เปิดมุมมองชีวิต ของ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ เจ้าของวลีดัง “ละแมะ” “อะหรือ” “ว่าซ่าน”

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดมุมมองชีวิต ของ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ เจ้าของวลีดัง “ละแมะ” “อะหรือ” “ว่าซ่าน”

15 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังในชั่วข้ามคืนจากการคัพเวอร์เพลง เธอคือสาวเก่ง สวย เสียงดี และมักจะมาพร้อมความม่วน ความจอย และความฮา

เปิดความสนุก ปลุกความฮา กันตั้งแต่เริ่มรายการ เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์สาวสายฮา เจ้าของวลีดัง ละแมะ , อะหรือ , ว่าซ่าน ซึ่งกว่าจะมาเป็นเธอในทุกวันนี้ เธอคือผู้ที่ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเดินตามความฝัน และแฮปปี้กับทุก ๆ โมเมนต์ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยมีหลากหลายเรื่องราวที่เธอได้มาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

หยาดพิรุณ ปู่หลุน ชื่อนี้มีเรื่องเล่า

เรียกว่าเป็นชื่อที่ฟังดูหวาน และ ดูมีความหมายอยู่ในชื่อสำหรับชื่อ หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น ซึ่งต้องบอกว่าชื่อนี้มีเรื่องเล่า โดย หยาดพิรุณ ได้เผยที่มาของชื่อเพราะ ๆ นี้ไว้ว่า “เป็นชื่อที่คุณตาตั้งให้เลยตั้งแต่เกิด เพราะว่าหยาดเกิดในวันที่ฝนตก ตอนนั้นประมาณตี 4 ตี 5 คุณแม่ปวดท้องมาก คุณพ่อก็ขับรถมาสแตนบายจะไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าคุณแม่ทนไม่ไหว ก็เรามันอยากเกิดเต็มทีอะแม่จ๋า ซึ่งแม่บอกว่าเอาจริงยังไม่ทันได้เบ่งเลย ก็หลุดออกมาเลย แบบหลุดออกมาแบบสบาย ๆ ที่หัวกระไดบ้าน ก็เลยต้องตามคุณหมอตำแยมาที่บ้านแทน และก็เหมือนตอนนั้นมีนักข่าวชื่อดังชื่อหยาดพิรุณ แล้วคุณตาก็เลยชอบชื่อนี้ ก็เลยขนานนามเป็น หยาดพิรุณ ให้

ตอนนั้นจริงๆแล้ว คุณแม่อยากได้ลูกชายตั้งแต่เด็ก เพราะว่าหยาดมีพี่สาวคนนึง คนต่อไปคุณแม่ก็อยากได้เป็นลูกชาย ซึ่งคุณแม่เล่าให้ฟังว่า วันที่จะเกิด วันที่จะฝนตกนั่นแหละค่ะ แม่ก็ฝันเห็นพ่อปู่ ก็คือเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านอะไรอย่างเงี้ย แม่ก็จะมีเซ้นส์อะไรพวกนี้ เสร็จแล้วคุณแม่บอกว่า พ่อปู่ท่านถามว่า ลูกจะมาแล้วนะ จะเอาผู้หญิงผู้ชายก็ตะโกนออกมาดังๆ เลย คุณแม่เราอยากได้ลูกชายอยู่แล้ว เลยตะโกนดัง ๆ ว่า ลูกชาย ลูกชาย (ในความคิดนะคะ) แต่สิ่งที่คุณแม่ตะโกนออกไปนั้นมันออกอากาศไม่ได้ ตะโกนไปว่า หีมมมม หีมมมม (จิมิ) ใช่คุณแม่บอก แล้วเสียงดังก้องกังวาน ก็เลยเกิดออกมาเป็นลูกสาว เป็นหยาดนี่แหละค่ะ 

ซึ่งชื่อเล่นจริงๆ ชื่อ น้องน้ำฝน แล้วหลายคนถามทำไมใช้ชื่อหยาด ก็พอเข้ามหาลัย มันก็ได้จังหวะเปลี่ยนชื่อ รุ่นพี่เขาจะให้เขียนชื่อที่มันห้อยคอ เราก็เอาเลยเลือกใช้ชื่อหยาดพิรุณ ดีกว่า จากนั้นเพื่อนก็เลยเรียก หยาดพิบ้าง พิรุณบ้าง มาตั้งแต่นู้นเลย ไม่มีใครเรียกน้ำฝนแล้วค่ะ

ปู่หลุ่น จะมีหลายคนคิดว่าเป็นฉายา ไม่คิดว่ามันเหมือนนามสกุล แต่ก็มีบางคนก็เรียกปู่หลุนเหมือนเรียกแทนชื่อเราเลย ซึ่งรายการนี้เขียนนามสกุลหยาดถูก ปู่หลุ่น มีไม่กี่รายการที่เขียนถูก ส่วนใหญ่จะเขียน ปู่หลุน ที่มาของนามสกุลนี้คือ เมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีนามสกุล เขาก็ไปหานายทะเบียนแล้วนายทะเบียนก็บอกว่า ไปหามาว่าจะเอานามสกุลอะไรก็เขียนมา บ้านเรา ตระกูลเราก็นึกไม่ออกว่าจะนามสกุลอะไร ก็เลยเอาชื่อปู่แล้วกัน (เป็นทวดของทวดอีกที) ปู่ชื่อ หลุ่น ก็เลยกลายเป็น หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น”

 

 

“ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” เพลงคัพเวอร์พลิกชีวิตหยาดพิรุณ

ชื่อของ หยาดพิรุณ กลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังชั่วข้ามคืน หลังจากที่เธอได้ทำคลิปคัพเวอร์เพลง “ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” ของเจ้าหญิงเพลง R&B ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ซึ่งยอดวิวล่าสุดของเพลงคัพเวอร์นี้ทะลุ 22 ล้านวิว ไปแล้ว โดยหยาดพิรุณ ได้เล่าที่มาของคลิปอันโด่งดังนี้ว่า “มันเกิดจากการที่หยาดถ่ายวิดีโอไลฟ์กับพี่สไบรท์ บะบะบิ ชื่อรายการโทรจิตโทรใจ ตอนนั้นเราไปถ่ายรายการกันที่ต่างอำเภอของเชียงใหม่ แล้วพวกเราอยู่บนดอย มันเหงา เลยคิดว่าเราจะทำอะไรกันดี ก็เลยตั้งกล้องไลฟ์มีมือถืออยู่อันนึง ไฟที่ใช้ก็เป็นไฟส่องกบอันเล็ก ๆ หน้าดำมากตอนนั้น แล้วตอนนั้นดันเป็นช่วงโควิดคนเขาก็จะดู ไลฟ์วันละ 3 ชั่วโมง คนโทรเข้าไม่หยุดเลย ทุกคนก็ต่างร้องเพลงให้เราฟัง เราเองก็ถือโอกาสร้องไปร้องมา แล้วปรากฏมีสายหนึ่งร้องเพลงว่างแล้วช่วยโทรกลับ ซึ่งเราชอบเพลงนี้ ชอบพี่ลิเดียอยู่แล้ว เราก็ชมว่าร้องเพลงถูกใจฉัน เดี๋ยวฉันขอร้องเวอร์ชั่นฉันให้เธอฟังบ้าง ปรากฏว่าท่อนที่หนูร้องคนก็ตัดท่อนนั้นไป กลายเป็นไวรัลใน TikTok ดาราอินฟลูเขาก็คัพเวอร์ มันก็เลยโด่งดังขึ้นมา ทีนี้แฟน ๆ ก็เรียกร้องเราว่าอยากฟังเวอร์ชั่นเต็ม เราก็เป็นคนที่เพื่อนให้ทำอะไรก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว คือมันเหมือนมีฐานคนรอฟังอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน บวกกับความ Check it out yo Check it out boom ของหนูเข้าไปมันก็เลยติดหูคนฟัง

พอหลัง ๆ เราก็เริ่มติดสวย เริ่มติดแกรม เพราะเรารู้สึกว่าเล่นมาเยอะแล้ว และมันก็มีบางคนแบบว่าโอ้ยติดเล่นจังเลย เราก็เริ่มลองจริงจัง ล่าสุดปล่อยเพลงต้องโทษดาวใน TikTok เพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย ซุปเปอร์สตาร์ในดวงใจเรา คอมเมนต์ประมาณเกือบ 400 คอนเมนต์ บอกว่า โอ้ะกรู้วหายไปไหน อะหรือไปไหน กลืนหยาดพิรุณออกมาเดี๋ยวนี้ เนี่ยพอเราทำสวย ๆ ให้ก็จะมาเอาโอ้ะกรู้ว คนติดภาพฮาเราไปแล้ว”

 

“ดารานักร้อง” ความฝันของ ด.ญ. หยาดพิรุณ

ด้วยเบื้องหน้าที่มักจะเห็นหยาดพิรุณชอบร้องเพลง ร้องเพลงเพราะ เอนเตอร์เทรนเก่ง แท้ที่จริงแล้ว นี่คือความฝันที่เธออยากทำมาตั้งแต่เด็ก โดยหยาดพิรุณได้เล่าเรื่องราวความฝันนี้ให้ฟังว่า “คืออย่าเรียกว่าใฝ่ฝัน เรียกว่าเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เริ่มจำความได้ หยาดจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นดาราตลอด อยู่ต่างจังหวัด เกิดที่หนองบัวลำภู คุณแม่เอาขึ้นท้ายมอเตอร์ไซค์ ขับไปตามทุ่งนาเจอหญ้าตามข้างทาง มือมันจะกุยทำเป็นแบบว่าอย่าดึงแรงค่ะ อย่าจับเนอะแขนน้องเจ็บ ทำเหมือนมี FC ตลอดเวลา เหมือนเราคือซุปเปอร์สตาร์ มันไม่รู้ตัวว่าทำไมเราถึงอยากเป็นอย่างงั้น เราอาจจะดูละครดูหนังดูคอนเสิร์ตตอนเด็กเยอะ

และหนูคิดว่ามันเริ่มมาจากตุณตา คุณตาหนูเป็นกำนัน ทุก ๆ ตี 5 คุณตาจะต้องมาประกาศเสียงตามสาย ซึ่งก่อนประกาศเขาจะต้องเปิดเพลงปลุกชาวบ้านก่อน เป็นเพลงหมอลำที่เปิดนำก่อน เราได้ยินทุกวัน อยู่ดี ๆ มันก็ร้องตามได้ พอโตขึ้นมาคุณแม่ก็ชอบร้องเพลง คุณพ่อก็ชอบฟังเพลง ไปโรงเรียนก็ชอบเป็นเด็กกิจกรรมอีก เหมือนชีวิตวนเวียนอยู่กับการร้องเพลงกับการทำกิจกรรม จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”

 

 

จากเด็กนักเรียนทุน สู่เด็กกิจกรรมแถวหน้าของมหาวิทยาลัย

หยาดพิรุณ เป็นคนหนึ่งที่เต็มที่กับทุกช่วงของชีวิต ในเรื่องการเรียนก็ไม่เป็นรองใคร เธอเคยเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าสันทนาการหญิงคนแรกของคณะที่เธอเรียน เรื่องราวนี้ หยาดพิรุณ ได้เล่าว่า “หนูเป็นคนทำอะไรแล้วตั้งใจมาก คือเหมือนเราตั้งใจเรียน แล้วพอเริ่มเข้ามัธยมก็เริ่มทำกิจกรรมเยอะ ครูก็รักเรา ส่งไปทำกิจกรรม ส่งไปเรียนแลกเปลี่ยนบ้าง รอบแรกคือตอนม. 5 ไปอเมริกา เป็นการชิงทุนระดับประเทศ แล้วเลือกไปแค่ทุนเดียวเอง นี่ถือเป็นการสอบชิงทุนครั้งแรกในชีวิต แล้วเราก็คิดว่าไม่ได้หรอก เราเป็นเด็กต่างจังหวัดตัวเล็ก ๆ ตอนมาสอบในกรุงเทพ คุณแม่พานั่งรถทัวร์มา ชีวิตเหมือนหนังเลย คือความที่มันตื่นเต้นมาจากต่างจังหวัด ทำให้หยิบกระโปรงนักเรียนมาผิด ที่เอามาเป็นกางเกงพละก็ต้องรีบไปหาซื้อ ตอนนั้นตื่นตี 4 ตี 5 พี่ชายก็พาไปหาซื้อกระโปรงใหม่ แล้วก็เข้าไปสอบ วันต่อมาเขาก็ประกาศผลว่าเราคือท็อป 10 ข้อเขียน ตอนนั้นคุณแม่ที่ไปด้วยน้ำตาไหล เขาคงภาคภูมิใจในตัวเรา เสร็จแล้วกลายเป็นว่าเราได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทุน YFU หรือ Youth for Understanding

มันมีความตื่นเต้น หนึ่งมันขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต แล้วบิน 24 ชั่วโมง เปลี่ยนไฟล์ทบิน 4 รอบ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาของเด็กอายุ 17-18 แล้วพอไปถึงเราไม่รู้จักคำว่า Homesick เลย เรารู้แค่ว่ามันสนุก ทำทุกวันให้มันสนุก กลายเป็นว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่เป็นเอเชีย คือในอเมริกาสมัยก่อนยังมีเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ เด็กเอเชียมาจะต้องโดนบลูลี่ โดนแกล้ง แต่เรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับดิฉันเลย คือหยาดได้ทำทุกกิจกรรมที่เพื่อน ๆ คนอื่นทำ เพราะว่าโฮสต์แฟมิลี่ก็สนับสนุน คุณครูก็สนับสนุน เราได้รับเกียรติถึงขั้นได้ร้องเพลงชาติของอเมริกาเวลาเปิดบาสเก็ตบอลเกมส์ของโรงเรียน ซึ่งมันเป็นเกียรติมาก ปกติเขาต้องให้ดาวโรงเรียนทำ แล้วบังเอิญดาวโรงเรียนเป็นเพื่อนสนิทเราอีก มันก็เลยไม่มีแบบว่า Gossip Girl ไม่มีการแย่งชิง ตอนนั้นภาษาเราไม่ได้เก่งมาก เราอาศัยความอยากรู้อยากเห็นความกล้าแสดงออก 
ความอยากเรียนรู้ ฝรั่งเขาชอบแบบนี้ค่ะ ฝรั่งเขาจะต่างกับคนไทยนิดนึงคือคนไทยจะขี้อาย แต่ฝรั่งคือถ้าเธอไม่พูดเธอคือจมไปเลย ถ้าเธออยากมีเพื่อนเธอต้องกล้าพูด เธอต้องกล้าแสดงออก เธอต้องมีตัวตน เวลาอยากให้ทำอะไร ฝรั่งเขาจะชอบแบบ go go! คือเชียร์ พอโดนเชียร์ฉันเลยฉันตีลังกาไปเลย ฉันไม่กลัว ฉันสวย มั่นใจ ไม่กลัว หนองบัวลำภู ทำทุกอย่างเลยค่ะ

สิ่งที่ยากของการไปอยู่ต่างประเทศ คือการที่ทำยังไงให้เราไม่หิว เพราะอาหารเขาอร่อย ตอนนั้นน้ำหนักขึ้น 13 กิโลกรัม ท้อใจมาก ส่วนชื่อไม่ต้องเปลี่ยนเขาเรียกฝน เพราะตอนนั้นยังชื่อน้ำฝนอยู่ แล้วก็สมัยก่อนเหมือนยังไม่ได้มี Facebook , Line ก็จะเป็นโทรหาคุณแม่เดือนละ 1-2 ครั้ง แล้วก็จะกำหนดนาทีด้วยว่าไม่เกินกี่นาที เพราะมันโทรนาทีละ 30-40 บาทเลย สมัยก่อนมันยังเป็นโทรศัพท์บ้านอยู่เลยค่ะ การไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมครั้งนั้น ทำให้เรื่องของภาษาเรา Flow ขึ้น เพราะเราอยู่ตรงนั้นเราต้องพูด เราต้องอ่าน เราต้องเขียน เราต้องเรียน เราก็เข้าใจความหลากหลายวัฒนธรรม เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาก้าวไกลเขาเป็นยังไง ได้เห็นเยอะมากค่ะ ในวัยนั้นรู้สึกแค่ว่าโอ้โหโลกมันกว้างกว่าที่เราคิดเยอะ

พอกลับมาปุ๊บ ก็เข้าโครงการทูบีนัมเบอร์วัน เพราะรู้แล้วว่ากิจกรรมนี้เราจะได้ร้องเพลง เราจะได้เต้น เราจะได้เล่นกีฬา แล้วก็มาถึงจุดที่ต้องเรียนมาหาวิทยาลัย จะเลือกคณะอะไรดี ตอนนั้นนิเทศศาสตร์อยู่ในใจเราอยู่แล้วแหละ แต่เราจะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี อันนี้คือปัญหาของเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนต้องเจอ ที่อยากจะเรียนในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อยากให้เรียน เพราะที่บ้านเรียนนิติศาสตร์หมดเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็คงคิดว่าเราก็คงไม่หนีไกลจากนี้ ให้หนีไกลได้มากสุดสองอย่างคือเป็นทูตกับเป็นครู แต่ว่าโชคดีที่คณะนิเทศศาสตร์ที่ มช. ชื่อว่าคณะการสื่อสารมวลชน ก็เลยเอามาให้พ่อแม่ดูว่าเนี่ย เดี๋ยวจะเรียนคณะนี้นะ เค้าก็ถามว่าสื่อสารมวลชนเรียนไปทำอะไร หนูก็ตอบไปเลยว่าเรียนไปเป็นนักข่าว ตอนนั้นเวลาก่อนดูหนังดูละครนักข่าวเขาต้องใส่สูทให้มันดูภูมิฐาน ซี่งถ้าไปบอกว่าจบไปเป็นดารา เป็นยูทูปเบอร์ ไม่มีวันได้เรียน ไปบอกว่าเป็นนักข่าว เขาก็โอเคได้แต่งตัวดูดีใช้ได้ ๆ พอเข้ามาเรียน ได้อ่านข่าวตอนเรียนอยู่วิชาหนึ่งครั้งเดียวเท่านั้นเองค่ะ

คราวนี้โซเชียลมันก็เริ่มมา คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มเห็นเพื่อนแท็กรูปเราบ้าง กิจกรรมที่เราเล่นโอ้โหเราก็ใช่ว่าจะธรรมดา ร้องเพลงสันทนาการนั่นนู้นนี่ คืออยู่ปีหนึ่งก็รับน้องเต็มที่ไม่พอ ขึ้นมาปีสองได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าสันทนาการผู้หญิงคนแรกของคณะอีก

ความโชคดีของหนูอย่างหนึ่งคือ หนูจะรู้วิธีการพูดกับคุณพ่อคุณแม่ผู้ใหญ่ การสื่อสารสำคัญมาก เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทะเลาะกับใคร ไม่ทะเลาะกับที่บ้าน ไม่ทะเลาะกับแฟน ไม่ทะเลาะกับใคร เพราะเรามีวิธีการสื่อสารที่จะทำให้เขาเข้าใจ เรารู้ระหว่างเรากับพ่อแม่มีช่วงอายุที่ค่อนข้างห่างกัน เรื่องของช่วงวัย เรื่องของความเข้าใจอะไรในหลาย ๆ อย่าง เราจะรู้แล้วว่าเขาคิดแบบนี้ เราจะเข้าหาเขายังไง ฉะนั้นใครที่เจอปัญหาคุยกับพ่อแม่ไม่เข้าใจ ลองเข้าใจเขาครึ่งนึง เอาใจเขามาใส่ใจเราครึ่งนึง ลองนึกดูว่าถ้าจะพูดกับเขาควรพูดแบบไหนแล้วเขาจะ say yes อย่าไปใช้อารมณ์ ถ้าใช้อารมณ์ทะเลาะกันแน่นอน ดังนั้นวิธีการอธิบายสำคัญมาก ๆ

