หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

07 ต.ค. 2024

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด

แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว

แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา พูดกับแม่ยังไงให้เขาเข้าใจหนูสักทีคะ? หนูให้เข้ามาได้แต่อย่ามาย้ายของ

            “คุณแจกัน (นามสมมติ)” อายุ 18 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย‘ เกี่ยวกับปัญหาทำยังไงให้คุณเเม่เลิกเข้าห้องส่วนตัวเรา เพราะรู้สึกเริ่มโตเเล้ว

            โดย “คุณเเจกัน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ครอบครัวหนูแยกทางกัน มีพี่น้อง 3 คน หนูเป็นคนกลาง พ่อแม่แยกทางกัน พี่สาวไปอยู่กับแฟน น้องชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนหนูอยู่กับเเม่ ตอนนี้คุณเเม่อายุ 42 ปี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา หนูขอแม่เเยกห้องนอนส่วนตัว คุณเเม่ก็โอเค ให้แยกนอนได้ บางทีคุยกันก็เหมือนเขาไม่พอใจ ผ่านไปอาทิตย์นึงคุณเเม่ก็เริ่มเข้าห้องเราโดยที่ไม่เคาะหรือบอกเราก่อน บางทีหนูไปโรงเรียนกลับมาของที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมก็หายหรือหาไม่เจอ เช่น หนูเรียนมีการบ้าน เขาจะชอบจัดเเล้วเขาจะเก็บรวมไปเลย บางทีหนูล็อคห้อง หรือติดป้ายไว้เเล้ว เคยคุยกับเเม่เเล้วด้วย เเม่ก็โอเคจะไม่เข้า เเต่พอผ่านไปแค่ 2 - 3 วันเขาก็ยังเข้าห้องเหมือนเดิม

            หนูไม่ได้ว่าที่เขาเข้าห้อง เเต่หนูอยากให้เขาบอกก่อนว่า จะเข้าไปเก็บของนะหรือจะเข้าไปห้องให้ บางทีหนูนอนอยู่ เขาก็จะเข้ามาโดยที่ไม่บอกเรา เข้ามาเฉย ๆ ดูเเล้วก็ออกไป บางทีหนูอาบน้ำเเต่งตัวอยู่ เขาก็เข้ามาเลย ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเขาเข้ามาในพื้นที่ของหนู ทำให้หนูเกิดอาการเหมือนหงุดหงิดตัวเอง ไม่ได้หงุดหงิดแม่ หนูก็เก็บไว้ว่าอย่าไปหงุดหงิดเขา เหมือนเราเคยนอนด้วยในห้องเดียวกัน พอหนูแยกออกมาเขาอาจจะเเบบอยากรู้รึเปล่าว่าเราแยกออกมาเเล้ว ยังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า? หนูเป็นคนทำความสะอาดทั้งบ้านเอง เหมือนเรื่องของเราก็จะไม่ให้แม่ยุ่ง ซักผ้าหรืออะไรก็ทำเองหมดเลย เพราะไม่อยากให้แม่ทำ หนูไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไง ก็เลยอยากถามพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า หนูควรต้องทำยังไงดี?

            โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หัวอกคนเป็นพ่อเป็นเเม่รู้เเหละว่าวันนึงลูกจะโต จะไปมีชีวิตของตัวเอง เราจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าห้องโดยพลการอีกต่อไป นี่คือที่พ่อแม่รุ่นใหม่พยายามบอกตัวในทุก ๆ วัน เเต่มันโครตยากเลย ด้วยวัยของคุณเเม่ที่เท่า ๆ พี่พี่ว่าคุยได้ มันเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีการคุยจะไม้อ่อนไม้เเข็งอันนี้เเล้วเเต่เเจกัน ถ้าเคยคุยแบบไม้อ่อนเเล้วยังเหมือนเดิม ก็ตเองขยับเป็นไม้เเข็งขึ้น เเต่ก็ไม่รู้ความคิดเขาถ้าโดนอย่างงี้พอเขาโดนเเบบนี้จะยังไง เเต่พี่ว่าถ้าเห็นลูกเริ่มจริงจังขึ้นไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำที่โตขึ้น เป็นพี่พี่ยอมเปลี่ยนนะ อย่างน้อยยังได้ก้าวเข้าไปในห้องเขาอ่ะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเเม่ฟังคลิปนี้’

            ต่อมา “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษา ‘เข้าใจหมดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เเต่ก็ต้องเข้าใจความเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยวเเล้วหนูเป็นลูกที่ใกล้เขามากที่สุด เขาก็จะเเอบคิดเข้าใจไปเองว่า ยังไงลูกต้องอยู่ในอ้อมกอดของชั้นตลอดไป ชั้นจะปกป้องเขาให้เขาไม่เจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ เเละม่ความไม่ค่อยไว้ใจลูกสาวหน่อย ๆ การที่เขาได้เข้าไปในห้องของลูกสาว เหมือนเขาได้เข้าไปอยู่โลกของลูกสาวด้วย เขาเลยอยากสร้างความมั่นใจว่ายังอยู่ในสายตาชั้น ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ทำความเข้าใจด้วย เเม่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องตลอดชีวิตเราหรอก วันนึงก็ต้องจากกัน ก่อนจะถึงวันนั้นปรับวิธีคิดเราจะได้ไม่หงุดหงิดมากเกินไป ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา มันก็เป็นบทเรียนให้หนูเหมือนกัน ที่หนูต้องรักเเละปกป้องตัวเองด้วย ค่อย ๆ สร้างความมั่นใจไปเรื่อย ๆ ถ้าเเม่มั่นใจในตัวเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หายไป เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แปลว่าพูดกับเเม่ 1 ครั้งเเล้วเเม่อยู่ในโอวาทของลูกสาวตลอดไป เเต่เมื่อไหร่ที่มันมาจากความรัก ปัญหาความรักแก้ง่ายกว่าปัญหาความไม่รัก ให้สื่อสารที่เป็นทางบวกเเละลองเข้าใจความเป็นห่วงของคุณเเม่ดูบ้าง’

            สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันต้องหาตรงกลางที่ทั้งคู่แฮปปี้ พี่ว่ามันสามารถคุยได้นะถ้ามันส่งผลกระทบการเรียนเราอ่ะหรือเรามีนัดกันกับเขามั้ย ทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันใด ๆ หนูอยู่ในห้องด้วยเเล้วเเม่ก็จัดจะได้รู้ว่าย้ายของเเล้วก็บอกหนูจะได้รู้ อย่าทำโดยที่หนูไม่อยู่อ่ะเพราะบางทีมันจะวุ่นวายต่อการหาของ ส่วนไอการเข้ามาโดยที่ไม่มีสัญญาณก่อนอ่ะ หรือมันโมบายอะไรหน้าห้องมั้ย อะไรก็ได้ให้ถ้าร่างเข้าผ่านเเล้วมันจะเกิดเสียงอะ เพื่อให้เขาเองก็ต้องมีสติด้วยนะว่าต้องเคาะก่อนต้องบอกก่อนเข้าอ่ะ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

12 ม.ค. 2024

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

“คุณแบม (นามสมมติ)” อายุ 42 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย กับปัญหาที่ว่าสามีที่คบกันมานานบอกเลิกเราวันสิ้นปี เราเสียใจช็อก ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล โดย “คุณแบม (นามสมมติ)” ได้เริ่มปรึกษาว่า ‘โดนสามีบอกเลิกตอนวันสิ้นปีที่ผ่านมา คบกับเขามา 4 ปี แต่งงานกันอีก 10 ปี เริ่มจากแบมระแคะระคายเขามานานแล้ว เพราะมันมีเบอร์แปลก ๆ ล็อกอินเข้าใน Facebook เขา พอไปถามเขา เขาก็ตอบมาว่า ไม่รู้ เราก็เลยเก็บเบอร์นี้ไว้ เอาไปโทร เอาไปเช็กตามระบบ มันไม่ใช่เบอร์คอลเซ็นเตอร์ เราก็ไปถามเขาอีกครั้ง ให้เขาโทรไป เขาก็ไม่ยอมโทร จนเมื่อวันที่ 31 ที่ผ่านมา เป็นวันที่แบมหยุดงานอยู่บ้าน แต่แฟนต้องออกไปทำงานในคืนนั้น ระหว่างที่เขาอาบน้ำ แบมได้ใช้แท็บเล็ตของเขากดโทรไปที่เครื่องนั้น ปรากฎว่ามันมีประวัติการโทรเข้าโทรออกที่เบอร์นั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยที่ไม่ได้เมมเบอร์ไว้ แบมก็เลยกดโทรออกไป สักพักหนึ่งก็มีคนรับสาย แบมก็เงียบก่อน ผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อยู่ไหนอะ” แบมก็เลยพูดไปว่า “เธอเป็นใคร นี่เราเป็นเมียของ…นะ” ผู้หญิงก็วางสายไป เราก็ไปเคาะประตูสามีเรียกออกมาคุยว่า คืออะไร แต่เขาก็ไม่ยอมรับ เขาก็นั่งนิ่งไปสักพักนึง แล้วก็พูดว่า “กูไม่ได้รักมึงมา 2-3 ปีแล้ว” เราก็ช็อก เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสัญญาณอะไร แบมก็ถามเขาไปว่า “เราผิดอะไร” เขาก็บอกว่า “เธอไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่เขาผิดเอง ไม่รู้จักพอเอง” แบมก็เลยบอกว่า “เลิกได้ไหม” เขาก็บอก “เลิกไม่ได้” แล้วก็บอกว่า “ขนาดกูพูดกับมึงขนาดนี้แล้ว มึงยังหน้าด้านที่จะยื้อกูไว้อีกหรอ” เขาพูดแบบนี้มา เราก็ช็อกไป เขาก็พาส่งโรงพยาบาล แล้วก็มาเฝ้าเรา 2 คืน แต่เขาก็จะพูดว่า “คือไงอะ คือกูต้องไปไหม” อย่างนี้ตลอด และในวันที่ออกก็มีจิตแพทย์มาคุยกับแบม บอกแบมว่า “คุณมีภาวะซึมเศร้าแล้วนะ เป็นมานานแล้ว” แล้วก็เรียกผู้ชายมาคุยว่า “คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำนะ ถ้าคุณจะไปจากเขา คุณต้องรับผิดชอบให้อาการเขาดีขึ้นก่อน” เขาก็บอกกับคุณหมอว่า “เขาไม่ได้เป็นคนผิด แบมเป็นคนไม่รักตัวเองเอง” อาการเราเริ่มมีตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มระแคะระคายเรื่องเขา จนเครียดสะสมมาตลอด และเราก็ไม่ได้บอกใครเลยเรื่องนี้ แม้กระทั่งพ่อ-แม่ เพราะว่ากลัวพ่อ-แม่จะเกลียดเขา หลังจากกลับจากโรงพยาบาล เขาก็บอกว่า “เขาจะอยู่ดูแล จนกว่าแบมจะดีขึ้น” แต่พออีกวัน เขาไปทำงานแล้วโทรกลับมาบอกแบมว่า “ทำไมเขาต้องอยู่ ในเมื่อเขาพูดชัดเจนแล้วว่าไม่รักแบมแล้ว เขาไม่อยู่หรอกนะ อยู่เพื่ออะไร ทำไมต้องยื้อไว้” แบมก็เลยบอกเขาว่า “งั้นก็เข้ามาเก็บของ” อีกสักพักนึงเขาก็เข้ามาเก็บของออกไป แล้วเขาก็ทิ้งเราไปเลย วันนี้แบมเลยอยากให้พี่ ๆ แนะนำให้มูฟออนให้ได้ ให้ลืมเรื่องฝันร้ายนี้ มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตแบมแล้ว’ ซึ่ง ‘ดีเจเผือก’ ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า “ทุกครั้งเราพยายามจะบอกทุกคนเสมอว่า เวลามันจะช่วยนะ ช่วงนี้ก็ประคับประคองไป ใครไหวแค่ไหน เอาให้มันสุดให้มันผ่านไปได้ เวลามันจะค่อย ๆ เยียวยา วันนี้ร้องเท่านี้ พรุ่งนี้เรื่องเดิม ๆ ที่ทำให้เราร้องไห้ ก็อาจจะไม่ร้องแล้ว แค่เรามีสติรู้ตัวว่า ณ เวลานี้ฉันเศร้าและแน่นอนว่าฉันควรต้องเศร้า ถ้า 15 ปี แล้วเขาจากไปใจร้ายแบบนี้แล้ว ฉันไม่เศร้าสิถึงแปลก อยู่ด้วยกันมาตั้ง 15 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเราเริ่มเข้มแข็งพอ คนเราก็จะต้องค่อย ๆ ลุกขึ้นได้ เดินต่อไปได้ แต่ ณ เวลานี้อาจจะต้องพักให้ร่างกายได้เยียวยาก่อน ซึ่งก็ปล่อย อยากเศร้าก็เศร้า ร้องไห้ก็ร้อง หาเพื่อนสักคนที่พร้อมจะนั่งฟังแบบ เศร้าให้หมดไป แล้วเราก็จะแข็งแรงขึ้นเอง แต่ต้องใช้เวลา คนเราใช้เวลาไม่เท่ากัน ของแบม 15 ปี อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะให้เวลามันเยียวยา ในความคิดของพี่ เป็นกำลังใจให้ อย่างน้อยก็ยังไม่มีความผูกพันด้านอื่น เขาชัดเจนมาขนาดนี้ เมื่อมันจบตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังแล้วต้องปวดหัวมากว่านี้ ทุกอย่างมองในแง่ดีถึงแม้มันอาจจะยากก็ตาม” ต่อมาที่ ‘ดีเจอ้อย’ ได้ให้คำปรึกษาว่า “พี่เห็นด้วยกับเผือกอันนึงคือ เรากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติอยู่ รักมาขนาดนี้ เขาเดินจากไปแล้วเราต้องมูฟออนให้ได้ภายในไม่กี่วัน มันเป็นเรื่องยากมาก เข้าใจว่าคนที่กำลังเสียใจมาก ๆ แล้วมาบอกว่ามันจะดีขึ้น ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก ทั้ง ๆ ที่เวลามันรักษาได้ทุกแผล แค่รอให้ไหว ในเรื่องของซึมเศร้าก็ต้องรักษากันไป ต่อมาคือที่บอกว่าไม่อยากบอกคนรอบตัวเพราะว่าไม่อยากให้ทุกคนเกลียดเขา พี่ว่าคนละเรื่อง พ่อแม่จะเกลียดหรือเปล่านั่นเป็นสิทธิของเขา พี่ไม่อยากให้น้องมีปัญหาซ้ายขวาหน้าหลัง เสียใจเรื่องสามีจากไปก็แย่แล้ว ต้องมานั่งปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอให้กับคนที่บ้านเห็นได้ โลกใบนี้มันจะเหมือนหนักและทับตัวหนูอยู่ หนูไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง คิดหรอว่าเขาจะไม่รู้ อยู่ด้วยกัน ผู้ชายเก็บของออกจากบ้านลูกสาว เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจะเกลียดหรือไม่เกลียด ไม่เกี่ยว ความจริงคือความจริง พี่ไม่อยากให้น้องคอยสร้างภาพลักษณ์ให้ใคร เพียงแต่ว่าพี่อยากให้น้องมีทีมของตัวเอง อย่างน้อยก็ยังมีสายซัพพอร์ต หัวเราะด้วยกันเสียงจะดังขึ้น เวลาร้องไห้เสียงสะอื้นจะเบาลง หนูร้องไห้เลยเต็มที่ อันนี้คือวิธีการเยียวยาธรรมชาติของมนุษย์ เสียใจก็ร้องออกมา ไม่ต้องพยายามเข็มแข็งในตอนที่ยังอ่อนแอ เดี๋ยวแผลจะใหญ่ไป แล้ววันนึงจะคิดได้ว่า ก็แค่คนไม่รักกัน ใครน่าเสียใจกว่ากัน เธอสูญเสียคนที่รักเธอไป 1 คน ฉันเสียคนที่ไม่รักฉันไป 1 คน คิดดูสิว่าใครน่าจะเห็นคุณค่ามากกว่ากัน วันนี้น้องกำลังแบกหลายอย่างมากเกินไป เขาจากไป ต้องปิดบังที่บ้าน ซึมเศร้าหนูก็เป็น มันเลยเป็นปัญหาที่หนูเห็นปัญหานั้นมันใหญ่โตเกินความจริงไปนิด พี่รู้แหละว่าการที่สามีจากไปแบบนี้ มันเป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุด มันทำให้หนูมีคำถามมากมายว่าเราผิดอะไร แต่พี่เห็นแค่ว่า คนไม่รับผิดชอบความรู้สึกของน้องคนนึง อยากจะไปก็ด่า ๆ ให้รู้สึกว่าการจากไปไม่ใช่เรื่องผิด ไม่สนใจว่าหนูจะรู้สึกอย่างไร วันนี้หนูรักเขาไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่เขารักหนูน้อยไปเลยสมารถทำให้หนูเสียใจได้ขนาดนี้เรื่อย ๆ สู้ไปทีละวัน แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่จะดีขึ้น ข้างหน้าไม่รู้ เอาวันนี้ก่อน พี่จะยกตัวอย่างเสมอว่า ไม่มีใครลืมกระเป๋าสตางค์ ในวันที่ถามตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่จะลืมกระเป๋าสตางค์ การลืมมันเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตไปทุกวันตามปกติจนชิน รู้ตัวอีกทีกระเป๋าหายไปไหน การลืมความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรอีกแล้ว เพราะคนจะไปพูดอะไรก็ได้ ถ้าตอนนี้หนูรู้สึกไม่กล้าบอกใคร หนูกอดตัวเองให้แน่น แล้วคุณพ่อคุณแม่ของหนู หนูต้องดูแลหัวใจท่านด้วย ไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน เลี้ยงลูกให้มานั่งร้องไห้เพราะผู้ชายไม่รัก รักตัวเองให้เยอะ ๆ ” สุดท้าย ‘ดีเจเติ้ล’ ให้คำปรึกษาว่า “เมื่อวานได้อ่านหนังสือ Lots Of Love เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่อยู่กับสามีมานาน ประมาณคุณแบม แล้วสามีเป็นมะเร็ง มีเวลาไม่นานสามีก็จากไป เขาเขียนเล่าว่าช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเขาผ่านมาได้อย่างไร ที่เติ้ลฟังสิ่งที่คุณแบมเล่ารู้สึกว่ามันมีความคล้ายกันอยู่ในเรื่องนี้ ตอนที่เราอ่านก็รู้สึกว่าเขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร เราก็ลุ้น เขาเขียนว่าวันที่สามีเขาเสีย หลังจากนั้นเข้าก็ร้องแบบเดี๋ยวทรุด เดี๋ยวร่วง ตื่นเช้ามาก็ร้อง เข้าห้องน้ำก็ร้อง นั่งรถไฟฟ้าไฟก็ร้อง เพราะว่านั่งรถไปทำงานกับสามีทุกวัน แต่ว่าอันนึงที่เขาเขียนแล้วเรารู้สึกว่า มันดีมากเลย คือเขาบอกว่า พอมันร้องไป ตอนแรกเขาก็กลัวเหมือนกันว่ามันจะตาย เขาจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าสามีเขาไม่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายพอเขาร้องแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เขาก็พยายามที่จะหายใจ แล้วเขาก็บอกว่า มันไม่มีใครตายจากความเสียใจอันนี้ อยากจะบอกคุณแบมเหมือนกันว่า เราเสียใจ แล้วมันก็ผ่านมาแค่ 10 วัน เราเป็นคนปกติแล้วที่รู้สึกแบบนี้กับความผูกพันธ์ที่ตัวเองมีมา เติ้ลก็อยากจะบอกกับคุณแบมว่า ร้องไปเลย เสียใจได้ไปเลย สุดท้ายถึงเวลา อย่างคุณหมวยที่อยู่ในเรื่องนี้ เขาใช้เวลาเป็น 10 ปีเลยเหมือนกัน ในการที่จะผ่านมันไปได้ แต่แล้วในหนังสือสุดท้ายที่เขามาเขียนก็คือ ทุกวันนี้เขายังรัก และยังคิดถึงแฟนเขาที่เสียไป แต่ตอนนี้เขาตายไม่ได้เพราะเขาจะไปดูคอนเสิร์ต BTS เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิตเขาอันใหม่ เติ้ลอยากจะเทียบกับเรื่องของคุณแบมว่า คุณแบมเห็นไหมว่าคุณหมวยที่เขาเสียคนรักไปทั้งที่เขายังรักกันอยู่มาก เราว่ามันทรมาณ ถ้าจะเทียบกับเคสคุณแบม มันอาจจะทรมาณมากกว่า เพราะว่าเขาคนนั้นเขาไม่ได้รักคุณแบมแล้ว เหมือนถ้าคนที่เขารักกันมาก ๆ แล้วเขาจากกันเขายังผ่านมันมาได้ ปัจจุบันนี้เขายังมีชีวิตเพื่อตัวเขาเองได้เติ้ลว่าคุณแบมก็ผ่านมันไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง อยากบอกคุณแบมว่าอยากให้กลับมารักตัวเองมาก ๆ เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นกับเรามันไม่มีใครนอกจากเราในตอนนี้กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง เข้าใจว่ามันยามาก แต่เติ้ลเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน”เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ธุระกงการอะไรของหนู !? เจ้านายต่างชาติ มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ไปทำสาวไทยท้อง ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นติดต่อเขาผ่านหนู เพราะเจ้านายบล็อกผู้หญิงไปแล้ว หนูเจรจาเรื่องเงินค่าเลี้ยงดู เจ้านายให้รวมๆหลายล้านแล้ว แต่ผู้หญิงก็ไม่ยอมหยุด มาขอเจ้านายผ่านหนูอีก

