เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

22 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรีแอคชั่นที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในชั่วข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่เคยมีมาก่อน

เรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มขึ้น หลังจากสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เอิร์ธ อติรุจ” เจ้าของคลิปรีแอ็คชั่นสุดไวรัลที่ได้รีแอ็คถึงซีรีส์ The Interns ในแง่มุมการแพทย์แบบถึงพริกถึงขิง จนกลายเป็นคลิปล้านวิวในชั่วข้ามคืน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายแรงบันดาลใจ ที่ เอิร์ธ ได้เอามาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

เผยที่มา กว่าจะเป็นคลิปรีแอคสุดปังจากช่อง “Aertha Channel”

เรียกว่าเป็นคลิปดัง ที่ทำให้ชื่อ เอิร์ธฐา กลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ หลังจากที่ได้ปล่อยคลิป รีแอ็คชั่นซีรีส์ The Interns หมอมือใหม่ ที่มีลีลาการรีแอคแบบใหม่แบบสับ จนจับใจแฟน ๆ โดย เอิร์ธ ได้เล่าที่มา กว่าจะเป็นคลิปดังกล่าวให้ฟังว่า “มันเกิดจาการที่เราไปเห็นป้ายปิดของละครเรื่องนึง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับหมอนี่แหละที่พูดว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าอยู่เวรติดกันหลายวัน จุดนั้นเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อย

คือมันขัดกับความเป็นจริงหลายอย่างมาก เพราะไม่มีหมอคนไหนที่อยากที่จะอยู่เวรติดกันหลายวัน หนึ่งเลยคือด้วยตัวของเราเองไม่สามารถที่จะ Active ในการใช้ชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานเต็มที่ 8 ชั่วโมงคนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตร่วมกับการตัดสินใจที่เครียด กดดัน กับการที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับชีวิตคน 8 ชั่วโมงเนี่ยถือว่าเยอะมากแล้วพี่ ถ้าเกิดว่าเราลืมตาใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหลือเราคงน็อค

ความเป็นจริงเราเลยไม่มีใครอยากที่จะทำงานฝืนขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ ความเป็นตัวเอง คือเข้าใจเจตนาเขาคงต้องการจะสื่อว่า ความเป็นจริงมีหมอที่จะอยู่เวรติดกันหลายวันนะ เพราะปริมาณหมอไม่พอ แต่ว่าป้ายปิดอาจจะทำให้คนเข้าใจว่าหมออยากที่จะอยู่เวรหลายวัน เพราะว่าอยากได้เงินรึเปล่า อยากนั่นนี่รึเปล่า เลยต้องออกมาพูดนิดนึง

การรีแอคนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย เมื่อก่อนก็ทำเกี่ยวกับรีแอคเล่น ๆ กับเพื่อน เกี่ยวกับละครเก่า ๆ ที่เราโตมาด้วยกับมันอยู่แล้ว มันเลยอินกับสิ่งที่รีแอค และตัดสินใจทำรีแอคซีรีส์ในวันนั้น”

 

เลือกเรียนหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคนไข้

ย้อนกลับไป เอิร์ธ เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ และเคยทำงานเป็นหมอมาก่อน ซึ่งเอิร์ธ ได้เล่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ ให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้เป็นคุณหมอ จนถึงต้นเดือนมกราปีนี้ (พ.ศ. 2566) เป็นหมออยู่สองปีกว่าเกือบสามปีครับ ก็ต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้เป็นหมอมันลำบาก มันเป็นยาก แล้วก็ด้วยบริบทของสังคมเองด้วย ภาระงานด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานด้วย ไม่ได้เอื้อให้เราอยากที่จะเป็นหมอในระบบ จริง ๆ แล้วเราชอบอาชีพหมอมาก ๆ เลย

ต้องย้อนกลับไปก่อน 10 ปีที่แล้ว อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เด็กเก่งต้องเรียน เป็นค่านิยม เพื่อน ๆ ในห้องก็พูด เธอเรียนเก่งเธอไปเป็นหมอสิ ใครเรียนหมอโรงเรียนก็จะขึ้นป้ายให้ ได้รับความนิยมชมชอบได้รับการยอมรับจากสังคมก็เลยสอบกับเขา

การเรียนหมอ 6 ปี จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนะครับ ตอนนั้นรู้สึกกลาง ๆ แต่ที่คณะเขาจะปลูกฝังให้เรามีความชอบความรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ตอนปี 1 เลย ซึ่งเอิร์ธเพิ่งรู้สึกอิน รู้สึกชอบตอนประมาณปี 5 หรือ ปี 6 ที่ได้มาดูแลคนไข้จริง ๆ สภาพแวดล้อมจะปลูกฝังให้เรารักในอาชีพนี้เอง เราก็เลยรู้สึกภูมิใจกับอาชีพ พอเรียนจบต้องไปใช้ทุนก่อน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้ทุน เพราะว่าหมอขาดแคลน เลยมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก็คือหมอต้องไปอยู่ในชุมชนที่ตัวเองเกิดมา ตอนนั้นจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด และพอจบมาแล้วไม่ได้อยู่ในโควตา ก็ต้องจับฉลากไปลงว่าจะไปลงที่ไหน

ในการเรียนต้องใช้คำว่าเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ ๆ พอเราเรียนไป เชื่อว่าสุดท้าย ปี 3 ปี 4 การตัดสินใจมันยาก เราก็เลยเปิดใจยอมรับแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าทางเลือกของเราไม่ได้มีเยอะ ก็เปิดใจเปิดรับแล้วก็ชอบ จริง ๆ แล้วก็ชอบอาชีพหมอเหมือนกัน จะตอบให้โลกสวยก็ได้ เพราะว่าได้ช่วยเหลือคนไข้ และภูมิใจเวลาเห็นคนไข้อาการดีขึ้น คือถ้าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เราจะรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าถึงการรักษาได้ยาก

เอิร์ธเรียนจบรุ่นโควิดพอดี จบมาก็เจอโควิดเลย อินเทิร์นหนึ่งยังไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัดมีคนดูแล พอช่วงระลอกสองช่วงที่มันพีคเนี่ย ต้องไปอยู่ในชุมชนที่อยู่หน้างานดูแลเลย ไม่มีอายุรแพทย์ อยู่ที่นู่นคนไข้เยอะมากนะครับ โดยเฉพาะคนไข้โควิดวันละสองสามร้อยคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือว่าโรงพยาบาลสนามอีก มันต้องดูหมด ทั้งที่อาการหนัก และก็ไม่หนัก เพราะว่าอุปกรณ์เราก็ไม่พร้อม บุคลากรเราก็ไม่พอ เรื่องการส่งต่อคนไข้ก็ยาก ตอนนั้นเห็นปัญหาหลายอย่างจริง ๆ ทั้งโครงสร้างทางสังคมแล้วก็คนไข้หนักโควิด ก็ต้องสู้สุดชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน มีทั้งแบบได้ไปต่อ แล้วก็มีทั้งยอมที่จะไม่ได้ไปต่อเพราะว่าการส่งต่อก็ลำบากโรงพยาบาลจังหวัดเองก็ไม่มีที่ให้อยู่”

 

 

เหตุผลที่ไม่ก้าวต่อกับอาชีพหมอ

เมื่อเรียนจบ เอิร์ธ ได้ทำอาชีพหมออยู่เกือบ 3 ปี และตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ โดยได้เล่าเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “อย่างที่บอกไปว่าหมอในทุกวันนี้มันยากนะ ทั้งเรื่องของภาระงานเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คนไข้เยอะกว่า ความซับซ้อนเยอะกว่า และการฟ้องร้องก็เยอะกว่า แล้วก็ด้วยความที่คนไข้เยอะขึ้นภาระงานก็เยอะขึ้น แล้วค่าตอบแทนก็น้อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อที่ทำให้เราอยากเป็นหมอเยอะขึ้น

จริง ๆ เสียดายนะ แต่ว่าความชอบความรักมันไม่พอ ก็เหมือนเรารักในวิชา แต่เหมือนเรารักเขาข้างเดียว เหมือนเราทำงานอย่างเดียวแต่สิ่งที่ตอบแทนมาคือเขาไม่ได้เห็นเราเป็นคนรัก เขาไม่ได้ตอบแทนเราเหมือนเราเป็นคนรักของเขา

ด่านแรกเลยที่จะออกจากราชการ ต้องเรียกว่าของทุกคนแหละไม่ใช่กับเราอย่างเดียว ที่มักจะเจอคำถามว่า พ่อแม่มีสิทธิ์ข้าราชการรึเปล่า แล้วก็อาชีพหมอเนี่ยไม่เสียดายเหรอ พ่อกับแม่จะว่ายังไง สำหรับเราโชคดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา คือที่ตัดสินใจลาออกเนี่ยคิดหลายอย่างนะครับ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเราลาออกเลย มันผ่านการต่อสู้ด้วย ผ่านการพูดคุยกับทั้งผู้บริหารเอง เรื่องขององค์กรเอง เราไปมาหมด แล้วไม่มีคำตอบที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เราก็เลยเดินออกมา ถามว่าหมอคนหนึ่งทำงาน 24 ชั่วโมงไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมวันต่อมาไม่หยุดล่ะ ต้องบอกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะว่าโรงพยาบาลก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดคือไม่มีคนอยู่โรงพยาบาล แล้วก็ด้วยสังคมเรา เราอยู่กันแบบ seniority อะครับ เรามีชนชั้นของหมออยู่ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ Comfort กับการอยู่ในองค์กร แล้วก็เคย feedback ไปแล้วมันไม่ได้รับสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยเดินออกมา”

 

สิ่งที่เอิร์ธอยากเห็น ในแวดวงของการแพทย์

มีหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่อยากเห็นในแวดวงของการแพทย์คืออะไร? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “เราอยากเห็นสังคม หรือหัวหน้างานมองเราเป็นคนที่ทำงาน เราอยากเห็นสังคมการทำงานที่มองเราเป็นมนุษย์ คือมนุษย์เราทำงาน อาจจะต้องทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ซึ่งต้องอยู่ในระยะเวลางานที่เหมาะสม แล้วก็คนเรามันต้องกินต้องใช้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ในวงการหมอเอง ก็มองเราไม่เท่ากัน อย่างเช่นฉันเป็นหมอไปเรียนต่อเป็นเฉพาะทางแล้วฉันก็จะอยู่สูงกว่า อยู่สูงกว่าเธอ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นด้วยสังคมของเรา

แต่ถ้าใครรัก ถ้าใครชอบ แล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใน Work Life Balance ที่ดี อาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีเลยครับ”

 

 

มุมมองของการเป็น LGBTQ+ กับอาชีพหมอ

มีอีกหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ เป็นหนึ่งปัญหาของการเป็นหมอไหม? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “จริง ๆ ไม่เป็นปัญหาเลย LGBTQ+ เนี่ยอยู่ได้ เรียกว่าหมอเป็นอาชีพที่ privileges อย่างหนึ่งที่คนให้การยอมรับ ก็ต้องขอบคุณสังคมที่ยอมรับในอาชีพ เดี๋ยวนี้หมอผู้หญิง, ผู้ชาย หรือว่า LGBTQ+ เนี่ยถือว่าเท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดคนไข้ให้เกียรติมาก เรียกคุณหมอได้เลย

คำว่า LGBTQ+ เมื่อก่อนสมัยที่เอิร์ธเรียน หลักสูตรเอิร์ธนะ LGBTQ+ คือความผิดปกติทางเพศเป็น Gender Identity Disorder เป็นโรค แต่ว่าเดี๋ยวนี้ WHO หรือว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการศึกษาที่เยอะขึ้น LGBTQ+ เขาให้คำนิยามว่าคือ ความหลากหลาย เป็นเหมือนความแตกต่างที่สมองเราโปรแกรมมา เหมือนเรามีนิ้วยาวกว่าคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์นิยาม LGBTQ+ ในปัจจุบัน มันไม่ใช่โรค แต่มันคือความแตกต่าง ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่าเราคือความแตกต่างซึ่งดีมาก ๆ เลย

อีกอย่างหนึ่งเรื่องการยอมรับของ LGBTQ+ เด็ก ๆ เราจะรู้ว่าเราเป็นเพศอะไร รู้จักเรื่องเพศตอนประมาณ 3 ถึง 5 ขวบ แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสดงเรื่องของเพศสภาพการแสดงออกของเรา ก็ตอนเราเข้าสู่วัยรุ่น เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ไม่เกี่ยวกับว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่าขาดความอบอุ่นหรือเปล่าลูกถึงเป็น อันนี้ไม่ใช่ มันคือโปรแกรมในสมองเรา มันกำหนดมาแล้วว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ จริงๆ เขาไม่รู้จะแสดงออกยังไงมากกว่า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วแหละ orientation เขาคืออะไร แต่ด้วยสังคมบางอย่างทำให้เราไม่สามารถแสดงออกสิ่ง ๆ นี้ได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ LGBTQ+ อยู่ในสังคมได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายครับ ก็คิดว่าปีนี้จะได้เห็นสมรสเท่าเทียม เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ LGBTQ+ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมยอมรับเราแน่ ๆ เลยก็คือกฎหมาย ถ้ากฎหมายยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เท่ากัน LGBTQ+ ก็จะเท่ากันในประเทศไทย”

 

 

