เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

HEALTHY LIFESTYLE

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

18 ม.ค. 2024

ในชีวิตของการทำงานผู้คนมักเร่งรีบ แข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ เลยอาจจะมักทำพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายจนเป็นเรื่องปกติ และเผลอละเลยสุขภาพของตนเองไป

 

1. นั่งท่าเดิมนานเกินไป

โรคออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่ชาวออฟฟิศหลายคนรู้จักกัน เพราะเกิดจากการนั่งทำงานตลอดวันแบบไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบจนมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดหลัง ไหล่ คอ และบ่า รวมถึงการจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่งผลให้ปวดตา ปวดกระบอกตา และเสี่ยงโรคไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน

            

2. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนดึกมักไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และไม่ทราบถึงภัยอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพหลายคนอาจคิดว่านอนดึก เดี๋ยวค่อยตื่นสายก็ได้ แต่พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้นาฬิกาชีวิตพังหรือร่างกายทำงานไม่เป็นระบบ เพราะอวัยวะในแต่ละส่วนของร่างกายมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง ฮอร์โมนในร่างกายอีกหลายชนิดหลั่งเป็นเวลา ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การนอน เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่ซึกหรอ รวมไปถึงฟื้นฟูร่างกายให้พร้อม การที่นอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น จะทำให้มีปัญหาในระยะยาวได้ เช่น นอนตื่นมาแล้วไม่สดชื่น สมาธิสั้น รวมถึงเสี่ยงต่อโรคร้ายอีกหลายโรค

            

3. อดอาหารเช้า/ทานอาหารไม่ตรงเวลา

เพื่อที่จะได้เข้างานตรงเวลา หลายคนเลยมองข้ามการทานอาหารเช้าไป หรือว่าทำงานจนลืมเวลาอาหาร ทานไม่ตรงเวลา หรือกระทั่งอดมื้อนั้นๆไปเลย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน และโรคท้องผูกเรื้อรังได้

            

4. ทานอาหารไม่มีประโยชน์

ชีวิตประจำวันที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา คนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารรสจัด ของมัน ของทอด น้ำอัดลม อาหารJunk Food หรืออาหารสำเร็จรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการทำงานจนดึกดื่นแล้วค่อยมากินข้าวทีเดียวก่อนนอน พฤติกรรมแบบนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคตับ โรคอาหารไม่ย่อย และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูงมาก รวมไปถึงปริมาณน้ำตาลและโซเดียมที่สูงกว่าอาหารทั่วไป

            

5. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่

การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงาน ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและความสัมพันธ์ที่ดี  แต่การสังสรรค์ที่มากจนเกินไป อาจเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษและทำให้ร่างกายพังได้ รวมถึงส่งผลให้พักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือโรคหัวใจได้ นอกจากนี้บางคนยังนิยมสูบบุหรี่ระหว่างการทำงานด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต

            

6. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ

การนั่งเป็นเวลานานและไม่หยุดพัก นอกจากจะเสี่ยงในเรื่องของออฟฟิศซินโดรมแล้ว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย  เนื่องจากการนั่งทำงานจนไม่ลุกไปไหนแม้แต่การเข้าห้องน้ำและกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและกรวยไตอักเสบ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก:

https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/7-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E

 

https://www.bangkokhospital.com/content/7-popular-diseases-that-threaten-workers

 

