หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

23 พ.ค. 2025

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า...

“อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ

ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี? หัวหน้าเช็คถามทุกวันเลยว่า วันนี้มายังไง กลับยังไง

ทำไมยังไม่ช่วยเหลือตัวเองอีก ลูกพี่อายุเท่าๆหนูก็ทำได้แล้ว ตอนนี้หนูอึดอัด และ เบื่อกับคำถามเดิมๆในทุกๆวัน

ถ้าจะโกหกว่านั่งรถเมล์มา เขาก็คงจะถามซอกแซกอีก กลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแล้วตอบคำถามเขาไม่ได้

               

            “คุณส้ม (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาพี่ที่ทำงานตกใจที่คุณแม่ยังรับ-ส่งหนูไปทำงาน

                โดย “คุณส้ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้าทำงานออฟฟิศที่นึง ในแผนกที่เข้าไปทำจะมีพี่หัวหน้าหนู 1 คน ซึ่งเขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50 ปี แล้วห้องทำงานก็มีแค่หนูกับพี่เขาในห้องแค่ 2 คน เรื่องเกิดตั้งแต่วันแรกที่หนูเข้าไปทำงานเลย พี่เขาก็เข้ามาคุยด้วยว่า บ้านหนูอยู่แถวไหน แล้วมาทำงานยังไง หนูก็ตอบเขาไปว่า อ่อ คุณแม่หนูมาส่งค่ะ แล้วคุณแม่ก็จะมารอรับ เพราะปกติที่บ้านจะค่อนข้างหวง จะชอบไปรับ-ส่งตลอด แต่พอหนูตอบไปแบบนั้น พี่เขาก็ตกใจและถามหนูว่า เราอายุเท่าไรนะ? ทำไมยังให้แม่ไปรับ-ส่ง แล้วเขาก็บ่นหนูว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราโตแล้ว เราต้องหัดเดินทางเองบ้างนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยตอบ ค่ะๆ แล้วก็ยิ้มตอบไป พอช่วงบ่ายของวันนั้น พี่เขาก็ส่งรูปสายรถเมล์มาให้หนูดูว่า รถเมล์สายนี้มันผ่านแถวบ้านหนู แล้วมันมาถึงออฟฟิศได้เลยนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยเออ ออตามเขาไปว่า จริงหรอคะ? หนูก็คิดในใจว่าหนูก็คงไม่ได้ขึ้นรถเมล์อยู่แล้ว เพราะหนูไม่เคยขึ้นรถเมล์เลย

                ตอนนี้หนูทำงานมาได้เดือนกว่าๆแล้ว แต่พี่เขาจะถามหนูแทบทุกเช้าเลยว่า วันนี้มาทำงานยังไงลูก? หรือ วันนี้ลองขึ้นรถเมล์หรือยัง? จริงๆเขาแนะนำวิธีการเดินทางอื่นด้วย ทั้งขึ้นรถ ลงเรือ แล้วทุกเช้าหนูก็จะตอบเขาเหมือนเดิมว่า วันนี้แม่มาส่งค่ะ บางวันเขาก็จะรับฟังเฉยๆ แต่บางวันเขาก็บ่นเราเลยว่า ทำไมไม่ลองเดินทางเอง ทำไมไม่ลองขึ้นรถเมล์ ลองดูมั้ยพรุ่งนี้ เขาชวนหนูคุยทั้งวันเลย เวลาหนูนั่งทำงานอยู่ เขาจะชอบเดินมาถามว่า เป็นยังไงบ้าง เย็นนี้กลับยังไง พรุ่งนี้กินข้าวอะไร เพราะแม่หนูจะทำข้าวกล่องมาให้ด้วยทุกวัน เขาจะชอบมาดูข้าวกล่องหนูว่าวันนี้แม่ทำอะไรมาให้กิน

                เขาบอกว่าลูกเขาอายุเท่าๆกับหนู หนูก็เคยตอบเขาไปแล้วว่า คุณแม่หนูเขาชอบมารับ-ส่งจริงๆ หนูไม่สามารถเดินทางแบบอื่นได้ ยกเว้นบางวันที่รีบมากๆ คุณแม่ก็จะให้ขึ้น BTS บ้าง เขาก็รู้แล้วว่าที่บ้านหนูมารับ-ส่งได้ หนูไม่ได้บังคับแม่ แต่เขาก็ยังถามหนูอยู่ทุกเช้า ที่หนูโทรมาวันนี้ คือ หนูไม่ได้อยากเปลี่ยนคำถามเขา แต่อยากเปลี่ยนคำตอบของตัวเองมากกว่า หนูไม่อยากโกหกเขาด้วย บางทีก็อยากจะตอบปัดๆไปว่า อ่อวันนี้เดินทางเอง แต่ด้วยความพี่เขาน่าจะถามต่ออีกเยอะ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรจะตอบยังไงดีให้เขาเลิกถามเรื่องนี้กับหนูไปเลย?’

                ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ลองบอกหัวหน้าไปว่า คุณแม่มีปมกับการขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถเมล์ของคุณแม่คือไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่อนุญาตให้ส้มทำ ส้มเคยอยากลองแล้วแต่ส้มทำไม่ได้จริงๆ’

                ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อาจจะต้องใช้วิธีอ้างคุณแม่ไปเลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่แม่เขาชอบที่สุด ได้คุยกัน ได้ส่งลูก เขาว่างแล้วเขาก็อยากดูแลลูก เคยบอกว่าจะขึ้นรถเมล์แล้ว แม่เขาร้องไห้เลย พี่ไม่ต้องถามหนูแล้วนะ หนูจะร้องไห้เลย หรือบอกไปว่า หนูเคยบอกให้แม่ไม่มาส่งแล้ว แต่มันเป็นอย่างเดียวที่แม่อยากทำเพื่อลูกอยู่’

                และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่ามันก็อาจจะเป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใยอย่างนึง ถ้าหนูมองเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ดีที่หัวหน้าพูดคุยกับลูกน้อง เพราะถ้าเขาไม่คุยเลย แสดงว่าเราถูกเขม่นอยู่นะ พี่ไม่อยากให้หนูรู้สึกถึงขั้นว่า หนูรู้สึกไปหมดกับสิ่งที่เขาถาม หรือเราอาจจะชิงถามเขาไปก่อนว่า พี่กินข้าวหรือยัง หรืออาจจะคุยเรื่องงานไปเลยก็ได้ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรามากกว่า เพราะไม่งั้นหนูเองที่ดันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาถาม ทั้งที่มันอาจจะเป็นการชวนคุยเฉยๆ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูคิดมาก หรือ สังคมเพื่อนแฟนที่แปลกกันแน่? แฟนหนูคบหนูอยู่แล้ว เพื่อนเขาก็รู้ แต่จะมีเพื่อนแฟนที่เป็นผู้ชาย 2 คน ชอบชงผู้หญิงคนอื่นๆให้แฟนเราตลอด เราไม่ชอบเลย ถ้าเจอเพื่อนแฟนประเภทนี้ จัดการยังไงกันคะ?

14 ก.พ. 2025

หนูคิดมาก หรือ สังคมเพื่อนแฟนที่แปลกกันแน่? แฟนหนูคบหนูอยู่แล้ว เพื่อนเขาก็รู้ แต่จะมีเพื่อนแฟนที่เป็นผู้ชาย 2 คน ชอบชงผู้หญิงคนอื่นๆให้แฟนเราตลอด เราไม่ชอบเลย ถ้าเจอเพื่อนแฟนประเภทนี้ จัดการยังไงกันคะ?

