เพื่อนเก่าสมัยมัธยมในกลุ่ม มาบอกว่าจะเลิกคบกับอีกคน ผมก็เลยขอเป็นคนกลาง แล้วเพื่อนคนนั้นก็แฉอีกคนให้ผมฟังว่าเขาบูลลี่ผมมาตลอด หลักฐานครบ เค้ามีกลุ่มแยกที่ไม่มีเราอยู่คนเดียว คุยลับหลังมา 3 ปี ผมเสียใจมากๆ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เพื่อนเก่าสมัยมัธยมในกลุ่ม มาบอกว่าจะเลิกคบกับอีกคน ผมก็เลยขอเป็นคนกลาง แล้วเพื่อนคนนั้นก็แฉอีกคนให้ผมฟังว่าเขาบูลลี่ผมมาตลอด หลักฐานครบ เค้ามีกลุ่มแยกที่ไม่มีเราอยู่คนเดียว คุยลับหลังมา 3 ปี ผมเสียใจมากๆ

04 ต.ค. 2024

เพื่อนเก่าสมัยมัธยมในกลุ่ม มาบอกว่าจะเลิกคบกับอีกคน ผมก็เลยขอเป็นคนกลาง

แล้วเพื่อนคนนั้นก็แฉอีกคนให้ผมฟังว่าเขาบูลลี่ผมมาตลอด หลักฐานครบ เค้ามีกลุ่มแยกที่ไม่มีเราอยู่คนเดียว

คุยลับหลังมา 3 ปี ผมเสียใจมากๆ เพิ่งรู้ว่าเพื่อนคนนั้นที่ขอยืมรถเรา แล้วพูดว่าโง่เนอะ ให้กูยืมด้วย

            “คุณเติร์ด (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาเพื่อนนินทาลับหลังเรา ทั้งที่ต่อหน้าเขาดีกับเรามาก

            โดย “คุณเติร์ด (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตอนนี้ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เรื่องเกิดเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว คือหนึ่งในเพื่อนกลุ่มเก่าตอนมัธยมโทรมาปรึกษาผมเรื่องเพื่อนอีกคนในกลุ่ม แบบมาบอกว่าเขานิสัยไม่ดีอะไรบ้าง อยากจะเลิกคบกับเขาทำยังไงบ้าง? ผมก็เลยให้คำปรึกษาว่า จะเลิกคบหรือไม่เลิกคบกัน ผมก็ขอเป็นคนกลางเพราะว่าเพื่อนคนที่เขาเล่ามาเขาก็ดีกับผมมาตลอด แต่ประเด็นคือว่าเพื่อนพูดว่า “เติร์ดกูไม่อยากเล่าให้มึงฟังนะ แต่เรื่องที่โดนนินทา คนที่โดนเยอะสุดคือเติร์ดนะ” แต่ผมไม่รู้ตัว คิดว่าเขาดีกับผมในกลุ่ม เพราะระยะเวลาที่คบกันมา 3 ปีเขาดีกับผมมาตลอดเลย จนผมไว้ใจเพื่อนคนนี้ที่สุดในกลุ่ม

            จนพอมาล่าสุด ผมมารู้ว่าเพื่อนที่ผมไว้ใจที่สุดกลับกลายเป็นว่าลับหลังผม ผมโดนเละที่สุดเลยในกลุ่ม ผมโดนเยอะมากๆ แล้วเพื่อนก็แคปหลักฐานทุกอย่างมาให้ผมดูหมดเลย เพราะเพื่อนมีแชทกลุ่ม ไม่ว่าผมจะอัปเดตชีวิตในโซเชียล หรือลงอะไร ผมจะโดนแคปลงในแชทกลุ่มที่ไม่มีผม ซึ่งเพื่อนคนอื่นก็เออ ออไปด้วย พอเขาจะแตกกันก็มาเล่าให้ผมฟังว่าจะเลิกคบกับคนนั้นแล้วนะ เพราะเขานิสัยไม่ดี แต่ที่ผ่านมาเขามีการมายืมเงิน ยืมมอเตอร์ไซค์ของผม พอผมให้ยืมเขาก็เอาไปพูดลับหลังว่าผมโง่ให้ยืมด้วย เพื่อนคนนั้นยังไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้วที่เขาเผาผม ตอนนี้เขาก็ยังทำเป็นดีกับผม ยังคุยกันปกติ ผมอยากถามพี่ๆว่า ควรคบเพื่อนคนนี้ต่อดีมั้ย? หรือควรตัดไปเลยเพราะผมก็รู้ความจริงหมดแล้วว่าที่ผ่านมามันก็ไม่ได้หวังดีกับเราจริงๆ’

            ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาเป็นคนแรกว่า ‘แน่นอนอยู่แล้วว่าพี่จะไม่คบคนกลุ่มนี้ แต่ชีวิตคนก็เป็นแบบนี้แหละ มองในแง่ดีคือมันก็เป็นภูมิคุ้มกันเรา เพราะว่าเติร์ดอาจจะได้เจอคนแบบนี้อีกก็ได้ เหมือนประสบการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียน ขนาดคนที่เราสนิทกันขนาดนี้มันยังพูดลับหลังกันได้ ซึ่งมันมีแบบนี้จริงๆบนโลกนี้ เราก็แค่ได้รู้ว่าคนๆนี้เป็นแบบนี้ ได้เรียนรู้ที่จะไว้ใจคน คนที่เราช่วยเหลือเขามาตลอด แล้วสิ่งที่มันทำคืออะไร แต่พี่ว่ายังไงก็ต้องตัด’

            ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาเป็นคนที่สองว่า ‘คนๆนี้ถ้ามันใช่แบบที่เติร์ดเล่ามาทั้งหมด คนแบบนี้มันเน่าตั้งแต่ข้างใน คนที่มันก่อร่างสร้างตัวมาเป็นคนที่มี attitude แบบนี้มันโตมายังไง พี่ว่ามันเลวทรามยิ่งกว่าเม้าท์ปากเสีย เพราะฉะนั้นคนแบบนี้เติร์ดไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรมันด้วยซ้ำ ถ้าเป็นพี่ พี่จะส่งแชทที่เพื่อนแคปมาให้ดูส่งให้มันไปเลย แล้วไม่ต้องคุยอะไรเลยก็ได้ ส่งเสร็จบล็อกไปเลยจบๆ หรือถ้าจะใส่กันสักชุดก็ได้ แค้นอะไรก็บอกไป คุยจบก็แยกย้ายกันเลย เป็นพี่ก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน’

            และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่อ้อยเคยอ่านเจอประโยคนึงว่า เราเลือกคนที่เราเจอไม่ได้ แต่เลือกว่าจะวางเขาไว้ตรงไหนในชีวิตได้ เราไม่รู้หรอกว่าคนที่เราจริงใจกับเขา เขาจะตลบหลังเราเมื่อไร แต่เมื่อเรารู้แล้ว เราเลือกวางเขาไว้ตรงไหนที่ไม่ต้องทำให้เราดีลกันอีกก็ได้ พี่ว่าบางทีมันไม่จำเป็น เดี๋ยวเติร์ดก็มีเพื่อนอีกหลายๆกลุ่ม อาจจะไปเจอแบบเดียวกันอีก หรือเป็นอีกแบบเลยก็ได้ ใดๆก็ตามเราอาจจะเสียใจ อาจจะเจ็บแค้น แต่ที่สุดแล้วการล้างแค้นที่สาสมที่สุดคือเขาคนนั้นต้องไม่มีผลอะไรต่อใจของเติร์ดอีกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เติร์ดยังเจ็บปวดไปกับคนๆนั้น ถือว่าเติร์ดยังให้ความสำคัญกับคนๆนั้นอยู่นะ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

07 ต.ค. 2024

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอดแบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้วแต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา พูดกับแม่ยังไงให้เขาเข้าใจหนูสักทีคะ? หนูให้เข้ามาได้แต่อย่ามาย้ายของ “คุณแจกัน (นามสมมติ)” อายุ 18 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย‘ เกี่ยวกับปัญหาทำยังไงให้คุณเเม่เลิกเข้าห้องส่วนตัวเรา เพราะรู้สึกเริ่มโตเเล้ว โดย “คุณเเจกัน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ครอบครัวหนูแยกทางกัน มีพี่น้อง 3 คน หนูเป็นคนกลาง พ่อแม่แยกทางกัน พี่สาวไปอยู่กับแฟน น้องชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนหนูอยู่กับเเม่ ตอนนี้คุณเเม่อายุ 42 ปี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา หนูขอแม่เเยกห้องนอนส่วนตัว คุณเเม่ก็โอเค ให้แยกนอนได้ บางทีคุยกันก็เหมือนเขาไม่พอใจ ผ่านไปอาทิตย์นึงคุณเเม่ก็เริ่มเข้าห้องเราโดยที่ไม่เคาะหรือบอกเราก่อน บางทีหนูไปโรงเรียนกลับมาของที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมก็หายหรือหาไม่เจอ เช่น หนูเรียนมีการบ้าน เขาจะชอบจัดเเล้วเขาจะเก็บรวมไปเลย บางทีหนูล็อคห้อง หรือติดป้ายไว้เเล้ว เคยคุยกับเเม่เเล้วด้วย เเม่ก็โอเคจะไม่เข้า เเต่พอผ่านไปแค่ 2 - 3 วันเขาก็ยังเข้าห้องเหมือนเดิม หนูไม่ได้ว่าที่เขาเข้าห้อง เเต่หนูอยากให้เขาบอกก่อนว่า จะเข้าไปเก็บของนะหรือจะเข้าไปห้องให้ บางทีหนูนอนอยู่ เขาก็จะเข้ามาโดยที่ไม่บอกเรา เข้ามาเฉย ๆ ดูเเล้วก็ออกไป บางทีหนูอาบน้ำเเต่งตัวอยู่ เขาก็เข้ามาเลย ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเขาเข้ามาในพื้นที่ของหนู ทำให้หนูเกิดอาการเหมือนหงุดหงิดตัวเอง ไม่ได้หงุดหงิดแม่ หนูก็เก็บไว้ว่าอย่าไปหงุดหงิดเขา เหมือนเราเคยนอนด้วยในห้องเดียวกัน พอหนูแยกออกมาเขาอาจจะเเบบอยากรู้รึเปล่าว่าเราแยกออกมาเเล้ว ยังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า? หนูเป็นคนทำความสะอาดทั้งบ้านเอง เหมือนเรื่องของเราก็จะไม่ให้แม่ยุ่ง ซักผ้าหรืออะไรก็ทำเองหมดเลย เพราะไม่อยากให้แม่ทำ หนูไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไง ก็เลยอยากถามพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า หนูควรต้องทำยังไงดี? โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หัวอกคนเป็นพ่อเป็นเเม่รู้เเหละว่าวันนึงลูกจะโต จะไปมีชีวิตของตัวเอง เราจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าห้องโดยพลการอีกต่อไป นี่คือที่พ่อแม่รุ่นใหม่พยายามบอกตัวในทุก ๆ วัน เเต่มันโครตยากเลย ด้วยวัยของคุณเเม่ที่เท่า ๆ พี่พี่ว่าคุยได้ มันเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีการคุยจะไม้อ่อนไม้เเข็งอันนี้เเล้วเเต่เเจกัน ถ้าเคยคุยแบบไม้อ่อนเเล้วยังเหมือนเดิม ก็ตเองขยับเป็นไม้เเข็งขึ้น เเต่ก็ไม่รู้ความคิดเขาถ้าโดนอย่างงี้พอเขาโดนเเบบนี้จะยังไง เเต่พี่ว่าถ้าเห็นลูกเริ่มจริงจังขึ้นไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำที่โตขึ้น เป็นพี่พี่ยอมเปลี่ยนนะ อย่างน้อยยังได้ก้าวเข้าไปในห้องเขาอ่ะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเเม่ฟังคลิปนี้’ ต่อมา “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษา ‘เข้าใจหมดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เเต่ก็ต้องเข้าใจความเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยวเเล้วหนูเป็นลูกที่ใกล้เขามากที่สุด เขาก็จะเเอบคิดเข้าใจไปเองว่า ยังไงลูกต้องอยู่ในอ้อมกอดของชั้นตลอดไป ชั้นจะปกป้องเขาให้เขาไม่เจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ เเละม่ความไม่ค่อยไว้ใจลูกสาวหน่อย ๆ การที่เขาได้เข้าไปในห้องของลูกสาว เหมือนเขาได้เข้าไปอยู่โลกของลูกสาวด้วย เขาเลยอยากสร้างความมั่นใจว่ายังอยู่ในสายตาชั้น ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ทำความเข้าใจด้วย เเม่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องตลอดชีวิตเราหรอก วันนึงก็ต้องจากกัน ก่อนจะถึงวันนั้นปรับวิธีคิดเราจะได้ไม่หงุดหงิดมากเกินไป ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา มันก็เป็นบทเรียนให้หนูเหมือนกัน ที่หนูต้องรักเเละปกป้องตัวเองด้วย ค่อย ๆ สร้างความมั่นใจไปเรื่อย ๆ ถ้าเเม่มั่นใจในตัวเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หายไป เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แปลว่าพูดกับเเม่ 1 ครั้งเเล้วเเม่อยู่ในโอวาทของลูกสาวตลอดไป เเต่เมื่อไหร่ที่มันมาจากความรัก ปัญหาความรักแก้ง่ายกว่าปัญหาความไม่รัก ให้สื่อสารที่เป็นทางบวกเเละลองเข้าใจความเป็นห่วงของคุณเเม่ดูบ้าง’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันต้องหาตรงกลางที่ทั้งคู่แฮปปี้ พี่ว่ามันสามารถคุยได้นะถ้ามันส่งผลกระทบการเรียนเราอ่ะหรือเรามีนัดกันกับเขามั้ย ทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันใด ๆ หนูอยู่ในห้องด้วยเเล้วเเม่ก็จัดจะได้รู้ว่าย้ายของเเล้วก็บอกหนูจะได้รู้ อย่าทำโดยที่หนูไม่อยู่อ่ะเพราะบางทีมันจะวุ่นวายต่อการหาของ ส่วนไอการเข้ามาโดยที่ไม่มีสัญญาณก่อนอ่ะ หรือมันโมบายอะไรหน้าห้องมั้ย อะไรก็ได้ให้ถ้าร่างเข้าผ่านเเล้วมันจะเกิดเสียงอะ เพื่อให้เขาเองก็ต้องมีสติด้วยนะว่าต้องเคาะก่อนต้องบอกก่อนเข้าอ่ะ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

