เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “พีท พล” ศิลปินเสียงนุ่มลึก กับเส้นทางสู่ฝันที่ถูกลิขิตมาเพื่อค้นฟ้าคว้าดาว

Club Pride Day Recap

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของ “พีท พล” ศิลปินเสียงนุ่มลึก กับเส้นทางสู่ฝันที่ถูกลิขิตมาเพื่อค้นฟ้าคว้าดาว

18 ก.ค. 2024

“การค้นหาตัวเองวิธีง่าย ๆ เลยคือถ้าเราอยากทำอะไร ให้ลองทำไปเลย เพื่อค้นหา Passion ของตัวเอง แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอ หรือสมมติว่าเจอแล้ว ไปถึงแล้ว คุณอาจจะมี Passion ใหม่ ๆ ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด”

 

 

เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิตรับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสับ “พีท พล” ศิลปินหนุ่มเสียงลุ่มลึก ที่ผนึกทุกอารมณ์เข้าสู่หัวใจผู้ฟัง ด้วยเทคนิคการร้องเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และประจักษ์ต่อทุกสายตา พร้อมการันตีด้วยหลากหลายบทบาททั้งศิลปิน, นักแสดง, นายแบบ และเชฟ นอกจากนี้ยังมีผลงานเพลงฮิตอย่าง มากกว่ารัก, First Kiss และ ออเจ้าเอย ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เขาได้ผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต เพื่อก้าวไปสู่ความฝันให้กลายเป็นจริง พร้อมยังมีหลากหลายข้อคิดแรงบัลดาลใจ ที่ได้แชร์ไว้ในรายการอีกด้วย

 

“นักร้อง” ความฝันตั้งแต่เด็กที่ พีท พล อยากทำให้สำเร็จ

“นักร้อง คือความฝันตั้งแต่เด็กเลยครับ เราเป็นคนที่ชอบร้องเพลง เท่าที่จำความได้ก็คือ ตัวเองถือวิทยุที่มีช่องใส่เทปของคุณแม่ แล้วเทปทุกอันพังหมด เพราะว่าเราชอบอัดเสียงตัวเองลงเทปคาสเซ็ท อัดเล่นทับเทปของแม่ จนแม่ต้องเก็บไปซ่อน

ซึ่งนักร้องที่ชอบที่สุด คือ พี่มิ้นท์ มาลีวัลย์ ถ้าเป็นต่างชาติก็จะเป็น วิตนีย์ ฮิวสตัน ทั้งคู่คือที่สุดในดวงใจแล้ว ซึ่งในตอนเด็กเวลาเห็นเวทีที่ไหนก็จะคิดว่าเราต้องขอขึ้นแสดงความสามารถ เคยมีครั้งหนึ่งคุณป้าพาไปเห็นเวที แล้วเราขอขึ้นไปบนเวที เดินไปเองด้วย แล้วป้าเห็นอีกทีก็คืออยู่บนเวทีร้องเพลงอยู่บนนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีรูปที่คุณป้าเก็บไว้ เป็นรูปที่อยู่บนเวที ซึ่งที่บ้านก็เหมือนกับว่าอยากทำไรก็ทำ เค้าไม่บังคับว่าเราจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แต่เรารู้สึกว่า การได้ร้องเพลงได้แสดงคือการที่เราได้ทำสิ่งที่ชอบครับ”

 

 

พีท พล กับตัวตนที่ฉันเป็น

“สมัยเด็กเราโตมาในแบบที่เราไม่เข้าใจหรอกว่า ตุ๊ด คืออะไร เราแค่รู้สึกว่าเหมือนเราชอบผู้หญิง เคยมีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แล้วเราก็ค่อย ๆ ถูกมองว่าเป็นเพื่อนตุ๊ด แต่เราไม่รู้ว่าทำไม เราชอบผู้หญิงไม่ได้เหรอ จนเราเพิ่งมามีแฟนเป็นผู้ชายคนแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัย

ซึ่งสมัยก่อนคุณพ่อไม่โอเคเลย แต่เราก็ยังเป็นตัวของตัวเองนะ เค้าไม่โอเคแต่เราก็สู้ แล้วคุณแม่ก็จับแต่งหญิงเล่น จับไปถ่ายรูปกับพี่สาวด้วย ซึ่งเค้าก็ไม่คิดหรอกว่า มันจะส่งผลอะไรบ้าง แต่สำหรับพีท เรามองว่ามันเป็นเรื่องของสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วด้วยโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งคุณแม่เค้าก็อยากได้ลูกผู้ชายแหละ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราก็เป็นตัวเองแค่นั้น

เรื่องการถูกบูลลี่ ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนเด็ก เรามองว่ามันไม่ได้ถึงขั้นที่เรียกว่าบูลลี่ เพราะว่าถ้าโดนบูลลี่เราจะโต้ตอบไม่ได้ แต่เราเป็นคนสู้คน ก็เลยรู้สึกว่าจะเรียกว่าบูลลี่ก็ไม่ได้ เค้าด่าเรา เราก็ด่ากลับ เราก็ปากแซ่บอยู่เหมือนกัน”

 

 

เส้นทางสู่ฝัน จากนักแสดงละครเวที เล่นโฆษณา สู่ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว

“งานแรกเลยในชีวิตเลยคือ พีทไปเล่นละครเวทีถวายให้ ควีนอลิธซาเบธที่ 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2535 พีทก็ไปเล่นละครเวทีรับบทเป็นพระนเรศวรตอนเด็ก พอได้เล่นละครเวทีแล้วก็รู้สึกว่าชอบจังเลย สนุกมาก ตอนนั้นมีข่าวลงมติชน เราก็ดีใจว่าฉันได้ลงหนังสือพิมพ์ แล้วแม่ซื้อเก็บไว้เป็น 10-20 เล่มเลย หลังจากนั้นก็กลับมาเรียน แล้วมีกิจกรรมที่โรงเรียน วันนั้นเราก็เต้น ซึ่งเต้นแรงมาก แล้วตอนเดินลงเวที ก็มีรุ่นพี่มาเรียกบอกว่าว่า มีพี่จากโมเดลลิ่งอยากเจอ เราก็คิดว่าชีวิตฉันกำลังจะได้เป็นดาราละ ก็ตัดสินใจไป พอไปถึงเค้าบอกว่าช่วยไปเรียกเพื่อนอีก 2 คนให้หน่อย 2 คนที่เต้นด้วยกันที่หล่อ ๆ ตามมาให้หน่อย ตอนนั้นเราก็รู้สึกพารานอยด์ แต่เค้าก็คงสงสารว่าเห็นหน้ามันจ๋อย ๆ ก็เลยเอาเราไปด้วย ก็ได้ไปแคสโฆษณา ซึ่งไปแคสตอนแรกเราไม่เข้าใจเลยว่าจินตนาการมันคืออะไร พี่เค้าจะบอกว่าให้วิ่งแล้วเดี๋ยวมันมีส้มหล่นมาจากลัง แล้วให้เรากระโดดข้ามส้ม ซึ่งเราก็เก้ ๆ กัง ๆ มาก จากนั้นก็ได้แคสติ้งไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่ามันคือเรื่องของภาพในหัวเรา จนเราเล่นโฆษณาไปประมาณ 20 กว่าตัว

จนเราได้เข้าไปถ่ายละคร และเซ็นสัญญากับ พี่หน่อง อรุโณชา แล้วหลังจากนั้นก็เล่นละคร และครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่อยากเล่นละครต่อ เพราะเคยเจอผู้กำกับที่ดุร้ายมาก คือค่อนข้างไปในแนวใช้ความรุนแรงนิดนึง แล้วเราก็ยังใหม่กับการเป็นนักแสดง แล้วมันมีซีนที่ต้องมีคนมาสะกิดหลัง แล้วเราต้องสะดุ้ง แต่คนมันรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวฉันจะโดนสะกิดหลัง ฉันต้องตกใจ เวลาเล่นจังหวะของเรามันไม่ได้ เค้าก็สะกิดเราไปเรื่อย ๆ สะกิดแรงขึ้น จนทุบหลังเราแรงมาก วันนั้นก็เลยบอกแม่ว่าไม่เล่นแล้วมารับกลับบ้านเดี๋ยวนี้ จนพี่หน่องก็เลยส่งคนมาคุย มาขอโทษว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เราก็เลยทนเล่นไป และหลังจากนั้นเราก็เลิกเล่นละครไปเลยพักหนึ่ง

