3 โรคเสี่ยง หากจ้องคอมนาน

HEALTHY LIFESTYLE

3 โรคเสี่ยง หากจ้องคอมนาน

05 ก.ค. 2024

ในยุคดิจิทัลที่เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การใช้เวลาไปกับหน้าจอมากจนเกินไปอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพที่ไม่คาดคิด วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่ามีโรคอะไรบ้างที่เกิดจากการจ้องจอคอมนาน ๆ

 

โรค CVS หรือคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome)

          โรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS คือกลุ่มของอาการทางตาและการมองเห็น ที่มีผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเลต หรือโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงพฤติกรรมการมองจอคอมพิวเตอร์ที่ใกล้จนเกินไป เกิดได้ทั้งเด็กแหละผู้ใหญ่

 

อาการของโรค

· รู้สึกแสบตา ไม่สบายตา มีอาการระคายเคืองตา เจ็บตา

· ตาพร่าจากการจ้องมองที่ไม่ค่อยกระพริบตา

· มีอาการตาแห้ง ซึ่งเป็นอาการเพียงชั่วคราว

 

การป้องกัน

· พักสายตา เช่น หลับตาทุก 10 นาทีต่อการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง หรือพักทุก 15 นาทีต่อการทำงานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง เป็นต้น

· ควรจัดสถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงสว่างพอเหมาะ เพื่อช่วยให้สบายตา

· ควรใช้แผ่นกรองแสงเพื่อลดแสงจ้าและแสงสะท้อน จะช่วยลดความล้าของสายตาลงได้

 

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndorme)

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนทำให้เกิดความผิดปกติของระบบในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบกระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือดวงตา ที่ต้องรับบทหนักขณะทำกิจกรรมเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานหรือนักเรียนนักศึกษาที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานกันมากขึ้น

 

อาการของโรค

· อาการบาดเจ็บเริ่มต้น 

เริ่มต้นจากอาการเมื่อยที่เมื่อเราพักผ่อน  นวด  ยืดเหยียดในบริเวณดังกล่าว หรือเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ก็จะหายหรือทุเลาลงได้ 

· อาการบาดเจ็บซ้ำ ๆ

ทุกครั้งที่อาการปวดเมื่อยเริ่มเป็นซ้ำ ๆ  ระหว่างทำงาน นี่คือสัญญาณเตือนภัยว่าออฟฟิศซินโดรมกำลังเป็นอันตราย ในระยะนี้ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาอาการบาดเจ็บแต่เนิ่น ๆ

· อาการเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นแม้ในเวลาไม่ได้ทำงาน

เมื่ออาการเจ็บปวดบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายเพิ่มมากขึ้น แม้ตอนที่ไม่ได้ทำงานก็ยังเจ็บ และแม้จะลองพัก ลองยืดเหยียดอย่างไรก็ไม่หาย ลามไปถึงกระทบกระเทือนต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน นี่คือระดับอาการที่ควรพบแพทย์โดยด่วน

 

การป้องกัน

· ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

· หยุดพักการทำงานทุกหนึ่งชั่วโมงเพื่อยืดคลายกล้ามเนื้อด้วยการลุกเดิน หรือเปลี่ยนท่าทาง

· กายบริหารด้วยอุปกรณ์ใกล้ตัว

 

โรคกระดูกต้นคอเสื่อม (Cervical Spondylosis)

โรคกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นภาวะที่ส่วนประกอบของกระดูกต้นคอเสื่อมลง ทั้งจากอายุที่เพิ่มขึ้นและจากการใช้คอในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องเป็นประจำ ซึ่งเมื่อกระดูกต้นคอเสื่อมก็จะส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาทต่าง ๆ ในร่างกาย การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กระดูกคอเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติอีกด้วย

 