23 พ.ค. 2025

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า...“อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี? หัวหน้าเช็คถามทุกวันเลยว่า วันนี้มายังไง กลับยังไงทำไมยังไม่ช่วยเหลือตัวเองอีก ลูกพี่อายุเท่าๆหนูก็ทำได้แล้ว ตอนนี้หนูอึดอัด และ เบื่อกับคำถามเดิมๆในทุกๆวันถ้าจะโกหกว่านั่งรถเมล์มา เขาก็คงจะถามซอกแซกอีก กลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแล้วตอบคำถามเขาไม่ได้ “คุณส้ม (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาพี่ที่ทำงานตกใจที่คุณแม่ยังรับ-ส่งหนูไปทำงาน โดย “คุณส้ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้าทำงานออฟฟิศที่นึง ในแผนกที่เข้าไปทำจะมีพี่หัวหน้าหนู 1 คน ซึ่งเขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50 ปี แล้วห้องทำงานก็มีแค่หนูกับพี่เขาในห้องแค่ 2 คน เรื่องเกิดตั้งแต่วันแรกที่หนูเข้าไปทำงานเลย พี่เขาก็เข้ามาคุยด้วยว่า บ้านหนูอยู่แถวไหน แล้วมาทำงานยังไง หนูก็ตอบเขาไปว่า อ่อ คุณแม่หนูมาส่งค่ะ แล้วคุณแม่ก็จะมารอรับ เพราะปกติที่บ้านจะค่อนข้างหวง จะชอบไปรับ-ส่งตลอด แต่พอหนูตอบไปแบบนั้น พี่เขาก็ตกใจและถามหนูว่า เราอายุเท่าไรนะ? ทำไมยังให้แม่ไปรับ-ส่ง แล้วเขาก็บ่นหนูว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราโตแล้ว เราต้องหัดเดินทางเองบ้างนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยตอบ ค่ะๆ แล้วก็ยิ้มตอบไป พอช่วงบ่ายของวันนั้น พี่เขาก็ส่งรูปสายรถเมล์มาให้หนูดูว่า รถเมล์สายนี้มันผ่านแถวบ้านหนู แล้วมันมาถึงออฟฟิศได้เลยนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยเออ ออตามเขาไปว่า จริงหรอคะ? หนูก็คิดในใจว่าหนูก็คงไม่ได้ขึ้นรถเมล์อยู่แล้ว เพราะหนูไม่เคยขึ้นรถเมล์เลย ตอนนี้หนูทำงานมาได้เดือนกว่าๆแล้ว แต่พี่เขาจะถามหนูแทบทุกเช้าเลยว่า วันนี้มาทำงานยังไงลูก? หรือ วันนี้ลองขึ้นรถเมล์หรือยัง? จริงๆเขาแนะนำวิธีการเดินทางอื่นด้วย ทั้งขึ้นรถ ลงเรือ แล้วทุกเช้าหนูก็จะตอบเขาเหมือนเดิมว่า วันนี้แม่มาส่งค่ะ บางวันเขาก็จะรับฟังเฉยๆ แต่บางวันเขาก็บ่นเราเลยว่า ทำไมไม่ลองเดินทางเอง ทำไมไม่ลองขึ้นรถเมล์ ลองดูมั้ยพรุ่งนี้ เขาชวนหนูคุยทั้งวันเลย เวลาหนูนั่งทำงานอยู่ เขาจะชอบเดินมาถามว่า เป็นยังไงบ้าง เย็นนี้กลับยังไง พรุ่งนี้กินข้าวอะไร เพราะแม่หนูจะทำข้าวกล่องมาให้ด้วยทุกวัน เขาจะชอบมาดูข้าวกล่องหนูว่าวันนี้แม่ทำอะไรมาให้กิน เขาบอกว่าลูกเขาอายุเท่าๆกับหนู หนูก็เคยตอบเขาไปแล้วว่า คุณแม่หนูเขาชอบมารับ-ส่งจริงๆ หนูไม่สามารถเดินทางแบบอื่นได้ ยกเว้นบางวันที่รีบมากๆ คุณแม่ก็จะให้ขึ้น BTS บ้าง เขาก็รู้แล้วว่าที่บ้านหนูมารับ-ส่งได้ หนูไม่ได้บังคับแม่ แต่เขาก็ยังถามหนูอยู่ทุกเช้า ที่หนูโทรมาวันนี้ คือ หนูไม่ได้อยากเปลี่ยนคำถามเขา แต่อยากเปลี่ยนคำตอบของตัวเองมากกว่า หนูไม่อยากโกหกเขาด้วย บางทีก็อยากจะตอบปัดๆไปว่า อ่อวันนี้เดินทางเอง แต่ด้วยความพี่เขาน่าจะถามต่ออีกเยอะ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรจะตอบยังไงดีให้เขาเลิกถามเรื่องนี้กับหนูไปเลย?’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ลองบอกหัวหน้าไปว่า คุณแม่มีปมกับการขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถเมล์ของคุณแม่คือไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่อนุญาตให้ส้มทำ ส้มเคยอยากลองแล้วแต่ส้มทำไม่ได้จริงๆ’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อาจจะต้องใช้วิธีอ้างคุณแม่ไปเลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่แม่เขาชอบที่สุด ได้คุยกัน ได้ส่งลูก เขาว่างแล้วเขาก็อยากดูแลลูก เคยบอกว่าจะขึ้นรถเมล์แล้ว แม่เขาร้องไห้เลย พี่ไม่ต้องถามหนูแล้วนะ หนูจะร้องไห้เลย หรือบอกไปว่า หนูเคยบอกให้แม่ไม่มาส่งแล้ว แต่มันเป็นอย่างเดียวที่แม่อยากทำเพื่อลูกอยู่’ และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่ามันก็อาจจะเป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใยอย่างนึง ถ้าหนูมองเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ดีที่หัวหน้าพูดคุยกับลูกน้อง เพราะถ้าเขาไม่คุยเลย แสดงว่าเราถูกเขม่นอยู่นะ พี่ไม่อยากให้หนูรู้สึกถึงขั้นว่า หนูรู้สึกไปหมดกับสิ่งที่เขาถาม หรือเราอาจจะชิงถามเขาไปก่อนว่า พี่กินข้าวหรือยัง หรืออาจจะคุยเรื่องงานไปเลยก็ได้ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรามากกว่า เพราะไม่งั้นหนูเองที่ดันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาถาม ทั้งที่มันอาจจะเป็นการชวนคุยเฉยๆ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว "หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดี มาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน

26 เม.ย. 2024

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว "หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดี มาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว"หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดีมาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคนสามีบอกเป็นความพลาด แต่เขาขึ้นบ้านใหม่ด้วยกันแล้ว “คุณเหมียว (นามสมมติ)” อายุ 36 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (24 เม.ย. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจต้นเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย นภาพร’ เกี่ยวกับปัญหามีลูกให้สามีไม่ได้ แต่เขาดันไปมีลูกกับคนอื่น โดย ​“คุณเหมียว(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คบกับแฟนมา 10 ปี พอคบกันได้ 2 ปีก็ตัดสินใจแต่งงาน ก็คือแต่งงานกันมาแล้ว 8 ปี สร้างตัวจากที่ไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็คบกันปกติเหมือนคู่รักคู่อื่น ตอนแรกเรา 2 คนก็ขายของตามตลาดนัดด้วยกัน แต่เศรษฐกิจไม่ดี ผู้ชายเลยตัดสินใจไปทำงานประจำ ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่เขาไปทำงาน เราก็มีไปที่ทำงานผู้ชายบ้าง ที่ทำงานก็รู้หมดว่าเป็นสามีภรรยากัน เหมือนปีที่ 9 เราทำงานหนักเลยไม่มีเวลาไปตามผู้ชายสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ไม่ได้ไปไหนด้วยกัน เพราะว่าต่างคนก็ต่างทำงาน จึงไม่ได้สงสัยหรือระแวงในตัวเขา และหนูก็เป็นโรคเกี่ยวกับมดลูก ซึ่งตอนแรกผู้ชายก็บอกว่า อยากมีลูก แล้วหนูก็ได้มีการปรึกษากันมาตลอดว่า ถ้าเกิดว่าเราไม่มีลูกจะเป็นอะไรไหม ผู้ชายบอกว่า ไม่เป็นไร เรารักกัน เราเก็บเงินให้กันและกันไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย ถ้าเราอยากมีจริง ๆ อาจจะใช้เป็นวิธีอื่นได้ในอนาคต ซึ่งปรึกษากันตลอด ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง เพราะเราเป็นคู่ที่ใช้ชีวิตปกติมาก ๆ แต่มาวันหนึ่งก็มีเฟซบุ๊คพึ่งสร้างใหม่ส่งข้อความมาหาว่า ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดข้อความในแชทอ่าน ในวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพอเราเปิดเข้าไปอ่านก็เป็นรูปสามีเราไปขึ้นบ้านใหม่กับผู้หญิง แล้วก็มีแม่สามีนั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีรูปสลิปการโอนเงิน ซึ่งเป็นชื่อ - นามสกุลของสามีเรา แล้วมีแคปชั่นว่า ขอบคุณสามีที่เปย์ให้กันตลอดมา เป็นรูปการโพสต์ด่าเราเรื่องต่าง ๆ นานา เขาแคปมาให้เราดูหมด ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเป็นคนโพสต์ ที่พีคไปกว่านั้นคือ มีรูปการคลอดลูก ซึ่งเป็นแคปชั่นที่มีนามสกุลสามีของเรา เรื่องความสัมพันธ์เขาบอกว่า คบกันมา 1 ปีแล้ว แต่ว่าคบกัน 2 เดือนผู้หญิงก็ท้องเลย และเป็นรูปสามีของเราอยู่ในห้องคลอดซึ่งมีเด็กด้วย รายละเอียดในรูปคือ เหมือนผู้หญิงพึ่งคลอดลูกมาเมื่อวาน แล้วเอาเฟซบุ๊คปลอมส่งมาบอกเราในวันนี้ แบบพึ่งเกิดแล้วให้เรารู้เลย เราก็ช็อกมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น เราก็เลยโทรไปถามผู้ชายว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ตอนแรกผู้ชายเขาก็ไม่ได้ยอมรับผิด เราก็เลยบอกว่า ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรแล้ว เดี๋ยวเรามาช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยกันไหม หนูอยากให้เขายอมรับความจริง เขาก็เลยสารภาพว่า เขาไปทำผู้หญิงท้อง ซึ่งเป็นน้องที่ทำงานเดียวกันกับเขา คบกันมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว พอคบกันได้ 2 เดือนปุ๊บ ผู้หญิงก็ท้องเลย และเป็นการพลาดพลั้ง ถ้ามันเป็นการพลาดพลั้งจริง ๆ ทำไมเขาถึงมีการซื้อบ้านใหม่ด้วยกัน ทำไมเขาถึงสร้างทุกอย่างด้วยกันหมดแล้ว หนูก็ไม่เชื่อ แต่หนูยังรักเขา หนูรักเขามากเพราะว่าเราไม่มีปัญหาอะไรที่จะทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเราเคลียร์กันทุกเรื่อง ทุกวันอยู่แล้ว