เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

HEALTHY LIFESTYLE

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

01 พ.ย. 2022

       ตื่นเช้ามาอากาศเย็นๆ  พอเที่ยงๆเริ่มแดดออก ตกบ่ายฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก…ปรับการใช้ชีวิตกันไม่ทันแล้วค่ะ แล้วอารมณ์ของเราจะปรับทันหรอ จริงมั้ยคะ ?

      บางวันแอดตื่นมาก็รู้สึกเหนื่อยๆ มองท้องฟ้าครึ้มๆยิ่งรู้สึกเศร้าใจ โดยไม่มีสาเหตุ บางวันแดดร้อนมากๆก็รู้สึกหงุดหงิด นั้นเป็นเพราะอากาศส่งผลต่ออารมณ์ของเรานั้นเอง

ภาพจาก pixabay.com

      ในทางการแพทย์กล่าวว่า อุณหภูมิที่อยู่ภายนอกมักจะส่งผลต่อระบบการทำงานในร่างกายของตัวเราด้วย

ยิ่งอากาศลดต่ำลงการทำงานของร่างกายก็จะช้าลง และยังสอดคล้องในเรื่องของระยะเวลาการเกิดกลางวันกลางคืนอีกด้วย ซึ่งช่วงฤดูหนาวเวลากลางวันจะสั้นกว่าช่วงกลางคืน ทำให้ส่งผลต่อนาฬิกาในการใช้ชีวิตของเรา หรือการดำเนินชีวิตของเราก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย ทำให้ร่างกายมีการทำงานและมีกลไกบางอย่างที่ทำงานผิดปกติไป หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับอุณหภูมิภายนอก ก็จะส่งผลให้เกิดอาการทางจิตเวชตามมา

ภาพจาก brandinside.asia

หรือที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล Seasonal affective disorder (SAD) คือ โรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่จะเกิดในช่วงเวลาเดียวกัน ในแต่ละปี และมักจะเกิดขึ้นในหน้าหนาว อาจจะทำให้มีอากาศ ซึมเศร้า  เก็บตัว รู้สึกเหนื่อยล้า

แล้วแบบนี้มีวิธีแก้ไหมนะ?

ภาพจาก sunawaythailand.com

หากไม่อยากอารมณ์เปลี่ยนไปตามอากาศแบบนี้ก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ง่ายๆ

1.เปิดม่าน ให้ร่างกายได้โดนแดดอ่อนๆในยามเช้า เพราะแสงแดดมีสารที่ชื่อว่า เซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

2.เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กล้วย ถั่ว ป๋นอาหารที่ช่วยสร้าง เซโรโทนิน ทำให้เราอารมณ์ดี

3. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30-60 นาทีต่อวัน นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้นค่ะ

            ถ้ามีอาการ บางทีก็เศร้าซึมแบบไม่ทราบสาเหตุ อย่าพึ่งคิดมากนะทุกคน บางทีอาจจะเป็นเพราะ สาเหตุข้างต้นได้ เพราะฉนั้น ลองแก้ไขตามวิธีที่แอดให้ไปก่อน หรือวิธีที่ง่ายที่สุด เปิดเพลงฟังให้สบายหู ที่ Green Wave 106.5 FM ก็จะช่วยให้อารมณ์ดีได้นะคะ และหากบทความนี้เป็นประโยชน์ก็แชร์ให้เพื่อนๆได้รู้กันได้เลยน้า

 

แหล่งอ้างอิง : https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/men-improve-sex-life-doing-household 

แหล่งอ้างอิง :  https://nph.go.th/?p=4758

แหล่งอ้างอิง :  https://www.alljitblog.com/?p=3710

 

related HEALTHY LIFESTYLE

เป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไร?

27 เม.ย. 2022

เป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไร?

