เปิดมุมมองชีวิตของ “ครูธัญ ธัญวัจน์” ตัวแม่ผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ทุกเพศเท่ากัน

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองชีวิตของ “ครูธัญ ธัญวัจน์” ตัวแม่ผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ทุกเพศเท่ากัน

15 มิ.ย. 2023

รายการ Club Pride Day ต้อนรับ Pride Month ด้วยการเฉลิมฉลองทุกความรัก และความเป็นไปได้บนโลกใบนี้ กับแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่เป็นตัวแม่ผู้อยู่เบื้องหลัง และคอยผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายที่จะทำให้คนทุกเพศเท่ากัน

ความประทับใจเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก๊อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ “ครูธัญ - ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์” จากอดีตผู้ออกแบบท่าเต้นเพลงแดนซ์ชื่อดัง “จีนี่จ๋า” ของวง “2002 ราตรี” ก้าวสู่การทำหน้าที่ ส.ส. ที่ต่อสู้และผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีหลากหลายเหตุการณ์ หลากหลายมุมมอง ที่ครูธัญ ได้นำมาแชร์ในรายการ

 

 

ความชอบ ความฝัน ที่ฉันต้องซ่อนไว้

เฮฮัลเล ฮัลเลวังกา เฮฮัลเล ฮัลเลวังกา จีนี่จ๊ะ จีนี่จ๋า ออกมา...เชื่อว่านี่คือเพลงที่หลายคนรู้จัก และมักจะเต้นตามเมื่อได้ยิน ด้วยดนตรีสุดจี๊ดจ๊าด มาพร้อมท่าเต้นที่เป็นภาพจำ ที่คนสามารถเต้นตามได้ ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นเพลงแดนซ์ยอดนิยมเพลงนี้ ครูธัญ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ทำหน้าที่ออกแบบท่าเต้นให้กับเพลง
จีนี่จ๋า ของวง 2002 ราตรี

โดยครูธัญ ได้เผยจุดเริ่มต้นของความชื่นชอบ ที่ถูกต่อยอดกลายเป็นความฝัน ของการทำอาชีพผู้ออกแบบท่าเต้นให้ฟังว่า “เมื่อก่อนแอบไปเรียนเต้น เพราะว่าตอนนั้นเราไปเรียนดนตรีที่สยามกลการ พอได้เห็นห้องเต้น เราก็เลยลองเข้าไปเต้นดู ซึ่งพอนับจังหวะ five , six , seven แล้วครูก็บอกว่าเธอพร้อม เธอเต้นได้ แล้วครูก็แนะนำให้ไปเรียนบัลเล่ต์ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็รู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ว่าในยุคนั้นเราต้องแอบซ่อน เราก็อยากเรียนบัลเลต์ แต่มันเป็นสิ่งที่เราไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ก็เลยแอบไปเรียน จนกระทั่งเข้าตาหลาย ๆ ท่าน เค้าก็เลยชวนกันมาเต้น แล้วก็เลยเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นนี่แหล่ะค่ะ”

 

 

เริ่มค้นพบว่าตัวเองเป็น LGBTQ+

ในยุคหนึ่งที่ LGBTQ+ ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคมมากเท่ากับปัจจุบัน ครูธัญ ก็ผ่านการค้นหาและการพิสูจน์ตัวเองต่อครอบครัว และสังคมภายนอก พร้อมกับเจอแรงกดดันในเรื่องของการแสดงออกทางเพศสภาพด้วยเหมือนกัน ซึ่งครูธัญ ได้แชร์เรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “ธัญ เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่รู้ แต่ในเมื่อเราไม่พูด เค้าก็ไม่ถาม ธัญ ไม่รู้ว่าคุณแม่มอง ธัญ เป็นยังไง แต่ตอนเด็ก ๆ ธัญ รู้สึกว่าตัวเองอยากเล่นกับพี่สาว แต่ถ้าจะเล่นกับพี่ชาย พี่ชายก็ต้องเล่นเป็น แบทแมน ซุปเปอร์แมน ส่วนเราก็จะเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ เวลา ธัญ จะสนิทกับใคร ธัญ จะเห็นความต่าง อย่างเช่นเวลาไปบ้านเพื่อน ก็จะเห็นว่ามีเพื่อนบางคนไม่อยากให้เราไปบ้าน เพราะว่าเค้ากลัวพ่อแม่รู้ว่าเราเป็นกะเทย มันทำให้เรารู้สึกไม่เป็นตัวเองเต็มที่จากสิ่งรอบข้าง ในยุคนี้อาจจะนึกไม่ออก แต่ในยุคก่อนเราจะมีคำว่า “แอบจิต” คือเรารู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ภายนอกก็จะต้องแสดงออกเป็นแนวแมน ๆ มันเป็นยุคที่พยายามซ่อนตัวตน ยุคที่เพื่อนเราไม่สามารถจะเล่นกับเราได้อย่างเต็มที่ ยุคที่เราอยากจะเป็นอะไรก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนเป็น

