หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด

23 พ.ค. 2025

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท

แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย

ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด คำหยาบใส่แบบเสียๆหายๆ วันไหนหนูลาป่วย ไม่สบาย

ลูกค้ารายนี้ก็โทรมาต่อว่าว่าทำไมไม่ทำงาน เรื่องนี้รายงานหัวหน้าแล้วก็ยังเฉย ให้เราดูแลเขาต่อเพราะเราทำมานานแล้ว

ตอนนี้เครียดมากๆ แต่ต้องเก็บอาการเวลาทำงานอย่างเดียว

                “คุณกบ (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่ 2 ของรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการรับมือกับพฤติกรรม Toxic ของลูกค้ารายใหญ่ จึงโทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย”

                โดย “คุณกบ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูทำอาชีพ Customer Service มา 2 ปี ดูแลลูกค้ารายใหญ่ที่มีเม็ดเงินสูงของบริษัท ตอนนี้หนูรับมือกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวแล้ว ลูกค้าท่านนี้ค่อนข้างสูงอายุ จึงรับมือกับอารมณ์ได้ยาก ชอบเอาแต่ใจ รบกวนเวลา ถ้าวันไหนที่ต้องดูแลลูกค้าท่านนี้ หนูจะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย หนูมีการแจ้งหัวหน้ามาโดยตลอด แจ้งถี่มาก หนูก็บอกหัวหน้าไปว่า ลูกค้ากดดันหนู หัวหน้าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่หัวหน้าก็กดดันหนูกลับอีกที บอกว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าโอเคกับข้อเสนอ โดยที่เราไม่ได้ให้เขาทุกอย่างที่เขาอยากได้ หนูต้องรักษาลูกค้าคนนี้ไว้ สนใจแค่ยอดอย่างเดียว แล้วหัวหน้าก็ย้ำอย่างเดียวว่า ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าพอใจ! งานนี้มีแค่หนูคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับมือและดีลกับลูกค้าทุกคนก่อนกระจายงานให้กับทีม หนูก็เลยโดนหัวหน้าด่าอยู่บ่อย ๆ

                ตอนนี้มีลูกค้ารายใหญ่ 5 ราย แต่ท่านนี้พอรวมยอดสะสมแล้วมากกว่าท่านอื่น ๆ เลยต้องดูแลเป็นพิเศษ เหตุการณ์ที่รู้สึกไม่สมเหตุสมผลของลูกค้าคนนี้ เช่น บางอย่างเขาคิดว่ามันง่ายสำหรับเรา แต่จริง ๆ มันไม่ง่าย หนูพยายามอธิบายดี ๆ เขาก็ไม่รับฟัง แถมอุทานคำหยาบใส่หนูอีก มีครั้งหนึ่งหนูแอดมิท และเขาต้องการใช้บริการตอนนั้น เขาก็พูดใส่หนูว่า โกหกหรือเปล่าเนี่ย อายุน้อยแค่นี้ป่วยเลยหรอ หนูเลยอยากถามพี่ๆดีเจสองข้อคือ 1. หนูอยากได้คำแนะนำว่าจะรับมือกับลูกค้าอย่างไรดี? 2. มีวิธีไหนที่หนูสามารถคุยกับหัวหน้าได้บ้าง? เพราะเพิ่งเลิกงานและโดนดุมาเหมือนกัน’

                ซึ่ง “ดีเจทั้งสามคน” (ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย) ได้ให้คำปรึกษาตรงกันว่า ‘คนทำอาชีพนี้ต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่อรองรับอารมณ์จากทุกฝ่าย ทั้งลูกค้าและฝั่งของเรา หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแย่ คนที่รองรับก็ต้องแย่ เพราะฉะนั้นถ้าเรารับมาก็ต้องถ่ายออก ต้องรู้วิธีกำจัดความเครียด คิดแค่เรื่องงานจริง ๆ เราคงเปลี่ยนนิสัยลูกค้าไม่ได้ แต่เราสามารถพูดคุยและต่อรองกับหัวหน้าในสิ่งที่เราพึงจะได้รับได้ เช่น ขอขึ้นเงินเดือนและได้รับค่าคอมมิชชั่นที่มากขึ้น หรือเจรจาว่า ถ้าต้องการให้เราอยู่ต่อ จะต้องส่งคนมาซัพพอร์ตในส่วนนี้เพิ่ม เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่สูงของเราแล้ว มีสิทธิ์ที่จะต่อรองได้สูงมาก เพราะถ้าบริษัทขาดเราไป บริษัทก็เสียหายมากเช่นกัน’

                ปิดท้ายด้วย “ดีเจอ้อย” บอกว่า ‘ถ้าสุดท้ายแล้ว ยังเหลือเราที่ต้องทำงานคนเดียวก็พอเลย เราต้องโอบกอดตัวเองบ้าง การทำงานทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าเราทำไม่ได้ก็ยังหาคนมาทำแทน แต่การที่เราเสียสุขภาพจิตทุกวัน ถ้าวันหนึ่งหนูป่วยไป ครอบครัวจะเอาใครมาแทน’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

สิ่งที่หนูเจอจาก HR บริษัท! เอาเงินค่าคอม ค่าOT พูดให้พนักงานคนอื่นฟัง ได้เยอะขนาดนี้ แบ่งเพื่อนๆบ้าง เคยเรียกไปรับเงินที่ห้องยื่นซองให้แล้วพูดว่าเมื่อคืนทำดีมากป๋าให้ค่าตัว พีคสุดงานประกาศรางวัลพนง. หัวหน้าชมเราบนเวทีเขาตะโกน“โกหกทั้งนั้น!”

02 พ.ค. 2025

สิ่งที่หนูเจอจาก HR บริษัท! เอาเงินค่าคอม ค่าOT พูดให้พนักงานคนอื่นฟัง ได้เยอะขนาดนี้ แบ่งเพื่อนๆบ้าง เคยเรียกไปรับเงินที่ห้องยื่นซองให้แล้วพูดว่าเมื่อคืนทำดีมากป๋าให้ค่าตัว พีคสุดงานประกาศรางวัลพนง. หัวหน้าชมเราบนเวทีเขาตะโกน“โกหกทั้งนั้น!”

