ผมไปล้ำเส้นกับคนที่มีแฟนแล้ว! ตอนนี้เราสองคนรักกันมาก แต่เขามีผู้ชายอีกคนเป็นชาวต่างชาติ เวลาแฟนเขามา ผมก็จะอยู่เงียบๆไม่ไปวุ่นวาย ผมรู้สึกว่าน้องควรจะเจอความรักดีๆ ผมแพ้ผู้ชายคนนั้นแค่เรื่องของฐานะ ผมเลยคิดว่าจะขอเวลาพัฒนาตัวเองสัก 3 ปี

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมไปล้ำเส้นกับคนที่มีแฟนแล้ว! ตอนนี้เราสองคนรักกันมาก แต่เขามีผู้ชายอีกคนเป็นชาวต่างชาติ เวลาแฟนเขามา ผมก็จะอยู่เงียบๆไม่ไปวุ่นวาย ผมรู้สึกว่าน้องควรจะเจอความรักดีๆ ผมแพ้ผู้ชายคนนั้นแค่เรื่องของฐานะ ผมเลยคิดว่าจะขอเวลาพัฒนาตัวเองสัก 3 ปี

02 พ.ค. 2025

ผมไปล้ำเส้นกับคนที่มีแฟนแล้ว! ตอนนี้เราสองคนรักกันมาก แต่เขามีผู้ชายอีกคนเป็นชาวต่างชาติ

เวลาแฟนเขามา ผมก็จะอยู่เงียบๆไม่ไปวุ่นวาย ผมรู้สึกว่าน้องควรจะเจอความรักดีๆ

ผมแพ้ผู้ชายคนนั้นแค่เรื่องของฐานะ ผมเลยคิดว่าจะขอเวลาพัฒนาตัวเองสัก 3 ปี พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมดูแลเขาได้

            “คุณกอล์ฟ (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [30 เมษายน 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจพี่อ้อย” เกี่ยวกับปัญหาการไปตกหลุมรักคนที่มีเเฟนเเล้ว

             โดย  “คุณกอล์ฟ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เราบังเอิญได้ไปมีความสัมพันธ์กับคนที่เเฟนอยู่เเล้ว ทั้งเรา ทั้งเขาก็เป็นคนที่ใช่สำหรับกันเเละกัน เเต่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถจะเลิกกับเเฟนได้ เพราะว่าเเฟนของเขาเป็นที่สามารถจะซัพพอร์ตได้ทั้งเงิน เเละหน้าที่การงานก็ดี เเต่ในตอนนี้เขาก็อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนรัก มากกว่าเเฟน ตัวของผู้ชายก็มีข้อบกพร่องหลายๆเรื่องเหมือนกัน เช่นเรื่องการนอกกาย นอกใจ น้องผู้หญิงที่ผมชอบเขาคบกับเเฟนมาประมาณปีครึ่งแล้ว เเต่กับความสัมพันธ์ของผม มันพึ่งเริ่มได้เเค่ครึ่งเดือน ผมก็เป็นพนักงานอยู่ที่ห้างเเห่งนึง เเต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้ย้ายมาทำงานอีกสาขานึง ในตอนเเรกที่เจอ ผมไม่ได้ชอบตัวของน้องเขา เเต่ชอบเพื่อนของเขาก่อน

             ตอนเเรกเพื่อนของน้องเขาอยู่ในความพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดี น้องที่ผมชอบผมขอเเทนด้วยชื่อ บี (นามสมมติ) บีก็ได้เป็นสะพานให้กับผม โดยเอาไลน์ของเพื่อนมาให้ จนผมก็ไม่ได้จีบเพื่อนบีต่อ เพราะเขายังไม่ได้เลิกกับเเฟน หลังจากนั้นผมก็ได้มีการไปเที่ยวกับน้องบี ไปดื่มกัน จนเกิดความรู้สึกเเปลกๆ เพราะเราทั้งคู่สนิทกันไวมาก อาจจะเป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาเรามีอะไรคล้ายกันอยู่เยอะ ตอนเเรกผมก็ทราบว่าน้องเขามีเเฟนอยู่ ผมก็พยายามที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ความรู้สึกเกินเลยไปมากกว่านี้ เเต่ก็มีอีกครั้งนึงที่ต่างฝ่ายต่างหยุดตัวเองไม่อยู่จนมารู้ทีหลังว่า น้องบีเองก็ชอบตัวเราเหมือนกัน เเต่น้องก็ไม่รู้ตัวว่าตั้งเเต่เมื่อไหร่ ตอนอยู่ที่ทำงานเราก็ทำตัวปกติ เเต่พอหลังเลิกงานเราก็ตัวติดกัน เเบบหวานชื่นเลย

             ด้วยความที่เเฟนของน้องบีเขาเป็นคนต่างชาติ เขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ไทย เเต่พอเเฟนเขากลับมา เราเเทบจะไม่ได้เจอกันเลย เเค่ได้เห็นหน้าในที่ทำงาน ซึ่งเราก็มีการตกลงกันว่าผมจะไม่ได้เป็นคนทักหรือโทรไปหาน้องก่อน เเละจะรอให้น้องเป็นคนทักหรือโทรมาเอง เพราะเขาจะรู้เองว่าเวลาไหน ตอนไหนที่เราสามารถโทรได้ เราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เเต่ตอนเเรกผมก็งอเเงหน่อย เเต่พอเราได้มารู้เหตุผลหลายๆอย่างว่า ทำไมน้องเขาไม่สามารถเลิกกับเเฟนได้ เป็นเพราะว่าเรื่องภาระหน้าที่ทางการเงินต่างๆที่น้องต้องส่งไปช่วยทางครอบครัว เเละผมก็ไม่สามารถที่จะซัพพอร์ตน้องเขาได้ เเละ 70% ของค่าใช้จ่ายของน้องบี เเฟนของเขาก็สามารถช่วยออกได้