ในตอนที่อยู่ในวงการเต้น ตอนนั้นเรารู้สึกว่าพอเราเต้นแล้วได้เงิน เราก็คิดว่าเกิดการยอมรับแล้ว แต่พอเราเต้นไปสักพักนึง คนก็จะมองเราว่าตัวเล็ก รูปร่างไม่เป็นผู้ชาย แดนเซอร์ยุคนั้น ผู้ชายแบบจะต้องมีกล้ามหน่อย แล้วธัญก็เป็นคนตัวแกร็น ๆ เล็ก ๆ คนก็คิดว่าตกลงแล้วเราเป็นหญิงหรือเป็นชายกันแน่ แล้วสมัยก่อนจะมาไม่มีการเต้นแบบ Vogue แบบผู้ชายเต้นออกกะเทยแบบนั้นจะไม่มีเลย ก็จะต้องเต้นเป็นผู้ชาย แล้วเวลาเราเต้นคนดูก็จะกรี๊ดคิดว่าเราเป็นผู้ชาย พอเราลงเวทีพวกเค้าจะตามมา ซึ่งเราเป็นกะเทย เราก็จะรู้สึกอึดอัดนิดนึง คิดว่าเราจะเอายังไงดี เหมือนว่าเราต้องเก๊กแมนทำงาน” 

 

 

จุดเปลี่ยนจาก วงการบันเทิง สู่ นักการเมือง

แม้จะอยู่ในวงการบันเทิง แต่ ครูธัญ ก็จะมีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสิ่งที่จุดประกายอีกหนึ่งความฝันที่อยากจะเป็นนักการเมือง โดยครูธัญ ได้เผยเรื่องราวนี้ว่า “พอธัญเติบโตมาการศึกษาในประเทศไทย และสังคมโดยรวม มันก็หล่อหลอมให้เราคิดแบบที่เป็นอนุรักษ์นิยม จริง ๆ แล้วคำถามการเมืองของธัญมันดังขึ้นมาตั้งแต่เด็ก คือ ธัญ ทำงานกลางคืนตั้งแต่อายุ 18 -19 นะคะ แล้วเวลาขับรถกลับบ้านเราเห็นเหตุการณ์ของพฤษภาทมิฬปี 2535 เราก็เกิดการตั้งคำถามว่า ทำไมสื่อมวลชนถึงนำเสนอภาพอีกแบบหนึ่ง แล้วคำถามมันดังมาก ๆ ตอนรัฐประหารปี 2549 ที่มีคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมเราต้องทำร้ายกัน ดูเป็นคำถามเด็ก ๆ ง่าย ๆ แล้วช่วงนั้นมันก็เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนให้เราสนใจกลับไปศึกษาเรื่อง 6 ตุลา ซึ่งเราก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ จริง ๆ แล้วในระหว่างอำนาจรัฐกับการคิดต่าง มันจำเป็นต้องกำจัดโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง

ทำไม ธัญ ถึงใส่ใจเรื่องของสังคม เพราะว่าพอเราศึกษาเรื่องของ 6 ตุลา ทำให้เราเหมือนตื่นรู้ทุกวันเลย เราเห็นศิลปินหญิงที่ทำทุกอย่างมากมาย ทุ่มเท ตีลังกา ร้องเสียงสูง แต่งตัว ลดน้ำหนัก ทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่ดังเท่ากับผู้ชาย เราเห็นความไม่เท่าเทียมทุกอย่างของสังคม เห็นรองเท้าส้นสูงที่กดขี่ผู้หญิง เห็นรายการโทรทัศน์ที่ตบจูบ และเห็นคนนั่งเฝ้ารอพระเอกข่มขืนนางเอกด้วยความตื่นเต้น และอยากให้โดนข่มขืน พอเห็นความไม่เท่าเทียมเหล่านี้มันเลยสะสม จนทำให้เราตัดสินใจมาเดินสายการเมือง”

