้นมันเกี่ยวอะไรกับอวัยวะของเรา วันนี้แพทย์แผนจีน มีคำตอบค่ะ1. ใบหน้างามด้วยหัวใจที่สดใส หน้าที่ของหัวใจจะเกี่ยวข้องกับการสูบฉีดเลือดโดยตรง คือพลังของหัวใจนั้นจะผลักดันให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ใบหน้านั้นเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงมาก ถ้าหากระบบการทำงานของหัวใจไม่ดีจะแสดงออกมาในรูปสีบนใบหน้า เช่นพลังหัวใจแข็งแกร่งเลือดลมไหลเวียนดี ก็จะทำให้ใบหน้าผิวแดง ดูสดใส หากพลังของหัวใจไม่เพียงพอ เลือดลมไหลเวียนไม่ดี ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใสหัวใจพลังไม่พอ อาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น นอนไม่หลับ ใจสั่น ใจหวิว ฝันบ่อย ปัสสาวะเหลืองมาก แนะนำให้ทาน ลำใยแห้ง เมล็ดบัว อย่างละ30g ข้าวเหนียว 100g ต้มรวมกัน ทำเป็นโจ๊ก แล้วรับประทานบ่อยๆ จะช่วยในการบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด ให้ความชุ่มชื่นกับผิว ทำให้ผิวแดงดูสดใส2. สวยได้ถ้าตับไม่ร้อน ในแพทย์แผนจีนตับมีหน้าที่เก็บเลือด ช่วยในเรื่องการขับเคลื่อนของชี่(气机คือพลังของร่างกายที่ เคลื่อนที่ ขึ้น ลง เข้า ออก ในร่างกาย) รักษาสมดุลของอารมณ์ ใบหน้าของเราเลือดลมไหลเวียนดี จะทำให้ใบหน้าแดงเรืองๆ ดูมีชีวิตชีวา หากตับมีปัญหา การขับเคลื่อนของชี่หยุดชงักเลือดลมไม่เดินเลือดคลั่งอยู่บริเวณใบหน้า ทำให้หน้าดูหมองเขียว เป็นสาเหตุให้เกิดฝ้าที่ใบหน้าได้ เลือดในตับพร่องทำให้ใบหน้าดูซีดเหมือนขาดเลือด ผิวแลดูไม่ชุมชื้น ผิวไม่มีประกาย อาจจะมีอาการของตาแห้งง่าย มองวัตถุไม่ค่อยเห็นอาการที่เกี่ยวกับตับ เช่น อารมณ์หงุดหงิดง่าย ปวดด้านข้าง เรอบ่อย พายลมบ่อย ตาแห้ง แนะนำให้ทาน เห็ดหูหนูขาว ดอกเก๊กฮวย อย่างละ 10g ต้มน้ำรับประทานบ่อยๆ หรือใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวาน จะสามารถช่วย รักษาตับบำรุงเลือดแก้ปวดหัวที่มาจากความร้อนในตับสูงทำให้ดวงตาสว่าง บำรุงผิว และยังรักษาฝ้าได้อีกด้วยค่ะ3. บำรุงม้ามทำให้ผิวสวย หน้าไม่เหลือง สิ่งที่เป็นคุณค่า สารอาหาร ต่างๆ ที่รับประทานและส่งไปทั่วร่างกาย ล้วนมาจากพลังม้ามทั้งสิ้นม้ามจะเป็นที่ผลิตพลังและเลือดให้กับร่างกายด้วย(ม้ามในหลักของแพทย์จีน)จะเห็นได้ว่าเมื่อเลือดลมไหลเวียนได้ดีแล้ว จะทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ความยืดหยุ่นของผิวจะดี ผิวไม่แห้งกร้านและไม่เหี่ยวง่าย ถ้าหากม้ามไม่แข็งแรง การส่งอาหารให้กับร่างกายก็จะช้าลง เลือดลมไหลเวียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่อาจจะไปหล่อเลี้ยงผิวหนังบนใบหน้าได้อาการที่เกี่ยวข้องกับม้ามพร่อง เช่น หน้าดูซีดเหลือง ไม่มีชีวิตชีวา เหนื่อยง่าย อาหารไม่ย่อย มีเสียงดังในลำไส้บ่อยๆ แนะนำให้ทาน พุทราแดง วันละ 10 เม็ด เพราะพุทราแดง จะช่วยบำรุงม้ามบำรุงเลือดจะทำให้ผิวพรรณดูแดงสดใส4. บำรุงปอดหน่อย ผิวจะได้ไม่แห้งกร้าน หน้าที่ของปอดคือหายใจ แต่ในทางแพทย์แผนจีนปอดจะช่วยนำพลังชี่(พลังจากสารอาหาร น้ำ)ส่งลงล่างเพื่อให้ เลือดลม น้ำ สารอาหารต่างๆกระจายสู่ร่างกาย ถ้าหากปอดทำงานผิดปกติ จะทำให้ผิวหนังของเราแห้งง่าย กระด้าง ใบหน้าดูหมองหม่น และขาวซีดผิดปกติอาการที่ร่วมกับปอดเช่น หายใจสั่น ติดขัด ผิวหนังแห้ง ไอ บ่อย เป็นภูมิแพ้ แนะนำให้ทาน ดอกแปะฮะหรือดอกลินลี่(百合หาได้ตามร้านยาจีนทั่วไป) 15g เห็ดหูหนูขาว30g ใบเตย 2 ใบ น้ำตาลกรวด 1 ก้อน พอให้หวาน ต้มรวมกัน ทานแทนน้ำ สรรพคุณจะทำให้ร่างกายเย็นบำรุงปอดทำให้ผิวชุ่มชื้นขับเสมหะ แก้ไอได้5. ถั่วดำต้มบำรุงไต ตามหลักแพทย์จีนไตทำหน้าที่เก็บสารจิง(精คือ สารจำเป็นพื้นฐาน ช่วยพยุงร่างกายให้ดำรงชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ และยังหมายถึงสารจำเป็นต่อการสืบพันธุ์) ถ้าหากไตมีสารจิงเพียงพอ อวัยวะในร่างกายก็จะสมบูรณ์ไปด้วย เลือดลมก็จะไหลเวียนดี หน้าจะไม่แก่ง่าย ผมก็จะไม่ขาวเร็ว ฟันจะไม่ร่วงง่าย และไม่แก่ก่อนวัยถ้าหากไตพร่องสามารถทาน ข้าวเหนียวถั่วดำ เพราะ ข้าวเหนียว จะช่วยบำรุงเลือดลมช่วยกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนดีขึ้น ถั่วดำมีฤทธิ์ช่วยบำรุงไตเสริมหลังอินในไต ในกะทิจะมีไขมันดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และใบหน้าของคุณได้ค่ะ หลายคนที่มองตัวเองแล้วรู้สึกใบหน้าดูแล้วไม่เปล่งประกาย ไม่บริ้ง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแก่ ขาวซีด หรือใบหน้าคล้ำลง ผิวหนังไม่รื่นเรียบเหมือนสมัยก่อน ใบหน้ามีทั้งฝ้าทั้งกระ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วมาจากอวัยวะต่างในร่างกายที่ขาดสมดุลทั้งสิ้น ฉะนั้นถ้าอยากจะสวย ต้องเพิ่มพลังให้กับอวัยวะนั้นๆ จะได้สวยโดยที่ไม่ต้องพึ่งมีดหมอนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

album

0
0.8
1