ดารา พิธีกร อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเอิร์ธ

อีกหนึ่งความฝันที่เป็นแพชชั่นในการทำคลิปรีแอคสุดปังของเอิร์ธ คือการเป็น ดารา พิธีกร โดยเอิร์ธ ได้แบ่งปันแรงบันดาลใจเรื่องนี้ว่า “วันนี้เอิร์ธเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เป็นดาราด้วย ซึ่งก็พูดไม่เกินไปเพราะว่าเดี๋ยวจะลงจอแก้ว มันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กของ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ซึ่งก็ก็ต้องบอกเลยว่าเริ่มจากการรีแอ็คซีรีส์เรื่องนั้นแหละ ก็คือแจ้งเกิดเลย

วงการบันเทิงเป็นวงการที่สนุก และสามารถเป็นกระบอกเสียงให้อะไรกับสังคมได้เยอะ ถ้าเรามีแพชชั่น อย่างที่เห็นในรีแอ็คก็พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องของการแพทย์บ้าง แล้วก็เรื่องของการขับเคลื่อนสังคมบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด เรื่องของการให้ข้อมูลความรู้กับสังคมที่มันยังขาดหายไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นพื้นฐานหมดเลยครับ

เรื่องข้อมูลทางการแพทย์เนี่ย ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทำมาเป็นสื่อ ก็ควรที่จะถูกต้อง 100% เลย เพราะว่าเราเป็นสื่อที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม อย่างอื่นสามารถตัดแต่งเติมสีได้เพราะหมอก็เป็นคนปกติทั่วไป

หลังจากที่รีแอ็คออกไปก็มีติดต่อมาเยอะ มีทางรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ชื่อดังติดต่อให้ไปออกรายการ ก็ไปร่วมพูดคุยกับเขาว่ามันเป็นยังไง สามารถพัฒนาแนวทางของซีรีส์ได้ไหมแล้วก็อนาคตจะปรับปรุงยังไง คือเขารับฟังความคิดเห็น เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทยสำหรับเรื่องแบบนี้”

 

มุมมองความแตกต่างของซีรี่ส์ไทย และ ต่างประเทศ

จากที่ได้ทำคลิปรีแอคชั่นชีรีส์มาเยอะ และได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานผู้ผลิตซีรีส์มาหลายครั้ง ทำให้ เอิร์ธ ได้เห็นความแตกต่างของการทำซีรีส์ระหว่างของไทยกับต่างประเทศ โดยเอิร์ธ ได้แชร์ให้ฟังว่า “สำหรับซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับหมอที่เอิร์ธเคยรีแอคก็มี Hospital Playlist กับ Doctor Cha ต้องบอกว่าหมอส่วนใหญ่ที่อยู่ในเฉพาะทางนั้น ๆ เขาแคสเหมือนนะ คาแรคเตอร์เขาตรงกับอาชีพ ตรงกับเฉพาะทางเลย เขา research มาอย่างดี ว่าหมอที่เรียนเฉพาะทางอันนี้ หมอนิวโรศัลย์จะต้องมีลักษณะยังไง การพูดจายังไง แล้วก็หมอศัลยกรรมทรวงอกลักษณะการพูดเป็นยังไง การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะบอกได้เพราะว่าไลฟ์สไตล์มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ซึ่งเนื้อหาเขาย่อยมาดีมาก การทำซีรี่ส์หมอส่วนใหญ่ก็คืออาจจะชี้ให้เห็นว่า วงการสาธารณสุขเรามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง แล้วก็อยากที่จะสนับสนุนอะไรผ่านสื่อ เพราะว่าเป็นหลายอย่างที่ส่วนกลางไม่สามารถให้เราได้ มันสร้างแรงบันดาลใจมาก

ส่วนในไทย หลังจากที่ไปคุยกับคนเขียนบทต่าง ๆ มา พบว่าเวลาเค้าน้อยมากในการ research ครับ ด้วยเวลาเขาน้อยมันก็จะยากหน่อย แล้วก็มันก็จะมีคนเขียนที่เป็นหมอด้วยนะมาเขียนซีรี่ส์ก็จะมีความแบบสมจริงขึ้นมาหน่อย แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมันต้องผ่านหลายกลไกที่ทำให้ละครสนุก ซึ่งต้องปรับเป็นบทละครอีกบทมันก็จะแปลกบ้าง”

 

 

ท้องไม่พร้อม อีกหนึ่งปัญหาที่เอิร์ธฐา อยากเป็นกระบอกเสียง

มีหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เอิร์ธ ได้ให้ความสำคัญ และพยายามเป็นกระบอกเสียงเกี่ยวกับเรื่องของเคส teenage pregnancy หรือการตั้งท้องไม่พร้อมในเยาวชน โดยเอิรธ์ ได้แชร์มุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เราสนับสนุนในสิทธิขั้นพื้นฐานของคน เราเห็นเรื่องนี้เป็น Pain Point ของสังคมไทยมานานเพราะเราอยู่ในวงการ เราเห็นการท้องไม่พร้อมเยอะมาก แล้วก็ท้องไม่พร้อมถึงขนาดกำลังจะคลอด วันนั้นคือวันที่เขาท้องไม่พร้อมแล้วเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอว่าเขาจะสามารถจะจัดการท้องที่ไม่พร้อมยังไง มีคุณแม่วัยใสเยอะมากที่โรงพยาบาลชุมชน เดินมาสมมติมีร้อยคน ห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าเรามีกฎหมายเรื่องของการทำแท้งแล้ว ก็คือผู้หญิงทุกคนที่ท้องไม่พร้อม สามารถเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล โดยกระบวนการคือต้องผ่านการพูดคุยกับหมอหลายขั้นตอนครับ เอิร์ธมองว่าอาจจะเป็นสิทธิของผู้หญิงคนหนึ่ง หากอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม แล้วเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลท้องนี้ให้ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในสังคมแล้ว เราสามารถเข้ามารับการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยครับ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ

เราอยากสนับสนุนให้เรื่องการป้องกันเป็นที่พูดถึงกันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงกันเลย ยิ่งการคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้สำหรับเยาวชนเนี่ยฟรี ยาคุมกำเนิด หรือง่าย ๆ เลย ถุงยางอนามัยป้องกันได้ที่สุด แล้วไม่ใช่กันท้องแต่กันโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ด้วย  อันที่สองสำหรับผู้หญิงก็จะมีการฝังยาคุม ฝังครั้งนึงอยู่ได้ 3 - 5 ปี แล้วก็ยาคุมฉุกเฉิน คือหลังจากที่เราไปประกอบกิจกรรมไปพลาดอะไรมา ร้านยาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเข้าไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเนอะ ก็เป็นอุปสรรคนึงที่ทำให้เราเข้าถึงยาคุมฉุกเฉินยาก แต่เราต้องกล้า ดังนั้นด่านแรกที่เราต้องไปเจอก็คือเป็นคุณเภสัชกรที่ร้านขายยา ภายใน 48 – 72 ชั่วโมงแรกจะได้ผลดีที่สุดในการกินยาคุมฉุกเฉินจะช่วยคุมกำเนิด

เดี๋ยวนี้มันต้องพูดกันได้แล้วว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องให้ความรู้กับเยาวชนที่ถูกต้องเพราะเขาก็ไม่ได้รับความข้อมูลได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราก็มีหน้าที่ให้ความรู้แล้วก็ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สถาบันแรกเลยคือครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ยังขาดการให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง”

 

 

ห้องฉุกเฉิน ที่อยากให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับสิทธิ์ก่อน

มีอีกหนึ่ง Pain point ที่เอิ์รธเคยเจอเมื่อตอนที่ยังเป็นหมอ ก็คือเรื่องของ ห้องฉุกเฉิน โดยเอิร์ธ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็น Pain point อีกเรื่องคือเรื่องห้องฉุกเฉินกับหมอ เพราะว่าห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนอกเวลาราชการ ซึ่งก็จะมีคนไข้หลายรูปแบบมาเลย ถ้าฉุกเฉินจริงก็โอเคไม่เป็นไรเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ส่วนใหญ่มันเป็นในเรื่องของการที่ไม่ฉุกเฉิน หมายถึงว่า คนไข้เป็นไข้มาแล้ววันหนึ่งอยากมาหาหมอจังเลยตอน 2-3 ทุ่ม อะไรแบบนี้ครับ 
ซึ่งในช่วงนอกเวลาราชการจะมีแต่ห้องฉุกเฉินอย่างเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็จะมีหมอแค่คนเดียวที่ดูแลทั้งหมด ซึ่งหมอก็น้อยอยู่แล้ว บุคลากรทางการแพทย์อย่างอื่นก็น้อยด้วย พยาบาลก็ไม่พอ แล้วเทคนิคการแพทย์ หรือว่าเภสัชกรก็ไม่พอด้วย เขาก็จะรับไม่ไหว

อยากให้คนไทยรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเบื้องต้นก่อนครับ เช่นเรื่องของไข้เนี่ยมันก็ไม่ได้มีสอนในสุขศึกษาว่า ไข้มันคืออะไร ไข้มันมาจากไหน ส่วนใหญ่มันเกิดจากไวรัสเกิดจากหวัดหรือเปล่า แล้วการดูแลตัวเองเบื้องต้นยังไง สามารถซื้อยากินเองได้มั้ย สามารถมาเจอหมอในวันถัดไปได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นไข้ เป็นหวัด มาหาหมอหรือไปร้านยา ก็ได้ยาเหมือนกัน

จริง ๆ โครงการ 30 บาทดีมั้ย มันดีนะครับเพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะเข้ามาโรงพยาบาลมาได้ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็เป็น Pain point อย่างนึงเหมือนกัน เพราะเหมือนโยนภาระทุกอย่างเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหมดเลย ไม่ว่าคนจะเป็นยังไงก็มาโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เหมือนเป็นการผลักภาระเข้ามาที่บุคลากรการแพทย์ ซึ่งมันต้องแก้ที่อะไรหลายๆ อย่างระบบการศึกษาด้วย แล้วก็ให้ความรู้ทั่วไปกับประชากรและสังคมด้วย” - เอิร์ธ อติรุจ

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “พีท พล” ศิลปินเสียงนุ่มลึก กับเส้นทางสู่ฝันที่ถูกลิขิตมาเพื่อค้นฟ้าคว้าดาว

18 ก.ค. 2024

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “พีท พล” ศิลปินเสียงนุ่มลึก กับเส้นทางสู่ฝันที่ถูกลิขิตมาเพื่อค้นฟ้าคว้าดาว