Author : สามสิบสิงหา

related HEALTHY LIFESTYLE

เช็กตัวเองก่อนเป็น Burnout Syndrome

07 ต.ค. 2023

เช็กตัวเองก่อนเป็น Burnout Syndrome

เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ผ่านมาครึ่งทางแล้ว เหลืออีก 3 เดือนสุดท้ายของปี เหนื่อยกันไหมมม ??หลาย ๆ คนประสบความสำเร็จมากขึ้น หลาย ๆ คนเติบโตมากขึ้น หลาย ๆ คนความสำเร็จอาจจะยังไม่มาถึง แต่เราเชื่อว่าอีกไม่นานต้องมาถึงคุณแน่นอนและก็มีอีกหลายคนรู้สึกว่าเรากำลังจะหมดไฟในการทำงานแล้วรึเปล่านะ ?อาการเครียด หดหู่ เบื่อ ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน หรือที่เราเรียกกันว่า Burnout Syndrome ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยเป็นโรคที่เป็นผลจากการความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงานเป็นปัญหาที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากความเครียด ความกดดันในการทำงานเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเรากำลังตกอยู่สภาวะ Burnout Syndromeอาการ Burnout Syndrome คือ ภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดของงานที่มากเกินไป อย่างต่อเนื่องยาวนานรวมถึงงานมีความซับซ้อน ต้องทำในเวลาเร่งรีบ จนทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกหมดไฟ มองตัวเองในแง่ลบ ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน รู้สึกห่างเหินจากผู้ร่วมงาน และไม่รู้สึกผูกพันกับสถานที่ทำงานลองมาเช็กกันว่าคุณจะเสี่ยงเป็น Burnout Syndrome ไหมผู้ที่ทำงานหนัก มีภาระงานมาก ทำงานล่วงเวลางานมีความซับซ้อน รีบเร่ง ทำให้เกิดความกดดันจริงจังเกินไป ขาดความยืดหยุ่น ยึดติดในความสมบูรณ์แบบทำงานที่ไม่ได้มีความรักหรือความปรารถนาที่จะทำขาดอำนาจในการตัดสินใจ มีปัญหาการเรียงลำดับความสำคัญของงานไม่ได้รับการตอบแทนหรือรางวัลที่เพียงพอต่อสิ่งที่ทุ่มเทไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ และไม่เปิดใจยอมรับรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม ไร้ตัวตนระบบบริหารงานหรือค่านิยมองค์กรขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตองค์กรไม่มั่นคง นโยบายบริหารไม่มีความชัดเจนสัญญาณเตือนว่าคุณมีภาวะหมดไฟในการทำงานหลังจากที่เช็กจากด้านบนแล้วสงสัยว่าตัวเองจะมีภาวะหมดไฟในการทำงานรึเปล่า สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ดังนี้อาการทางกาย สูญเสียพลังงานหรืออ่อนเพลีย (Exhaustion) นอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อย หมดแรง ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ ภูมิตก ไม่มีสมาธิ ความ สามารถในการจำลดลงอาการทางอารมณ์ รู้สึกไม่อยากทำงาน หรือมีทัศนคติเชิงลบต่องานที่ทำ (Negativism) รู้สึกเบื่อ ไม่มีความสุข หดหู่ ไม่มีชีวิตชีวา สิ้นหวัง ไม่มีแรงจูงใจ อารมณ์แปรปรวน โกรธ หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย ไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลมากขึ้น สงสัยในความสามารถของตัวเองอาการทางพฤติกรรม ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง (Professional Efficacy ) มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนน้อยลง แยกตัวออกจากกลุ่ม หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน ไม่กระตือรือร้น ผัดวันประกันพรุ่ง บริหารจัดการเวลาไม่ได้ ขาดความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ไปจนถึงมีการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์วิธีรับมือและจัดการกับภาวะหมดไฟในการทำงานพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อให้รับทราบปัญหา และหาทางออกด้วยกัน เช่นการลดปริมาณงาน การเรียงลำดับความสำคัญของงาน เพื่อทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมายได้พักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ขจัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ช่วยปรับสมดุลร่างกายลองมาออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมทำ เพื่อช่วยลดความเครียดจากการทำงาน ช่วยให้ร่างกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และถือว่าเป็นพักสมองจากเรื่องงานไปในตัวทำสมาธิ ผ่อนคลายความเครียด ยืดหยุ่นในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น ลดความกดดันตนเองสร้างความสัมพันธ์และบรรยากาศที่ดีในการทำงาน หรืออาจะหาช่วงเวลาสังสรรค์หลังเลิกงานกับเพื่อนในที่ทำงานบ้างหยุดพักบ้าง เราทุกคนมีวันลาพักร้อน เราก็ใช้วันลาพักร้อนเหล่านั้น ไปเที่ยวต่างจังหวัด เปิดหู เปิดตา ให้สมองปลอดโปร่ง ให้เวลากับตัวเองในการจัดการความเครียดหากรู้สึกว่าเราจะหมดไฟในการทำงาน มีความเครียดมาก ๆ การพูดคุยกับคนรอบข้างที่ไว้ใจและเข้าใจ อาจจะเป็นการได้ระบายอย่างหนึ่ง แต่ที่สำคัญเราควรมีเวลาพักผ่อน ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองสนใจ ให้ตัวเองได้จัดการอารมณ์ หา Work Life Balance ในการทำงาน เท่านี้อาจจะทำให้เราออกห่างจากภาวะหมดไฟในการทำงานได้บ้างแล้วว่าแล้ววันหยุดนี้ก็ออกไปเที่ยวกัน ^^