 

หยาดพิรุณ เพื่อนสาวของเหล่า LGBTQ+

จะเห็นว่า หยาดพิรุณ มีเพื่อนเยอะมาก แล้วส่วนมากจะเป็นกะเทย กลายเป็นที่มาความสงสัยของใครหลาย ๆ คน ที่นึกว่าหยาดพิรุณ คือกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งหยาดพิรุณได้แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า “มันเหมือนพรหมลิขิต หรือเวรกรรมสักอย่างหนึ่ง ที่มันจะหลอมรวมมาด้วยธรรมชาติของกฎแรงดึงดูดอะไรไม่รู้ ตั้งแต่ประถมหยาดมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ เป็นสาวสองตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็มีมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าเราจะย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนเพื่อน ก็จะมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ ตลอดเสมอมา จนเราโตเราถึงนึกได้ว่าเราชอบเล่นกับคนกลุ่มนี้เพราะเขาสนุกสนาน มันเลยทำให้เราซึมซับส่วนนั้นมาโดยไม่รู้ตัวในบางที แต่จริง ๆ หยาดก็คือผู้หญิงธรรมดา ๆ นี่แหละค่ะ คือหยาดชอบ LGBTQ+ อย่างนึง อันนี้เราไม่ได้แบ่งว่าใครเป็นเพศอะไร แต่แค่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เขามีความคิดสร้างสรรค์ เขามีความสนุกสนาน เขามีความเฟรนลี่ เขามีดีเอ็นเอบางอย่างที่เข้ากับเราได้ บางคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถเจอแล้วคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานได้เลย”

 

ผิดที่ไว้ใจ! บางครั้งเพื่อนที่ร้าย ก็ไม่จำเป็นต้องทนคบ

แม้จะมีเพื่อนเยอะมากแต่ครั้งหนึ่ง หยาดพิรุณ ก็เคยเจ็บจากการไว้ใจ เพราะเคยมีข่าวโดนอดีตผู้จัดการโกงค่าตัวกว่า 3 ล้านบาท! โดยเธอได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “คนนี้เป็นเพื่อนรักที่สุดในชีวิตด้วย 10 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นพอเราเริ่มมีกระแสเริ่มดัง เราจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราก็รับโทรศัพท์ไม่ไหวก็เลยให้เขามาช่วยรับงานให้  ปรากฎว่าด้วยความไว้ใจเขาก็ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการรับเงินเข้าบัญชีตัวเอง รับงานโดยไม่บอกเรา บางทีมีงานเข้ามาเขาจะไม่อธิบายให้เราฟังก่อน ซึ่งปกติแล้วเราต้องรับทราบงานก่อนที่เราจะคอนเฟิร์มกับใครก็ตามเพราะว่ามันคือการทำงานของเรา ทีนี้เขาไม่บอกแล้วเขาก็รีบไปรับมา พอมันเกิดปัญหาหนูก็ต้องทยอยคอยแก้ อยู่กันอย่างนั้นประมาณสองเดือนสามเดือนก็มีปัญหามาเรื่อย ๆ จนวันที่มันเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น ความแตกขึ้นมา เราก็ใจดีปล่อยเขาไปเพราะว่าเห็นเขาเป็นเพื่อน คือเราปล่อยเขาไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาทำผิดกับเรามากขนาดไหน แต่พอปล่อยเขาไปเสร็จเขาก็ยังไม่หยุด เขายังใช้โอกาสตรงที่ไม่มีใครทราบแอบรับงานแล้วก็ไปจ้างลูกค้าปลอมอีก ซึ่งแย่กว่านั้นพอเราไม่พูดไม่จาไม่บอกใครเพราะเป็นเพื่อนสนิท เราก็ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง แต่พอเราไม่พูดปุ๊บ กลายเป็นว่าเขาก็ไปพูดกับเพื่อนอีกแบบนึง กลายเป็นเรื่องเป็นราว บางคนไม่เข้าใจเราโกรธเราเกลียดเราก็มี หาว่าเราทำร้ายเพื่อน เสียใจที่สุดในชีวิตหนูใช้คำนี้เลย

คือตอนนี้ Move on จากเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ใช่ค่ะ เราไม่คิดว่าคนรอบตัวเราเป็นคนไม่ดีไม่เคยคิดอย่างงั้นเลย จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเรารู้สึกว่า โอเค คนเรามันมีอีกด้านหนึ่งจริง ๆ ก็ทำให้รู้ว่าจะทำอะไรก็ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้บอกว่าปิดกั้นตัวเองที่อยากจะคบกับใครนะคะ คือใครดีกับเราเราก็ดีกับเขา แค่นั้นเลยใช้ชีวิตแบบนั้นเลยในทุกวันนี้

ถ้าถามหยาด เรื่องนี้เขาผิดอยู่แล้ว 100% มันผิดทั้งกฎหมาย ผิดจรรยาบรรณศีลธรรม คือทุกอย่างมันผิด แต่มันคือวิธีการของคนที่รับสาร รับสารจากใคร ฟังเรื่องราวจากใครไม่มีใครไปนั่งพูดว่าตัวเองผิด ทุกคนต้องพูดตัวเองในทางที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างที่บอกเรื่องนี้ไม่อยากให้ซีเรียส หรือเครียดกับมันมาก เพราะว่าตัวหยาดเองปล่อยวางไปแล้วคือจบไปแล้ว แต่ส่วนที่เหลือคือก็ให้กฎหมายจัดการแค่นั้น Move on แล้วแฮปปี้มากตอนนี้”

 

 

จะตายทั้งที ขอให้ได้เจอสามีก่อนเจ้าค่ะ!

มีเรื่องราวสุดพีค ของการฝืนดวงแบบตัวแม่ ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้เล่าเหตุการณ์ชวนอึ้งนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปหาคู่ คือเพื่อนไปดูดวงกับพระรูปนี้มา แล้วท่านแม่น แล้วกะเทยอะแม่ แบบว่าใครไปดูหมอแม่นก็ต้องพาเพื่อนไป หยาดก็ไปด้วย ถึงเวลาท่านก็บอกว่า เดือนนี้มิถุนายนนะที่มาดูดวง เดี๋ยวสักประมาณธันวานี่แหละใกล้ละ หยาดถามว่าทำไมเหรอคะ ท่านบอกเดี๋ยวประมาณธันวาเนี่ย ตาย!! ท่านทักแบบนี้เลย แล้วใครจะไม่กลัว ไอ้เราคิดว่ากลัวเรื่องตายแล้ว พอตอนจะกลับปุ๊บ ก็ถามต่อว่า สรุปหนูจะมีแฟนไหมคะ? ก็ต้องถาม เพราะจากมิถุนาไปธันวามันก็หลายเดือนอยู่นะ ขอมีก่อนได้ไหมล่ะ ท่านบอกว่า ไม่ต้องมีเธอมันชอบทำงานไม่ต้องมีหรอกปวดหัว หยาดก็ถามต่อว่ามันจะไม่มีเลยเหรอคะ คืออยากถามเฉย ๆ ไม่มีไม่เป็นไรแค่อยากรู้ ท่านก็เหมือนรำคาญเลยบอกว่า เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ จะเจอเด็กหนุ่ม เดี๋ยวเขาจะมาจีบ ซึ่งหยาดไม่ชอบเด็ก เลยคุยกับพระว่า ไม่เอา ๆ แต่ท่านก็บอกกลับมาว่า ชอบ คนนี้เราชอบแน่นอน เราก็ลาท่านมาไม่ได้คิดอะไรเลยตอนนั้น

หลังจากได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ตามธรรมเนียมเสร็จสรรพ แม่! มันเจอจริง ๆ ไม่ถึงสองอาทิตย์ คือเราไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อเรา แต่ปรากฏว่า พอมันจะเจอก็เจอ ก็เป็นคุณโบ เป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่อายุน้อยกว่าตั้ง 5 –6 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนกับเขาก็นัดปาร์ตี้กันและ เขาก็ชวนหยาดไป รอบแรกหยาดไม่ไป เราไปวันที่สองที่เขานัดกัน ก็ไปเจอ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออน้องคนนี้น่ารักนิสัยดีจังเลย พูดคุยถูกปากถูกคอ ก็คุยกันต่อมาเรื่อย ๆ พอเราเจอกันได้ 4 – 5 วันเราก็ต้องแยกกัน เขาจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราอยู่เชียงใหม่ เขาซื้อกำไลข้อเท้ากับเคสมือถือมาให้ เพราะเขาสังเกตว่าเคสมือถือเรามันเก่าแล้ว เขาก็ซื้อเป็นสีชมพูพาสเทลหวาน ๆ เราก็รู้สึกเอ๊ะหรือว่าเขาคิดอะไรกับเราหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ยังทักมาคุยอยู่เรื่อย ๆ คือมันคุยสนุกค่ะ ทักกันไปทักกันมา ปรากฏว่าครบประมาณเดือนนึง เขาก็เหมือนกลัวว่าเราจะไม่ Say Yes ก็เลยขอเป็นแฟนเลย เดือนเดียว ที่รายการจีบหนูหน่อย รายการของพี่โอ๊ต ตอนนั้นก็เป็นกระแส ก็ Sold out ไปเลย”

 

 

มุมมองความรัก ของหยาดพิรุณ

จะเห็นว่าคู่ของหยาดพิรุณเป็นคู่รักที่หวานมาก ๆ หากได้ติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลของหยาดพิรุณ โดยเธอได้แชร์มุมมองความรักให้ฟังว่า “คุณโบ เป็นทรานส์แมน เขาเป็นผู้หญิงที่ข้ามเพศไปเป็นผู้ชาย เขาจะตัดหน้าอก และมีการผ่าตัดอะไรของเขาเสร็จสรรพ มีการเทคฮอร์โมน มันก็เหมือนผู้ชายที่จะข้ามไปเป็นผู้หญิงเหมือนกันเลย ส่วนจิตใจเขาคือผู้ชายคนหนึ่งเลย เท่าที่เราสัมผัส บอกก่อนว่าวันแรกที่เจอนึกว่าเขาเป็นเกย์ นึกว่าเป็นลูกสาว หุ่นเขาเหมือนผู้ชายแต่ว่าภาษาเขาคือเขาเรียนโรงเรียนหญิงล้วน เขาจะมีมือไม้ความจริตหญิงล้วน เราก็คิดว่าลูกสาวฉันแน่นอน งานเกย์แน่นอน แต่พอคุยไปคุยมาเขาก็มีความแมนขึ้น ความสุภาพบุรุษ เราเลยเข้าใจเขาเรื่องรัก ไม่ติดเลยค่ะเพราะก่อนหน้านี้ก็มีแฟนที่เป็น LGBTQ+ ที่เป็นแบบนี้มาก่อน ที่บ้านเขารักโบมาก แฮปปี้มากคือสองครอบครัวแฮปปี้มาก ครอบครัวโบก็ชอบเรา ครอบครัวเราก็ชอบโบ แล้วเหมือนที่บ้านเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องความรักของลูกเท่าไหร่ ลูกรักใครก็รักตาม ตอนแรกเราก็แอบเกรงใจกลัวพ่อแม่จะไม่โอเค แต่จริง ๆ พ่อแม่เราก็เอ็นดูเขา ตอนนี้คบกัน กำลังจะ 2 ปี แล้วค่ะ แข็งแรงดี เฮลตี้ดี”

 

รักทางไกล ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น

ในตอนนี้ ความรักของหยาดพิรุณ เรียกว่าเป็น “รักทางไกล” เพราะคุณโบ ต้องไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้แชร์เรื่องราวรักทางไกลให้เราฟังว่า “รักทางไกลมาก เพราะตอนนี้อยู่แคนาดา เขาไปเรียนต่อค่ะไปประมาณ 7 – 8 เดือนแล้ว แต่อุปสรรคเรื่องระยะทางไม่ได้เกิดขึ้นกับคู่ของเรา เหมือนก่อนไปเราตกลงกันแล้วว่าเขาจะไปทำอะไร คือเขาอายุยังเด็กมาก 25 – 26 เอง เขาถามเราก่อนว่าจะให้เขาไปไหม เรารู้สึกว่าทำไมถึงจะไม่ไป เธอได้โอกาสขนาดนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ไปเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ ไปหาความรู้ ถ้าอีกหน่อยอยากลับมาก็มา ไม่อยากกลับมาอยู่ต่อ ก็เดี๋ยวว่ากันในอนาคต อย่าเพิ่งนึกถึงว่ามันจะต้องห่างกัน นึกถึงอนาคตของตัวเองก่อน เราบอกเขาแบบนี้ คือเหมือนเราคบกันแบบผู้ใหญ่มาก มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

คือโบเขาจะมี 2 พาร์ท พาร์ทจริงจังเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งโตกว่าหยาดอีก เขาจะมีความคิด คือเขาเรียนเศรษฐศาสตร์มา เขาจะมีความคิดที่ก้าวหน้า เป็นแบบเป็นแผน เป็นระบบมาก แต่ในอีกฝั่งนึงเขาจะมีความกระเทย เขาจะคุยเล่นคุยสนุก คือเขาเป็น อภิชาตแฟน เราไม่ได้จะอวยแฟน แต่เขาเป็นคนดีจริง ๆ ดีมาก ๆ ด้วยเนื้อแท้ เขารักครอบครัว เขารักเพื่อน ใครที่อยู่กับโบจะรักเขาหมดเลย อือ เขาน่ารักมาก เขาสนุกมาก เวลาหนูปาร์ตี้บ้านเพื่อน เราไม่เคยมานั่งนิ่ง เราต้องมีไมค์ เราต้องหยิบจับมาร้องเพลง เขาจะเชียร์ เขาจะถ่ายวิดีโอ เขาจะเป็นสายซัพพอร์ท เขามีความสุขมากที่เราเป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคู่เราไม่ทะเลาะหรือมีปัญหานะ มันก็จะมีบางมุมที่เขาคิดแบบนึงเราคิดแบบนึง แต่ความเป็นผู้ใหญ่ของโบ ทำให้บางทีจะทะเลาะปุ๊ปมองหน้ากัน ตัวเรามันก็ตลกอีก ตัวเขาก็ขำ ก็ลืมเรื่องทะเลาะไปเลย”

 

 

รับสายสุดเซอร์ไพรส์  ส่งต่อกำลังใจให้กัน

หนึ่งสายที่โทรเข้ามาเซอร์ไพรส์ แต่หยาดพิรุณก็จำได้ตั้งแต่คำทักทายแรก ว่านี่คือเสียงของ คุณโบ แฟนหนุ่มของเธอที่โฟนอินมาจากแคนาดา โดยคุณโบ ได้เล่าเรื่องราวความประทับใจ พร้อมส่งต่อความรักจากทางไกลมาให้หยาดพิรุณด้วย “หยาดเป็นคนที่ถ้าคิดอะไรแล้ว เขาจะโฟกัสแล้วมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นมาก ๆ  ก็อยากให้เขาเริ่มวางแผนชีวิตระยะยาว ค่อย ๆ วางแผนก็ได้ ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำไป อยากให้มองไกล ๆ มากขึ้น เพราะว่าอายุเราก็ไม่น้อยกันแล้วทั้งสองคน

โบคิดว่า การดูแลซัพพอร์ทตอนนี้ทำได้แค่ความรู้ครับ อาจจะไม่ได้ไปดูแลได้มากเท่าเดิม เหมือนที่หยาดบอกเลยครับ ก็เราก็คุยกันแล้ว บางทีโบก็บอกหยาดว่า บางครั้งโบเองก็ไม่มีเวลาที่จะคุยกันนะ ตื่นเช้าออกไปทำงาน บางทีกลับมาไม่ตรงเวลากัน บางทีเหนื่อยไม่อยากจะคุยกัน นอนหลับก็มี เพราะฉะนั้นการที่รักทางไกลมันอาจจะไม่ได้ลำบากก็ได้ อยู่ที่เราสองคนจะดูแลกันและกันได้มากแค่ไหน”

 

คนเราเลือกเกิดได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้

กลายเป็นประโยคไวรัลที่คนชื่นชอบมาก ๆ เมื่อครั้งที่หยาดพิรุณ ได้ไปประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ เมื่อปี 2561 คำตอบนี้สร้างความประทับใจให้กรรมการและแฟนนางงาม จนเธอสามารถคว้ามงกุฎมาได้ โดยเธอเล่าเหตุการณ์นี้ว่า “หนูแค่จะขอบคุณเวที ที่เขาเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยให้มาแสดงศักยภาพ หนูก็เลยตบท้ายไปว่า คนเฮาเลือกเกิดบ่ได้นะเจ้า แต่สิว่าจะเลือกบ่เกิดก็ไม่ได้คือกันจ่ะ ก็คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ คนมันจะเกิดก็เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดมาแล้วก็ใช้โอกาสนั้นให้คุ้ม นี่แหละคือสิ่งที่จะพูดต่อ คนก็ดันไปแคปแค่ตรงนั้น ก็ไปกระจายกันเต็มกลายเป็นไวรัลยิ่งใหญ่ คนก็เลยเริ่มรู้จักหยาดตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว จริง ๆ ประมาณปี 2561 แล้วค่อยมาคัพเวอร์เพลงตอนปี 2563”

 

 

“ม่วนไผม่วนมัน” ซิงเกิลแรกเติมเต็มความฝันของหยาดพิรุณ

“ความฝันของเด็กอิสานทุกคนที่อยากจะเป็นนักร้อง แล้วก็อยากจะเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ส่วนมากคนจะเข้าใจว่าเราชอบร้องสากล ชอบ R&B รึเปล่า แต่ความจริงแล้วคือหนูเติบโตมากับเพลงลูกทุ่งอิสาน ใครจะบอกว่าลูกทุ่งมันไม่เลิศ มันไม่แพง สำหรับหยาดไม่คิดอย่างนั้นเลย ลูกทุ่งมันคือจิตวิญญาณของเราเลย เราอยากจะทำเพลงให้มันสนุกสนาน ออกมาให้ทุกคน ได้สนุกให้ม่วนกันก็เลยเกิดมาเป็น ม่วนไผม่วนมัน ติดตามได้นะคะ ฟังได้ใน Youtube : YARDPIRUN แล้วก็สตรีมมิ่งทุกช่องทางเลย ขอบคุณมากค่ะ” - หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดชีวิตกว่าจะเบ่งบานงดงาม ของ “บลอสซั่ม ชนัญชิดา” กับมุมมอง LGBT บนเส้นทางการแสดง

25 ก.ย. 2024

เปิดชีวิตกว่าจะเบ่งบานงดงาม ของ “บลอสซั่ม ชนัญชิดา” กับมุมมอง LGBT บนเส้นทางการแสดง