“การค้นหาตัวเองวิธีง่าย ๆ เลยคือถ้าเราอยากทำอะไร ให้ลองทำไปเลย เพื่อค้นหา Passion ของตัวเอง แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอ หรือสมมติว่าเจอแล้ว ไปถึงแล้ว คุณอาจจะมี Passion ใหม่ ๆ ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด”เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิตรับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสับ “พีท พล” ศิลปินหนุ่มเสียงลุ่มลึก ที่ผนึกทุกอารมณ์เข้าสู่หัวใจผู้ฟัง ด้วยเทคนิคการร้องเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และประจักษ์ต่อทุกสายตา พร้อมการันตีด้วยหลากหลายบทบาททั้งศิลปิน, นักแสดง, นายแบบ และเชฟ นอกจากนี้ยังมีผลงานเพลงฮิตอย่าง มากกว่ารัก, First Kiss และ ออเจ้าเอย ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เขาได้ผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต เพื่อก้าวไปสู่ความฝันให้กลายเป็นจริง พร้อมยังมีหลากหลายข้อคิดแรงบัลดาลใจ ที่ได้แชร์ไว้ในรายการอีกด้วย“นักร้อง” ความฝันตั้งแต่เด็กที่ พีท พล อยากทำให้สำเร็จ“นักร้อง คือความฝันตั้งแต่เด็กเลยครับ เราเป็นคนที่ชอบร้องเพลง เท่าที่จำความได้ก็คือ ตัวเองถือวิทยุที่มีช่องใส่เทปของคุณแม่ แล้วเทปทุกอันพังหมด เพราะว่าเราชอบอัดเสียงตัวเองลงเทปคาสเซ็ท อัดเล่นทับเทปของแม่ จนแม่ต้องเก็บไปซ่อนซึ่งนักร้องที่ชอบที่สุด คือ พี่มิ้นท์ มาลีวัลย์ ถ้าเป็นต่างชาติก็จะเป็น วิตนีย์ ฮิวสตัน ทั้งคู่คือที่สุดในดวงใจแล้ว ซึ่งในตอนเด็กเวลาเห็นเวทีที่ไหนก็จะคิดว่าเราต้องขอขึ้นแสดงความสามารถ เคยมีครั้งหนึ่งคุณป้าพาไปเห็นเวที แล้วเราขอขึ้นไปบนเวที เดินไปเองด้วย แล้วป้าเห็นอีกทีก็คืออยู่บนเวทีร้องเพลงอยู่บนนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีรูปที่คุณป้าเก็บไว้ เป็นรูปที่อยู่บนเวที ซึ่งที่บ้านก็เหมือนกับว่าอยากทำไรก็ทำ เค้าไม่บังคับว่าเราจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แต่เรารู้สึกว่า การได้ร้องเพลงได้แสดงคือการที่เราได้ทำสิ่งที่ชอบครับ”พีท พล กับตัวตนที่ฉันเป็น“สมัยเด็กเราโตมาในแบบที่เราไม่เข้าใจหรอกว่า ตุ๊ด คืออะไร เราแค่รู้สึกว่าเหมือนเราชอบผู้หญิง เคยมีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แล้วเราก็ค่อย ๆ ถูกมองว่าเป็นเพื่อนตุ๊ด แต่เราไม่รู้ว่าทำไม เราชอบผู้หญิงไม่ได้เหรอ จนเราเพิ่งมามีแฟนเป็นผู้ชายคนแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งสมัยก่อนคุณพ่อไม่โอเคเลย แต่เราก็ยังเป็นตัวของตัวเองนะ เค้าไม่โอเคแต่เราก็สู้ แล้วคุณแม่ก็จับแต่งหญิงเล่น จับไปถ่ายรูปกับพี่สาวด้วย ซึ่งเค้าก็ไม่คิดหรอกว่า มันจะส่งผลอะไรบ้าง แต่สำหรับพีท เรามองว่ามันเป็นเรื่องของสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วด้วยโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งคุณแม่เค้าก็อยากได้ลูกผู้ชายแหละ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราก็เป็นตัวเองแค่นั้นเรื่องการถูกบูลลี่ ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนเด็ก เรามองว่ามันไม่ได้ถึงขั้นที่เรียกว่าบูลลี่ เพราะว่าถ้าโดนบูลลี่เราจะโต้ตอบไม่ได้ แต่เราเป็นคนสู้คน ก็เลยรู้สึกว่าจะเรียกว่าบูลลี่ก็ไม่ได้ เค้าด่าเรา เราก็ด่ากลับ เราก็ปากแซ่บอยู่เหมือนกัน”เส้นทางสู่ฝัน จากนักแสดงละครเวที เล่นโฆษณา สู่ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว“งานแรกเลยในชีวิตเลยคือ พีทไปเล่นละครเวทีถวายให้ ควีนอลิธซาเบธที่ 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2535 พีทก็ไปเล่นละครเวทีรับบทเป็นพระนเรศวรตอนเด็ก พอได้เล่นละครเวทีแล้วก็รู้สึกว่าชอบจังเลย สนุกมาก ตอนนั้นมีข่าวลงมติชน เราก็ดีใจว่าฉันได้ลงหนังสือพิมพ์ แล้วแม่ซื้อเก็บไว้เป็น 10-20 เล่มเลย หลังจากนั้นก็กลับมาเรียน แล้วมีกิจกรรมที่โรงเรียน วันนั้นเราก็เต้น ซึ่งเต้นแรงมาก แล้วตอนเดินลงเวที ก็มีรุ่นพี่มาเรียกบอกว่าว่า มีพี่จากโมเดลลิ่งอยากเจอ เราก็คิดว่าชีวิตฉันกำลังจะได้เป็นดาราละ ก็ตัดสินใจไป พอไปถึงเค้าบอกว่าช่วยไปเรียกเพื่อนอีก 2 คนให้หน่อย 2 คนที่เต้นด้วยกันที่หล่อ ๆ ตามมาให้หน่อย ตอนนั้นเราก็รู้สึกพารานอยด์ แต่เค้าก็คงสงสารว่าเห็นหน้ามันจ๋อย ๆ ก็เลยเอาเราไปด้วย ก็ได้ไปแคสโฆษณา ซึ่งไปแคสตอนแรกเราไม่เข้าใจเลยว่าจินตนาการมันคืออะไร พี่เค้าจะบอกว่าให้วิ่งแล้วเดี๋ยวมันมีส้มหล่นมาจากลัง แล้วให้เรากระโดดข้ามส้ม ซึ่งเราก็เก้ ๆ กัง ๆ มาก จากนั้นก็ได้แคสติ้งไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่ามันคือเรื่องของภาพในหัวเรา จนเราเล่นโฆษณาไปประมาณ 20 กว่าตัวจนเราได้เข้าไปถ่ายละคร และเซ็นสัญญากับ พี่หน่อง อรุโณชา แล้วหลังจากนั้นก็เล่นละคร และครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่อยากเล่นละครต่อ เพราะเคยเจอผู้กำกับที่ดุร้ายมาก คือค่อนข้างไปในแนวใช้ความรุนแรงนิดนึง แล้วเราก็ยังใหม่กับการเป็นนักแสดง แล้วมันมีซีนที่ต้องมีคนมาสะกิดหลัง แล้วเราต้องสะดุ้ง แต่คนมันรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวฉันจะโดนสะกิดหลัง ฉันต้องตกใจ เวลาเล่นจังหวะของเรามันไม่ได้ เค้าก็สะกิดเราไปเรื่อย ๆ สะกิดแรงขึ้น จนทุบหลังเราแรงมาก วันนั้นก็เลยบอกแม่ว่าไม่เล่นแล้วมารับกลับบ้านเดี๋ยวนี้ จนพี่หน่องก็เลยส่งคนมาคุย มาขอโทษว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เราก็เลยทนเล่นไป และหลังจากนั้นเราก็เลิกเล่นละครไปเลยพักหนึ่งจนรู้สึกว่าเราอยากเป็นนักร้อง Passion ของเรากลับมา เลยไปประกวด First Stage Show Project ปี 2 ซึ่งคนที่ผ่านเวทีนี้ก็จะมี ไอซ์ ศรัณยู, ตั๊กแตน ชลดา และ ป๊อบ แคลอรี่บลาบลา เป็นต้น ซึ่งพีทไปปีที่สอง แต่เราก็ไม่ได้ มันเหมือนจังหวะของดวงด้วย ซึ่งวันนั้นเราคิดว่ายังไงฉันก็ได้ เพราะตื่นมาตี 3 ซ้อมร้องเพลงแล้วเสียงใสมาก แล้วพอตื่นอีกทีเสียงหายไปหมดเลย แล้วก็ต้องไปแข่ง พอแข่งจบเราก็แพ้เรื่องเสียง แล้วตอนนั้นมีประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 1 และเราเป็นแฟนคลับ นิวจิ๋ว เราก็ไปดูไปเชียร์แล้วชอบมาก ก็เลยไปประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 2 ซึ่งเราติดสัญญาอยู่ด้วย แต่ขอพี่หน่องว่า เราอยากเป็นนักร้องจริง ๆ ขอไปได้ไหม ซึ่งพี่หน่องก็ใจดีมาก ๆ ยอมให้เราไปทำตามความฝันของเรา”การประกวด The Star กับคำครหาว่า ครอบครัวระดมโหวตให้ตัวเองเข้ารอบ“ตอนที่พีทไปประกวด The Star เราไปด้วยมายด์เซ็ทที่ว่า พีทอยากเรียนรู้ อยากรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้น ฉันอยากลองไปดูว่ากรรมการจะคอมเมนต์ฉันว่าอะไร ฉันจะได้นำกลับมาปรับปรุงมาทำให้มันดีขึ้น กลายเป็นว่าตอนที่ไปประกวดมันกดดันมาก เพราะว่ากรรมการคอมเมนต์กันรุนแรงมาก และแรงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นรอบร้องสดยิ่งหนัก จนเรารู้สึกว่าฉันทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักที มันจะไม่มีอะไรที่ดีเลยเหรอ เราว่ารอบนี้เราดีขึ้น แต่มันก็ยังดีไม่พอ ตอนนั้นอยากกลับบ้าน แล้วเราจะเสียใจทุกครั้งที่เวลาคนอื่นตกรอบแล้วไม่ใช่ตัวเรา เพราะเรารู้ว่า ณ เวลาตรงนั้น เราอ่อนที่สุดด้วยสิ่งที่เห็น แต่คนก็โหวตเราให้เข้ารอบไปเรื่อย ๆจนช่วงนั้น 94 EFM มีงานเปิดคลื่น แล้วเราโดนนักข่าวสัมภาษณ์ถามว่า จริงไหมที่คุณให้ที่บ้านโหวตตัวคุณเองเข้ารอบ แล้วด้วยความที่เราเป็นคนปากแซ่บ ก็เลยตอบนักข่าวไปว่า บ้านพีทไม่ใช่คนรวย ไม่มีฐานะมาก ถ้าพีทมีเงินพอที่จะโหวตตัวเองเข้ารอบขนาดนั้น พีทเอาเงินไปเปิดค่ายแล้วออกเพลงเองดีกว่าไหม แล้วก็ผ่านมาได้ตอนที่ตกรอบ เป็นรอบเดียวที่เราไม่ร้องไห้ เพราะเมื่อก่อนมันไม่มีโซเชียล ถ้าอยากอ่านคอมเมนต์ก็อ่านได้จากแค่ในเว็บของแกรมมี่ ที่ชื่อเว็บจีเม็มเบอร์สแลซเดอะสตาร์ แล้วในเว็บถ้ามีคอมเมนต์ที่เป็นบวกก็จะเป็นสีเขียว ส่วนคอมเมนต์ไหนเป็นลบจะเป็นสีแดง แล้วมีวันนึงพีทขอรายการกลับบ้านเพื่อกลับไปสอบ รายการเค้าก็ให้กลับไป ก็ใช้จังหวะนั้นเปิดอินเตอร์เน็ต เพราะปกติรายการเค้าไม่ให้ดูเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคนเกลียดเราขนาดไหน พอเราเข้าไปอ่านปรากฎว่าเค้าด่าเรามีแต่ตัวแดง ไม่มีสีเขียวเลยซึ่งเราแค่แปลกใจ เพราะถ้าเค้าคอมเมนต์ว่าเราร้องไม่ดี มันก็จริง มันร้องไม่ดีเหมือนที่กรรมการเค้าพูด แต่เราก็สงสัยว่า แล้วตัวเองทำไมยังไม่ตกรอบสักที ช่วยเอาฉันออกไปจากตรงนี้สักที จนทุกครั้งที่คนอื่นตกรอบพีทจะร้องไห้ตลอด กระทั่งวันที่พีทตกรอบเป็นวันเดียวที่พีทไม่ร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าอิสระของฉันมาแล้วพีทเป็นคนชอบการประกวด เพราะเราอยากรู้เสมอว่าตอนนี้ฉันอยู่ในระดับไหน สิ่งที่ฉันพยายามมามันดีขึ้นหรือยัง ถ้าถามว่าทุกวันนี้ให้กลับไปประกวดหรือไปแข่งขันอีก พีทก็ยังชอบและอยากไป ซึ่งสุดท้ายแล้วการแข่งขันมันก็มีผู้แพ้ผู้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่เราตกรอบ The Star เราแค่รู้สึกว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของความชอบ เป็นเรื่องของรสนิยม เพราะฉะนั้นทุกคนจะชอบนักร้องคนเดียวกันหมดก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนอาหารก็ยังกินไม่เหมือนกันเลย”จาก “มากกว่ารัก” , “ออเจ้าเอย” สู่ “เคยอมแล้ว” เพลงใหม่จากใจของ พีท พล“หลังจากประกวด The Star จบ แล้วเราก็เซ็นสัญญากับแกรมมี่ จะมีช่วงหนึ่งที่เวลามีเรื่องอะไร เค้าจะมีโปสเตอร์หน้าลิฟท์ เป็นโปสเตอร์ที่เขียนว่า งานส่งช้า มีปัญหาเพื่อนร่วมงาน หรือเจอปัญหาอะไรในการทำงาน สามารถส่งเมล์มาได้ที่ เทลไพบูลย์แอดจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ดอทคอม แล้วเรากลายเป็นตำนานหนึ่งเดียวของศิลปิน ที่ส่งอีเมล์หาคุณไพบูลย์ ส่งไปด้วยถ้อยคำประมาณว่า ผมชื่อพีทนะครับ เป็น The Star ปี 2 เซ็นสัญญามาที่นี่ 3 ปีแล้ว ถ้าจะไม่ทำอะไรให้ผม ก็ช่วยยกเลิกสัญญาแล้วปล่อยผมไปด้วย หรือถ้าจะทำขอแค่ 1 เพลง เพราะจะได้วัดเลยว่าเราจะสามารถเป็นศิลปินได้ไหมหลังจากนั้นเค้าตอบพีทภายในวันเดียว ซึ่งเลขาคุณไพบูลย์โทรมาว่า เดี่ยวพรุ่งนี้นัดให้ไปเจอพี่อ๊อด กิตติศักดิ์ และได้ทำโปรเจ็กต์วอยซ์เมล์ ระหว่างการทำงานก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ เป็น หมอเอิ้น พิยะดา ก็เลยเกิดเป็นเพลง มากกว่ารัก ขึ้นมา พีทว่ามันเป็นเพลงที่มีความหมายที่ดี แล้วทุกครั้งที่มีงานแต่งงานคนก็จะนึกถึงเพลงนี้ ขอบคุณมาก ๆ ที่ทำให้เพลงนี้เกิดขึ้นในเรื่องเพลงประกอบละคร พี่หน่องจะกรุณาให้พีทร้อง เราร้องเพลงละครทุกปี ปีละเพลงสองเพลง อย่างเพลง ออเจ้าเอย บอกเลยว่าไม่ได้คาดคิดไว้เลย เป็นเพลงที่แอบอัด เพราะเหมือนพี่หน่องจินตนาการขึ้นมาว่าอยากให้มันมีเพลงนี้ แล้วละครกำลังจะออนแอร์ แล้วมันมีซีนที่พระเอกนางเอกอยู่บนเรือ ซึ่งพีทไม่เคยดูละครเลย ตอนนั้นพีทกำลังจะบินไปร้องเพลงที่อังกฤษ พี่หน่องก็ทักมาบอกว่า ส่งเพลงไปให้ฟัง แล้ววันอัดก็คือคืนวันที่บินเลย ก่อนอัดเค้าก็เล่าให้พีทฟังว่าเรื่องมันเป็นยังไง พีทก็เลยพยายามคิดว่าเราคือพี่หมื่น แล้วร้องออกมา ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเพลงมันดังมาก มารู้ตอนที่เพลงปล่อยมาแล้ว แล้วก็ได้กลับไปดูละครตอนแรก ถึงรู้สึกว่า ตอนแรกก็ปังขนาดนี้เลยเหรอ เข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็ร้องเพลงประกอบละครมาเรื่อย ๆพีทร้องเพลงมา 20 ปีแล้ว มีเพลงที่เป็นเพลงเดี่ยวของตัวเองน่าจะประมาณ 8-9 เพลงเอง จนปีนี้เราอยากจะมีเพลงความหมายดี ๆ ให้กับแฟน ๆ ให้เป็นเหมือนคำขอบคุณ ก็เลยกลายเป็นเพลงใหม่ล่าสุด เคยอมแล้ว ออกมาครับ อยากให้ฟังเพราะว่าชอบมาก ๆ เปิดฟังสบาย ๆ ในกรีนเวฟได้บ่อย ๆ เลยครับ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พีท พล“ความรักตอนนี้ดีครับ ความรักของพีทหลาย ๆ รอบ พีทจะระลึกถึงพี่อ้อยคนแรกเสมอ เพราะปรึกษาความรักกับพี่อ้อยตลอด อย่างตอนนั้นที่เรารักเพื่อนแล้วคิดว่าเราจะบอกเค้ายังไงดี ซึ่งเป็นที่มาของเพลง First Kiss แล้วพี่อ้อยก็บอกว่า 70% เค้ารู้อยู่แล้ว อีก 30% คือแค่เราบอก แต่ว่ามันก็ต้องชั่งน้ำหนักดี ๆ ว่าเราพร้อมจะรับผลจาก 30% นั้นไหม พีทก็เลยไม่บอกแต่ความรักทุกวันนี้ดีครับ มีคุยกัน ตีกันบ้าง มีไม่ค่อยเข้าใจกันบ้าง ซึ่งความรักของพีท จริง ๆ แล้วสิ่งที่พีทรักที่สุดก็คือสุนัข คือกำลังจะบอกว่าไม่มีอะไรที่สามารถทดแทนสุนัขของพีทได้เพราะว่านั่นคือดวงใจของพีทจริง ๆ พีทบอกเลยว่า ใครที่จะเข้ามาในชีวิตก็แล้วแต่ เราก็จะบอกให้เค้ารับรู้ว่า หมาคือนัมเบอร์วันของเรา Love me love my dogและความรักพีทมองว่า เราต้องให้ 50:50 ทั้งสองฝ่ายมันถึงจะเต็มร้อย และไม่ได้ใช้แค่ใจ มันต้องใช้สมองด้วย เพราะบางครั้งถ้าเรารักด้วยหัวใจ มันจะทำอะไรที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง จนเราอาจจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง”ยิ่งเรามี Multitalent ก็จะทำให้เราเอาตัวรอดได้“ตอนนี้พีทใช้ชีวิตอยู่ 2 ที่ ไทย และออสเตรเลีย ไปกลับ วันศุกร์กลับมาที่ไทย อยู่เสาร์-อาทิตย์ แล้วบินกลับ พีทไปเรียนทำอาหาร เรียนเป็น Cookery แล้วก็กำลังจะเรียนต่อเรื่อง Kitchen Management แล้วก็อยากต่อด้วย Hotel Management การเรียนทำอาหารมันเริ่มจากที่พีทถูกเชิญไปแข่งมาสเตอร์เชฟเซเลบริตี้ แล้วตอนนั้นติดล็อคดาวน์ ก็เลยโดยยกเลิกกรุ๊ปสุดท้าย เราไม่ได้แข่งต่อ เกิดเป็นความคับแค้นใจ ฉันอุตส่าห์ซ้อม และเราชอบทำอาหารมาก ที่บ้านเปิดร้านอาหาร แล้วก็คลุกคลีกับอาหารมาตลอด ก็เลยตัดสินใจไปเรียนเลย พอได้ไปเรียนเรื่องอาหาร มันเหมือนกลายเป็นคนบ้าไปเลย เพราะการรู้เยอะมันจะทำให้เรากินยากขึ้น เพราะมันจะระแวดระวังไปหมด ทั้งความปลอดภัยในการบริโภค หรือในการปรุงอาหารส่วนงานด้านแฟชั่น มาในช่วงที่พีทเป็นนักร้อง แล้วก็รู้สึกว่าฉันอยากเดินทาง อยากไปต่างประเทศ จนได้ไปเจอ พี่หญิง ที่ดับเบิ้ลยูเอ็ม ด้วยความบังเอิญ เราก็เลยบอกเค้าว่าอยากไปเมืองนอก เค้าก็เลยส่งไปสิงคโปร์ แล้วก็ได้โดดไปที่มิลาน ไปทำงาน ไปแคสติ้ง จนเหมือนเราไปทำงานปกติเลยพีทมองว่าโอกาสมันไม่ได้มาหาเราเสมอไป เราต้องวิ่งไปหามัน คือพยายามคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาเสมอ โดนปฏิเสธบ่อยมาก ยิ่งถ้าทำอาชีพเป็นโมเดลลิ่ง อย่างไปเป็นนายแบบ บางงานแคส 800 คนเอา 2 คน แต่เราก็ยังไป ยังอยู่เพื่อที่จะให้เค้าเห็น เราต้องทำตัวให้เหมือนตุ๊กตาล้มลุก คือพอเราล้มเราก็แค่ลุก เสียใจได้แต่อย่านาน เพราะว่าเวลาคือสิ่งที่มีค่าที่สุด และเวลาไม่เคยรอเราถ้าถามว่าชอบงานอะไรมากที่สุด มันเลือกไม่ได้จริง ๆ เพราะทุกครั้งเวลาที่ได้ไปทำอะไรใหม่ ๆ พีทก็จะมีความคิดถึงสิ่งที่เคยทำ อย่างตอนที่พีทเรียนอาหาร พีทก็คิดถึงกองละคร อยากกลับไปเล่นละคร ร้องเพลงเราก็ยังชอบ ก็ยังร้องเพลงอยู่เรื่อย ๆ มันก็ยังเป็นความฝันที่เราทำได้ไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทิ้งมันและพีทเป็นคนที่ชอบหา Passion ใหม่ ๆ ให้ตัวเอง เหมือนมีช่วงที่พีทดูโปรเจกต์รันเวย์ แล้วเราตัดสินใจซื้อจักรเย็บผ้า แล้วก็ไปลงเรียนเย็บผ้า ทุกวันนี้ก็พยายามเย็บเอง บางครั้งถ้าเรายิ่งมี Multitalent มีสกิลเยอะ ๆ มันจะทำให้เราเอาตัวรอดได้ อย่างไปอยู่เมืองนอก ฉันมีสกิลเย็บผ้า ฉันสอยผ้าได้ เราก็รับจ้างสอยผ้า ล่าสุดมีอาชีพใหม่คือเก็บของเก่า ก็ไปตามคอนโด เค้าทิ้งอะไร เราก็เอาไปโพสต์ขาย ขายต่อ ได้เงินมาเพิ่มอีก”สีสันแรงบันดาลใจจาก พีท พล“อยากให้ลองทำเยอะ ๆ บางครั้งการทำศิลปะ สมมติว่าถ้าคุณชอบวาดรูป คุณวาดรูปไปเลย คุณอยากทำอะไร คุณลองทำ ทำหลาย ๆ อย่าง เพื่อค้นหา Passion ของตัวเองว่าอะไรที่เหมาะกับเรา อะไรคือสิ่งที่เราชอบ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอ หรือสมมติว่าถ้าเจอแล้ว ไปถึงแล้ว คุณอาจจะมี Passion ใหม่ ๆ ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องผิด” - พีท พลพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

