เปิดมุมมองชีวิต ของ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ เจ้าของวลีดัง “ละแมะ” “อะหรือ” “ว่าซ่าน”

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดมุมมองชีวิต ของ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ เจ้าของวลีดัง “ละแมะ” “อะหรือ” “ว่าซ่าน”

15 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังในชั่วข้ามคืนจากการคัพเวอร์เพลง เธอคือสาวเก่ง สวย เสียงดี และมักจะมาพร้อมความม่วน ความจอย และความฮา

เปิดความสนุก ปลุกความฮา กันตั้งแต่เริ่มรายการ เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์สาวสายฮา เจ้าของวลีดัง ละแมะ , อะหรือ , ว่าซ่าน ซึ่งกว่าจะมาเป็นเธอในทุกวันนี้ เธอคือผู้ที่ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเดินตามความฝัน และแฮปปี้กับทุก ๆ โมเมนต์ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยมีหลากหลายเรื่องราวที่เธอได้มาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

หยาดพิรุณ ปู่หลุน ชื่อนี้มีเรื่องเล่า

เรียกว่าเป็นชื่อที่ฟังดูหวาน และ ดูมีความหมายอยู่ในชื่อสำหรับชื่อ หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น ซึ่งต้องบอกว่าชื่อนี้มีเรื่องเล่า โดย หยาดพิรุณ ได้เผยที่มาของชื่อเพราะ ๆ นี้ไว้ว่า “เป็นชื่อที่คุณตาตั้งให้เลยตั้งแต่เกิด เพราะว่าหยาดเกิดในวันที่ฝนตก ตอนนั้นประมาณตี 4 ตี 5 คุณแม่ปวดท้องมาก คุณพ่อก็ขับรถมาสแตนบายจะไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าคุณแม่ทนไม่ไหว ก็เรามันอยากเกิดเต็มทีอะแม่จ๋า ซึ่งแม่บอกว่าเอาจริงยังไม่ทันได้เบ่งเลย ก็หลุดออกมาเลย แบบหลุดออกมาแบบสบาย ๆ ที่หัวกระไดบ้าน ก็เลยต้องตามคุณหมอตำแยมาที่บ้านแทน และก็เหมือนตอนนั้นมีนักข่าวชื่อดังชื่อหยาดพิรุณ แล้วคุณตาก็เลยชอบชื่อนี้ ก็เลยขนานนามเป็น หยาดพิรุณ ให้

ตอนนั้นจริงๆแล้ว คุณแม่อยากได้ลูกชายตั้งแต่เด็ก เพราะว่าหยาดมีพี่สาวคนนึง คนต่อไปคุณแม่ก็อยากได้เป็นลูกชาย ซึ่งคุณแม่เล่าให้ฟังว่า วันที่จะเกิด วันที่จะฝนตกนั่นแหละค่ะ แม่ก็ฝันเห็นพ่อปู่ ก็คือเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านอะไรอย่างเงี้ย แม่ก็จะมีเซ้นส์อะไรพวกนี้ เสร็จแล้วคุณแม่บอกว่า พ่อปู่ท่านถามว่า ลูกจะมาแล้วนะ จะเอาผู้หญิงผู้ชายก็ตะโกนออกมาดังๆ เลย คุณแม่เราอยากได้ลูกชายอยู่แล้ว เลยตะโกนดัง ๆ ว่า ลูกชาย ลูกชาย (ในความคิดนะคะ) แต่สิ่งที่คุณแม่ตะโกนออกไปนั้นมันออกอากาศไม่ได้ ตะโกนไปว่า หีมมมม หีมมมม (จิมิ) ใช่คุณแม่บอก แล้วเสียงดังก้องกังวาน ก็เลยเกิดออกมาเป็นลูกสาว เป็นหยาดนี่แหละค่ะ 