“คุณหนู (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [12 ก.พ. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาเป็นตัวหนูที่แปลกหรือสังคมแฟนหนูที่ไม่ดี โดย “คุณหนู (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘หนูกับแฟนคบกันมาเข้าปีที่ 5 แต่อยู่คนละจังหวัดกัน แฟนหนูอายุ 23 ปี เมื่อปีที่แล้วเป็นช่วงที่หนูกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย และแฟนก็เริ่มไปทำงานเสริมเพื่อหารายได้ ทำให้เริ่มคุยกันน้อยลง ช่วงนั้นเริ่มมีผู้หญิงอื่นเข้ามาจีบแฟน แล้วตัวเพื่อนแฟนก็ชอบชงให้ ทั้งที่รู้ว่าแฟนคบกับหนูอยู่ เวลามีผู้หญิงอื่นเข้ามาก็จะช่วยชง แล้วผู้หญิงที่เข้ามาก็รู้จักกับเพื่อนแฟนด้วย เขามาขอให้เพื่อนแฟนช่วยนัดแฟนเราออกมากินเหล้า อ้างว่าเป็นงานของมหาลัย เป็นแบบนักศึกษามารวมตัวกัน แฟนเราก็เข้าใจแบบนั้น แต่พอไปถึงจริง ๆ สรุปคือได้ไปกินห้องผู้หญิงคนนั้น แล้วเพื่อนก็ชงให้ทำความรู้จักกัน และเวลาเจอหรือเดินผ่านที่มหาลัย เพื่อนคนนี้ก็จะชอบแซว แต่พอผ่านไปสักพักแฟนหนูเริ่มชัดเจนขึ้นว่าไม่สนใจ ผู้หญิงก็ห่างออกไปเอง ผ่านมาได้สักพักก็มีผู้หญิงเข้ามาอีก ผู้หญิงคนนี้เป็นรุ่นพี่ของเอ (นามสมมติ) เอคนนี้เป็นเหมือนหัวหน้านักศึกษา ซึ่งเอเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนี้ และก็รู้จักกับแฟนหนู แล้วก็รู้จักกับเพื่อนของแฟนหนูด้วย พอเอรู้ว่าเพื่อนของเขาสนใจแฟนหนู เอเลยพยายามติดต่อชวนให้แฟนของหนูมาเที่ยว มาเจอทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าแฟนมีหนูอยู่แล้ว และแฟนหนูก็ไม่รู้จริง ๆ ว่ามีผู้หญิงอยากจีบตัวเอง ก็เลยไปตามที่เขาชวน หลังจากกินเหล้ากัน ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนอยากทำความรู้จัก พยายามที่จะเข้าหา เขาก็ถามแฟนหนูว่ามีแฟนไหม? ซึ่งแฟนหนูก็ตอบไปว่ามีแฟนแล้ว แต่เหมือนผู้หญิงคนนี้ก็ยังจะเอา ยังจะคุย พอผ่านไปสามวัน แฟนหนูก็บอกว่าขอไม่ยุ่งแล้วได้ไหม ไม่อยากทำให้ใครไม่สบายใจ พอจบกันไป ผู้หญิงคนนี้ก็เอาแฟนหนูเข้าไปใน Close friend ของ IG และโพสต์เศร้า ๆ ว่าอยากให้กลับมาคุยกัน แฟนหนูก็ไม่ได้สนใจ เรื่องก็จบไป แล้วเขาก็มาเล่าให้หนูฟังทีหลัง หนูก็รู้สึกไม่โอเคก็เลยทักไปหาเพื่อนแฟนว่า ‘ทำไมถึงไม่ให้เกียรติกันเลย ไม่มีใครเขาโอเคหรอกที่ทำแบบนี้’ เขาก็ตอบกลับมาว่า ‘ไร้สาระ ปัญญาอ่อน’ หนูก็แบบโอเค งั้นก็จบ ไม่คุย หลังจากนั้นก็มีการทักไปคุยกับฝั่งผู้หญิงด้วยว่า ‘ทำไมถึงทำแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขามีแฟนนะ’ ทางผู้หญิงก็อธิบายและขอโทษว่าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ และถามกลับมาว่าแล้วหนูไปรู้ได้ไงทั้ง ๆ ที่ลบแชทไปหมดแล้ว เพื่อนแฟนไปบอกเหรอ หนูก็บอกไปว่าขอโทษนะ บอกไม่ได้จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่พอใจเลยด่าหนูกลับมา หนูก็นอยตัวเองไปเลย หรือว่าเป็นตัวหนูที่แปลก เพราะเพื่อน ๆ แฟนทุกคนว่าหนูกันหมดเลยว่า หนูไร้สาระ ทำไมไม่ไปจัดการตัวเอง หลังจากนั้นเพื่อนแฟนก็ยังโทรมาชวนไปกินเหล้าอีก ทางแฟนก็ปัดไปว่าไม่อยากทำให้แฟนไม่สบายใจ เพื่อนก็พิมพ์กลับมาว่า ‘ถ้ามีแฟนแล้วชีวิตมึงแย่ ไม่ต้องมีก็ได้นะ’ หนูเลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ดีเจว่า