 

 

ทำไมถึงต้อง #สมรสเท่าเทียม

“สมรสเท่าเทียม” เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อสนับสนุนสิทธิความเท่าเทียมทางเพศของกลุ่ม LGBTQ+ ที่ถูกพูดถึงและเป็นที่ถกเถียงจนเกิดแฮชแท็ก #สมรสเท่าเทียม ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนโซเชียลมีเดียหลายครั้ง นำไปสู่การลงชื่อเรียกร้องให้มีการร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เพื่อผลักดันเป็นกฎหมายต่อไป โดย ครูธัญ ได้อธิบายเรื่องราวของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ให้ฟังว่า “เพราะในปัจจุบันสมรสมันยังไม่เท่าเทียม อย่างพี่อ้อยสมรสแล้ว พี่อ้อยจะรู้ว่ามีสิทธิ์ ทั้งสิทธิที่จะดูแลกัน สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน มีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งจัดการทรัพย์สิน หรือแม้แต่รับบุตรบุญธรรม แต่ว่า LGBTQ+ ไม่มี

มันเหมือนเวลาที่เรารักกับใครซักคน แล้วมันเป็นแค่ความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่มีสถานะ วันหนึ่งเค้าไปมีใครก็ได้ เพราะว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน ซึ่งสมรสเท่าเทียมจะเป็นจุดให้ LGBTQ+ มีครรลองในการดำเนินชีวิต

ในเรื่องสมรสเท่าเทียม ธัญคิดว่ามันไม่ใช่แค่ตัวธัญที่อึดอัด แต่ LGBTQ+ ทุกคนมีส่วนในการขับเคลื่อน เพราะทุกคนมีประสบการณ์ร่วมว่า ความรักของพวกเราเป็นไปไม่ได้ เมื่อทุกคนมีประสบการณ์ร่วม เวลาที่เรามาทำงานการเมือง เราก็จะเห็นกลุ่ม NGO กลุ่มที่พยายามขับเคลื่อนความเท่าเทียมว่ามันมีประเด็นร่วม ทุกคนมีประสบการณ์ ซึ่งสมรสเท่าเทียม ธัญต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ LGBTQ+ ทุกคนมีอยู่ในใจว่า ความรักฉันไม่เคยเป็นไปได้เสียที

โดยกฎหมายจะให้สิทธิเราเหมือนคู่สมรสเลย โดยเราเปลี่ยนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 จาก ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล เพื่อให้ทุกเพศสามารถสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง เพราะฉะนั้นกฎหมายลูกอีก 127 ฉบับ ก็จะให้สิทธิ์ทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอภิบาลดูแลกันในฐานะคู่สมรส สวัสดิการราชการในฐานะคู่สมรส การหักลดหย่อนภาษีในฐานะคู่สมรส การใช้นามสกุลในฐานะคู่สมรส การรับบุตรอุปการะในฐานะคู่สมรส การจัดการทรัพย์สินในฐานะคู่สมรส การฟ้องคดีอาญาหรือแพ่งแทนคู่สมรส การจัดการงานศพในฐานะคู่สมรส

โดยสมรสเท่าเทียม มันผ่านวาระ 1 แล้วนะคะ แล้วก็เสร็จในคณะกรรมาธิการ แล้วก็บรรจุ กำลังจะเข้าสู่วาระ 2  ซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองคือติดที่ พรบ.กัญชา กัญชง คือเหมือนกับว่า พรบ.กัญชา กัญชง ก็จะมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและไม่อยากให้ผ่าน เค้าก็จึงอภิปรายกันยาวแบบทีละมาตรา มันเลยทำให้สมรสเท่าเทียมที่ต่อคิวอยู่มันเข้าไม่ได้ มันต่อคิวอยู่