ซึ่งชื่อเล่นจริงๆ ชื่อ น้องน้ำฝน แล้วหลายคนถามทำไมใช้ชื่อหยาด ก็พอเข้ามหาลัย มันก็ได้จังหวะเปลี่ยนชื่อ รุ่นพี่เขาจะให้เขียนชื่อที่มันห้อยคอ เราก็เอาเลยเลือกใช้ชื่อหยาดพิรุณ ดีกว่า จากนั้นเพื่อนก็เลยเรียก หยาดพิบ้าง พิรุณบ้าง มาตั้งแต่นู้นเลย ไม่มีใครเรียกน้ำฝนแล้วค่ะ

ปู่หลุ่น จะมีหลายคนคิดว่าเป็นฉายา ไม่คิดว่ามันเหมือนนามสกุล แต่ก็มีบางคนก็เรียกปู่หลุนเหมือนเรียกแทนชื่อเราเลย ซึ่งรายการนี้เขียนนามสกุลหยาดถูก ปู่หลุ่น มีไม่กี่รายการที่เขียนถูก ส่วนใหญ่จะเขียน ปู่หลุน ที่มาของนามสกุลนี้คือ เมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีนามสกุล เขาก็ไปหานายทะเบียนแล้วนายทะเบียนก็บอกว่า ไปหามาว่าจะเอานามสกุลอะไรก็เขียนมา บ้านเรา ตระกูลเราก็นึกไม่ออกว่าจะนามสกุลอะไร ก็เลยเอาชื่อปู่แล้วกัน (เป็นทวดของทวดอีกที) ปู่ชื่อ หลุ่น ก็เลยกลายเป็น หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น”

 

 

“ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” เพลงคัพเวอร์พลิกชีวิตหยาดพิรุณ

ชื่อของ หยาดพิรุณ กลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังชั่วข้ามคืน หลังจากที่เธอได้ทำคลิปคัพเวอร์เพลง “ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” ของเจ้าหญิงเพลง R&B ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ซึ่งยอดวิวล่าสุดของเพลงคัพเวอร์นี้ทะลุ 22 ล้านวิว ไปแล้ว โดยหยาดพิรุณ ได้เล่าที่มาของคลิปอันโด่งดังนี้ว่า “มันเกิดจากการที่หยาดถ่ายวิดีโอไลฟ์กับพี่สไบรท์ บะบะบิ ชื่อรายการโทรจิตโทรใจ ตอนนั้นเราไปถ่ายรายการกันที่ต่างอำเภอของเชียงใหม่ แล้วพวกเราอยู่บนดอย มันเหงา เลยคิดว่าเราจะทำอะไรกันดี ก็เลยตั้งกล้องไลฟ์มีมือถืออยู่อันนึง ไฟที่ใช้ก็เป็นไฟส่องกบอันเล็ก ๆ หน้าดำมากตอนนั้น แล้วตอนนั้นดันเป็นช่วงโควิดคนเขาก็จะดู ไลฟ์วันละ 3 ชั่วโมง คนโทรเข้าไม่หยุดเลย ทุกคนก็ต่างร้องเพลงให้เราฟัง เราเองก็ถือโอกาสร้องไปร้องมา แล้วปรากฏมีสายหนึ่งร้องเพลงว่างแล้วช่วยโทรกลับ ซึ่งเราชอบเพลงนี้ ชอบพี่ลิเดียอยู่แล้ว เราก็ชมว่าร้องเพลงถูกใจฉัน เดี๋ยวฉันขอร้องเวอร์ชั่นฉันให้เธอฟังบ้าง ปรากฏว่าท่อนที่หนูร้องคนก็ตัดท่อนนั้นไป กลายเป็นไวรัลใน TikTok ดาราอินฟลูเขาก็คัพเวอร์ มันก็เลยโด่งดังขึ้นมา ทีนี้แฟน ๆ ก็เรียกร้องเราว่าอยากฟังเวอร์ชั่นเต็ม เราก็เป็นคนที่เพื่อนให้ทำอะไรก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว คือมันเหมือนมีฐานคนรอฟังอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน บวกกับความ Check it out yo Check it out boom ของหนูเข้าไปมันก็เลยติดหูคนฟัง