สิ่งที่หนูเจอจาก HR บริษัท! เอาเงินค่าคอม ค่าOT พูดให้พนักงานคนอื่นฟัง ได้เยอะขนาดนี้แบ่งเพื่อนๆบ้าง เคยเรียกไปรับเงินที่ห้องยื่นซองให้แล้วพูดว่าเมื่อคืนทำดีมากป๋าให้ค่าตัวพีคสุดงานประกาศรางวัลพนง. หัวหน้าชมเราบนเวทีเขาตะโกน“โกหกทั้งนั้น!” HR ทำแบบนี้ควรปรึกษาใครแทนคะ? “คุณหนู(นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [30 เมษายน 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจพี่อ้อย” เกี่ยวกับปัญหารุ่นพี่ที่ทำงานไม่ให้เกียรติกัน โดย “คุณหนู (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูอายุ 23 ปี งานนี้เป็นงานเเรกที่หนูได้ทำหลังจากเรียนจบ เเต่ก็ได้มีปัญหากับพี่ฝ่าย HR ที่บริษัท เขาค่อนข้างที่จะพูดจา Sexual Harassment กับหนูตลอดเวลา ในตอนเเรกๆเขาก็ทักทายกับหนูดี ครั้งเเรกที่เขาพูดจาเเบบนั้นคือตอนที่หนูต้องไปรับเงินจากเขา พอรับเงิน เขาก็พูดกับหนูว่า เมื่อคืนทำดีมาก อะ ป๋าให้ค่าตัว เขาพูดเเบบนี้ในที่สาธารณะ เเล้วอีก 2 วันต่อมาหนูก็เอาเงินทอนไปให้เขา เเล้วเขาก็พูดอีกครั้งว่า เอาไปเถอะ ค่าตัวหนู ในเหตุการณ์ต่อมา คือ เขาพูดเรื่องเงินเดือนของหนูต่อหน้าทุกคน เพราะว่าหนูก็ได้ค่าคอม ค่าทำ OT ค่อนข้างพอสมควร เเล้วเขาก็พูดว่า ทำไมไม่เเบ่งให้คนอื่นบ้าง เอามาเเบ่งให้พี่บ้างสิ อีกครั้งนึงก็คื อ ตอนที่หนูต้องขึ้นไปเอาเอกสารกับเขา เขาก็พูดเเซวเล่นว่า เออนี่เอาใบลาออกให้มันหน่อยสิ อยากให้มันลาออกละ มันไม่สวย หนูก็เลยตอบไปว่า อ้าวพี่อย่าพูดเเบบนี้นะ หนูต่อยเป็นนะ เขาก็ตอบว่า มึงมาต่อยสิ เดี๋ยวกูต่อยท้อง หนูก็ตอบไปอีกว่า อ้าวพี่ นี่มันข่มขู่พนักงานเเล้ว เเต่หนูก็ตกใจกับสิ่งที่เขาตอบมาอีกว่า กูไม่ได้ข่มขู่ กูจะข่มขืนด้วย เเละหนูไม่เคยได้ยินว่าคนอื่นโดนเเบบนี้เหมือนกับหนูบ้างไหม เเต่อีกเหตุการณ์นึงที่ทำให้หนูรู้สึกว่าทนไม่ไหวเเล้ว คือ ตอนที่หนูได้รับรางวัลนึง ที่เป็นเหมือนกับความภาคภูมิใจของหนู ตอนที่หัวหน้ากำลังชมหนูอยู่บนเวที HR คนนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า โห่ๆ ไม่จริง ซึ่งครั้งนี้หนูก็ได้เเสดงสีหน้าออกไปชัดเจนเลยว่าไม่พอใจ ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ เเละพอหนูลงจากเวทีมา เขาก็เดินเข้ามาพูดอีกว่า โห่ไม่จริงเลย โกหกทั้งนั้น หนูเลยถามเขากลับไปเลยว่า พี่พูดว่ายังไงนะ เขาก็ตอบว่า ป่าว ไม่มีอะไร พี่พูดกับคนอื่น เเต่ก็มีเเบบยิบย่อยอีก ประมาณว่าอีกครั้งที่หนูขึ้นไปเอาเอกสาร เขาก็ทักหนูว่า อุ้ย สิวขึ้นหรอ เเฟนไม่พาไปเที่ยวหรอ หรือบางครั้งที่หนูต้องรบกวนให้พี่เขาส่งเอกสารให้ เขาก็จะพูดว่า พี่ไม่ส่งให้คนมีผัวหรอกนะ เป็นเเบบนี้ตลอดที่หนูต้องเจอเขา ซึ่งหนูก็ได้เเจ้งหัวหน้าของหนูไปเเล้ว เเต่หัวหน้าหนูบอกว่า เพราะหนูเป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู เขาเลยเเซว เเกล้งเล่น หัวหน้าหนูเขาเป็นคนต่างชาติ เลยคิดว่าอาจจะสื่อสารไม่ตรงกันรึป่าว จนอีกครั้งนึงที่หนูไม่ไหวจริงๆ หนูเลยร้องไห้ บอกหัวหน้าไปเลย พอหัวหน้าได้ไปคุย เขาก็เดินมาหาหนู เเล้วเขาก็พูดว่า ไหนใครทำน้องสาวพี่ร้องไห้เนี่ย หลังจากครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยที่จะเเซวหนูอีกเลย เเต่กับตัวหนู มันทำให้บรรยากาศในการทำงานของหนูเสียไปเลย หนูเลยอยากปรึกษาพี่ๆดีเจว่า ถ้าหนูต้องเจอกับเหตุการณ์เเบบนี้อีก หนูควรที่จะปกป้องตัวเองยังไงคะ? หรือเป็นเพราะหนูยังเด็กหนู เลยยังไม่กล้าที่จะพูดรึป่าว?’ เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ตัวพี่ก็ไม่ได้รู้จักกับเขาเนอะ เเต่การที่เขาเเสดงออกเเบบนี้ เขาเหมือนกับเเบบโลกยุคเก่าเขาอยากที่จะเล่นกับใคร เขาก็ใช้วิธีที่คนยุคใหม่ไม่ทำกัน ก็ถ้าหนูคิดว่าอยากจะออกจากที่นี้ หนูก็ควรสร้างอะไรบางอย่างทิ้งไว้ก่อนออกก็ได้ เพื่อจะทำให้เขารู้ว่า เขาไม่ควรที่จะเล่นเเบบนี้ บางทีเราอาจจะไม่ต้องรักษาน้ำใจกับคนที่ไม่มีมารยาท เช่นบางทีมีคนมาทำเเบบนี้ พี่ก็จะยิ้มน้อยๆให้เขารู้ว่าเราไม่ได้ตลกกับเขาด้วยนะ หรือบางทีเขาก็อาจจะมาง้อหนูเเล้ว ด้วยการมาคุยเเบบนั้นเเต่เขาอาจจะสื่อสารไม่เก่ง’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เห็นด้วยกับพี่เผือกนะตรงเรื่องการเเสดงออก เเต่ว่าการที่หนูจะออกเพราะ อีตาลุงนี้คนเดียวพี่ว่าก็ไม่ควร ควรจะให้หัวหน้าได้รับรู้ดีกว่าว่า ระหว่างที่จะต้องเสียพนักงานดีเด่นไป กับเพราะHr คนเดียว เเต่รู้สึกว่าการที่คุณหนูจัดการกับปัญหานี้ ถือว่าถูกต้องเเล้ว เเล้วพี่ก็คิดว่าเขาก็รู้เเล้วในตอนนี้ว่าเขาไม่สามารถเล่นเเบบนี้ได้ ถ้าบริษัทจัดการเเล้วด้วย พี่ว่าตอนนี้ทุกอย่างก็โอเคเเล้ว’ สุดท้าย “ดีเจพี่อ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ ที่ทำงานเลือกได้ เเต่เพื่อนร่วมงานเลือกยากมาก เเละพี่ก็รู้สึกว่าหนูให้ค่ากับคนๆนี้มากเกินไป หรือถ้าหนูย้ายออกจากที่นี้ หนูมั่นใจได้ไงว่าหนูจะไม่เจอกับเพื่อนร่วมงานเเบบนี้อีก พี่เลยไม่อยากให้หนูต้องหนีไปตลอดชีวิต เเละพี่ก็เคยเจอประโยคนึงมาว่า เราเลือกคนที่เข้ามาในชีวิตไม่ได้ เเต่เราเลือกวางเขาไว้ตรงไหนในชีวิตได้ เหมือนกับว่าการที่เขา ทำเเบบนี้กับเรา ก็เหมือนกับเขาประจานตัวเองในที่สาธารณเหมือนกัน หรือหนูก็สามารถเเอบอัดเสียง เพื่อไปฟ้องกับหัวหน้าได้ เเละ อย่าให้ปากของใครมีค่า จนมาทำร้ายความรู้สึกของเราได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว

23 พ.ค. 2025

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้วมีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกมันเหมือนขาดอะไรไป เสียใจมากๆ และ คิดว่าอายุ 35 ขนาดนี้แล้วถ้าจะเริ่มหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จัก เริ่มสนิทกันใหม่ คงเป็นเรื่องที่ยากมากๆสำหรับหนู แต่ลึกๆก็อยากมีเพื่อนสนิทในชีวิตบ้างหรือจะไม่ต้องมีเพื่อน เอาเวลาอยู่กับลูก กับ สามีก็พอ ทุกคนมีความเห็นยังไงกันคะ ?? “คุณแคท (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาการจากไปอย่างกระทันหันของเพื่อนสนิทที่คบกันมา 15 ปี โดย “คุณแคท (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘แคทค่อนข้างเป็น introvert มาก ๆ ถ้าไม่ใช่คนสนิทก็จะไม่พูดเรื่องส่วนตัวเลย และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเลยนอกจากการทำงาน แล้วเพื่อนสนิทของแคทเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไป เขาเป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของเรา วันนี้ที่เขาเสียไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าส่วนหนึ่งของเรามันหายไปด้วย แต่แคทก็มีครอบครัวแล้ว มีทั้งสามีและลูก แต่มันก็จะมีบาง topic ที่เราอยากคุยกับเพื่อน แต่ถ้าวันนี้ต้องโทรหาใครสักคน ไม่ก็มีใครให้โทรหาหรือทักไปคุยได้ในบางเรื่องเลย ก่อนหน้านี้แคทเคยมีเพื่อน แต่เคยโดนหักหลังมา มันเลยทำให้เราไม่อยากคบใครเป็นเพื่อน ถ้าไม่ไว้ใจเขาจริง ๆ พอมีคนมาถามว่าวันหยุดแคททำอะไร แคทก็จะตอบไปว่า อยู่บ้านกับลูก แล้วมักจะโดนถามว่า ไม่มีเพื่อนเลยหรอ? แคทเลยรู้สึกสตั๊นไปเหมือนกัน ใจนึงเราก็คิดว่าเราควรมีเพื่อนใหม่มั้ย? หรือจริงๆแล้วถ้าไม่มีก็อยู่กับตัวเอง กับสามี กับลูกหรืออยู่กับงาน มันอาจจะเหงาๆหน่อย แต่มันจะมีบางกิจกรรมในชีวิตที่มันหายไป อย่างการไปสปา เม้าท์มอยดารา ช้อปปิ้ง มันก็ไม่มีใครที่ไปกับเรา แคทรู้จักกับเพื่อนคนนี้จากที่ทำงานที่แรก เป็นเพื่อนที่สนิทและคลิกกันที่สุด แต่กับเพื่อนในที่ทำงานคนอื่นเราวางเขาไว้แค่เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่กับเพื่อนสนิทคนนี้เราเคยไปทำงานต่างประเทศด้วยกันเลยมีช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แคทเลยอยากถามพี่ๆดีเจว่า ในวัย 35 ปีการมีเพื่อนยังจำเป็นมั้ย? ถ้าไม่มีจะเป็นอะไรมั้ย? แล้วเราควรจะจัดการกับตัวเอง จัดการความรู้สึกยังไงต่อเมื่อไม่มีเพื่อนรักคนนี้แล้ว?’ ซึ่ง “ดีเจอ้อย” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าการเป็นเพื่อนกันมันไม่ใช่การรับสมัครงาน บางทีการที่เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเรา มันอาจจะมีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน และเราก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาที่จะให้เขาเป็นเพื่อนสนิทเราตั้งแต่แรก ถ้าถามว่าจำเป็นอยู่มั้ยที่ต้องมีเพื่อน ต้องถามตัวเองว่าอยากมีเพื่อนมั้ย และถ้าไม่มีเพื่อน มันก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาหา จนกว่าจะได้เจอใครสักคนที่ คนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กันหรือคนที่คุยด้วยแล้วสนุก ไม่ได้มีคำตอบว่า “ต้องหรือไม่ต้อง” อาจจะเจอเพื่อนที่ไม่ได้สนิทเท่าเดิมเพราะมันต้องใช้เวลา แต่ก็ยังสามารถแชร์เรื่องราวในชีวิตด้วยกัน ให้ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาหาจนเกินไปมันจะมีโอกาสทำให้เราผิดหวังมากขึ้น เพราะเราคาดหวัง’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามพี่ว่าเพื่อนจำเป็นต้องมีมั้ย พี่จะตอบว่ามันไม่จำเป็นต้องมี ถ้าวันนี้แคทอยู่กับตัวเองแล้วมันมีความสุขได้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ การมีเพื่อนเลยน่าจะดีกว่าอยู่แล้ว แต่จะทำยังไงให้มีเพื่อน การจะมีเพื่อนด้วยความตั้งใจที่อยากให้มี มันมักจะไม่ค่อยได้หรอก มันจะต้องปล่อยให้จังหวะชีวิตพาไปเจอคนๆนั้นเหมือนเพื่อนสนิทคนนี้ และการที่แคทจะเจอคน ๆ นี้ได้อีกครั้ง คือ แคทต้องเปิดใจว่า มันยังมีเพื่อนดี ๆ อีกตั้งเยอะ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่เคยหักหลังแคท’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผู้หญิงกับผู้ชายจะมีวิธีการคุย หรือ การปฏิบัติกับเพื่อนสนิทต่างกัน เมื่ออายุผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อนที่เราใช้คำว่าสนิท มันจะถูกชีวิตพัดพาให้ห่างหายไป กลายเป็นว่าคนที่เราคุยด้วยบ่อย ๆ คือคนใหม่ ๆ ที่เราได้รู้จัก ถ้าในวันนี้เพื่อนที่เราสนิทที่สุดไม่อยู่ คนต่อไปที่เราจะรู้จักเป็นไปได้มั้ยที่เขาจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นแค่เพื่อนที่พูดคุยในเรื่องนั้น มันอาจจะช่วยลดความคาดหวังลงได้’ และสุดท้ายดีเจทั้ง 3 คนได้ให้ความคิดเห็นตรงกันว่า ‘ให้คุณแคทปล่อยทุกอย่างไปอย่างธรรมชาติ อย่าปิดกั้นตัวเองจากคนใหม่ ๆ คุณแคทจะมีความสุขและอาจจะเจอเพื่อนคนใหม่ที่ตามหาก็ได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

24 ม.ค. 2025

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

“คุณสอง (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาอยากขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีปัญหาเรื่องเงินและหน้าที่การงาน โดย “คุณสอง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘อยากจะขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีเรื่องของการเงินและหน้าที่การงานเข้ามา เรา 2 คนเคยคุยกันไปแล้ว แต่พอคุยกันบ่อย ๆ มันเหมือนกับว่าเขาอยากจะรีบแต่งงาน เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก เราก็เข้าใจในมุมเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ต่อให้เขาเข้าใจเราและยอมรับจริง ๆ เรา 2 คนคบกันมาปีนี้กำลังจะเข้าปีที่ 10 แล้ว แพลนแต่งงานของเราคือช่วงปลายปี 69 สิ่งที่ผมกลัวคือผมกลัวเก็บเงินไม่ทัน เราไม่อยากจัดงานแบบลวก ๆ อยากทำให้มันออกมาดีเพราะมันคือครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ สเกลมันก็ไม่ใหญ่มากประมาณ 100 – 200 คน แต่มันก็มีเรื่อง ไหนจะค่าสินสอด ค่าสถานที่ ไหนจะถ้าแต่งงานไปแล้วต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันอาจจะต้องย้ายไปอยู่ไกลกว่าที่ทำงาน หรืออาจจะทำให้เราทำงานเสริมไม่ได้ ผมค่อนข้างที่จะกังวลเรื่องเงินมาก ๆ ผมเป็นคนที่ต้องทำงานและเรียนไปด้วยตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะครอบครัวก็ไม่ได้มีฐานะเท่าไหร่ ไหนจะมีน้อง มีแม่ที่ต้องดูแลด้วย มันเลยทำให้ระหว่างทางผมมีเฉลี่ยเงินออกไปบ้าง ทำให้การเก็บเงินมันยังมีไม่มากพอ จริง ๆ แฟนผมก็รู้สถานะทางการเงินทั้งหมด เพราะเราคุยกันเรื่องสเกลงานแต่งทุกอย่างเบื้องต้นแล้ว เราคุยกันว่าช่วยกันออก ผมโอเค ไม่ได้ติดปัญหาอะไร สเกลก็ยังอยู่ในสโคปที่เข้าใจตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้ามันมีเวลามากกว่านี้ มันอาจจะทำให้มันดีได้มากกว่า ไหนจะค่าสินสอด แต่จริง ๆ พ่อแม่เขาก็ไม่ได้เรียกค่าสินสอดอะไร พ่อแม่เขาดีกับผม น่ารักกับผมมาก ผมเองที่รู้สึกว่าเราเป็นผู้ชาย เราควรให้เกียรติเขา ซึ่งสำหรับผมมันรู้สึกว่ามีเยอะได้มากกว่านี้ เราไม่อยากเป็นใครที่ดูแลคนอื่นไม่ได้ ทุกวันนี้ที่เราคุยกันก็ยังมีทะเลาะกันอยู่บ้างเป็นระยะ ๆ คือเขาก็เหมือนจะเข้าใจ แต่บางทีก็จะพูดประมาณว่า ทำไม จะต้องเลื่อนอะไรอีก คบกันมานานแล้ว ซึ่งผมก็เข้าใจนะคบกันมา 10 ปีมันก็อาจจะถึงเวลาแล้วแหละ ผมเลยอยากจะปรึกษาพี่ๆดีเจว่า มีวิธีพูดยังไงให้เขาอ่อนลงหรือทางไหนที่มันจะเป็นทางที่ดีที่สุด’ เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ อยาก reset สิ่งที่สองกังวลใหม่หมดเลย คือ ณ ตอนนี้เท่าที่เคยผ่านมาแล้ว เรารู้สึกว่ายิ่งเป็นครอบครัวรักกันทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปลงกับงานแต่งมากมายอะไรเลย จริง ๆ แล้วหัวใจของการแต่งงานคือ จัดเพื่อให้กับคุณพ่อคุณแม่ให้กับพ่อแม่ของบ่าวสาวได้มีความสุขกับวันนั้น เป็นวันที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเหนื่อยมากแล้วก็ เราจัดเพื่อให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่กับผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งเท่าที่ฟังสองมาพ่อแม่ฝั่งเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย สิ่งที่สองกังวลตอนเนี้ยเหมือนกับว่าครอบครัวเอย ทั้งบ่าวสาวเอย ตอนนี้มีสองกังวลอยู่คนเดียว พี่เลยไม่แน่ใจว่าเรากลัวมากกว่าที่มันจะเป็นหรือเปล่า ทุกวันนี้งานแต่งงานรูปแบบการจัดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก คนรุ่นใหม่ที่กำลังมีแพลนที่จะแต่งงานเนี่ย มัน Compact ขึ้นเยอะมาก มันเล็กลง จำนวนแขกน้อยลง ใช้สถานที่ที่ฟุ่มเฟือยน้อยลง ทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกันทั้งบ่าวทั้งสาวแล้ว ส่วนมากเราประหยัดการจัดงานแต่งงานที่มันจะต้องใหญ่โตแล้วก็สุดท้ายเสียเงินไปโดยใช่เหตุเราเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า หรือแม้กระทั่งสินสอดที่จะมาวางไว้ที่ข้างหน้างานทุกวันนี้มันก็เป็นแค่ พร็อพ นึงด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเงินตรงนั้นเขาก็ให้มาเป็นขวัญถุงตั้งตัวของบ่าวสาว ประเภทที่ว่าลูกสาวฉันต้องได้เงินเท่านี้เธอถึงจะเอาลูกสาวฉันไปยุคนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าไม่พร้อมของสองเท่าที่ฟังดูมันเลยเป็นความไม่พร้อมทางจิใจหรือเปล่า