สมมติมีการเปิดประชุมสภา เราก็จะยืนยันกฎหมายสมรสเท่าเทียม แล้วก็ดันเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 เลย ไม่ต้องไปเริ่มใหม่ ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็น รอบรรจุวาระต่อเลย ซึ่งต้องยอมรับว่ามีทุกพรรค ฝ่ายกฤษฎีกา หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันออกมาทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด”

 

เมื่อ ‘คู่ชีวิต’ ไม่เท่ากับ ‘สมรสเท่าเทียม’

ในขณะที่มีการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก็จะมีอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงควบคู่กัน คือ พ.ร.บ.คู่ชีวิต แม้จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ โดย ครูธัญ ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า “คำว่าสมรสในกฎหมาย มันเป็นคำเดิมซึ่งเข้าใจอยู่แล้ว โดยภาษาอังกฤษก็ Married  เพราะฉะนั้นเวลาที่มีกฎหมายประมวลแพ่งพาณิชย์ และผู้ถือคู่สมรส และกฎหมายอีก 127 ฉบับที่พูดถึงสิทธิ์ของคู่สมรส เมื่อเราเปลี่ยนแค่ ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล ทั้งหมดมันจะเชื่อมกัน

แต่คำว่าคู่ชีวิตมันเป็นคำใหม่ ซึ่งพอคุณจดคุณก็ไปอยู่ใน พรบ.นั้นเฉยๆ นั่นหมายถึงว่า สิทธิ สวัสดิการต่างๆ เราก็ต้องไปแก้เพิ่ม ถ้าพูดกันง่าย ๆ คือว่าคู่ชีวิตมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ตรงเหตุ สมรสเท่าเทียมคือแก้ปัญตรงเหตุ แต่นอกเหนือจากความเท่าเทียมแล้วมันคือศักดิ์ศรี คำถามคือว่า ในเมื่อสถานะกฎหมายคือคู่สมรส แล้วทำไมเราต้องใช้คำว่าคู่ชีวิต

ถ้าเปรียบทั้งคู่เป็นการแสดงคอนเสิร์ต สมรสเท่าเทียมก็เหมือนโชว์แบบเต็มซีน แดนเซอร์มาครบ นักร้องร้องเต็มเสียง ดนตรีมาครบ ไฟอลัง แต่คู่ชีวิตก็จะเหมือนแดนเซอร์ป่วยไป 7 คน แพทเทิร์นหาย ไฟดับ คือมันไม่สมบูรณ์ ซึ่งทุกคนน่าจะเห็นภาพ”

 

 

มุมมองการยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียมในสังคมปัจจุบัน

มีมุมมองของ ครูธัญ ที่ได้แบ่งปันเกี่ยวกับการยอมรับกลุ่มบุคคลที่เป็น LGBTQ+ ของสังคมในปัจจุบัน โดย ครูธัญ มองว่า “ในปัจจุบันมีการยอมรับมากขึ้นนะคะ ทั้งในสื่อ หรือว่าในแวดวงต่าง ๆ แต่ธัญมองว่า มันเป็นการยอมรับแบบมีเงื่อนไข ซึ่ง ธัญ กำลังจะบอกว่า มันมีคำหนึ่งที่เก่าคร่ำครึมาก ๆ ก็คือ เป็นเพศอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดี มันฟังดูดีนะ แต่จริง ๆ มันเป็นคำที่บดบังความหลากหลายทางเพศ คือเราควรจะรู้จักว่าเราคือใคร เราเพศอะไรเพื่อที่จะยอมรับกัน ไม่ใช่ยอมรับความดี เพราะเราทุกคนเป็นดีอยู่แล้ว แต่อย่าง น้องก๊อตจิ คือผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีประสบการณ์แบบนี้ เป็นดีเจ มีความเก่งกาจ ซึ่งฉันควรจะรู้จักความเป็นตัวเธอ ไม่ใช่บอกว่า ก๊อตจิ เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ขอให้เป็นคนดี มันคือการบังความหลากหลาย คือคำว่าความดี เราต้องคิดว่ามันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันไม่จำเป็นต้องพูดกันว่าเป็นคนดี เพราะเราทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้ว