อาการของโรค

· มีอาการคอติด หันซ้าย-ขวาไม่สะดวก เหมือนมีอะไรยึดรั้งไว้

· ปวดตึงต้นคอ เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง

· ปวดร้าวตามแนวเส้นประสาท ตั้งแต่หัวไหล่และบ่า

· ปวดร้าวบริเวณข้อศอกด้านข้าง ปวดร้าวไปถึงปลายนิ้วมือ

· มีอาการชาตามแขน ขา มือ และเท้า

· มีอาการอ่อนแรงจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก

 

การป้องกัน

· ปรับเก้าอี้และโต๊ะทำงานให้เหมาะสมกับร่างกาย

· หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานนานๆ โดยไม่ขยับร่างกาย

· การออกกำลังกายเฉพาะส่วนคอและหลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

 

และนี่ก็คือ 3 โรคเสี่ยงหากคุณจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจนเกินไป การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคปัจจุบัน แต่หากเรามีการดูแลสุขภาพร่างกายให้เหมาะสมจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้ได้อย่างมากทีเดียว เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยนั้น สามารถสร้างผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวให้กับตัวเราได้นั้นเอง

 

ที่มา : 

https://www.phyathai.com/th/article/3743-computer_vision_syndrome_%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%AD_%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8

https://kdmshospital.com/article/office-syndorme/

https://www.phyathai.com/th/article/symptoms-of-cervical-spondylosis

related HEALTHY LIFESTYLE

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

01 พ.ย. 2022

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

ตื่นเช้ามาอากาศเย็นๆ พอเที่ยงๆเริ่มแดดออก ตกบ่ายฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก…ปรับการใช้ชีวิตกันไม่ทันแล้วค่ะ แล้วอารมณ์ของเราจะปรับทันหรอ จริงมั้ยคะ ? บางวันแอดตื่นมาก็รู้สึกเหนื่อยๆ มองท้องฟ้าครึ้มๆยิ่งรู้สึกเศร้าใจ โดยไม่มีสาเหตุ บางวันแดดร้อนมากๆก็รู้สึกหงุดหงิด นั้นเป็นเพราะอากาศส่งผลต่ออารมณ์ของเรานั้นเองภาพจาก pixabay.com ในทางการแพทย์กล่าวว่า อุณหภูมิที่อยู่ภายนอกมักจะส่งผลต่อระบบการทำงานในร่างกายของตัวเราด้วยยิ่งอากาศลดต่ำลงการทำงานของร่างกายก็จะช้าลง และยังสอดคล้องในเรื่องของระยะเวลาการเกิดกลางวันกลางคืนอีกด้วย ซึ่งช่วงฤดูหนาวเวลากลางวันจะสั้นกว่าช่วงกลางคืน ทำให้ส่งผลต่อนาฬิกาในการใช้ชีวิตของเรา หรือการดำเนินชีวิตของเราก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย ทำให้ร่างกายมีการทำงานและมีกลไกบางอย่างที่ทำงานผิดปกติไป หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับอุณหภูมิภายนอก ก็จะส่งผลให้เกิดอาการทางจิตเวชตามมาภาพจาก brandinside.asiaหรือที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล Seasonal affective disorder (SAD) คือ โรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่จะเกิดในช่วงเวลาเดียวกัน ในแต่ละปี และมักจะเกิดขึ้นในหน้าหนาว อาจจะทำให้มีอากาศ ซึมเศร้า เก็บตัว รู้สึกเหนื่อยล้าแล้วแบบนี้มีวิธีแก้ไหมนะ?ภาพจาก sunawaythailand.comหากไม่อยากอารมณ์เปลี่ยนไปตามอากาศแบบนี้ก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ง่ายๆ1.เปิดม่าน ให้ร่างกายได้โดนแดดอ่อนๆในยามเช้า เพราะแสงแดดมีสารที่ชื่อว่า เซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น2.เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กล้วย ถั่ว ป๋นอาหารที่ช่วยสร้าง เซโรโทนิน ทำให้เราอารมณ์ดี3. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30-60 นาทีต่อวัน นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้นค่ะ ถ้ามีอาการ บางทีก็เศร้าซึมแบบไม่ทราบสาเหตุ อย่าพึ่งคิดมากนะทุกคน บางทีอาจจะเป็นเพราะ สาเหตุข้างต้นได้ เพราะฉนั้น ลองแก้ไขตามวิธีที่แอดให้ไปก่อน หรือวิธีที่ง่ายที่สุด เปิดเพลงฟังให้สบายหู ที่ Green Wave 106.5 FM ก็จะช่วยให้อารมณ์ดีได้นะคะ และหากบทความนี้เป็นประโยชน์ก็แชร์ให้เพื่อนๆได้รู้กันได้เลยน้าแหล่งอ้างอิง : https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/men-improve-sex-life-doing-householdแหล่งอ้างอิง : https://nph.go.th/?p=4758แหล่งอ้างอิง : https://www.alljitblog.com/?p=3710