3 สัญญาณบ่งบอกว่า เลือดของคุณกำลังไหลเวียนได้ไม่ดี

10 ส.ค. 2022

3 สัญญาณบ่งบอกว่า เลือดของคุณกำลังไหลเวียนได้ไม่ดี

คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะสาวๆ จะเห็นได้ชัดจากรูปร่างและผิวพรรณที่ดูมีน้ำมีนวล อิ่มเอิบ เพราะมีระบบไหลเวียนเลือดดี แต่ก็ยังมีวิธีสังเกตอาการที่กำลังบอกเราได้ว่า ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ต้องรีบบำรุงเลือดด่วนเลยนะคะ1.ผิวพรรณไม่มีน้ำมีนวล อยู่ดีๆ ผิวพรรณก็ดูหมองคล้ำ ไม่มีน้ำไม่มีนวล เป็นสิว ไม่สดใส อาจมีสาเหตุมาจากระบบหมุนเวียนเลือดไม่ดี ซึ่งเลือดทำหน้าที่ขนถ่ายสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย และพาเอาของเสียออกจากเซลล์ ถ้าระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี เลือดนำพาของเสียออกไปทิ้งไม่ได้ หรือไม่มีประสิทธิภาพ เซลล์ก็จะหมองเพราะมีของเสียตกค้าง อีกทั้งเซลล์ยังไม่ได้รับสารอาหารกับออกซิเจนที่เพียงพอจากระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วยค่ะ2.ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมากกว่าปกติ หรือนานกว่าปกติ เช่น ประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน, ต้องใช้ผ้าอนามัยมากกว่า 1 แผ่นต่อชั่วโมง หลายชั่วโมงติดต่อกัน, ประจำเดือนปนลิ่มเลือดขนาดใหญ่, รู้สึกอ่อนเพลียระหว่างการมีประจำเดือน อาการเหล่านี้ล้วนแต่ควรต้องไปปรึกษาแพทย์นะคะ เพราะการที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ แบบมามากเกินไป หรือมีอาการข้างต้นด้วยแบบนี้ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางสุขภาพอื่นๆ และอาจทำให้เกิดภาวะซีดจากการเสียเลือดมากกว่าปกติ อันนำไปสู่ภาวะโลหิตจางอีกด้วย ประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ คือ เลือดที่ออกมาในช่วงที่คุณมีประจำเดือน แต่มีปริมาณน้อยกว่าปกติ หรือมาไม่เกิน 2 วัน โดยอาจจะเป็นเลือดหยดๆ หรือเปื้อนผ้าอนามัยเพียงเล็กน้อย แบบนี้เป็นอาการประจำเดือนมาไม่ปกติที่อาจเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ความเครียด หรือการขาดสารอาหารบางชนิด ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงเลือด3.เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ทำกิจกรรมประจำวันปกติ แต่กลับรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น หายใจลำบากขณะออกแรง มึนงง วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว มือเท้าเย็น ผิวซีดเหลือง เจ็บหน้าอก ใจสั่นไหว ฯลฯ เป็นอาการของผู้ที่มีภาวะโรคโลหิตจาง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยสูญเสียธาตุเหล็กออกไปกับประจำเดือนนั่นเองค่ะ คุณมี 3 สัญญาณนี้อยู่รึเปล่า อย่าลืมสังเกตอาการตัวเองนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก Green Wave ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