พี่ไม่ได้รู้สึกว่าสองจะต้องการเงินมากมายสำหรับการจัดงาน ซึ่งปลายปี 69 ก็จะมีเวลาอีก 2 ปีเต็ม ๆ การที่ 2 ปีเต็ม ๆ เราวางสเกลงานแต่งไว้ ขนาดกะทัดรัด แขกอาจจะหลัก 10 ที่มีแต่ญาติสนิทก็พอ เพื่อนเดี๋ยวไปปาร์ตี้กันทีหลัง มันสามารถจัดได้เลยโดยที่ไม่ต้องอาศัยความพร้อมมากมาย พี่เลยรู้สึกว่าคำว่าไม่พร้อมไม่พร้อมตรงไหนทางเป็นเรื่องของเงินมันจัดการได้มากมายแต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจลองนอนคุยกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะเอาวันที่พร้อมแต่ก็ไม่รู้ว่าวันที่พร้อมมันจะมีอยู่จริงไหม พร้อมไม่พร้อมหรือเราแค่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกเยอะ 2 ปี คนเราเติบโตอีกตั้งเยอะมีเวลาครับ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ที่สองบอกไม่พร้อมเท่าที่ฟังนะพี่เห็นไปใกล้เคียงกับพี่เผือกว่าเหมือนสองไม่พร้อมในสิ่งที่ฝั่งน้องผู้หญิงแฟนสองกับครอบครัวก็ไม่ได้ต้องการ กลายเป็นว่าเหมือนสองแค่ว่าจะไม่เห็นตัวเองเป็นไปตามแพลนที่มันวางไว้ แต่บางทีการไม่ได้ตามแพลนแต่มันได้อะไรมาซึ่งความสุขให้อีกแบบนึงพี่ว่ามันก็น่าลองเหมือนกันในมุมพี่นะ คือตอนนี้พี่พยายามแทนตัวเองเป็นแฟนสอง พี่ว่าคบกันมา 10 ปีแล้วถ้าเขาเคยบ่นแล้วว่าทำไมมันไม่ได้แต่งสักที พี่ว่าในมุมผู้หญิงที่เล่ามานะ มันอาจจะแค่ว่า มึงแต่งกับกูสักทีเถอะให้มันจบ ๆ ให้มันรู้ว่าเราคือสามีภรรยาถูกต้องมากฎหมายเฉย ๆ อาจจะไม่ได้ต้องการแขก 200 คนก็ได้ อาจจะแค่ครอบครัว 2 ครอบครัวกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องสินสอดมาวางประกาศบอกใครก็ได้ว่าเท่าไหร่ เขาแค่อยากให้มันมีงานแต่งงานเกิดขึ้น ลองคุยแล้วลดสเกลแบบแพลนที่เราว่าไว้แต่บนพื้นฐานที่ว่ามันแต่งงานได้แล้วมันก็ยังเป็นสามีภรรยากัน พี่ลองคุยกับเขาก่อนถ้าเขาแบบไม่ได้ฉันต้องมีงานใหญ่ ฉันต้องมีสินสอดอย่างงั้นพี่ว่ามันจะเป็นปัญหา แต่ว่าถ้าคุยกับเขาแล้วมันโอเคมันไม่มีปัญหาเลย บ้าน 2 บ้านกินข้าวกันมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้กันแหวนเล็ก ๆ พี่ว่า 2 อาจจะไม่ต้องเครียดขนาดนี้ก็ได้’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คืองานแต่งงานเป็นแค่อีเว้นท์ ชีวิตหลังแต่งงานสำคัญกว่านั้นมากเลย และวันนี้น้องเจอครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ ครอบครัวที่เห็นน้องมาโดยตลอดว่า น้องมีความใส่ใจซื่อสัตย์ อันนั้นก็เป็นสินสอดที่ราคาสูงมากกับการที่ผู้หญิงคนนึงอยู่ในความสัมพันธ์แบบแฟนมาตั้งเป็น 10 ปี แล้วพอเขาจะขอแค่อีกนิดเดียวเพื่อจะบอกกับทุกคนว่า ตกลงที่เห็น ๆ กันอยู่เนี่ยไม่ใช่แฟนแล้ว สามีภรรยาแล้วนะ จริง ๆ เขาก็ต้องการแค่นั้นเอง เราจะต้องไปเปรียบเทียบอะไรกับบ้านเขาพี่กลัวเหลือเกินว่า เดี๋ยวรอผมสร้างบ้านก่อนน้องไม่แคร์เหรอว่า แล้วคนในบ้านล่ะถ้าเกิดวันนึงมีแต่บ้านแล้วคนในบ้านไม่อยู่ด้วยแล้ว หนูโอเคจริงไหม น้องอย่าลืมวันนี้ความเปลี่ยนแปลงสอนเราทุกวัน วันนี้ก้าวเท้าออกนอกบ้านเราไม่รู้เลยว่า จะได้กลับเข้าบ้านกันหรือเปล่ามันมีอะไรต่าง ๆ มากมายเยอะแยะ มันไม่มีทางหรอกที่มันจะไปตามแพลนของน้องโดยตลอด แล้วถ้าน้องจะเอาตามแพลนของตัวเองคนเดียว พี่กลับรู้สึกว่าไม่ได้ ในเมื่อจะมีใครสักคนเป็นคู่ชีวิตจะเอาแต่ใจตัวเองคนเดียวได้ยังไง เป็นพี่เป็นฝ่ายหญิงก็คงจะงง เชื่อไหมว่าคนอื่นคงถามว่าทำไมยังไม่แต่ง คือถ้าจะรอสร้างบ้านก่อนพี่ว่าบ้านไม่สำคัญเท่าคนในบ้าน พี่นับถือหัวใจน้องตั้งใจว่าน้องจะเป็นผู้ชายคนนึงที่ดูแลผู้หญิงคนนึงได้แต่นอกเหนือจากทุนทรัพย์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณสมบัติของการเป็นคนรักกัน ใส่ใจความรู้สึกเขาและอยากให้มีวันของเราหรือแม้แต่การกังวลอนาคตจนไม่มีความสุขในปัจจุบัน ถ้าชีวิตพี่อ้อยจะสามารถเป็นวิธีคิดได้พี่อ้อยกับสามีอยู่กันเป็นรักทางไกลมาในวันแรกที่แต่งงานกัน สามีบอกว่าแต่งงานได้ 2 ปีต้องมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ ปัจจุบันแต่งไป 17 ปีแล้วยังเป็นกรุงเทพ แม่สอดอยู่เลย แต่ในที่สุดแล้วใน 17 ปีนั้น เราจะค่อย ๆ ขยับมันเองได้และก็อยู่กันแบบนี้แบบที่เรายังดูแลกันได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้ารักกันมากพอ ชีวิตหลังแต่งงานยังสำคัญมากกว่าการแต่งงานเยอะมาก’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