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

18 ม.ค. 2024

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

ในชีวิตของการทำงานผู้คนมักเร่งรีบ แข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ เลยอาจจะมักทำพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายจนเป็นเรื่องปกติ และเผลอละเลยสุขภาพของตนเองไป1. นั่งท่าเดิมนานเกินไปโรคออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่ชาวออฟฟิศหลายคนรู้จักกัน เพราะเกิดจากการนั่งทำงานตลอดวันแบบไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบจนมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดหลัง ไหล่ คอ และบ่า รวมถึงการจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่งผลให้ปวดตา ปวดกระบอกตา และเสี่ยงโรคไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน2. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอคนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนดึกมักไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และไม่ทราบถึงภัยอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพหลายคนอาจคิดว่านอนดึก เดี๋ยวค่อยตื่นสายก็ได้ แต่พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้นาฬิกาชีวิตพังหรือร่างกายทำงานไม่เป็นระบบ เพราะอวัยวะในแต่ละส่วนของร่างกายมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง ฮอร์โมนในร่างกายอีกหลายชนิดหลั่งเป็นเวลา ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การนอน เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่ซึกหรอ รวมไปถึงฟื้นฟูร่างกายให้พร้อม การที่นอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น จะทำให้มีปัญหาในระยะยาวได้ เช่น นอนตื่นมาแล้วไม่สดชื่น สมาธิสั้น รวมถึงเสี่ยงต่อโรคร้ายอีกหลายโรค3. อดอาหารเช้า/ทานอาหารไม่ตรงเวลาเพื่อที่จะได้เข้างานตรงเวลา หลายคนเลยมองข้ามการทานอาหารเช้าไป หรือว่าทำงานจนลืมเวลาอาหาร ทานไม่ตรงเวลา หรือกระทั่งอดมื้อนั้นๆไปเลย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน และโรคท้องผูกเรื้อรังได้4. ทานอาหารไม่มีประโยชน์ชีวิตประจำวันที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา คนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารรสจัด ของมัน ของทอด น้ำอัดลม อาหารJunk Food หรืออาหารสำเร็จรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการทำงานจนดึกดื่นแล้วค่อยมากินข้าวทีเดียวก่อนนอน พฤติกรรมแบบนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคตับ โรคอาหารไม่ย่อย และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูงมาก รวมไปถึงปริมาณน้ำตาลและโซเดียมที่สูงกว่าอาหารทั่วไป5. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงาน ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและความสัมพันธ์ที่ดี แต่การสังสรรค์ที่มากจนเกินไป อาจเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษและทำให้ร่างกายพังได้ รวมถึงส่งผลให้พักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือโรคหัวใจได้ นอกจากนี้บางคนยังนิยมสูบบุหรี่ระหว่างการทำงานด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต6. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำการนั่งเป็นเวลานานและไม่หยุดพัก นอกจากจะเสี่ยงในเรื่องของออฟฟิศซินโดรมแล้ว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย เนื่องจากการนั่งทำงานจนไม่ลุกไปไหนแม้แต่การเข้าห้องน้ำและกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและกรวยไตอักเสบขอบคุณข้อมูลจาก:https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/7-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9Ehttps://www.bangkokhospital.com/content/7-popular-diseases-that-threaten-workersAuthor : สามสิบสิงหา

เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

06 ก.พ. 2024

เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

ในปัจจุบันเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “วงไอดอล” กันมาบ้างอยู่แล้วเป็นคำที่เราเห็นคุ้นชินถึงบุคคล หรือ กลุ่มคน ที่เก่งทั้งเต้น ร้อง มอบความสดใส และส่งต่อกำลังใจให้แก่ผู้ชมอย่างเรา ๆ ได้เป็นอย่างดีจะทั้ง ไอดอลชาย หรือไอดอลหญิง ก็เป็นที่โด่งดังมากในยุคสมัยนี้ แล้วไอดอล LGBTQ+ ละเราเคยรู้จักกันหรือเปล่า?“ Idol ” หรือ ไอดอล เป็นคำสั้น ๆ แต่กลับมีความหมายแฝงมากมาย หากอ้างอิงตามหลักพจนานุกรมของไทยเรานั้น แปลได้ว่า “คนหรือสิ่งที่ได้รับความชื่นชมหรือคลั่งไคล้อย่างมาก” หรือ “รูปเคารพ เทวรูป” แต่หากพูดกันตามความเข้าใจของทุกท่านนั้น คงจะหมายถึง บุคคลแบบอย่าง หรือ บุคคลที่จะมอบความ สดใส และเป็นแรงบัลดาลใจให้กับใครหลายๆคนวันนี้ Green Wave จะพาทุกท่านมารู้จักกับ คุณพิณ พินเนอร์ เรณุกา ปัญญาคุ้มวงศ์ หรือ พินเนอร์ ‘STARDASH’(สตาร์แดช) ไอดอล LGBTQ+ คนแรกของประเทศไทย ที่จะทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายของคำว่า “ไอดอล”จุดเริ่มต้นการเป็น Idol“ตัวพินเนอร์เอง เคยได้รับโอกาศจากผู้ใหญ่เป็นไอดอลอยู่ในค่ายๆนึง แต่ในตอนนั้นตัวพินเนอร์เอง ด้วยความที่อายุยังน้อย และการควบคุมอารมณ์ กับปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ทำให้ พินเนอร์เองไม่เป็นตัวเองเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปต่อ ทำให้พินเนอร์มีปมในใจว่า ตัวเราเองนั้นยังไม่เคยขึ้นเวทีเลยสักครั้ง แต่ด้วยความฝันและความชอบที่อยากเป็นไอดอล พินเนอร์จึงได้ตัดสินใจทำวงไอดอลขึ้นมา ทำให้เกิดวง STARDASH ขึ้นมา และมีเพลงแรกออกมาในปี 2019 ค่ะ”ที่มาของชื่อ ‘STARDASH’(สตาร์แดช)“คำว่า STARDASH (สตาร์แดช) นะคะ มาจากคำว่า Stardust (สตาร์ดัช) ที่แปลว่า ละอองดาว เปรียบกับคนที่ไล่ตามความฝัน แต่แตกสลายไม่รู้จนกี่ครั้ง แต่ไม่อยากหยุดฝัน พุ่ง DASH ตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามความฝันต่อไป จาก STARDUST จึงกลายมาเป็น STARDASH ค่ะ”Idol ในมุมมองของคุณพินเนอร์นั้นคืออะไร“คำว่าไอดอล แปลตรงตัวสำหรับคนไทยเลย นั้นคือ บุคคลตัวอย่างค่ะ แต่สำหรับตัวพิณเองนั้นชอบดูการ์ตูนค่ะ เป็นการ์ตูนแนวไอดอล อย่าง Love Live! School Idol ทำให้เรามองว่า ไอดอล คือเหล่าผู้คนที่เปล่งประกาย ที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความฝันให้แก่ผู้อื่นได้ เราจึงอยากเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นแรงบัลดาลใจ เป็นความสุข เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ และสร้างพลังบวกให้กับพวกเขาได้ค่ะ”Idol กับ LGBTQ+“ในมุมมองของพิณเอง มองว่า LGBTQ+ เป็นอะไรที่ปกติมาก ก็เหมือนมนุษย์อย่างเราๆที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะทั้ง ความเชื่อ ทั้งนิสัย เพศก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน พิณจึงมองว่าจะ หญิง หรือ ชาย หรือ LGBTQ+ เองนั้นไม่มีความแตกต่าง หรือต้องแบ่งแยกกันเลยค่ะ เหมือนกับความเป็นไอดอลที่แต่ละวงก็จะมีความชอบ นิสัย แนวเพลงที่แตกต่างกัน ทำให้พิณมองว่า ไม่ว่าคุณจะเป็น ชาย หญิง กระเทย LGBTQ+ หรือไอดอล หรือเพศใด ๆ ก็ตาม ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือน ๆ กัน มีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ ดีใจ ขอให้เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ให้เกียรติกันและกันไม่สร้างความเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะพิณเป็นไอดอลคนแรกๆเป็น LGBTQ+ ในไทย อย่างญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิดไอดอลนั้น วงLGBTQ+ ก็มีมานานแล้วค่ะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พิณก็ผ่านอะไรมาหลาย ๆ อย่างเลย แต่รู้สึกดีใจที่ได้ทำตามความฝัน ไม่อยากให้ LGBTQ+ ในไทยมองว่า เป้าหมายของเรามีแค่ เวทีนางงาม เพียงอย่างเดียว อยากให้เห็นว่า เราเป็นได้ทุกอย่างตามที่ความฝันเราอยากจะเป็นไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน หรือเป็นไอดอลเองก็ตาม”รู้สึกอย่างไรหากมีคนเรียกเราว่าเป็น กะเทย ตุ๊ด สาวสอง“พิณมองว่า มันเป็นอัตลักษณ์ทางเพศของเราค่ะ จะเรียกว่ากะเทย ตุ๊ด สาวสอง หรืออะไรก็ตาม พิณไม่ได้มองว่า คำเหล่านี้มันกลายเป็นคำดูถูกหรือเหยียดหยาม เราจะเป็นผู้ชายแต่งหญิง กะเทยแต่งหญิง ถ้ามันเป็นความชอบของตัวเราเอง ก็ให้เกียติตัวเองให้เกียติผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะ”ความเป็นไอดอล ในแบบของตนเอง“ตัวพิณเอง ก็ไม่ถือว่าเป็นไอดอลตรงตามฉบับที่คนอื่น ๆ คุ้นเคยเท่าไหร่ พิณค่อนข้างจะมีความพูดตรง ๆ หรือบางครั้งก็พูดแรงออกไปบ้าง ภาพลักษณ์เลยอาจจะดูเป็นไอดอลแรง ๆ ซึ้งพิณเองก็ยอมรับว่าในบางครั้งมันก็ไม่ดีหรอก แต่แฟนคลับหลาย ๆ คนก็เข้าใจเราค่ะ เราอยากให้เห็นถึงความหลากหลายของไอดอลเหมือนกัน ว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ และความรู้สึกเหมือนกันให้เห็นถึงความหลากหลายของการเป็นไอดอลค่ะ ไม่ได้ติดภาพจำว่าไอดอลต้องเป็น