พอหลัง ๆ เราก็เริ่มติดสวย เริ่มติดแกรม เพราะเรารู้สึกว่าเล่นมาเยอะแล้ว และมันก็มีบางคนแบบว่าโอ้ยติดเล่นจังเลย เราก็เริ่มลองจริงจัง ล่าสุดปล่อยเพลงต้องโทษดาวใน TikTok เพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย ซุปเปอร์สตาร์ในดวงใจเรา คอมเมนต์ประมาณเกือบ 400 คอนเมนต์ บอกว่า โอ้ะกรู้วหายไปไหน อะหรือไปไหน กลืนหยาดพิรุณออกมาเดี๋ยวนี้ เนี่ยพอเราทำสวย ๆ ให้ก็จะมาเอาโอ้ะกรู้ว คนติดภาพฮาเราไปแล้ว”

 

“ดารานักร้อง” ความฝันของ ด.ญ. หยาดพิรุณ

ด้วยเบื้องหน้าที่มักจะเห็นหยาดพิรุณชอบร้องเพลง ร้องเพลงเพราะ เอนเตอร์เทรนเก่ง แท้ที่จริงแล้ว นี่คือความฝันที่เธออยากทำมาตั้งแต่เด็ก โดยหยาดพิรุณได้เล่าเรื่องราวความฝันนี้ให้ฟังว่า “คืออย่าเรียกว่าใฝ่ฝัน เรียกว่าเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เริ่มจำความได้ หยาดจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นดาราตลอด อยู่ต่างจังหวัด เกิดที่หนองบัวลำภู คุณแม่เอาขึ้นท้ายมอเตอร์ไซค์ ขับไปตามทุ่งนาเจอหญ้าตามข้างทาง มือมันจะกุยทำเป็นแบบว่าอย่าดึงแรงค่ะ อย่าจับเนอะแขนน้องเจ็บ ทำเหมือนมี FC ตลอดเวลา เหมือนเราคือซุปเปอร์สตาร์ มันไม่รู้ตัวว่าทำไมเราถึงอยากเป็นอย่างงั้น เราอาจจะดูละครดูหนังดูคอนเสิร์ตตอนเด็กเยอะ

และหนูคิดว่ามันเริ่มมาจากตุณตา คุณตาหนูเป็นกำนัน ทุก ๆ ตี 5 คุณตาจะต้องมาประกาศเสียงตามสาย ซึ่งก่อนประกาศเขาจะต้องเปิดเพลงปลุกชาวบ้านก่อน เป็นเพลงหมอลำที่เปิดนำก่อน เราได้ยินทุกวัน อยู่ดี ๆ มันก็ร้องตามได้ พอโตขึ้นมาคุณแม่ก็ชอบร้องเพลง คุณพ่อก็ชอบฟังเพลง ไปโรงเรียนก็ชอบเป็นเด็กกิจกรรมอีก เหมือนชีวิตวนเวียนอยู่กับการร้องเพลงกับการทำกิจกรรม จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”

 

 

จากเด็กนักเรียนทุน สู่เด็กกิจกรรมแถวหน้าของมหาวิทยาลัย

หยาดพิรุณ เป็นคนหนึ่งที่เต็มที่กับทุกช่วงของชีวิต ในเรื่องการเรียนก็ไม่เป็นรองใคร เธอเคยเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าสันทนาการหญิงคนแรกของคณะที่เธอเรียน เรื่องราวนี้ หยาดพิรุณ ได้เล่าว่า “หนูเป็นคนทำอะไรแล้วตั้งใจมาก คือเหมือนเราตั้งใจเรียน แล้วพอเริ่มเข้ามัธยมก็เริ่มทำกิจกรรมเยอะ ครูก็รักเรา ส่งไปทำกิจกรรม ส่งไปเรียนแลกเปลี่ยนบ้าง รอบแรกคือตอนม. 5 ไปอเมริกา เป็นการชิงทุนระดับประเทศ แล้วเลือกไปแค่ทุนเดียวเอง นี่ถือเป็นการสอบชิงทุนครั้งแรกในชีวิต แล้วเราก็คิดว่าไม่ได้หรอก เราเป็นเด็กต่างจังหวัดตัวเล็ก ๆ ตอนมาสอบในกรุงเทพ คุณแม่พานั่งรถทัวร์มา ชีวิตเหมือนหนังเลย คือความที่มันตื่นเต้นมาจากต่างจังหวัด ทำให้หยิบกระโปรงนักเรียนมาผิด ที่เอามาเป็นกางเกงพละก็ต้องรีบไปหาซื้อ ตอนนั้นตื่นตี 4 ตี 5 พี่ชายก็พาไปหาซื้อกระโปรงใหม่ แล้วก็เข้าไปสอบ วันต่อมาเขาก็ประกาศผลว่าเราคือท็อป 10 ข้อเขียน ตอนนั้นคุณแม่ที่ไปด้วยน้ำตาไหล เขาคงภาคภูมิใจในตัวเรา เสร็จแล้วกลายเป็นว่าเราได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทุน YFU หรือ Youth for Understanding