จนรู้สึกว่าเราอยากเป็นนักร้อง Passion ของเรากลับมา เลยไปประกวด First Stage Show Project ปี 2 ซึ่งคนที่ผ่านเวทีนี้ก็จะมี ไอซ์ ศรัณยู, ตั๊กแตน ชลดา และ ป๊อบ แคลอรี่บลาบลา เป็นต้น ซึ่งพีทไปปีที่สอง แต่เราก็ไม่ได้ มันเหมือนจังหวะของดวงด้วย ซึ่งวันนั้นเราคิดว่ายังไงฉันก็ได้ เพราะตื่นมาตี 3 ซ้อมร้องเพลงแล้วเสียงใสมาก แล้วพอตื่นอีกทีเสียงหายไปหมดเลย แล้วก็ต้องไปแข่ง พอแข่งจบเราก็แพ้เรื่องเสียง แล้วตอนนั้นมีประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 1 และเราเป็นแฟนคลับ นิวจิ๋ว เราก็ไปดูไปเชียร์แล้วชอบมาก ก็เลยไปประกวด The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 2 ซึ่งเราติดสัญญาอยู่ด้วย แต่ขอพี่หน่องว่า เราอยากเป็นนักร้องจริง ๆ ขอไปได้ไหม ซึ่งพี่หน่องก็ใจดีมาก ๆ ยอมให้เราไปทำตามความฝันของเรา”

 

 

การประกวด The Star กับคำครหาว่า ครอบครัวระดมโหวตให้ตัวเองเข้ารอบ

“ตอนที่พีทไปประกวด The Star เราไปด้วยมายด์เซ็ทที่ว่า พีทอยากเรียนรู้ อยากรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้น ฉันอยากลองไปดูว่ากรรมการจะคอมเมนต์ฉันว่าอะไร ฉันจะได้นำกลับมาปรับปรุงมาทำให้มันดีขึ้น กลายเป็นว่าตอนที่ไปประกวดมันกดดันมาก เพราะว่ากรรมการคอมเมนต์กันรุนแรงมาก และแรงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นรอบร้องสดยิ่งหนัก จนเรารู้สึกว่าฉันทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักที มันจะไม่มีอะไรที่ดีเลยเหรอ เราว่ารอบนี้เราดีขึ้น แต่มันก็ยังดีไม่พอ ตอนนั้นอยากกลับบ้าน แล้วเราจะเสียใจทุกครั้งที่เวลาคนอื่นตกรอบแล้วไม่ใช่ตัวเรา เพราะเรารู้ว่า ณ เวลาตรงนั้น เราอ่อนที่สุดด้วยสิ่งที่เห็น แต่คนก็โหวตเราให้เข้ารอบไปเรื่อย ๆ

จนช่วงนั้น 94 EFM มีงานเปิดคลื่น แล้วเราโดนนักข่าวสัมภาษณ์ถามว่า จริงไหมที่คุณให้ที่บ้านโหวตตัวคุณเองเข้ารอบ แล้วด้วยความที่เราเป็นคนปากแซ่บ ก็เลยตอบนักข่าวไปว่า บ้านพีทไม่ใช่คนรวย ไม่มีฐานะมาก ถ้าพีทมีเงินพอที่จะโหวตตัวเองเข้ารอบขนาดนั้น พีทเอาเงินไปเปิดค่ายแล้วออกเพลงเองดีกว่าไหม แล้วก็ผ่านมาได้

ตอนที่ตกรอบ เป็นรอบเดียวที่เราไม่ร้องไห้ เพราะเมื่อก่อนมันไม่มีโซเชียล ถ้าอยากอ่านคอมเมนต์ก็อ่านได้จากแค่ในเว็บของแกรมมี่ ที่ชื่อเว็บจีเม็มเบอร์สแลซเดอะสตาร์ แล้วในเว็บถ้ามีคอมเมนต์ที่เป็นบวกก็จะเป็นสีเขียว ส่วนคอมเมนต์ไหนเป็นลบจะเป็นสีแดง แล้วมีวันนึงพีทขอรายการกลับบ้านเพื่อกลับไปสอบ รายการเค้าก็ให้กลับไป ก็ใช้จังหวะนั้นเปิดอินเตอร์เน็ต เพราะปกติรายการเค้าไม่ให้ดูเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคนเกลียดเราขนาดไหน พอเราเข้าไปอ่านปรากฎว่าเค้าด่าเรามีแต่ตัวแดง ไม่มีสีเขียวเลย

ซึ่งเราแค่แปลกใจ เพราะถ้าเค้าคอมเมนต์ว่าเราร้องไม่ดี มันก็จริง มันร้องไม่ดีเหมือนที่กรรมการเค้าพูด แต่เราก็สงสัยว่า แล้วตัวเองทำไมยังไม่ตกรอบสักที ช่วยเอาฉันออกไปจากตรงนี้สักที จนทุกครั้งที่คนอื่นตกรอบพีทจะร้องไห้ตลอด กระทั่งวันที่พีทตกรอบเป็นวันเดียวที่พีทไม่ร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าอิสระของฉันมาแล้ว

พีทเป็นคนชอบการประกวด เพราะเราอยากรู้เสมอว่าตอนนี้ฉันอยู่ในระดับไหน สิ่งที่ฉันพยายามมามันดีขึ้นหรือยัง ถ้าถามว่าทุกวันนี้ให้กลับไปประกวดหรือไปแข่งขันอีก พีทก็ยังชอบและอยากไป ซึ่งสุดท้ายแล้วการแข่งขันมันก็มีผู้แพ้ผู้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่เราตกรอบ The Star เราแค่รู้สึกว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของความชอบ เป็นเรื่องของรสนิยม เพราะฉะนั้นทุกคนจะชอบนักร้องคนเดียวกันหมดก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนอาหารก็ยังกินไม่เหมือนกันเลย”

 

 

จาก “มากกว่ารัก” , “ออเจ้าเอย” สู่ “เคยอมแล้ว” เพลงใหม่จากใจของ พีท พล

“หลังจากประกวด The Star จบ แล้วเราก็เซ็นสัญญากับแกรมมี่ จะมีช่วงหนึ่งที่เวลามีเรื่องอะไร เค้าจะมีโปสเตอร์หน้าลิฟท์ เป็นโปสเตอร์ที่เขียนว่า งานส่งช้า มีปัญหาเพื่อนร่วมงาน หรือเจอปัญหาอะไรในการทำงาน สามารถส่งเมล์มาได้ที่ เทลไพบูลย์แอดจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ดอทคอม แล้วเรากลายเป็นตำนานหนึ่งเดียวของศิลปิน ที่ส่งอีเมล์หาคุณไพบูลย์ ส่งไปด้วยถ้อยคำประมาณว่า ผมชื่อพีทนะครับ เป็น The Star ปี 2 เซ็นสัญญามาที่นี่ 3 ปีแล้ว ถ้าจะไม่ทำอะไรให้ผม ก็ช่วยยกเลิกสัญญาแล้วปล่อยผมไปด้วย หรือถ้าจะทำขอแค่ 1 เพลง เพราะจะได้วัดเลยว่าเราจะสามารถเป็นศิลปินได้ไหม

หลังจากนั้นเค้าตอบพีทภายในวันเดียว ซึ่งเลขาคุณไพบูลย์โทรมาว่า เดี่ยวพรุ่งนี้นัดให้ไปเจอพี่อ๊อด กิตติศักดิ์ และได้ทำโปรเจ็กต์วอยซ์เมล์ ระหว่างการทำงานก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ เป็น หมอเอิ้น พิยะดา ก็เลยเกิดเป็นเพลง มากกว่ารัก ขึ้นมา พีทว่ามันเป็นเพลงที่มีความหมายที่ดี แล้วทุกครั้งที่มีงานแต่งงานคนก็จะนึกถึงเพลงนี้ ขอบคุณมาก ๆ ที่ทำให้เพลงนี้เกิดขึ้น