02 พ.ค. 2023

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็นความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่60 แล้วพี่จ๋า อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลงแม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมากจริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉาสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุขหนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรงหลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือได้เผยเรื่องนี้ว่า“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเคแล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่ หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเองหนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆและเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะหนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้งเวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะคือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจและหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มาหนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัวแม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้านสมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเองปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”เรื่องราวความรักของป้าตือนอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่ ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพร้อมคำทำนาย ของ “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมู สู่เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน!”

19 เม.ย. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพร้อมคำทำนาย ของ “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมู สู่เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน!”

“เหรียญมี 2 ด้านเสมอ อะไรมากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี เรื่องดวง ต๊อกแต๊ก พูดเสมอว่า อย่าไปเอาหมอดูมาเป็นตัวตัดสินใจทั้งหมด ให้มองว่าหมอดูเป็นแค่ไกด์ไลน์ชีวิต เพราะสิ่งที่เกิดในชีวิต มันมาจากดวงส่วนนึง และการกระทำของเราอีกส่วนนึง ซึ่งมันจะมีผลของมันอยู่”Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมูเตลู กับเหตุการณ์เซ้นส์พลิกชีวิต ให้กลายเป็นหมอดูชื่อดัง เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน” สีสันของชีวิต ข้อคิดแรงบันดาลใจ พร้อมคำทำนายสุดจึ้ง ได้ถูกแชร์ไว้ในรายการอีกด้วยดร.ณฐอร นพเคราะห์ กับเส้นทางการท่องเที่ยวตามรอยพญานาค“ต๊อกแต๊ก เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Marketing Communication ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนปริญญาตรี ต๊อกแต๊ก เรียนจบคณะศิลปกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนูเป็นเด็กบ้านนอก พอเข้ามาในกรุงเทพปุ๊บ เราก็เหมือนต้องมาบากบั่นหาเงิน แล้วก็ส่งเสียครอบครัว ส่งน้องสาวเรียนด้วย ตอนนั้นเราก็เลยไม่มีโอกาสเรียนต่อ แต่สุดท้ายหนูได้ทุนจาก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งในตอนแรกหนูได้ทุน ป.โท ก่อน แล้วพอเรียนประมาณ 1ปี คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยก็แจ้งข่าวสารมาว่า ทางมหาวิทยาลัย อนุมัติให้ต๊อกแต๊ก เรียนหลักสูตรโทควบเอก หนูก็เลยต้องลาออกแล้วไปลงเรียนใหม่ ผ่านไป 4 ปี ก็เรียนจบ เพิ่งรับปริญญามาเมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมาค่ะความเชื่อในเรื่องพญานาค ด้วยความที่ต๊อกแต๊ก เป็นเด็กอุบลราชธานี มีคุณตาเป็นหมอธรรม คือเป็นคนที่ศึกษาเรื่องของไสยเวท ส่วนคุณปู่ก็เป็นเหมือนหมอดูด้วย เป็นหมอดูที่ต้องเขียนกระดานชนวน แล้วทั้งคู่ก็จะมีความเชื่อในเรื่องของพญานาค ทำให้ต๊อกแต๊กก็เชื่อในเรื่องของพญานาคอยู่แล้ว เชื่อว่าท่านบันดาลฝน ช่วยเหลือมนุษย์ และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้เราแต่พอเรามาอยู่ในบทบาทการเป็นนักวิชาการ เราก็ต้องห้ามอคติกับข้อมูล แล้วก็ต้องศึกษาหลาย ๆ มุม บวกกับตัวเองเป็นคนที่ชอบความอลังการ ความสวยงาม งานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ต๊อกแต๊ก เลยได้นำเรื่องราวของพญานาค มาสร้างเป็นสตอรี่ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว โดยพื้นที่ขอบเขตงานวิจัยของหนูคือเส้นแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเลย ไปจนถึง จังหวัดอุบลราชธานี เราก็ไปเลือกแหล่งท่องเที่ยวมา แล้วนำมาจัดกรุ๊ปเป็นเส้นทางแต่ละเส้นทาง ได้ทั้งหมด 99 แหล่งท่องเที่ยว ใน 9 เส้นทางความเชื่อเรื่องพญานาค ของคนภาคอีสาน เค้าจะมี ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ฮีตสิบสองก็คือประเพณีที่เป็นจารีตที่ทำต่อ ๆ กันมา ซึ่งมันจะมีช่วงที่ฝนแล้งต้องขอฝน คนอีสานก็เลยต้องขอพญาแถน โดยการจุดบั้งไฟขึ้นไป นอกจากนี้คนอีสานก็เชื่อว่าพญานาคก็เป็นผู้บันดาลฝน บันดาลน้ำ พอเราได้ไปศึกษาความหมายของพญานาค ตามข้อมูลงานวิจัย หรือตามเอกสารต่าง ๆ บอกว่าพญานาคเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางน้ำ และมีความเชื่อเรื่องของการบันดาลฝน บันดาลน้ำ บันดาลความเจริญอุดมสมบูรณ์ เพราะน้ำคือตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหากเรามองในยุคปัจจุบัน จากการเก็บข้อมูล เราจะเห็นว่าในภาคอีสานมีพญานาคอยู่หลาย ๆ แห่ง ซึ่งตรงไหนที่มีพญานาค ส่วนใหญ่จะเกิดเศรษฐกิจชุมชน เช่น ขายบายศรี ขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย รวมไปถึงขายสลากกินแบ่ง มันก็เป็นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ต๊อกแต๊ก ก็เลยมองว่า จริง ๆ แล้วถ้ามองในเรื่องของความเชื่อสมัยก่อน ที่เชื่อว่าพญานาคให้ความเจริญ อาจจะหมายถึงการทำให้น้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้พืชผลทางเกษตรกรรมเจริญงอกงาม แต่ในปัจจุบันนี้อาจจะหมายถึง การทำให้เม็ดเงินเกิดการหมุนเวียนในจังหวัด อย่างเช่น นครพนม กำลังจะพัฒนาจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก บึงกาฬกำลังจะมีสนามบิน นอกจากนี้สนามบินกำลังจะเกิดขึ้นใน มุกดาหาร พะเยา พังงา ส่วน กาฬสินธุ์ และ มหาสารคาม ก็จะร่วมกันทำสนามบินต่อไปในอนาคตค่ะ”ต๊อกแต๊ก A4 กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู“ฉายา ต๊อกแต๊ก A4 มาจากกระดาษ A4 ที่เราใช้จดชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด แล้วก็จะดูดวงจากกระดาษ A4 เลยเป็นที่มาของ ต๊อกแต๊ก A4 จุดเริ่มต้นของการดูดวง ย้อนกลับไปก่อนจะเป็นหมอดู สมัยก่อนเราเป็น AE แล้วก็ต้องไปดูการตัดต่อ เพราะต้องไปดูโฆษณาให้ลูกค้า แล้วพอตัวเราไปโดนกับตัดต่อปุ๊บ เราก็เห็นเป็นภาพที่ต่อกันเป็นเรื่องราว แล้วก็พูดกับน้องตัดต่อคนนั้นว่า ที่บ้านมีต้นวาสนาเหรอ ต้นสูงดีนะ นี่เพิ่งเปลี่ยนรถมาเหรอ น้องก็ตกใจว่า พี่ต๊อกแต๊ก ดูดวงผมรึเปล่าเนี่ย เราก็เลยมีสติขึ้นมา แล้วก็เก็บเซ้นส์นั้นมา หลังจากนั้นก็มีรุ่นพี่ที่เป็นร่างทรง ก็แนะนำต๊อกแต๊กว่า ถ้าไม่อยากเป็นร่างทรงก็ให้ไปขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ซึ่งตอนนั้น เรานับถือพระแม่อุมา ที่วัดแขก ซึ่งเป็นองค์เดียวที่นับถือในตอนนั้น แล้วเราก็ขอองค์แม่ว่า ขอให้ลูกได้เป็นผู้หญิงเหมือนองค์แม่ จนกระทั่งช่วงอายุ 24 ปี ใกล้เบญจเพส ก็มีโอกาสได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โรงพยาบาลศัลยกรรมขึ้นชื่อของไทย ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นคนดัง เป็นแค่กะเทยคนนึงที่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ความรู้สึกและความต้องการศัลยกรรมของเรา แล้วเราก็บอกว่าอยากจะแปลงเพศที่โรงพยาบาลนี้ แล้วปรากฏว่าได้แปลงเพศฟรี ในปี 2552 เราเลยรู้สึกว่านี่เป็นพรของพระแม่ เพราะตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้แปลงเพศ เราเป็นแค่กะเทยบ้านนอกที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ เงินเดือน 8,000 บาท จะไปหาเงินจากไหนมาแปลงเพศต๊อกแต๊ก A4 กับเซ้นส์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก“เรื่องของเซ้นส์จริง ๆ แล้วมันมีมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก เราก็จะเห็นว่าบ้านหลังนี้ดูเค้ามีปัญหาครอบครัวนะ ซึ่งคนรอบตัวเราก็จะงงว่า ต๊อกแต๊ก อยู่ดี ๆ ทำไมถึงทักแบบนี้ แล้วเซ้นส์นี้มันก็หายไปตอน ต๊อกแต๊ก เรียนมหาวิทยาลัย แล้วก็กลับมาอีกทีตอนที่กลับมาทำงานแต่ก่อนเซ้นส์มันมาหนักมาก จนรู้สึกว่าบางเรื่องเราขอไม่เห็น แต่เราปิดระบบไม่ได้ บางทีเราไปนอนสระผมที่ร้าน เราก็เห็นเรื่องราวของคนที่มาสระผมให้ หรือบางทีเวลามีคนมาดูดวงกับเรา เราก็เห็นว่ามีคนเดินตามเค้ามา จนกระทั่งวันหนึ่งอาจจะเป็นความแก่กล้าของเรา เราเริ่มควบคุมเซ้นส์ได้ อะไรที่ไม่อยากรับรู้เราก็ตัดไปเลย ไม่สนใจมันไปเลยเคยมีแม่ลูกมาดูดวงกับต๊อก ซึ่งลูกของเค้าเกิดมาแล้วเป็นมะเร็งเลย ตอนนั้น ต๊อกแต๊ก ยังไม่เคยรู้จักท้าวหิรัญพนาสูร แต่อยู่ดี ๆ ตอนนั้น เราก็รู้สึกว่าเคสนี้ต้องไปกราบท้าวหิรัญพนาสูรนะ แล้วไปเข้าคอร์สรักษา ซึ่งพอเค้าไปทำตามลูกเค้าก็หายจริง ๆ พอดูดวงมาเยอะ ๆ เราก็เรียนรู้ว่าทุกคนต้องเผชิญกรรมของตัวเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่บุญและกรรมของเรา ซึ่ง ต๊อกแต๊ก ก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นหมอดูหรอก แต่ในเมื่อวันนี้ ถ้าเส้นทางของ ต๊อกแต๊ก มันโดนขีดมาแล้วว่าต้องเป็นหมอดู ดังนั้น ต๊อกแต๊ก ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่น เราต้องพูดตามที่เราเห็น ตามเซ้นส์ที่เราสัมผัสได้ ต๊อกแต๊ก ก็เลยทำแบบนั้นมาโดยตลอด 17 ปีค่ะ”เช็คดวงหลังสงกรานต์ 2567 ราศีไหนปัง ราศีไหนต้องระวัง!“ราศีที่ต้องระวังเป็นพิเศษ จะมี ราศีสิงห์ และ ราศีธนู ที่อาจจะต้องระมัดระวังหน่อย และอาจจะเหนื่อยหน่อยในปีนี้ ราศีเมถุน ปีนี้ก็จะเจอปัญหาหรือเจออะไรที่มันยาก อย่างถ้าน้อง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ หรือทำงานอยู่ หรือที่ต้องฝ่าฝัน หรือต้องสอบแข่งขัน อาจจะยากหน่อย ส่วนราศีที่โดดเด่นและเฮง ในปีนี้ก็จะมี ราศีกุมภ์ ราศีพฤษภ ราศีพิจิก ราศีกันย์ และราศีตุลย์จะโดดเด่นในเรื่องโดยรวมทั้งงาน ทั้งเงิน มีโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้น ใครที่มองในเรื่องของการลงทุนอยู่ ราศีราศีเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นราศีที่โดดเด่นเลยค่ะโดยวิธีการนับราศีของ ต๊อกแต๊ก จะนับง่ายมากคือวันที่ 16-15 อย่างเช่น 16 มิถุนายน จนถึง 15 กรกฎาคม คือราศีเมถุน แบบนี้ค่ะ แต่ก็จะมีหลาย ๆ ท่านที่เค้าดูตามลัคนา”เปิดความหมายตัวเลขท้ายบัตรประจำตัวประชาชน จาก ต๊อกแต๊ก A4“ต้องบอกว่าเลข 3 ตัวท้ายบัตรประชาชนของเรา เลขที่ดี เลขที่เฮง เลขที่ฆ่าไม่ตาย ส่วนใหญ่จะต้องมี เลข 1 เลข 5 และ เลข 9เลข 1 เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนตรงไปตรงมา มีความมั่นคง แบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพร มีแต้มบุญเก่ามาดี และอาจจะมีโลกส่วนตัวสูงหน่อยเลข 2 เป็นเลขของความเหนื่อย ความอดทน ความพยายาม ถ้าต้องเลือกลูกน้องสักคน เลขบัตรประชาชนของเค้าควรจะมีเลข 2 หรือเกิดวันที่ 20 วันที่ 2 เพราะเลข 2 มันเป็นเลขของความพยายาม ความอดทน เป็นคนขยัน ถึงแม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ว่ามันก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่เลข 2 ไม่ควรที่จะไปหุ้นกับคนอื่นเลข 3 ไอเดีย ความคิด แต่บางครั้งก็คิดมากเกินไป อย่างถ้าเลข 3 ไปอยู่กับวันจันทร์ พุธ ศุกร์ จะเป็นคนอีโมชั่นนอลเยอะ เพราะ เลข 3 คือความวิตกกังวลได้ง่าย เป็นคนคิดมากเลข 4 จะมีผลเรื่องของความรัก คือความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ รักเพศเดียวกัน รักคนต่างประเทศ รักพ่อแม่แม่หม้าย ต้องแต่งงาน 2 รอบ หรือรักซ้อนซ่อนรัก เลข 4 ถ้าเราโสด หรืออยากแต่งงานกับคนเลขนี้ วิธีการแก้ก็คือจัดงานแต่งงานได้แต่ไม่ต้องจดทะเบียน หรือบางคนจดทะเบียนแล้วจดทะเบียนหย่าแล้วจดทะเบียนใหม่ หรือบางคนก็แยกห้องนอน หรืออาจจะใช้เตียง 2 เตียงติดกันก็ได้ และเลข 4 เป็นเลข LGBTQ+ ได้ด้วย คนที่เป็น LGBTQ+ ส่วนใหญ่จะมีเลข 4 ในชีวิตเลข 5 คือเลขเงินเลข อำนาจ วาสนา คล้ายกับเลข 1 ตรงที่ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเลข 6 จะมีความเป็นตัวเองคือเหมาะกับการทำอะไรเป็นของตัวเอง ธุรกิจของตัวเอง หรือเป็นนายตัวเอง บางทีก็จะโลกส่วนตัวสูงหน่อยเลข 7 เลขเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ อะไรที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะดีเลข 8 เป็นเลขดารา เป็นเลขที่ต้องใช้ปากทำมาหากิน เช่น พ่อค้า แม่ค้า นักร้อง พีอาร์ เซลล์ขายของ อาชีพที่ต้องใช้ปากทำมาหากินทั้งหลายเลข 9 ก็คือความมั่นคงในชีวิต