หนูคิดว่าถ้าหนูไม่รู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้แย่ แต่หนูมานั่งทบทวนประมาณ 3-4 วัน ก็ตัดสินใจบล็อกเบอร์ ไม่ติดต่อไปหาเขาอีกเลย เพราะหนูคิดว่าเขาคงอยากไปสร้างอนาคตใหม่ด้วยกันโดยที่ไม่มีหนูแล้ว ถ้าเขารักเราจริง ๆ เขาจะไม่ทำร้ายเราทั้งที่เราผ่านความลำบากมาก่อน จนเรามีทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งหนูไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับฝั่งผู้ชายเลย ส่วนฝั่งนั้นเขาบอกว่า ไม่ได้จดเหมือนกัน แต่รับเป็นบุตร หนูรู้สึกแพ้แล้วกับความรัก 10 ปีที่ผ่านมาของหนู’ อยากถามคำถามแรกกับพี่เผือกว่า คิดว่าหนูทำถูกไหมที่หนูยอมเดินออกมาแทนที่จะเก็บผู้ชายไว้? ซึ่ง “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ต้องถามกลับว่าทำไมถึงรู้สึกว่ามันจะไม่ถูก เหมียวมีความลังเลหรอว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดที่เดินออกมา ถ้าถามคนที่ได้ฟังเรื่องนี้พี่ว่าร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่า เหมียวทำถูกแล้วแหละ พี่ยังไม่เจอเหตุผลที่จะต้องเก็บเขาเอาไว้ มันต้องแยกให้ออกระหว่างความเสียใจกับการตัดสินใจที่จะตัดใครสักคนที่เขาไม่ใช่คนดีออกไป มันคนละเรื่องกัน ไอ้ความเสียใจ ไอ้ความช็อก ตื่นมาแล้วอีกคนหนึ่งในชีวิตเราหายไป มันรู้สึกอยู่แล้วเหมียว แต่สาเหตุที่เขาไม่อยู่วันนี้มันต้องแยก พี่ไม่เห็นเหตุผลว่าการเก็บเขาไว้ในสถานการณ์ของเหมียวมันจะเป็นสิ่งที่ดีได้ยังไง ในเมื่ออีกฝั่งเขามีลูกด้วย ต่อให้คิดกันแบบ Positive สุด ๆ คุยกันได้ลงตัว ทำหน้าที่แค่พ่อ ไปดูแลแต่ยังรัก เหมียวคิดว่ามันจะไปตลอดรอดฝั่งจริง ๆ หรอ? แล้วพี่ก็ไม่เชื่อว่าตัวเหมียวเองจะรับมันได้ ไม่งั้นเหมียวคงไม่ตัดสินใจเดินออกมา พี่อยากจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ให้ความมั่นใจว่า เราตัดสินใจแล้ว ทุกการตัดสินใจของเราที่เกิดขึ้นมันดีเสมอแหละ เราจะได้เรียนรู้อะไรจากมัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันอาจจะรุนแรงหน่อย แต่ว่าถ้ามันผ่านพ้นไปได้ พี่ว่ามันเป็นจุดที่ดีของชีวิต ขอให้มั่นใจ ตัดสินใจแล้วก็ทำให้มันเด็ดขาด ยอมเจ็บหน่อย ยอมช็อกหน่อย แต่ถ้ามันผ่านพ้นไปจะรู้สึกโล่ง อย่างที่พี่อ้อยพูดเห็นด้วยมาก ๆ เราไม่ได้แพ้อะไร สุดท้ายพอเวลามันผ่านไป จนถึงวันหนึ่งเหมียวอาจจะเริ่มรู้สึกว่า ฉันชนะแล้วแหละที่ออกมาได้’ คำถามที่ 2 ให้พี่อ้อย หนูขอวิธีการมูฟออนที่หนูยังติดอยู่วังวนความรัก 10 ปีที่ผ่านมา หนูไม่สามารถมีใครได้หรือมีความรักครั้งใหม่หนูก็รู้สึกกลัว? ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าเป็นพี่จะบอกว่า วิธีการมูฟออนอย่างหนึ่งคือ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน เข้าใจว่าน้องรักเขาเท่าที่เขารักน้องแหละ คบกันมาตั้ง 10 ปี รักเขาเราไม่เห็นมีใคร เขารักเราทำไมถึงทรยศ พอน้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับมัน น้องอาจจะเข้าใจว่า คนบางคนนะ ออกจากชีวิตฉันไป น่าดีใจกว่าได้เขามาอีก เพียงแต่วันนี้การมูฟออนของน้อง ยังไม่สามารถมูฟออนได้เพราะยังคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเรา มีคนในโลกนี้เยอะแยะมากมาย ลูกไม่ได้เป็นโซ่ทองคล้องใจเสมอไป มันไม่ได้แปลว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกแล้วนั่นคือที่สุดของชีวิต และการที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกไม่ได้ก็เลยถูกพิพากษาให้เขาต้องไปทรยศนอกใจกับคนอื่น พี่ว่ามันไม่ใช่เป็นเหตุเป็นผลกัน วันนี้ถ้าไม่เจอ Account ที่เขามาบอกว่า ถ้าไม่อยากโง่ก็อ่านแชทสิ แค่สิ่งที่เขาบอกกับเราก็ดูไม่ใช่ผู้หวังดีอยู่แล้ว การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่รับผิดชอบความรู้สึกของเราเลยแม้แต่น้อย พี่รู้สึกว่า ฉันทำดีที่สุดในฐานะของคนที่เป็นภรรยามา 10 ปีแล้ว เธอต่างหากที่ยอมให้ใครสักคนเข้ามาทำร้ายความรู้สึกฉันได้มากขนาดนั้น โดยที่มีเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พอเหมียวค่อย