คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ... สาวออฟฟิศหนักใจ ไปทำงาน แต่โดนจับผิดจาก ‘ภรรยาหัวหน้า’ เพราะภรรยาไปเห็นแชท ของหัวหน้าอีกคน ถ่ายรูปเราส่งไปแซวกับสามีตัวเอง หลังจากนั้นก็หึง หวง ไม่ให้คุยไลน์ส่วนตัว จับผิดผ่านกล้องวงจรปิด

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ... สาวออฟฟิศหนักใจ ไปทำงาน แต่โดนจับผิดจาก ‘ภรรยาหัวหน้า’ เพราะภรรยาไปเห็นแชท ของหัวหน้าอีกคน ถ่ายรูปเราส่งไปแซวกับสามีตัวเอง หลังจากนั้นก็หึง หวง ไม่ให้คุยไลน์ส่วนตัว จับผิดผ่านกล้องวงจรปิด

19 ก.ย. 2023

คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ... สาวออฟฟิศหนักใจ ไปทำงาน

แต่โดนจับผิดจาก ‘ภรรยาหัวหน้า’ เพราะภรรยาไปเห็นแชท

ของหัวหน้าอีกคน ถ่ายรูปเราส่งไปแซวกับสามีตัวเอง

หลังจากนั้นก็หึง หวง ไม่ให้คุยไลน์ส่วนตัว จับผิดผ่านกล้องวงจรปิด

ทำงานด้วยลำบากมากตอนนี้ แต่ไม่อยากลาออก เพราะเงินเดือนดี

          “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” อายุ 25 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [13 ก.ย. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย เกี่ยวกับปัญหาโดนแฟนเจ้านายหึง

        โดย “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ต้องเกริ่นก่อนว่า หนูมาทำงานที่นี่ เพราะรู้จักกับเจ้านาย แต่หนูมีเจ้านาย 2 คน เป็นผู้ชายทั้งคู่ หนูขอแทนเจ้านายทั้ง 2 คนว่า คุณ A และคุณ B

        ส่วนตัวหนูรู้จักกับคุณ A มาก่อนเพราะเราเคยติดต่อเรื่องงานกัน บังเอิญช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีหนูลาออกจากที่ทำงานเก่า แล้วคุณ A ก็ติดต่อมาพอดี และรู้ว่าหนูว่างงาน แกก็เลยชวนมาทำงานด้วย เพราะแกเปิดบริษัทใหม่ ทีนี้หนูก็ได้มารู้จักกับคุณ B ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทอีกคนนึง

        ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น หนูเพิ่งมาทราบก่อนที่จะขยายออฟฟิศใหม่ประมาณ 1 อาทิตย์ คุณ B เรียกหนูไปคุย เพราะภรรยาของเขาไม่โอเคกับหนู เหมือนเขาคิดว่าหนูกับคุณ B เป็นกิ๊กกัน เรื่องมันเริ่มต้นจากรูปถ่าย 1 รูปที่คุณ B แอบถ่ายหนู เหมือนเขาส่งไปให้เพื่อนดู ส่งไปแซวกันเล่นๆ ประมาณว่า วันนี้น้องแต่งตัวน่ารักนะ แล้วเพื่อนเขาก็ตอบกลับมาว่า น่ารักก็จีบสิ...

        ด้วยความที่เพื่อนตอบกลับมาแบบนั้น คุณ B ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เหมือนภรรยาเขามาเห็นแชทนั้นที่เขาคุยกับเพื่อน แล้วจุดเริ่มต้นที่เขาไม่โอเค คือที่คุณ B มาถ่ายรูปหนู ภรรยาเขาก็ถามว่าถ่ายรูปน้องเขาทำไม? แล้วกลายเป็นพาลว่าหนูกับคุณ B เป็นกิ๊กกัน ภรรยาเขาเฝ้าดูการกระทำของหนูตลอดเลยว่า หนูคุยกับสามีเขามั้ย?

        ซึ่งภรรยาเขาไม่ได้เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศนี้ด้วย แต่เขาจะดูโทรศัพท์สามี และดูผ่านกล้องวงจรปิดผ่านโทรศัพท์คุณ B ตลอด บางทีหนูต้องออกไปทำงานข้างนอก โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าหนูออกไปไหน เจ้านายเขารู้อยู่แล้วว่าหนูไปทำอะไร แต่เขาก็มองว่าทำไมเราต้องออกไปก่อนเวลา ทำไมเราต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ก็จะมีฟีดแบคกับการกระทำของหนูตลอด ซึ่งส่วนตัวหนูมีแต่เรื่องงาน ไม่ได้คิดอะไรกับเจ้านาย 100% เลย และหนูก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย

        หลังจากที่ย้ายเข้าออฟฟิศใหม่ หนูเจอภรรยาคุณ B ครั้งแรก หนูก็ยกมือไหว้ปกติ แต่เขาไม่รับไหว้หนูแล้วมองด้วยหางตาแบบมองจิกเลย หนูก็ไม่ได้อะไร ทำงานของตัวเองปกติ แต่คุณ B ก็พยายามกันภรรยาเขาไม่ให้เข้ามายุ่งในออฟฟิศอยู่แล้ว และบ้านของคุณ B กับออฟฟิศอยู่ในระแวกเดียวกัน

        เรื่องที่หนูรับรู้มา หนูรู้มาจากคุณ A เพราะคุณ B เขาไปปรึกษาคุณ A แล้วคุณ A ก็มาเล่าให้หนูฟังว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ หนูต้องทำตัวยังไงบ้าง หนูไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่มันส่งผลกระทบ คือ มากระทบที่หนู ตัวหนูกลายเป็น แพะที่มารับเรื่องนี้ หนูทำงานเป็น Backoffice ซัพพอร์ตหลังบ้านทุกอย่าง ต้องติดต่องานโดยตรงกับเจ้านายทุกคนอยู่แล้ว

        ซึ่งในบริษัทก็มีแค่หนูคนเดียวที่ต้องทำงานตรงนั้น บางทีหนูก็ต้องติดต่องานกับคุณ B ซึ่งมันเป็นปัญหามาก หนูไม่สามารถโทรหาเขาได้ ไลน์ส่วนตัวก็ไม่ได้ บางทีเราโทรไป แกก็ไม่สามารถรับสายเราได้ มีเรื่องงาน เรื่องด่วน บางทีหนูก็คุยกับคุณ A ไม่ได้ ต้องคุยตรงกับคุณ B อย่างเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องของเขาโดยตรง มันทำให้ช่วงนั้นมันโหลด แบบโหลดมาก บางทีหนูเหนื่อยกับการทำงานอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องพวกนี้อีก

        หนูไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิดเลย แต่ทำไมมาทำให้หนูรู้สึกแบบนั้นด้วย แต่หนูชอบทำงานที่นี่ รู้สึกเจ้านายเขาแฟร์ดี และเหมือนเขาทำงานกันจริงๆ ตอนนี้เหมือนคุณ B เขาจัดการแบบเด็ดขาดไม่ได้ เหมือนเขาก็มีปัญหาหลังบ้านอยู่ หนูอยากรู้ว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกพี่ จะมีวิธีจัดการกันยังไง

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด

23 พ.ค. 2025

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัทแต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลยลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด คำหยาบใส่แบบเสียๆหายๆ วันไหนหนูลาป่วย ไม่สบายลูกค้ารายนี้ก็โทรมาต่อว่าว่าทำไมไม่ทำงาน เรื่องนี้รายงานหัวหน้าแล้วก็ยังเฉย ให้เราดูแลเขาต่อเพราะเราทำมานานแล้วตอนนี้เครียดมากๆ แต่ต้องเก็บอาการเวลาทำงานอย่างเดียว “คุณกบ (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่ 2 ของรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการรับมือกับพฤติกรรม Toxic ของลูกค้ารายใหญ่ จึงโทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” โดย “คุณกบ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูทำอาชีพ Customer Service มา 2 ปี ดูแลลูกค้ารายใหญ่ที่มีเม็ดเงินสูงของบริษัท ตอนนี้หนูรับมือกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวแล้ว ลูกค้าท่านนี้ค่อนข้างสูงอายุ จึงรับมือกับอารมณ์ได้ยาก ชอบเอาแต่ใจ รบกวนเวลา ถ้าวันไหนที่ต้องดูแลลูกค้าท่านนี้ หนูจะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย หนูมีการแจ้งหัวหน้ามาโดยตลอด แจ้งถี่มาก หนูก็บอกหัวหน้าไปว่า ลูกค้ากดดันหนู หัวหน้าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่หัวหน้าก็กดดันหนูกลับอีกที บอกว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าโอเคกับข้อเสนอ โดยที่เราไม่ได้ให้เขาทุกอย่างที่เขาอยากได้ หนูต้องรักษาลูกค้าคนนี้ไว้ สนใจแค่ยอดอย่างเดียว แล้วหัวหน้าก็ย้ำอย่างเดียวว่า ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าพอใจ! งานนี้มีแค่หนูคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับมือและดีลกับลูกค้าทุกคนก่อนกระจายงานให้กับทีม หนูก็เลยโดนหัวหน้าด่าอยู่บ่อย ๆ ตอนนี้มีลูกค้ารายใหญ่ 5 ราย แต่ท่านนี้พอรวมยอดสะสมแล้วมากกว่าท่านอื่น ๆ เลยต้องดูแลเป็นพิเศษ เหตุการณ์ที่รู้สึกไม่สมเหตุสมผลของลูกค้าคนนี้ เช่น บางอย่างเขาคิดว่ามันง่ายสำหรับเรา แต่จริง ๆ มันไม่ง่าย หนูพยายามอธิบายดี ๆ เขาก็ไม่รับฟัง แถมอุทานคำหยาบใส่หนูอีก มีครั้งหนึ่งหนูแอดมิท และเขาต้องการใช้บริการตอนนั้น เขาก็พูดใส่หนูว่า โกหกหรือเปล่าเนี่ย อายุน้อยแค่นี้ป่วยเลยหรอ หนูเลยอยากถามพี่ๆดีเจสองข้อคือ 1. หนูอยากได้คำแนะนำว่าจะรับมือกับลูกค้าอย่างไรดี? 2. มีวิธีไหนที่หนูสามารถคุยกับหัวหน้าได้บ้าง? เพราะเพิ่งเลิกงานและโดนดุมาเหมือนกัน’ ซึ่ง “ดีเจทั้งสามคน” (ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย) ได้ให้คำปรึกษาตรงกันว่า ‘คนทำอาชีพนี้ต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่อรองรับอารมณ์จากทุกฝ่าย ทั้งลูกค้าและฝั่งของเรา หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแย่ คนที่รองรับก็ต้องแย่ เพราะฉะนั้นถ้าเรารับมาก็ต้องถ่ายออก ต้องรู้วิธีกำจัดความเครียด คิดแค่เรื่องงานจริง ๆ เราคงเปลี่ยนนิสัยลูกค้าไม่ได้ แต่เราสามารถพูดคุยและต่อรองกับหัวหน้าในสิ่งที่เราพึงจะได้รับได้ เช่น ขอขึ้นเงินเดือนและได้รับค่าคอมมิชชั่นที่มากขึ้น หรือเจรจาว่า ถ้าต้องการให้เราอยู่ต่อ จะต้องส่งคนมาซัพพอร์ตในส่วนนี้เพิ่ม เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่สูงของเราแล้ว มีสิทธิ์ที่จะต่อรองได้สูงมาก เพราะถ้าบริษัทขาดเราไป บริษัทก็เสียหายมากเช่นกัน’ ปิดท้ายด้วย “ดีเจอ้อย” บอกว่า ‘ถ้าสุดท้ายแล้ว ยังเหลือเราที่ต้องทำงานคนเดียวก็พอเลย เราต้องโอบกอดตัวเองบ้าง การทำงานทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าเราทำไม่ได้ก็ยังหาคนมาทำแทน แต่การที่เราเสียสุขภาพจิตทุกวัน ถ้าวันหนึ่งหนูป่วยไป ครอบครัวจะเอาใครมาแทน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