บุคคลที่น่ารักสดใสเพียงอย่างเดียว พิณเองก็มีกลุ่มคนที่ไม่ชอบพิณ โดนพิมพ์คอมเม้นต์แย่ๆใส่อยู่บ่อยครั้ง แต่พิณมองว่า หากเค้าไม่ให้เกียรติเรา เราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ชอบเรา ทำยังไงเค้าก็ไม่ชอบเราอยู่ดี อยากให้เราใส่ใจตัวเองรักตัวเอง ลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนดีกว่าค่ะ สร้างความสุข สร้างแรงบัลดาลใจ สร้างความฝัน ให้กับผู้อื่นดีกว่า อย่าเอาคำเหล่านั้นมาด้อยค่าตัวเองเลย ภูมิใจกับความเป็นตัวเองไว้ดีกว่า เพราะก็ไม่รู้ว่า ‘เราจะอยู่กับการไม่ภูมิใจในตัวเองไปทำไม’ ”รูปร่างหน้าตาไม่ดี จะมาเป็นไอดอล ?“พิณ มองว่าทุกคนสามารถดูดีได้สามารถ สวย หล่อ เท่ น่ารักได้หมดค่ะ แต่การที่เราจะดูดี ก็ขอให้เรานั้นดูดีเพื่อตัวเราเอง สวยเพื่อตัวเราเอง อย่าพยายามสวยเพื่อให้ผู้อื่นมองว่าสวยแต่ตัวเรานั้นเหนื่อยหรือทุกข์ใจ เพราะพิณ เชื่อว่า ความสวยที่เรามอบให้แก่ตนเองนั้น มันหมายถึง การที่เรารักตัวเอง เพราะเรารักตัวเองจึงได้ดูแลตัวเอง อยากให้ทุกคนทำอะไรเพื่อตัวเอง เพราะทุกคนมีชีวิตนี้แค่ครั้งเดียว อายุ 26 ครั้งเดียว 27 ครั้งเดียว เลยอยากให้ทุกคนกล้าที่จะทำอะไรเพื่อตนเอง รักตัวเองให้มากๆ และมีความกล้าที่จะทำความฝันค่ะ”หากในอนาคตมี มีวง ไอดอล LGBTQ+ เกิดขึ้นมาในประเทศไทยมากขึ้น“พิณอยากให้ทุกคนเปิดรับให้มากขึ้นค่ะ ไม่อยากให้ไอดอล จำกัดอยู่แค่เพศใดเพศหนึ่ง และก็อยากฝากว่า อย่าล้อเล่นกับความฝันของคนอื่น ไม่ว่าจะจากทางบริษัทเอง ไม่อยากให้เปิดรับเพียงเพราะเอากระแสหรือด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่า ไอดอลก็เป็นมนุษย์ และพวกเขามีความฝัน ความเสียใจ ความดีใจ ความผิดหวัง เหมือนอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ หรือทั้งจากผู้ที่อยากเป็นไอดอลเองก็ตาม ไม่อยากให้ทำเล่นๆ เพราะเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็จะมีคนที่ไม่ได้รับเลือกด้วยเช่นกัน อยากให้เต็มที่และเต็มใจที่จะเป็นไอดอล ผู้ที่มอบ แรงบัลดาลใจ ความฝัน ความสุข ความสนุก และรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นค่ะ”“ขอฝากวง STARDASH วงไอดอลที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความสุข ความสนุก ร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคนด้วยนะคะ เร็วๆนี้ภายในปี 2024 ก็จะมีเพลงใหม่ๆออกมากันด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะคะ”IG : pinnerz.stardashFackbook : PinNerz STARDASHTIKTOK : @pinnerz_stardashAuthor : MIKA_MIKAZUKI สิริชัย จันทร์เจริญ