“เวลาที่ทำอะไร เรามักจะใช้ความชอบเป็นตัวนำ แต่โลกทุกวันนี้ก็ไม่ได้หันความชอบมาให้เราอย่างเดียว ถ้าบางครั้งโอกาสเข้ามาก็ต้องลองดูก่อน วันนี้เราทำได้ไม่เก่ง แต่วันข้างหน้ามันต้องมีวันที่เราทำได้แน่นอน”เปิด Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ ของเหล่าตัวแม่ในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดปัง “บลอสซั่ม ชนัญชิดา” หนึ่งในผู้ที่เข้าแข่งขันรายการ The Face Thailand 3 แต่ถึงแม้จะโดนคัดออก และไปไม่ถึงฝัน แต่เธอก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่หลายคนจับตามอง เพราะเธอมีรูปร่างหน้าตาที่เป๊ะปัง และความสามารถที่พกพามาอย่างเต็มตัว จนกลายเป็นหนึ่งในไอดอลของสาวประเภทสองหลายคน เพราะนอกจากจะสวย และเก่งแล้ว เธอยังมีความพยายาม และมุ่งมั่นตั้งใจอีกด้วย ซึ่งภายหลังจากจบรายการ เธอก็มีงานแฟชั่น และงานเดินแบบอยู่ตลอด และล่าสุดเธอก็ได้ร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกวง 2021ราตรี สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจดีดี ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส กับเรื่องราวฝังใจในโรงเรียนชายล้วน“หลายคนชอบอยากย้อนไปตอนเด็ก เพราะมองว่า ตอนเด็กเจ็บสุดก็แค่หกล้ม แต่สำหรับหนูไม่อยากย้อนไป เพราะตอนเด็กหนูโดนหลายอย่างมาก ด้วยความที่หนูเรียนในโรงเรียนประจำที่มีแต่ผู้ชาย หนูมามีความสุขเต็มที่ คือช่วงหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนผู้ปกครองที่คิดว่าลูกจะเป็นสาวประเภทสอง หรือเป็นทรานส์เจนเดอร์ เค้าจะชอบส่งไปเรียนโรงเรียนประจำชายล้วน ด้วยความคิดที่ว่าไปอยู่กับผู้ชายเยอะ ๆ แล้วจะได้เปลี่ยนเป็นผู้ชายด้วย แต่หนูรู้สึกว่ามันกลับกัน การไปเรียนโรงเรียนชายล้วนทำให้หนูผ่านการโดนคุกคามทางเพศมาด้วย เล่าตอนนี้มันอาจจะตลก แต่ว่าตอนนั้นมันทุกข์ทรมานมากกับชีวิตตั้งแต่ ม.1 ด้วยความที่เรามีลักษณะตุ้งติ้ง คือหนูไม่จับลูกบอลเลย จับแต่หนังยาง และชอบอยู่กับผู้หญิง แล้วเหมือนแม่ก็เห็น เลยจับเราไปเรียนโรงเรียนประจำชายล้วน ที่กลับบ้านได้แค่เดือนละครั้ง ซึ่งเวลาโดนคุกคามทางเพศ หนูเคยร้องขอความช่วยเหลือแล้ว ซึ่งคุณครูก็ให้ความช่วยเหลือในระดับหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ครูในหอพักจะมีแค่ 1-2 คนเอง แล้วในหอพักหนึ่งต้องดูแลนักเรียนกว่า 200-300 คน มันอาจจะเป็นการดูแลที่ไม่ทั่วถึง ตอนที่โดนคุกคามทางเพศ ตอนนั้นที่บ้านไม่รู้ เพราะว่าหนูไม่กล้าบอก กลัวที่บ้านเสียใจ แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครูน่าจะเอาเรื่องไปบอกให้แม่เราฟัง ทำให้ที่บ้านรับรู้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ หนูว่าตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ”ความเป็นตัวตน กับการยอมรับของคนในครอบครัว“ในตอนเด็กหนูกดดันถึงขั้นเคยไม่อยากจะเป็นตุ๊ดแล้ว อยากเลิกดีกว่า อยากเป็นผู้ชายดีกว่า แต่พอได้เรียนรู้จากการรับสื่อต่าง ๆ หนูจึงมองว่า ถ้าผู้ปกครองไม่ยอมให้เราได้เป็นตามที่เราอยากจะเป็น มันก็จะมีปัญหาครอบครัวเกิดขึ้นเยอะมากมาย อย่างเช่น เรื่องที่ผู้ชายไปแอบคบกับผู้ชายแต่ก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิง มันก็จะกลายเป็นปัญหาครอบครัวไปอีกในอนาคตตอนที่เปิดตัวกับที่บ้าน หนูจำได้ทุกอย่าง มันเหมือนซีนในละครเลย ตอนนั้นหนูผมสั้นแบบนักเรียนเลย แต่หนูเลือกต่อผมแบบโป๊ะ ๆ แล้วเดินเข้าบ้าน แล้วก็นั่งกินข้าวของหนูปกติ หลังจากนั้นแม่ก็เข้ามากอด มันเป็นซีนใหญ่มาก หนูจำกลิ่นได้ จำเหตุการณ์ได้ทุกอย่างเลย ที่ตัดสินใจเปิดตัว เพราะหนูรู้สึกอึดอัดมาก ที่เวลาจะเข้าบ้านทีหนึ่งก็ต้องลบหน้า ต้องเปลี่ยนกระโปรงเป็นกางเกง ทำอยู่แบบนั้นจนหนูรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ซึ่งในใจหนูคิดว่า พ่อแม่ของคนที่เป็นทรานส์เจนเดอร์ เค้ารู้อยู่แล้วว่าลูกเค้าต้องการที่จะเป็นอะไร อยู่ที่ว่าเค้าจะพูด หรือเราจะพูดตอนไหนมากกว่า แล้วตอนนั้นหนูคิดว่าหนูทำไปเลย ไม่ต้องพูด เลือกให้เค้าเห็นไปเลยว่าหนูอยากจะเป็นผู้หญิงหลังจากเราได้พูดคุย ได้เป็นตัวเองเต็มที่ หนูรู้สึกว่าบ้านมันกลายเป็นบ้านอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นหนูไม่อยากจะกลับบ้านเลย ต้องหาเรื่องไปอยู่หอ ซึ่งแม่ก็ไม่ให้ไปอยู่หอด้วย หนูก็พยามบอกแม่ว่ามีทำโครงงาน มีติวหนังสือ แต่สุดท้ายพอพ่อกับแม่ยอมรับแล้วเปิดใจ มันเหมือนทำให้บ้านได้กลับมาเป็นบ้านอีกครั้งส่วนคนรอบข้าง ก็มีบ้างที่เค้าพยายามจะพูดถึงเรื่องเพศเรา เพราะบางครั้งเค้าจะชอบชมเรา แต่เป็นการชมในเชิงเปรียบเทียบ สำหรับหนูคิดว่า ถ้าจะชมใครสักคน หนูอยากให้ชมว่าเค้าหน้าตาดี สวย หรือหล่อไปเลย เราไม่ต้องไปบอกว่า อุ๊ยหล่อเหมือนผู้ชายเลย หรือสวยเหมือนผู้หญิงเลย หรืออย่างประโยคที่ว่า สวยจนดูไม่ออกเลย เพราะหนูคิดว่า จริง ๆ ก็ดูออกแหละ ถ้าเกิดดูไม่ออกจะพูดได้ยังไงว่าดูไม่ออกเลยหนูรู้สึกว่า ถ้าวันนั้นหนูไม่ต่อผมเข้าบ้าน ไม่พูดคุยกับครอบครัว มันจะเหมือน Butterfly Effect หนูอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ อาจจะไปทำอย่างอื่นเลยก็ได้ บางทีหนูอาจจะแต่งงานกับผู้หญิงก็ได้ หนูก็เลยคิดว่าขอบคุณตัวเองมากที่ตัดสินใจทำในวันนั้นสำหรับน้อง ๆ ที่อยู่ในช่วงทางโค้ง บางทีน้องอาจจะรู้สึกว่ากำลังถูกรุกล้ำบางอย่างในชีวิต แต่การที่บ้านกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง มันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และชีวิตหนูก็จะดีขึ้น บลอสซั่มคิดว่าบ้านทุกบ้านรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ เค้ารู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นอะไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะกล้าเข้าไปเปิดตัวกับเค้ารึเปล่า เราคิดว่าครอบครัวสมัยนี้ง่ายกว่าครอบครัวสมัยก่อนเยอะ ถ้าเราอยากจะเป็นอะไร เค้าพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”เช็คลิสต์ความฝัน ของ บลอสซั่ม ชนัญชิดา“เรื่องความฝัน หนูคิดว่ามันเป็นไปตามช่วงวัยต่าง ๆ หนูเคยมีฝันหนึ่ง ที่ไม่กล้าจะฝันด้วยซ้ำ นั่นคือ หนูอยากเป็นนักร้อง ตั้งแต่เด็ก ๆ หนูชอบภาษาไทย และชอบอ่านร้อยแก้ว หนูเคยแข่งขันได้ที่ 1 ของประเทศ แล้วตอนนั้นก็มีความฝันว่า อยากเป็นผู้ประกาศ เพราะฉันแข่งได้ที่ 1 ประเทศมาแล้ว แต่ความฝันตั้งแต่เด็กที่ไม่เคยทิ้งเลยคือ หนูอยากเป็นนักร้องมาก ๆ มันเป็นฝัน ที่คิดอยู่แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้น LGBTQ+ แทบจะไม่มีจุดยืนเลยด้วยซ้ำ ตอนที่หนูฝึกงานก็จะเห็นศิลปินที่ต้องทำตัวเป็นผู้ชายทั้งหมด แล้วพวกหนูยังอยู่เบื้องหลังกันอยู่เลย และตอนนั้น พี่ป๋อมแป๋ม หรือ พี่ก็อตจิ ก็ยังอยู่เบื้องหลังกันหมดเลยครั้งหนึ่งหนูเคยเป็น ดีเจ อันนี้ก็เป็นอาชีพที่เซอร์ไพรส์เหมือนกัน เพราะตอนที่เรียนนิเทศศาสตร์ ที่ ศิลปากร เราชอบจัดวิทยุ จนได้มีโอกาสไปจัดอยู่ที่คลื่น 97.5 FM มันเป็นความฝัน ที่หนูได้ทำจริง ๆ แล้วมันสนุก และหนูชอบทำ ซึ่งในหลาย ๆ ความฝัน ถ้าเช็คลิสต์ดู หนูทำได้เกือบหมดแล้ว หนูเคยคิดด้วยว่า ตายได้แล้ว เพราะได้ทำตามฝันเกือบจะหมดแล้ว และตอนนี้หนูเป็น Content Creator หนูทำทุกอย่างที่จะได้เงิน และอีกความฝันที่หนูอยากทำ ในเมื่อหนูมาอยู่เบื้องหลังแล้วคือ การเล่นภาพยนตร์ เพราะรู้สึกว่าเป็นศาสตร์ที่มันมากกว่าละคร เหมือนกับมันพูดน้อยกว่า มันแอคติ้งมากกว่า มันลึกกว่า และตอนที่หนูเรียน หนูไม่ได้เรียนการแอคติ้ง หนูเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนแอคติ้งมาก”กว่าจะเป็น บลอสซั่ม The Face Thailand 3“ตอนที่ประกวด The Face หนูก็เคยประกวดนางงามมาก่อน เคยไปทำงานประจำมาเยอะมาก แล้วหนูรู้สึกว่าการตอกบัตรไม่ใช่ชีวิตหนู การทำอะไรเป็น Routine หนูทำไม่ได้ เพราะว่าหนูค่อนข้างมีความเป็นอาร์ทติสในตัวเองสูง การที่ต้องเข้างาน 9 โมง แล้วทำอะไรเดิม ๆ หนูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แล้วตอนนั้นก็คือได้รู้จัก พี่อเล็กซานดุล ที่เป็นช่างผมชื่อดัง พอพี่เค้าเห็นเราเค้าก็ถามว่าสนใจจะไปแข่ง The Face ไหม เดี๋ยวพี่ส่งเอง และจะช่วยแต่งหน้าทำผมให้ประจวบเหมาะกับตอนนั้นกระแส LGBTQ+ ในการออกรายการกำลังมา แล้วรายการ The Face เหมือนอยากให้ทรานส์เจนเดอร์ได้ลองประกวดด้วย เพราะรูปลักษณ์ของเราก็เป็นผู้หญิง หนูก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสของเราแล้ว แต่พอไปแข่งจริงต้องบอกก่อนเลยว่าตอนแรกไม่ได้เข้ารอบ รอบนั้นเป็นรอบพรี จัดที่ สยามพารากอน มี ป้าตือ เป็นกรรมการ แล้วเค้าจะให้เข้าไปในห้องทีละเซ็ท เซ็ทละ 10 คน หนูยอมรับเลยว่าตัวเองก็เดินไม่ได้เก่ง แล้วพอเดินเข้าไปใครไม่โดดเด่นเค้าก็จะคัดออก ซึ่งหนูก็อยู่เซ็ทกลาง ๆ เป็นเซ็ทที่กรรมการเริ่มเบื่อ เริ่มเล่นมือถือแล้ว พอเดินเข้าไปหนูก็ตกรอบ ตอนนั้นใจหายมาก แล้วมีเพื่อนในเซ็ทนั้นไม่ยอม เค้าก็เหมือนเอารูปเราไปโพสในทวิตเตอร์ แล้วคนก็มารีทวิตเยอะมาก เกือบแสนคน จนมันก็จะมีการแข่งขันอีกรอบหนึ่ง รอบนี้เหมือนโปรดิวเซอร์เค้าก็ต้องหาประวัติว่าใครน่าสนใจที่จะเข้ารอบซึ่งหนูก็เรียนที่นิเทศศาสตร์มา ก็จะรู้ว่าด้วยเนื้อหารายการ ถ้าเอาแต่นางแบบเข้าไปหมด รายการเรียลลิตี้มันก็จะไม่มีความสนุก มันต้องมีนางเอก มีตลก มีตัวร้าย คนดูถึงจะอยากติดตามรายการ สุดท้ายหนูก็ได้เข้ารอบ ตอนนั้นโปรดิวเซอร์ก็ได้มาพูดคุยถามว่าเรียนจบที่ไหน ตอนเด็กใช้ชีวิตเป็นยังไง แล้วหนูก็เล่าเรื่องที่หนูเรียนโรงเรียนชายล้วน จนได้เข้าไปแข่งขันการประกวด The Face ให้อะไรกับหนูเยอะมาก เพราะว่าหนูเรียนนิเทศศาสตร์มาก็จริง แต่หนูอยากอยู่เบื้องหลัง ตอนเรียนหนูชอบการเป็น Switcher ชอบการเป็นตากล้อง ชอบเขียน Script แต่วันดีคืนดีได้มีพี่เลี้ยงที่เค้าเห็นหนูว่ามีความสามารถพอที่จะประกวดนางงามได้ เลยได้ฝึกศักยภาพของตัวเองในอีกด้านหนึ่งด้วย”จากความฝัน สู่ก้าวแรกบนเส้นทางนักร้อง กับวง 2021 ราตรี“ตอนนั้นหนูก็มาที่ตึกแกรมมี่นี่แหละค่ะ มาแคสเป็นการร้องเพลง ซึ่งเค้าก็ถามก่อนเลยว่า สนใจไหม โปรเจกต์นี้จะเป็นการเอาเพลง จีนี่จ๋า มาคัฟเวอร์ใหม่ ตอนนั้นหนูดีใจมากที่ถูกชวน และเราไม่รู้ว่าถ้าทำออกมาแล้วจะดีหรือไม่ดี หรือว่าจะโดนด่าโดนวิจารณ์ไปในทิศทางไหน แต่เรารักพี่ ๆ 2002 ราตรี มาก เราก็รู้สึกว่าถ้าเรารับโปรเจกต์นี้เราอยากจะทำผลงานที่เชิดชูพี่ ๆ และถ้าเกิดเอากลับมาทำใหม่ มันก็อาจจะเรียกกระแสให้พี่ ๆ 2002 ราตรี กลับมาดังอีกครั้งก็ได้ จนหนูได้มาเป็นหนึ่งในสมาชิกวง 2021 ราตรีหลังจากออกผลงาน ก็เจอเรื่องคำคอมเมนต์ หรือ คำวิจารณ์ลบ ๆ แต่หนูเคยผ่านมาแล้ว ตอนที่ประกวด The Face หนูเลยรู้สึกว่าอยากอ่านแต่พออ่าน อ่านของคนที่ส่งมาให้กำลังใจดี ๆ แต่ที่มันกระทบจิตใจหนูมาก ๆ คือการที่เพื่อนหนูนี่แหละเอาไปโพส แล้ววิจารณ์แรงมาก เราก็เสียใจแต่ก็บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรมันผ่านมาแล้ว หนูเข้าใจในมุมมองของแฟนเพลงนะ เค้าอาจจะรักเพลงนี้มาก ๆ เหมือนที่หนูรัก หลายคนก็อาจจะคิดว่า เพลงจีนี่จ๋า เลยนะ เป็นเพลงระดับตำนานมาก ๆ ทำไมถึงเอามาทำให้เสียของแบบนี้ แต่หนูก็รู้สึกว่า หนูก็ทำเต็มที่ของหนูที่สุดแล้ว เค้าให้ทำอะไรก็ทำตามอย่างสุดความสามารถของหนูแล้ว อย่างตอน The Face ก็โดนหนัก หนูโดนด่าว่าไม่เก่งเลย มารายการได้ยังไง ทำไมถึงร้องไห้ตลอดเลยอ่อนแอมาก อยู่ไม่ไหวก็ออกไปเถอะ แต่หนูก็รู้สึกว่าตัวเองก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว เลยเลือกที่จะก้าวผ่านมันมา”วิธีเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นสิ่งที่ชอบ ในแบบฉบับ ของ บลอสซั่ม“หนูรู้สึกว่าอะไรที่หนูไม่เก่งหนูจะไม่ชอบ ตอนแข่ง The Face ตอนนั้นหนูเดินไม่เป็นเลย หนูเดินเก้ ๆ กัง ๆ จนมีช่วงที่รายการพักกองประมาณ 4 เดือน หนูก็เลยตัดสินใจไปเรียนเดินแบบ แล้วพอเรียนคลาสหนึ่ง ด้วยความที่หนูอาจจะโชคดีที่เป็นคนเรียนรู้ไว หนูไปเรียนแค่คลาสเดียว หนูรู้เลยว่าการเดินต้องเป็นแบบไหน จัดระเบียบร่างกายยังไง พอเรียนเสร็จก็กลับมาถ่ายรายการต่อ แล้วหนูโดน ป้าตือ ชม ตอนนั้นเป็นแคมเปญที่ต้องเดินเป็นเลข 8 บนทางแคบ ๆ แล้ว ป้าตือ บอกว่า บลอสซั่ม เดินสวยมาก เดินดีมาก เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็ทำได้นะ จากตอนแรกเราไม่ชอบเดินแบบเลย เพราะว่าการเดินแบบเป็นสิ่งที่เราทำไม่เป็น เราโดนด่ามาตลอดว่าเราเดินไม่ได้ เวลาเดินชอบห่อตัว แล้วพอแบบไปเรียนเค้าก็จะให้ตั้งไหล่ขึ้น แล้วก็จะต้องเดินไปแล้วมองตรง เหยียดขาตรงเท่านั้น เราก็เลยเก็บทุกรายละเอียด เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า รายการ The Face ต้องการหาคนเดินแบบ หลังจากนั้นหนูชอบเดินแบบเลยเพราะรู้สึกว่าเราทำได้ดีแล้วคนชม แต่หนูก็ไม่ได้บอกใครว่าหนูไปเรียนมานะ”มุมมองเรื่อง LGBTQ+ บนเส้นทางการแสดง“หนูรู้สึกว่า เราขำได้ ตลกได้นะ แต่ว่าไม่ใช่ตัวตลก แล้วการเป็น LGBTQ+ ในวงการสมัยนี้ หนูดีใจมาก ๆ เลยนะ ที่เพื่อนหนูอย่าง แก๊งหิ้วหวี ที่เค้าส่งตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้ ทำให้คนมอง LGBTQ+ เปลี่ยนไป พวกเราทั้งทำเพลงเองได้ ทำรายการเองได้ ทั้งทำทุกอย่างเองได้ หนูรู้สึกว่าสมัยนี้ถ้าโอกาสไม่มาหาเรา เราก็ต้องทำให้มีโอกาสเกิดขึ้นให้ได้หนูวิเคราะห์ว่า ที่หนูเป็น Content Creator แล้วมีคนดูคลิปหนูเยอะ เพราะหนูอาจจะไม่ได้ทำแค่เรื่องบิวตี้อย่างเดียว หนูชอบเล่นติดตลกด้วย เป็น Content ติดตลก ไม่ใช่ขายสวยอย่างเดียว แต่บางทีมันก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ หนูว่าการเล่นตลกยากมาก ถึงเพื่อนจะบอกว่าหนูเป็นคนตลก แต่ถ้าไปทำตลกจริง ๆ มันไม่ค่อยตลก และสิ่งที่ยากที่สุดที่หนูเคยเรียนมาคือการเล่นซิทคอม”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ บลอสซั่ม ชนัญชิดา“ความรักตอนนี้หนูโสดค่ะ แต่ว่าไม่ 100% หนูชอบการมีคนคุย แล้วตอนนี้หนูแฮปปี้มากกับชีวิตโสด หนูคิดว่าคนที่หนูจะเลือกคบจริง ๆ หนูค่อนข้างที่จะกรองแล้ว แล้วคนที่หนูคบทั้งหมดที่ผ่านมา เค้าจริงใจหมด เพราะหนูค่อนข้างที่จะมีจิตวิทยากับคนเหมือนกัน หนูเป็นคนชอบมองคนก่อนที่จะคบ ถ้ารู้สึกว่าใครไม่จริงใจ หนูก็จะไม่คุยตั้งแต่แรกเวลาเจอปัญหาความรัก หนูคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบเก็บปัญหาเอาไว้ เช่นเวลาเราไม่พอใจ เราจะไม่พูดเลย จนถึงวันที่หนูทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ หนูก็จะเดินออกไปจากความสัมพันธ์ อีกอย่างคือ เวลาหนูมีปัญหาความรัก หนูจะฟัง Club Friday แล้วจะพิมพ์ใน Pantip เพื่อดูว่ามีใครเจอปัญหาเหมือนเรื่องของเรารึเปล่า หนูไม่รู้จะถามใครเพราะว่าถามแฟน แฟนก็จะให้คำตอบไม่ได้ หนูก็เลยมักจะถามคนรอบข้างว่าหนูแปลกไหม ที่ชอบหาคำตอบในอินเตอร์เน็ตแล้วก็ถามคนในโซเชียลมากกว่าคนข้าง ๆ เวลาอกหักหนูชอบไปทะเลคนเดียว หนูเป็นคนที่ให้คำปรึกษาความรักทุกคนได้หมดเลย แต่หนูไม่สำเร็จในความรักหนูเป็นคนที่เวลาเลือกใครแล้วมันไม่ใช่ มันจะรู้สึกไม่เอาแล้ว มันเหนื่อย ไม่อยากมีความรัก อยากอยู่คนเดียว อยากใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่สุดท้ายหนูก็รู้สึกว่า การมีคนคุย มันก็เป็นการทำให้เราชุ่มชื่นหัวใจเหมือนกัน อย่างที่พี่อ้อยเคยพูดว่า ช่วงเวลาที่จีบกันนั่นแหละ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด หนูเลยรู้สึกว่าอยากรักษาตรงนี้ไว้สักพักหนึ่ง อย่างคนก่อน ๆ หนูดูใจกันเร็วมากประมาณ 3 เดือน ก็คบเป็นแฟนแล้ว หลังจากนั้นหนูก็เลยรู้สึกว่าอยากคุยให้รู้เลยว่าคนนี้ใช่ไหม ถ้าผ่านไป 5-6 เดือนแล้วยังรู้สึกโอเคกับเค้าอยู่ เราก็อยากจะเป็นแฟนกับเค้าจริง ๆหนูชอบไปเกาหลีมาก เหตุผลหลักมาจากผู้ชายด้วย หนูรู้สึกว่าผู้ชายเกาหลีหล่อ และโรแมนติกมาก ๆ แต่ส่วนใหญ่ที่หนูเจอคือ จะโรแมนติกแค่คืนเดียว เหมือนคุยกันโรแมนติกดีมาก ๆ แค่คืนเดียว แต่ว่าหลังจากนั้นเค้าก็หายไปเลย ซึ่งตอนนี้หนูคิดว่าตัวเองจะมีคนคุยหรือไม่มีก็ไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้หนูรู้สึกว่าเรามีเพื่อนเยอะมาก มีกิจกรรมอะไรที่เรายังไม่ได้ทำเยอะมาก สิ่งที่อยากทำอย่างหนึ่งเลยคือ การเที่ยวรอบโลก และช่วงนี้เหมือนหนูกลับมามีแพชชั่นใหม่ ในการได้เริ่มทำอะไรใหม่ ๆ ตอนนี้หนูก็กำลังจะทำ Live กำลังจะทำกิจการของตัวเอง และสนุกกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำค่ะ”“คำนำหน้า” ความเท่าเทียม ที่อยากผลักดัน“ความเท่าเทียมตอนนี้ เรามี สมรสเท่าเทียม เรียบร้อยแล้ว หนูรู้สึกว่าอีกอย่างหนึ่งที่หนูอยากให้เกิดขึ้น มันอาจจะดูขอมากไป แต่สำหรับหนูคิดว่ามันจำเป็นมาก คือ การเปลี่ยนคำนำหน้า อย่างเพื่อนหนูที่ไปอเมริกาจนได้สัญชาติแล้ว เค้าก็จะสามารถเปลี่ยนคำนำหน้าตามที่เค้าอยากจะใช้ได้ แล้วเวลาหนูไปต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ก็จะชอบดูพาสปอร์ต แล้วมองหน้าเราแปลก ๆ จนบางครั้งถูกเอาไปสัมภาษณ์ในห้องเย็น เพราะเพศสภาพไม่ตรงกับหน้าพาสปอร์ตและมีบางครั้งในบางประเทศที่เราเข้าไม่ได้ในเรื่องความเท่าเทียม หนูคิดว่าทุกคนรู้ดีว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร แต่ทุกคนแคร์เสียงของคนรอบข้างมากเลย หนูอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นอะไรแล้วมีความสุข เพราะชีวิตหนึ่งเราเกิดมาครั้งเดียว อยากใช้ชีวิตอย่างไรใช้เลย โดยที่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ถ้าคุณอยากจะเป็นเพศอะไร หรืออยากจะเป็นอะไรก็ตาม หนูคิดว่าเป็นเลย ยังไงคนรอบข้างเค้าก็ต้องเข้าใจเราอยู่ดี หนูคิดว่าทุกคนรู้หมดว่าเราเป็นอะไร แล้วเราอยากจะเป็นอะไร”สีสันแรงบันดาลใจ จาก บลอสซั่ม ชนัญชิดา“สำหรับคนที่อยากทำ Content หนูรู้สึกว่าทำไปเลย ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำได้ดี สมมติว่าถ้าเราไม่ได้รัก แล้วเราฝืนทำ เดี๋ยวมันจะกลับมาสู่จุดเดิม เพราะเราจะท้อ แล้วก็ไม่อยากทำไปเอง ถ้าชอบแต่งหน้าแต่งเลย ชอบร้องเพลงร้องเลย ชอบเดินแบบเดินเลย หนูเคยเห็น Content Creator บางคนที่เดินแบบอย่างเดียว แล้วเค้าก็ดัง มีชื่อเสียงไปเลย หนูคิดว่าถ้าใครเก่งด้านไหนทำไปเลย ตอนนี้มันไม่จำกัดแล้วว่าคุณเป็น ชาย หญิง หรือ LGBTQ+ ทุกคนเท่ากันหมด แล้วก็สามารถทำ Content ของตัวเองได้ แต่ก่อนหนูแคร์คนอื่นมากเลย จนบางทีเจอบางคอมเมนต์ที่เป็นใครก็ไม่ รู้เราไม่รู้จักเลย แต่มันทำให้เรานอยด์ไปทั้งอาทิตย์ นอยด์ไปทั้งเดือน จนบางครั้งช่างมันบ้างก็ได้” - บลอสซั่ม ชนัญชิดาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิตทำความรู้จักตัวตน ของ “ใหม่ Powerpuff Gay” อินฟลูเอนเซอร์สุดเก๋ ผู้สร้างตำนานบทใหม่ทุกครั้งที่ไลฟ์