ๆ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ การมูฟออนก็เกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้อยู่ แต่ถ้าน้องบอกว่า ไม่เอาค่ะพี่ หนูอยากได้วิธีการมูฟออนจริง ๆ อันแรกเลิกส่อง มีคนเยอะมากที่พยายามจะมูฟออนแต่ยังไปเฝ้าดูโซเชียลเขาตลอดเวลา ที่สุดแล้วพอไปเห็นว่าเขาดูมีความสุขมาก คนที่พังสุดก็คือเราอยู่ดี วันนี้ความสัมพันธ์มันเคลื่อนตัว ต่อให้ 10 ปี ความผูกพันดันเกิดขึ้นกับเหมียวคนเดียว ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา ถ้าความผูกพันนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วย เขาจะไม่ทำร้ายหนูขนาดนี้ แค่เหมียวเห็นคุณค่าในตัวเอง ชีวิตของฉัน ฉันทำเต็มที่ในตอนที่ฉันเป็นภรรยาที่น่ารัก ดูแลเธออย่างซื่อสัตย์ แต่ถ้าเธอไม่สามารถให้ความซื่อสัตย์กับฉันได้ ฉันก็แค่ตัดเธอออกจากชีวิต มันคือแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเรากลายเป็นคนที่ด้อยค่าตัวเอง พี่ว่ามันอยู่ที่วิธีคิดของเรา ถ้าน้องอยากได้เป็นแบบรูปธรรม 1.เลิกส่อง 2.ช่วยเห็นข้อดีของตัวเองใน 10 ปีที่ผ่านมาหน่อย เพราะน้องไม่เคยวอกแวกไปมีใคร และในที่สุดแล้วไม่มีใครดีพอ สำหรับคนที่ไม่รู้จักพอ ต่อให้น้องดีแทบตาย สุดท้ายเขาไม่รู้จักพอเขาก็มีคนอื่นอีก แล้วเอาสิ่งนั้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้เขาเลิกกับเราได้แบบที่เขารู้สึกผิดน้อยที่สุด พี่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้ผิดที่เหมียว หนูต้องรักตัวเอง เพราะหนูมีคุณค่ามากพอ และพี่คิดว่าเดี๋ยววันหนึ่งเหมียวจะขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจแบบนี้’ และคำถามที่ 3 ให้พี่เติ้ล มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการนอกใจครั้งนี้ เป็นเพราะหนูไม่ใส่ใจเขามากพอหรือว่าเป็นเพราะหนูท้องไม่ได้ เขาก็เลยไปมีคนอื่น? สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ตอบอันหลังก่อนที่เหมียวถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหนูไม่ใส่ใจหรือว่าหนูมีลูกให้เขาไม่ได้ ไปที่เรื่องไม่ใส่ใจก่อน อันนี้พี่ไม่รู้เพราะเหมียวไม่ได้บอก เหมียวบอกว่าเราเป็นชีวิตคู่ปกติ ถ้างั้นคงไม่เกี่ยวกับการใส่ใจ พี่ว่าอย่าไปเพ่งโทษตัวเองแบบนั้น กับเรื่องที่มีลูกให้เขาไม่ได้ ตอนที่เหมียวโทรมาพี่กรี๊ดเหมือนกัน เพราะว่ามันคือบทสนทนาในห้องประชุมเขียนบทเมื่อวาน ถ้าคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก กลายเป็นว่าปัญหาเรื่องเดียวคือสามีอยากมีลูก แล้วภรรยาลูกให้เขาไม่ได้ มันจะไปได้ถึงไหน ซึ่งตอนที่พี่คุยในห้องประชุมบอกจริง ๆ ว่ามันมีสิทธิ์เกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่มันไม่เกี่ยวกับการนอกใจ ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าอยากมีลูกจริง ๆ เขาก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองและเรามากพอในฐานะคนรักกัน ไม่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาอะไรในชีวิตคู่ มันไม่ใช่สาเหตุที่จะมาอ้างว่า เพราะฉะนั้นฉันจะไปมีคนอื่น เพราะเธอทำข้อ 1-3 ไม่ได้ มันคือการนอกใจ คุณจะทำอะไรก็ได้เลยถ้าบอกกับคนรักตรง ๆ ว่า เราไม่แฮปปี้ ถ้าแก้ไม่ได้ เราขอไปมีคนอื่น อย่างนี้มันคือแฟร์ ยุติธรรมกันทั้ง 2 ฝ่าย เราเองก็ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่า เราให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ได้ แต่การที่เขาไปมีคนอื่น มีลูกแบบนี้ พี่ว่าเขาไม่ได้พลาด เพราะพี่รู้สึกว่าคนรักกัน ถ้าพลาดเขาต้องมาบอกหนู เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้คลอดลูกออกมาจนเรื่องนี้มาเข้าหูหนูเอง พี่ว่าอันนี้ไม่ใช่คนรักกัน เขาคือผู้ชายที่ทรยศหนู ซึ่งมันก็จะเด้งไปที่คำตอบพี่อ้อยกับพี่เผือกว่า การที่หนูตัดสินใจเลิกกับเขาแบบเด็ดขาดก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตหนูที่เกิดขึ้นแล้วกับ 1 ปีที่หนูเจออะไรแบบนี้มา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