เป็นอีกเลขนึงที่เป็นเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นเลขที่ค่อนข้างที่จะมีความมั่นคง แต่บางครั้งมันก็จะทำให้เราเป็นคนที่ตรงหรือโลกส่วนตัวสูงมากเหมือนกันเลข 0 สำหรับต๊อกแต๊กจะไม่นับ ยกเว้นว่าคนที่มีเลข 0 0 0 (ในตำแหน่ง 3 ตัวท้ายบัตรประชาชน) ให้ดูเป็นเลขตัวแรกก่อนที่จะเป็นเลข 0 แทน”ประสบการณ์ดูดวง ของ ต๊อกแต๊ก A4“ต๊อกแต๊ก ไม่ดูดวงตัวเอง เพราะไม่ว่ามันจะเป็นกลางขนาดไหน เราก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ และกับญาติพี่น้องหรือกับคนสนิทก็จะดูดวงให้ไม่ได้เหมือนกัน แต่มีเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องของครอบครัวเลย คือ ต๊อกแต๊ก ฝันว่าคุณตาลื่นล้ม แล้วมีวิญญาณมาดึงคุณตา พอตื่นเช้ามา ต๊อกแต๊ก ก็โทรหาคุณแม่ว่าคุณตาอยู่ไหม แม่ก็บอกว่าคุณตาล้ม เราก็เลยตกใจ เพราะรู้ว่าล้มรอบนี้หนักแน่ แต่แม่ก็บอกว่าไม่หนักนะ กลับมาอยู่บ้านแล้ว แล้วแม่ก็ถามว่าทำไมต๊อกแต๊กถึงรู้ เราก็เล่าเรื่องความฝันที่ฝันถึงคุณตาให้แม่ฟังอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ ที่บ้านของต๊อกแต๊ก จะมีรถสีส้ม เป็นรถสองแถวคันใหญ่ แล้ววันหนึ่ง ต๊อกแต๊ก ก็ฝันว่า รถคันนี้ไปขนอะไรมา แล้ว ต๊อกแต๊ก ก็ขับมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้า แล้วรถคันนี้ขับตาม แล้วเหมือนหลังรถขนไม้หรือขนบางสิ่งอยู่ข้างหลัง แล้วภาพก็ตัดไปเป็นภาพบ้าน แล้ว ต๊อกแต๊ก ก็เดินเข้าไปในบ้าน พอตื่นเช้ามา ต๊อกแต๊ก ก็โทรไปถามแม่ว่า แม่เอารถไปขนอะไรมารึเปล่า แม่บอกว่าเอาไปขนบ้านร้างที่มีคนเสียชีวิตจากจังหวัดอื่นมา ซึ่งกับครอบครัวส่วนมากเซ้นส์จะมาในแบบความฝัน ถ้าฝันแล้วจะค่อนข้างแม่นแต่ก่อน ต๊อกแต๊ก จะใช้แค่กระดาษ A4 แล้วก็ดูดวงดวงตามเซ้นส์ หลัง ๆ มันต้องมีตัวช่วยอื่น ๆ อย่างเช่นให้จับไพ่ซิ แล้วเราก็อ่านตามไพ่ หรืออย่างตอนดูดวงให้ แซมมี่ เราก็ให้ไปหยิบใบไม้มา เด็ดมาแล้วอธิษฐานจิต แล้วเราก็ทักตามที่เห็นจากใบไม้ และเวลาคนมาดูดวง เราก็ต้องขออนุญาตเค้า และเค้าต้องอนุญาตให้เราดูดวง เราถึงจะดูดวงให้ได้ค่ะ”ต้องดูดวงอย่างไร ให้จากลบ กลายเป็นบวก“ต๊อกแต๊ก จะเป็นคนที่คำนึงว่า ถ้าเป็นเราไปดูดวงแล้วมีคนพูดกับเราแรงๆ เราก็คงไม่ชอบ เราก็เลยต้องพยายามคิดก่อนว่า เราจะทำยังให้จากที่มันจะเป็นลบให้กลายเป็นบวก อย่างเช่นเรารู้ว่าเค้าจะมีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุแบบหนัก ๆ เราก็จะบอกว่าช่วงนี้ขับรถให้ระมัดระวัง หรือถ้าออกกำลังกายก็ให้ระมัดระวังเพราะว่ามีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุอยู่ ลองไปบริจาคเลือด ไปเอาเลือดออกหน่อย ไปทำฟัน หรือไปจิ้มหน้า ให้ตัวเองมีเลือดออก หรือไปบริจาคโรงศพ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร หรือบางทีอย่างสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ของเค้า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราก็ต้องบอกว่า ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังนะคะ โดยเฉพาะคุณแม่มีเกณฑ์เจ็บป่วย แต่ ต๊อกแต๊ก คิดว่ามันน่าจะเป็นไปตามวัย อาจจะพาเค้าไปเช็คร่างกายหน่อย เหมือนเป็นการฟาดเคราะห์ พอพูดแบบนี้ลูกของเค้าก็จะพาไปตรวจร่างกายหน่อย พาไปฟาดเคราะห์หน่อย เพราะคนแก่ส่วนใหญ่ พอคนอื่นทักมักไม่ฟัง แต่พอบอกหมอดูทักกลับเชื่อ”การดูดวง ที่มาพร้อมการเก็บสถิติ“ต๊อกแต๊ก ชอบในเรื่องของการเก็บข้อมูล เพราะแต่ก่อนคนมาดูดวง จะต้องบอกชื่อ วัน เดือน ปี เกิด อายุ เราจะรู้เลยว่าคนที่มาดูดวงกับเรา 10 คน อายุอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แล้วอาชีพที่มาดูดวงกับเราเยอะที่สุดคือ เซลล์ ลูกเรือ นักการตลาด หมอ และอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยคนที่มาดูดวงอายุต่ำสุดอยู่ที่ 25-26 ปี เป็น First Jobber และอายุที่เยอะที่สุด ก็ประมาณ 35 ปี จึงกลายเป็นที่มาว่า ทำไมดวงรายปักษ์ ของ หมอดูต๊อกแต๊ก A4 ถึงมีเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องสุขภาพ เรื่องความรัก เรื่องศีลสมดุลย์ และเรื่องการทำบุญ ซึ่งตอนเริ่มสื่อโซเชียลยังไม่มาเลย แล้วพอมันเริ่มมีโซเชียล ต๊อกแต๊ก ก็เริ่มมาเขียนดวง เขียนในโน้ตโทรศัพท์ แล้วก็แคปเอามาลง กลายเป็นว่ามีคนติดตามเยอะเวลาดูดวง คนชอบถามเรื่องงานก่อน แล้วจะมีเงินไหม ความรักเป็นยังไง แล้วถึงถามเรื่องสุขภาพ จริง ๆ แล้ว ต๊อกแต๊ก มองว่า สุขภาพสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา แต่คนจะเอาสุขภาพไว้ที่หลัง ต่อให้เรามีเงินขนาดไหน แต่ถ้าสุขภาพเราไม่ดี เงินของเราก็จะหมดไปกับสุขภาพ เราจะไม่มีเวลาใช้เงิน แต่ถ้าเราสุขภาพดี แล้วเรามีแรงในการทำมาหาเงิน ต๊อกแต๊ก ว่าอันนี้สำคัญมาก”เปิดทริค มูความรักอย่างไรให้ปัง!“ถ้าเอาในพาร์ทของหมอดูก่อน ต๊อกแต๊ก ก็จะบอกว่า ถ้าเรามีเลข 4 ในดวง ซึ่งส่วนมากจะอาภัพรัก เราก็ไม่ต้องกลัว สำหรับ ต๊อกแต๊ก คิดว่าเผชิญกับมันไปเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเราห้ามกันไม่ได้ แต่เราต้องมีสติแล้วก็รับมือมันให้ได้ ดังนั้นถ้าเรารู้เร็วว่ามีเลข 4 ก็ให้ไปแก้เคล็ดก่อน ซึ่งมันมีวิธีการแก้เคล็ดก็จริง แต่มันไม่ได้บอกว่าจะสำเร็จแบบ 100% บางคนแก้แล้ว แต่ก็ยังเลิกอยู่ดี แต่ ต๊อกแต๊ก ก็จะให้วิธีการสำหรับคนที่มีเลข 4 แล้วมีคู่ยาก ก็ลองไปขอถอนคำสาบานที่ ร.5 เสร็จปุ๊บก็ไปไหว้พระนอน เพื่อขอถอนคำสาบาน คำสาปแช่ง คำสัญญา ที่เราเคยมีชาติที่แล้ว และเราขออนุญาตมีคู่ในชาตินี้ จากนั้นเราค่อยไปขอเทพองค์อื่น พระแม่ลักษมี พระแม่อุมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายังไม่ไปถอนคำสาบาน ไปขอยังไงก็ไม่ได้ เพราะว่าเรามีคนที่ห่วงเราอยู่ส่วนอีกพาร์ทที่ไม่ได้เป็นหมอดู ต๊อกแต๊ก มองว่าการที่จะมีความรัก มันคือแต้มบุญของเราส่วนนึง แล้วก็การวางตัวของเราแต่ละคน มันต้องมาพร้อม ๆ กันคือ การมูเตลู การออกไปหา การไปเจอ การไปเรียนรู้ และบางครั้งเราอาจจะพลาดคนดี ๆ ไปก็ได้ ถ้าเรามองเห็นเค้าภายนอก แล้วเรารู้สึกว่าไม่ใช่ ต้มยำ 2 ถ้วย รสชาติยังไม่เหมือนกันเลย ถ้าไม่ลองชิมก่อน เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเปรี้ยวไป เค็มไป หรือหวานไป เราต้องลองชิมดูก่อน”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ ต๊อกแต๊ก A4“ก่อนจะมีความรักที่ดี ต๊อกแต๊ก เคยโดนพระที่เป็นเกจิที่ตัวเองนับถือมาก ๆ ท่านทักว่า ต๊อกแต๊ก ต้องผิดหวังกับความรักทั้งหมด 11 ครั้ง พอรู้เราก็ตกใจนะ แต่ก็ตัดสินใจเผชิญกับมัน เราทุ่มเทกับความรักทุกครั้ง เราใส่ใจคนรัก เราให้เกียรติ เราเต็มที่ในพาร์ทของความรัก แต่เมื่อไหร่ที่มันไปต่อไม่ได้ เราต้องรู้จักที่จะยอมรับมันแล้วก็มูฟออน ทุกวันนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกัน ครั้งหนึ่งเราเคยรักเค้า เค้าก็เคยรักเราเรื่องมูเตลู ต๊อกแต๊ก ไปขอกับ ร.5 ที่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ไปกับ คุณนิว นภัสสร ตอนนั้น คุณนิว ยังไม่มีลูกเลย ก็ไปกราบขอพรหลวงพ่อสมเด็จวัดโพธิ์ แล้วนิวก็บอกว่าพานดอกไม้เหลือ ไปไหว้เสด็จพ่อ ร.5 ไหม ก็เลยไปไหว้กัน หลังจากนั้นคนก่อนหน้านี้ก็เข้ามาในชีวิต เราก็คิดว่านี่คงเป็นคนที่เรารอคอยมานาน แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่รอด แล้ววันที่เลิกกัน ก็คือวันที่ไปกราบศพสมเด็จะพระสังฆราชที่วัดนี้พอดี เราก็ไปกราบ ร.5 ด้วยกัน แล้วก็บอกเลิกกันวันนั้น เราเลิกกันด้วยดีเพราะเรารู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้ เรารู้สึกว่าท่านให้เราสองคนมาชดใช้กรรมให้มันหมดเพื่อที่จะให้เราเจอคนใหม่ ซึ่งแฟนคนปัจจุบันเราก็ไปขอพระแม่อุมา ที่วัดแขก ก็ได้ความรักครั้งนี้มากับ คุณตั๊ก เรารู้จักกันมาประมาณ 6 ปี แต่ว่าเพิ่งมาคบกันเมื่อปีที่แล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ ต๊อกแต๊ก ก็มีความรักมาก่อน แต่ไม่ได้สมหวัง กับคนนี้ เราเพิ่งคบกันเมื่อตอน สิงหาคม 2566 รู้จักกันเพราะว่าเค้ากับรุ่นน้องของเรารู้จักกัน แล้วรุ่นน้องก็เป็นคนพาเค้ามาดูดวงกับเรา ตอนนั้นเค้าเพิ่งย้ายมาจากอเมริกา แล้วจะมาอยู่มาเลเซีย เค้าก็เลยมาดูดวง ซึ่งตอนนั้นยังไม่สนใจกันเพราะต่างคนต่างมีแฟน แต่เค้าก็ติดตาม Instagram เรา แล้วก็ทักมาบ้าง จึงได้เริ่มได้พูดคุยกัน แต่พอคุยกันไปสักพักมันก็มีเหตุให้เราต้องหยุดการคุยกันไป ต่างคนต่างใช้ชีวิต แต่ว่าเค้าก็ไม่เคยหายไปแบบ 100% เค้าก็ยังมีไปทำบุญตรงนี้นะเอาบุญมาฝาก แล้วก็ให้กำลังใจกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องความรัก แต่ในวันที่มาคบกัน มันเหมือนพอรู้จักกันมาแล้วแล้วเราอายุเท่า ๆ กัน เลยได้คุยกันแบบผู้ใหญ่ และเราสองคนจะต้องไม่เป็นภาระของกันและกัน เค้าก็บอกโอเคเพราะเค้าก็อยากจะกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ มาดูแลกิจการที่บ้าน มาทำธุรกิจของเค้า แล้วเราก็ต่างคนต่างซัพพอร์ทกันไป กลายเป็นความรักที่ดีค่ะตอนนี้”ต๊อกแต๊ก A4 กับการผลักดัน พ.ร.บ. #สมรสเท่าเทียม“ก่อนหน้านี้ มันก็จะมีร่างของหลาย ๆ พรรคการเมือง แต่ก็จะมีอุปสรรคในเรื่องของการเข้าไปในสภาแล้วมันโดนตีตก ซึ่งพวกเราก็สู้กันมาโดยตลอด แต่พอ ต๊อกแต๊ก ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งเป็นนักวิชาการประจำกรรมาธิการเด็กเยาวชนสตรีผู้สูงอายุผู้พิการกลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร มันก็มีเรื่องของเจนเดอร์ ในเรื่องของการสมรสขึ้นมา ซึ่ง ต๊อกแต๊ก เป็นคนกดไมค์แล้วพูดว่า จริง ๆ เป็นประเทศที่เปิดกว้างมากเลยสำหรับ LGBTQ+ แต่ว่าเปิดกว้างในด้านของพฤตินัย แต่ด้านนิตินัยยังไม่ได้เปิดรับ ข้อที่สองคือ มีงานวิจัยที่เราเก็บข้อมูลมาเยอะมากว่า กลุ่ม LGBTQ+ ที่ต่างประเทศเค้าอยากจะมาเที่ยวประเทศไทย ติด Top 5 ของโลก และ LGBTQ+ มีพฤติกรรมผู้บริโภคคือเป็นคนที่มีกำลังซื้อกำลังจ่าย ต๊อกแต๊ก มองว่า ถ้ากฎหมายบ้านเรามันผลักดันกัน หรือมันมีการปรับเปลี่ยน มันมีการสมรสเท่าเทียม หรือในเรื่องคำนำหน้า มันจะทำให้เม็ดเงินเข้าประเทศชาติเราได้ แล้วเราทำแคมเปญสื่อสารออกไปให้ต่างชาติได้รับรู้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายรองรับ ไม่บูลลี่ ไม่เหยียดหยาม ไม่อันตราย ไม่ทำร้ายกลุ่ม LGBTQ+ ต๊อกแต๊ก เชื่อว่าต่างชาติเค้ามาประเทศไทยแน่นอนแล้วที่ผ่านมา ต๊อกแต๊ก ก็ยอมรับในฐานะ LGBTQ+ คนหนึ่ง เวลาที่เราไปพูดเรื่องกฎหมาย หรือเราจะผลักดันอะไรก็แล้วแต่ เราไม่เคยไปพูดในมุมการเปลี่ยนให้เกิดภาพใหญ่ในประเทศ เราจะไปพูดในมุมของเรา เช่น ฉันใช้สวัสดิการของแฟนไม่ได้ ฉันไปต่างประเทศแล้วโดน ตม.จับ ครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ในวันที่ ต๊อกแต๊ก พูด เราพูดในมุมของที่ว่า ปัจจุบันนี้การแพทย์มันไปไกลมาก ทรานส์เจนเดอร์ก็สวยมากขึ้น และ ต๊อกแต๊ก เก็บข่าวเยอะมาก ต๊อกบอกเลยว่าปัจจุบันนี้ชายจริงหญิงแท้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าวันหนึ่งสามีนอกใจภรรยาไปเป็นชู้กันกับทรานส์เจนเดอร์ แต่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1148 มันระบุแค่ว่า ชายใดนอกใจภรรยาไปเป็นชู้สาวกับหญิงอื่น ดังนั้นกรณีข้างต้นไม่สามารถเอาผิดทรานส์เจนเดอร์ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เปลี่ยนกฎเป็น บุคคลใดบุคคลหนึ่งนอกใจคู่สมรส ไปมีชู้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คุณเอาผิดได้เลย เพราะว่าไม่ว่าเพศไหนก็แล้วแต่ นอกใจคือนอกใจ อันนี้คือคุณเอาผิดได้ พอพูดเรื่องนี้ทุกเพศเข้าใจ มันก็เลยกลายเป็นภาพใหญ่ และ ต๊อกแต๊ก ได้เรียนรู้ว่า เวลาเราจะพูดอะไรก็แล้วแต่ มันต้องเกิดผลได้หรือผลเสีย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงกับภาพใหญ่ มันถึงจะเกิดการผลักดัน ดังนั้น ณ ตอนนี้ สมรสเท่าเทียม ต๊อกแต๊ก กล้าพูดได้เลยว่าผ่านแน่นอน เพราะเค้าทำอย่างประณีต แล้วเค้ามีภาคประชาชน ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ ภาคประชาชนก็มาช่วยกันเต็มที่มาก ภาคของสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ไปอยู่ที่สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมันเหลืออีกวาระเดียวก็จะบรรจุเป็นบังคับใช้แล้ว”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ต๊อกแต๊ก A4“อยากจะฝากน้อง ๆ ที่เป็นหมอดู และคนที่ฟังหมอดูต๊อกแต๊กอยู่ว่า การที่เราให้เกียรติซึ่งกันและกันสำคัญที่สุดเลย นอกจากนี้เราต้องเชื่อมั่น และซื่อสัตย์กับจรรยาบรรณ และวิชาชีพของตัวเอง คนเราเกิดมามีเซ้นส์ได้ เป็นหมอดูได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานก็ให้มันพอดีแบบสุจริต คนที่ไปดูดวงก็เหมือนกัน ควรมีสติในทุกอย่าง อย่าไปเชื่ออะไรง่ายเกินไป บางทีอาจจะโดนหลอกได้ ที่เราบอกว่า หมอดูคู่กับหมอเดา แม่หมอก็อยากจะบอกทุกคนว่า ไม่มีใครตอบได้ว่าเราดูดวงแม่นหรือไม่แม่น แต่คนที่ดูดวงไปแล้ว ถึงจะตอบได้ว่ามันใช่หรือมันไม่ใช่ ดังนั้นฟังหมอดูเป็นไกด์ไลน์ชีวิตดีกว่าค่ะ” – ต๊อกแต๊ก A4พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองชีวิตของ “ครูธัญ ธัญวัจน์” ตัวแม่ผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ทุกเพศเท่ากัน