มันมีความตื่นเต้น หนึ่งมันขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต แล้วบิน 24 ชั่วโมง เปลี่ยนไฟล์ทบิน 4 รอบ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาของเด็กอายุ 17-18 แล้วพอไปถึงเราไม่รู้จักคำว่า Homesick เลย เรารู้แค่ว่ามันสนุก ทำทุกวันให้มันสนุก กลายเป็นว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่เป็นเอเชีย คือในอเมริกาสมัยก่อนยังมีเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ เด็กเอเชียมาจะต้องโดนบลูลี่ โดนแกล้ง แต่เรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับดิฉันเลย คือหยาดได้ทำทุกกิจกรรมที่เพื่อน ๆ คนอื่นทำ เพราะว่าโฮสต์แฟมิลี่ก็สนับสนุน คุณครูก็สนับสนุน เราได้รับเกียรติถึงขั้นได้ร้องเพลงชาติของอเมริกาเวลาเปิดบาสเก็ตบอลเกมส์ของโรงเรียน ซึ่งมันเป็นเกียรติมาก ปกติเขาต้องให้ดาวโรงเรียนทำ แล้วบังเอิญดาวโรงเรียนเป็นเพื่อนสนิทเราอีก มันก็เลยไม่มีแบบว่า Gossip Girl ไม่มีการแย่งชิง ตอนนั้นภาษาเราไม่ได้เก่งมาก เราอาศัยความอยากรู้อยากเห็นความกล้าแสดงออก 
ความอยากเรียนรู้ ฝรั่งเขาชอบแบบนี้ค่ะ ฝรั่งเขาจะต่างกับคนไทยนิดนึงคือคนไทยจะขี้อาย แต่ฝรั่งคือถ้าเธอไม่พูดเธอคือจมไปเลย ถ้าเธออยากมีเพื่อนเธอต้องกล้าพูด เธอต้องกล้าแสดงออก เธอต้องมีตัวตน เวลาอยากให้ทำอะไร ฝรั่งเขาจะชอบแบบ go go! คือเชียร์ พอโดนเชียร์ฉันเลยฉันตีลังกาไปเลย ฉันไม่กลัว ฉันสวย มั่นใจ ไม่กลัว หนองบัวลำภู ทำทุกอย่างเลยค่ะ

สิ่งที่ยากของการไปอยู่ต่างประเทศ คือการที่ทำยังไงให้เราไม่หิว เพราะอาหารเขาอร่อย ตอนนั้นน้ำหนักขึ้น 13 กิโลกรัม ท้อใจมาก ส่วนชื่อไม่ต้องเปลี่ยนเขาเรียกฝน เพราะตอนนั้นยังชื่อน้ำฝนอยู่ แล้วก็สมัยก่อนเหมือนยังไม่ได้มี Facebook , Line ก็จะเป็นโทรหาคุณแม่เดือนละ 1-2 ครั้ง แล้วก็จะกำหนดนาทีด้วยว่าไม่เกินกี่นาที เพราะมันโทรนาทีละ 30-40 บาทเลย สมัยก่อนมันยังเป็นโทรศัพท์บ้านอยู่เลยค่ะ การไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมครั้งนั้น ทำให้เรื่องของภาษาเรา Flow ขึ้น เพราะเราอยู่ตรงนั้นเราต้องพูด เราต้องอ่าน เราต้องเขียน เราต้องเรียน เราก็เข้าใจความหลากหลายวัฒนธรรม เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาก้าวไกลเขาเป็นยังไง ได้เห็นเยอะมากค่ะ ในวัยนั้นรู้สึกแค่ว่าโอ้โหโลกมันกว้างกว่าที่เราคิดเยอะ