             ถามว่าน้องบีรักเเฟนไหม เขาก็รักเเหละ เเต่ด้วยเรื่องข้อเสียของเเฟนน้องมันก็ทำให้บั่นทอน ลดลง เเละผมก็ชัดเจนกับน้องมากๆ ผมเคยพูดกับน้องบีไปว่า ถ้าวันไหนที่ความรักของผม มันจะทำให้น้องมีปัญหา ผมก็จะเป็นคนเลือกที่จะปล่อยมือเเละเดินออกมาเอง ใจของเขาก็รู้สึกว่า อยากให้เราไป เเต่ก็เหมือนจะรักเรา น้องเขาก็มีการพูดอ้อมๆว่า ถ้าวันไหน พี่เจอคนที่พร้อมจะเดินไปกับพี่ พี่ก็ไปได้เลยนะ สำหรับผมสิ่งที่คิดว่าเราถูกใจกันทั้งคู่ คือ นิสัยเเละความเก่งของน้องเขา ตอนเเรกครอบครัวของน้องบี เขาไม่ได้มีทุนมากพอที่จะส่งน้องบีเรียนต่อได้ เเต่น้องบีเขาก็ขอเเค่เงิน พอให้ตั้งตัวได้ เเล้วน้องก็กู้ กยศ. ส่งตัวเองเรียนจนจบได้ เเละในชีวิตที่ผ่านมา น้องเขาก็เจอเเต่ผู้ชายที่โหล่ยโทย เเต่กับเเฟนคนปัจจุบัน เขาก็มีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย เอาจริงๆ ทุกครั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำอะไรไม่ดีกับน้อง ผมก็จะอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสมอ

             ตอนนี้ผมเลยพยายามที่จะตั้งเป้าหมาย ภายใน 3 ปี เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ให้มีการเงินที่มั่นคง พอที่จะทำให้น้องเขามั่นใจในตัวผมได้ เเละด้วยความที่ว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ของน้องเขาก็ไม่ค่อยจะดี ทะเลาะกันหนักจนถึงขั้นเอ่ยปากจะเลิกกัน ส่วนตัวของผม ผมมองว่าน้องบีก็เป็นคนที่เเอบเห็นเเก่ตัว ผมเลยอยากฟังในมุมมองของพี่ๆว่า ผมควรทำทุกอย่างที่อยากทำ หรือ หยุดทุกอย่างในตอนนี้เลยดีไหมครับ?

             โดย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ พี่มองว่าคุณกอล์ฟควรที่จะหยุด เพราะตอนนี้คุณกอล์ฟ กำลังเป็นมือที่ 3 อยู่ เเละทุกอย่างมันไม่ควร เพราะเขาก็มีเเฟนอยู่เเล้ว เเละพี่มองว่ายังไงน้องคนนั้นก็ไม่เลิกกับเเฟนหรอก เพราะผู้ชายคนนั้นสามารถซัพพอร์ตได้ในเรื่องของเงิน เพราะงั้นพี่มองว่ายังไงผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เลือกคุณกอล์ฟหรอก’

             ต่อมา “ดีเจพี่อ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เห็นด้วยกับที่พี่เติ้ลพูดเหมือนกันว่า เเต่ให้น้องจะหยุดหรือจะทน เขาก็มีอีกคนอยู่ดี เพราะขนาดที่ว่าเขาบอกคุณกอล์ฟเป็นคนที่ใช่ เเต่เขาก็ไม่เลิกกับเเฟนอยู่ดี เพราะผู้ชายคนนั้นมีเงิน เเละถ้าในอนาคตคุณกอล์ฟ มีเงินเยอะมากๆ เเล้วผู้หญิงมาหาคุณกอล์ฟ เพราะเงิน คุณกอล์ฟจะรู้สึกดีหรอ เพราะงั้นกอล์ฟต้องลองคิดเเล้วว่า ผู้หญิงคนนี้มีเเฟนเพราะเงิน หรือมีเเฟนเพราะเราภูมิใจ เราเห็นคุณค่า เเละเราก็รักเขา ถ้าน้องอยากมีความรักมากถึงขนาดที่ว่าต้องใช้เงินหามา นั้นจะเรียกว่าความรักจริงๆหรอ’

             สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผมคิดว่าถ้ามันใช่ มันใช่ไปเเล้ว เเล้วตัวของผู้หญิงก็มีสติมาก ในเรื่องของการเลือกว่าทางนั้นคือทางที่จะสามารถทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เขาอาจจะเเค่มีความชอบในตัวกอล์ฟ เเต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นเหตุผลให้เลิกกับอีกคน กอล์ฟอยากรอ ก็รอได้นะเเต่ว่าการรอครั้งนี้มันอาจจะไม่ได้มีจุดหมายปลายทางก็เป็นไปได้ เพราะงั้นต้องมีสติ เเละเเค่เดือนกว่า อย่าพึ่งตัดสินทุกอย่าง เพียงเพราะเวลาสั้นๆ เเละอีกอย่างนึงถ้าสมมุติเขาเลิกกับเเฟนเเล้วมาคบกับกอล์ฟจริงๆ กอล์ฟสามารถไว้ใจผู้หญิงคนนี้ได้จริงๆหรอ เราจะไว้ใจได้จริงๆหรอกับผู้หญิงที่นอกใจเเฟนตัวเองได้ เพราะงั้นถ้าอยากรอก็เอาเลย ส่วนเรื่องการพัฒนาตัวเอง ทำไปเลย เผื่อไว้สักวันนึงตอนที่เราเป็นตัวเองในเวอชั่นที่ดีเเล้ว เราอาจจะได้เจอกับคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆก็ได้’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