25 ธ.ค. 2023

เปิดสีสันชีวิตทำความรู้จักตัวตน ของ “ใหม่ Powerpuff Gay” อินฟลูเอนเซอร์สุดเก๋ ผู้สร้างตำนานบทใหม่ทุกครั้งที่ไลฟ์

รายการ CLUB PRIDE DAY ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “ใหม่ Powerpuff Gay” หรือ “ใหม่ ลอว์เรน” อินฟลูเอนเซอร์สุดเก๋ ผู้สร้างตำนานบทใหม่ทุกครั้งที่ไลฟ์ กว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราว ฝ่าฝันบททดสอบของชีวิตมากมาย และมีหลากหลายแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้นำมาแชร์ไว้ในรายการด้วยใหม่ ลอว์เรน ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“ลอว์เรน เป็นชื่อหมอผี ใน The Conjuring ค่ะ เรื่องของเรื่องคือ วันนั้นแก๊งเราแต่งหน้าสไตล์ฝรั่ง แล้วนั่งคุยกันกับ น้องหนุ่ม ผ่านไลฟ์สด แล้ว น้องหนุ่ม ก็แซวว่า วันนี้ดูฝรั่งนะจ๊ะ ลอว์เรน เราก็ถามว่า หนุ่ม หล่อนเอา ลอว์เรน มาจากไหน หนุ่มบอกว่า หนูนึกอะไรไม่ออก แล้วเมื่อคืนหนูดูหนังผี The Conjuring แล้วหมอผีที่ปราบผีมันชื่ ลอว์เรน ก็เลยตั้งชื่อให้ว่า ลอว์เรน ซึ่งหนูว่าชื่อมันดูเปรี้ยวดี มันเลิศ ก็เลยใช้ชื่อ ใหม่ ลอว์เรน ตั้งแต่นั้นมาค่ะ”ย้อนวัยใส ของ ใหม่ ลอว์เรน“จริง ๆ แล้วพ่อกับแม่ของ ใหม่ รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นมาตั้งแต่เด็ก เค้าก็พยายามที่จะปรับเปลี่ยนให้เราคบกับเพื่อนผู้ชาย ให้เราแต่งตัวที่ดูแมนขึ้น ซึ่งเราก็รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะเราลองทำแล้ว ลองตามใจเค้าแล้ว ด้วยความที่เราเป็นลูกคนเล็ก แล้วมีพี่สาวสองคน ก็เลยติดเล่นกับผู้หญิง แล้วแม่ก็ดันตามใจอีก จำได้เลยว่าของเล่นชิ้นแรกที่หนูอ้อนแม่ซื้อก็คือ บาร์บี้ แล้วพอโตขึ้น ถามว่าเราได้พิสูจน์ตัวเองไหม บอกเลยว่า ใหม่ ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย หนูแค่เป็นคนชอบทำมาหากินคนนึง แล้ววันหนึ่งเราก็เลี้ยงดูครอบครัวเราได้ เราใช้หนี้ให้แม่ได้ เราสามารถดูแลครอบครัวพี่สาวเรา ดูแลแม่บ้าน ดูแลคนงานในบ้านเราได้ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้เอาตัวเองมาพิสูจน์อะไรกับใครหนูเป็นคนที่รักตัวเอง รักความรู้สึกตัวเอง รักในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่หนูเข้าใจความคาดหวังของผู้ใหญ่นะ ที่คาดหวังว่าเรียนจบเสร็จรับปริญญา รับปริญญาเสร็จบวช บวชเสร็จทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง เป็นลำดับขั้นของชีวิต ซึ่งเราเข้าใจ แต่หนูก็จะพูดกับแม่เสมอว่า หนูไม่บวชนะ หนูรู้สึกว่าหนูทำอะไรให้แม่ได้ทุกอย่างเลย แต่หนูขอไม่บวชได้ไหม เพราะหนูรู้สึกว่า อะไรที่มันไม่ได้ทำมาจากใจของเรา เราจะทำมันได้ไม่ดี มันก็เหมือนอย่างเพจที่หนูทำอยู่ ถ้ามันไม่ได้มาจากใจ จากความชอบ หนูก็ทำมันไม่ได้ดีเช่นกัน”กว่าจะเป็น Powerpuff Gay แก๊งสุดเก๋ สร้างไวรัลสุดปัง“แต่เดิมความฝันของหนูคือ อยากเป็นดารานักแสดง เมื่อก่อนพ่อของหนูเคยเปิด จิรวัฒน์การละคร เป็นบ้านที่สอนเกี่ยวกับศิลปะการแสดง หนูก็จะซึมซับว่า ตัวเองอยากเล่นละคร อยากเป็นดารา เราเคยไปแคสงานโฆษณาเยอะมาก แต่ก็ไม่เคยได้ ก็เลยคิดแค่ว่า ถ้ามันได้มันก็กลายเป็นโบนัสของชีวิต เพราะเราก็มีธุรกิจส่วนตัวที่บ้านอยู่แล้ว แล้วการมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ทุกวันนี้ได้ ย้อนกลับไปตอนนั้น หนูไม่รู้เลยว่าในอนาคตมันจะกลายมาเป็นแบบนี้Powerpuff Gay เป็นเพจที่หนูสร้างขึ้นมาด้วยตัวของหนูเอง แล้วก็ไปจิ้มน้องใน Facebook ที่เป็นเพื่อนกันแต่ไม่เคยเจอกัน ซึ่งหนู กับ เต้ รู้จักกันมาก่อน จากรายการ Take Gay Out Thailand จากนั้นก็ชวนคนอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มหนูสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า Powerpuff Gay หนูสร้างมากับมือที่เริ่มจากศูนย์ตอนนั้นหนูไม่มีความรู้อะไรเลย เรื่องรายได้ตัวเอง รายได้ให้น้อง คิดคอนเทนต์ ทำเองหมด เวลาคนมาเห็นกองถ่ายของ Powerpuff Gay ก็จะตกใจว่ามีกันแค่สี่คนเหรอ แล้วพอมีงานใหญ่ ๆ บางครั้งคนก็ไม่เชื่อว่าเราทำกันแค่สี่คนเราทำกันสี่คน ตั้งกล้องเอง ทุกอย่างที่เห็นทั้งหมดไม่ว่าตำนานไหน ๆ ไม่มีใครอยู่หลังกล้องเลย เราอยู่หน้ากล้องกันทุกคน แต่มีงานหนึ่งที่มีคนอยู่หลังกล้อง เพราะมันเป็นงานที่หนูช่วยเหลือสังคม คือตอนนั้นสมัยที่โควิดมันหนักมาก ๆ แล้วพ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถค้าขายได้ หนูก็เลยพิมพ์เลยว่า ใครอยากจะให้หนูไลฟ์สดขายอะไร หนูทำให้ฟรีเลย จำได้ว่ามีประมาณเกือบสามร้อยกว่าแบรนด์ที่ส่งมา แล้วหนูตั้งใจไลฟ์ให้เพราะหนูอยากทำด้วยใจจริง ๆ เพราะว่ามีบางคนที่อายุเยอะแล้ว เขานั่งวินมอเตอร์ไซค์จากปิ่นเกล้า มาบางกะปิ เพื่อที่จะเอาใบมายื่นให้ดูว่า ป้าตรวจโควิดแล้วนะ ป้าจึงทำกระท้อนยำนี้ แล้วเอามาให้พวกหนูไลฟ์สดเพื่อโปรโมท วันนั้นน้ำตาหนูจะไหล หนูรู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่เขาเห็นความสำคัญตรงนี้ คือเขาไม่เก่งโซเชียล เขาไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไง ต้องถ่ายรูปยังไง แต่เขานั่งมอเตอร์ไซค์จากปิ่นเกล้าเพื่อมามาหาเรา งานนั้นกลายเป็นงานที่คนอยู่หลังกล้องทั้งหมด เพราะว่ามันเยอะมาก มีสินค้าเป็นร้อย ๆ อย่างคอนเทนต์แรก ๆ หนูตั้งใจทำเลียนแบบ MV เพลงเหรอ ของ Zaza แล้วก็เลียนแบบโฆษณา ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีสปอนเซอร์ตัวหนึ่งเข้ามาเป็นสเปรย์พ่นเท้า ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เขาถามว่าคิดค่าลงโฆษณาเท่าไหร่ แล้วเป็นงานแรกในชีวิต หนูก็เลยคิดว่าสองหมื่นห้าก็แล้วกัน เพราะเรามีกันห้าคน คนละห้าพันบาท ซึ่งหนูมองว่าการออกจากบ้านหนึ่งครั้ง ถ้าเกิดได้เงินห้าพันมันคุ้มละต่อวัน หลังจากนั้นเพื่อนของเขาก็มาติดต่อเป็นสปอนเซอร์ต่อ เป็นครีมสี่ตัวที่เป็นแบรนด์เดียว หนูก็เลยได้งานนั้นงานแรกที่ถูกจ้างราคาหนึ่งแสนบาท แล้วเราได้คนละสองหมื่นห้า เป็นครั้งเลยที่ได้เงินแสนเข้ามาในทีม แล้วทีมรู้สึกว่าพวกเราหาเงินได้พวกหนูทำคอนเทนต์จากความชอบโดยตรง ในระยะแรกหนูเป็นคนก่อตั้งแก๊งขึ้นมาหนูมีความรู้เรื่องเสื้อผ้า แล้วหนูมีความรู้เรื่องคอนเทนต์บ้างเล็กน้อย ก็พยายามช่วยเหลือกันทั้งสี่คน น้องเต้ เป็นตากล้อง พี่อาร์ต เป็นครีเอทีฟ น้องหนุ่มเป็นผู้ช่วยหนู คอยช่วยในการหาของทำพร็อบ แล้วหนูเป็นคอสตูม มีเท่านี้เลยหนูอยากจะบอกน้อง ๆ ทุกคนที่อยากจะเป็นครีเอเตอร์ หรือทำคอนเทนต์ว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีโปรดักชันใหญ่เลยนะ อย่าพยายามคิดว่าต้องมีโปรดักชันใหญ่ ต้องมีตากล้องเยอะ บอกเลยว่าโทรศัพท์เครื่องเดียวมันหาเงินได้ และอย่างหนึ่งที่หนูจะคอยสอนน้องทุกคนว่า ความไร้สาระมันหาเงินได้เสมอ”ย้อนคลิปสุดไวรัล แจ้งเกิด ใหม่ Powerpuff Gay“คลิปที่มียอดดูสูงมากถล่มทลาย คือ ตำนานกรีดอายไลน์เนอร์ มันเป็นตำนานที่หนูไม่ได้ตั้งใจ แล้วหนูก็ขอโทษลูกค้าไปเรียบร้อย เรื่องมันเกิดจากวันนั้น หนูไปที่สตูดิโอของเพื่อน ซึ่งหนูจะกลับอยู่แล้ว แต่เพื่อนบอกว่าฉันได้อายไลน์เนอร์มา อยากให้เธอเอาไปเล่นกับไลฟ์สดขำ ๆ วันรุ่งขึ้นหนูก็นั่งเล่นแต่งหน้าเปิดกล้องไลฟ์สด ก็เลยเอาอายไลน์เนอร์มาไลฟ์ว่าใช้ดีนะ เป็น Water proof ก็กรีดที่หน้า แล้ว พี่อาร์ต ก็ดันพูดขึ้นมาว่า อายไลน์เนอร์ที่ดีมาก มันกันน้ำยังไงมันก็จะไม่หลุด ตอนนั้นหนูก็เช็ดเลย ปรากฏว่าอายไลน์เนอร์มันหลุด แต่หนูก็พยายามขอโทษลูกค้า ซึ่งเหตุผลจริง ๆ คือหนูไม่ได้ลงรองพื้น แล้วหนูเป็นคนหน้ามัน แล้วถ้าไม่ลงรองพื้นเครื่องสำอางทุกอย่างมันหลุดง่ายมาก หลังจากนั้นมันกลายเป็นการรีวิวแบบใหม่ที่ลูกค้าหลาย ๆ แบรนด์ชอบ และมันเริ่มกลายเป็นกระแสที่คนเริ่มชอบ ลูกค้าเริ่มบรีฟว่าพี่ขายไปเลย พี่อยากขายยังไงพี่ขาย พี่อยากรีวิวยังไงพี่รีวิว หนูไม่อยากบังคับพี่ หนูอยากได้ความเป็นตัวพี่หลังจากนั้นก็เริ่มมีกระแสแต่มันก็ยังไม่ใช่จุดที่พีคที่สุด พวกเรามาดังตอนที่เราเป็นแบบ ม้าม่วง ลอว์เรน เริ่มไลฟ์สดเล่นกัน คนก็เริ่มรู้จักมากขึ้น 4 เดือนนั้น หนูทำงาน ตลอด 120 วันเต็ม บางวันรับ 9 งานก็มีเป็นช่วงที่อาหารเต็มบ้าน เราตื่นมากินแล้วไลฟ์สด ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดที่ปิดเมืองด้วย แล้วน้อง ๆ ก็ได้งานกันด้วย ก็ต้องแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง พอ 4 โมงปุ๊บก็กลับมาเจอกันเพื่อไลฟ์สดต่อ จนหนูทนไม่ไหวก็เลยตั้งกล้องแล้วนอนเลย ก่อนนอนหนูก็ขายของก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วหนูก็ตัดสติ๊กเกอร์เป็นหน้าพวกเรา 4 คน แปะที่ผลิตภัณฑ์ว่า 4 คนนี้จะเฝ้าของไว้ตั้งแต่คืนนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า แล้วตื่นเช้าขึ้นมา ฉันจะพูดใส่กล้องเพื่อขายอีกรอบ จนกลายเป็นตำนานที่คนชอบมากคือการ นอนไลฟ์ หลับบ้าง กรนบ้าง หนูก็ปล่อยเลยเพราะเราชอบความเรียล จนคนดูโทรมาปลุก หนูก็ตื่นขึ้นมาหันไปที่กล้อง ตัวเลขคนดูมันพุ่งขึ้น เพราะคนรอดูหนูตื่น จากเดิมมีคนดูอยู่ 1,800 คน แค่หนูบอกว่าตื่นแล้วนะ คนดูพุ่งเป็น 3,800 คนเลย สปอนเซอร์ก็ชอบเพราะได้มีเวลานานขายของตั้ง 8 ชั่วโมงเลย”ใหม่ Powerpuff Gay กับตำนานเหมือนทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง“หนูก็เป็นคนชอบแต่งตัวมาก แต่หนูแต่งตัวยังไงมันก็ตลก หนูใส่กางเกงลายจุดสีดำพื้นกางเกงสีชมพู หนูก็เหมือนนมชมพูที่ใส่ไข่มุก แล้วพอหนูมีหนวด ก็ดันไปเหมือนคนอื่นไปหมด พี่ป๊อป แคลอรี่ บ้าง พี่โอ๊ต ปราโมทย์ บ้าง หมอสุนิล บ้าง ล่าสุดคนบอกว่าหนูเหมือนหม้อหุงข้าว คือจริง ๆ แล้ว หนูต้องขอบคุณชาวเน็ต ที่เขาสรรค์สร้างอะไรให้เราหลาย ๆ อย่าง แล้วหนูก็เอามาต่อยอด แล้วพวกเราพยายามที่จะทำคอนเทนต์ในแง่บวก หนูจะเน้นกับน้อง ๆ เลยว่า ทุกอย่างที่ออกมาต้องเป็น positive แล้วก็ให้ความสุขเท่านั้น เราต้องเล่นอยู่บนความสุขที่ไม่ได้อยู่บนความทุกข์ของคนอื่นแล้วก่อนจะเป็น Powerpuff Gay หนูเคยจะเป็น Powerpuff Ghost มาก่อนนะ หนูรู้สึกว่า LGBTQ+ บวกกับผีแล้วมันตลก ทีแรกหนูตั้งใจจะทำ Powerpuff Ghost ขึ้นมา โดยการเล่าเรื่องผีแต่ไม่มีผีเลย เล่าไปเรื่อยโดยให้เป็นกะเทยเป็นคนเล่า จริงหรือไม่จริงก็เล่าไป แล้วหนูรู้สึกว่าเอนเกจเมนท์มันน่าจะดี แต่ด้วยงานที่มันเยอะ ก็เลยไม่มีเวลาในการทำ แต่โลโก้เสร็จแล้วนะ เพราะตั้งใจทำไว้นานแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ เดี๋ยวในอนาคตอาจจะเอามาปัดฝุ่นแล้วทำดูสักครั้ง”คำบูลลี่ ที่เคยกระทบจิตใจของ ใหม่ Powerpuff Gay“โดยปกติหนูเป็นคนค่อนข้างสตรองมาก หนูรู้สึกว่า อะไรบางอย่างถ้าเราปิดตาได้ข้างนึงแล้วไม่ดูมัน มันก็ทำให้เราก้าวข้ามไปได้ บางคอมเมนต์ที่มันแย่หนูเห็นนะ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูด มันอาจจะทำร้ายจิตใจเราได้ แต่สุดท้าย มันไม่ใช่หน้าที่ที่หนูต้องคอยบอกคนทั้ง 76 ล้านคน ในประเทศไทย 77จังหวัดว่า ฉันเป็นคนแบบไหน เค้าจะคิดยังไง หรือเชื่อยังไงหนูก็ปล่อยผ่าน หนูแคร์เฉพาะคนที่อยู่รอบตัวเรา เข้าใจเราและอยู่ข้างเราเท่านั้นก็พอหนูเคยโดนครั้งหนึ่งที่หนูใส่ชุดว่ายน้ำ แล้วหนูโดนเพจหนึ่ง เข้ามาคอมเมนต์ว่าหนูเยอะมาก ๆ แล้วแชร์ภาพหนูไป แล้วด่าในคอมเมนต์แบบแรงมาก ๆ ซึ่งภาพมันอาจจะดูโป๊นิดนึงเพราะมันเป็นชุดว่ายน้ำ แต่ด้วยองค์ประกอบด้วยสี มันเป็นภาพที่สวยมาก ตอนที่โดนด่าหนูรู้สึกว่าทำไมใจร้ายจังเลย ทำไมคุณถึงใจแคบจังเลย เค้าตัดสินเราจากอะไร แต่หนูก็คิดได้ว่า อย่าแคร์คนที่ไม่ได้เข้ามารู้จักเราจริง ๆ หนูก็เลยปล่อยผ่าน”ใหม่ Powerpuff Gay กับการปลดหนี้ให้ครอบครัวกว่า 10 ล้าน!“หนูใช้หนี้ให้กับครอบครัวมาโดยตลอด เพียงแต่หนูไม่เคยออกมาเล่าเฉย ๆ ชีวิตหนูก็คือหนูใช้หนี้มาตลอด แล้วหนูเป็นคนชอบหาเงินมาก ได้เงินมาก็เอามาช่วยปิดหนี้บ้านบ้าง หนี้รถบ้าง จนกระทั่งล่าสุดที่หนูทำงานอย่างเต็มที่เพื่อจะปลดหนี้บ้านให้มันจบสักทีในชีวิต ทุกวันนี้บ้านที่หนูอยู่หนูรักมาก หนูอยากจะอยู่ที่นี่มาก ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ได้อยู่จริง ๆ หนูก็เลยคิดว่า หนูจะยอมเสียทุกอย่าง แต่หนูไม่ยอมเสียบ้านหลังนี้ไป เพราะมันเป็นโลเคชันที่หนูชอบและรักมันมาก ๆ หนูอยากจะเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้แล้วก็อยากใช้หนี้ให้แม่ให้มันจบ เพราะว่าหนูทนความเจ็บปวดของการเป็นหนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว มันทรมานมาก ๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองแกร่ง ในวันที่อาหารในบ้านหมดไม่มีเงินกินข้าว แล้วเราต้องแก้ปัญหาว่าจะกินอะไรที่มันอิ่มทั้งบ้าน มันทำให้หนูมองว่าการแก้ไขปัญหามันสนุก มันเหมือเล่นเกมว่าต้องจัดการยังไง ทำวิธีไหน ถึงจะจัดการปัญหานั้นได้สำเร็จ แล้วหนูชอบทดลอง ชอบแบบพิสูจน์ จนกว่าจะเจอผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”เรื่องนี้ที่ ใหม่ อ่อนไหวมากที่สุดในชีวิต!“เรื่องแม่ เรื่องครอบครัว เป็นเรื่องที่หนูอ่อนไหวที่สุดแล้ว หนูเคยมีวันที่ต้องออกไปหาโลเคชันถ่ายคลิป แล้วมันเป็นโปรเจคใหญ่มาก ๆ แล้วแม่ไปด้วย ซึ่งก่อนหน้านั้นตอนตี 3 แม่กลับมาจากต่างจังหวัด แล้วแม่บอกว่าเหมือนไม่สบายเลย หนูก็บอกว่าแม่อาจจะเพลียเพราะเดินทางไกล แม่ไปนอนเถอะ แล้วใหม่ก็จะรีบนอนด้วย พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นไปสวนสาธารณะ พอประมาณตี 5 หนูก็ออกจากบ้าน ซึ่งโชคดีมากเพราะว่าพี่สาวเข้ามาที่บ้านพอดี เพราะแม่ตกเตียง แล้วปากเบี้ยวเลย เพระเส้นเลือดในสมองตีบ ตอนนั้นเรียกว่า สโตรค ซึ่งเราไม่มีความรู้ เพราะเราไม่คิดว่าคนในบ้านเราจะเป็น แล้วเราต้องมาเห็นแม่นอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นเป็นช่วงทำ Powerpuff Gay ใหม่ ๆ หนูไม่มีเงิน แล้วต้องเอาแม่ไปอยู่โรงพยาบาลที่ไม่ได้เสียเงินแพง นอนห้องรวม พอเห็นแม่เราแบบนั้น หนูต้องทำหน้าปกติ แล้วหันหลังกลับมาร้องไห้ เป็นอยู่หลายวันมาก ๆ แต่ในวันที่หนูต้องดูแลแม่ หนูยอมจ่ายค่าจ้างพยาบาลในการดูแลแม่ตลอด 24 ชั่วโมง ต่อเดือน ซึ่ง ณ ตอนนั้นหนูหาได้ถูกสุดคือเดือนละ 2 หมื่นบาท เขาต้องตื่นตลอด 24ชั่วโมงเพราะแม่หนูทำอะไรไม่ได้เลยในช่วงแรก ๆ โรคนี้มันน่ากลัวมาก หนูต้องพยายามหาเงินเดือนละ 2 หมื่นบาท เพื่อมาจ่ายค่าพยาบาล ค่าน้ำค่าไฟ แล้วจ่ายหนี้ ที่มันยังมีอยู่เต็มไปหมด หนูเคยต้องผ่อนบ้านเดือนละ 6 หมื่นบาท หนูก็ปล่อยให้เขาทวง เพราะทำอะไรไม่ได้ รอเจอกันที่ศาล จะยึดเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน ทำได้แค่นั้น เพราะมันทำอะไรไม่ได้จริง ๆ”เปิดความรัก ส่องหัวใจ ของ ใหม่ Powerpuff Gay“ความรักครั้งแรกเป็นความรักเรียนปี2 เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ตื่นเต้นมาก เพราะว่ามีวัยรุ่นตีกันอยู่แถวตรอกข้าวสารตรงวัดชนะสงคราม แล้วหนูวิ่งหนีเพราะเค้าตีกัน แล้ว วิ่งหนีไปเจอผู้ชายที่เป็นรักแรก แล้วเค้ามาขอเบอร์เรา คือเจอกันที่หน้าวัด เป็นการได้เบอร์ครั้งแรก กลายเป็นความรักครั้งแรก แล้วเราก็เวอร์จิ้น เลยโกหกผู้ชายว่ามีรายงาน มาช่วยทำหน่อย เค้าก็มาทำการบ้านให้เรา แต่เราไปนั่งซักถุงเท้าให้เค้าในห้องน้ำ แต่สุดท้ายก็ได้กันกลายเป็นความรักครั้งแรก แต่ผู้ชายคนนี้เจ้าชู้มาก คบแฟนพร้อมกัน 12 คน วันที่เค้าซื้อของขวัญวาเลนไทน์มาให้หนู เค้าซื้อหมอนสำเพ็งโหลนึง ให้คนคุยทุกคน ก็เลิกกันไป แล้วความรักของหนูส่วนใหญ่จะสั้น ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรส่วนความรักครั้งที่เฮิร์ทที่สุด คือ ครั้งที่ได้คบกับพี่คนนึงอายุประมาณ 35 ปี แล้วเราอายุ 32 ปี ซึ่งอายุไม่ได้ห่างกันมาก แต่เขากลับรู้สึกว่าเราเด็ก อาจจะเพราะว่าเขาชอบผู้ใหญ่แต่เขาดันมาคุยกับเรา เรารู้จักครอบครัวเขา แล้วเราดูแลพ่อแม่กับหลานเขา ซื้อขนมไปฝาก เราค้าขายมาด้วยกัน มันวางแผนทุกอย่างว่าจะเปิดร้านด้วยกัน แต่สุดท้ายเขาก็บอกเลิกเรา มันกะทันหัน แล้วหนูเฮิร์ทหนักมาก เหมือนคนเป็นไบโพลาร์ เป็นอยู่ 6 เดือน แล้วหนูมีแฟนใหม่ โดยการไปคว้าเขามา ด้วยความเหงา แล้ววันนึงการที่เราเอาเขามา โดยที่ไม่ได้รักเขาจริง เพราะเรายังลืมคนเก่าไม่ได้ หนูก็เลยบอกเลิกเขาในร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งมันก็เป็นปมให้กับเขาจนทุกวันนี้เหมือนกัน เพราะทุกวันนี้เราเป็นเพื่อนกัน แล้วเขาพยายามจะพูดถึงเรื่องเก่าที่เราเคยบอกเลิกเขาอยู่เสมอ มันทำให้หนูรู้สึกว่า เวลาเราเลิกกับใคร เราไม่ควรที่จะรีบคว้าใครมาเลย เราต้องคิดให้มากกว่านั้นณ วันนี้ มันก็มีทั้งสถานที่เที่ยว มันมีทั้งการทักข้อความมาหา มันมีแอพหาคู่ มันเหมือนมีโอกาสที่เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ปล่อยมันทิ้งไป มันก็เลยทำให้ได้คุย ได้เจอคนมากขึ้น พยายามหาคนที่ใช่ไปเรื่อย ๆเรื่อง #สมรสเท่าเทียม หนูมองว่า มันมีข้อดีอยู่เยอะ แต่สำหรับตัวหนูเอง หนูเป็นคนที่แบบว่าแต่งงานก็ได้ ไม่แต่งก็ได้ แต่หนูเคยมีแฟนคนหนึ่งที่เขาอยากแต่งงานกับหนูมาก ๆ ทุกวันนี้เค้าก็ยังอยากแต่งงานกับหนู เพียงแต่ว่าเค้ามีคนใหม่ไปละ เราก็อยู่ของเราไปละ หนูก็รู้สึกว่าเรื่องของกฎหมาย เรื่องของการพยาบาล การเซ็นยินยอม การตัดสินใจ หนูว่ามัน จริง ๆ แล้วทุกคนต้องการแค่ตรงนี้ ที่ทุกคนต่อสู้กันมา จุดนี้มันเป็นจุดสำคัญที่จะครอบคลุมใน LGBTQ+ ทุกคน”แรงบันดาลใจ จาก ใหม่ Powerpuff Gay“หนูรู้สึกว่า การมั่นใจในตัวเอง และการรักตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ดี ทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ทำร้ายใคร สำหรับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่อยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์ อยากจะทำโซเชียล อยากจะฝากไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าเอาแต่ยอดไลค์ จนลืมคุณธรรม แล้วถ้าอยากจะเริ่ม หนูเริ่มต้นได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอมีนั่นมีนี่ ถ้าอยากทำก็ทำเลย ทำมาจากสิ่งที่เรารัก แล้วเราจะทำมันได้ดี” - ใหม่ Powerpuff Gayพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

ล้วงลึก เรื่อง(ไม่)ลับ กับ “ติช่า กันติชา” จากนางแบบไซส์เล็ก สู่ตัวแม่ Sex Education

30 ต.ค. 2023

ล้วงลึก เรื่อง(ไม่)ลับ กับ “ติช่า กันติชา” จากนางแบบไซส์เล็ก สู่ตัวแม่ Sex Education

พบชีวิตหลากหลายสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดเซ็กซี่ “ติช่า กันติชา” นางแบบสาวสุดมั่นใจ เธอแจ้งเกิดจากการประกวดแข่งขัน เดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 2 เมื่อปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ติช่า ก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่อง และถูกยกให้เป็นตัวแม่ ทั้งเรื่องของความเซ็กซี่ สนุกสนานเฮฮา หรือแม้กระทั่งเรื่องเพศศึกษา ที่เธอนั้นกล้าจะเปิดใจตอบคำถามที่ทำเอาหลายคนตกใจตาโตไปกับคำตอบของเธอ จนเรื่องนี้กลายเป็นภาพจำของติช่าในสายตาของใครหลายคน ซึ่งกว่าจะมาเป็น ติช่า ในวันนี้ ผ่านมาหลากหลายเรื่องราว และมีมุมมองดี ๆ ที่เธอได้นำมาแชร์ในรายการด้วยในจอดูเฮฮา แต่ว่าตัวจริงเป็นคนสันโดษ“หลายคนอาจจะเห็นหนูเป็นคนเฮฮา เอนเนอร์จี้ล้น แต่จริง ๆ แล้วหนูมีมุมเงียบ แต่ด้วยความที่หนูเข้าวงการด้วยการเล่นใหญ่ พอเงียบคนอื่น ๆ ก็จะไม่ชินกับมุมนี้ของเรา ซึ่งหนูรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่สนุก เป็นคนที่คิดบวก และเป็นคนที่กระตือรือร้นมาก ๆ เลย แต่ในชีวิตจริง ถ้าเกิดว่าหนูทำแบบนั้นตลอดเวลาหนูคงเป็นบ้า หนูคงเหนื่อยกับตัวเองมาก ก็เลยมีโมเม้นท์ที่เงียบบ้าง นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนที่อยู่ใกล้ตัวหนูจะรู้ว่าเราเป็นคนเสียงโมโนโทน แต่พอออกรายการเสียงมันจะขึ้น ๆ ลง ๆ เสียงมีเมโลดี้ ซึ่งเราฝึกเอาแม้จะดูเป็นคนเฮฮา แต่ก็มีบางเรื่องที่เราอ่อนไหวง่าย เช่นเรื่องเซ็กซ์บางอย่าง เพราะว่าในตอนเด็ก ๆ หนูเคยโดน Sexual Harassment ที่ผ่านมาก็เลยรู้สึกว่า เวลาพูดถึงเรื่องนี้ เราจะรู้สึกอาย และจะคิดว่าทำไมเราต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วยนะ มันแย่จังเลย แต่พอหนูได้มาฟังคนอื่นให้กำลังใจเรา มันทำให้สามารถปรับ Mindset ได้ว่า มันไม่ใช่ความผิดเรา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันแย่จริง ๆ มันไม่สามารถเอาออกไปจากใจได้ แต่เราต้องมูฟออนกับชีวิตได้ เราต้องไม่โทษตัวเอง มีเหยื่อหลาย ๆ คนชอบโทษตัวเองว่า ทำไมฉันไม่สู้ ทำไมคิดไม่ได้ในวันนั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว วันนั้นมันทำได้ที่สุดของมันอย่างนั้นแล้ว อีกเรื่องคือเรื่องครอบครัว เพราะว่าครอบครัวแตกแยก ตอนเด็ก ๆ หนูก็รู้สึกว่า เรื่องนี้ถ้ามีใครพูดถึง หรือว่าตัวหนูพูดเอง จะรู้สึกใจสั่น ซึ่งถามว่าตอนนี้ยังอ่อนไหวอยู่ไหม ก็ยังเป็นอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าโตขึ้นแล้ว เริ่มรับได้ เข้าใจมัน กับคนที่เราเคยมีปัญหาด้วย หรือเคยเจ็บใจช้ำใจ เราก็ไปคุย ไปเปิดใจ มันช่วยได้เยอะ มันเหมือนเราเอาภูเขาออกจากอกได้ค่ะเห็นหนูเป็นคนกล้าพูดกล้าคุย แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ทุกครั้ง อย่างถ้าสมมติเป็นเรื่องเซ็กซ์ หนูจะไม่บอกคนอื่นว่า เธออยากคุยเรื่องเซ็กซ์เหรอ ไปคุยกับพ่อแม่เธอเลยสิ ไปเลยเธอไม่ต้องอาย เพราะหนูมองว่าบริบทของชีวิตแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน หนูมีหน้าที่นำเสนอในส่วนของเราเท่านั้น อะไรที่มันเป็นการบังคับความรู้สึก หรือความคิดของคนอื่น หนูจะค่อนข้างระวังและด้วยความที่เราเป็นคนปากไวมาก หนูรู้สึกว่าตัวเองคิดไวพอ ๆ กับปาก แต่ก็เคยมีหลายครั้งที่หลุดพูดแรง ๆ หรือพูดทำร้ายใจคนอื่น แต่ยิ่งโตขึ้น หนูรับรู้ตัวเองว่านิสัยเสียตรงนี้ เลยพยายามจะแก้ไข หนูย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้น และได้มองอะไรที่กว้างขึ้น ได้เข้าใจคนอื่น ๆ มากขึ้น หนูไม่ได้บอกว่าเป็นคนที่เพอร์เฟค แต่หนูรู้สึกว่าเราต้องปรับตัวเพราะต้องทำงานในทุก ๆ วัน”ย้อนเส้นทางของ ตัวแม่ Sex Education“หนูอยากทำ Youtube มานานแล้ว อยากทำอะไรของตัวเอง ในคอนเซ็ปต์ของตัวเอง แล้วก็คิดว่าเราจะทำคอนเทนต์อะไร ที่รู้สึกว่ามีแพชชันอยากจะทำในทุกวัน ตอนแรกก็ทำแนวไลฟ์สไตล์เพราะหนูชอบปาร์ตี้มาก แต่พอคิด ๆ ดู ก็เกิดคำถามว่าเราจะเหนื่อยไหมถ้าจะต้องมาทำทุกอาทิตย์ แล้วไลฟ์สไตล์ของหนูไม่ได้หรูหราเลย หนูมีห้องนอนแบบ 1 bedroom ที่แบบ 26 ตารางเมตร ถ้าต้องทำรูมทัวร์ คลิปคงจบภายใน 5 วินาที เลยตัดสินใจเลือกสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่ามีแพชชัน พร้อมกับมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ก็เลยเป็น Sex Education แบบ Sex Education + Entertainment เลยเรียกรวมกันว่า Sex Edutainment คือได้ทั้งความรู้ แต่ก็มีความบันเทิงเข้าไปด้วยหนูมองว่า ที่ไทยคุยเรื่องเซ็กซ์กันอย่างถึงพริกถึงขิงมาก แต่มักจะคุยในเชิงพฤติกรรมว่า อันไหนแซ่บ อันไหนไม่แซ่บ แต่ในเชิงของปัญหา หรือความไม่มั่นใจ หรือความรู้ที่นำไปปรับใช้ในชีวิตได้ หนูว่าเค้ายังพูดกันน้อย ซึ่งเรื่องเซ็กซ์มันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติมาก หลายคนชอบคิดว่าเซ็กซ์มันก็แค่มีอะไรกันตรงนั้น แต่จริง ๆ แล้วมีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย ที่เราสามารถคุยเรื่องเซ็กซ์ได้พอทำรายการแรก ๆ คนดูมีฟีดแบ็คตกใจ อาจจะเป็นเพราะคนที่มาพูดเรื่องเซ็กซ์เป็นผู้หญิง แล้วในสังคมไทย ผู้หญิงพูดเรื่องเซ็กส์เป็นอะไรอาจจะดูไม่เหมาะไม่ควร ยิ่งคนที่อยู่ในวงการบันเทิงพูดเรื่องเซ็กซ์ หลายคนก็จะมองว่า เธอพร้อมที่จะเสียการงานของเธอแล้วเหรอ เธอพร้อมที่จะเสี่ยงขนาดนั้นเหรอ ซึ่งจริง ๆ แล้ว Mood Tone ของรายการสำคัญมาก แต่ว่า EP.แรก ๆ หนูก็ว่าทำให้คนดูช็อคเลย เพราะหนูมาคุยเรื่อง friend with benefit เลย เป็นเรื่องของการมีเซ็กซ์กับเพื่อน คนดูก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นเพราะเป็นเรื่องราวใหม่ แต่ว่าหนูรู้สึกดีใจมาก ที่ในคอมเม้นต์ หรือคนที่มาดู ส่วนมากสนใจและเปิดใจ ส่วนคนที่ไม่ได้ชอบเรื่องนี้ เค้าก็อาจจะกดผ่าน ซึ่งหนูขอบคุณมาก ถ้าเกิดมันไม่ใช่คอนเท้นต์สำหรับคุณ คุณ Skip ผ่านได้เลย ไม่เป็นไรเลยแล้วรายการของหนู ชวน LGBTQ+ มาเยอะมาก ก็เลยรู้สึกว่าพี่ ๆ เค้ามีประสบการณ์กันเยอะ เหมือนหนูคุยได้ทุกเรื่อง ดีใจที่เป็น Open Platform แล้วก็ดีใจที่แต่ละคลิปของหนู จะมีหลาย ๆ กลุ่ม หลาย ๆ คน มาร่วมรายการ ทำให้มีความหลากหลายเรื่องราว บางคนมีปัญหาเรื่องนี้พอดีก็มาฟังมาแชร์กัน แล้วทำให้คนเปิดความเข้าใจมากขึ้นแล้วฟีดแบ็คของรายการในช่วงหลังมันเริ่มสร้างประโยชน์ให้คนดู อย่างล่าสุด EP.น้องอาไท ที่มาแชร์ว่า การไปซื้อถุงยางในร้านขายยามันดีนะ เพราะเค้ามีที่วัดให้ด้วย แล้วเภสัชส่วนมาก เค้าดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาถาม หลังจากนั้นคนดูก็มาคอมเมนต์กันว่า รู้อย่างงี้ไปดีกว่า เพราะบางทีเค้าช่วยเลือกไซส์ให้มันถูกต้องสำหรับเรา หนูรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เราไม่คิดมาก่อนว่า ต่างคนจะต่างมาแชร์คำแนะนำดี ๆ ที่มันสามารถเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง”เมื่อคอมเมนต์เชิงลบ ไม่ค่อยกระทบจิตใจ ติช่า“หนูไม่ค่อยอ่อนไหวกับคอมเมนต์เชิงลบ หนูจะเก็บคอมเมนต์ที่ดี ส่วนคอมเมนต์ที่ไม่ดีหนูจะอ่านแล้วตกตะกอน ถ้าเป็นคอมเมนท์ที่เรานำไปปรับปรุงหรือพัฒนาต่อได้หนูจะรับฟัง แล้วหนูเคยอ่านหนังสือว่า ตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ถ้าเราได้คำติมาหนึ่งคำ เราต้องบวกกับคำชมไปอีก 7 คำเพื่อจะลบล้างกันได้ โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราจะมองคอมเมนต์เชิงลบไว้ เพื่อเป็นการเตือนว่าเราต้องเอาตัวรอด และต้องจำไว้ว่านี่คือความผิดพลาด และอย่าพลาดอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นคนที่สังคมไม่ชอบแล้วหนูมองว่า เวลาเราทำตามความฝันของตัวเอง มันมักจะมีคนที่มาบอกว่า เราทำไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนเป็นเสียงยุง เสียงแมลงวัน ซึ่งถ้าหนูฟังเค้า หนูคงต้องนอนอยู่บ้าน ไม่ทำอะไรแล้ว ซึ่งไม่ได้ ถ้าเกิดคุณทำตามความฝัน คุณต้องมีความเชื่อที่แข็งแรง เพื่อให้ฝันคุณสำเร็จหนูมองว่า ความมั่นใจที่แท้จริง มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดในตอนที่ทุกคนชมคุณ แต่มันควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ไม่มีคนคอยปรบมือชมคุณ แล้วคุณสามารถปรบมือให้กับตัวเอง หรือยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง นั่นแหละค่ะคือความมั่นใจที่แท้จริงครั้งแรกในชีวิต ที่หนูรู้ว่าหนู Popular มากขนาดนี้ ก็คือช่วงที่ประกวดเดอะเฟซ ในตอนที่มีคนด่า เพราะหนูเคยไปดูสื่อบันเทิงเมืองนอก เค้าบอกว่า เธอจะยังไม่ดังพอ ถ้าเธอยังไม่มีคนที่เกลียดสักคนนึง แล้วตอนที่อยู่ต่างประเทศ หนูไม่ได้ติดตามสื่อโซเชียลเลย รู้จักแต่ Facebook ไม่รู้ว่ามันมี Pantip หรือบล็อกต่าง ๆ ตอนที่มาประกวด เลยไม่รู้ว่า มีใครบ้างที่ด่าเรา ซึ่งตอนที่ประกวด เราก็รู้สึกมั่นหน้า รู้สึกมั่นใจ รู้สึกว่าฉันกำลังทำตามความฝันของฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถ แล้วมารู้ที่หลังว่ามีคนด่าเราสาเหตุที่รู้ เพราะวันหนึ่งมีผู้เข้าแข่งขันในรายการเดอะเฟซ เค้าร้องไห้ เค้าเสียใจมาก แล้วหนูก็เข้าไปปลอบว่าเธอเป็นอะไร เค้าบอกว่าฉันโดนคนด่าในคอมเมนต์ มันเสียกำลังใจ หนูเลยให้กำลังใจเค้า แล้วก็มีทีมงานเดินมาพูดว่า เธอโดนแค่นิดเดียวเอง ดูติช่าสิ มันโดนเยอะกว่าเพื่อนเลย ตอนนั้นหนูเลยสงสัยว่า หนูโดนด่าเหรอ หนูไม่รู้เลย แล้วหนูก็ไปเปิด Facebook เปิด Pantip หาชื่อตัวเองใน Google ปรากฎว่า หนูเจอคนด่าเต็มกระทู้เลย พออ่านไปเรื่อย ๆ หนูก็เริ่มขำ เพราะว่าเค้าด่าหนูแรงมาก ตอนนั้นหนูคิดในใจว่า ฉันต้องยอมรับความดังของตัวเองให้ได้แล้ว เพราะว่าฉันมีคนเกลียดเยอะมาก นี่คือความดังของจริง แล้วที่หนูขำเพราะว่า เป็นคอมเมนต์ที่ไร้สาระมาก เตี้ยแล้วมาทำไม ไม่สวย มั่นหน้า คือหนูรู้สึกว่าคอมเมนต์พวกนี้ เค้าทำเพื่อที่จะมาทำลายความมั่นใจของเรา รู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยเราเลย พวกเค้ามีเวลาให้หนูขนาดนี้เลยเหรอ หนูยังไม่มีเวลาให้พวกเค้าขนาดนี้เลย แต่ว่าไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย ตอนนั้นด้วยความที่หนูมีเกราะป้องกันที่แข็งแรง หนูโดนชมมาทั้งชีวิต หนูเป็นคนสวยในบ้านของหนู ครอบครัวชมและภูมิใจในตัวหนูมาตลอด พอมาด่าว่าเราไม่สวย หนูเลยมองว่า นั่นมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน”เซ็กซ์ vs ความรัก เหมือนกันไหม?“หนูว่าแล้วแต่คน อย่างตัวหนูเอง ถ้าย้อนไปตอนอายุ 18 หนูคงตอบว่า เซ็กซ์ กับ ความรัก มันไม่ใกล้เคียงกันเลย เซ็กซ์คือเรื่องของความอยาก การผสมพันธุ์กัน แล้วความรัก คือความรู้สึก แต่เมื่อยิ่งโตขึ้น เริ่มรู้สึกว่าทั้งสองอันจะเริ่มเชื่อมกันมากขึ้น แต่ก็ยังแยกพอได้ ไม่ใช่เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวไปเลย หนรู้สึกว่า มันแล้วแต่คนจริง ๆมีบางอย่างที่หนูพยายามทำความเข้าใจอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่มาทำคอนเทนต์ในไทย เช่นเรื่องของ การรับผิดชอบ หนูยังไม่ชินกับความคิดที่ว่า ฉันเป็นผู้ชาย ฉันมีเซ็กซ์กับเธอ แล้วฉันต้องรับผิดชอบเธอ ช่าไม่เคยมี Concept นี้ในหัว อันนี้คือในกรณีที่ไม่ท้องนะคะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หนูต้องพยายาม เพราะว่า พอเป็นเรื่องของเซ็กซ์ เรื่องของความรู้สึกของมนุษย์ มันไม่มีอะไรที่อธิบายได้เสมอ มันไม่มีสูตรสำเร็จ บางคนอาจจะเสียใจมาก แต่บางคนก็ไม่รู้สึกอะไรเลยแล้วด้วยประสบการณ์ส่วนตัวหนู คือเพื่อนผู้ชายหลายคนเคยมาบอก ติช่า ว่า ตอนที่ฉันเห็นผู้หญิง มักจะมีการจัดหมวดไว้ในหัวเลยว่า กลุ่มนี้สามารถคบเพื่อเป็นแฟนได้ กลุ่มนี้เพื่อเซ็กซ์ แล้วก็อีกกลุ่มที่ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดคุณไปตกอยู่ในกลุ่มที่ฉันอยากแค่จะมีเซ็กซ์ การที่จะเปลี่ยนไปเป็นความสัมพันธ์แบบแฟนมันยาก หลายคนอาจคิดว่า มีเซ็กซ์ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง แต่ตัวหนูมองว่า เคสแบบนั้น มันเกิดน้อยมาก”ส่องสเปก เช็คสถานะหัวใจ ของ ติช่า“สเปกของหนู หนูชอบคนที่มีความแซ่บ มีความแบด ๆ หน่อย ๆ แล้วหนูชอบฝรั่ง เพราะหนูว่า หนูไม่ใช่สเปกคนไทยในเชิงของการเป็นแฟน เพราะ Attitude และ Mindset ของหนู อาจจะไม่เหมาะกับผู้ชายไทย เพราะหนูค่อนค่าสตรอง ไปไหน ทำอะไรแบบว่องไว แล้วก็เป็นคนที่พูดเรื่องเซ็กซ์ด้วย หนูก็เลยชอบคนที่เท่าเทียมกัน และส่วนมากก็จะเป็นชาวต่างชาติ แล้วถ้าเราคบกัน แล้ววันนึงเค้ารู้สึกไม่มั่นใจในตอนที่อยู่ข้างหนู หนูก็จะไม่มั่นใจในตัวเค้าเช่นกัน เพราะในความเป็นตัวเรา มันอาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน แล้วพอเราไม่ใช่สำหรับเค้า เค้าก็ไม่ใช่สำหรับเราเหมือนกัน แล้วถ้ามันไม่ใช่ หนูสามารถเลิกได้เลยความรักที่ผ่านมา เราคบกัน 4 ปี ซึ่งยาวที่สุดในชีวิตหนูแล้ว ที่จบความสัมพันธ์เพราะรู้สึกว่า เราโตกันไปคนละทิศคนละทาง เราทั้งคู่เป็นคนที่แตกต่างกันมาก ซึ่งเราแตกต่างกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในตอนแรกทุกอย่างมันใหม่ เลยรู้สึกว่าเราปรับจูนกันได้ แต่กลายเป็นว่า มันมีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แล้วความแตกต่างของเรามันวนกลับไปเรื่องเดิม แต่ว่าความสัมพันธ์นี้ หนูทำใจเลิกมาสักพักแล้วนะ พยายามจะปรับปรุง พยายามจะจูนเข้าหากัน แล้วมันก็ไม่ได้ จังหวะสุดท้ายเราก็คิดว่า เราทั้งคู่อาจจะมีความสุขกว่าถ้าไปกันคนละทางคนชอบมองว่าการเลิกกันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในโลก แต่หนูรู้สึกว่า บางทีคนเลิกกัน เราควรจะยินดีกับเค้าด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการบอกว่า คนสองคนไม่เข้ากัน แล้วเค้าสองคนได้หาจุดจบของกันและกันเจอแล้ว เค้าจะได้มูฟออนไปเจอคนที่ใช่กว่า ไปหาตัวเองให้เจอดีกว่า ถ้ามันไม่ใช่ ก็คุยกันแบบผู้ใหญ่ มาดูกันว่าแก้ได้ไหม แก้ไม่ได้ก็จบกัน ตอนเลิกกันหนูเสียใจมาก ด้วยความที่เป็นคนอ่านเยอะ แล้วก็พยายามใช้ทฤษฎีกับตัวเอง หนังสือบอกว่า พอเลิกกัน มันจะมีช่วงที่เรารับได้ ดูเหมือนกับโอเค แล้วก็จะมีช่วงดาวน์ มันจะเป็นเหมือนกราฟ ที่จะขึ้น ๆ ลง ๆ จนกว่าเราจะอยู่ในจุดสมดุลกับตัวเอง จุดที่ยอมรับได้ว่านี่แหละคือความจริงตอนนี้หนูก็มีคนคุย แต่ไม่ได้มีแฟน ซึ่งพอโตขึ้น มุมมองความรักมันก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อน ด้วยความที่เราเคยเจ็บปวดมาในอดีต ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยพ่อแม่เลิกกัน ฉันอยากจะเก่ง ฉันอยากจะดี ฉันอยากจะเป็นที่รัก แล้วเรารู้สึกว่า ฉันต้องเจอคน ๆ หนึ่ง คนๆ นั้นคือต้องสมบูรณ์แบบ เป็นเหมือนตัว O ที่จะเติมเต็มชีวิตฉันทั้งหมด แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ควรมองความรักว่า ฉันเป็นตัว C และ เธอเป็นตัว C พอมาอยู่ด้วยกัน เราก็จะเป็นตัว O อย่างสมบูรณ์แบบ มนุษย์ทุกคนควรจะเป็นตัว O ในแบบของตัวเอง และคนตัว O ควรมาเจอกัน เพราะเค้าเป็นสองคนที่พร้อมแล้ว มันจะเป็นความรัก ที่เรารักตัวเอง และรักคนอื่นได้ด้วย”เพศศึกษา ควรสอนกันอย่างไร?“พ่อแม่ควรจะสอนลูกยังไง แล้วแต่พ่อแม่นะ แต่หนูรู้สึกว่า ควรสอนให้ลูกรู้ว่า อะไรควร หรือไม่ควร ในแต่ละพฤติกรรมดีกว่า อย่างตัวหนูเอง ตอนเด็ก ๆ ที่เคยโดน Sexual Harassment มันจะช่วยหนูมาก หากหนูรู้ว่า ถ้ามีผู้ใหญ่มาจับตรงนี้มันไม่โอเค ถ้ามีผู้ใหญ่มาขอดูอย่ายอมนะ แล้ว ถ้ารู้สึกไม่สบายใจกับผู้ใหญ่คนนั้น มาบอกพ่อได้นะ มาบอกแม่ได้นะ หนูรู้สึกว่า ถ้าเราสอนเค้าให้ป้องกันตัวเอง หรือรู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันแปลก มันจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้อีกอย่างคือ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องบอกให้เด็กพยายามมาบอกผู้ใหญ่หากเกิดปัญหา เพราะที่จริงแล้วต้องบอกผู้ใหญ่ว่าอย่าไปก่อปัญหา เราอยู่ในสังคมที่ต้องบอกเหยื่อว่า เธออย่าเป็นเหยื่อที่แย่นะ เธอต้องระวังตัวเองนะ ซึ่งที่จริงแล้วมันควรจะบอกว่า เธออย่าไปทำร้ายคนอื่น เราควรจะสอนกันให้เคารพคนอื่น ถ้าทุกคนสอนเด็กของเราดี ปัญหาการไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมันจะน้อยลงในส่วนของการศึกษา หนูคิดว่าตอนนี้หลายโรงเรียนก็มีวิชาเพศศึกษา ซึ่งการคุยเรื่องเซ็กซ์ มันไม่ใช่แค่บอกว่า อย่าไปมีอะไรกันนะเดี๋ยวท้อง เดี๋ยวติดเชื้อ เดี๋ยวติดเอดส์ อย่าลืมใช้ถุงยางนะหนูมองว่ามันผิวเผินเกินไป ตอนนี้ถามทุกคนก็รู้ว่าถุงยางคืออะไร แต่คนที่ใช้กันจริง ๆ น้อย เพราะความรู้สึกที่เรามีต่อถุงยาง หรือการป้องกัน มันยังมีความเขินอายเพราะฉะนั้น การสอนเรื่องเซ็กซ์ หนูรู้สึกว่ามันต้องคุยกันมากกว่านี้ Mood Tone ของคนที่สอน และคนที่ให้ความรู้ ต้องรู้สึกว่า ฉันพร้อมที่จะอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังเธอ และให้ความรู้เธอนะ แล้วก็คุยกันแบบไม่ต้องเขินอาย หนูรู้สึกว่ามันจะช่วยได้เยอะเลย และหากสอนความรู้ที่มันสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ก็น่าจะดี”เป้าหมายต่อไป ของ ติช่า กันติชา“ติช่า อยากสัมภาษณ์คนแบบ On Street มากกว่านี้ เพราะอยากจะดูเซ็กซ์ที่หลากหลายมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือดารา แล้วก็อยากจะให้มีช่วงอายุที่หลากหลาย เช่น อยากจะสัมภาษณ์เด็กที่เด็กกว่านี้ เพราะอยากจะถามว่า ความเข้าใจของเค้า ณ ตอนนั้นคืออะไร ถามคำถามง่าย ๆ แล้วให้เค้าตอบโดยที่เราไม่ต้องไปยัดคำตอบให้เค้า จะได้รู้สึกว่าเด็กกลุ่มนี้ อายุประมาณนี้ สามารถคุยเรื่องแบบนี้ได้ มันจะทำให้คนนำไปปรับใช้กับครอบครัวของตัวเอง หรือในโรงเรียนมากขึ้น อาจจะช่วยในการศึกษาเพศศึกษาในโรงเรียนมากขึ้น” - ติช่า กันติชาดูรายการย้อนหลัง