พอกลับมาปุ๊บ ก็เข้าโครงการทูบีนัมเบอร์วัน เพราะรู้แล้วว่ากิจกรรมนี้เราจะได้ร้องเพลง เราจะได้เต้น เราจะได้เล่นกีฬา แล้วก็มาถึงจุดที่ต้องเรียนมาหาวิทยาลัย จะเลือกคณะอะไรดี ตอนนั้นนิเทศศาสตร์อยู่ในใจเราอยู่แล้วแหละ แต่เราจะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี อันนี้คือปัญหาของเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนต้องเจอ ที่อยากจะเรียนในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อยากให้เรียน เพราะที่บ้านเรียนนิติศาสตร์หมดเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็คงคิดว่าเราก็คงไม่หนีไกลจากนี้ ให้หนีไกลได้มากสุดสองอย่างคือเป็นทูตกับเป็นครู แต่ว่าโชคดีที่คณะนิเทศศาสตร์ที่ มช. ชื่อว่าคณะการสื่อสารมวลชน ก็เลยเอามาให้พ่อแม่ดูว่าเนี่ย เดี๋ยวจะเรียนคณะนี้นะ เค้าก็ถามว่าสื่อสารมวลชนเรียนไปทำอะไร หนูก็ตอบไปเลยว่าเรียนไปเป็นนักข่าว ตอนนั้นเวลาก่อนดูหนังดูละครนักข่าวเขาต้องใส่สูทให้มันดูภูมิฐาน ซี่งถ้าไปบอกว่าจบไปเป็นดารา เป็นยูทูปเบอร์ ไม่มีวันได้เรียน ไปบอกว่าเป็นนักข่าว เขาก็โอเคได้แต่งตัวดูดีใช้ได้ ๆ พอเข้ามาเรียน ได้อ่านข่าวตอนเรียนอยู่วิชาหนึ่งครั้งเดียวเท่านั้นเองค่ะ

คราวนี้โซเชียลมันก็เริ่มมา คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มเห็นเพื่อนแท็กรูปเราบ้าง กิจกรรมที่เราเล่นโอ้โหเราก็ใช่ว่าจะธรรมดา ร้องเพลงสันทนาการนั่นนู้นนี่ คืออยู่ปีหนึ่งก็รับน้องเต็มที่ไม่พอ ขึ้นมาปีสองได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าสันทนาการผู้หญิงคนแรกของคณะอีก

ความโชคดีของหนูอย่างหนึ่งคือ หนูจะรู้วิธีการพูดกับคุณพ่อคุณแม่ผู้ใหญ่ การสื่อสารสำคัญมาก เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทะเลาะกับใคร ไม่ทะเลาะกับที่บ้าน ไม่ทะเลาะกับแฟน ไม่ทะเลาะกับใคร เพราะเรามีวิธีการสื่อสารที่จะทำให้เขาเข้าใจ เรารู้ระหว่างเรากับพ่อแม่มีช่วงอายุที่ค่อนข้างห่างกัน เรื่องของช่วงวัย เรื่องของความเข้าใจอะไรในหลาย ๆ อย่าง เราจะรู้แล้วว่าเขาคิดแบบนี้ เราจะเข้าหาเขายังไง ฉะนั้นใครที่เจอปัญหาคุยกับพ่อแม่ไม่เข้าใจ ลองเข้าใจเขาครึ่งนึง เอาใจเขามาใส่ใจเราครึ่งนึง ลองนึกดูว่าถ้าจะพูดกับเขาควรพูดแบบไหนแล้วเขาจะ say yes อย่าไปใช้อารมณ์ ถ้าใช้อารมณ์ทะเลาะกันแน่นอน ดังนั้นวิธีการอธิบายสำคัญมาก ๆ