23 ก.พ. 2024

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

​บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้ายสุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไปพอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนูพี่ชายหนูจ่ายค่าครีมให้แล้ว พ่อบอกไม่อยากให้ทะเลาะกัน ทำไงดีคะ? “คุณอาย(นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (21 ก.พ. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเติ้ล - ดีเจเผือก - ดีเจอ้อย นภาพร’ กับปัญหาของหาย แต่คนที่ขโมยคือแฟนของพี่ชาย... โดย ​“คุณอาย(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ที่บ้านหนูมีกันอยู่ 4 คน มีพ่อ พี่ชาย หนู แล้วก็น้องชาย และพี่ชายก็ชอบพาแฟนมาอยู่ที่บ้านทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนหน้านั้นก็ปกติไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง จนวันหนึ่งพ่อกับน้องรู้สึกว่ามันเริ่มมีของหาย และหายไปทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ของมีค่าต่าง ๆ ทีนี้พ่อกับน้องก็เลยแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน โดยที่หนูเองก็ยังไม่รู้ หลังจากติดกล้องก็เจอขโมย คือ แฟนของพี่ชายแอบมารื้อของในบ้าน แล้วก็แอบเข้าห้องของอาย วันนั้นอายกลับจากทำงาน ซึ่งกำลังจะล็อกห้อง พ่อก็บอกว่า ห้ามเก็บเงินสดหรือของมีค่าไว้ในห้องนอนตัวเอง และพ่อก็ไม่บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พ่อเกริ่นมาขนาดนี้หนูก็เลยรู้สึกว่า อ้าว ทำไมเราเก็บของไว้ในห้องนอนตัวเองไม่ได้ หนูก็สงสัยเลยถามพ่อว่า เกิดอะไรขึ้น? พ่อก็บอกว่า เขากับน้องแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน ก็เจอว่าแฟนของพี่ชายแอบรื้อของในห้องอาย ขโมยของไป และรื้อห้องน้องชายกับพ่อด้วย แอบย่องตอนที่ไม่มีคนอยู่บ้าน เขาก็จะเข้าห้องอายทุกอาทิตย์ อาทิตย์แรกที่แอบติดกล้องก็เจอแต่ไม่แน่ใจว่าเอาอะไรไปแต่เห็นควักใส่กระเป๋าตัวเอง ส่วนอาทิตย์ที่สองเจอว่าเอาครีมกระปุกใหญ่ของหนูไป ตั้งแต่นั้นมาหนูไม่พกเงินสด ปกติหนูก็เป็นคนไม่ได้ใส่ของมีค่าในตัวอยู่แล้ว จะมีพวกครีม พวกเซรั่มมากกว่า ตอนแรกพี่ชายยังไม่รู้ เราก็เลยคุยกัน 3 คน พ่อ น้องชาย แล้วก็อาย คุยกันว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังดี พ่อก็บอกว่า เรื่องนี้รู้เมื่อวันจันทร์ถ้าเราจะรอเขามา เราต้องรอวันเสาร์เพื่อที่จะคุยกับเขาโดยตรง จริง ๆ หนูอยากคุยกับเขาโดยตรง แต่พ่อน่าจะรู้ว่าหนูเป็นคนค่อนข้างรุนแรง พ่อก็เลยบอกว่า ให้พี่ชายเป็นคนคุยดีกว่า เพราะว่าพ่อกลัวพี่ชายจะเสียความรู้สึก แค่นี้พี่ชายก็เสียความรู้สึกมากพอแล้วที่แฟนตัวเองเป็นขโมย ก็เลยบอกพี่ชายว่าไปจัดการมา ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่จะให้พามาที่บ้านอีก แล้วเราก็เอาหลักฐานกล้องวงจรปิดให้พี่ชายไป เขาก็ไปคุยกัน... หลังจากนั้นหนูก็ถามว่า เรื่องเป็นไงบ้าง? พี่ชายบอกว่า ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ เขาบอกว่าที่เข้าห้องหนูเพราะมาเอาไม้แขวนเสื้อ แต่สถานการณ์ตอนนั้นเขาเพิ่งตากเสื้อผ้าเสร็จ หนูก็งงว่าตากเสร็จแล้วจะมาเอาอีกทำไม แล้วก็เข้าห้องเราบอกว่ามาเอาไม้แขนเสื้อ แต่จริง ๆ ไม่ได้มาเอาไม้แขวนเสื้อ ทีนี้พี่ชายก็เอาคลิปหลักฐานให้ดู สรุปเขาก็เลยยอมรับว่าเขาขโมยของอายไปจริง ๆ เขาบอกสาเหตุที่ขโมยว่า เขาไม่ได้เอาไปใช้ แต่เขาขโมยไปทิ้ง เขาบอกว่าเขาไม่ชอบหนู ทีนี้เขาก็ให้เหตุผลว่าของหนูมันหายบ่อย แต่จับขโมยไม่ได้ ด้วยความที่ของหายก็ต้องโวยวาย หนูก็เลยโวยวายว่า ของหายอีกแล้ว แต่ว่าเราจับไม่ได้สักที หนูว่าทุกคนก็ต้องเป็นต้องโวยวายเพราะของเราหาย เขาก็บอกว่า หนูชอบโวยวายเวลาของหายก็เลยเอาครีมของหนูไปทิ้งข้างบ้าน ของพ่อกับน้องที่หายมันไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าเอาไป พอเขาบอกว่าขโมยไปทิ้งตรงทุ่งหญ้าข้างบ้าน หนูกับน้องชายเลยไปรื้อตรงนั้น ก็ไม่มี... พี่ชายเลยชดใช้โดยการโอนเงินค่าครีมคืนมา หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเพราะว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ของหายแล้ว เรื่องมันก็เริ่มเงียบ พี่ชายก็ไม่พาแฟนมาที่บ้าน แต่สุดท้ายเขาก็พาเข้ามาที่บ้านอีก คือของไม่หายเพราะว่าทุกคนล็อกห้องทำทุกอย่างใหม่ แล้วกลายเป็นว่าบ้านไม่ใช่เซฟโซน เราต้องระวังตัวเองแล้ว ตอนนั้นหนูไม่ค่อยได้เจอหน้าใครเพราะหนูทำงานกลับมาคนละเวลากับที่บ้าน หนูก็เลยทักไปหาพี่ชาย หนูบอกว่า ทำไมยังพามาอีกอะ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่พาเขามา พี่ชายหนูก็บอกว่า เดี๋ยวถ้าเรียนจบอะ จะเป็นคนย้ายออกไปอยู่กับแฟนเอง จะได้ไม่ต้องพามาที่บ้านให้ทุกคนในบ้านรู้สึกไม่สบายใจ แต่ปัจจุบันพี่ชายหนูเรียนจบแล้ว แต่ก็ยังพามาอยู่ แล้วคือการที่หนูจะไล่พี่ชายออกจากบ้านมันก็ไม่ใช่ เราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าบ้านมันคือของทุกคน หนูแค่รู้สึกว่าทำไมจะต้องเจอคนนี้ในบ้านทุกอาทิตย์เลย เมื่ออาทิตย์ก่อนน้องชายเดินมาถามหนูว่า พี่อายรู้สึกว่ามีคนเข้าห้องหรือเปล่า? เพราะก่อนออกไปน้องก็ปิดไฟแล้ว แต่ทำไมไฟยังเปิด รู้สึกว่าของในห้องมันย้ายที่ หนูก็ไม่อยากให้น้องคิดมากเลยบอกว่า อาจจะลืมปิดไฟเองหรือเปล่า มันเป็นเรื่องปกติที่เราลืม ต่อไปก็ห้ามลืมล็อกห้อง หนูก็เลยพูดแทนน้องชายไปวันนั้นว่า ไหนบอกว่าถ้าเรียนจบถ้าไม่พามาก็จะย้ายออกไปไง แบบให้คนในบ้านสบายใจ แต่พี่ชายหนูบอกว่า แล้วทำไมจะพามาไม่ได้เราเป็นแฟนกัน อันนี้ก็บ้านเราเหมือนกัน หนูเข้าใจว่ามันเป็นห้องใครห้องมัน แต่สุดท้ายของส่วนรวม ห้องโถงมันก็คือห้องของทุกคน เราก็ไม่สบายใจ ทีนี้พ่อได้ยินหนู 2 คนเริ่มทะเลาะกัน พ่อก็เลยออกมาคุยด้วย กลายเป็นว่าพ่อว่าหนู ทำไมหนูถึงยังรื้อฟื้นเรื่องเดิม ๆ ออกมา ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันจบไปแล้ว คือพ่อไม่อยากมีเรื่อง หนูบอกว่า แต่หนูเป็นคนโดนกระทำ โดนขโมยของ โดนขโมยนู่นขโมยนี่ไป แล้วทำไมเรายังจะต้องเห็นหน้าคนนี้อยู่ในบ้าน แค่ไม่เอาเขามาให้ทุกคนสบายใจ นั่นคือปัญหามันจบหรือเปล่า แต่ทำไมพ่อต้องโมโหมาก ตะโกนด่าอายว่า เป็นตัวสร้างปัญหาที่เอาเรื่องเก่ามาพูดทั้งที่เรื่องมันจบไปแล้ว หนูก็เลยแบบ อ้าว แล้วคือเราต้องรอให้ของหายอีกรอบหรือโดนยกเค้าใช่ไหม เราถึงจะจัดการปัญหาได้ หนูเลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ว่า หนูจะจัดการหรือไปทางไหนดี หนูจะทำยังไงที่จะสามารถคุยกับพ่อให้เปลี่ยนความคิดได้ว่าเราไม่ควรให้เขาเข้ามาที่บ้าน’ โดย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ประเด็นคือพี่ชายเราเขารัก เขาหลงมาก แล้วเขาก็ไม่ถือสาหาความ ตั้งแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ ๆ เขาก็เป็นคนโอนเงินมาให้ แล้วก็เหมือนทำให้ทุกอย่างปกติ นั่นแปลว่าเขายอมรับในความนิสัยขโมยของแฟนเขาได้ ตอนแรกพี่ก็ตั้งคำถามของตัวเองว่า ถ้าแฟนเราขโมยของคนในบ้านจะเลิกไหม? นี่คือคนที่เราจะเลือกเป็นคู่ชีวิตของเราในระยะยาวหรอ? แล้วมันไม่ใช่ขโมยของกินในตู้เย็นที่เคลียร์กันง่าย ๆ อันนี้คือขโมยไปทั่วด้วยซ้ำ ที่มันเป็นหลักฐานอาจจะของอายคนเดียว แต่ว่ามันมีของที่หายไปโดยที่หาคำตอบไม่ได้ และหายไปเฉพาะเสาร์-อาทิตย์อีก มันค่อนข้างที่จะชัดเจน ถ้าพี่เป็นพี่ชายอาย พี่คงตั้งคำถามตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าพี่ชายเขาก็ก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วยความรัก พี่มองว่าต่อให้อายสามารถกันเขาออกไปจากบ้านได้ แต่การที่ไม่เจอกันทั้งชีวิตก็ยาก พี่เข้าใจว่าคนโดนแล้วมันก็ฝังใจ ตอนนี้เราจะไปเปลี่ยนความคิดของพี่ชายก็คงลำบาก เขาเลือกที่จะอยู่กับคนนี้ อายเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านนี้ ณ วันนี้ถ้าไปยื่นคำขาด บอกว่าพ่อต้องไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้ได้ ตอนนี้กระแสมันจะเทมาทางอายเป็นตัวร้ายแล้ว ทุกคนพยายามทำให้ครอบครัวยังอยู่ด้วยกันได้ อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ อาจจะต้องกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าเป็นพี่ พี่ก็คงต้องดูแลตัวเอง ทำให้รู้เลยว่าเราไม่มีวันไว้ใจ แล้วระมัดระวังตัวเองให้ดี และถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้แหละเราจะมีน้ำหนักยื่นข้อเสนอครั้งสำคัญแล้วว่ามีอายไม่มีเขา มีเขาไม่มีอายหรือใดใดก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้เหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้นใหม่ คำถามที่ว่า ต้องรอให้เกิดขึ้นอีกครั้งหรอ? วันนี้พี่อาจจะต้องตอบว่า อาจจะเป็นอย่างนั้น