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

05 ก.ย. 2024

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิต รับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับสองนักแสดงนำจากภาพยนตร์กระแสแรง “วิมานหนาม” นั่นคือ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ที่ล่าสุดขึ้นแท่นหนังไทยทำรายได้ทั่วประเทศ 100 ล้านบาท!วิมานหนาม เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความไม่เท่าเทียม ผ่านการเล่าเรื่องราวของ ทองคำ (เจฟ-วรกมล ซาเตอร์) และ เสก (เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์) คู่รักหนุ่มชาวสวนที่ช่วยกันปลูกบ้าน และทำสวนทุเรียนบนที่ดินของเสกที่ติดจำนองอยู่ ทองคำใช้เงินก้อนใหญ่ทั้งหมดในชีวิตไถ่ถอนที่ดินให้เสก จนได้มาซึ่งโฉนดที่ดินอันเปรียบเสมือนทะเบียนสมรสของคนทั้งคู่แต่แล้วเสกเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต บ้านและสวนจึงต้องตกเป็นของ แม่แสง (สีดา พัวพิมล) แม่ของเสก ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และ โหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวบุญธรรม ที่เข้ามาถือสิทธิ์ครอบครองวิมานแห่งนี้ พร้อม จิ่งนะ (เก่ง หฤษฎ์) น้องชายของโหม๋ ที่เข้ามาเพื่อเรียนรู้วิธีการทำสวนทุเรียน ความขัดแย้งในเรื่องของกรรมสิทธิ์จึงเริ่มต้นขึ้นซึ่งกว่าจะมาเป็นภาพยนตร์กระแสแรงแบบนี้ ต้องผ่านหลากหลายกระบวนการ จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจของนักแสดง และทีมงานทุกฝ่าย สีสันแรงบันดาลใจ พร้อมมุมมองข้อคิดดี ๆ ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการเปิดเสน่ห์ของ วิมานหนาม หนังที่ดูรอบเดียวไม่พอ!เจฟ : “ผมว่าซาวด์ในเรื่องมันมีเสน่ห์อย่างหนึ่ง เนื่องจากเค้าถ่ายโดยมีความเป็นต่างจังหวัด แล้วซาวด์ที่เค้าใช้ มันเป็นการอัดจากเครื่องดนตรีที่เป็นพื้นบ้านจริง ๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่ที่นั่นจริง ๆ โดยเราใช้เครื่องสายของภาคเหนือ มันเลยมีเสน่ห์มากครับ”อิงฟ้า : “ทุกคนที่ได้ดูหนัง เค้าจะรู้สึกว่าดูรอบเดียวไม่พอ เพราะว่าส่วนมากฟีดแบ็คที่เราได้รับจากรอบกาล่า เหมือนทุกคนรู้สึกว่าต้องกลับมาดูอีกรอบนึง แล้วใน 2 ชั่วโมงที่หนังดำเนินเรื่องไป บางทีคนอาจจะคิดว่า วิมานหนามมันคือมาแย่งชิงสมบัติกันอย่างเดียวรึเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว ตั้งแต่ต้นเรื่องมันนำเสนอเรื่องราวหลายอย่าง มันมีความสวยงามอยู่ในนั้น โดยเฉพาะจังหวัดที่เราเลือกไปถ่ายคือ แม่ฮ่องสอน เพราะผู้กำกับเค้าก็เลือกว่าจะถ่ายจังหวัดไหนดี แล้วพบว่า แม่ฮ่องสอน มีรายรับทางเศรษฐกิจน้อยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยเลย แล้วความโชคดีก็คือ วันที่เราฉายวันแรก ก็มีข่าวดีของจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ที่สามารถปลูกต้นทุเรียนได้ ก็เลยกลายเป็นว่า มันเป็นซอฟท์พาวเวอร์อีกหนึ่งอย่าง ที่เราก็รู้สึกว่า Complete และเราก็ภูมิใจกับเรื่องนี้มาก ๆหนูว่า 2 ชั่วโมงที่เข้าไปอยู่ในโลกของวิมานหนาม จริง ๆ ตัว Trailer ที่ทุกคนเห็น อาจจะเห็นแค่ความเข้มข้น หรือความรุนแรง ซึ่งนั่นมันแค่จุดเล็ก ๆ เพราะในเรื่อง สิ่งที่คนยังไม่ได้เห็นคือความสวยงามของความสัมพันธ์ที่เราจะค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ไป หลายคนฟีดแบ็คกลับมาว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย และหนูเชื่อว่า ถ้าได้ไปดูรอบนึง ยังไงก็ต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้อีกรอบนึงแล้วก็ปกติ GDH เค้าจะทำฟีลกู๊ดใช่มั้ย แต่นี่ก็จะเป็นฟีลกรี๊ด และมันมีการกรี๊ดหลายและอีกหนึ่งอย่างที่อยากให้ไปดูก็คือฝีมือการแสดงของนักแสดงเรื่องนี้ เพราะว่าเราตั้งใจกันจริง ๆ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เราไปถ่ายทำกัน แต่ละจังหวัดที่เราไป หรือแม้กระทั่งนักแสดงทุกคน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้มาทำงานร่วมกัน จนมันออกมาเป็นวิมานหนาม ที่ทุกคนห้ามพลาดจริง ๆ แล้วห้ามไปดูคนเดียวด้วยค่ะ”การเล่นหนังครั้งแรก ยากง่ายขนาดไหน?เจฟ : “ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นละครเวทีมา มันจะเป็นไดอาล็อคที่ไม่ได้ร้องเพลง และเป็นซีนต่อซีน แล้วก่อนหน้านั้นก็เคยเล่นซีรี่ส์มา ซึ่งซีรี่ส์น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นภาพยนตร์ที่สุด เพราะว่ามันจะเล่นแบบนิดเดียวเพราะกล้องมันจับที่หน้าเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่สามารถโกงความรู้สึกได้ และเราต้องรู้สึกจริง ๆ ในทุกซีน แล้วสำหรับผมเอง ผมไม่สามารถคิดไปก่อนว่าเข้าไปแล้วเดี๋ยวจะเล่นตาประมาณนี้ เพราะมันคิดไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เราทำการบ้านไปก่อน เตรียมตัวกับตัวละครทองคำให้มันแบบแน่นไปก่อนเลย เขียนประวัติที่เรารู้สึกว่าทองคำต้องเป็นแบบไหนแล้วกลายเป็นว่าเล่นภาพยนตร์เรื่องแรก มันตื่นเต้นเป็นกังวลไปหมดเลย กังวลอยู่ครึ่งปีกว่าจะถ่ายทำ มันกังวลว่าเราจะทำออกมาได้ดีไหม เพราะว่ามันมีความกดดันหลายอย่าง แล้วตอนแรกเราปฏิเสธไปแล้วด้วย แต่พอได้คุยกับพี่บอส แล้วผมรู้สึกว่า ถ้าสมมติเราได้เล่นเรื่องนี้ มันน่าจะพาเราออกไปจากความเป็นคอมฟอร์ทโซนของการเป็นนักแสดงได้อีกขั้นหนึ่งเลย ซึ่งก็ทำแบบนั้นได้จริง ๆทองคำ กับ เจฟ มุมหนึ่งเหมือนกันมาก อย่างเช่นแบบความเป็นคนที่โดนหลอกง่าย แต่ในอีกมุมนึง เค้าเป็นคนที่สู้ชีวิตกว่าเราเยอะมาก เท่าที่ผมเขียนประวัติไว้ ตัวทองคำมันมีความต้องใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเองดิ้นรนออกไป เพราะว่าชีวิตไม่ได้โตมาบนกองเงินกองทอง เพราะฉะนั้นเค้าก็จะมีความเป็นนักสู้สูงสุด ซึ่งการจะเล่นเป็นทองคำเลยยาก ก็ต้องใช้วิธีการไปลองทำสวน ไปเวิร์คช็อปอยู่ในสวนทุเรียนจริง ๆ และมันเป็นเรื่องของจิตวิทยาด้วย เราเคยเจอเคยผ่านเรื่องอะไรมาก็ต้องเอาออกมาใช้ให้หมดหน้าตัก”อิงฟ้า : “เล่นหนังเรื่องแรก ใช้คำว่าอ่วมค่ะ แต่การตัดสินใจรับเล่นเราใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ เพราะว่าเราดูองค์รวมหลาย ๆ อย่าง ดูจากผู้สร้างก็คือ GDH เราก็รู้อยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนคลับภาพยนตร์ของเค้า แล้วผู้กำกับก็เป็นพี่บอสด้วย รวมถึงนักแสดงร่วมที่แต่ละคนจะได้เล่น จนมาถึงวันรันทรู ได้ลองเล่นด้วยกันแล้วมันอิน แค่เราอ่านบท เราก็รู้สึกอินไปแล้ว ขนาดเรายังไม่ได้กระโจนลงไปเล่นจริง ๆ แล้วก็ไปทราบสถานที่ที่เราจะได้ไปอีก ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมากเลย เรารู้สึกว่ามันท้าทาย แล้วถ้าเราทำถึง หนูว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่คนไทยยังไม่ได้มีแนวนี้มากมาย และก็น่าจะต่อยอดให้กับเราได้เช่นเดียวกันสำหรับเราเองก็มีความกดดันค่ะ แต่ความโชคดีของหนูก็คือ พี่บอสเค้าดีมาก ๆ ในการที่จะพรูฟเราว่า ในแต่ละฉากมันจะต้องไปแบบไหน แล้วเค้าก็ไม่เคยกดดันหนูเลยว่าจะต้องเล่นแบบนี้ นะ เค้าจะให้หนูลองดีไซน์ออกมาก่อน แล้วเวลาหนูลองดีไซน์ออกไปแล้วพี่บอสเค้าชอบแล้วหนูคิดว่า หนูจะเล่นเป็นตัวโหม๋ขนาดนั้นไม่ได้ ถ้าหนูไม่ได้เจอทองคำในเวอร์ชั่นที่เป็นเจฟ เพราะรู้สึกว่าพอมันไปด้วยกัน และความเป็นศิลปินทั้งคู่ เจฟก็เป็นคนที่ชอบทำงาน เราเองก็เป็นคนที่ชอบทำงาน แล้วมันเหมือนเคมีที่มีเอเนอร์จี้เยอะ อยากให้งานมันออกมาดี มันเลยพุ่งไปสุด เธอมาขนาดนี้ ฉันจะต้องขนาดนี้ เพราะว่าหนูเชื่อว่า การแสดงถ้าคนส่งดีเราก็จะเล่นได้ดีด้วย ก็เลยออกมาเป็นวิมานหนามที่แบบเดือดมากและสนุกมาก”ความทุ่มเทของ อิงฟ้า กับบทบาท “โหม๋”อิงฟ้า : “หนูเพิ่งรู้ว่า การร้องไห้ มันไม่ได้เกิดจากการเสียใจแค่อย่างเดียว มันมีหลายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่มาเล่นหนังกับพี่บอส อย่างเช่น มันมีดีใจหลายแบบ เสียใจหลายแบบ โกรธหลายแบบ ทำให้รู้สึกว่าการแสดง มันไม่ใช่แค่กระดาษหน้าเดียว บางทีมันมีหน้าหลังด้วย และทำให้เราท้าทายตัวเองมาก แล้วเรื่องนี้หนูก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกันกับบ้านที่เราถ่ายทำ มันเป็นความรู้สึกผูกพัน เพราะว่าบ้านหลังนี้ ปกติเวลาหนูไปถ่ายงาน เราก็จะไปกลับ แต่เรื่องนี้คือเราไปใช้ชีวิตกันที่นั่น นอนที่จังหวัดนั้นเลย แล้วบ้านหลังนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ เรารู้สึกผูกพันกับสถานที่ตรงนี้ แล้วพอเราจะต้องกลับจริง ๆ เรารู้สึกว่าฉันขอบคุณเธอนะ โหม๋ ที่มันมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ หนูรู้สึกว่ามันมี โหม๋ อยู่บ้านหลังนี้จริง ๆ มันมี ทองคำ มันมี แม่แสง มันมีทุกคนอยู่ตรงนี้ แล้วพอวันที่เราจะต้องกลับไปเป็นอิงฟ้า เราก็รู้สึกขอบคุณ แล้วก็รู้สึกผูกพันกับตัวละคร และเชื่อว่าวันหนึ่งคนจะรู้จักเธอมากขึ้น”เจฟ กับการเรียนรู้จากบทบาทของ “ทองคำ”เจฟ : “ผมพูดเรื่องความไม่เท่าเทียมมาตลอด ทั้งเรื่องกฎหมาย หรือว่าเรื่องอะไร แต่พอเราได้รู้จัก ทองคำ จริง ๆ มันกลายเป็นว่า เราเข้าใจเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก ทองคำ เป็นตัวแทนของคนที่ถูกกระทำมา ซึ่งกฎหมายก็จะผ่านแล้ว แต่กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราอินกับตรงนี้มาก ๆ แล้วพอเข้าไปเล่น ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่จริง ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวนทุเรียน กับความเป็นอยู่แบบต่างจังหวัด มันก็สอนให้ผมเรียบขึ้น มีความสุขแบบง่าย ๆ และพี่บอสจะเป็นคนคอยบอกว่า หันไปมองบ้าน เนี่ยบ้านเรา หันไปมองสวน เนี่ยสวนเรานะ เค้ากำลังจะทำอะไรกับสวนเรารึเปล่า ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันกับบ้าน ผูกพันกับสวน แล้ว ทองคำ เค้าก็สอนเราในหลายเรื่องมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เค้าสอนให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น และเป็นมนุษย์มากขึ้น”การร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือ "สีดา พัวพิมล" และ “เก่ง หฤษฎ์”เจฟ : “เวลาเข้าฉากด้วยกัน เค้าเรียกตัวเองว่าน้องสีดา และเค้าจะโกรธถ้าเรียกเค้าว่าพี่ หรือป้า ห้ามเลยครับ ต้องเรียกน้องสีดา เหมือนเพิ่งเดบิวต์การแสดงใหม่”อิงฟ้า : “หนูรู้สึกว่าแม่คือระดับปรมาจารย์ของหนูเลย เค้าจะคอยสอนตลอดว่า เวลาเราจะร้องไห้ ขอให้รู้สึกจริง จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราร้องไห้จนตาเราเริ่มแห้งแล้ว น้ำตาเริ่มมายากแล้ว เค้าก็จะถามว่า ให้แม่ช่วยมั้ย แล้วเรารับส่งให้กันก่อนเข้าฉาก ซึ่งในกองนี้ดีอย่างหนึ่งคือนักแสดงทุกคนช่วยเหลือกันดีมาก มันเลยออกมาดี ตัวแม่สีดาเอง หนูเชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเค้าคือแม่แสงจริง ๆ มันเลยอินกันมาก ๆ”เจฟ : “จริง ๆ ไม่ต้องเข้าบทเลย แค่เดินเข้ามาในซีนก็เชื่อแล้ว มันมีซีนหนึ่งที่ผมเล่น ซึ่งมันจะเป็นซีนที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งมันแค่ต้องนั่งฟังเค้า แต่กลายเป็นว่าซีนนั้นน้ำตามันไหลออกมาเอง ด้วยความที่เค้าเล่าเรื่องแล้วมันถึง มันเข้าใจตอนนั้นเลยว่า นี่เราไปอยู่ในเรื่องแบบ 100% เลย แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ยอมรับเลยว่าแม่ทำถึงมาก”อิงฟ้า : “สำหรับตัวน้องเก่งเอง วันที่เราเวิร์คช็อปกัน ตอนแรกเหมือนเราก็ยังหากันไม่เจอ ยังหาความเป็นพี่น้องไม่เจอ ด้วยความที่ตัวละครมันต้องมีแบ็คกราวด์ที่มากกว่า 20 ปี หนูก็เลยเล่าเรื่องอะไรสักเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้เค้ารู้ว่าเราไว้ใจเค้า ก็เลยเล่าให้เค้าฟัง น้องเก่งก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเราเปิดที่จะให้ จิ่งนะ ยอมรับว่า โหม๋ คือพี่ของเค้าจริง ๆ แล้วน้องเก่งก็เปิดใจด้วย แล้วหลังจากเวิร์คช็อปไป