 

หยาดพิรุณ เพื่อนสาวของเหล่า LGBTQ+

จะเห็นว่า หยาดพิรุณ มีเพื่อนเยอะมาก แล้วส่วนมากจะเป็นกะเทย กลายเป็นที่มาความสงสัยของใครหลาย ๆ คน ที่นึกว่าหยาดพิรุณ คือกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งหยาดพิรุณได้แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า “มันเหมือนพรหมลิขิต หรือเวรกรรมสักอย่างหนึ่ง ที่มันจะหลอมรวมมาด้วยธรรมชาติของกฎแรงดึงดูดอะไรไม่รู้ ตั้งแต่ประถมหยาดมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ เป็นสาวสองตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็มีมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าเราจะย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนเพื่อน ก็จะมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ ตลอดเสมอมา จนเราโตเราถึงนึกได้ว่าเราชอบเล่นกับคนกลุ่มนี้เพราะเขาสนุกสนาน มันเลยทำให้เราซึมซับส่วนนั้นมาโดยไม่รู้ตัวในบางที แต่จริง ๆ หยาดก็คือผู้หญิงธรรมดา ๆ นี่แหละค่ะ คือหยาดชอบ LGBTQ+ อย่างนึง อันนี้เราไม่ได้แบ่งว่าใครเป็นเพศอะไร แต่แค่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เขามีความคิดสร้างสรรค์ เขามีความสนุกสนาน เขามีความเฟรนลี่ เขามีดีเอ็นเอบางอย่างที่เข้ากับเราได้ บางคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถเจอแล้วคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานได้เลย”

 

ผิดที่ไว้ใจ! บางครั้งเพื่อนที่ร้าย ก็ไม่จำเป็นต้องทนคบ

แม้จะมีเพื่อนเยอะมากแต่ครั้งหนึ่ง หยาดพิรุณ ก็เคยเจ็บจากการไว้ใจ เพราะเคยมีข่าวโดนอดีตผู้จัดการโกงค่าตัวกว่า 3 ล้านบาท! โดยเธอได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “คนนี้เป็นเพื่อนรักที่สุดในชีวิตด้วย 10 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นพอเราเริ่มมีกระแสเริ่มดัง เราจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราก็รับโทรศัพท์ไม่ไหวก็เลยให้เขามาช่วยรับงานให้  ปรากฎว่าด้วยความไว้ใจเขาก็ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการรับเงินเข้าบัญชีตัวเอง รับงานโดยไม่บอกเรา บางทีมีงานเข้ามาเขาจะไม่อธิบายให้เราฟังก่อน ซึ่งปกติแล้วเราต้องรับทราบงานก่อนที่เราจะคอนเฟิร์มกับใครก็ตามเพราะว่ามันคือการทำงานของเรา ทีนี้เขาไม่บอกแล้วเขาก็รีบไปรับมา พอมันเกิดปัญหาหนูก็ต้องทยอยคอยแก้ อยู่กันอย่างนั้นประมาณสองเดือนสามเดือนก็มีปัญหามาเรื่อย ๆ จนวันที่มันเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น ความแตกขึ้นมา เราก็ใจดีปล่อยเขาไปเพราะว่าเห็นเขาเป็นเพื่อน คือเราปล่อยเขาไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาทำผิดกับเรามากขนาดไหน แต่พอปล่อยเขาไปเสร็จเขาก็ยังไม่หยุด เขายังใช้โอกาสตรงที่ไม่มีใครทราบแอบรับงานแล้วก็ไปจ้างลูกค้าปลอมอีก ซึ่งแย่กว่านั้นพอเราไม่พูดไม่จาไม่บอกใครเพราะเป็นเพื่อนสนิท เราก็ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง แต่พอเราไม่พูดปุ๊บ กลายเป็นว่าเขาก็ไปพูดกับเพื่อนอีกแบบนึง กลายเป็นเรื่องเป็นราว บางคนไม่เข้าใจเราโกรธเราเกลียดเราก็มี หาว่าเราทำร้ายเพื่อน เสียใจที่สุดในชีวิตหนูใช้คำนี้เลย