หลายคนมีปัญหาของตะคริวกินที่ขา สาเหตุที่เป็นตะคริวยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยมีทั้งตะคริวประเภทที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ และประเภทที่มีสาเหตุร่วมด้วยเราไปหาคำตอบกับแพทย์แผนจีนกันค่ะในแพทย์แผนจีน ตะคริว มาจากปัญหาของความเย็น ความเย็นจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหดเกร็งง่าย ส่วนใหญ่จะมาจากปัญหาของไตหยางอ่อนแอ หรือไฟในร่างกายไม่มี ทำให้ร่างกายเย็น หลายคนรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น ก็อาจจะทำให้เกิดตะคริวง่ายค่ะส่วนใหญ่การออกกำลังกาย ซึ่งตะคริวมักจะเกิดขึ้นขณะที่กำลังพัก หลังจากการออกกำลังกาย บางคนภาวะที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบ หลายคนโรคตับ หากตับทำงานได้อย่างไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดสารพิษไปยังกระแสเลือด ซึ่งสามารถทำให้กล้ามเนื้อเกิดการกระตุกหรือหดเกร็งตัวผู้ป่วยโรคไต อาจทำให้มีเกลือแร่บางชนิดต่ำ และส่งผลให้มีตะคริวได้ค่ะการฟอกไต หรือภาวะเกลือแร่ในร่างกายต่ำ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียมโรคที่ทำให้มีภาวะแคลเซียมต่ำ เช่น บกพร่องฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ก็ทำให้เกิดตะคริวได้เช่นกันนะคะรู้หรือไม่- ผู้สูงอายุที่เสียมวลกล้ามเนื้อไปมากแล้ว กล้ามเนื้อที่เหลือสามารถเกิดความตึงเครียดได้ง่าย- การเสียน้ำของร่างกาย นักกีฬาที่อ่อนล้าและเสียเหงื่อมาก ซึ่งเล่นกีฬาในที่ที่มีอากาศร้อนมักจะเกิดตะคริวได้ง่ายค่ะ- การตั้งครรภ์ การเกิดตะคริวจะพบได้บ่อยในหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะขาดแคลเซียม- โรคประจำตัวหรือภาวะทางการแพทย์ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับเส้นประสาท โรคตับหรือไทรอยด์ มีโอกาสสูงที่จะเกิดตะคริวได้เช่นกันนะคะหากเป็นตะคริวแพทย์แผนจีนมีเทคนิคดีๆมาฝากค่ะการบริหารขณะที่เกิดตะคริวเพื่อบรรเทาความเจ็บและหยุดตะคริว คือการยืดเส้น หรือการนวดที่กล้ามเนื้อที่เกิดตะคริว เช่น การเหยียดเท้าไปด้านหน้าและยกเท้าขึ้นแล้วดัดข้อเท้าให้นิ้วเท้าเข้ามาทางหน้าแข้ง และใช้ส้นเท้าเดินไปรอบๆ โดยใช้เวลาเพียง 1 – 2 นาที ต่อ 1 ครั้ง ทำประมาณ 3 – 5 ครั้งการบริหารเพื่อป้องกันการเกิดตะคริว เพื่อลดโอกาสเป็นตะคริว ควรบริหารร่างกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อวันละ 3 ครั้ง เช่น หากมักเป็นตะคริวที่น่อง ให้ยืนห่างจากกำแพง 1 เมตร เอนตัวไปข้างหน้าให้มือแตะโดนกำแพง โดยวางเท้าให้แบนราบไปกับพื้น ทำค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ทำไปเรื่อยๆ ให้ครบ 5 นาที เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดควรทำให้ได้วันละ 3 ครั้ง เท่านี้ก็ป้องกันตะคริวได้แล้วค่ะถ้าเป็นตะคริวที่น่องเหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ ดันปลายเท้าขึ้นลงอย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วนวดที่น่องเบาๆ ไม่ควรนวดแรง เพราะกล้ามเนื้ออาจจะบาดเจ็บ ทำให้ตะคริวกลับมาอีกได้ค่ะถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาเหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ กดลงบนหัวเข่า แล้วนวดต้นขาบริเวณที่เป็นตะคริวเบาๆนะคะถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วเท้าเหยียดนิ้วเท้าตรงและลุกขึ้นยืนเขย่งเท้า เดินไปมาเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากนั้นค่อยๆ นวดบริเวณนิ้วเท้าเบาๆค่ะ ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วมือเหยียดนิ้วมือออกเพื่อให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคลายออก จากนั้นก็ค่อยๆนวดนิ้วมือทีละนิ้วเบาๆค่ะวิธีป้องกันอื่นๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองแพทย์แผนจีนแนะนำดื่มน้ำให้มากพอในแต่ละวัน อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย1. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์2.รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียมและแมกนีเซียม (โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์) อยากให้กินปลาที่สามารถกินได้ทั้งกระดูกยืด เตรียมกล้ามเนื้อก่อนการเล่นกีฬา และการออกกำลังกายต่างๆ3.ไม่ควรออกกำลังกายทันทีหลังจากเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆนะคะ4.ลดปริมาณการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟช็อกโกแลต อาจจะทำให้การดูดซึมของแคลเซียมลดน้อยลงอาหารที่ควรรับประทานเพื่อป้องกันตะคริวน้ำมะเขือเทศ น้ำส้ม มะนาว นม กล้วย เมล็ดผักทอง งา ถั่วเหลือง ปวยเล้ง ปลาทะเล และวิตามินอื่นๆอาหารที่ควรเลี่ยงชา กาแฟ น้ำอัดลม คาเฟอีนจากเครื่องดื่มเหล่านี้ เป็นตัวการทำให้เลือดข้น เมื่อเลือดไหลเวียนไม่สะดวก กล้ามเนื้อจะแข็งเกร็ง จนกายเป็นตะคริวไปในที่สุด สำหรับคนที่อายุมาก และมีปัญหาการเกิดตะคริวบ่อยๆ ไม่ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เช่น มะระ แตงโม ผักบุ้ง ฟักต่างๆ เต้าหู้ เพราะอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์เย็น อาจจะทำเกิดตะคริวได้ง่ายการรักษาการเกิดตะคริวในแพทย์แผนจีน จะเน้นบำรุงไต ขับความเย็น ช่วยเสริมเลือดลมในร่างกายไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายขับความเย็นได้ สามารถช่วยลดการเกิดตะคริวได้เช่นกัน สามารถรักษาได้ด้วยการฝังเข็มและทานยาจีนค่ะขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