14 ก.พ. 2025

ธุระกงการอะไรของหนู !? เจ้านายต่างชาติ มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ไปทำสาวไทยท้อง ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นติดต่อเขาผ่านหนู เพราะเจ้านายบล็อกผู้หญิงไปแล้ว หนูเจรจาเรื่องเงินค่าเลี้ยงดู เจ้านายให้รวมๆหลายล้านแล้ว แต่ผู้หญิงก็ไม่ยอมหยุด มาขอเจ้านายผ่านหนูอีก

ธุระกงการอะไรของหนู !? เจ้านายต่างชาติ มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ไปทำสาวไทยท้องตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นติดต่อเขาผ่านหนู เพราะเจ้านายบล็อกผู้หญิงไปแล้ว หนูเจรจาเรื่องเงินค่าเลี้ยงดูเจ้านายให้รวมๆหลายล้านแล้ว แต่ผู้หญิงก็ไม่ยอมหยุด มาขอเจ้านายผ่านหนูอีกพอหนูจะไม่คุย เขาก็อ้างว่าจะมาแฉถึงที่ทำงาน ตอนนี้อยากจบเรื่องนี้สักที “คุณกล้วย (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [12 ก.พ. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาโดนเป็นคนกลาง ระหว่างเจ้านายกับผู้หญิงที่เจ้านายไปทำเขาท้อง โดย “คุณกล้วย (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูทำงานกับบริษัทที่มีเจ้านายเป็นชาวต่างชาติ ทำงานกันมานานประมาณ 3 - 4 ปีเลยค่อนข้างสนิทกัน มีอยู่วันหนึ่งเจ้านายมาเล่าให้ฟังว่า เขาไปเที่ยวกลางคืนแล้วทำผู้หญิงท้อง แล้วก็ให้หนูเป็นคนกลางคุยกับผู้หญิงคนนั้น เพราะเจ้านายเขาพูดไทยไม่ค่อยได้ และที่สำคัญคือเขามีครอบครัวอยู่แล้วที่ต่างประเทศ ตอนแรกที่รู้เรื่อง หนูก็ตกใจ เลยถามว่าเขาจะเอาเด็กไว้ไหม? แต่เจ้านายบอกว่าผู้หญิงคนนั้นอยากมีลูก อยากเก็บเด็กไว้ บอกว่าถ้าเขาจะกลับประเทศก็กลับไปเลย ผู้หญิงคนนั้นจะเลี้ยงลูกเอง พอถึงวันที่คลอด มันดันตรงกับช่วงที่เจ้านายกลับไปอยู่ต่างประเทศพอดี ผู้หญิงคนนั้นเลยพยายามติดต่อหาเขา ซึ่งทำให้ภรรยาของเจ้านายจับได้และรู้เรื่องนี้ สุดท้ายภรรยาเลยยื่นคำขาดให้เจ้านายจ่ายเงินก้อนหนึ่งแล้วตัดขาดกันไป ทางเจ้านายก็ตกลง แต่หลังจากตกลงข้อตกลงจบไปแล้ว ปัญหามันเกิด เพราะผู้หญิงคนนั้นก็ยังติดต่อมาหาหนูตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรงเรียนบ้าง ลูกป่วยบ้าง ขอเงินค่าเลี้ยงดู สารพัดเรื่องเกี่ยวกับลูก ซึ่งมันบ่อยมาก ล่าสุดเจ้านายตัดสินใจให้เงินก้อนสุดท้ายไปประมาณครึ่งล้าน แต่ผู้หญิงก็บอกว่าจะเอาไปทำธุรกิจบ้าง อะไรบ้าง แต่พอเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกจริง ๆ กลับไม่มี จนถึงตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ยังทักมาขอเงินที่หนูอยู่เลย ขอให้ช่วยพูดกับเจ้านายให้หน่อย หนูถึงขั้นบอกไปแล้วว่าหนูจะลาออก หนูไม่อยากเป็นคนกลางอีกแล้ว มันบั่นทอนชีวิตหนูมาก หนูอยากออกมาให้พ้นจากเรื่องนี้ แต่ปัญหาคือถ้าหนูไม่ติดต่อให้ เขาก็ขู่จะมาหาเจ้านายถึงที่ทำงาน เพราะเจ้านายเขาก็กลัวเรื่องหน้าที่การงานด้วย หนูอยากปรึกษาพี่ๆดีเจว่า หนูควรพูดกับเจ้านายและผู้หญิงคนนั้นว่ายังไงดีคะ? เริ่มที่ “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘นี่คือปัญหาของเขา แต่ตอนนี้หนูกำลังเอาใจลงไปเล่น ทั้งที่จริง ๆ แล้วหนูเป็นแค่ล่าม คนที่สร้างปัญหาคือเขา และเขาควรรับผิดชอบเอง ถ้าอีกฝ่ายขู่จะมาตามถึงออฟฟิศ เจ้านายต้องเป็นคนจัดการ เพราะหนูก็ต้องทำงาน ไม่ใช่คนกลาง ถ้าฝั่งนั้นยังติดต่อมาไม่หยุด หนูก็แค่บอกว่า “พี่ลองติดต่อเจ้านายเองนะ เพราะหนูบอกไปหมดแล้ว” และนี่คือเวลางานของหนู ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็แค่บล็อก แต่ต้องแจ้งเจ้านายก่อนว่าหนูกำลังถูกรบกวน ข่มขู่ จนเริ่มเป็นการกรรโชก ทั้งที่มันไม่ใช่ปัญหาของหนู หนูต้องทำหน้าที่เป็นล่ามเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหนูจะกลายเป็นกรรชนแทน เพราะเจ้านายไม่เคยชนปัญหาของตัวเอง แต่ใช้หนูเป็นตัวปะทะตลอด หนูต้องขีดเส้นให้ชัด ว่าหนูแค่สื่อสาร ไม่ใช่คนแก้ปัญหา’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘นี่ไม่ใช่ปัญหาของหนู แต่หนูกลับเอามาเป็นปัญหาของตัวเอง ทั้งที่ไม่ควรแบกเรื่องของใครเลย หนูแค่บอกผู้หญิงว่า “หนูลาออกแล้วนะ ต่อไปคุยกันเองนะคะ” ส่วนเจ้านายต้องพูดตรง ๆ ว่า “ชีวิตส่วนตัวหนูแย่ลงเพราะเรื่องนี้ หนูช่วยมามากแล้ว ต่อไปนี้ต้องจัดการกันเอง” เราไม่จำเป็นต้องรับปัญหาของใครมาแบกอีก’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ทั้งสองฝั่งต้องเกรงใจคุณกล้วยแล้วด้วยซ้ำ ถ้าเขายังไม่เกรงใจ ก็ไม่จำเป็นต้องแบกไว้ให้เหนื่อย ถ้าเป็นพี่จะทำแถลงการณ์ให้ชัดกับทั้งสองฝั่ง แล้วบล็อกไปเลย บอกให้เขารู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา จากนี้ไปเชิญจัดการชีวิตของตัวเอง ถ้ามันดีหรือร้ายก็เป็นปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว

23 พ.ค. 2025

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้วมีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกมันเหมือนขาดอะไรไป เสียใจมากๆ และ คิดว่าอายุ 35 ขนาดนี้แล้วถ้าจะเริ่มหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จัก เริ่มสนิทกันใหม่ คงเป็นเรื่องที่ยากมากๆสำหรับหนู แต่ลึกๆก็อยากมีเพื่อนสนิทในชีวิตบ้างหรือจะไม่ต้องมีเพื่อน เอาเวลาอยู่กับลูก กับ สามีก็พอ ทุกคนมีความเห็นยังไงกันคะ ?? “คุณแคท (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาการจากไปอย่างกระทันหันของเพื่อนสนิทที่คบกันมา 15 ปี โดย “คุณแคท (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘แคทค่อนข้างเป็น introvert มาก ๆ ถ้าไม่ใช่คนสนิทก็จะไม่พูดเรื่องส่วนตัวเลย และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเลยนอกจากการทำงาน แล้วเพื่อนสนิทของแคทเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไป เขาเป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของเรา วันนี้ที่เขาเสียไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าส่วนหนึ่งของเรามันหายไปด้วย แต่แคทก็มีครอบครัวแล้ว มีทั้งสามีและลูก แต่มันก็จะมีบาง topic ที่เราอยากคุยกับเพื่อน แต่ถ้าวันนี้ต้องโทรหาใครสักคน ไม่ก็มีใครให้โทรหาหรือทักไปคุยได้ในบางเรื่องเลย ก่อนหน้านี้แคทเคยมีเพื่อน แต่เคยโดนหักหลังมา มันเลยทำให้เราไม่อยากคบใครเป็นเพื่อน ถ้าไม่ไว้ใจเขาจริง ๆ พอมีคนมาถามว่าวันหยุดแคททำอะไร แคทก็จะตอบไปว่า อยู่บ้านกับลูก แล้วมักจะโดนถามว่า ไม่มีเพื่อนเลยหรอ? แคทเลยรู้สึกสตั๊นไปเหมือนกัน ใจนึงเราก็คิดว่าเราควรมีเพื่อนใหม่มั้ย? หรือจริงๆแล้วถ้าไม่มีก็อยู่กับตัวเอง กับสามี กับลูกหรืออยู่กับงาน มันอาจจะเหงาๆหน่อย แต่มันจะมีบางกิจกรรมในชีวิตที่มันหายไป อย่างการไปสปา เม้าท์มอยดารา ช้อปปิ้ง มันก็ไม่มีใครที่ไปกับเรา แคทรู้จักกับเพื่อนคนนี้จากที่ทำงานที่แรก เป็นเพื่อนที่สนิทและคลิกกันที่สุด แต่กับเพื่อนในที่ทำงานคนอื่นเราวางเขาไว้แค่เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่กับเพื่อนสนิทคนนี้เราเคยไปทำงานต่างประเทศด้วยกันเลยมีช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แคทเลยอยากถามพี่ๆดีเจว่า ในวัย 35 ปีการมีเพื่อนยังจำเป็นมั้ย? ถ้าไม่มีจะเป็นอะไรมั้ย? แล้วเราควรจะจัดการกับตัวเอง จัดการความรู้สึกยังไงต่อเมื่อไม่มีเพื่อนรักคนนี้แล้ว?’ ซึ่ง “ดีเจอ้อย” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าการเป็นเพื่อนกันมันไม่ใช่การรับสมัครงาน บางทีการที่เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเรา มันอาจจะมีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน และเราก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาที่จะให้เขาเป็นเพื่อนสนิทเราตั้งแต่แรก ถ้าถามว่าจำเป็นอยู่มั้ยที่ต้องมีเพื่อน ต้องถามตัวเองว่าอยากมีเพื่อนมั้ย และถ้าไม่มีเพื่อน มันก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาหา จนกว่าจะได้เจอใครสักคนที่ คนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กันหรือคนที่คุยด้วยแล้วสนุก ไม่ได้มีคำตอบว่า “ต้องหรือไม่ต้อง” อาจจะเจอเพื่อนที่ไม่ได้สนิทเท่าเดิมเพราะมันต้องใช้เวลา แต่ก็ยังสามารถแชร์เรื่องราวในชีวิตด้วยกัน ให้ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาหาจนเกินไปมันจะมีโอกาสทำให้เราผิดหวังมากขึ้น เพราะเราคาดหวัง’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามพี่ว่าเพื่อนจำเป็นต้องมีมั้ย พี่จะตอบว่ามันไม่จำเป็นต้องมี ถ้าวันนี้แคทอยู่กับตัวเองแล้วมันมีความสุขได้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ การมีเพื่อนเลยน่าจะดีกว่าอยู่แล้ว แต่จะทำยังไงให้มีเพื่อน การจะมีเพื่อนด้วยความตั้งใจที่อยากให้มี มันมักจะไม่ค่อยได้หรอก มันจะต้องปล่อยให้จังหวะชีวิตพาไปเจอคนๆนั้นเหมือนเพื่อนสนิทคนนี้ และการที่แคทจะเจอคน ๆ นี้ได้อีกครั้ง คือ แคทต้องเปิดใจว่า มันยังมีเพื่อนดี ๆ อีกตั้งเยอะ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่เคยหักหลังแคท’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผู้หญิงกับผู้ชายจะมีวิธีการคุย หรือ การปฏิบัติกับเพื่อนสนิทต่างกัน เมื่ออายุผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อนที่เราใช้คำว่าสนิท มันจะถูกชีวิตพัดพาให้ห่างหายไป กลายเป็นว่าคนที่เราคุยด้วยบ่อย ๆ คือคนใหม่ ๆ ที่เราได้รู้จัก ถ้าในวันนี้เพื่อนที่เราสนิทที่สุดไม่อยู่ คนต่อไปที่เราจะรู้จักเป็นไปได้มั้ยที่เขาจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นแค่เพื่อนที่พูดคุยในเรื่องนั้น มันอาจจะช่วยลดความคาดหวังลงได้’ และสุดท้ายดีเจทั้ง 3 คนได้ให้ความคิดเห็นตรงกันว่า ‘ให้คุณแคทปล่อยทุกอย่างไปอย่างธรรมชาติ อย่าปิดกั้นตัวเองจากคนใหม่ ๆ คุณแคทจะมีความสุขและอาจจะเจอเพื่อนคนใหม่ที่ตามหาก็ได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