เป็นตัวหนูที่แปลกหรือสังคมของแฟนหนูแปลกกันแน่? โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามว่าหนูผิดปกติไหม พี่ว่าไม่ มันก็ควรจะรู้สึกอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบว่าหนูผิดปกติหรือสังคมเขาที่ผิดปกติ พี่ว่าทุกอย่างมันปกติหมดเลย แต่ตัวแปรสำคัญคือแฟนหนูมากกว่า ในมุมมองพี่ การที่เราจะมีเพื่อนแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ ส่วนการที่หนูรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นเรื่องที่ปกติ แต่พี่ว่าแฟนหนูควรทำอะไรมากกว่านี้ แต่ที่รู้สึกไม่ปกติคือแฟนหนูมากกว่า หลงกลออกไปหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง หนูก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะมันเป็นการเล่าผ่านปากของเขาเท่านั้น ถ้าเพื่อนเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ไม่โอเค พี่ว่าพี่ก็จะยอมแฟนก่อนนะ พี่ไม่ได้จะแต่งงานกับเพื่อนในความหมายของพี่ เพราะฉะนั้นพี่รู้สึกว่าแฟนหนูต้องทำอะไรสักอย่างให้หนูรู้สึกสบายใจมากกว่านี้’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ยืนยันว่าฝั่งของหนูปกติ ใครก็ต้องรู้สึกแบบนี้ เมื่อรู้ว่าเพื่อนแฟนทำแบบนี้ ส่วนฝั่งเพื่อนแฟน พี่ว่าเขาทำเรื่องไม่ปกติจนเป็นเรื่องปกติ พี่ว่าหนูไม่ต้องไปจัดการอะไร แต่ต้องเป็นแฟนหนูที่เป็นคนจัดการหรือทำอะไรบางอย่าง แต่ก็เข้าใจว่าหนูอายุ 19 หนูก็ค่อนข้างเด็กอยู่ แต่พี่ไม่อยากให้หนูโทรหาเพื่อนเขาหรือส่งข้อความไปเคลียร์ เพราะว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ เรื่องนี้มันอยู่ที่คนของเราก็คือแฟนของหนู ถ้าพี่เป็นหนู พี่คงถามแฟนว่าทำไมยังคบเพื่อนแบบนี้อยู่’ และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คนเรามีสิทธิ์ในการหวงแฟน แต่พี่ว่าวิธีการของหนูต่างหากที่พี่รู้สึกว่ามันไม่ปกติ เป็นพี่จะขอบคุณเพื่อนสองคนนั้น เพราะมันจะเป็นโจทย์ให้พี่รู้ว่าแฟนของพี่เป็นคนยังไง อาจจะด้วยวัยของน้องที่รู้สึกว่าถ้าเลือกฉัน เธอต้องไม่เลือกเพื่อนสิ แต่พี่จะรู้สึกว่าหนูเสียเวลาจะตายที่ต้องไปแชทหาเพื่อนเขา ไปแชทหาผู้หญิงคนนั้น ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อนของเราเป็นโจทย์ เราจะเห็นทันทีว่าแฟนของเราเป็นคนที่หนักแน่นขนาดไหน ไม่ใช่คนนั้นลากไปทีก็ไป คนนี้ลากไปทีก็ไป เขาจะต้องดูแลหัวใจของแฟนก่อน ถึงจะมีกี่คนมาชงมันจะไม่มีทางมาสั่นคลอนหัวใจเขาได้ แต่ตอนนี้เราเองรู้สึกว่าเดี๋ยวเพื่อนชวนก็จะไปตามเพื่อนอีก ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ แฟนหนูจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย การที่หนูทำแบบนี้อาจไปปิดโอกาส ที่จะทำให้เห็นอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง หลายครั้งที่เกิดอะไรขึ้นกับคนกลาง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปคุยกับคนอื่น ถ้าคนสองคนจับมือกันแน่นพอ หนูไม่ต้องกลัวมือที่สาม เพราะฉะนั้นตอนนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครลากไป แล้วเขาไปตลอด อันนั้นพี่รู้สึกว่าคนกลางหนูต้องดูดี ๆ ว่าเขารักหนูมากพอหรือเปล่า ถ้าเกิดคนคนหนึ่งรักเรา เขาจะเลือกเรา แม้ว่าจะเจอคนอื่น ๆ อีกมากมาย’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว

23 พ.ค. 2025

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว

หนูเป็นประเภท Introvert สุดๆ กว่าจะสนิทกับใคร ให้ใจกับใครนั้นต้องใช้เวลามากๆ ตอนนี้อายุ 35 แล้วมีเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียว เขาคือคนที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน 15 ปี ไว้ใจกันที่สุด แต่ล่าสุดเพื่อนคนนี้เส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตกระทันหัน หนูไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกมันเหมือนขาดอะไรไป เสียใจมากๆ และ คิดว่าอายุ 35 ขนาดนี้แล้วถ้าจะเริ่มหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จัก เริ่มสนิทกันใหม่ คงเป็นเรื่องที่ยากมากๆสำหรับหนู แต่ลึกๆก็อยากมีเพื่อนสนิทในชีวิตบ้างหรือจะไม่ต้องมีเพื่อน เอาเวลาอยู่กับลูก กับ สามีก็พอ ทุกคนมีความเห็นยังไงกันคะ ?? “คุณแคท (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาการจากไปอย่างกระทันหันของเพื่อนสนิทที่คบกันมา 15 ปี โดย “คุณแคท (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘แคทค่อนข้างเป็น introvert มาก ๆ ถ้าไม่ใช่คนสนิทก็จะไม่พูดเรื่องส่วนตัวเลย และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเลยนอกจากการทำงาน แล้วเพื่อนสนิทของแคทเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไป เขาเป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของเรา วันนี้ที่เขาเสียไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าส่วนหนึ่งของเรามันหายไปด้วย แต่แคทก็มีครอบครัวแล้ว มีทั้งสามีและลูก แต่มันก็จะมีบาง topic ที่เราอยากคุยกับเพื่อน แต่ถ้าวันนี้ต้องโทรหาใครสักคน ไม่ก็มีใครให้โทรหาหรือทักไปคุยได้ในบางเรื่องเลย ก่อนหน้านี้แคทเคยมีเพื่อน แต่เคยโดนหักหลังมา มันเลยทำให้เราไม่อยากคบใครเป็นเพื่อน ถ้าไม่ไว้ใจเขาจริง ๆ พอมีคนมาถามว่าวันหยุดแคททำอะไร แคทก็จะตอบไปว่า อยู่บ้านกับลูก แล้วมักจะโดนถามว่า ไม่มีเพื่อนเลยหรอ? แคทเลยรู้สึกสตั๊นไปเหมือนกัน ใจนึงเราก็คิดว่าเราควรมีเพื่อนใหม่มั้ย? หรือจริงๆแล้วถ้าไม่มีก็อยู่กับตัวเอง กับสามี กับลูกหรืออยู่กับงาน มันอาจจะเหงาๆหน่อย แต่มันจะมีบางกิจกรรมในชีวิตที่มันหายไป อย่างการไปสปา เม้าท์มอยดารา ช้อปปิ้ง มันก็ไม่มีใครที่ไปกับเรา แคทรู้จักกับเพื่อนคนนี้จากที่ทำงานที่แรก เป็นเพื่อนที่สนิทและคลิกกันที่สุด แต่กับเพื่อนในที่ทำงานคนอื่นเราวางเขาไว้แค่เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่กับเพื่อนสนิทคนนี้เราเคยไปทำงานต่างประเทศด้วยกันเลยมีช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แคทเลยอยากถามพี่ๆดีเจว่า ในวัย 35 ปีการมีเพื่อนยังจำเป็นมั้ย? ถ้าไม่มีจะเป็นอะไรมั้ย? แล้วเราควรจะจัดการกับตัวเอง จัดการความรู้สึกยังไงต่อเมื่อไม่มีเพื่อนรักคนนี้แล้ว?’ ซึ่ง “ดีเจอ้อย” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าการเป็นเพื่อนกันมันไม่ใช่การรับสมัครงาน บางทีการที่เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเรา มันอาจจะมีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน และเราก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาที่จะให้เขาเป็นเพื่อนสนิทเราตั้งแต่แรก ถ้าถามว่าจำเป็นอยู่มั้ยที่ต้องมีเพื่อน ต้องถามตัวเองว่าอยากมีเพื่อนมั้ย และถ้าไม่มีเพื่อน มันก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาหา จนกว่าจะได้เจอใครสักคนที่ คนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กันหรือคนที่คุยด้วยแล้วสนุก ไม่ได้มีคำตอบว่า “ต้องหรือไม่ต้อง” อาจจะเจอเพื่อนที่ไม่ได้สนิทเท่าเดิมเพราะมันต้องใช้เวลา แต่ก็ยังสามารถแชร์เรื่องราวในชีวิตด้วยกัน ให้ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาหาจนเกินไปมันจะมีโอกาสทำให้เราผิดหวังมากขึ้น เพราะเราคาดหวัง’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามพี่ว่าเพื่อนจำเป็นต้องมีมั้ย พี่จะตอบว่ามันไม่จำเป็นต้องมี ถ้าวันนี้แคทอยู่กับตัวเองแล้วมันมีความสุขได้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ การมีเพื่อนเลยน่าจะดีกว่าอยู่แล้ว แต่จะทำยังไงให้มีเพื่อน การจะมีเพื่อนด้วยความตั้งใจที่อยากให้มี มันมักจะไม่ค่อยได้หรอก มันจะต้องปล่อยให้จังหวะชีวิตพาไปเจอคนๆนั้นเหมือนเพื่อนสนิทคนนี้ และการที่แคทจะเจอคน ๆ นี้ได้อีกครั้ง คือ แคทต้องเปิดใจว่า มันยังมีเพื่อนดี ๆ อีกตั้งเยอะ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่เคยหักหลังแคท’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผู้หญิงกับผู้ชายจะมีวิธีการคุย หรือ การปฏิบัติกับเพื่อนสนิทต่างกัน เมื่ออายุผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อนที่เราใช้คำว่าสนิท มันจะถูกชีวิตพัดพาให้ห่างหายไป กลายเป็นว่าคนที่เราคุยด้วยบ่อย ๆ คือคนใหม่ ๆ ที่เราได้รู้จัก ถ้าในวันนี้เพื่อนที่เราสนิทที่สุดไม่อยู่ คนต่อไปที่เราจะรู้จักเป็นไปได้มั้ยที่เขาจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นแค่เพื่อนที่พูดคุยในเรื่องนั้น มันอาจจะช่วยลดความคาดหวังลงได้’ และสุดท้ายดีเจทั้ง 3 คนได้ให้ความคิดเห็นตรงกันว่า ‘ให้คุณแคทปล่อยทุกอย่างไปอย่างธรรมชาติ อย่าปิดกั้นตัวเองจากคนใหม่ ๆ คุณแคทจะมีความสุขและอาจจะเจอเพื่อนคนใหม่ที่ตามหาก็ได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ลูกชายกับหลานขอออกไปเล่นน้ำแถวๆบ้าน เราบอกเขาว่าเย็นๆแม่พาไปนะ ผ่านไปแปปเดียวมีคนตะโกน “เด็กจมน้ำๆ” ไปถึงเห็นหลานดิ้นอยู่ กระโดดลงไปช่วย สุดท้ายช่วยลูกไว้ไม่ทัน ผ่านมาหลายเดือน เราดิ่งมาก ทุกครั้งที่เรามีความสุข หัวเราะ