สูตรลับความงามดั่งไทเฮา

17 เม.ย. 2023

สูตรลับความงามดั่งไทเฮา

ช่วงนี้แอดมินดูซีรี่จีนเห็นไทเฮาสวย ผิวดี จริงๆมีสูตรลับค่ะ ประวัติอันยาวนานกว่า 2000 ปี ของการแพทย์แผนจีนมีบันทึกถึงการรับประทานอาหารเพื่อความงาม ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในวังหลวง และแพร่กระจายมาสู่สามัญชนวันนี้ขอนำเคล็ดลับความงามสองพันปีมาบอกต่อ เพื่อให้สาวไทยได้งามสะพรั่งดั่งไทเฮา ฮองเฮา แห่งพระราชวังต้องห้ามกันเลยค่ะอาหารที่ช่วยเรื่องความสวยความงามประกอบด้วย1.พุทราแดง พุทราแดงมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น สรรพคุณบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร บำรุงเลือด ช่วยเรื่องการนอน ในทางวิทยาศาสตร์พุทราแดงยังประกอบไปด้วยวิตามินมากมาย เช่น วิตามินเอ บำรุงสายตา วิตามินซีช่วยให้ผิวขาว มีแคลเซียมป้องกันโรคกระดุกพรุน และธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด ตามสุภาษิตจีนที่ว่า "พุทรา3 ลูก หน้าอ่อนลง 3 ปี" พุทราจีน ยังเหมาะกับผู้หญิงที่กลัวหนาว และเหนื่อยง่ายด้วยนะคะ2.ลำไยแห้ง ลำไยแห้งมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น ช่วยเรื่องหัวใจและบำรุงม้ามรักษาโรคเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ ลืมง่าย ใจสั่นลำไยแห้งยังช่วยชะลอความแก่ มากไปกว่านั้นยังอุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน น้ำตาล และสารต่อต้านเซลล์มะเร็งในมดลูก เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยทอง ใจร้อน หงุดหงิดง่าย เหงื่อออกง่าย หรือผู้หญิงที่คลอดบุตร/อยู่ไฟค่ะ3.เก๋ากี้ เก๋ากี้มีรสหวาน สรรพคุณรักษาตับทำให้ปอดชุ่มชื้น บำรุงร่างกาย ลดความร้อนและทำให้ตาสว่าง ผลจากการวิจัยพบว่าน้ำตาลในเก๋ากี้ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ชะลอความแก่ ต่อต้านเซลล์มะเร็ง ขจัดอนุมูลอิสระ และลดความอ่อนเพลียของร่างกายได้เช่นกัน4.แครอท แครอทมีรสหวาน มีฤทธิ์อุ่น สรรพคุณบำรุงตับทำให้ตาสว่าง ลดความร้อน และแก้พิษ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "โสมดิน" ทั้งอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารแคโรทีนบำรุงสายตา แครอทยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค มีฤทธิ์ขับเหงื่อได้เล็กน้อย ทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึมให้ร่างกายและการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น มีผลทำให้ผิวนุ่มลื่น แลดูสุขภาพดี นอกจากนี้แครอทยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง5.รากบัว รากบัวมีรสหวาน ฤทธิ์เย็น สรรพคุณลดความร้อน เพิ่มน้ำให้ร่างกาย ทำให้เลือดเย็น ช่วยหยุดเลือด ขับพิษ แต่หากทำสุกจะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รากบัวอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดต วิตามินซี และบีหนึ่ง ยังมีโพแทสเซียม แคลเซียม และธาติเหล็ก เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน หากทานรากบัวบ่อยๆ ยังช่วยให้ใบหน้าและสีผิวดูมีน้ำมีนวล ขาวอมชมพู และลดสิวที่อยู่บนใบหน้าได้ด้วยนะคะ6.ว่านหางจระเข้ (ใช้พอกหน้า) ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณทางยามากมาย ในทางวิทยาศาสตร์ ตัวว่านอุดมไปด้วย วิตามิน อี ช่วยบำรุงผิว วิตามินซี ทำให้ผิวขาว วิตามินเอ และวิตามินบี ที่ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนต่อวัย สาร Polysaccharide ในว่านหางจระเข้ ยังช่วยเพิ่มให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ขจัดจุดด่างดำป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต ชะลอความแก่ และทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ของใกลัตัวหลายอย่าง ช่วยให้สาวๆ 'เป๊ะ' ได้ไม่ยาก แถมราคาไม่แพง ใครสนใจลองเอาเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ เราจะสวย สุขภาพดีไปด้วยกันค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