ในเรื่องเพลงประกอบละคร พี่หน่องจะกรุณาให้พีทร้อง เราร้องเพลงละครทุกปี ปีละเพลงสองเพลง อย่างเพลง ออเจ้าเอย บอกเลยว่าไม่ได้คาดคิดไว้เลย เป็นเพลงที่แอบอัด เพราะเหมือนพี่หน่องจินตนาการขึ้นมาว่าอยากให้มันมีเพลงนี้ แล้วละครกำลังจะออนแอร์ แล้วมันมีซีนที่พระเอกนางเอกอยู่บนเรือ ซึ่งพีทไม่เคยดูละครเลย ตอนนั้นพีทกำลังจะบินไปร้องเพลงที่อังกฤษ พี่หน่องก็ทักมาบอกว่า ส่งเพลงไปให้ฟัง แล้ววันอัดก็คือคืนวันที่บินเลย ก่อนอัดเค้าก็เล่าให้พีทฟังว่าเรื่องมันเป็นยังไง พีทก็เลยพยายามคิดว่าเราคือพี่หมื่น แล้วร้องออกมา ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเพลงมันดังมาก มารู้ตอนที่เพลงปล่อยมาแล้ว แล้วก็ได้กลับไปดูละครตอนแรก ถึงรู้สึกว่า ตอนแรกก็ปังขนาดนี้เลยเหรอ เข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็ร้องเพลงประกอบละครมาเรื่อย ๆ

พีทร้องเพลงมา 20 ปีแล้ว มีเพลงที่เป็นเพลงเดี่ยวของตัวเองน่าจะประมาณ 8-9 เพลงเอง จนปีนี้เราอยากจะมีเพลงความหมายดี ๆ ให้กับแฟน ๆ ให้เป็นเหมือนคำขอบคุณ ก็เลยกลายเป็นเพลงใหม่ล่าสุด เคยอมแล้ว ออกมาครับ อยากให้ฟังเพราะว่าชอบมาก ๆ เปิดฟังสบาย ๆ ในกรีนเวฟได้บ่อย ๆ เลยครับ”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พีท พล

“ความรักตอนนี้ดีครับ ความรักของพีทหลาย ๆ รอบ พีทจะระลึกถึงพี่อ้อยคนแรกเสมอ เพราะปรึกษาความรักกับพี่อ้อยตลอด อย่างตอนนั้นที่เรารักเพื่อนแล้วคิดว่าเราจะบอกเค้ายังไงดี ซึ่งเป็นที่มาของเพลง First Kiss แล้วพี่อ้อยก็บอกว่า 70% เค้ารู้อยู่แล้ว อีก 30% คือแค่เราบอก แต่ว่ามันก็ต้องชั่งน้ำหนักดี ๆ ว่าเราพร้อมจะรับผลจาก 30% นั้นไหม พีทก็เลยไม่บอก

แต่ความรักทุกวันนี้ดีครับ มีคุยกัน ตีกันบ้าง มีไม่ค่อยเข้าใจกันบ้าง ซึ่งความรักของพีท จริง ๆ แล้วสิ่งที่พีทรักที่สุดก็คือสุนัข คือกำลังจะบอกว่าไม่มีอะไรที่สามารถทดแทนสุนัขของพีทได้เพราะว่านั่นคือดวงใจของพีทจริง ๆ พีทบอกเลยว่า ใครที่จะเข้ามาในชีวิตก็แล้วแต่ เราก็จะบอกให้เค้ารับรู้ว่า หมาคือนัมเบอร์วันของเรา Love me love my dog

และความรักพีทมองว่า เราต้องให้ 50:50 ทั้งสองฝ่ายมันถึงจะเต็มร้อย และไม่ได้ใช้แค่ใจ มันต้องใช้สมองด้วย เพราะบางครั้งถ้าเรารักด้วยหัวใจ มันจะทำอะไรที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง จนเราอาจจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง”

 

 

ยิ่งเรามี Multitalent ก็จะทำให้เราเอาตัวรอดได้

ตอนนี้พีทใช้ชีวิตอยู่ 2 ที่ ไทย และออสเตรเลีย ไปกลับ วันศุกร์กลับมาที่ไทย อยู่เสาร์-อาทิตย์ แล้วบินกลับ พีทไปเรียนทำอาหาร เรียนเป็น Cookery แล้วก็กำลังจะเรียนต่อเรื่อง Kitchen Management แล้วก็อยากต่อด้วย Hotel Management การเรียนทำอาหารมันเริ่มจากที่พีทถูกเชิญไปแข่งมาสเตอร์เชฟเซเลบริตี้ แล้วตอนนั้นติดล็อคดาวน์ ก็เลยโดยยกเลิกกรุ๊ปสุดท้าย เราไม่ได้แข่งต่อ เกิดเป็นความคับแค้นใจ ฉันอุตส่าห์ซ้อม และเราชอบทำอาหารมาก ที่บ้านเปิดร้านอาหาร แล้วก็คลุกคลีกับอาหารมาตลอด ก็เลยตัดสินใจไปเรียนเลย พอได้ไปเรียนเรื่องอาหาร มันเหมือนกลายเป็นคนบ้าไปเลย เพราะการรู้เยอะมันจะทำให้เรากินยากขึ้น เพราะมันจะระแวดระวังไปหมด ทั้งความปลอดภัยในการบริโภค หรือในการปรุงอาหาร