02 พ.ค. 2025

ลูกชายกับหลานขอออกไปเล่นน้ำแถวๆบ้าน เราบอกเขาว่าเย็นๆแม่พาไปนะ ผ่านไปแปปเดียวมีคนตะโกน “เด็กจมน้ำๆ” ไปถึงเห็นหลานดิ้นอยู่ กระโดดลงไปช่วย สุดท้ายช่วยลูกไว้ไม่ทัน ผ่านมาหลายเดือน เราดิ่งมาก ทุกครั้งที่เรามีความสุข หัวเราะ

ลูกชายกับหลานขอออกไปเล่นน้ำแถวๆบ้าน เราบอกเขาว่าเย็นๆแม่พาไปนะ ผ่านไปแปปเดียวมีคนตะโกน“เด็กจมน้ำๆ” ไปถึงเห็นหลานดิ้นอยู่ กระโดดลงไปช่วย สุดท้ายช่วยลูกไว้ไม่ทัน ผ่านมาหลายเดือนเราดิ่งมาก ทุกครั้งที่เรามีความสุข หัวเราะ เราก็จะบอกตัวเองว่า ลูกเพิ่งตาย ทำไมถึงกล้าหัวเราะ? “คุณแอน (นามสมมติ)” อายุ 34 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [30 เม.ย. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาการสูญเสียคนในครอบครัว โดย “คุณแอน (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีแพลนจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เรามีลูกอยู่ 3 คน คนกลางเป็นผู้ชาย ส่วน 2 คนที่เหลือเป็นผู้หญิง ก็กลับต่างจังหวัดกันแค่ 2 คน คือคนกลางกับคนเล็ก และมีน้ากับหลานชายอีกคนหนึ่ง กลับเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ไปถึงต่างจังหวัดประมาณวันที่ 28 ธันวาคม ตอนเช้า ลูกคนกลางกับหลานก็เตรียมเบ็ดไปด้วยเพื่อจะไปตกปลากัน เราก็บอกว่า “อย่าเพิ่งไปตกปลานะ น้ำมันลึก เดี๋ยวแม่จะพาไปตอนเย็น” แต่พวกเขาก็พากันไป เราก็ไม่ว่าอะไรเพราะว่าไปแค่ใกล้ ๆ ทีนี้ยายก็ไปตามกลับมารอบนึงแล้ว แล้วทีนี้พวกเขาก็จะไปเล่นกันฝั่งบ้านญาติ ซึ่งยายจะพาไป เราเลยบอกว่า “งั้นแม่ขอนอนก่อนแป๊บนึงนะ” ลูกก็ไปกัน เราก็นอนอยู่บนบ้านกับน้า นอนไม่ถึง 20 นาทีก็ได้ยินเสียงมีคนตะโกนบอกว่า “เด็กจมน้ำ! เด็กจมน้ำ!” เราได้ยินแค่นั้นก็รีบลงบ้านมา แล้วในใจเราก็คิดว่า “อย่าเป็นลูกกับหลานเรานะ” พอเราไปถึง เราก็เห็นหลานลอยอยู่ แต่ตอนนั้นเราไม่เห็นลูกเรา เราเห็นแต่หลาน ในใจเราก็คิดว่าลูกเราอาจจะไม่ได้อยู่ในน้ำก็ได้ ทีนี้เราก็กระโดดลงไป เราเห็นหลานยังดิ้นอยู่เลย เราก็เลยบอกให้น้ารีบไปคว้าเขามา แล้วเราก็ถามคนที่เห็นเหตุการณ์ว่า “น้องอีกคนไปไหน?” เขาก็บอกว่าอยู่ด้วยกันตรงนั้น เราก็เลยบอกให้น้าลงไปหน่อย พอดึงน้องขึ้นมา แม่ก็ผายปอด แล้วก็จะมีเศษอาหาร เพราะเขาเพิ่งกินข้าวไป ก็เลยควักเศษอาหาร แล้วปั๊มหัวใจ และตรงท้องเขาก็ป่องเพราะน้ำเข้าไป เลยพยายามปั๊มไล่น้ำออกให้หมด แต่น้องไม่รู้สึกตัวเลย น้องไม่มีชีพจร เราก็พยายามจนรถพยาบาลมา เขาก็มาช่วย แล้วเขาก็ฉีดยาเหมือนยากระตุ้นหัวใจ แล้วก็ไปรอที่โรงพยาบาล หมอเขาก็บอกว่า ถ้าหากว่าน้องไม่ได้กินข้าวไปหรือมีเศษอาหารอุดตัน น้องอาจจะรอด เพราะน้องยังจมได้ไม่นาน ทีนี้เราก็ดำเนินทุกอย่าง ทำพิธีตัดสายสัมพันธ์ ทำบุญจนเสร็จ ก็ขึ้นมาชลบุรีเพื่อขายของต่อ แล้วหลังจากนั้นสองอาทิตย์แรก เราร้องไห้ตลอด เพราะเราคิดถึงเขา พอหลังจากนั้นเราก็เริ่มพูดคุยกับคนมากขึ้น เริ่มหัวเราะได้ แต่มันก็จะมีเสียงที่ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองหรือเปล่าว่า “หัวเราะทำไมอ่ะ ลูกตายนะ หัวเราะได้ยังไง” เป็นเสียงแบบนี้มาตลอด เราก็คิดว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า เพราะคิดถึงลูกมากเกินไป แต่ไม่เคยฝันถึงเขาเลย พอกลับบ้านมาอาบน้ำ มันก็จะมีภาพขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่า “ทำไมเราถึงช่วยเขาไม่ได้ เราต้องทำให้ดีกว่านี้ เขาอาจจะรอดก็ได้” มันก็จะมีเสียงแบบนี้อยู่ตลอด เราก็เลยคิดว่า เราเป็นอะไร? เราคิดไปเอง? หรือเราคิดมากหรือเปล่า? แต่มันจะมีภาพมาตลอดเวลาเราหลับตา เราจะเห็นรูปเราขึ้นจากน้ำ แล้วเราก็ปั๊มหัวใจ เป็นแบบนี้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยไปพบจิตแพทย์โดยตรง แต่ตอนงานวันเผาลูก จะมีหมอทางโรงพยาบาลเขามาช่วยดูแล สอบถาม เขาได้บอกว่า ถ้านอนไม่หลับ มีภาพหลอน หรือเห็นภาพซ้ำ ๆ สามารถให้ไปรับยาที่โรงพยาบาลได้ เลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ว่า อยากจะปรับ Mind set ตัวเอง ขออนุญาตให้ตัวเองมีความสุขบ้าง และขอกำลังใจจากพี่ ๆ ทุกคนด้วย ทุกวันนี้ยังโทษตัวเองอยู่ว่า ถ้าวันนั้นเราช่วยได้กว่านี้ มันอาจจะไม่เป็นแบบนี้’ เริ่มที่ “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘บางเรื่องเราไม่สามารถควบคุมได้จริง ๆ จังหวะเวลาของชีวิตด้วย ณ ตอนนั้นคุณแอนไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันไม่ได้เกิดจากการที่คุณแอนละเลย ไม่ได้สนใจ หรือทอดทิ้งเขา ซึ่งคุณแอนจะไปตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเอง มันก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะบั่นทอนตัวเองว่าตัวเองทำผิด ตัวเองไปช่วยไม่ได้ อยากให้มองว่าถ้าก่อนหน้านั้นคุณแอนดูแลเขาอย่างเต็มที่ เท่าที่แม่คนนึงดูแลลูกได้ ให้ความรัก ใส่ใจ ดูแลเขา มันก็คือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้ได้ในตอนที่เราทำได้ แต่อะไรที่มันเหนือการควบคุมของเรา เราก็ไม่สามารถไปแก้ไขมันได้จริง ๆ เมื่อชีวิตหนึ่งมันจบสิ้นไป แต่มันยังมีชีวิตที่เหลือที่ยังต้องอยู่ต่อ เพื่อตัวเอง และลูกคุณแอนอีกสองคนที่ยังเหลือ และเพื่อสามีของคุณแอนที่ยังอยู่ข้าง ๆ เพราะถ้าเรายังคงเศร้า ยังคงไม่สามารถอนุญาตให้ตัวเองหัวเราะหรือมีความสุขได้ตามที่ชีวิตมันควรจะมี มันจะทุกข์ทั้งตัวคุณแอนและคนรอบข้าง ถ้าลูกคุณแอนเขามองลงมาจากข้างบน แล้วเขาเห็นแม่ เขาคงอยากให้แม่เขามีความสุข’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อย่างแรกเลยคงแนะนำให้คุณแอนต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เขาช่วยได้จริง ๆ คุณหมอ นักจิตวิทยา นักจิตบำบัด เพราะฉะนั้นมีคุณหมอที่เรารู้สึกว่าคุยกับคนนี้แล้วเราดีขึ้น วันไหนที่เราไม่ไหว ก็รีบนัด รีบไปหา นอกนั้นแล้วคงมีแต่กำลังใจ แล้วก็คำปลอบใจให้กับคุณแอน สุดท้ายคนเราก็ต้องจากกัน จะช้าจะเร็ว จากเป็นจากตาย วันนึงเราก็ต้องบอกลากัน มันอาจจะทำให้เราเสียใจมากที่การจากลาครั้งนี้มันค่อนข้างกระทันหัน แต่ว่าใด ๆ ก็ตาม มันเกิดขึ้นไปแล้ว คนที่ยังอยู่ ยากเสมอ ถ้าเรารักใครมากสักคนนึง เราจะไม่อยากเป็นคนที่อยู่ทีหลัง มันจะเป็นการอยู่ที่ทรมานมาก ๆ เพราะฉะนั้นก็คงต้องฝากคนที่อยู่ทุกคนช่วยดูแลกัน มันทำอะไรไม่ได้ นอกจากเราต้องใช้ชีวิตต่อไป โดยที่มีอีกสองคน เขารอคุณแม่อยู่ อยากให้คุณแม่เข้มแข็งให้ไวที่สุด ผมเชื่อว่าคนรอบตัวก็ต่างให้กำลังใจ และหวังเหลือเกินว่าสักวันนึงมันจะดีขึ้น แล้วมันก็จะเหลือเป็นแค่ความทรงจำบาง ๆ ที่อาจจะแวบเข้ามาบ้าง แต่เราจะรับมือกับมันได้ในสักวันนึง’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าอยู่ใกล้ ๆ พี่จะเข้าไปกอดก่อน พี่รู้ว่าเราจิตใจกระสับกระส่ายแค่ไหน และหนักสุดคือการสูญเสียคนที่เรารัก โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกด้วย ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว คุณแอนร้องไห้ได้ ก็ร้องเถอะ ไม่เป็นไร แต่อย่าถึงขั้นไม่อนุญาตให้ตัวเองสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ การร้องไห้เป็นเรื่องปกติ ร้องไห้ไปร้องเลย ก็คนที่เรารักคนนึงจากไปอย่างกระทันหัน เป็นใครก็เสียใจ เพียงแต่แค่ว่ากลัวเหลือเกินว่า เวลาที่แอนจะสามารถประคองชีวิตแล้วเดินหน้าต่อไปได้ แอนกลับรู้สึกว่าฉันกำลังผิดอยู่ พี่อ้อยว่าเสียงดัง ๆ ที่มันก้องขึ้นมา คือเสียงจากความรู้สึกเราเอง ไม่มีใครผิดในเรื่องนี้ แต่ในโลกนี้คำว่า “อุบัติเหตุ” มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ชีวิตมันเดินหน้าไปตามสิ่งที่ควรเป็น และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้นแล้ว เวลารักษาได้ทุกแผล แค่ต้องรอให้ไหว วันนี้อยากร้องไห้ก็ออกมาเลย แต่ก็เหมือน ๆ กับที่ทุกคนพูดเหมือนกัน แอนยังเป็นหัวใจของคนในครอบครัว ซึ่งคนในครอบครัวมีทั้งสามีของคุณแอน ซึ่งเขาก็สูญเสียลูกเหมือนกันในฐานะของความเป็นพ่อ ไหนจะเด็ก ๆ อีกสองคน ซึ่งเขาก็ยังอยากได้แอนเป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเช่นเดียวกัน มากที่สุดเราต้องกอดกันแน่น ๆ ในครอบครัว วันนี้แอนยังเสียใจ วันนึงที่แอนดีขึ้น แอนเองจะเข้าใจว่า ที่สุดแล้วไม่มีคำพูดไหนประคองหัวใจแอนได้เท่ากับแอนปล่อยให้เวลามันค่อย ๆ เยียวยา และทำให้หัวใจของแม่คนนึงกลับมาเข้มแข็ง เพื่อครอบครัวต่อไป’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