สัญญาณเตือนมะเร็งลำไส้

09 ม.ค. 2025

สัญญาณเตือนมะเร็งลำไส้

ท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ่ายแข็งสัญญาณมะเร็งถามหามะเร็งลำไส้คร่าชีวิตคนหลายคน อาจจะเพียงแค่ติ่งเนื้อเล็กๆที่อยู่ในลำไส้ก็อาจจะพัฒนาเป็นมะเร็งได้ ซึ่งถ้าไม่รีบรักษา จะลามไปยังตับปอด ช่องท้อง หรือกระดูกได้อาการที่ฟ้องว่าเป็นมะเร็งลำไส้ง่ายๆถ่ายบ่อย ท้องผูก ถ่ายไม่สุด ปวดเบ่งบางคนมีปัญหาเรื่องท้องผูกมาตั้งแต่เด็กๆ อาจเป็นเพราะพฤติกรรมการกินที่ไม่กินผักผลไม้ ร่างกายไม่ได้รับไฟเบอร์เพียงพอ และดื่มน้ำน้อย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานไม่ดี แต่ในบางคนอาจมีอาการท้องผูกเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตในวัยทำงาน และปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังจนมองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต พฤติกรรมนี้ล่ะค่ะคือสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าคุณมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคตมีอาการท้องเสีย และสลับท้องผูกคือการอุจจาระแข็งและเหลวสลับกัน เป็นติดต่อกันแบบมีอาการเรื้อรัง ถึงแม้ว่าจะกินอาหารที่เหมาะสมไม่ได้เป็นสาเหตุให้ท้องเสียก็ยังมีอาการนี้อยู่ นี่อาจเป็นความผิดปกติที่เกิดจากภายในลำไส้ถ่ายออกมาเป็นเลือดสดๆ หรือเลือดแดงคล้ำออกมาจากอุจจาระอาจเกิดจากอุจจาระที่แข็ง เมื่อเบียดกับติ่งเนื้อที่ขึ้นผิดปกติภายในลำไส้เกิดเป็นแผลทำให้มีเลือดออกและปนออกมาในบางครั้งที่ขับถ่ายท้องอืด ปวดท้องแน่นท้องจุกเสียด มีลมมากน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุเหนื่อย และ อ่อนเพลียง่ายอาจเกิดจากการที่มีเลือดออกในลำไส้ ปนออกมากับอุจจาระ หากเสียเลือดจากการขับถ่ายมาก อาจมีภาวะซีด และโลหิตจางร่วมด้วย และยิ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียอ่อนแรงต่อเนื่องมากขึ้นอีก ถึงแม้โรคมะเร็งลำไส้ จะเป็นมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆในปัจจุบันนี้ แต่หากเราระวังในพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต และหมั่นสังเกตตัวเองได้ทันการ จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้นนะคะระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่แบ่งเป็น 4 ระยะได้แก่ระยะที่ 1 โรคมะเร็งยังอยู่ในเยื่อบุลำไส้ระยะที่ 2 โรคมะเร็งทะลุเข้ามาในชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้และ/หรือทะลุถึงเยื่อหุ้มลำไส้ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียงระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไป หรือลุกลามตามกระแสโลหิตไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ตับ ปอด หรือกระดูกเป็นต้นมะเร็งลำไส้ป้องกันได้ ง่ายๆมีอะไรบ้างหลีกเลี่ยงอาหารไหม้เกรียมหมูกระทะ ปิ้งย่างอาหารทอดหรือปิ้งย่างโดยเฉพาะอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำหรือปิ้งย่างจนไหม้เกรียมหากจะกินควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมทิ้ง