โดยที่เราก็ยังต้องตั้งกล้องระแวดระวัง อาจจะลำบากทั้งที่เป็นบ้านของเราแท้ ๆ แต่มันเป็นบ้านของทุกคนจริง ๆ แหละ แล้วพี่เขาก็เลือกของเขาแล้ว เราเองก็อาจจะต้องวัดใจกันดู และก็ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ความไม่ชอบกันก็ยังฝังอยู่และถ้าเขามาเป็นพี่สะใภ้เรา มันก็คงยังต้องมีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่รวมญาตินั่นแหละ แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง อายมีสิทธ์เต็มที่ ที่จะยื่นคำขาด ตอนนี้ก็ระมัดระวังตัวเองละกันนะอาย อาจจะต้องอดทนกับความลำบากใจนิดนึง ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนนี้หนูกำลังไปให้คุณค่าเขาเยอะมาก นี่คือบ้านหนู เขามาแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ หนูไปให้คุณค่าเขาขนาดที่ว่า เธอทำให้ฉันไม่มีความสุขในบ้านนี้ได้ยังไง และความสุขของฉันจะกลับมาทันที ถ้าพี่ชายเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้าน พี่รู้สึกว่าในที่สุดวันนี้คนที่พี่จะโกรธ พี่ไม่ได้โกรธว่าที่พี่สะใภ้ พี่โกรธพี่ชายหนู เพราะคนอะไรมีสเปคเป็นมิจฉาชีพขนาดนั้น คือพี่ว่าดูประหลาดไป แต่คราวนี้พี่เห็นด้วยกับสิ่งหนึ่งคือ ต้องปกป้องตัวเองก่อน เป็นพี่ พี่จะอยู่ในบ้านอย่างมีความสุขก่อน ยิ่งเขาเข้ามาจะยิ่งทำให้เห็นว่า ฉันล็อคประตูนี้ อันนี้เปลี่ยนกุญแจ ถ้าเขาถามว่าทำไมต้องล็อคกุญแจขนาดนี้ อ้าว ก็กลัวของหายแล้วก็เพลิน ๆ กับการอยู่ในบ้านของเรา ทำไมเราต้องไปทำให้เขารู้สึกว่า เขาดูมีอิทธิพลต่อบ้านฉันเหลือเกิน พี่ว่าคุณพ่ออาจจะอยากได้ความสงบสุขในบ้าน ไม่มีใครหรอกอยากเอาขโมยเข้าบ้านแล้วแฮปปี้มีความสุข ถ้าน้องทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องนี้ มันจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันเรื่องผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดว่าผู้ชายมีรสนิยมชอบแนว ๆ นี้ ชอบแนวต้องลุ้นกับตำรวจไปด้วย พี่เคารพการตัดสินใจของพี่ชาย แต่เราจะปกป้องสิทธิ์และความสุขในบ้าน เพราะนี่คือบ้านฉัน พี่ว่าเขาต้องมีความผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง เพราะฉะนั้นพี่ว่าหนูต้องล็อคให้เห็นเลยว่า ตั้งแต่เธอเข้าบ้านฉัน ฉันรู้สึกว่าจะต้องปกป้องทรัพย์สมบัติของฉันให้ดีที่สุด ต้องดูกันไปสักตั้ง บางทีมันต้องมีอารยะขัดขืนกันบ้าง ตอนนี้พี่กำลังรู้สึกว่าเรากำลังโดนป่วน แล้วเราก็ดันป่วนไปตามแผนด้วย เพราะจริง ๆ นี่คือบ้านของหนู ปกป้องสิทธิ์ของเรา ไม่อยากได้อยากให้เราลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า เธอจะต้องเลิกกับผู้หญิงคนนี้ เลิกเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ อะไรมันไม่ได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก พี่ชายเรา เราก็ต้องเคารพในการเลือก แล้วอย่าไปถือโทษคุณพ่อ หนูบอกกับพ่อเลยว่า ในเมื่อพี่เขาเลือกแบบนี้ หนูไม่อยากจะไปแตะอะไร แค่หนูจะทำตามที่พ่อบอกละกันว่า หนูจะปกป้องสิทธิ์ของหนู และบ้านของหนู รวมไปถึงความสุขในบ้านหนูด้วย สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเมื่อบ้านหลังนี้ทุกคนมีสิทธิ์การเป็นเจ้าของร่วมกัน พี่ก็ไม่สามารถบอกให้อายไล่ทุกคนที่ไม่ชอบออกไปได้ เพราะว่าเขาก็มีสิทธิ์ของเขา พี่กลับมองว่าเหมือนพี่รู้สึกเห็นใจทุกคน ในแง่ที่ว่าทุกคนตกที่นั่งลำบากหมดเรื่องนี้ ทั้งหมดมันก็เกิดจากความรักนั่นแหละ แต่รักแบบไหนว่ากันอีกเรื่อง ทุกคนหวังดีต่อกันเลยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทีนี้มันจำเป็นที่อายจะต้องอยู่กับเรื่องนี้เพราะว่าหนูก็ไม่สามารถย้ายออกได้ มองอย่างงี้ละกัน นางโจรนี้ นางก็จะมาขโมยแค่เสาร์-อาทิตย์ จันทร์-ศุกร์นางไม่มา ก็ให้เป็นเสาร์-อาทิตย์ที่เตือนใจเราว่า เป็นวันที่เราต้องรัดกุม ก็ล็อกห้อง แล้วถ้าวันนั้นนางถึงขนาดงัดประตู งัดหน้าต่างแล้วเข้าบ้าน พี่ก็เรียกตำรวจ คือถ้าขนาดนั้นพ่อกับพี่ชายก็พูดอะไรไม่ได้อีกต่อไป เราก็ทำให้เห็นว่าล็อกแล้ว มันจะเอาไปไม่ได้ ถ้าเพื่อแลกให้คุณพ่อยังโอเค พี่ชายยังอยู่กันได้ อาจจะต้องยอมทำเพราะว่ามันไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้ ของมีค่าในห้องเราเก็บให้เรียบร้อยวันเสาร์-อาทิตย์ และถ้านางทำอีกพี่ก็ขอให้แจ้งตำรวจ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

