เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

02 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น

ความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการ

 

 

ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!

แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่

60 แล้วพี่จ๋า  อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก  โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”

 

“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลง

แม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า

“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมาก

จริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”

 

 

เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือ

ใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า

“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”

 

“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉา

สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า

“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุข

หนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

 

 

ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรง

หลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือ 
ได้เผยเรื่องนี้ว่า

“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเค

แล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่  หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม  ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเอง

หนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆ

และเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”

 

 

ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

หนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า

“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้ง

เวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

คือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ

และหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”

 

ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

ตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า

“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มา

หนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”

 

 

เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัว

แม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้าน

สมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเอง

ปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”

 

 

เรื่องราวความรักของป้าตือ

นอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!
ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย

“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่  ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”

 

 

ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือ

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1