จะช่วยลดสารพิษได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรรับประทานบ่อยจนเกินไปนะคะอาหารที่ขึ้นราง่ายเช่น พริกแห้ง กระเทียม และถั่วลิสง ก่อนกินควรดูให้แน่ใจว่าไม่ได้ทิ้งไว้นานจนเกิดเชื้อราค่ะอาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ใส่สี รมควัน หรือใส่ดินประสิวเช่น ไส้กรอก แหนม ปลาร้า ขนม หรือเนื้อแดงที่สีสดมากๆอาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารที่ปรุงไม่สุกอาจทำให้เกิดการติดเชื้อพยาธิ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นมะเร็งได้ค่ะกินผักหลากสีต้านมะเร็งสีแดง อุดมด้วยไลโคปีน (Lycopene) พบมากในมะเขือเทศ พริกแดง บีทรูท และแอปเปิ้ลสีแดงสีเหลืองและส้มอุดมด้วยวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) พบมากใน ฟักทอง แครอท และส้มสีเขียว อุดมด้วยอัลฟ่าแคโรทีน (Alpha Carotene)และคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) พบมากใน ผักโขม คะน้า บล็อคโคลี่สีม่วงอุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน(Anthocyanin) พบมากในกะหล่ำม่วง ดอกอัญชัน บลูเบอร์รี่ ลูกพรุน และข้าวเหนียวดำสีขาว อุดมด้วยสารแซนโทน (Xanthone) พบมากในกระเทียม กล้วย ขิง หัวไชเท้า กะหล่ำ รวมถึงเห็ดต่างๆเพิ่มถั่วและธัญพืชธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสีและถั่วต่างๆ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งวิตามิน เกลือแร่ ไฟเบอร์ และโปรตีน รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ธัญพืชและถั่วที่แนะนำ ได้แก่ ข้าวกล้อง ลูกเดือย อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พิสตาชิโอ ถั่วขาว นอกจากช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้สมดุลแล้ว กากใยในธัญพืชและถั่วยังช่วยในการขับถ่าย ช่วยลดอาการท้องผูก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หมั่นเสริมเครื่องเทศในอาหารเครื่องเทศส่วนใหญ่นอกจากช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้อาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณลดการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เช่นพริก ขมิ้น กระเทียม และขิงเลี่ยงอาหารรสจัด ไขมันสูง เนื้อแดงอาหารรสจัดโดยเฉพาะเค็มจัดและอาหารหมักดองที่ใช้เกลือจำนวนมาก ส่งผลให้ความดันเลือดสูงอาหารที่มีไขมันสูงจะส่งผลให้น้ำหนักตัวเกิน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เช่น เนื้อติดมัน ไขมันสัตว์ เนย และกะทิการบริโภคเนื้อแดงปริมาณมากเป็นประจำส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และอาจกลายเป็นมะเร็งลำใส้ใหญ่ได้ หากต้องการโปรตีนควรรับประทานอาหารประเภทปลา“You are what you eat” “กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น” ยังใช้ได้เสมอนะคะ เพราะส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็มาจากการกินอาหารรสจัด ไขมันสูง เนื้อแดง ในปริมาณที่มากเกินไป มาเริ่มลด ละ ดูแลสุขภาพไปด้วยกันนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

งานหนัก ใจยังไหว ร่างกายไหวไหม ?

26 เม.ย. 2023

งานหนัก ใจยังไหว ร่างกายไหวไหม ?