24 ม.ค. 2025

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

“คุณสอง (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาอยากขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีปัญหาเรื่องเงินและหน้าที่การงาน โดย “คุณสอง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘อยากจะขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีเรื่องของการเงินและหน้าที่การงานเข้ามา เรา 2 คนเคยคุยกันไปแล้ว แต่พอคุยกันบ่อย ๆ มันเหมือนกับว่าเขาอยากจะรีบแต่งงาน เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก เราก็เข้าใจในมุมเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ต่อให้เขาเข้าใจเราและยอมรับจริง ๆ เรา 2 คนคบกันมาปีนี้กำลังจะเข้าปีที่ 10 แล้ว แพลนแต่งงานของเราคือช่วงปลายปี 69 สิ่งที่ผมกลัวคือผมกลัวเก็บเงินไม่ทัน เราไม่อยากจัดงานแบบลวก ๆ อยากทำให้มันออกมาดีเพราะมันคือครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ สเกลมันก็ไม่ใหญ่มากประมาณ 100 – 200 คน แต่มันก็มีเรื่อง ไหนจะค่าสินสอด ค่าสถานที่ ไหนจะถ้าแต่งงานไปแล้วต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันอาจจะต้องย้ายไปอยู่ไกลกว่าที่ทำงาน หรืออาจจะทำให้เราทำงานเสริมไม่ได้ ผมค่อนข้างที่จะกังวลเรื่องเงินมาก ๆ ผมเป็นคนที่ต้องทำงานและเรียนไปด้วยตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะครอบครัวก็ไม่ได้มีฐานะเท่าไหร่ ไหนจะมีน้อง มีแม่ที่ต้องดูแลด้วย มันเลยทำให้ระหว่างทางผมมีเฉลี่ยเงินออกไปบ้าง ทำให้การเก็บเงินมันยังมีไม่มากพอ จริง ๆ แฟนผมก็รู้สถานะทางการเงินทั้งหมด เพราะเราคุยกันเรื่องสเกลงานแต่งทุกอย่างเบื้องต้นแล้ว เราคุยกันว่าช่วยกันออก ผมโอเค ไม่ได้ติดปัญหาอะไร สเกลก็ยังอยู่ในสโคปที่เข้าใจตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้ามันมีเวลามากกว่านี้ มันอาจจะทำให้มันดีได้มากกว่า ไหนจะค่าสินสอด แต่จริง ๆ พ่อแม่เขาก็ไม่ได้เรียกค่าสินสอดอะไร พ่อแม่เขาดีกับผม น่ารักกับผมมาก ผมเองที่รู้สึกว่าเราเป็นผู้ชาย เราควรให้เกียรติเขา ซึ่งสำหรับผมมันรู้สึกว่ามีเยอะได้มากกว่านี้ เราไม่อยากเป็นใครที่ดูแลคนอื่นไม่ได้ ทุกวันนี้ที่เราคุยกันก็ยังมีทะเลาะกันอยู่บ้างเป็นระยะ ๆ คือเขาก็เหมือนจะเข้าใจ แต่บางทีก็จะพูดประมาณว่า ทำไม จะต้องเลื่อนอะไรอีก คบกันมานานแล้ว ซึ่งผมก็เข้าใจนะคบกันมา 10 ปีมันก็อาจจะถึงเวลาแล้วแหละ ผมเลยอยากจะปรึกษาพี่ๆดีเจว่า มีวิธีพูดยังไงให้เขาอ่อนลงหรือทางไหนที่มันจะเป็นทางที่ดีที่สุด’ เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ อยาก reset สิ่งที่สองกังวลใหม่หมดเลย คือ ณ ตอนนี้เท่าที่เคยผ่านมาแล้ว เรารู้สึกว่ายิ่งเป็นครอบครัวรักกันทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปลงกับงานแต่งมากมายอะไรเลย จริง ๆ แล้วหัวใจของการแต่งงานคือ จัดเพื่อให้กับคุณพ่อคุณแม่ให้กับพ่อแม่ของบ่าวสาวได้มีความสุขกับวันนั้น เป็นวันที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเหนื่อยมากแล้วก็ เราจัดเพื่อให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่กับผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งเท่าที่ฟังสองมาพ่อแม่ฝั่งเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย สิ่งที่สองกังวลตอนเนี้ยเหมือนกับว่าครอบครัวเอย ทั้งบ่าวสาวเอย ตอนนี้มีสองกังวลอยู่คนเดียว พี่เลยไม่แน่ใจว่าเรากลัวมากกว่าที่มันจะเป็นหรือเปล่า ทุกวันนี้งานแต่งงานรูปแบบการจัดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก คนรุ่นใหม่ที่กำลังมีแพลนที่จะแต่งงานเนี่ย มัน Compact ขึ้นเยอะมาก มันเล็กลง จำนวนแขกน้อยลง ใช้สถานที่ที่ฟุ่มเฟือยน้อยลง ทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกันทั้งบ่าวทั้งสาวแล้ว ส่วนมากเราประหยัดการจัดงานแต่งงานที่มันจะต้องใหญ่โตแล้วก็สุดท้ายเสียเงินไปโดยใช่เหตุเราเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า หรือแม้กระทั่งสินสอดที่จะมาวางไว้ที่ข้างหน้างานทุกวันนี้มันก็เป็นแค่ พร็อพ นึงด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเงินตรงนั้นเขาก็ให้มาเป็นขวัญถุงตั้งตัวของบ่าวสาว ประเภทที่ว่าลูกสาวฉันต้องได้เงินเท่านี้เธอถึงจะเอาลูกสาวฉันไปยุคนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าไม่พร้อมของสองเท่าที่ฟังดูมันเลยเป็นความไม่พร้อมทางจิใจหรือเปล่า พี่ไม่ได้รู้สึกว่าสองจะต้องการเงินมากมายสำหรับการจัดงาน ซึ่งปลายปี 69 ก็จะมีเวลาอีก 2 