12 ม.ค. 2024

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

“คุณแบม (นามสมมติ)” อายุ 42 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย กับปัญหาที่ว่าสามีที่คบกันมานานบอกเลิกเราวันสิ้นปี เราเสียใจช็อก ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล โดย “คุณแบม (นามสมมติ)” ได้เริ่มปรึกษาว่า ‘โดนสามีบอกเลิกตอนวันสิ้นปีที่ผ่านมา คบกับเขามา 4 ปี แต่งงานกันอีก 10 ปี เริ่มจากแบมระแคะระคายเขามานานแล้ว เพราะมันมีเบอร์แปลก ๆ ล็อกอินเข้าใน Facebook เขา พอไปถามเขา เขาก็ตอบมาว่า ไม่รู้ เราก็เลยเก็บเบอร์นี้ไว้ เอาไปโทร เอาไปเช็กตามระบบ มันไม่ใช่เบอร์คอลเซ็นเตอร์ เราก็ไปถามเขาอีกครั้ง ให้เขาโทรไป เขาก็ไม่ยอมโทร จนเมื่อวันที่ 31 ที่ผ่านมา เป็นวันที่แบมหยุดงานอยู่บ้าน แต่แฟนต้องออกไปทำงานในคืนนั้น ระหว่างที่เขาอาบน้ำ แบมได้ใช้แท็บเล็ตของเขากดโทรไปที่เครื่องนั้น ปรากฎว่ามันมีประวัติการโทรเข้าโทรออกที่เบอร์นั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยที่ไม่ได้เมมเบอร์ไว้ แบมก็เลยกดโทรออกไป สักพักหนึ่งก็มีคนรับสาย แบมก็เงียบก่อน ผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อยู่ไหนอะ” แบมก็เลยพูดไปว่า “เธอเป็นใคร นี่เราเป็นเมียของ…นะ” ผู้หญิงก็วางสายไป เราก็ไปเคาะประตูสามีเรียกออกมาคุยว่า คืออะไร แต่เขาก็ไม่ยอมรับ เขาก็นั่งนิ่งไปสักพักนึง แล้วก็พูดว่า “กูไม่ได้รักมึงมา 2-3 ปีแล้ว” เราก็ช็อก เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสัญญาณอะไร แบมก็ถามเขาไปว่า “เราผิดอะไร” เขาก็บอกว่า “เธอไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่เขาผิดเอง ไม่รู้จักพอเอง” แบมก็เลยบอกว่า “เลิกได้ไหม” เขาก็บอก “เลิกไม่ได้” แล้วก็บอกว่า “ขนาดกูพูดกับมึงขนาดนี้แล้ว มึงยังหน้าด้านที่จะยื้อกูไว้อีกหรอ” เขาพูดแบบนี้มา เราก็ช็อกไป เขาก็พาส่งโรงพยาบาล แล้วก็มาเฝ้าเรา 2 คืน แต่เขาก็จะพูดว่า “คือไงอะ คือกูต้องไปไหม” อย่างนี้ตลอด และในวันที่ออกก็มีจิตแพทย์มาคุยกับแบม บอกแบมว่า “คุณมีภาวะซึมเศร้าแล้วนะ เป็นมานานแล้ว” แล้วก็เรียกผู้ชายมาคุยว่า “คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำนะ ถ้าคุณจะไปจากเขา คุณต้องรับผิดชอบให้อาการเขาดีขึ้นก่อน” เขาก็บอกกับคุณหมอว่า “เขาไม่ได้เป็นคนผิด แบมเป็นคนไม่รักตัวเองเอง” อาการเราเริ่มมีตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มระแคะระคายเรื่องเขา จนเครียดสะสมมาตลอด และเราก็ไม่ได้บอกใครเลยเรื่องนี้ แม้กระทั่งพ่อ-แม่ เพราะว่ากลัวพ่อ-แม่จะเกลียดเขา หลังจากกลับจากโรงพยาบาล เขาก็บอกว่า “เขาจะอยู่ดูแล จนกว่าแบมจะดีขึ้น” แต่พออีกวัน เขาไปทำงานแล้วโทรกลับมาบอกแบมว่า “ทำไมเขาต้องอยู่ ในเมื่อเขาพูดชัดเจนแล้วว่าไม่รักแบมแล้ว เขาไม่อยู่หรอกนะ อยู่เพื่ออะไร ทำไมต้องยื้อไว้” แบมก็เลยบอกเขาว่า “งั้นก็เข้ามาเก็บของ” อีกสักพักนึงเขาก็เข้ามาเก็บของออกไป แล้วเขาก็ทิ้งเราไปเลย วันนี้แบมเลยอยากให้พี่ ๆ แนะนำให้มูฟออนให้ได้ ให้ลืมเรื่องฝันร้ายนี้ มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตแบมแล้ว’ ซึ่ง ‘ดีเจเผือก’ ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า “ทุกครั้งเราพยายามจะบอกทุกคนเสมอว่า เวลามันจะช่วยนะ ช่วงนี้ก็ประคับประคองไป ใครไหวแค่ไหน เอาให้มันสุดให้มันผ่านไปได้ เวลามันจะค่อย ๆ เยียวยา วันนี้ร้องเท่านี้ พรุ่งนี้เรื่องเดิม ๆ ที่ทำให้เราร้องไห้ ก็อาจจะไม่ร้องแล้ว แค่เรามีสติรู้ตัวว่า ณ เวลานี้ฉันเศร้าและแน่นอนว่าฉันควรต้องเศร้า ถ้า 15 ปี แล้วเขาจากไปใจร้ายแบบนี้แล้ว ฉันไม่เศร้าสิถึงแปลก อยู่ด้วยกันมาตั้ง 15 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเราเริ่มเข้มแข็งพอ คนเราก็จะต้องค่อย ๆ ลุกขึ้นได้ เดินต่อไปได้ แต่ ณ เวลานี้อาจจะต้องพักให้ร่างกายได้เยียวยาก่อน ซึ่งก็ปล่อย อยากเศร้าก็เศร้า ร้องไห้ก็ร้อง หาเพื่อนสักคนที่พร้อมจะนั่งฟังแบบ เศร้าให้หมดไป แล้วเราก็จะแข็งแรงขึ้นเอง แต่ต้องใช้เวลา คนเราใช้เวลาไม่เท่ากัน ของแบม 15 ปี อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะให้เวลามันเยียวยา ในความคิดของพี่ เป็นกำลังใจให้ อย่างน้อยก็ยังไม่มีความผูกพันด้านอื่น เขาชัดเจนมาขนาดนี้ เมื่อมันจบตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังแล้วต้องปวดหัวมากว่านี้ ทุกอย่างมองในแง่ดีถึงแม้มันอาจจะยากก็ตาม” ต่อมาที่ ‘ดีเจอ้อย’ ได้ให้คำปรึกษาว่า “พี่เห็นด้วยกับเผือกอันนึงคือ เรากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติอยู่ รักมาขนาดนี้ เขาเดินจากไปแล้วเราต้องมูฟออนให้ได้ภายในไม่กี่วัน มันเป็นเรื่องยากมาก เข้าใจว่าคนที่กำลังเสียใจมาก ๆ แล้วมาบอกว่ามันจะดีขึ้น ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก ทั้ง ๆ ที่เวลามันรักษาได้ทุกแผล แค่รอให้ไหว ในเรื่องของซึมเศร้าก็ต้องรักษากันไป ต่อมาคือที่บอกว่าไม่อยากบอกคนรอบตัวเพราะว่าไม่อยากให้ทุกคนเกลียดเขา พี่ว่าคนละเรื่อง พ่อแม่จะเกลียดหรือเปล่านั่นเป็นสิทธิของเขา พี่ไม่อยากให้น้องมีปัญหาซ้ายขวาหน้าหลัง