20 ส.ค. 2024

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

นปโปะหม่ำๆ หม่ำๆ กู๊ดบอย คือทำนองเพลงติดหู ที่เรามักได้ยินบนโลกโซเชียลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่มาของเพลงสุดน่ารักนี้ ก็เกิดจากเจ้าหมา ‘นปโปะ’ ที่ไม่ยอมกินอาหารโดยเด็ดขาดถ้าเจ้าของไม่ร้องเพลงให้ฟัง (ต้องมีทำนองด้วยนะ ไม่งั้นหนูไม่กิน!) ทำให้ใครหลายๆคนที่ได้เห็นคลิปวิดีโอของนปโปะต้องอมยิ้มไปตามๆกัน แต่เอ๊ะ…แล้วสาเหตุที่ทำให้น้องหมาหลายๆตัว ไม่ยอมกินอาหารง่ายๆคืออะไรกันนะสาเหตุที่สุนัขไม่กินอาหาร1.อาการป่วยถึงแม้ว่าการอยากอาหารที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าน้องๆกำลังมีโรคร้ายแรงเสมอไป แต่การตรวจหาความผิดปกติอย่างทันท่วงทีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเจ็บปวดทางร่างกาย ปัญหาทางช่องปากและฟัน การติดเชื้อในลําไส้ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินอาหาร เป็นต้น2.การฉีดวัคซีนการฉีดวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอาจมีผลข้างเคียง ทำให้สุนัขสูญเสียความอยากอาหารในระยะเวลาสั้นๆได้3.สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยสถานที่แปลกใหม่อาจทำให้น้องหมาเกิดความเครียดและประหม่าได้ รวมไปถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ก็อาจทำให้น้องๆรู้สึกคลื่นไส้ เมารถ ทำให้ไม่อยากอาหารได้เช่นกัน4.พฤติกรรมส่วนตัวนิสัยของสุนัขบางตัวอาจมีความ ‘เลือกกิน’ ไปนิด ลองสังเกตดูว่าน้องหมาของเรามีนิสัยส่วนตัวอย่างไร และนำมาปรับใช้กับวิธีการฝึกกินอาหาร เช่น การให้อาหารเป็นเวลา หลีกเลี่ยงการให้อาหารใกล้สุนัขตัวอื่นจนเกินไป การปรับชามข้าวให้มีความสูงพอดีต่อตัว ตรวจสอบอาหารว่าไม่เหม็นอับ และไม่แข็งจนเกินไป เป็นต้น5.น้องหมาได้รับของรางวัลมากเกินไปความ ‘อิ่ม’ จากการกินขนมเยอะเกินไป อาจทำให้น้องๆรู้สึกไม่หิวอาหารแบบเดิมๆที่เคยกิน การกินขนมควรเป็น ‘รางวัล’ ของสุนัข ไม่ใช่อาหารจานหลัก และควรมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของแคลอรีต่อวันเมื่อคำนวณตามน้ำหนักตัว เพราะการให้ขนมมากเกินไปอาจนําไปสู่โรคอ้วนในสุนัขได้อีกด้วยวิธีกระตุ้นความอยากอาหารของน้องหมา1.เปลี่ยนอาหารเม็ดโดยการเลือกสูตรอาหารที่มีส่วนผสมคล้ายกับอาหารสูตรเก่า และช่วยปรับให้ระบบย่อยอาหารของน้องๆรู้สึกคุ้นเคย ด้วยการค่อยๆผสมอาหารใหม่เข้ากับอาหารเก่า และเพิ่มปริมาณของอาหารใหม่ในแต่ละมื้อวันที่ 1-2: ผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารเก่า 75%วันที่ 3-5: ผสมอาหารใหม่ 50% กับอาหารเก่า 50%วันที่ 6-7: ผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%วันที่ 8 เป็นต้นไป : อาหารใหม่ 100%ซึ่งสุนัขบางตัวอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนนานมากกว่านี้ โดยเฉพาะกับน้องๆที่มีกระเพาะย่อยอาหารบอบบาง2.เพิ่มท็อปปิ้งตกแต่งอาหาร หรือ ทําให้อาหารเม็ดนิ่มลงเติมน้ำหรือซุปผักอุ่นๆลงในอาหารแห้งและปล่อยแช่ให้นิ่ม ช่วยให้น้องหมาเคี้ยวอาหารได้ง่าย เพิ่มกลิ่น กระตุ้นความอยากอาหาร (ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยนะ ว่าไม่มีหัวหอมหรือกระเทียมอยู่ในส่วนผสมของน้ำซุป เพราะอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้น้องเป็นโรคโลหิตจางได้)3.หลีกเลี่ยงการให้อาหารโดยไม่มีเงื่อนไขการวางอาหารของน้องหมาทิ้งไว้ให้เดินมากินตอนไหนก็ได้ อาจจะดูเป็นวิธีที่สะดวก แต่ก็ส่งผลตามมาหลายอย่าง เช่น การไม่เห็นพฤติกรรมความอยากอาหารที่เปลี่ยนไปของน้องๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางร่างกายผู้เลี้ยงควรกำหนดเวลาให้อาหารอย่างชัดเจน และทำการจับเวลา 15 นาที หากในช่วงเวลานี้น้องๆมีท่าทีไม่ยอมกินอาหารที่วางไว้ ให้เก็บอาหารจนกว่าจะถึงเวลามื้อต่อไป เป็นการฝึกให้น้องหมาไม่ติดนิสัยเมินอาหารนั่นเอง4.ทําให้มื้ออาหารเป็นเรื่องสนุกทำให้การกินอาหารตื่นเต้นขึ้น ด้วยการใส่อาหารไว้ในเครื่องเล่นสำหรับน้องหมา กระตุ้นสัญชาตญาณการหาอาหาร รวมไปถึงการให้คำชมเมื่อน้องๆยอมกินอาหารนั่นเองสุดท้ายนี้ การเมินไม่ยอมกินอาหารของน้องหมาเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพฤติกรรมส่วนตัว ความประหม่า หรืออาการเจ็บป่วย เจ้าของจำเป็นต้องสังเกตนิสัยและความผิดปกติที่น้องๆพยายามจะบอกเรา และหากน้องหมาไม่ยอมกินอาหารนานกว่าสองวัน (หรือสองมื้อหากมีโรคประจําตัว) ควรติดต่อสัตวแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าน้องๆจะสุขภาพดี เหมือนกับน้องนปโปะ ที่หนูแค่อยากได้ยินคำชมเยอะๆตอนกินข้าวเฉยๆน้าAuthor : L’ara