23 ก.พ. 2024

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

​บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้ายสุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไปพอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนูพี่ชายหนูจ่ายค่าครีมให้แล้ว พ่อบอกไม่อยากให้ทะเลาะกัน ทำไงดีคะ? “คุณอาย(นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (21 ก.พ. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเติ้ล - ดีเจเผือก - ดีเจอ้อย นภาพร’ กับปัญหาของหาย แต่คนที่ขโมยคือแฟนของพี่ชาย... โดย ​“คุณอาย(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ที่บ้านหนูมีกันอยู่ 4 คน มีพ่อ พี่ชาย หนู แล้วก็น้องชาย และพี่ชายก็ชอบพาแฟนมาอยู่ที่บ้านทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนหน้านั้นก็ปกติไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง จนวันหนึ่งพ่อกับน้องรู้สึกว่ามันเริ่มมีของหาย และหายไปทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ของมีค่าต่าง ๆ ทีนี้พ่อกับน้องก็เลยแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน โดยที่หนูเองก็ยังไม่รู้ หลังจากติดกล้องก็เจอขโมย คือ แฟนของพี่ชายแอบมารื้อของในบ้าน แล้วก็แอบเข้าห้องของอาย วันนั้นอายกลับจากทำงาน ซึ่งกำลังจะล็อกห้อง พ่อก็บอกว่า ห้ามเก็บเงินสดหรือของมีค่าไว้ในห้องนอนตัวเอง และพ่อก็ไม่บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พ่อเกริ่นมาขนาดนี้หนูก็เลยรู้สึกว่า อ้าว ทำไมเราเก็บของไว้ในห้องนอนตัวเองไม่ได้ หนูก็สงสัยเลยถามพ่อว่า เกิดอะไรขึ้น? พ่อก็บอกว่า เขากับน้องแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน ก็เจอว่าแฟนของพี่ชายแอบรื้อของในห้องอาย ขโมยของไป และรื้อห้องน้องชายกับพ่อด้วย แอบย่องตอนที่ไม่มีคนอยู่บ้าน เขาก็จะเข้าห้องอายทุกอาทิตย์ อาทิตย์แรกที่แอบติดกล้องก็เจอแต่ไม่แน่ใจว่าเอาอะไรไปแต่เห็นควักใส่กระเป๋าตัวเอง ส่วนอาทิตย์ที่สองเจอว่าเอาครีมกระปุกใหญ่ของหนูไป ตั้งแต่นั้นมาหนูไม่พกเงินสด ปกติหนูก็เป็นคนไม่ได้ใส่ของมีค่าในตัวอยู่แล้ว จะมีพวกครีม พวกเซรั่มมากกว่า ตอนแรกพี่ชายยังไม่รู้ เราก็เลยคุยกัน 3 คน พ่อ น้องชาย แล้วก็อาย คุยกันว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังดี พ่อก็บอกว่า เรื่องนี้รู้เมื่อวันจันทร์ถ้าเราจะรอเขามา เราต้องรอวันเสาร์เพื่อที่จะคุยกับเขาโดยตรง จริง ๆ หนูอยากคุยกับเขาโดยตรง แต่พ่อน่าจะรู้ว่าหนูเป็นคนค่อนข้างรุนแรง พ่อก็เลยบอกว่า ให้พี่ชายเป็นคนคุยดีกว่า เพราะว่าพ่อกลัวพี่ชายจะเสียความรู้สึก แค่นี้พี่ชายก็เสียความรู้สึกมากพอแล้วที่แฟนตัวเองเป็นขโมย ก็เลยบอกพี่ชายว่าไปจัดการมา ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่จะให้พามาที่บ้านอีก แล้วเราก็เอาหลักฐานกล้องวงจรปิดให้พี่ชายไป เขาก็ไปคุยกัน... หลังจากนั้นหนูก็ถามว่า เรื่องเป็นไงบ้าง? พี่ชายบอกว่า ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ เขาบอกว่าที่เข้าห้องหนูเพราะมาเอาไม้แขวนเสื้อ แต่สถานการณ์ตอนนั้นเขาเพิ่งตากเสื้อผ้าเสร็จ หนูก็งงว่าตากเสร็จแล้วจะมาเอาอีกทำไม แล้วก็เข้าห้องเราบอกว่ามาเอาไม้แขนเสื้อ แต่จริง ๆ ไม่ได้มาเอาไม้แขวนเสื้อ ทีนี้พี่ชายก็เอาคลิปหลักฐานให้ดู สรุปเขาก็เลยยอมรับว่าเขาขโมยของอายไปจริง ๆ เขาบอกสาเหตุที่ขโมยว่า เขาไม่ได้เอาไปใช้ แต่เขาขโมยไปทิ้ง เขาบอกว่าเขาไม่ชอบหนู ทีนี้เขาก็ให้เหตุผลว่าของหนูมันหายบ่อย แต่จับขโมยไม่ได้ ด้วยความที่ของหายก็ต้องโวยวาย หนูก็เลยโวยวายว่า ของหายอีกแล้ว แต่ว่าเราจับไม่ได้สักที หนูว่าทุกคนก็ต้องเป็นต้องโวยวายเพราะของเราหาย เขาก็บอกว่า หนูชอบโวยวายเวลาของหายก็เลยเอาครีมของหนูไปทิ้งข้างบ้าน ของพ่อกับน้องที่หายมันไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าเอาไป พอเขาบอกว่าขโมยไปทิ้งตรงทุ่งหญ้าข้างบ้าน หนูกับน้องชายเลยไปรื้อตรงนั้น ก็ไม่มี... พี่ชายเลยชดใช้โดยการโอนเงินค่าครีมคืนมา หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเพราะว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ของหายแล้ว เรื่องมันก็เริ่มเงียบ พี่ชายก็ไม่พาแฟนมาที่บ้าน แต่สุดท้ายเขาก็พาเข้ามาที่บ้านอีก คือของไม่หายเพราะว่าทุกคนล็อกห้องทำทุกอย่างใหม่ แล้วกลายเป็นว่าบ้านไม่ใช่เซฟโซน เราต้องระวังตัวเองแล้ว ตอนนั้นหนูไม่ค่อยได้เจอหน้าใครเพราะหนูทำงานกลับมาคนละเวลากับที่บ้าน หนูก็เลยทักไปหาพี่ชาย หนูบอกว่า ทำไมยังพามาอีกอะ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่พาเขามา พี่ชายหนูก็บอกว่า เดี๋ยวถ้าเรียนจบอะ จะเป็นคนย้ายออกไปอยู่กับแฟนเอง จะได้ไม่ต้องพามาที่บ้านให้ทุกคนในบ้านรู้สึกไม่สบายใจ แต่ปัจจุบันพี่ชายหนูเรียนจบแล้ว แต่ก็ยังพามาอยู่ แล้วคือการที่หนูจะไล่พี่ชายออกจากบ้านมันก็ไม่ใช่ เราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าบ้านมันคือของทุกคน หนูแค่รู้สึกว่าทำไมจะต้องเจอคนนี้ในบ้านทุกอาทิตย์เลย เมื่ออาทิตย์ก่อนน้องชายเดินมาถามหนูว่า พี่อายรู้สึกว่ามีคนเข้าห้องหรือเปล่า? เพราะก่อนออกไปน้องก็ปิดไฟแล้ว แต่ทำไมไฟยังเปิด รู้สึกว่าของในห้องมันย้ายที่ หนูก็ไม่อยากให้น้องคิดมากเลยบอกว่า อาจจะลืมปิดไฟเองหรือเปล่า มันเป็นเรื่องปกติที่เราลืม ต่อไปก็ห้ามลืมล็อกห้อง หนูก็เลยพูดแทนน้องชายไปวันนั้นว่า ไหนบอกว่าถ้าเรียนจบถ้าไม่พามาก็จะย้ายออกไปไง แบบให้คนในบ้านสบายใจ แต่พี่ชายหนูบอกว่า แล้วทำไมจะพามาไม่ได้เราเป็นแฟนกัน อันนี้ก็บ้านเราเหมือนกัน หนูเข้าใจว่ามันเป็นห้องใครห้องมัน แต่สุดท้ายของส่วนรวม ห้องโถงมันก็คือห้องของทุกคน เราก็ไม่สบายใจ ทีนี้พ่อได้ยินหนู 2 คนเริ่มทะเลาะกัน พ่อก็เลยออกมาคุยด้วย กลายเป็นว่าพ่อว่าหนู ทำไมหนูถึงยังรื้อฟื้นเรื่องเดิม ๆ ออกมา ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันจบไปแล้ว คือพ่อไม่อยากมีเรื่อง หนูบอกว่า แต่หนูเป็นคนโดนกระทำ โดนขโมยของ โดนขโมยนู่นขโมยนี่ไป แล้วทำไมเรายังจะต้องเห็นหน้าคนนี้อยู่ในบ้าน แค่ไม่เอาเขามาให้ทุกคนสบายใจ นั่นคือปัญหามันจบหรือเปล่า แต่ทำไมพ่อต้องโมโหมาก ตะโกนด่าอายว่า เป็นตัวสร้างปัญหาที่เอาเรื่องเก่ามาพูดทั้งที่เรื่องมันจบไปแล้ว หนูก็เลยแบบ อ้าว แล้วคือเราต้องรอให้ของหายอีกรอบหรือโดนยกเค้าใช่ไหม เราถึงจะจัดการปัญหาได้ หนูเลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ว่า หนูจะจัดการหรือไปทางไหนดี หนูจะทำยังไงที่จะสามารถคุยกับพ่อให้เปลี่ยนความคิดได้ว่าเราไม่ควรให้เขาเข้ามาที่บ้าน’ โดย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ประเด็นคือพี่ชายเราเขารัก เขาหลงมาก แล้วเขาก็ไม่ถือสาหาความ ตั้งแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ ๆ เขาก็เป็นคนโอนเงินมาให้ แล้วก็เหมือนทำให้ทุกอย่างปกติ นั่นแปลว่าเขายอมรับในความนิสัยขโมยของแฟนเขาได้ ตอนแรกพี่ก็ตั้งคำถามของตัวเองว่า ถ้าแฟนเราขโมยของคนในบ้านจะเลิกไหม? นี่คือคนที่เราจะเลือกเป็นคู่ชีวิตของเราในระยะยาวหรอ? แล้วมันไม่ใช่ขโมยของกินในตู้เย็นที่เคลียร์กันง่าย ๆ อันนี้คือขโมยไปทั่วด้วยซ้ำ ที่มันเป็นหลักฐานอาจจะของอายคนเดียว แต่ว่ามันมีของที่หายไปโดยที่หาคำตอบไม่ได้ และหายไปเฉพาะเสาร์-อาทิตย์อีก มันค่อนข้างที่จะชัดเจน ถ้าพี่เป็นพี่ชายอาย พี่คงตั้งคำถามตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าพี่ชายเขาก็ก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วยความรัก พี่มองว่าต่อให้อายสามารถกันเขาออกไปจากบ้านได้ แต่การที่ไม่เจอกันทั้งชีวิตก็ยาก พี่เข้าใจว่าคนโดนแล้วมันก็ฝังใจ ตอนนี้เราจะไปเปลี่ยนความคิดของพี่ชายก็คงลำบาก เขาเลือกที่จะอยู่กับคนนี้ อายเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านนี้ ณ วันนี้ถ้าไปยื่นคำขาด บอกว่าพ่อต้องไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้ได้ ตอนนี้กระแสมันจะเทมาทางอายเป็นตัวร้ายแล้ว ทุกคนพยายามทำให้ครอบครัวยังอยู่ด้วยกันได้ อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ อาจจะต้องกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าเป็นพี่ พี่ก็คงต้องดูแลตัวเอง ทำให้รู้เลยว่าเราไม่มีวันไว้ใจ แล้วระมัดระวังตัวเองให้ดี และถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้แหละเราจะมีน้ำหนักยื่นข้อเสนอครั้งสำคัญแล้วว่ามีอายไม่มีเขา มีเขาไม่มีอายหรือใดใดก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้เหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้นใหม่ คำถามที่ว่า ต้องรอให้เกิดขึ้นอีกครั้งหรอ? วันนี้พี่อาจจะต้องตอบว่า อาจจะเป็นอย่างนั้น