ณ วันนี้ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเลยนะคะ ตอนที่จัดงาน Pride ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับบางคน เค้าบอกว่าประเทศไทยเนี่ยสวนทาง คือสังคมดูเหมือนจะยอมรับมากกว่ากฎหมาย นั่นคือกฎหมายมาช้ากว่าการยอมรับ ในสังคมมันจะมีความกลัวกะเทย ซึ่งมันเกิดจากความไม่รู้ และมันเกิดจากการที่มีการสะสมจากการสอนในโรงเรียนว่า กลุ่มคนพวกนี้คือเบี่ยงเบน พวกนี้คือคนที่ทำบาปกรรมมาในสมัยก่อนเลยต้องมาชดใช้กรรม คนแบบนี้จะมาสร้างความแบบวุ่นวาย มันจะมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น ทำให้กลุ่ม transgender จะเป็นกลุ่มที่ ธัญ เห็นว่ามีพี่บางคนเรียนสูงมาก เก่งมาก แต่หางานทำไม่ได้ จนเค้าต้องบินไปต่างประเทศเพื่อทำงานที่ไม่อยากทำ บางทีมันมีความเหลื่อมล้ำอยู่ค่ะ

อย่างเช่นนโยบายรัฐ เราก็มองว่าทำไมถึงต้องมี Lady Park ซึ่งเราก็มองว่าผู้หญิงส่วนใหญ่
จะซื้อของเยอะกว่าผู้ชาย ผู้หญิงส่วนใหญ่จะซื้อของเพื่อสามีและลูก เพราะฉะนั้นเธอต้องจอดในที่ ๆ รวดเร็ว และใกล้ จากนโยบายรัฐทำให้แต่ละเพศมีความไม่เท่ากัน มันเป็นด้วยพฤติกรรม แต่เรามองว่า รัฐต้องออกแบบนโยบายที่จะทำอย่างไร ให้ผู้หญิงเท่ากับผู้ชายได้มากที่สุด

อย่างเรื่องห้องน้ำ ก็ควรทำให้ห้องน้ำนั้นปลอดภัย และอินคลูซีฟทุกเพศ แต่ก็ต้องมองต่อว่า ถ้ากรณีใช้สถานที่แออัดห้องน้ำผู้หญิงต้องใหญ่กว่า อย่างห้องน้ำสนามบิน รถทัวร์ ห้องน้ำผู้หญิงต้องใหญ่กว่าผู้ชายถึงจะเท่าเทียม มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง และไม่มีคำตอบตายตัว แต่ว่าเรื่องเพศมันต้องมีมุมมองเพศว่าถ้าเราทำแบบนี้ผู้หญิงจะเหลื่อมล้ำ ทำแบบนี้กลุ่ม LGBTQ+ จะรู้สึกถูกกันออกในบางสถานที่ เพราะฉะนั้นในทุกโครงสร้าง ถ้ามีการคำนึงถึงทุกเพศมันจะเกิดความเท่าเทียม”

 

 

เปิดหัวใจส่องความรักของ ครูธัญ

เมื่อเป็นผู้ผลักดันกฎหมายการสมรส กฎหมายที่ทำให้ทุกเพศสามารถรักกันได้อย่างเท่าเทียม ในรายการ ครูธัญ ยังได้แชร์เรื่องราวความรักเผยสถานะหัวใจให้ฟังว่า “วันนี้ ธัญ โตจนอายุขนาดนี้แล้ว ธัญยังไม่กล้าบอกเลยว่าตัวเองมีความรัก เพราะธัญยังนิยามความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้ และเวลาที่เค้าเดินจากไป เค้าก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย เพราะเค้ามองว่าฉันกับเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว เพราะความสัมพันธ์ของเรามันไม่มีนิยามที่สังคมรองรับ

ธัญมีความรัก ความรู้สึกดี ๆ แบบนี้กับผู้ชายไม่ถึง 5 คน จนมาถึงช่วงที่ ธัญ อายุ 25 ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันเหมือนดับไฟตัวเองตั้งแต่ต้นเลย คือพอเราเริ่มรู้สึกดี กำลังจะดอกไม้บาน เราชิงหุบก่อนเลย มันเป็นอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นตอนนี้ถามว่าความรักของ ธัญ เป็นยังไง ก็ต้องตอบว่า ธัญ มีช่วงดี ๆ กับใครบางคน แต่ ธัญ ก็ไม่อาจเอื้อมที่จะบอกว่ามันคือความรัก