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

30 พ.ค. 2023

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

อย่างที่เรารู้กันว่าการนอนน้อย หรือ นอนดึก จะส่งผลให้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และอาจจะรวมถึงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อีกมากมายทั้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้หลงขี้ลืม น้ำหนักขึ้นไว แก่ก่อนวัย ไม่มีสมาธิ แต่จริง ๆ แล้ว ความร้ายกาจของการนอนน้อย หรือการนอนดึก อาจจะทำให้เราเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ว่าจะต้องนอนน้อยแค่ไหน หรือนอนมานานเท่าไหร่ถึงเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ วันนี้กรีนเวฟจะพาไปหาคำตอบด้วยกันต้องนอนดึกมานานแค่ไหนถึงเสี่ยงโรคร้ายจริง ๆ คงต้องบอกว่าไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะปัจจัยในการเกิดโรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และจะไม่มีการบอกว่านอนดึกมานานกี่ปีถึงจะเกิดโรคอะไร ขึ้นอยู่กับการปรับตัวแต่ละคน บางคนนอนดึกเป็น 10 ปี ก็ไม่เป็นอะไรก็มี แต่โดยมากการนอนดึกต่อเนื่อง 6 เดือน – 1 ปี ระดับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ก็จะเริ่มร่วงลง เมื่อฮอร์โมนลดลงการเกิดโรคต่าง ๆ ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันละ เพราะปัจจัยแต่ละโรคมันไม่ได้ขึ้นอยู่แต่แค่การนอนอย่างเดียวGrowth Hormone คืออะไรโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโต มีหน้าที่สำคัญทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีบทบาทที่แตกต่างกันในเด็ก โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่สร้างความเจริญเติบโตให้เด็ก มีส่วนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและกระดูก หากเด็กคนไหนขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้รูปร่างเตี้ย ตัวเล็ก ไม่มีกล้ามเนื้อ อาจมีภาวะอ้วนจากการสะสมไขมันที่ลำตัวมากในผู้ใหญ่ กรทฮอร์โมนทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ช่วยกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย ช่วยเพิ่มมวลและความสามารถของกล้ามเนื้อ ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ชะลอความแก่ชรา แต่ถ้าใครมีโกรทฮอร์โมนที่น้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันจะทำให้คนๆ นั้นมีความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสันหรือโรคทางด้านหัวใจและเส้นเลือดผิดปกติได้ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง ใบหน้าหย่อนคล้อยดูเหมือนแก่กว่าวัย ดังนั้นการที่มีโกรทฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคและชะลอการแก่ก่อนวัยอันควรโดยการเพิ่มโกรทฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี และ 1 ในนั้น คือเรื่องของการนอน ควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะสามารถผลิตโกรทฮอร์โมนได้มากที่สุด โดยปกติโกรทฮอร์โมนจะหลั่งช่วง 5 ทุ่ม - ตี 2 และควรนอนไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนอนน้อยเสี่ยงโรคมะเร็ง ?ได้มีการศึกษาและวิจัยว่าในคน 1,240 คน พบว่ามีคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงถึง 47% จะมีอาการของมะเร็งลำไส้ มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชม.ขึ้นไปนอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งลำไส้แล้วยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดฝ้าได้อีกด้วยเวลาที่เรานอน ฮอร์โมนของเราจะถูกสร้างให้รู้สึกผ่อนคลายและมีการสร้างของเม็ดสีที่มันเป็นไม่คล้ำ แต่ถ้าเกิดว่าเรานอนดึกจนเกินไป สมองแทนที่มันจะถูกพักและสร้างเม็ดสีที่ดี มันจะเปลี่ยนเป็นกระตุ้นเม็ดสีดำ ขึ้นมาเยอะแทน มันจะไปกระตุ้นฮอร์โมนชื่อ melanocyte stimulating hormone เรียกย่อว่า MSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีดำ และก็อาจจะทำให้ ยิ่งนอนน้อยยิ่งมีรอยเหี่ยวย่นเยอะ และก็ฝ้าเยอะได้พยายามนอนเร็วแล้ว แต่เป็นคนนอนหลับยากทำยังไงดีก่อนที่จะนอนถ้ากินมื้อเย็นหรือมื้อใหญ่ เช่นบุฟเฟ่ต์ก่อนหน้าที่จะเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้หลับยากยิ่งขึ้น เพราะเวลาที่เรากินมื้อเย็นเป็นมื้อใหญ่ หรือกินบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่เยอะ จะยิ่งไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น (Cortisol ฮอร์โมนความเครียด) เมื่อร่างการมีหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เข้าสู่วงจรการนอนหลับได้ยากขึ้นห่างแสงสีฟ้าอย่างต่ำ 2 เมตร เพราะคลื่นทำงานของมือถือ เค้าจะรบกวน การทำงานของสมองได้ กว่าที่ร่างกายจะสั่งให้หลับ มันจะมีการสร้างตัวสั่งให้หลับชื่อฮอร์โมนว่า Melatonin โดย Melatonin จะออกมาตอนที่ทุกอย่างมืด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเปิดไฟ ก็จะทำให้ melatonin มันไม่ออกมา แต่ตัวที่หนักกว่าไหที่เราเปิดคือแสงสีฟ้า หรือเรียกว่า Blue Light ซึ่งมันจะยับยั้งการหลั่ง melatonin ได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราหลับไปแล้ว แล้วดูแสงสีฟ้าขึ้นมา มันก็จะยิ่งทำให้กระตุ้นร่างกาย ทำให้ตัวสั่งหลับมันไม่ออกมามากยิ่งขึ้น เราก็จะนอนยากออกกำลังกายก่อนนอนบางคนคิดว่าทำให้ตัวเองเหนื่อยแล้วจะยิ่งนอนหลับได้ดี แต่จริง ๆ แล้วสำหรับคนที่ Sensitive ในเรื่องของการนอน จะแนะนำให้ออกกำลังกายก่อน 6 โมงเย็น เพราะว่าเวลาที่ออกกำลังกายแล้วเนี่ยมันจะมี Adrenaline Epinephrine หลั่ง ซึ่งพวกนี้เป็นสารของคาวม Active และความสดชื่น ทำให้ร่างกายตื่น เพราะฉะนั้นพอเราไปเข้านอน มันก็ยังคงความสดชื่นอยู่ เลยทำให้หลับยากชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ก็สามารถไปกระตุ้นในเรื่องของการนอนได้เหมือนกัน โดยปกติคาเฟอีนใช้เวลาขับออกจากร่างกายประมาณ 6-8 ชั่วโมง สมมุติถ้าเราจะนอนตอน 3 ทุ่ม สำหรับคนทั่วไป ถ้ากินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปช่วงบ่าย 3 กว่าจะเข้านอนเค้าก็สามารถระบายคาเฟอีกออกจากร่างกายได้หมด แต่สำหรับคนที่ Sensitive หากกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วบ่าย 3 เหมือนกัน ร่างกายอาจจะระบายออกมาไม่ทัน อาจจะต้องขยับเวลามากินช่วงก่อนเที่ยงเลยด้วยซ้ำแต่หากใครอยากดื่มชาก่อนนอน เราก็ขอแนะนำเป็นชาคาโมมายล์เท่านั้น เพราะเป็นชาตัวเดียวเท่านั้นที่ช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดีเป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับที่เอามาฝากกันวันนี้ อย่าลืมว่านอกจากจะดูแลตัวเองเรื่องของการกินและการออกกำลังกายแล้ว สุขภาพการนอนที่ดีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราร่างกายเราแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน

album

0
0.8
1