23 พ.ค. 2025

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า...“อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี? หัวหน้าเช็คถามทุกวันเลยว่า วันนี้มายังไง กลับยังไงทำไมยังไม่ช่วยเหลือตัวเองอีก ลูกพี่อายุเท่าๆหนูก็ทำได้แล้ว ตอนนี้หนูอึดอัด และ เบื่อกับคำถามเดิมๆในทุกๆวันถ้าจะโกหกว่านั่งรถเมล์มา เขาก็คงจะถามซอกแซกอีก กลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแล้วตอบคำถามเขาไม่ได้ “คุณส้ม (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาพี่ที่ทำงานตกใจที่คุณแม่ยังรับ-ส่งหนูไปทำงาน โดย “คุณส้ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้าทำงานออฟฟิศที่นึง ในแผนกที่เข้าไปทำจะมีพี่หัวหน้าหนู 1 คน ซึ่งเขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50 ปี แล้วห้องทำงานก็มีแค่หนูกับพี่เขาในห้องแค่ 2 คน เรื่องเกิดตั้งแต่วันแรกที่หนูเข้าไปทำงานเลย พี่เขาก็เข้ามาคุยด้วยว่า บ้านหนูอยู่แถวไหน แล้วมาทำงานยังไง หนูก็ตอบเขาไปว่า อ่อ คุณแม่หนูมาส่งค่ะ แล้วคุณแม่ก็จะมารอรับ เพราะปกติที่บ้านจะค่อนข้างหวง จะชอบไปรับ-ส่งตลอด แต่พอหนูตอบไปแบบนั้น พี่เขาก็ตกใจและถามหนูว่า เราอายุเท่าไรนะ? ทำไมยังให้แม่ไปรับ-ส่ง แล้วเขาก็บ่นหนูว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราโตแล้ว เราต้องหัดเดินทางเองบ้างนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยตอบ ค่ะๆ แล้วก็ยิ้มตอบไป พอช่วงบ่ายของวันนั้น พี่เขาก็ส่งรูปสายรถเมล์มาให้หนูดูว่า รถเมล์สายนี้มันผ่านแถวบ้านหนู แล้วมันมาถึงออฟฟิศได้เลยนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยเออ ออตามเขาไปว่า จริงหรอคะ? หนูก็คิดในใจว่าหนูก็คงไม่ได้ขึ้นรถเมล์อยู่แล้ว เพราะหนูไม่เคยขึ้นรถเมล์เลย ตอนนี้หนูทำงานมาได้เดือนกว่าๆแล้ว แต่พี่เขาจะถามหนูแทบทุกเช้าเลยว่า วันนี้มาทำงานยังไงลูก? หรือ วันนี้ลองขึ้นรถเมล์หรือยัง? จริงๆเขาแนะนำวิธีการเดินทางอื่นด้วย ทั้งขึ้นรถ ลงเรือ แล้วทุกเช้าหนูก็จะตอบเขาเหมือนเดิมว่า วันนี้แม่มาส่งค่ะ บางวันเขาก็จะรับฟังเฉยๆ แต่บางวันเขาก็บ่นเราเลยว่า ทำไมไม่ลองเดินทางเอง ทำไมไม่ลองขึ้นรถเมล์ ลองดูมั้ยพรุ่งนี้ เขาชวนหนูคุยทั้งวันเลย เวลาหนูนั่งทำงานอยู่ เขาจะชอบเดินมาถามว่า เป็นยังไงบ้าง เย็นนี้กลับยังไง พรุ่งนี้กินข้าวอะไร เพราะแม่หนูจะทำข้าวกล่องมาให้ด้วยทุกวัน เขาจะชอบมาดูข้าวกล่องหนูว่าวันนี้แม่ทำอะไรมาให้กิน เขาบอกว่าลูกเขาอายุเท่าๆกับหนู หนูก็เคยตอบเขาไปแล้วว่า คุณแม่หนูเขาชอบมารับ-ส่งจริงๆ หนูไม่สามารถเดินทางแบบอื่นได้ ยกเว้นบางวันที่รีบมากๆ คุณแม่ก็จะให้ขึ้น BTS บ้าง เขาก็รู้แล้วว่าที่บ้านหนูมารับ-ส่งได้ หนูไม่ได้บังคับแม่ แต่เขาก็ยังถามหนูอยู่ทุกเช้า ที่หนูโทรมาวันนี้ คือ หนูไม่ได้อยากเปลี่ยนคำถามเขา แต่อยากเปลี่ยนคำตอบของตัวเองมากกว่า หนูไม่อยากโกหกเขาด้วย บางทีก็อยากจะตอบปัดๆไปว่า อ่อวันนี้เดินทางเอง แต่ด้วยความพี่เขาน่าจะถามต่ออีกเยอะ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรจะตอบยังไงดีให้เขาเลิกถามเรื่องนี้กับหนูไปเลย?’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ลองบอกหัวหน้าไปว่า คุณแม่มีปมกับการขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถเมล์ของคุณแม่คือไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่อนุญาตให้ส้มทำ ส้มเคยอยากลองแล้วแต่ส้มทำไม่ได้จริงๆ’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อาจจะต้องใช้วิธีอ้างคุณแม่ไปเลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่แม่เขาชอบที่สุด ได้คุยกัน ได้ส่งลูก เขาว่างแล้วเขาก็อยากดูแลลูก เคยบอกว่าจะขึ้นรถเมล์แล้ว แม่เขาร้องไห้เลย พี่ไม่ต้องถามหนูแล้วนะ หนูจะร้องไห้เลย หรือบอกไปว่า หนูเคยบอกให้แม่ไม่มาส่งแล้ว แต่มันเป็นอย่างเดียวที่แม่อยากทำเพื่อลูกอยู่’ และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่ามันก็อาจจะเป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใยอย่างนึง ถ้าหนูมองเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ดีที่หัวหน้าพูดคุยกับลูกน้อง เพราะถ้าเขาไม่คุยเลย แสดงว่าเราถูกเขม่นอยู่นะ พี่ไม่อยากให้หนูรู้สึกถึงขั้นว่า หนูรู้สึกไปหมดกับสิ่งที่เขาถาม หรือเราอาจจะชิงถามเขาไปก่อนว่า พี่กินข้าวหรือยัง หรืออาจจะคุยเรื่องงานไปเลยก็ได้ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรามากกว่า เพราะไม่งั้นหนูเองที่ดันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาถาม ทั้งที่มันอาจจะเป็นการชวนคุยเฉยๆ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1