ปีเต็ม ๆ การที่ 2 ปีเต็ม ๆ เราวางสเกลงานแต่งไว้ ขนาดกะทัดรัด แขกอาจจะหลัก 10 ที่มีแต่ญาติสนิทก็พอ เพื่อนเดี๋ยวไปปาร์ตี้กันทีหลัง มันสามารถจัดได้เลยโดยที่ไม่ต้องอาศัยความพร้อมมากมาย พี่เลยรู้สึกว่าคำว่าไม่พร้อมไม่พร้อมตรงไหนทางเป็นเรื่องของเงินมันจัดการได้มากมายแต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจลองนอนคุยกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะเอาวันที่พร้อมแต่ก็ไม่รู้ว่าวันที่พร้อมมันจะมีอยู่จริงไหม พร้อมไม่พร้อมหรือเราแค่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกเยอะ 2 ปี คนเราเติบโตอีกตั้งเยอะมีเวลาครับ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ที่สองบอกไม่พร้อมเท่าที่ฟังนะพี่เห็นไปใกล้เคียงกับพี่เผือกว่าเหมือนสองไม่พร้อมในสิ่งที่ฝั่งน้องผู้หญิงแฟนสองกับครอบครัวก็ไม่ได้ต้องการ กลายเป็นว่าเหมือนสองแค่ว่าจะไม่เห็นตัวเองเป็นไปตามแพลนที่มันวางไว้ แต่บางทีการไม่ได้ตามแพลนแต่มันได้อะไรมาซึ่งความสุขให้อีกแบบนึงพี่ว่ามันก็น่าลองเหมือนกันในมุมพี่นะ คือตอนนี้พี่พยายามแทนตัวเองเป็นแฟนสอง พี่ว่าคบกันมา 10 ปีแล้วถ้าเขาเคยบ่นแล้วว่าทำไมมันไม่ได้แต่งสักที พี่ว่าในมุมผู้หญิงที่เล่ามานะ มันอาจจะแค่ว่า มึงแต่งกับกูสักทีเถอะให้มันจบ ๆ ให้มันรู้ว่าเราคือสามีภรรยาถูกต้องมากฎหมายเฉย ๆ อาจจะไม่ได้ต้องการแขก 200 คนก็ได้ อาจจะแค่ครอบครัว 2 ครอบครัวกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องสินสอดมาวางประกาศบอกใครก็ได้ว่าเท่าไหร่ เขาแค่อยากให้มันมีงานแต่งงานเกิดขึ้น ลองคุยแล้วลดสเกลแบบแพลนที่เราว่าไว้แต่บนพื้นฐานที่ว่ามันแต่งงานได้แล้วมันก็ยังเป็นสามีภรรยากัน พี่ลองคุยกับเขาก่อนถ้าเขาแบบไม่ได้ฉันต้องมีงานใหญ่ ฉันต้องมีสินสอดอย่างงั้นพี่ว่ามันจะเป็นปัญหา แต่ว่าถ้าคุยกับเขาแล้วมันโอเคมันไม่มีปัญหาเลย บ้าน 2 บ้านกินข้าวกันมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้กันแหวนเล็ก ๆ พี่ว่า 2 อาจจะไม่ต้องเครียดขนาดนี้ก็ได้’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คืองานแต่งงานเป็นแค่อีเว้นท์ ชีวิตหลังแต่งงานสำคัญกว่านั้นมากเลย และวันนี้น้องเจอครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ ครอบครัวที่เห็นน้องมาโดยตลอดว่า น้องมีความใส่ใจซื่อสัตย์ อันนั้นก็เป็นสินสอดที่ราคาสูงมากกับการที่ผู้หญิงคนนึงอยู่ในความสัมพันธ์แบบแฟนมาตั้งเป็น 10 ปี แล้วพอเขาจะขอแค่อีกนิดเดียวเพื่อจะบอกกับทุกคนว่า ตกลงที่เห็น ๆ กันอยู่เนี่ยไม่ใช่แฟนแล้ว สามีภรรยาแล้วนะ จริง ๆ เขาก็ต้องการแค่นั้นเอง เราจะต้องไปเปรียบเทียบอะไรกับบ้านเขาพี่กลัวเหลือเกินว่า เดี๋ยวรอผมสร้างบ้านก่อนน้องไม่แคร์เหรอว่า แล้วคนในบ้านล่ะถ้าเกิดวันนึงมีแต่บ้านแล้วคนในบ้านไม่อยู่ด้วยแล้ว หนูโอเคจริงไหม น้องอย่าลืมวันนี้ความเปลี่ยนแปลงสอนเราทุกวัน วันนี้ก้าวเท้าออกนอกบ้านเราไม่รู้เลยว่า จะได้กลับเข้าบ้านกันหรือเปล่ามันมีอะไรต่าง ๆ มากมายเยอะแยะ มันไม่มีทางหรอกที่มันจะไปตามแพลนของน้องโดยตลอด แล้วถ้าน้องจะเอาตามแพลนของตัวเองคนเดียว พี่กลับรู้สึกว่าไม่ได้ ในเมื่อจะมีใครสักคนเป็นคู่ชีวิตจะเอาแต่ใจตัวเองคนเดียวได้ยังไง เป็นพี่เป็นฝ่ายหญิงก็คงจะงง เชื่อไหมว่าคนอื่นคงถามว่าทำไมยังไม่แต่ง คือถ้าจะรอสร้างบ้านก่อนพี่ว่าบ้านไม่สำคัญเท่าคนในบ้าน พี่นับถือหัวใจน้องตั้งใจว่าน้องจะเป็นผู้ชายคนนึงที่ดูแลผู้หญิงคนนึงได้แต่นอกเหนือจากทุนทรัพย์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณสมบัติของการเป็นคนรักกัน ใส่ใจความรู้สึกเขาและอยากให้มีวันของเราหรือแม้แต่การกังวลอนาคตจนไม่มีความสุขในปัจจุบัน ถ้าชีวิตพี่อ้อยจะสามารถเป็นวิธีคิดได้พี่อ้อยกับสามีอยู่กันเป็นรักทางไกลมาในวันแรกที่แต่งงานกัน สามีบอกว่าแต่งงานได้ 2 ปีต้องมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ ปัจจุบันแต่งไป 17 ปีแล้วยังเป็นกรุงเทพ แม่สอดอยู่เลย แต่ในที่สุดแล้วใน 17 ปีนั้น เราจะค่อย ๆ ขยับมันเองได้และก็อยู่กันแบบนี้แบบที่เรายังดูแลกันได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้ารักกันมากพอ ชีวิตหลังแต่งงานยังสำคัญมากกว่าการแต่งงานเยอะมาก’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แฟนดีทุกอย่างแต่เขาไม่ค่อยใส่ใจ เราเลยนอกใจแฟนไปมีอะไรกับเด็กฝึกงาน เราจะตัดสัมพันธ์กับน้องฝึกงานยังไงดีคะ แฟนเราเป็น 90% ของเรา แต่น้องฝึกงานก็เติมเต็ม 10% ที่หายไป ตอนนี้เหมือนเราหลอกผู้ชายทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน

24 ม.ค. 2025

แฟนดีทุกอย่างแต่เขาไม่ค่อยใส่ใจ เราเลยนอกใจแฟนไปมีอะไรกับเด็กฝึกงาน เราจะตัดสัมพันธ์กับน้องฝึกงานยังไงดีคะ แฟนเราเป็น 90% ของเรา แต่น้องฝึกงานก็เติมเต็ม 10% ที่หายไป ตอนนี้เหมือนเราหลอกผู้ชายทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน

“คุณบุ๋ม (นามสมมติ)” อายุ 31 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาความรัก แอบคบกับเด็กฝึกงานทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้ว โดย “คุณบุ๋ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ปัจจุบันคบกับแฟนมาได้ 4 ปีแล้ว แฟนอายุน้อยกว่าหนู เรื่องราวเกิดขึ้นประมาณตอนที่เราคบกันได้ 3 ปี ตอนคบกันก็ดี หนูอยู่บ้านเขามาตั้งแต่ปีแรก หนูก็ทำตัวดีมาตลอด แฟนเราเขาก็นิสัยดี ทำงานก็โอเค มีความรับผิดชอบ ดีทุกอย่าง ที่บ้านเขาก็รับหนูได้ แต่ว่าเขาก็คือเขา ทำงานอย่างเดียว ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยเทคแคร์เท่าไหร่ตั้งแต่แรกเลย เหมือนหนูเป็นคนติด skinship แต่ว่าเขาเป็นคนนิ่งๆ โดยส่วนตัวหนูเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาตลอด 3 ปี หนูก็เจอพฤติกรรมที่เขาไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ น้อยมากที่เขาจะถามว่ากินข้าวหรือยัง ไม่ได้ถามเลยว่าเราเหนื่อยมั้ย เป็นหนูมากกว่าที่ถามแบบนั้น จนวันหนึ่งมีเด็กฝึกงานเข้ามาที่บริษัท เขาก็น่ารักดีและหนูเป็นคนขี้เล่นชอบหยอดเขา ซึ่งเราก็รู้จักในฐานะที่หนูดูแลเขาแล้วก็มี LINE ส่วนตัวกัน พอเขาเข้ามาฝึกงานก็เห็นว่าน่ารักดีเลยหยอดกันไปมาจนเขาทักมาจีบหนูก็เลยได้คุยกัน คุยกันไปคุยกันมา ก็เริ่มบ่อยขึ้น มีนัดไปกินข้าวด้วยกัน สานสัมพันธ์กันมาพักใหญ่ๆ หนูกับแฟนก็เริ่มมีปัญหากันหลายเรื่อง เรื่องไม่สนใจก็สะสมมา ยังมีปัญหากับเรื่องครอบครัวเขา คือครอบครัวเขาดีทั้งหมด แต่มันจะมีอยู่คนหนึ่งที่เขาไม่ดีกับหนู หนูเลยไม่ดีกับเขามันเลยทำให้มีปัญหากัน ทำให้เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น แล้วหนูก็ออกไปเจอเพื่อนบ่อยขึ้น หาเพื่อนไปเที่ยว ซึ่งในนั้นก็มีเด็กฝึกงานอยู่ด้วย แล้วหนูก็เริ่มห่างกับแฟน ไปกินข้าวกับเพื่อนบ่อยก็เริ่มถลำลึกจนไม่กลับบ้าน ถึงขั้นที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเด็กฝึกงาน แต่เด็กฝึกงานคนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าหนูมีแฟนอยู่แล้ว และหนูก็ตั้งใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้เพราะไม่ได้คิดจะเลือกเขาตั้งแต่แรก และมันก็ถลำลึกไปเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หนูกับแฟนก็ทะเลาะกันหนักเข้าไปใหญ่ จนวันหนึ่งเหมือนเขาจับได้ จากที่แฟนไม่เคยพูดจาไม่เพราะก็เริ่มขึ้นมึง-กู โยนเสื้อผ้าหนูออกจากตู้ ถึงขั้นไล่หนูออกจากบ้าน หนูเลยพูดขอโอกาสว่า “จะไม่ทำอย่างงี้อีก” ซึ่งหนูตั้งใจพูดไปแบบนั้นเพื่อให้เขาอยู่ต่อเพราะว่าหนูไม่มีครอบครัวที่กรุงเทพ แล้วหนูไม่อยากเริ่มต้นใหม่ หลังจากนั้นก็ง้อเขาอยู่เรื่อยๆ ช่วงที่ทะเลาะกับเขา หนูก็พยายามกลับบ้านเร็ว ทำกับข้าวไว้ให้เขา แต่มันก็เหมือนเป็นผลของการกระทำ เพราะเขาก็ออกไปกินเหล้ากับเพื่อน กลับดึก กลับมาบ้านก็เดินหนี เหมือนเขาทำแบบที่หนูทำเพื่อประชดหนู ซึ่งหนูก็รู้อยู่แล้วว่าเขาก็ไม่ได้มีคนอื่น มันเป็นแบบนั้นอยู่ 2 เดือน แต่ในช่วงนั้นหนูก็ไม่ได้หยุดคุยกับเด็กฝึกงาน มีเวลาเจอกันก็ยังได้เจอ บางทีเลิกงานก็ยังไปเจอกัน