15 มิ.ย. 2023

เปิดมุมมองชีวิตของ “ครูธัญ ธัญวัจน์” ตัวแม่ผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ทุกเพศเท่ากัน

รายการ Club Pride Day ต้อนรับ Pride Month ด้วยการเฉลิมฉลองทุกความรัก และความเป็นไปได้บนโลกใบนี้ กับแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่เป็นตัวแม่ผู้อยู่เบื้องหลัง และคอยผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายที่จะทำให้คนทุกเพศเท่ากันความประทับใจเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก๊อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ “ครูธัญ - ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์” จากอดีตผู้ออกแบบท่าเต้นเพลงแดนซ์ชื่อดัง “จีนี่จ๋า” ของวง “2002 ราตรี” ก้าวสู่การทำหน้าที่ ส.ส. ที่ต่อสู้และผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีหลากหลายเหตุการณ์ หลากหลายมุมมอง ที่ครูธัญ ได้นำมาแชร์ในรายการความชอบ ความฝัน ที่ฉันต้องซ่อนไว้เฮฮัลเล ฮัลเลวังกา เฮฮัลเล ฮัลเลวังกา จีนี่จ๊ะ จีนี่จ๋า ออกมา...เชื่อว่านี่คือเพลงที่หลายคนรู้จัก และมักจะเต้นตามเมื่อได้ยิน ด้วยดนตรีสุดจี๊ดจ๊าด มาพร้อมท่าเต้นที่เป็นภาพจำ ที่คนสามารถเต้นตามได้ ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นเพลงแดนซ์ยอดนิยมเพลงนี้ ครูธัญ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ทำหน้าที่ออกแบบท่าเต้นให้กับเพลงจีนี่จ๋า ของวง 2002 ราตรีโดยครูธัญ ได้เผยจุดเริ่มต้นของความชื่นชอบ ที่ถูกต่อยอดกลายเป็นความฝัน ของการทำอาชีพผู้ออกแบบท่าเต้นให้ฟังว่า “เมื่อก่อนแอบไปเรียนเต้น เพราะว่าตอนนั้นเราไปเรียนดนตรีที่สยามกลการ พอได้เห็นห้องเต้น เราก็เลยลองเข้าไปเต้นดู ซึ่งพอนับจังหวะ five , six , seven แล้วครูก็บอกว่าเธอพร้อม เธอเต้นได้ แล้วครูก็แนะนำให้ไปเรียนบัลเล่ต์ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็รู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ว่าในยุคนั้นเราต้องแอบซ่อน เราก็อยากเรียนบัลเลต์ แต่มันเป็นสิ่งที่เราไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ก็เลยแอบไปเรียน จนกระทั่งเข้าตาหลาย ๆ ท่าน เค้าก็เลยชวนกันมาเต้น แล้วก็เลยเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นนี่แหล่ะค่ะ”เริ่มค้นพบว่าตัวเองเป็น LGBTQ+ในยุคหนึ่งที่ LGBTQ+ ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคมมากเท่ากับปัจจุบัน ครูธัญ ก็ผ่านการค้นหาและการพิสูจน์ตัวเองต่อครอบครัว และสังคมภายนอก พร้อมกับเจอแรงกดดันในเรื่องของการแสดงออกทางเพศสภาพด้วยเหมือนกัน ซึ่งครูธัญ ได้แชร์เรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “ธัญ เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่รู้ แต่ในเมื่อเราไม่พูด เค้าก็ไม่ถาม ธัญ ไม่รู้ว่าคุณแม่มอง ธัญ เป็นยังไง แต่ตอนเด็ก ๆ ธัญ รู้สึกว่าตัวเองอยากเล่นกับพี่สาว แต่ถ้าจะเล่นกับพี่ชาย พี่ชายก็ต้องเล่นเป็น แบทแมน ซุปเปอร์แมน ส่วนเราก็จะเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ เวลา ธัญ จะสนิทกับใคร ธัญ จะเห็นความต่าง อย่างเช่นเวลาไปบ้านเพื่อน ก็จะเห็นว่ามีเพื่อนบางคนไม่อยากให้เราไปบ้าน เพราะว่าเค้ากลัวพ่อแม่รู้ว่าเราเป็นกะเทย มันทำให้เรารู้สึกไม่เป็นตัวเองเต็มที่จากสิ่งรอบข้าง ในยุคนี้อาจจะนึกไม่ออก แต่ในยุคก่อนเราจะมีคำว่า “แอบจิต” คือเรารู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ภายนอกก็จะต้องแสดงออกเป็นแนวแมน ๆ มันเป็นยุคที่พยายามซ่อนตัวตน ยุคที่เพื่อนเราไม่สามารถจะเล่นกับเราได้อย่างเต็มที่ ยุคที่เราอยากจะเป็นอะไรก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนเป็นในตอนที่อยู่ในวงการเต้น ตอนนั้นเรารู้สึกว่าพอเราเต้นแล้วได้เงิน เราก็คิดว่าเกิดการยอมรับแล้ว แต่พอเราเต้นไปสักพักนึง คนก็จะมองเราว่าตัวเล็ก รูปร่างไม่เป็นผู้ชาย แดนเซอร์ยุคนั้น ผู้ชายแบบจะต้องมีกล้ามหน่อย แล้วธัญก็เป็นคนตัวแกร็น ๆ เล็ก ๆ คนก็คิดว่าตกลงแล้วเราเป็นหญิงหรือเป็นชายกันแน่ แล้วสมัยก่อนจะมาไม่มีการเต้นแบบ Vogue แบบผู้ชายเต้นออกกะเทยแบบนั้นจะไม่มีเลย ก็จะต้องเต้นเป็นผู้ชาย แล้วเวลาเราเต้นคนดูก็จะกรี๊ดคิดว่าเราเป็นผู้ชาย พอเราลงเวทีพวกเค้าจะตามมา ซึ่งเราเป็นกะเทย เราก็จะรู้สึกอึดอัดนิดนึง คิดว่าเราจะเอายังไงดี เหมือนว่าเราต้องเก๊กแมนทำงาน”จุดเปลี่ยนจาก วงการบันเทิง สู่ นักการเมืองแม้จะอยู่ในวงการบันเทิง แต่ ครูธัญ ก็จะมีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสิ่งที่จุดประกายอีกหนึ่งความฝันที่อยากจะเป็นนักการเมือง โดยครูธัญ ได้เผยเรื่องราวนี้ว่า “พอธัญเติบโตมาการศึกษาในประเทศไทย และสังคมโดยรวม มันก็หล่อหลอมให้เราคิดแบบที่เป็นอนุรักษ์นิยม จริง ๆ แล้วคำถามการเมืองของธัญมันดังขึ้นมาตั้งแต่เด็ก คือ ธัญ ทำงานกลางคืนตั้งแต่อายุ 18 -19 นะคะ แล้วเวลาขับรถกลับบ้านเราเห็นเหตุการณ์ของพฤษภาทมิฬปี 2535 เราก็เกิดการตั้งคำถามว่า ทำไมสื่อมวลชนถึงนำเสนอภาพอีกแบบหนึ่ง แล้วคำถามมันดังมาก ๆ ตอนรัฐประหารปี 2549 ที่มีคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมเราต้องทำร้ายกัน ดูเป็นคำถามเด็ก ๆ ง่าย ๆ แล้วช่วงนั้นมันก็เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนให้เราสนใจกลับไปศึกษาเรื่อง 6 ตุลา ซึ่งเราก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ จริง ๆ แล้วในระหว่างอำนาจรัฐกับการคิดต่าง มันจำเป็นต้องกำจัดโดยวิธีใดวิธีหนึ่งทำไม ธัญ ถึงใส่ใจเรื่องของสังคม เพราะว่าพอเราศึกษาเรื่องของ 6 ตุลา ทำให้เราเหมือนตื่นรู้ทุกวันเลย เราเห็นศิลปินหญิงที่ทำทุกอย่างมากมาย ทุ่มเท ตีลังกา ร้องเสียงสูง แต่งตัว ลดน้ำหนัก ทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่ดังเท่ากับผู้ชาย เราเห็นความไม่เท่าเทียมทุกอย่างของสังคม เห็นรองเท้าส้นสูงที่กดขี่ผู้หญิง เห็นรายการโทรทัศน์ที่ตบจูบ และเห็นคนนั่งเฝ้ารอพระเอกข่มขืนนางเอกด้วยความตื่นเต้น และอยากให้โดนข่มขืน พอเห็นความไม่เท่าเทียมเหล่านี้มันเลยสะสม จนทำให้เราตัดสินใจมาเดินสายการเมือง”ทำไมถึงต้อง #สมรสเท่าเทียม“สมรสเท่าเทียม” เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อสนับสนุนสิทธิความเท่าเทียมทางเพศของกลุ่ม LGBTQ+ ที่ถูกพูดถึงและเป็นที่ถกเถียงจนเกิดแฮชแท็ก #สมรสเท่าเทียม ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนโซเชียลมีเดียหลายครั้ง นำไปสู่การลงชื่อเรียกร้องให้มีการร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เพื่อผลักดันเป็นกฎหมายต่อไป โดย ครูธัญ ได้อธิบายเรื่องราวของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ให้ฟังว่า “เพราะในปัจจุบันสมรสมันยังไม่เท่าเทียม อย่างพี่อ้อยสมรสแล้ว พี่อ้อยจะรู้ว่ามีสิทธิ์ ทั้งสิทธิที่จะดูแลกัน สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน มีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งจัดการทรัพย์สิน หรือแม้แต่รับบุตรบุญธรรม แต่ว่า LGBTQ+ ไม่มีมันเหมือนเวลาที่เรารักกับใครซักคน แล้วมันเป็นแค่ความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่มีสถานะ วันหนึ่งเค้าไปมีใครก็ได้ เพราะว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน ซึ่งสมรสเท่าเทียมจะเป็นจุดให้ LGBTQ+ มีครรลองในการดำเนินชีวิตในเรื่องสมรสเท่าเทียม ธัญคิดว่ามันไม่ใช่แค่ตัวธัญที่อึดอัด แต่ LGBTQ+ ทุกคนมีส่วนในการขับเคลื่อน เพราะทุกคนมีประสบการณ์ร่วมว่า ความรักของพวกเราเป็นไปไม่ได้ เมื่อทุกคนมีประสบการณ์ร่วม เวลาที่เรามาทำงานการเมือง เราก็จะเห็นกลุ่ม NGO กลุ่มที่พยายามขับเคลื่อนความเท่าเทียมว่ามันมีประเด็นร่วม ทุกคนมีประสบการณ์ ซึ่งสมรสเท่าเทียม ธัญต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ LGBTQ+ ทุกคนมีอยู่ในใจว่า ความรักฉันไม่เคยเป็นไปได้เสียทีโดยกฎหมายจะให้สิทธิเราเหมือนคู่สมรสเลย โดยเราเปลี่ยนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 จาก ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล เพื่อให้ทุกเพศสามารถสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง เพราะฉะนั้นกฎหมายลูกอีก 127 ฉบับ ก็จะให้สิทธิ์ทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอภิบาลดูแลกันในฐานะคู่สมรส สวัสดิการราชการในฐานะคู่สมรส การหักลดหย่อนภาษีในฐานะคู่สมรส การใช้นามสกุลในฐานะคู่สมรส การรับบุตรอุปการะในฐานะคู่สมรส การจัดการทรัพย์สินในฐานะคู่สมรส การฟ้องคดีอาญาหรือแพ่งแทนคู่สมรส การจัดการงานศพในฐานะคู่สมรสโดยสมรสเท่าเทียม มันผ่านวาระ 1 แล้วนะคะ แล้วก็เสร็จในคณะกรรมาธิการ แล้วก็บรรจุ กำลังจะเข้าสู่วาระ 2 ซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองคือติดที่ พรบ.กัญชา กัญชง คือเหมือนกับว่า พรบ.