คือตอนนี้ Move on จากเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ใช่ค่ะ เราไม่คิดว่าคนรอบตัวเราเป็นคนไม่ดีไม่เคยคิดอย่างงั้นเลย จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเรารู้สึกว่า โอเค คนเรามันมีอีกด้านหนึ่งจริง ๆ ก็ทำให้รู้ว่าจะทำอะไรก็ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้บอกว่าปิดกั้นตัวเองที่อยากจะคบกับใครนะคะ คือใครดีกับเราเราก็ดีกับเขา แค่นั้นเลยใช้ชีวิตแบบนั้นเลยในทุกวันนี้

ถ้าถามหยาด เรื่องนี้เขาผิดอยู่แล้ว 100% มันผิดทั้งกฎหมาย ผิดจรรยาบรรณศีลธรรม คือทุกอย่างมันผิด แต่มันคือวิธีการของคนที่รับสาร รับสารจากใคร ฟังเรื่องราวจากใครไม่มีใครไปนั่งพูดว่าตัวเองผิด ทุกคนต้องพูดตัวเองในทางที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างที่บอกเรื่องนี้ไม่อยากให้ซีเรียส หรือเครียดกับมันมาก เพราะว่าตัวหยาดเองปล่อยวางไปแล้วคือจบไปแล้ว แต่ส่วนที่เหลือคือก็ให้กฎหมายจัดการแค่นั้น Move on แล้วแฮปปี้มากตอนนี้”

 

 

จะตายทั้งที ขอให้ได้เจอสามีก่อนเจ้าค่ะ!

มีเรื่องราวสุดพีค ของการฝืนดวงแบบตัวแม่ ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้เล่าเหตุการณ์ชวนอึ้งนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปหาคู่ คือเพื่อนไปดูดวงกับพระรูปนี้มา แล้วท่านแม่น แล้วกะเทยอะแม่ แบบว่าใครไปดูหมอแม่นก็ต้องพาเพื่อนไป หยาดก็ไปด้วย ถึงเวลาท่านก็บอกว่า เดือนนี้มิถุนายนนะที่มาดูดวง เดี๋ยวสักประมาณธันวานี่แหละใกล้ละ หยาดถามว่าทำไมเหรอคะ ท่านบอกเดี๋ยวประมาณธันวาเนี่ย ตาย!! ท่านทักแบบนี้เลย แล้วใครจะไม่กลัว ไอ้เราคิดว่ากลัวเรื่องตายแล้ว พอตอนจะกลับปุ๊บ ก็ถามต่อว่า สรุปหนูจะมีแฟนไหมคะ? ก็ต้องถาม เพราะจากมิถุนาไปธันวามันก็หลายเดือนอยู่นะ ขอมีก่อนได้ไหมล่ะ ท่านบอกว่า ไม่ต้องมีเธอมันชอบทำงานไม่ต้องมีหรอกปวดหัว หยาดก็ถามต่อว่ามันจะไม่มีเลยเหรอคะ คืออยากถามเฉย ๆ ไม่มีไม่เป็นไรแค่อยากรู้ ท่านก็เหมือนรำคาญเลยบอกว่า เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ จะเจอเด็กหนุ่ม เดี๋ยวเขาจะมาจีบ ซึ่งหยาดไม่ชอบเด็ก เลยคุยกับพระว่า ไม่เอา ๆ แต่ท่านก็บอกกลับมาว่า ชอบ คนนี้เราชอบแน่นอน เราก็ลาท่านมาไม่ได้คิดอะไรเลยตอนนั้น