07 ต.ค. 2024

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอดแบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้วแต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา พูดกับแม่ยังไงให้เขาเข้าใจหนูสักทีคะ? หนูให้เข้ามาได้แต่อย่ามาย้ายของ “คุณแจกัน (นามสมมติ)” อายุ 18 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย‘ เกี่ยวกับปัญหาทำยังไงให้คุณเเม่เลิกเข้าห้องส่วนตัวเรา เพราะรู้สึกเริ่มโตเเล้ว โดย “คุณเเจกัน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ครอบครัวหนูแยกทางกัน มีพี่น้อง 3 คน หนูเป็นคนกลาง พ่อแม่แยกทางกัน พี่สาวไปอยู่กับแฟน น้องชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนหนูอยู่กับเเม่ ตอนนี้คุณเเม่อายุ 42 ปี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา หนูขอแม่เเยกห้องนอนส่วนตัว คุณเเม่ก็โอเค ให้แยกนอนได้ บางทีคุยกันก็เหมือนเขาไม่พอใจ ผ่านไปอาทิตย์นึงคุณเเม่ก็เริ่มเข้าห้องเราโดยที่ไม่เคาะหรือบอกเราก่อน บางทีหนูไปโรงเรียนกลับมาของที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมก็หายหรือหาไม่เจอ เช่น หนูเรียนมีการบ้าน เขาจะชอบจัดเเล้วเขาจะเก็บรวมไปเลย บางทีหนูล็อคห้อง หรือติดป้ายไว้เเล้ว เคยคุยกับเเม่เเล้วด้วย เเม่ก็โอเคจะไม่เข้า เเต่พอผ่านไปแค่ 2 - 3 วันเขาก็ยังเข้าห้องเหมือนเดิม หนูไม่ได้ว่าที่เขาเข้าห้อง เเต่หนูอยากให้เขาบอกก่อนว่า จะเข้าไปเก็บของนะหรือจะเข้าไปห้องให้ บางทีหนูนอนอยู่ เขาก็จะเข้ามาโดยที่ไม่บอกเรา เข้ามาเฉย ๆ ดูเเล้วก็ออกไป บางทีหนูอาบน้ำเเต่งตัวอยู่ เขาก็เข้ามาเลย ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเขาเข้ามาในพื้นที่ของหนู ทำให้หนูเกิดอาการเหมือนหงุดหงิดตัวเอง ไม่ได้หงุดหงิดแม่ หนูก็เก็บไว้ว่าอย่าไปหงุดหงิดเขา เหมือนเราเคยนอนด้วยในห้องเดียวกัน พอหนูแยกออกมาเขาอาจจะเเบบอยากรู้รึเปล่าว่าเราแยกออกมาเเล้ว ยังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า? หนูเป็นคนทำความสะอาดทั้งบ้านเอง เหมือนเรื่องของเราก็จะไม่ให้แม่ยุ่ง ซักผ้าหรืออะไรก็ทำเองหมดเลย เพราะไม่อยากให้แม่ทำ หนูไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไง ก็เลยอยากถามพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า หนูควรต้องทำยังไงดี? โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หัวอกคนเป็นพ่อเป็นเเม่รู้เเหละว่าวันนึงลูกจะโต จะไปมีชีวิตของตัวเอง เราจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าห้องโดยพลการอีกต่อไป นี่คือที่พ่อแม่รุ่นใหม่พยายามบอกตัวในทุก ๆ วัน เเต่มันโครตยากเลย ด้วยวัยของคุณเเม่ที่เท่า ๆ พี่พี่ว่าคุยได้ มันเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีการคุยจะไม้อ่อนไม้เเข็งอันนี้เเล้วเเต่เเจกัน ถ้าเคยคุยแบบไม้อ่อนเเล้วยังเหมือนเดิม ก็ตเองขยับเป็นไม้เเข็งขึ้น เเต่ก็ไม่รู้ความคิดเขาถ้าโดนอย่างงี้พอเขาโดนเเบบนี้จะยังไง เเต่พี่ว่าถ้าเห็นลูกเริ่มจริงจังขึ้นไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำที่โตขึ้น เป็นพี่พี่ยอมเปลี่ยนนะ อย่างน้อยยังได้ก้าวเข้าไปในห้องเขาอ่ะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเเม่ฟังคลิปนี้’ ต่อมา “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษา ‘เข้าใจหมดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เเต่ก็ต้องเข้าใจความเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยวเเล้วหนูเป็นลูกที่ใกล้เขามากที่สุด เขาก็จะเเอบคิดเข้าใจไปเองว่า ยังไงลูกต้องอยู่ในอ้อมกอดของชั้นตลอดไป ชั้นจะปกป้องเขาให้เขาไม่เจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ เเละม่ความไม่ค่อยไว้ใจลูกสาวหน่อย ๆ การที่เขาได้เข้าไปในห้องของลูกสาว เหมือนเขาได้เข้าไปอยู่โลกของลูกสาวด้วย เขาเลยอยากสร้างความมั่นใจว่ายังอยู่ในสายตาชั้น ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ทำความเข้าใจด้วย เเม่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องตลอดชีวิตเราหรอก วันนึงก็ต้องจากกัน ก่อนจะถึงวันนั้นปรับวิธีคิดเราจะได้ไม่หงุดหงิดมากเกินไป ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา มันก็เป็นบทเรียนให้หนูเหมือนกัน ที่หนูต้องรักเเละปกป้องตัวเองด้วย ค่อย ๆ สร้างความมั่นใจไปเรื่อย ๆ ถ้าเเม่มั่นใจในตัวเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หายไป เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แปลว่าพูดกับเเม่ 1 ครั้งเเล้วเเม่อยู่ในโอวาทของลูกสาวตลอดไป เเต่เมื่อไหร่ที่มันมาจากความรัก ปัญหาความรักแก้ง่ายกว่าปัญหาความไม่รัก ให้สื่อสารที่เป็นทางบวกเเละลองเข้าใจความเป็นห่วงของคุณเเม่ดูบ้าง’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันต้องหาตรงกลางที่ทั้งคู่แฮปปี้ พี่ว่ามันสามารถคุยได้นะถ้ามันส่งผลกระทบการเรียนเราอ่ะหรือเรามีนัดกันกับเขามั้ย ทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันใด ๆ หนูอยู่ในห้องด้วยเเล้วเเม่ก็จัดจะได้รู้ว่าย้ายของเเล้วก็บอกหนูจะได้รู้ อย่าทำโดยที่หนูไม่อยู่อ่ะเพราะบางทีมันจะวุ่นวายต่อการหาของ ส่วนไอการเข้ามาโดยที่ไม่มีสัญญาณก่อนอ่ะ หรือมันโมบายอะไรหน้าห้องมั้ย อะไรก็ได้ให้ถ้าร่างเข้าผ่านเเล้วมันจะเกิดเสียงอะ เพื่อให้เขาเองก็ต้องมีสติด้วยนะว่าต้องเคาะก่อนต้องบอกก่อนเข้าอ่ะ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1