กัญชา กัญชง ก็จะมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและไม่อยากให้ผ่าน เค้าก็จึงอภิปรายกันยาวแบบทีละมาตรา มันเลยทำให้สมรสเท่าเทียมที่ต่อคิวอยู่มันเข้าไม่ได้ มันต่อคิวอยู่สมมติมีการเปิดประชุมสภา เราก็จะยืนยันกฎหมายสมรสเท่าเทียม แล้วก็ดันเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 เลย ไม่ต้องไปเริ่มใหม่ ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็น รอบรรจุวาระต่อเลย ซึ่งต้องยอมรับว่ามีทุกพรรค ฝ่ายกฤษฎีกา หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันออกมาทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด”เมื่อ ‘คู่ชีวิต’ ไม่เท่ากับ ‘สมรสเท่าเทียม’ในขณะที่มีการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก็จะมีอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงควบคู่กัน คือ พ.ร.บ.คู่ชีวิต แม้จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ โดย ครูธัญ ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า “คำว่าสมรสในกฎหมาย มันเป็นคำเดิมซึ่งเข้าใจอยู่แล้ว โดยภาษาอังกฤษก็ Married เพราะฉะนั้นเวลาที่มีกฎหมายประมวลแพ่งพาณิชย์ และผู้ถือคู่สมรส และกฎหมายอีก 127 ฉบับที่พูดถึงสิทธิ์ของคู่สมรส เมื่อเราเปลี่ยนแค่ ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล ทั้งหมดมันจะเชื่อมกันแต่คำว่าคู่ชีวิตมันเป็นคำใหม่ ซึ่งพอคุณจดคุณก็ไปอยู่ใน พรบ.นั้นเฉยๆ นั่นหมายถึงว่า สิทธิ สวัสดิการต่างๆ เราก็ต้องไปแก้เพิ่ม ถ้าพูดกันง่าย ๆ คือว่าคู่ชีวิตมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ตรงเหตุ สมรสเท่าเทียมคือแก้ปัญตรงเหตุ แต่นอกเหนือจากความเท่าเทียมแล้วมันคือศักดิ์ศรี คำถามคือว่า ในเมื่อสถานะกฎหมายคือคู่สมรส แล้วทำไมเราต้องใช้คำว่าคู่ชีวิตถ้าเปรียบทั้งคู่เป็นการแสดงคอนเสิร์ต สมรสเท่าเทียมก็เหมือนโชว์แบบเต็มซีน แดนเซอร์มาครบ นักร้องร้องเต็มเสียง ดนตรีมาครบ ไฟอลัง แต่คู่ชีวิตก็จะเหมือนแดนเซอร์ป่วยไป 7 คน แพทเทิร์นหาย ไฟดับ คือมันไม่สมบูรณ์ ซึ่งทุกคนน่าจะเห็นภาพ”มุมมองการยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียมในสังคมปัจจุบันมีมุมมองของ ครูธัญ ที่ได้แบ่งปันเกี่ยวกับการยอมรับกลุ่มบุคคลที่เป็น LGBTQ+ ของสังคมในปัจจุบัน โดย ครูธัญ มองว่า “ในปัจจุบันมีการยอมรับมากขึ้นนะคะ ทั้งในสื่อ หรือว่าในแวดวงต่าง ๆ แต่ธัญมองว่า มันเป็นการยอมรับแบบมีเงื่อนไข ซึ่ง ธัญ กำลังจะบอกว่า มันมีคำหนึ่งที่เก่าคร่ำครึมาก ๆ ก็คือ เป็นเพศอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดี มันฟังดูดีนะ แต่จริง ๆ มันเป็นคำที่บดบังความหลากหลายทางเพศ คือเราควรจะรู้จักว่าเราคือใคร เราเพศอะไรเพื่อที่จะยอมรับกัน ไม่ใช่ยอมรับความดี เพราะเราทุกคนเป็นดีอยู่แล้ว แต่อย่าง น้องก๊อตจิ คือผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีประสบการณ์แบบนี้ เป็นดีเจ มีความเก่งกาจ ซึ่งฉันควรจะรู้จักความเป็นตัวเธอ ไม่ใช่บอกว่า ก๊อตจิ เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ขอให้เป็นคนดี มันคือการบังความหลากหลาย คือคำว่าความดี เราต้องคิดว่ามันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันไม่จำเป็นต้องพูดกันว่าเป็นคนดี เพราะเราทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้วณ วันนี้ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเลยนะคะ ตอนที่จัดงาน Pride ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับบางคน เค้าบอกว่าประเทศไทยเนี่ยสวนทาง คือสังคมดูเหมือนจะยอมรับมากกว่ากฎหมาย นั่นคือกฎหมายมาช้ากว่าการยอมรับ ในสังคมมันจะมีความกลัวกะเทย ซึ่งมันเกิดจากความไม่รู้ และมันเกิดจากการที่มีการสะสมจากการสอนในโรงเรียนว่า กลุ่มคนพวกนี้คือเบี่ยงเบน พวกนี้คือคนที่ทำบาปกรรมมาในสมัยก่อนเลยต้องมาชดใช้กรรม คนแบบนี้จะมาสร้างความแบบวุ่นวาย มันจะมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น ทำให้กลุ่ม transgender จะเป็นกลุ่มที่ ธัญ เห็นว่ามีพี่บางคนเรียนสูงมาก เก่งมาก แต่หางานทำไม่ได้ จนเค้าต้องบินไปต่างประเทศเพื่อทำงานที่ไม่อยากทำ บางทีมันมีความเหลื่อมล้ำอยู่ค่ะอย่างเช่นนโยบายรัฐ เราก็มองว่าทำไมถึงต้องมี Lady Park ซึ่งเราก็มองว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะซื้อของเยอะกว่าผู้ชาย ผู้หญิงส่วนใหญ่จะซื้อของเพื่อสามีและลูก เพราะฉะนั้นเธอต้องจอดในที่ ๆ รวดเร็ว และใกล้ จากนโยบายรัฐทำให้แต่ละเพศมีความไม่เท่ากัน มันเป็นด้วยพฤติกรรม แต่เรามองว่า รัฐต้องออกแบบนโยบายที่จะทำอย่างไร ให้ผู้หญิงเท่ากับผู้ชายได้มากที่สุดอย่างเรื่องห้องน้ำ ก็ควรทำให้ห้องน้ำนั้นปลอดภัย และอินคลูซีฟทุกเพศ แต่ก็ต้องมองต่อว่า ถ้ากรณีใช้สถานที่แออัดห้องน้ำผู้หญิงต้องใหญ่กว่า อย่างห้องน้ำสนามบิน รถทัวร์ ห้องน้ำผู้หญิงต้องใหญ่กว่าผู้ชายถึงจะเท่าเทียม มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง และไม่มีคำตอบตายตัว แต่ว่าเรื่องเพศมันต้องมีมุมมองเพศว่าถ้าเราทำแบบนี้ผู้หญิงจะเหลื่อมล้ำ ทำแบบนี้กลุ่ม LGBTQ+ จะรู้สึกถูกกันออกในบางสถานที่ เพราะฉะนั้นในทุกโครงสร้าง ถ้ามีการคำนึงถึงทุกเพศมันจะเกิดความเท่าเทียม”เปิดหัวใจส่องความรักของ ครูธัญเมื่อเป็นผู้ผลักดันกฎหมายการสมรส กฎหมายที่ทำให้ทุกเพศสามารถรักกันได้อย่างเท่าเทียม ในรายการ ครูธัญ ยังได้แชร์เรื่องราวความรักเผยสถานะหัวใจให้ฟังว่า “วันนี้ ธัญ โตจนอายุขนาดนี้แล้ว ธัญยังไม่กล้าบอกเลยว่าตัวเองมีความรัก เพราะธัญยังนิยามความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้ และเวลาที่เค้าเดินจากไป เค้าก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย เพราะเค้ามองว่าฉันกับเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว เพราะความสัมพันธ์ของเรามันไม่มีนิยามที่สังคมรองรับธัญมีความรัก ความรู้สึกดี ๆ แบบนี้กับผู้ชายไม่ถึง 5 คน จนมาถึงช่วงที่ ธัญ อายุ 25 ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันเหมือนดับไฟตัวเองตั้งแต่ต้นเลย คือพอเราเริ่มรู้สึกดี กำลังจะดอกไม้บาน เราชิงหุบก่อนเลย มันเป็นอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นตอนนี้ถามว่าความรักของ ธัญ เป็นยังไง ก็ต้องตอบว่า ธัญ มีช่วงดี ๆ กับใครบางคน แต่ ธัญ ก็ไม่อาจเอื้อมที่จะบอกว่ามันคือความรักซึ่งคนรอบตัว ณ ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอดีต เราก็เห็นมีพี่บางคน ที่อยู่กันยาว มีบางคู่อยู่กันตั้งแต่เรายังเด็ก จนวันนี้เค้าก็ยังอยู่ด้วยกันก็มี ซึ่งคนที่อยู่ด้วยกันยืดขนาดนี้ แปลว่าเค้าต้องมีอะไรบางอย่างที่อยู่ด้วยกันได้จริง ๆ และเราทุกคนควรที่จะมีความสัมพันธ์อย่างนั้นได้ แต่มันกลับไม่เกิดกับเรา”LGBTQ+ เราคือธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์มีมุมมองในเรื่องของ Pride Month ที่ครูธัญ ได้แบ่งปัน พร้อมอธิบายให้ฟังว่า “Pride Month มันเป็นเดือนที่รำลึกการต่อสู้นะคะ ธัญจะขอเล่าย่อ ๆ ว่า ในช่วงปี 1969 ที่อเมริกา มันเป็นจุดเปลี่ยนของกลุ่ม LGBTQ ที่ถูกรังแก และรังควานจากเจ้าหน้าที่ มันเปลี่ยนจากจุดที่แพ้ที่สุดเป็นลุกขึ้นสู้ และหลังจากนั้นก็มีกระบวนการเดือนมิถุนายนขึ้นมาซึ่ง LGBTQ+ ในประเทศไทยก็มีประสบการณ์ที่ไม่ต่างจากต่างประเทศ เพราะเราคือคนที่ถูกโลกเกลียดชัง ที่เชียงใหม่ ในปี 2552 ก็มี ตอนนั้นเค้าใช้คำว่าเกย์พาเหรด พอจะมีการจัดขบวนเกย์พาเหรด ก็มีอีกกลุ่มนึงมาปิดล้อม มองว่าเดินไม่ได้นะถ้าแต่งตัวแบบนี้ เสียวัฒนธรรมเชียงใหม่ทำให้ดูไม่ดี เพราะฉะนั้นเดือนมิถุนายนมันช่วยให้รำลึกว่าโลกเรายังมีความเกลียดชังอยู่ โลกเรายังมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเดือนมิถุนายน มันสำคัญกับการที่เราจะบอกว่า เราคือธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์คือ ธัญ จะต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพว่าท่านคะ ถ้าลูกท่านเป็น LGBTQ+ ลูกท่านเป็นตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ก่อนเค้าพูดแล้ว จงอย่าไปว่าเค้า มันไม่ได้เป็นความผิดที่คุณพ่อคุณแม่ เพราะลูกคุณเป็นแบบนั้น และนั่นคือตัวตนของเค้า อยากให้คุณพ่อคุณแม่มองว่าเค้าคือธรรมชาติค่ะ อย่าง ธัญ เป็นกะเทยยืนอยู่ตรงนี้ ธัญเป็นธรรมชาติ ธัญเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมีลมหายใจธัญไม่เข้าใจว่าเราจะผลิตยานอวกาศไปดาวอังคารทำไม เพื่อไปยอมรับหินบนดาวอังคาร แล้วก็บอกกับโลกนี้ว่านี่คือชัยชนะของชาวโลก นี่คือวิทยาศาสตร์ของดาวอังคาร ทั้ง ๆ ที่คนที่ยืนหายใจรดต้นคอข้าง ๆ ท่าน ที่เป็นเพื่อนท่าน ท่านกลับมองว่าเค้าผิดธรรมชาติไม่มีใครผิดปกติ แล้วเราก็เราเป็นเราจริง ๆ มันเหมือนเพลง I am what I am มันเป็นเพลงเก่า แต่เวลาที่เราเติบโตขึ้น I am what I am ความหมายมันจะเปลี่ยนไปเสมอว่าเราเป็นเราจริง ๆ”“ในฐานะผู้แทนราษฎร ธัญก็จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ธัญจะทำงานอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ความตรงไปตรงมานั่นแหล่ะ ที่ ธัญ คิดว่ามันเป็นคีย์สำคัญที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงประเทศไทยค่ะ” - ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1