ซึ่งคนรอบตัว ณ ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอดีต เราก็เห็นมีพี่บางคน ที่อยู่กันยาว มีบางคู่อยู่กันตั้งแต่เรายังเด็ก จนวันนี้เค้าก็ยังอยู่ด้วยกันก็มี ซึ่งคนที่อยู่ด้วยกันยืดขนาดนี้ แปลว่าเค้าต้องมีอะไรบางอย่างที่อยู่ด้วยกันได้จริง ๆ และเราทุกคนควรที่จะมีความสัมพันธ์อย่างนั้นได้ แต่มันกลับไม่เกิดกับเรา”

 

 

LGBTQ+ เราคือธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์

มีมุมมองในเรื่องของ Pride Month ที่ครูธัญ ได้แบ่งปัน พร้อมอธิบายให้ฟังว่า “Pride Month มันเป็นเดือนที่รำลึกการต่อสู้นะคะ ธัญจะขอเล่าย่อ ๆ ว่า ในช่วงปี 1969 ที่อเมริกา มันเป็นจุดเปลี่ยนของกลุ่ม LGBTQ ที่ถูกรังแก และรังควานจากเจ้าหน้าที่ มันเปลี่ยนจากจุดที่แพ้ที่สุดเป็นลุกขึ้นสู้ และหลังจากนั้นก็มีกระบวนการเดือนมิถุนายนขึ้นมา

ซึ่ง LGBTQ+ ในประเทศไทยก็มีประสบการณ์ที่ไม่ต่างจากต่างประเทศ เพราะเราคือคนที่ถูกโลกเกลียดชัง ที่เชียงใหม่ ในปี 2552 ก็มี ตอนนั้นเค้าใช้คำว่าเกย์พาเหรด พอจะมีการจัดขบวนเกย์พาเหรด ก็มีอีกกลุ่มนึงมาปิดล้อม มองว่าเดินไม่ได้นะถ้าแต่งตัวแบบนี้ เสียวัฒนธรรมเชียงใหม่ทำให้ดูไม่ดี เพราะฉะนั้นเดือนมิถุนายนมันช่วยให้รำลึกว่าโลกเรายังมีความเกลียดชังอยู่ โลกเรายังมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเดือนมิถุนายน มันสำคัญกับการที่เราจะบอกว่า เราคือธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์

คือ ธัญ จะต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพว่าท่านคะ ถ้าลูกท่านเป็น LGBTQ+ ลูกท่านเป็นตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ก่อนเค้าพูดแล้ว จงอย่าไปว่าเค้า มันไม่ได้เป็นความผิดที่คุณพ่อคุณแม่ เพราะลูกคุณเป็นแบบนั้น และนั่นคือตัวตนของเค้า อยากให้คุณพ่อคุณแม่มองว่าเค้าคือธรรมชาติค่ะ อย่าง ธัญ เป็นกะเทยยืนอยู่ตรงนี้ ธัญเป็นธรรมชาติ ธัญเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมีลมหายใจ

ธัญไม่เข้าใจว่าเราจะผลิตยานอวกาศไปดาวอังคารทำไม เพื่อไปยอมรับหินบนดาวอังคาร แล้วก็บอกกับโลกนี้ว่านี่คือชัยชนะของชาวโลก นี่คือวิทยาศาสตร์ของดาวอังคาร ทั้ง ๆ ที่คนที่ยืนหายใจรดต้นคอข้าง ๆ ท่าน ที่เป็นเพื่อนท่าน ท่านกลับมองว่าเค้าผิดธรรมชาติ

ไม่มีใครผิดปกติ แล้วเราก็เราเป็นเราจริง ๆ มันเหมือนเพลง I am what I am มันเป็นเพลงเก่า แต่เวลาที่เราเติบโตขึ้น I am what I am ความหมายมันจะเปลี่ยนไปเสมอว่าเราเป็นเราจริง ๆ”

 

 

“ในฐานะผู้แทนราษฎร ธัญก็จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ธัญจะทำงานอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ความตรงไปตรงมานั่นแหล่ะ ที่ ธัญ คิดว่ามันเป็นคีย์สำคัญที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงประเทศไทยค่ะ” - ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

 

album

0
0.8
1