ที่หนูยังไม่หยุดคุยกับเด็กฝึกงานเพราะหนูคิดว่าหนูยังไม่ได้แต่งงานก็ยังมีสิทธิ์เลือก กับแฟนก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ หนูก็ยอมให้เขาทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนมันเกิดเหตุการณ์ที่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล แต่วันนั้นแฟนหนูเลือกที่จะตัดหนู ทิ้งให้หนูเผชิญปัญหาตรงนั้นคนเดียว ซึ่งมันหนักมาก หนูก็คิดว่าไม่เป็นอะไร ต้องผ่านไปให้ได้ แต่เด็กฝึกงานคอยให้กำลังใจและอยู่ข้างๆ หนู เขาบอกกับหนูว่า “มันไม่เป็นอะไร มันไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก” แต่หนูอยากได้คำพูดแบบนี้จากแฟนหนูมากกว่า และตอนนี้ผ่านมา 1 ปีแล้ว หนูก็ยังคบซ้อนทั้ง 2 คนอยู่ อยู่กับคนนี้ 3 วัน กับอีกคนหนึ่ง 4 วัน โดยที่ทั้งคู่ยังไม่รู้ และหนูก็คิดว่าแฟนรักหนูจนไม่คิดจะตามหาว่าหนูไปทำอะไร อยู่ที่ไหน แค่หนูกลับไปบ้านเขาก็ดูมีความสุขแล้ว เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราทะเลาะกันหนักมาก จนหนูย้ายออกมาอยู่หอ เขาปล่อยให้หนูขับรถ 590 กิโล กลับบ้านคนเดียวช่วงปีใหม่ หนูเลยบอกกับแม่ว่าหนูจะย้ายออกมาจากบ้านเขา แต่สุดท้ายเขาก็นั่งรถทัวร์ตามมา ในช่วงปีใหม่ก็ยังตึงใส่กันจนไม่มีความสุข ซึ่งช่วงที่หนูย้ายมา เด็กฝึกงานก็ไม่ได้ฝึกที่บริษัทต่อแล้ว เราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ปัจจุบันเด็กฝึกงานคนนั้นก็กลับมาทำงานที่บริษัท หนูกับแฟนก็ยังอยู่และตกลงซื้อบ้านด้วยกัน ตอนนี้เป็นรักสามเศร้าแต่ทั้ง 2 คนก็ยังไม่รู้ กับแฟน เขาดีพร้อมทุกอย่างที่หนูต้องการ 90% แต่อีก 10% ที่แฟนไม่ได้มีให้หนู แต่เด็กฝึกงานคนนั้นเขามีให้ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า มีวิธีไหนที่เราจะปล่อยเด็กฝึกงานไปไหม?” เริ่มที่ “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูบอกว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรแต่หนูไม่กล้าบอกเลิก มันแปลกตรงที่หนูไม่กล้าบอกเลิก แต่ดันกล้านอกใจ กับเด็กฝึกงานคนนั้นหนูก็ตั้งใจหลอกเขา หนูจะบอกว่าหนูยังไม่รู้จะเลือกใครดี แต่หนูยังไม่ได้เปิดโอกาสให้ใครสักคนเลือกหนูเลย เพราะหนูดันปิดบังทั้งคู่ วิธีการปล่อยเด็กฝึกงานง่ายจะตายไป หนูแค่บอกความจริงเขาไปว่า พี่ทรยศแฟนมามีหนู แล้วหนูไม่จำเป็นต้องคิดเลยว่าจะทำยังไงดีถึงจะตัดเขาได้ อยากได้ความจริงใจ แต่ทำไมหนูเอาความหลายใจเข้าไปแลกล่ะ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘แฟนที่หนูบอกว่ามีดี 90% ทุกวันนี้เขายังรักผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวแบบหนู 100% ได้เลย ทำไมหนูถึงคิดว่าหนูต้องการ 10% จากคนอื่น’ และสุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องถามคนไปทั่วว่าตัดคนหนึ่งยังไง เราทำได้แค่ไม่ทำเท่านั้นเอง เด็กฝึกงานมี 10% พี่ไม่รู้ว่าต้องหาผู้ชายคนไหนที่ให้เราได้ 90% อีก แล้วเราถามตัวเองหรือยังว่าให้คนๆ นั้นกี่เปอร์เซ็นต์ เราเอา 10% มาเทียบกับคนที่ให้เรา 90% มันแทบจะไม่ต้องเป็นช้อยส์เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่เราจะทำหรือไม่ หรือทำเมื่อไหร่แค่นั้นเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ... สาวออฟฟิศหนักใจ ไปทำงาน แต่โดนจับผิดจาก ‘ภรรยาหัวหน้า’ เพราะภรรยาไปเห็นแชท ของหัวหน้าอีกคน ถ่ายรูปเราส่งไปแซวกับสามีตัวเอง หลังจากนั้นก็หึง หวง ไม่ให้คุยไลน์ส่วนตัว จับผิดผ่านกล้องวงจรปิด