ส่วนงานด้านแฟชั่น มาในช่วงที่พีทเป็นนักร้อง แล้วก็รู้สึกว่าฉันอยากเดินทาง อยากไปต่างประเทศ จนได้ไปเจอ พี่หญิง ที่ดับเบิ้ลยูเอ็ม ด้วยความบังเอิญ เราก็เลยบอกเค้าว่าอยากไปเมืองนอก เค้าก็เลยส่งไปสิงคโปร์ แล้วก็ได้โดดไปที่มิลาน ไปทำงาน ไปแคสติ้ง จนเหมือนเราไปทำงานปกติเลย

พีทมองว่าโอกาสมันไม่ได้มาหาเราเสมอไป เราต้องวิ่งไปหามัน คือพยายามคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาเสมอ โดนปฏิเสธบ่อยมาก ยิ่งถ้าทำอาชีพเป็นโมเดลลิ่ง อย่างไปเป็นนายแบบ บางงานแคส 800 คนเอา 2 คน แต่เราก็ยังไป ยังอยู่เพื่อที่จะให้เค้าเห็น เราต้องทำตัวให้เหมือนตุ๊กตาล้มลุก คือพอเราล้มเราก็แค่ลุก เสียใจได้แต่อย่านาน เพราะว่าเวลาคือสิ่งที่มีค่าที่สุด และเวลาไม่เคยรอเรา

ถ้าถามว่าชอบงานอะไรมากที่สุด มันเลือกไม่ได้จริง ๆ เพราะทุกครั้งเวลาที่ได้ไปทำอะไรใหม่ ๆ พีทก็จะมีความคิดถึงสิ่งที่เคยทำ อย่างตอนที่พีทเรียนอาหาร พีทก็คิดถึงกองละคร อยากกลับไปเล่นละคร ร้องเพลงเราก็ยังชอบ ก็ยังร้องเพลงอยู่เรื่อย ๆ มันก็ยังเป็นความฝันที่เราทำได้ไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทิ้งมัน

และพีทเป็นคนที่ชอบหา Passion ใหม่ ๆ ให้ตัวเอง เหมือนมีช่วงที่พีทดูโปรเจกต์รันเวย์ แล้วเราตัดสินใจซื้อจักรเย็บผ้า แล้วก็ไปลงเรียนเย็บผ้า ทุกวันนี้ก็พยายามเย็บเอง บางครั้งถ้าเรายิ่งมี Multitalent มีสกิลเยอะ ๆ มันจะทำให้เราเอาตัวรอดได้ อย่างไปอยู่เมืองนอก ฉันมีสกิลเย็บผ้า ฉันสอยผ้าได้ เราก็รับจ้างสอยผ้า ล่าสุดมีอาชีพใหม่คือเก็บของเก่า ก็ไปตามคอนโด เค้าทิ้งอะไร เราก็เอาไปโพสต์ขาย ขายต่อ ได้เงินมาเพิ่มอีก”

 

 

สีสันแรงบันดาลใจจาก พีท พล

“อยากให้ลองทำเยอะ ๆ บางครั้งการทำศิลปะ สมมติว่าถ้าคุณชอบวาดรูป คุณวาดรูปไปเลย  คุณอยากทำอะไร คุณลองทำ ทำหลาย ๆ อย่าง เพื่อค้นหา Passion ของตัวเองว่าอะไรที่เหมาะกับเรา อะไรคือสิ่งที่เราชอบ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอ หรือสมมติว่าถ้าเจอแล้ว ไปถึงแล้ว คุณอาจจะมี Passion ใหม่ ๆ ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องผิด” - พีท พล

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1