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

21 ส.ค. 2024

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่ามีการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมีการใช้คำว่า Alpha, Beta หรือ Omega ทุกคนอาจสงสัยว่าคำพวกนี้มาจากไหนหรือเป็นอาการยังไง วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน ว่าโลกของ Omega Verse มีอะไรบ้าง!Omega Verse คืออะไร ?Omega Verse เป็นแนวเรื่องจักรวาลโลกสมมุติที่ได้รับความนิยมในแวดวงแฟนฟิคชั่นและนิยายแนวโรแมนติก-เหนือธรรมชาติ มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ในจักรวาลนี้ตัวละครจะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ คือ Alpha, Beta และ Omega โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและบทบาทเฉพาะแตกต่างกันไป1. Alpha (A)อัลฟ่า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นชนชั้นที่มีอำนาที่สุดในจักรวาลนี้ มักมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปกครองและปกป้อง ตัวละครที่เป็นอัลฟ่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งและมักเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในความสัมพันธ์ มีบทบาทในการดูแลและปกป้องดูแลโอเมก้า2. Beta (B)เบต้า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะธรรมดาในจักรวาล เป็นชนชั้นกลางหรือชนชั้นทั่วไปและมีสัดส่วนมากที่สุด ไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้า และมักมีบทบาทเป็นตัวละครสนับสนุนในเรื่องราวต่าง ๆ3. Omega (O)โอเมก้า เป็นกลุ่มตัวละครที่โดยส่วนมากมีความอ่อนโยนและถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ต้องการการปกป้อง เป็นชนชั้นที่มีอำนาจน้อยที่สุด โดยส่วนมากจะถูกกดทับจากชนชั้นอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของ Omega Verseกลุ่มจักรวาลประเภทนี้จะมีพฤติกรรมที่คล้ายกับสัตว์ในโลกของเรานั่นเอง1.Pheromone หรือ ฟีโรโมน ในจักวาลนี้อัลฟ่าและโอเมก้ามีกลิ่นติดตัวที่เรียกว่า ฟีโรโมนอยู่ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล2.Soulmate หรือคู่ชีวิต คือการที่อัลฟ่าและโอเมก้าเกิดการจับคู่กันตั้งแต่แรกเจอ เป็นสิ่งที่หากันเจอยากมาก โดยหากเจอกันจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้คือโซลเมทของกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายจะได้กลิ่นของกันและกันอย่างรุนแรงและแสดงอาการฮีทหรือรัทขึ้นมา3.Heat หรือการฮีท คือการที่โอเมก้ามีอาการอยากผสมพันธุ์ และปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาอย่างรุนแรงเพื่อดึงดูดอัลฟ่าที่อยู่ใกล้ ๆ ให้มามีเพศสัมพันธ์ด้วย อาจเกิดจากการที่ได้กลิ่นของโซลเมทหรือเจอฟีโรโมนของอัลฟ่าที่ปล่อยออกมา4.Rut หรือการรัท คือการที่อัลฟ่าเกิดความรู้สึกอยากผสมพันธ์อาจเกิดจากการได้กลิ่นฟีโรโมนในช่วงฮีทของโอเมก้า หรือถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ของตนเอง ฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้โอเมก้าฮีทได้5.Bond หรือการผูกพันธะ เกิดได้จากการที่อัลฟ่านั้นกัดเข้าที่หลังคอโอเมก้า ถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและอำนาจเหนือโอเมก้าของอัลฟ่า เพื่อให้อีกฝ่ายไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตนได้6.Nesting หรือการทำรัง เกิดจากการที่โอเมก้าที่มีครรภ์มีอาการติดกลิ่นคู่ของตัวเอง และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อห่างกัน จึงใช้เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่มีกลิ่นอีกฝ่ายติดอยู่มากองรอบตัวหรือ ‘สร้างรัง’ เพื่อให้ถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นของคู่ เป็นการเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ตนเองของโอเมก้ามีครรภ์ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้จักรวาล Omega Verse มาสร้างบทหรือพล็อตสามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกในเรื่องของการกดขี่หรือการมีชนชั้นวรรณะในสังคมได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการเขียน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถเพิ่มความสนุกให้กับบทได้อีกด้วยAuthor : Warissแหล่งข้อมูล :https://aboth-info.wixsite.com/whatisabohttps://www.phoenixnext.com/guild/omegaversehttps://urbancreature.co/omegaverse-problematic-world/

album

0
0.8
1