19 ก.ย. 2023

คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ... สาวออฟฟิศหนักใจ ไปทำงาน แต่โดนจับผิดจาก ‘ภรรยาหัวหน้า’ เพราะภรรยาไปเห็นแชท ของหัวหน้าอีกคน ถ่ายรูปเราส่งไปแซวกับสามีตัวเอง หลังจากนั้นก็หึง หวง ไม่ให้คุยไลน์ส่วนตัว จับผิดผ่านกล้องวงจรปิด

คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ... สาวออฟฟิศหนักใจ ไปทำงานแต่โดนจับผิดจาก ‘ภรรยาหัวหน้า’ เพราะภรรยาไปเห็นแชทของหัวหน้าอีกคน ถ่ายรูปเราส่งไปแซวกับสามีตัวเองหลังจากนั้นก็หึง หวง ไม่ให้คุยไลน์ส่วนตัว จับผิดผ่านกล้องวงจรปิดทำงานด้วยลำบากมากตอนนี้ แต่ไม่อยากลาออก เพราะเงินเดือนดี “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” อายุ 25 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [13 ก.ย. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย เกี่ยวกับปัญหาโดนแฟนเจ้านายหึง โดย “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ต้องเกริ่นก่อนว่า หนูมาทำงานที่นี่ เพราะรู้จักกับเจ้านาย แต่หนูมีเจ้านาย 2 คน เป็นผู้ชายทั้งคู่ หนูขอแทนเจ้านายทั้ง 2 คนว่า คุณ A และคุณ B ส่วนตัวหนูรู้จักกับคุณ A มาก่อนเพราะเราเคยติดต่อเรื่องงานกัน บังเอิญช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีหนูลาออกจากที่ทำงานเก่า แล้วคุณ A ก็ติดต่อมาพอดี และรู้ว่าหนูว่างงาน แกก็เลยชวนมาทำงานด้วย เพราะแกเปิดบริษัทใหม่ ทีนี้หนูก็ได้มารู้จักกับคุณ B ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทอีกคนนึง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น หนูเพิ่งมาทราบก่อนที่จะขยายออฟฟิศใหม่ประมาณ 1 อาทิตย์ คุณ B เรียกหนูไปคุย เพราะภรรยาของเขาไม่โอเคกับหนู เหมือนเขาคิดว่าหนูกับคุณ B เป็นกิ๊กกัน เรื่องมันเริ่มต้นจากรูปถ่าย 1 รูปที่คุณ B แอบถ่ายหนู เหมือนเขาส่งไปให้เพื่อนดู ส่งไปแซวกันเล่นๆ ประมาณว่า วันนี้น้องแต่งตัวน่ารักนะ แล้วเพื่อนเขาก็ตอบกลับมาว่า น่ารักก็จีบสิ... ด้วยความที่เพื่อนตอบกลับมาแบบนั้น คุณ B ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เหมือนภรรยาเขามาเห็นแชทนั้นที่เขาคุยกับเพื่อน แล้วจุดเริ่มต้นที่เขาไม่โอเค คือที่คุณ B มาถ่ายรูปหนู ภรรยาเขาก็ถามว่าถ่ายรูปน้องเขาทำไม? แล้วกลายเป็นพาลว่าหนูกับคุณ B เป็นกิ๊กกัน ภรรยาเขาเฝ้าดูการกระทำของหนูตลอดเลยว่า หนูคุยกับสามีเขามั้ย? ซึ่งภรรยาเขาไม่ได้เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศนี้ด้วย แต่เขาจะดูโทรศัพท์สามี และดูผ่านกล้องวงจรปิดผ่านโทรศัพท์คุณ B ตลอด บางทีหนูต้องออกไปทำงานข้างนอก โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าหนูออกไปไหน เจ้านายเขารู้อยู่แล้วว่าหนูไปทำอะไร แต่เขาก็มองว่าทำไมเราต้องออกไปก่อนเวลา ทำไมเราต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ก็จะมีฟีดแบคกับการกระทำของหนูตลอด ซึ่งส่วนตัวหนูมีแต่เรื่องงาน ไม่ได้คิดอะไรกับเจ้านาย 100% เลย และหนูก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย หลังจากที่ย้ายเข้าออฟฟิศใหม่ หนูเจอภรรยาคุณ B ครั้งแรก หนูก็ยกมือไหว้ปกติ แต่เขาไม่รับไหว้หนูแล้วมองด้วยหางตาแบบมองจิกเลย หนูก็ไม่ได้อะไร ทำงานของตัวเองปกติ แต่คุณ B ก็พยายามกันภรรยาเขาไม่ให้เข้ามายุ่งในออฟฟิศอยู่แล้ว และบ้านของคุณ B กับออฟฟิศอยู่ในระแวกเดียวกัน เรื่องที่หนูรับรู้มา หนูรู้มาจากคุณ A เพราะคุณ B เขาไปปรึกษาคุณ A แล้วคุณ A ก็มาเล่าให้หนูฟังว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ หนูต้องทำตัวยังไงบ้าง หนูไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่มันส่งผลกระทบ คือ มากระทบที่หนู ตัวหนูกลายเป็น แพะที่มารับเรื่องนี้ หนูทำงานเป็น Backoffice ซัพพอร์ตหลังบ้านทุกอย่าง ต้องติดต่องานโดยตรงกับเจ้านายทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งในบริษัทก็มีแค่หนูคนเดียวที่ต้องทำงานตรงนั้น บางทีหนูก็ต้องติดต่องานกับคุณ B ซึ่งมันเป็นปัญหามาก หนูไม่สามารถโทรหาเขาได้ ไลน์ส่วนตัวก็ไม่ได้ บางทีเราโทรไป แกก็ไม่สามารถรับสายเราได้ มีเรื่องงาน เรื่องด่วน บางทีหนูก็คุยกับคุณ A ไม่ได้ ต้องคุยตรงกับคุณ B อย่างเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องของเขาโดยตรง มันทำให้ช่วงนั้นมันโหลด แบบโหลดมาก บางทีหนูเหนื่อยกับการทำงานอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องพวกนี้อีก หนูไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิดเลย แต่ทำไมมาทำให้หนูรู้สึกแบบนั้นด้วย แต่หนูชอบทำงานที่นี่ รู้สึกเจ้านายเขาแฟร์ดี และเหมือนเขาทำงานกันจริงๆ ตอนนี้เหมือนคุณ B เขาจัดการแบบเด็ดขาดไม่ได้ เหมือนเขาก็มีปัญหาหลังบ้านอยู่ หนูอยากรู้ว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกพี่ จะมีวิธีจัดการกันยังไงเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูเรียนจิตวิทยา แต่รู้สึกว่าสังคม และ การเรียนยังไม่ใช่ อยากย้ายคณะไปเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ แต่ก็ต้องหาเงินส่งตัวเอง จ่ายค่าเทอมเอง ปรึกษาคนรอบข้าง บางคนบอกให้ย้าย บางคนบอกให้เรียนต่อจะได้ไม่เสียเวลา หนูควรทำยังไงดีคะ?

24 ม.ค. 2025

หนูเรียนจิตวิทยา แต่รู้สึกว่าสังคม และ การเรียนยังไม่ใช่ อยากย้ายคณะไปเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ แต่ก็ต้องหาเงินส่งตัวเอง จ่ายค่าเทอมเอง ปรึกษาคนรอบข้าง บางคนบอกให้ย้าย บางคนบอกให้เรียนต่อจะได้ไม่เสียเวลา หนูควรทำยังไงดีคะ?