12 ม.ค. 2024

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

“คุณแบม (นามสมมติ)” อายุ 42 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย กับปัญหาที่ว่าสามีที่คบกันมานานบอกเลิกเราวันสิ้นปี เราเสียใจช็อก ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล โดย “คุณแบม (นามสมมติ)” ได้เริ่มปรึกษาว่า ‘โดนสามีบอกเลิกตอนวันสิ้นปีที่ผ่านมา คบกับเขามา 4 ปี แต่งงานกันอีก 10 ปี เริ่มจากแบมระแคะระคายเขามานานแล้ว เพราะมันมีเบอร์แปลก ๆ ล็อกอินเข้าใน Facebook เขา พอไปถามเขา เขาก็ตอบมาว่า ไม่รู้ เราก็เลยเก็บเบอร์นี้ไว้ เอาไปโทร เอาไปเช็กตามระบบ มันไม่ใช่เบอร์คอลเซ็นเตอร์ เราก็ไปถามเขาอีกครั้ง ให้เขาโทรไป เขาก็ไม่ยอมโทร จนเมื่อวันที่ 31 ที่ผ่านมา เป็นวันที่แบมหยุดงานอยู่บ้าน แต่แฟนต้องออกไปทำงานในคืนนั้น ระหว่างที่เขาอาบน้ำ แบมได้ใช้แท็บเล็ตของเขากดโทรไปที่เครื่องนั้น ปรากฎว่ามันมีประวัติการโทรเข้าโทรออกที่เบอร์นั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยที่ไม่ได้เมมเบอร์ไว้ แบมก็เลยกดโทรออกไป สักพักหนึ่งก็มีคนรับสาย แบมก็เงียบก่อน ผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อยู่ไหนอะ” แบมก็เลยพูดไปว่า “เธอเป็นใคร นี่เราเป็นเมียของ…นะ” ผู้หญิงก็วางสายไป เราก็ไปเคาะประตูสามีเรียกออกมาคุยว่า คืออะไร แต่เขาก็ไม่ยอมรับ เขาก็นั่งนิ่งไปสักพักนึง แล้วก็พูดว่า “กูไม่ได้รักมึงมา 2-3 ปีแล้ว” เราก็ช็อก เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสัญญาณอะไร แบมก็ถามเขาไปว่า “เราผิดอะไร” เขาก็บอกว่า “เธอไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่เขาผิดเอง ไม่รู้จักพอเอง” แบมก็เลยบอกว่า “เลิกได้ไหม” เขาก็บอก “เลิกไม่ได้” แล้วก็บอกว่า “ขนาดกูพูดกับมึงขนาดนี้แล้ว มึงยังหน้าด้านที่จะยื้อกูไว้อีกหรอ” เขาพูดแบบนี้มา เราก็ช็อกไป เขาก็พาส่งโรงพยาบาล แล้วก็มาเฝ้าเรา 2 คืน แต่เขาก็จะพูดว่า “คือไงอะ คือกูต้องไปไหม” อย่างนี้ตลอด และในวันที่ออกก็มีจิตแพทย์มาคุยกับแบม บอกแบมว่า “คุณมีภาวะซึมเศร้าแล้วนะ เป็นมานานแล้ว” แล้วก็เรียกผู้ชายมาคุยว่า “คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำนะ ถ้าคุณจะไปจากเขา คุณต้องรับผิดชอบให้อาการเขาดีขึ้นก่อน” เขาก็บอกกับคุณหมอว่า “เขาไม่ได้เป็นคนผิด แบมเป็นคนไม่รักตัวเองเอง” อาการเราเริ่มมีตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มระแคะระคายเรื่องเขา จนเครียดสะสมมาตลอด และเราก็ไม่ได้บอกใครเลยเรื่องนี้ แม้กระทั่งพ่อ-แม่ เพราะว่ากลัวพ่อ-แม่จะเกลียดเขา หลังจากกลับจากโรงพยาบาล เขาก็บอกว่า “เขาจะอยู่ดูแล จนกว่าแบมจะดีขึ้น” แต่พออีกวัน เขาไปทำงานแล้วโทรกลับมาบอกแบมว่า “ทำไมเขาต้องอยู่ ในเมื่อเขาพูดชัดเจนแล้วว่าไม่รักแบมแล้ว เขาไม่อยู่หรอกนะ อยู่เพื่ออะไร ทำไมต้องยื้อไว้” แบมก็เลยบอกเขาว่า “งั้นก็เข้ามาเก็บของ” อีกสักพักนึงเขาก็เข้ามาเก็บของออกไป แล้วเขาก็ทิ้งเราไปเลย วันนี้แบมเลยอยากให้พี่ ๆ แนะนำให้มูฟออนให้ได้ ให้ลืมเรื่องฝันร้ายนี้ มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตแบมแล้ว’ ซึ่ง ‘ดีเจเผือก’ ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า “ทุกครั้งเราพยายามจะบอกทุกคนเสมอว่า เวลามันจะช่วยนะ ช่วงนี้ก็ประคับประคองไป ใครไหวแค่ไหน เอาให้มันสุดให้มันผ่านไปได้ เวลามันจะค่อย ๆ เยียวยา วันนี้ร้องเท่านี้ พรุ่งนี้เรื่องเดิม ๆ ที่ทำให้เราร้องไห้ ก็อาจจะไม่ร้องแล้ว แค่เรามีสติรู้ตัวว่า ณ เวลานี้ฉันเศร้าและแน่นอนว่าฉันควรต้องเศร้า ถ้า 15 ปี แล้วเขาจากไปใจร้ายแบบนี้แล้ว ฉันไม่เศร้าสิถึงแปลก อยู่ด้วยกันมาตั้ง 15 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเราเริ่มเข้มแข็งพอ คนเราก็จะต้องค่อย ๆ ลุกขึ้นได้ เดินต่อไปได้ แต่ ณ เวลานี้อาจจะต้องพักให้ร่างกายได้เยียวยาก่อน ซึ่งก็ปล่อย อยากเศร้าก็เศร้า ร้องไห้ก็ร้อง หาเพื่อนสักคนที่พร้อมจะนั่งฟังแบบ เศร้าให้หมดไป แล้วเราก็จะแข็งแรงขึ้นเอง แต่ต้องใช้เวลา คนเราใช้เวลาไม่เท่ากัน ของแบม 15 ปี อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะให้เวลามันเยียวยา ในความคิดของพี่ เป็นกำลังใจให้ อย่างน้อยก็ยังไม่มีความผูกพันด้านอื่น เขาชัดเจนมาขนาดนี้ เมื่อมันจบตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังแล้วต้องปวดหัวมากว่านี้ ทุกอย่างมองในแง่ดีถึงแม้มันอาจจะยากก็ตาม” ต่อมาที่ ‘ดีเจอ้อย’ ได้ให้คำปรึกษาว่า “พี่เห็นด้วยกับเผือกอันนึงคือ เรากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติอยู่ รักมาขนาดนี้ เขาเดินจากไปแล้วเราต้องมูฟออนให้ได้ภายในไม่กี่วัน มันเป็นเรื่องยากมาก เข้าใจว่าคนที่กำลังเสียใจมาก ๆ แล้วมาบอกว่ามันจะดีขึ้น ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก ทั้ง ๆ ที่เวลามันรักษาได้ทุกแผล แค่รอให้ไหว ในเรื่องของซึมเศร้าก็ต้องรักษากันไป ต่อมาคือที่บอกว่าไม่อยากบอกคนรอบตัวเพราะว่าไม่อยากให้ทุกคนเกลียดเขา พี่ว่าคนละเรื่อง พ่อแม่จะเกลียดหรือเปล่านั่นเป็นสิทธิของเขา พี่ไม่อยากให้น้องมีปัญหาซ้ายขวาหน้าหลัง