คนทำงานบางคนอาจเจองานหนักบ้าง เบาบ้างไม่เหมือนกันแต่ทราบไหมคะว่าคนที่ทำงานหนักจะเกิดความเครียดสะสม ซึ่งเจ้าความเครียดนี่เหละค่ะเป็นสาเหตุของหลายโรคเลยนะคะ เรามาเรียนรู้ลักษณะของคนที่'ทำงานหนัก'เกินไปกันดีกว่าค่ะ1.ปวดตาและตาแห้ง คนที่ทำงานหนักมักจะมีความเครียด ทำให้ตับเสียสมดุล ดวงตาเป็นประตูแห่งตับ เมื่อตับร้อน จะทำให้ปวดตา ตาร้อน และตาแห้งได้ แพทย์แผนจีนแนะนำให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนแล้วประคบไว้บริเวณดวงตาประมาณ30นาทีค่ะ2.เจ็บคอ เสียงแหบ การทำงานหนักนั้นจะทำให้ใจร้อน เร่งรีบ แล้วร่างกายจะร้อนตามหัวใจไปด้วยคนที่ทำงานหนักมักจะเจ็บคอ หรือเป็นแผลในปากได้ง่ายแพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งนะคะจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ค่ะ3.ปวดหัว มึนหัว ความเครียดทำให้ตับขาดสมดุล เมื่อตับขาดสมดุลก็จะเกิดความร้อนที่ตับความร้อนมีลักษณะที่พุ่งขึ้น ทำให้รู้สึกปวดหัว หรือมึนหัวได้ง่ายแพทย์แผนจีนแนะนำให้ใช้นิ้วมือนวดด้วยตัวเองบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ท้ายทอยและขมับ สัก30นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหัวได้ค่ะ4.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่แข็งกว่าปกติ อาการนี้เป็นผลจากการนั่งท่าเดียวนานๆ ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดีและเกิดการเกร็งบริเวณไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งกว่าปกติแนะนำให้นวด หรือไม่ก็ลองจัดกระดูก ฝังเข็มค่ะ5.รับประทานอาหารมากกว่าปกติ ภาวะเครียดจะทำให้เรารับประทานอาหารมากเป็นพิเศษตามหลักแพทย์แผนจีนนั้นเมื่อม้ามอ่อนแอจะทำให้ไฟในกระเพาะมากขึ้นไฟมากก็เผาพลาญแรง ทำให้กินอาหารไม่อิ่ม และอยากกินเรื่อยๆข้อนี้อาจต้องใช้ยาทานเข้าช่วยปรับสมดุลในร่างกายค่ะ6.ความจำลดลง การทำงานหนักจะเผาพลาญพลังของร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วพลังนี้จะมาจากไตพลังไตเป็นพลังที่หล่อเลี้ยงสมอง หากพลังไตโดนใช้ไปหมดพลังไตก็จะขึ้นไม่ถึงสมอง ทำให้ความจำเราลดลง แพทย์แผนจีนแนะนำให้นั่งสมาธิช่วยได้ค่ะ7.หงุดหงิดง่าย หงุดหงิดง่ายอันนี้ปกติค่ะใครทำงานหนักแล้วไม่หงุดหงิด นับถือจริงๆความหงุดหงิดเกิดมาจากความเครียดที่สะสม อาการนี้ตามหลักแพทย์แผนจีนเรียกว่า'พลังตับติดขัด'แบบว่ามันแน่นอก ต้องยกออก เป็นบ่อยกับคนที่เครียดวิธีแก้อาจจะต้องปล่อยวาง หรือกินยาปรับสมดุล ลดไฟในตับค่ะ8.ร่างกายรู้สึกเหนื่อยง่าย เหนื่อยง่ายมาจากสาเหตุที่ร่างกายทำงานหนัก ใช้พลังจนหมด ในทางแพทย์แผนจีนเมื่อพูดว่าพลัง ก็คือ'ชี่'ถ้าพลังชี่อ่อนแอหรือใช้จนหมด ก็เหมือนแบตเตอรี่ที่เหลือไฟแค่ขีดเดียว รอเวลาชาร์ตซึ่งแพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มชา หรือซุปที่มีส่วนผสมของโสมอเมริกาเพราะสรรพคุณเป็นยาบำรุงพลังและหยิน หรือว่าทานยาปรับสมดุลก็ได้เช่นกันค่ะ เราต่างต้องทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว สุขภาพของเราย่อมสำคัญที่สุด ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขกับการทำงานค่ะ หรือจะเปิด Green Wave เป็นเพื่อนระหว่างทำงาน ช่วยลดความเครียดได้นะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

album

0
0.8
1