เสียใจเรื่องสามีจากไปก็แย่แล้ว ต้องมานั่งปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอให้กับคนที่บ้านเห็นได้ โลกใบนี้มันจะเหมือนหนักและทับตัวหนูอยู่ หนูไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง คิดหรอว่าเขาจะไม่รู้ อยู่ด้วยกัน ผู้ชายเก็บของออกจากบ้านลูกสาว เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจะเกลียดหรือไม่เกลียด ไม่เกี่ยว ความจริงคือความจริง พี่ไม่อยากให้น้องคอยสร้างภาพลักษณ์ให้ใคร เพียงแต่ว่าพี่อยากให้น้องมีทีมของตัวเอง อย่างน้อยก็ยังมีสายซัพพอร์ต หัวเราะด้วยกันเสียงจะดังขึ้น เวลาร้องไห้เสียงสะอื้นจะเบาลง หนูร้องไห้เลยเต็มที่ อันนี้คือวิธีการเยียวยาธรรมชาติของมนุษย์ เสียใจก็ร้องออกมา ไม่ต้องพยายามเข็มแข็งในตอนที่ยังอ่อนแอ เดี๋ยวแผลจะใหญ่ไป แล้ววันนึงจะคิดได้ว่า ก็แค่คนไม่รักกัน ใครน่าเสียใจกว่ากัน เธอสูญเสียคนที่รักเธอไป 1 คน ฉันเสียคนที่ไม่รักฉันไป 1 คน คิดดูสิว่าใครน่าจะเห็นคุณค่ามากกว่ากัน วันนี้น้องกำลังแบกหลายอย่างมากเกินไป เขาจากไป ต้องปิดบังที่บ้าน ซึมเศร้าหนูก็เป็น มันเลยเป็นปัญหาที่หนูเห็นปัญหานั้นมันใหญ่โตเกินความจริงไปนิด พี่รู้แหละว่าการที่สามีจากไปแบบนี้ มันเป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุด มันทำให้หนูมีคำถามมากมายว่าเราผิดอะไร แต่พี่เห็นแค่ว่า คนไม่รับผิดชอบความรู้สึกของน้องคนนึง อยากจะไปก็ด่า ๆ ให้รู้สึกว่าการจากไปไม่ใช่เรื่องผิด ไม่สนใจว่าหนูจะรู้สึกอย่างไร วันนี้หนูรักเขาไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่เขารักหนูน้อยไปเลยสมารถทำให้หนูเสียใจได้ขนาดนี้เรื่อย ๆ สู้ไปทีละวัน แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่จะดีขึ้น ข้างหน้าไม่รู้ เอาวันนี้ก่อน พี่จะยกตัวอย่างเสมอว่า ไม่มีใครลืมกระเป๋าสตางค์ ในวันที่ถามตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่จะลืมกระเป๋าสตางค์ การลืมมันเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตไปทุกวันตามปกติจนชิน รู้ตัวอีกทีกระเป๋าหายไปไหน การลืมความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรอีกแล้ว เพราะคนจะไปพูดอะไรก็ได้ ถ้าตอนนี้หนูรู้สึกไม่กล้าบอกใคร หนูกอดตัวเองให้แน่น แล้วคุณพ่อคุณแม่ของหนู หนูต้องดูแลหัวใจท่านด้วย ไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน เลี้ยงลูกให้มานั่งร้องไห้เพราะผู้ชายไม่รัก รักตัวเองให้เยอะ ๆ ” สุดท้าย ‘ดีเจเติ้ล’ ให้คำปรึกษาว่า “เมื่อวานได้อ่านหนังสือ Lots Of Love เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่อยู่กับสามีมานาน ประมาณคุณแบม แล้วสามีเป็นมะเร็ง มีเวลาไม่นานสามีก็จากไป เขาเขียนเล่าว่าช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเขาผ่านมาได้อย่างไร ที่เติ้ลฟังสิ่งที่คุณแบมเล่ารู้สึกว่ามันมีความคล้ายกันอยู่ในเรื่องนี้ ตอนที่เราอ่านก็รู้สึกว่าเขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร เราก็ลุ้น เขาเขียนว่าวันที่สามีเขาเสีย หลังจากนั้นเข้าก็ร้องแบบเดี๋ยวทรุด เดี๋ยวร่วง ตื่นเช้ามาก็ร้อง เข้าห้องน้ำก็ร้อง นั่งรถไฟฟ้าไฟก็ร้อง เพราะว่านั่งรถไปทำงานกับสามีทุกวัน แต่ว่าอันนึงที่เขาเขียนแล้วเรารู้สึกว่า มันดีมากเลย คือเขาบอกว่า พอมันร้องไป ตอนแรกเขาก็กลัวเหมือนกันว่ามันจะตาย เขาจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าสามีเขาไม่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายพอเขาร้องแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เขาก็พยายามที่จะหายใจ แล้วเขาก็บอกว่า มันไม่มีใครตายจากความเสียใจอันนี้ อยากจะบอกคุณแบมเหมือนกันว่า เราเสียใจ แล้วมันก็ผ่านมาแค่ 10 วัน เราเป็นคนปกติแล้วที่รู้สึกแบบนี้กับความผูกพันธ์ที่ตัวเองมีมา เติ้ลก็อยากจะบอกกับคุณแบมว่า ร้องไปเลย เสียใจได้ไปเลย สุดท้ายถึงเวลา อย่างคุณหมวยที่อยู่ในเรื่องนี้ เขาใช้เวลาเป็น 10 ปีเลยเหมือนกัน ในการที่จะผ่านมันไปได้ แต่แล้วในหนังสือสุดท้ายที่เขามาเขียนก็คือ ทุกวันนี้เขายังรัก และยังคิดถึงแฟนเขาที่เสียไป แต่ตอนนี้เขาตายไม่ได้เพราะเขาจะไปดูคอนเสิร์ต BTS เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิตเขาอันใหม่ เติ้ลอยากจะเทียบกับเรื่องของคุณแบมว่า คุณแบมเห็นไหมว่าคุณหมวยที่เขาเสียคนรักไปทั้งที่เขายังรักกันอยู่มาก เราว่ามันทรมาณ ถ้าจะเทียบกับเคสคุณแบม มันอาจจะทรมาณมากกว่า เพราะว่าเขาคนนั้นเขาไม่ได้รักคุณแบมแล้ว เหมือนถ้าคนที่เขารักกันมาก ๆ แล้วเขาจากกันเขายังผ่านมันมาได้ ปัจจุบันนี้เขายังมีชีวิตเพื่อตัวเขาเองได้เติ้ลว่าคุณแบมก็ผ่านมันไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง อยากบอกคุณแบมว่าอยากให้กลับมารักตัวเองมาก ๆ เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นกับเรามันไม่มีใครนอกจากเราในตอนนี้กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง เข้าใจว่ามันยามาก แต่เติ้ลเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน”เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