โดยที่เราก็ยังต้องตั้งกล้องระแวดระวัง อาจจะลำบากทั้งที่เป็นบ้านของเราแท้ ๆ แต่มันเป็นบ้านของทุกคนจริง ๆ แหละ แล้วพี่เขาก็เลือกของเขาแล้ว เราเองก็อาจจะต้องวัดใจกันดู และก็ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ความไม่ชอบกันก็ยังฝังอยู่และถ้าเขามาเป็นพี่สะใภ้เรา มันก็คงยังต้องมีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่รวมญาตินั่นแหละ แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง อายมีสิทธ์เต็มที่ ที่จะยื่นคำขาด ตอนนี้ก็ระมัดระวังตัวเองละกันนะอาย อาจจะต้องอดทนกับความลำบากใจนิดนึง ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนนี้หนูกำลังไปให้คุณค่าเขาเยอะมาก นี่คือบ้านหนู เขามาแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ หนูไปให้คุณค่าเขาขนาดที่ว่า เธอทำให้ฉันไม่มีความสุขในบ้านนี้ได้ยังไง และความสุขของฉันจะกลับมาทันที ถ้าพี่ชายเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้าน พี่รู้สึกว่าในที่สุดวันนี้คนที่พี่จะโกรธ พี่ไม่ได้โกรธว่าที่พี่สะใภ้ พี่โกรธพี่ชายหนู เพราะคนอะไรมีสเปคเป็นมิจฉาชีพขนาดนั้น คือพี่ว่าดูประหลาดไป แต่คราวนี้พี่เห็นด้วยกับสิ่งหนึ่งคือ ต้องปกป้องตัวเองก่อน เป็นพี่ พี่จะอยู่ในบ้านอย่างมีความสุขก่อน ยิ่งเขาเข้ามาจะยิ่งทำให้เห็นว่า ฉันล็อคประตูนี้ อันนี้เปลี่ยนกุญแจ ถ้าเขาถามว่าทำไมต้องล็อคกุญแจขนาดนี้ อ้าว ก็กลัวของหายแล้วก็เพลิน ๆ กับการอยู่ในบ้านของเรา ทำไมเราต้องไปทำให้เขารู้สึกว่า เขาดูมีอิทธิพลต่อบ้านฉันเหลือเกิน พี่ว่าคุณพ่ออาจจะอยากได้ความสงบสุขในบ้าน ไม่มีใครหรอกอยากเอาขโมยเข้าบ้านแล้วแฮปปี้มีความสุข ถ้าน้องทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องนี้ มันจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันเรื่องผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดว่าผู้ชายมีรสนิยมชอบแนว ๆ นี้ ชอบแนวต้องลุ้นกับตำรวจไปด้วย พี่เคารพการตัดสินใจของพี่ชาย แต่เราจะปกป้องสิทธิ์และความสุขในบ้าน เพราะนี่คือบ้านฉัน พี่ว่าเขาต้องมีความผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง เพราะฉะนั้นพี่ว่าหนูต้องล็อคให้เห็นเลยว่า ตั้งแต่เธอเข้าบ้านฉัน ฉันรู้สึกว่าจะต้องปกป้องทรัพย์สมบัติของฉันให้ดีที่สุด ต้องดูกันไปสักตั้ง บางทีมันต้องมีอารยะขัดขืนกันบ้าง ตอนนี้พี่กำลังรู้สึกว่าเรากำลังโดนป่วน แล้วเราก็ดันป่วนไปตามแผนด้วย เพราะจริง ๆ นี่คือบ้านของหนู ปกป้องสิทธิ์ของเรา ไม่อยากได้อยากให้เราลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า เธอจะต้องเลิกกับผู้หญิงคนนี้ เลิกเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ อะไรมันไม่ได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก พี่ชายเรา เราก็ต้องเคารพในการเลือก แล้วอย่าไปถือโทษคุณพ่อ หนูบอกกับพ่อเลยว่า ในเมื่อพี่เขาเลือกแบบนี้ หนูไม่อยากจะไปแตะอะไร แค่หนูจะทำตามที่พ่อบอกละกันว่า หนูจะปกป้องสิทธิ์ของหนู และบ้านของหนู รวมไปถึงความสุขในบ้านหนูด้วย สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเมื่อบ้านหลังนี้ทุกคนมีสิทธิ์การเป็นเจ้าของร่วมกัน พี่ก็ไม่สามารถบอกให้อายไล่ทุกคนที่ไม่ชอบออกไปได้ เพราะว่าเขาก็มีสิทธิ์ของเขา พี่กลับมองว่าเหมือนพี่รู้สึกเห็นใจทุกคน ในแง่ที่ว่าทุกคนตกที่นั่งลำบากหมดเรื่องนี้ ทั้งหมดมันก็เกิดจากความรักนั่นแหละ แต่รักแบบไหนว่ากันอีกเรื่อง ทุกคนหวังดีต่อกันเลยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทีนี้มันจำเป็นที่อายจะต้องอยู่กับเรื่องนี้เพราะว่าหนูก็ไม่สามารถย้ายออกได้ มองอย่างงี้ละกัน นางโจรนี้ นางก็จะมาขโมยแค่เสาร์-อาทิตย์ จันทร์-ศุกร์นางไม่มา ก็ให้เป็นเสาร์-อาทิตย์ที่เตือนใจเราว่า เป็นวันที่เราต้องรัดกุม ก็ล็อกห้อง แล้วถ้าวันนั้นนางถึงขนาดงัดประตู งัดหน้าต่างแล้วเข้าบ้าน พี่ก็เรียกตำรวจ คือถ้าขนาดนั้นพ่อกับพี่ชายก็พูดอะไรไม่ได้อีกต่อไป เราก็ทำให้เห็นว่าล็อกแล้ว มันจะเอาไปไม่ได้ ถ้าเพื่อแลกให้คุณพ่อยังโอเค พี่ชายยังอยู่กันได้ อาจจะต้องยอมทำเพราะว่ามันไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้ ของมีค่าในห้องเราเก็บให้เรียบร้อยวันเสาร์-อาทิตย์ และถ้านางทำอีกพี่ก็ขอให้แจ้งตำรวจ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1