เสียใจเรื่องสามีจากไปก็แย่แล้ว ต้องมานั่งปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอให้กับคนที่บ้านเห็นได้ โลกใบนี้มันจะเหมือนหนักและทับตัวหนูอยู่ หนูไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง คิดหรอว่าเขาจะไม่รู้ อยู่ด้วยกัน ผู้ชายเก็บของออกจากบ้านลูกสาว เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจะเกลียดหรือไม่เกลียด ไม่เกี่ยว ความจริงคือความจริง พี่ไม่อยากให้น้องคอยสร้างภาพลักษณ์ให้ใคร เพียงแต่ว่าพี่อยากให้น้องมีทีมของตัวเอง อย่างน้อยก็ยังมีสายซัพพอร์ต หัวเราะด้วยกันเสียงจะดังขึ้น เวลาร้องไห้เสียงสะอื้นจะเบาลง หนูร้องไห้เลยเต็มที่ อันนี้คือวิธีการเยียวยาธรรมชาติของมนุษย์ เสียใจก็ร้องออกมา ไม่ต้องพยายามเข็มแข็งในตอนที่ยังอ่อนแอ เดี๋ยวแผลจะใหญ่ไป แล้ววันนึงจะคิดได้ว่า ก็แค่คนไม่รักกัน ใครน่าเสียใจกว่ากัน เธอสูญเสียคนที่รักเธอไป 1 คน ฉันเสียคนที่ไม่รักฉันไป 1 คน คิดดูสิว่าใครน่าจะเห็นคุณค่ามากกว่ากัน วันนี้น้องกำลังแบกหลายอย่างมากเกินไป เขาจากไป ต้องปิดบังที่บ้าน ซึมเศร้าหนูก็เป็น มันเลยเป็นปัญหาที่หนูเห็นปัญหานั้นมันใหญ่โตเกินความจริงไปนิด พี่รู้แหละว่าการที่สามีจากไปแบบนี้ มันเป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุด มันทำให้หนูมีคำถามมากมายว่าเราผิดอะไร แต่พี่เห็นแค่ว่า คนไม่รับผิดชอบความรู้สึกของน้องคนนึง อยากจะไปก็ด่า ๆ ให้รู้สึกว่าการจากไปไม่ใช่เรื่องผิด ไม่สนใจว่าหนูจะรู้สึกอย่างไร วันนี้หนูรักเขาไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่เขารักหนูน้อยไปเลยสมารถทำให้หนูเสียใจได้ขนาดนี้เรื่อย ๆ สู้ไปทีละวัน แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่จะดีขึ้น ข้างหน้าไม่รู้ เอาวันนี้ก่อน พี่จะยกตัวอย่างเสมอว่า ไม่มีใครลืมกระเป๋าสตางค์ ในวันที่ถามตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่จะลืมกระเป๋าสตางค์ การลืมมันเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตไปทุกวันตามปกติจนชิน รู้ตัวอีกทีกระเป๋าหายไปไหน การลืมความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรอีกแล้ว เพราะคนจะไปพูดอะไรก็ได้ ถ้าตอนนี้หนูรู้สึกไม่กล้าบอกใคร หนูกอดตัวเองให้แน่น แล้วคุณพ่อคุณแม่ของหนู หนูต้องดูแลหัวใจท่านด้วย ไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน เลี้ยงลูกให้มานั่งร้องไห้เพราะผู้ชายไม่รัก รักตัวเองให้เยอะ ๆ ” สุดท้าย ‘ดีเจเติ้ล’ ให้คำปรึกษาว่า “เมื่อวานได้อ่านหนังสือ Lots Of Love เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่อยู่กับสามีมานาน ประมาณคุณแบม แล้วสามีเป็นมะเร็ง มีเวลาไม่นานสามีก็จากไป เขาเขียนเล่าว่าช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเขาผ่านมาได้อย่างไร ที่เติ้ลฟังสิ่งที่คุณแบมเล่ารู้สึกว่ามันมีความคล้ายกันอยู่ในเรื่องนี้ ตอนที่เราอ่านก็รู้สึกว่าเขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร เราก็ลุ้น เขาเขียนว่าวันที่สามีเขาเสีย หลังจากนั้นเข้าก็ร้องแบบเดี๋ยวทรุด เดี๋ยวร่วง ตื่นเช้ามาก็ร้อง เข้าห้องน้ำก็ร้อง นั่งรถไฟฟ้าไฟก็ร้อง เพราะว่านั่งรถไปทำงานกับสามีทุกวัน แต่ว่าอันนึงที่เขาเขียนแล้วเรารู้สึกว่า มันดีมากเลย คือเขาบอกว่า พอมันร้องไป ตอนแรกเขาก็กลัวเหมือนกันว่ามันจะตาย เขาจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าสามีเขาไม่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายพอเขาร้องแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เขาก็พยายามที่จะหายใจ แล้วเขาก็บอกว่า มันไม่มีใครตายจากความเสียใจอันนี้ อยากจะบอกคุณแบมเหมือนกันว่า เราเสียใจ แล้วมันก็ผ่านมาแค่ 10 วัน เราเป็นคนปกติแล้วที่รู้สึกแบบนี้กับความผูกพันธ์ที่ตัวเองมีมา เติ้ลก็อยากจะบอกกับคุณแบมว่า ร้องไปเลย เสียใจได้ไปเลย สุดท้ายถึงเวลา อย่างคุณหมวยที่อยู่ในเรื่องนี้ เขาใช้เวลาเป็น 10 ปีเลยเหมือนกัน ในการที่จะผ่านมันไปได้ แต่แล้วในหนังสือสุดท้ายที่เขามาเขียนก็คือ ทุกวันนี้เขายังรัก และยังคิดถึงแฟนเขาที่เสียไป แต่ตอนนี้เขาตายไม่ได้เพราะเขาจะไปดูคอนเสิร์ต BTS เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิตเขาอันใหม่ เติ้ลอยากจะเทียบกับเรื่องของคุณแบมว่า คุณแบมเห็นไหมว่าคุณหมวยที่เขาเสียคนรักไปทั้งที่เขายังรักกันอยู่มาก เราว่ามันทรมาณ ถ้าจะเทียบกับเคสคุณแบม มันอาจจะทรมาณมากกว่า เพราะว่าเขาคนนั้นเขาไม่ได้รักคุณแบมแล้ว เหมือนถ้าคนที่เขารักกันมาก ๆ แล้วเขาจากกันเขายังผ่านมันมาได้ ปัจจุบันนี้เขายังมีชีวิตเพื่อตัวเขาเองได้เติ้ลว่าคุณแบมก็ผ่านมันไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง อยากบอกคุณแบมว่าอยากให้กลับมารักตัวเองมาก ๆ เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นกับเรามันไม่มีใครนอกจากเราในตอนนี้กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง เข้าใจว่ามันยามาก แต่เติ้ลเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน”เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1