“คุณโตเกียว (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี เป็นสายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษากับ ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการเรียน ที่ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ว่าควรไปต่อหรือย้ายหนีดี โดย “คุณโตเกียว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ปัจจุบันเรียนอยู่ปี 1 สาขาจิตวิทยา หนูมีเรื่องอยากปรึกษา ตอนมัธยมหนูเรียน สายศิลป์ – ภาษา มา ซึ่งมันค่อนข้างต่างจากสาขาที่หนูเรียนอยู่ในตอนนี้ ทำให้พอเข้ามหาวิทยาลัยมาช่วงเทอมแรก หนูเรียนไม่ค่อยดี ทำให้เกรดไม่ค่อยดี และก็มีปัญหาเรื่องการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ ทำให้ช่วงนั้นไม่อยากไปเรียนเลย พอมาเทอมที่ 2 หนูก็เริ่มมีกลุ่มเพื่อนใหม่ แต่ก็ยังไม่สนิทกัน แล้ววิชาเรียนมันก็ยากขึ้น โดยเฉพาะวิชาเรียน สายวิทย์ หนูก็เลยคิดว่าถ้าหนูฝืนเรียนต่อไป หนูจะไหวไหม? แล้วก็กลัวว่าถ้าเกรดหนูน้อยแล้วจบไป จะหางานยากรึป่าว หนูก็เลยคิดอยากจะย้ายคณะ ซึ่งคณะที่หนูจะย้ายไปเป็นคณะที่เกี่ยวกับสายงานราชการ หนูคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับหนูมากกว่า แล้วสาขานี้ก็ยังมีสวัสดิการที่ครอบคลุมทั้งตัวหนูและครอบครัวด้วย ที่สำคัญคณะใหม่ที่หนูจะย้ายไปมันสามารถที่จะเลือกเวลาเรียนเองได้ ทำให้หนูทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยได้ เพราะครอบครัวหนูไม่ได้มีฐานะดีเท่าไหร่ และก็ยังมีน้องชายอีก คุณพ่อ - คุณแม่ก็ซัพพอร์ตหนูแค่ค่าที่พัก กับค่าใช้จ่ายบางส่วนในแต่ละเดือนเท่านั้น แต่ในสาขาจิตวิทยาของหนูตอนนี้ มันมีคนน้อย ไม่สามารถเลือกเวลาเรียนเองได้ อาจารย์เป็นคนเลือกเวลาเรียนให้ หนูก็เลยหางานทำยาก เพราะมีเลิกเรียนค่ำเป็นบางวัน แต่การย้ายคณะของหนูก็มีข้อจำกัด เพราะว่าถ้าหนูจะย้ายช่วงซัมเมอร์นี้ หนูก็ต้องไปทำงานหาเงินค่าเทอมเพื่อสำรองจ่ายเองก่อน เพราะต้องรอช่วงเปิดเทอม ถึงจะทำเรื่องกู้เงินจากกองทุนเพื่อการศึกษาได้ หนูปรึกษามาหลายคนแล้ว มันก็จะมีเสียงแตกออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งนึงก็บอก อย่าย้ายเลยเสียเวลา อีกฝั่งบอกว่า ถ้ามันเหมาะกับตัวเองมากกว่าก็ย้ายเลย หนูก็เลยรู้สึกสับสน ใจนึงก็อยากย้ายเพราะตอบโจทย์กับชีวิตมากกว่า แต่อีกใจนึงก็กลัวตัดสินใจพลาด หนูเลยอยากจะถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรเลือกแบบไหน ควรย้ายคณะดีไหมคะ? ซึ่ง “ดีเจอ้อย” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่จะเรียนจิตวิทยา แต่อันนี้แค่ให้เป็นสิ่งประกอบการตัดสินใจของหนูนะ เพราะชีวิตเราต้องมองแบบยาวๆ ในอนาคตตลาดงานต้องการนักจิตวิทยาอีกเยอะมาก แต่ถ้าหนูอยากทำงานราชการ ในบางสายก็ไม่จำเป็นต้องเรียนสายตรงก็สามารถทำงานราชการได้อยู่ดี ยิ่งปัจจุบันอาชีพและความรู้สามารถหาประกอบได้ทั้งนั้นเลย ไม่จำเป็นต้องเรียนสิ่งนี้เพื่อที่จะได้เป็นสิ่งนี้ ปัจจุบันแม้จะเรียนอะไรก็ตาม ถ้ามีโอกาสมาก็คว้าไว้เลย’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่อยากให้โตเกียวลองไปดูหลักสูตรการเรียนการสอนของคณะนี้ก่อนว่าพวกวิชาสายวิทย์ที่โตเกียวกลัว ในตอนปี 3 ปื 4 วิชามันเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงยังไง ไม่แน่ว่าพื้นฐานของสายวิทย์อาจจะมีแค่ในปี 1 อย่างเดียวก็ได้ ถ้ายังอยากเรียนอยู่ก็ลองชั่งน้ำหนักดู หรือถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ ก็ลองเปลี่ยนดู’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ พี่แค่อยากให้โตเกียวมีความสุขกับสิ่งที่เรียน ต้องถามตัวเองว่าที่เรียน เรามีความชอบ และมีความสุขกับมันไหม แต่ถ้าโตเกียวอยากย้ายไปอีกคณะ โตเกียวก็ต้องลองดูวิชาที่ต้องเรียน มันมีวิชาที่โตเกียวสนใจไหม สนใจจริงๆรึป่าว ไม่ใช่แค่เรียนเพราะว่างานราชการจะมีที่ว่างรอรับเราอยู่ พี่ว่าแค่นั้นมันไม่พอ สุดท้ายพี่อยากให้โตเกียวเลือกเรียนสิ่งที่โตเกียวสามารถเต็มที่กับมันได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1