ทุกอย่างมันราบรื่น แล้วตอนถ่ายทำ เราก็พยายามชวนน้องไปกินข้าวเพื่อที่เวลาเราเข้าฉากมันจะได้ไม่เกิดความเกร็งกันเกิดขึ้น ซึ่งตัวน้องเองเป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าเค้าก็เหมือนน้องเราจริง ๆ และความยากของ โหม๋ และ จิ่งนะ ก็เยอะ โดยเฉพาะเรื่องของภาษา ที่ต้องใช้ภาษาไทใหญ่ในการสื่อสาร แล้วมันต้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งน้องก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ”ความ(ไม่)เท่าเทียม ที่มีอยู่ในหนัง “วิมานหนาม”อิงฟ้า : “ถ้าเป็นเรื่องของความเท่าเทียม หนูมองว่าอาจจะหนักในเรื่องของเพศสภาพ ของ ทองคำ แต่ว่าตัว โหม๋ ก็จะหนักไปทางการเลี้ยงดูและความเป็นคนในสังคมมากกว่า ที่ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนมันเหมือนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องแต่ละอย่างของตัวเอง มันก็เลยออกมาเป็นรูปแบบของการสะท้อนสังคม หนูว่ามันมีเรื่องเหล่านี้ในสังคมจริง ๆ แต่แค่อาจจะไม่ได้ถูกตีแผ่ออกมาเป็นลักษณะภาพยนตร์ที่มันชัดเจนขนาดนี้”เจฟ : “ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของความสุข และความรัก ความรักที่มันไม่เท่าเทียมกัน ความสุขที่มันไม่เทียบเทียมกัน เราจะได้เห็นคนที่เจอความสุขมาจนชิน ได้รับความรักจนเคยชินแล้วรู้สึกว่าเจอแบบนี้ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรมาก แต่คนที่เค้าไม่เคยได้รับความรักมาเลย กลายเป็นว่าแค่ได้ความรักนิดเดียว เค้าก็รู้สึกว่ามันมากแล้ว ซึ่งเราจะได้เห็นผ่านสายตาของ แม่สีดา และ โหม๋ หรือ ทองคำ ทำทำให้เราให้คุณค่ากับความธรรมดา ความรู้สึกที่มันง่าย ๆ มากขึ้น”เบื้องหลังกว่าจะเป็นซีนปาลูกทุเรียนที่หลายคนสนใจอิงฟ้า : “ฉากที่ทุกคนเห็นที่โยนทุเรียนกัน ฉากนั้นเราถ่ายตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงเกือบ 6 โมงเช้าของอีกวันนึงก็ยังไม่สำเร็จ มันคือจุดพีคของหนังที่จะเป็นจุดไคลแม็กซ์อะไรหลาย ๆ อย่าง ในโมเม้นท์ตรงนั้น แล้วความเป็นพี่บอส เค้าจะไม่ปล่อยผ่านเลย เค้าจะต้องทำออกมาให้มันสมบูรณ์ที่สุด บวกกับทีมงานทุกคนก็เซฟแล้วแหละ แต่มันก็จะต้องมีเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งซีนนั้นเรียกได้ว่าเราถ่ายกันหลายรอบกว่าจะออกมาดีที่สุด ที่ทุกคนจะได้ดูในโรงภาพยนตร์”เจฟ : “มันเป็นทุเรียนที่มีทั้งทุเรียนจริง และทุเรียนที่ม็อกอัพขึ้นมาเพื่อให้มันเป็นความเซฟตัวละคร แต่บางทีมันก็มีบางจังหวะที่พลาด แต่ผมว่าที่ฉากนั้นมันยาก เพราะด้วยความที่มันต้องระวังเยอะ แล้วในจังหวะนั้นคือเราทั้งคู่เหนื่อยมากแล้ว คือผมตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วถ่ายถึงประมาณตี 2 ซึ่งพี่บอสก็บอกว่าให้เล่นไปก่อนนะ ผมก็เล่นไปโดยที่ตอนนั้นหัวโล่งละ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเล่นยังไง ผมเลยปล่อยไหล จนพี่บอสบอกว่า เมื่อกี๊มันเมจิคมากเจฟ เค้าปล่อยให้ตัวละครได้นำพาเราไปในจุดที่ไม่ต้องคิดก่อนว่าจะเล่นยังไง”“เหมือนวิวาห์”…แค่มีเธอ อยู่ที่ไหนก็เหมือนงานวิวาห์ของเรา“ยามเมื่อฝน เทลงมา เดาว่าฟ้านั้นอวยพรให้ความรักเราทั้งสองครองคู่ไปนิรันดรฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงยื่นมือให้ฟ้าท่านเถิดฝนที่เทลงบนมือเราดั่งงานวิวาห์หากวันใด เจอพายุ คงไม่กลัวสักเท่าไหร่ต่อให้ฝนสาดดวงใจ รักจากเธอนั้นปลอบฉันฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงเต้นรำยามฟ้ากระหน่ำขอแค่มีเธอทุก ๆ วัน ก็เป็นเหมือนวิวาห์”เจฟ : ตอนบรีฟเพลงนี้เค้าไม่ได้บรีฟอะไรนะครับ พอเค้ารู้ว่าเราอยากมีเพลง แล้วผมก็เอากีต้าร์เข้าไป แล้วไปนั่งเล่นให้เค้าฟัง แล้วผมก็เล่าให้เค้าฟังว่า เดี๋ยวท่อนแรกมันจะเป็นพิณนะครับ แล้วก็ท่อนฮุคก็จะประมาณนี้ ลองเล่นให้เค้าฟัง แล้วเค้าก็ซื้อเลย จำได้ว่าดราฟแรกส่งไปก็คือเอาเลยเพลงที่ผมแต่ง กับเพลงประกอบเรื่องนี้ แตกต่างมากเลยครับ เพราะหลาย ๆ เพลงที่ผ่านมา ผมก็จะอิงจากตัวบทของหนังเป็นหลัก ฟิลลิ่ง เนื้อหาเพลง อย่างเช่นเพลง เหมือนวิวาห์ มันก็จะมีความเป็นภาคเหนือ ฟังแล้วนึกถึงความคันทรี่ไซด์ ความเป็นสวน แล้วก็แบบอยากให้มันสื่อสาร สมมติเราดูภาพยนตร์จบ แล้วพอกลับมาฟัง เราก็ยังได้อยู่ในโลกนั้นอยู่ ผมว่าเพลงประกอบที่ดีคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราฟัง เราจะนึกถึงวันนั้น ซึ่งตัวหนังก็จะเป็นมวลที่เป็นโลกที่เค้าสร้างขึ้นมาซึ่งหาจากไหนไม่ได้แล้ว และผมว่าภาพยนตร์ที่ดี คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าไปในโลกนั้น พอออกมา เราจะหาโลกที่เหมือนกันไม่ได้ วิธีเดียวก็คือกลับไปดูใหม่เพื่อให้เราได้ Mood นั้น หรือไม่ก็ฟังเพลงประกอบเพลง เหมือนวิวาห์ ผมจำได้ว่าใช้เวลา 3 วัน เริ่มจากขึ้นมาเป็นโครงก่อน แล้วก็เพลงนี้ มี วีวี่ ช่วยเขียนด้วย ก็คือผมขึ้นมาเป็น ยามเมื่อฝนเทลงมา....ฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย...แล้วก็เว้นว่างไว้ให้ช่วยกันเขียน ก็แยกมุมกันไปเขียนแล้วก็กลับมาเจอกัน แล้วถึงได้คอนเซ็ปต์ว่า มันคือความรักที่ บางทีฝนที่เราเจอ มันอาจจะเป็นอะไรที่แบบแย่สำหรับใครบางคน แต่ในเวลาเดียวกัน พอเราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราก็แค่เอ็นจอยกับฝน บางครั้งการที่ฝนตกมันกลายเป็นเหมือนคำอวยพรจากฟ้า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แค่มีเธออยู่ มันเหมือนงานวิวาห์ของเรา ซึ่งไม่ต้องมีงานวิวาห์จริง ๆ ด้วยซ้ำไป”ผลตอบรับจากคนที่ได้ดู “วิมานหนาม”อิงฟ้า : “ผลตอบรับดีเกินคาดค่ะ แล้วก็ดีใจที่คนเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจอยากให้เค้าเห็นจริง ๆ ซึ่งกระแสดีตั้งแต่ช่วงวันกาล่าก่อนที่ภาพยนตร์จะฉาย ก็รู้สึกดีใจที่เห็นหลาย ๆ คนเปิดใจให้กับเรามากขึ้น แล้วก็มองเราถึงเรื่องของความสามารถจริง ๆ แค่นี้หนูก็แบบหายเหนื่อยแล้วหลายคนพูดถึงเรื่องที่หนูหน้าสดในหนังว่าทำไมไม่แต่งหน้าสวย ๆ หนูว่าความสวยสุดท้ายเดี๋ยวเราก็เบื่อ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้นาน มันคือความสามารถ ที่จะทำให้คนจำได้จริง ๆ เพราะหนูเชื่อว่า ผู้หญิง แค่เรามีความมั่นใจ ต่อให้จะเป็นหน้าสดหรือจะเป็นแต่งหน้า ทุกวันนี้หนูโอเคกับตัวเองมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสดหรือหน้าอะไร ทุกคนมีสแตนดาร์ดความสวยงามเป็นของตัวเอง ตัวเราเองโอเคแล้ว พอเรามาเล่นเรื่องนี้ หนูรู้สึกว่ามันก็เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่ง นี่คือ โหม๋ มันไม่ใช่ อิงฟ้า เราจะทำยังไงให้คนรู้สึกว่านี้ไม่ใช่อิงฟ้าเลย แล้วก็นั่นคือสิ่งที่เราได้รับกลับมาหลังจากที่ภาพยนตร์ฉายไปว่า จำไม่ได้เลยว่านี่คืออิงฟ้าตัวจริง เพราะคนก็เห็นเราในพาร์ทการเป็นนางงาม แต่งตัวชุดเดรส รองเท้าส้นสูง แต่เรื่องนี้มันจะไม่เห็นเลย ซึ่งนั่นคือจุดที่หนูอยากให้คนเห็นมากที่สุด และวันนี้ก็คอมพลีทแล้วค่ะ”เจฟ : “แล้วถ้า โหม๋ ใส่ส้นสูงกับผ้าซิ่น จะเข้ากันไหม อย่างที่เราเจอคำถามบ่อยว่า ไม่ห่วงสวยห่วงหล่อเหรอ ผมแค่รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วมันก็สวยงามแหละแต่ด้วยสแตนดาร์ดไหนล่ะ ถ้าคุณเอาบิวตี้สแตนดาร์ดของตัวเองมาวัด มันก็มีได้หลายแบบ ผมว่ามันก็มีความสวยงามของมัน ความไม่เพอร์เฟ็ค มันคือความเพอร์เฟ็ค ในบางที ความสวยงามไม่จำเป็นต้องเอาไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้มาวัดว่าอันนี้สวยหรือไม่สวย ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันถ่ายทอดความสวยงามในแบบนี้แหละ ฉะนั้นดูด้วยความรู้สึกที่ว่า เราเป็นทองคำรึเปล่า อิงฟ้าเป็นโหม๋รึเปล่า แล้วก็ไปเอ็นจอยกับความบิวตี้ของเค้า บิวตี้ของความเป็นธรรมชาติตรงนั้นดีกว่า”อิงฟ้า : “ติดใจการเล่นหนังนะคะ ตอนแรกยอมรับว่ามีบ้างที่คิดว่าทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ สำหรับบางฉากที่มันยากมาก ๆ แต่พอเราได้มาเห็นผลงาน วันที่ได้ดูตัวเองครั้งแรก เห็นชื่อตัวเองอยู่ในจอภาพยนตร์ เราก็ไม่คิดว่า จากปกติเป็นคนธรรมดาที่เราเข้าไปดูคนอื่น วันนี้จะมีผู้คนมากมายเข้ามาดูเรา ได้เห็นชื่อเรา ได้รู้จักเรา ได้เห็นผลงานเรา ก็รู้สึกว่าอยากมีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเรา องค์กร หรือว่าแฟนคลับที่เค้าผลักดันกว่าเราจะมาถึงวันนี้ ให้เค้าได้ภูมิใจไปกับเราอีกเรื่อย ๆ”เจฟ : “มันมีความรู้สึกที่ผมหาที่ไหนไม่ได้เลยยกเว้นการถ่ายภาพยนตร์ คือช่วงเวลาที่นับ 3 2 1 สปีดแอ็คชั่น แล้วช่วงนั้นมันจะเงียบมาก ซึ่งมันเป็นความเงียบที่มีเสน่ห์มาก เพราะว่าช่วงเวลานั้นแหละจะเป็นช่วงเวลาที่เราสลัดความเป็น เจฟ ซาเตอร์ ไปสู่อีกตัวละครหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แล้วส่วนมากผมก็จะไม่ได้เล่นเลย ผมจะรอแป๊บนึงแล้วค่อยเล่น เราเอ็นจอยกับช่วงเวลาที่มันเงียบขนาดนั้น มันก็เลยรู้สึกว่ายิ่งเรามาดูภาพเพลย์แบ็ค มันยิ่งรู้สึกว่าเราชื่นชอบการแสดง มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของพวกเราเอง แต่พอทำเสร็จแล้วรู้สึกว่าเรายังอยากทำสิ่งนี้อยู่ มันเป็นการเล่าเรื่องในแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน การร้องเพลงมันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง แต่การถ่ายภาพยนตร์มันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง ซึ่งสุดท้ายการเล่าเรื่องไม่ว่ารูปแบบไหนมันมีเสน่ห์สำหรับผมเสมอครับ”วิมานหนาม สู่การได้รับเลือกฉายในเทศกาลหนัง โตรอนโตอิงฟ้า : “ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทางผู้ใหญ่ก็แจ้งมาว่า หนังไทยเราไม่ได้ถูกเลือกไปฉายประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ดีใจที่ผลงานของเรามันจะได้ออกไปสู่สายตาของชาวโลก คือเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่นักแสดงอย่างเดียว ทุกคนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของเรื่องนี้ เราผูกพันแล้วเราก็รักกันมาก ๆ เพราะว่าการถ่ายเรื่องนี้มันมีอุปสรรคเยอะ จะบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ลำบากก็ไม่ใช่ มันมีทั้งความลำบากจริง ๆ มีทั้งความเหนื่อยจริง ๆ แล้วก็อยากให้สิ่งที่เราพยายามมันไม่สูญเปล่า แล้วเราก็อยากเป็นตัวแทนของคนไทยที่บอกให้โลกรู้ว่า หนังไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยก็เก่งเหมือน”มุมมองความรัก จาก เจฟ ซาเตอร์เจฟ : “ผมมองความรักเท่ากันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ผมพูดอยู่เสมอว่า ไม่ควรจะมีคน ๆ ไหนถูกด้อยค่าในความรัก แล้วทุกความรักควรจะถูกปกป้องด้วยกฎหมาย เพราะว่าสุดท้ายมันไม่มีใครมารับผิดชอบความรู้สึกเราเมื่อไม่มีกฎหมาย เหมือนอย่างเรื่องนี้เลย พอผมผ่านเรื่องราวของทองคำ มันกลายเป็นว่าเรายิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เป็นมนุษย์เท่ากัน ทำไมกฎหมายถึงปกป้องไม่เท่ากัน อย่างน้อยในการที่เราได้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา เราก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น และอยากสื่อสารสิ่งนี้ออกไปเพื่อให้คนได้รู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร คุณไม่ควรจะถูกด้อยค่าในความรัก ด้วยรูปแบบใดก็ตาม”ก้าวต่อไป ของ อิงฟ้า และ เจฟอิงฟ้า : “ช่วงนี้เรียกว่าทำหลายอย่างเหมือนกัน เสร็จสิ้นการถ่ายทำเรื่องแรกเลยก็คือ วิมานหนาม แล้วก็ตามมาด้วย บางกอกคณิกา แล้วตอนนี้กำลังถ่ายทำซีรี่ส์ หยดฝนกลิ่นสนิม รวมถึงจะมีละครแล้วก็ซีรี่ส์ตามมาอีก เพื่อให้ทุกคนได้ติดตามกัน”เจฟ : “ส่วนของผมก็มี วิมานหนาม แล้วก็จะมีเพลง เหมือนวิวาห์ แล้วผมก็จะมีซีรี่ส์ที่ผมเป็นคนทำเองครับ เป็นคนโปรดิวซ์เอง แล้วก็เล่นเองด้วย แล้วก็ทำเพลงประกอบเอง ทำกราฟฟิคเองด้วย ฝากติดตามกันครับ”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1