07 ต.ค. 2024

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอดแบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้วแต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา พูดกับแม่ยังไงให้เขาเข้าใจหนูสักทีคะ? หนูให้เข้ามาได้แต่อย่ามาย้ายของ “คุณแจกัน (นามสมมติ)” อายุ 18 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย‘ เกี่ยวกับปัญหาทำยังไงให้คุณเเม่เลิกเข้าห้องส่วนตัวเรา เพราะรู้สึกเริ่มโตเเล้ว โดย “คุณเเจกัน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ครอบครัวหนูแยกทางกัน มีพี่น้อง 3 คน หนูเป็นคนกลาง พ่อแม่แยกทางกัน พี่สาวไปอยู่กับแฟน น้องชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนหนูอยู่กับเเม่ ตอนนี้คุณเเม่อายุ 42 ปี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา หนูขอแม่เเยกห้องนอนส่วนตัว คุณเเม่ก็โอเค ให้แยกนอนได้ บางทีคุยกันก็เหมือนเขาไม่พอใจ ผ่านไปอาทิตย์นึงคุณเเม่ก็เริ่มเข้าห้องเราโดยที่ไม่เคาะหรือบอกเราก่อน บางทีหนูไปโรงเรียนกลับมาของที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมก็หายหรือหาไม่เจอ เช่น หนูเรียนมีการบ้าน เขาจะชอบจัดเเล้วเขาจะเก็บรวมไปเลย บางทีหนูล็อคห้อง หรือติดป้ายไว้เเล้ว เคยคุยกับเเม่เเล้วด้วย เเม่ก็โอเคจะไม่เข้า เเต่พอผ่านไปแค่ 2 - 3 วันเขาก็ยังเข้าห้องเหมือนเดิม หนูไม่ได้ว่าที่เขาเข้าห้อง เเต่หนูอยากให้เขาบอกก่อนว่า จะเข้าไปเก็บของนะหรือจะเข้าไปห้องให้ บางทีหนูนอนอยู่ เขาก็จะเข้ามาโดยที่ไม่บอกเรา เข้ามาเฉย ๆ ดูเเล้วก็ออกไป บางทีหนูอาบน้ำเเต่งตัวอยู่ เขาก็เข้ามาเลย ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเขาเข้ามาในพื้นที่ของหนู ทำให้หนูเกิดอาการเหมือนหงุดหงิดตัวเอง ไม่ได้หงุดหงิดแม่ หนูก็เก็บไว้ว่าอย่าไปหงุดหงิดเขา เหมือนเราเคยนอนด้วยในห้องเดียวกัน พอหนูแยกออกมาเขาอาจจะเเบบอยากรู้รึเปล่าว่าเราแยกออกมาเเล้ว ยังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า? หนูเป็นคนทำความสะอาดทั้งบ้านเอง เหมือนเรื่องของเราก็จะไม่ให้แม่ยุ่ง ซักผ้าหรืออะไรก็ทำเองหมดเลย เพราะไม่อยากให้แม่ทำ หนูไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไง ก็เลยอยากถามพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า หนูควรต้องทำยังไงดี? โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หัวอกคนเป็นพ่อเป็นเเม่รู้เเหละว่าวันนึงลูกจะโต จะไปมีชีวิตของตัวเอง เราจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าห้องโดยพลการอีกต่อไป นี่คือที่พ่อแม่รุ่นใหม่พยายามบอกตัวในทุก ๆ วัน เเต่มันโครตยากเลย ด้วยวัยของคุณเเม่ที่เท่า ๆ พี่พี่ว่าคุยได้ มันเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีการคุยจะไม้อ่อนไม้เเข็งอันนี้เเล้วเเต่เเจกัน ถ้าเคยคุยแบบไม้อ่อนเเล้วยังเหมือนเดิม ก็ตเองขยับเป็นไม้เเข็งขึ้น เเต่ก็ไม่รู้ความคิดเขาถ้าโดนอย่างงี้พอเขาโดนเเบบนี้จะยังไง เเต่พี่ว่าถ้าเห็นลูกเริ่มจริงจังขึ้นไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำที่โตขึ้น เป็นพี่พี่ยอมเปลี่ยนนะ อย่างน้อยยังได้ก้าวเข้าไปในห้องเขาอ่ะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเเม่ฟังคลิปนี้’ ต่อมา “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษา ‘เข้าใจหมดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เเต่ก็ต้องเข้าใจความเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยวเเล้วหนูเป็นลูกที่ใกล้เขามากที่สุด เขาก็จะเเอบคิดเข้าใจไปเองว่า ยังไงลูกต้องอยู่ในอ้อมกอดของชั้นตลอดไป ชั้นจะปกป้องเขาให้เขาไม่เจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ เเละม่ความไม่ค่อยไว้ใจลูกสาวหน่อย ๆ การที่เขาได้เข้าไปในห้องของลูกสาว เหมือนเขาได้เข้าไปอยู่โลกของลูกสาวด้วย เขาเลยอยากสร้างความมั่นใจว่ายังอยู่ในสายตาชั้น ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ทำความเข้าใจด้วย เเม่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องตลอดชีวิตเราหรอก วันนึงก็ต้องจากกัน ก่อนจะถึงวันนั้นปรับวิธีคิดเราจะได้ไม่หงุดหงิดมากเกินไป ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา มันก็เป็นบทเรียนให้หนูเหมือนกัน ที่หนูต้องรักเเละปกป้องตัวเองด้วย ค่อย ๆ สร้างความมั่นใจไปเรื่อย ๆ ถ้าเเม่มั่นใจในตัวเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หายไป เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แปลว่าพูดกับเเม่ 1 ครั้งเเล้วเเม่อยู่ในโอวาทของลูกสาวตลอดไป เเต่เมื่อไหร่ที่มันมาจากความรัก ปัญหาความรักแก้ง่ายกว่าปัญหาความไม่รัก ให้สื่อสารที่เป็นทางบวกเเละลองเข้าใจความเป็นห่วงของคุณเเม่ดูบ้าง’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันต้องหาตรงกลางที่ทั้งคู่แฮปปี้ พี่ว่ามันสามารถคุยได้นะถ้ามันส่งผลกระทบการเรียนเราอ่ะหรือเรามีนัดกันกับเขามั้ย ทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันใด ๆ หนูอยู่ในห้องด้วยเเล้วเเม่ก็จัดจะได้รู้ว่าย้ายของเเล้วก็บอกหนูจะได้รู้ อย่าทำโดยที่หนูไม่อยู่อ่ะเพราะบางทีมันจะวุ่นวายต่อการหาของ ส่วนไอการเข้ามาโดยที่ไม่มีสัญญาณก่อนอ่ะ หรือมันโมบายอะไรหน้าห้องมั้ย อะไรก็ได้ให้ถ้าร่างเข้าผ่านเเล้วมันจะเกิดเสียงอะ เพื่อให้เขาเองก็ต้องมีสติด้วยนะว่าต้องเคาะก่อนต้องบอกก่อนเข้าอ่ะ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1