หลังจากได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ตามธรรมเนียมเสร็จสรรพ แม่! มันเจอจริง ๆ ไม่ถึงสองอาทิตย์ คือเราไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อเรา แต่ปรากฏว่า พอมันจะเจอก็เจอ ก็เป็นคุณโบ เป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่อายุน้อยกว่าตั้ง 5 –6 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนกับเขาก็นัดปาร์ตี้กันและ เขาก็ชวนหยาดไป รอบแรกหยาดไม่ไป เราไปวันที่สองที่เขานัดกัน ก็ไปเจอ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออน้องคนนี้น่ารักนิสัยดีจังเลย พูดคุยถูกปากถูกคอ ก็คุยกันต่อมาเรื่อย ๆ พอเราเจอกันได้ 4 – 5 วันเราก็ต้องแยกกัน เขาจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราอยู่เชียงใหม่ เขาซื้อกำไลข้อเท้ากับเคสมือถือมาให้ เพราะเขาสังเกตว่าเคสมือถือเรามันเก่าแล้ว เขาก็ซื้อเป็นสีชมพูพาสเทลหวาน ๆ เราก็รู้สึกเอ๊ะหรือว่าเขาคิดอะไรกับเราหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ยังทักมาคุยอยู่เรื่อย ๆ คือมันคุยสนุกค่ะ ทักกันไปทักกันมา ปรากฏว่าครบประมาณเดือนนึง เขาก็เหมือนกลัวว่าเราจะไม่ Say Yes ก็เลยขอเป็นแฟนเลย เดือนเดียว ที่รายการจีบหนูหน่อย รายการของพี่โอ๊ต ตอนนั้นก็เป็นกระแส ก็ Sold out ไปเลย”

 

 

มุมมองความรัก ของหยาดพิรุณ

จะเห็นว่าคู่ของหยาดพิรุณเป็นคู่รักที่หวานมาก ๆ หากได้ติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลของหยาดพิรุณ โดยเธอได้แชร์มุมมองความรักให้ฟังว่า “คุณโบ เป็นทรานส์แมน เขาเป็นผู้หญิงที่ข้ามเพศไปเป็นผู้ชาย เขาจะตัดหน้าอก และมีการผ่าตัดอะไรของเขาเสร็จสรรพ มีการเทคฮอร์โมน มันก็เหมือนผู้ชายที่จะข้ามไปเป็นผู้หญิงเหมือนกันเลย ส่วนจิตใจเขาคือผู้ชายคนหนึ่งเลย เท่าที่เราสัมผัส บอกก่อนว่าวันแรกที่เจอนึกว่าเขาเป็นเกย์ นึกว่าเป็นลูกสาว หุ่นเขาเหมือนผู้ชายแต่ว่าภาษาเขาคือเขาเรียนโรงเรียนหญิงล้วน เขาจะมีมือไม้ความจริตหญิงล้วน เราก็คิดว่าลูกสาวฉันแน่นอน งานเกย์แน่นอน แต่พอคุยไปคุยมาเขาก็มีความแมนขึ้น ความสุภาพบุรุษ เราเลยเข้าใจเขาเรื่องรัก ไม่ติดเลยค่ะเพราะก่อนหน้านี้ก็มีแฟนที่เป็น LGBTQ+ ที่เป็นแบบนี้มาก่อน ที่บ้านเขารักโบมาก แฮปปี้มากคือสองครอบครัวแฮปปี้มาก ครอบครัวโบก็ชอบเรา ครอบครัวเราก็ชอบโบ แล้วเหมือนที่บ้านเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องความรักของลูกเท่าไหร่ ลูกรักใครก็รักตาม ตอนแรกเราก็แอบเกรงใจกลัวพ่อแม่จะไม่โอเค แต่จริง ๆ พ่อแม่เราก็เอ็นดูเขา ตอนนี้คบกัน กำลังจะ 2 ปี แล้วค่ะ แข็งแรงดี เฮลตี้ดี”

 

รักทางไกล ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น

ในตอนนี้ ความรักของหยาดพิรุณ เรียกว่าเป็น “รักทางไกล” เพราะคุณโบ ต้องไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้แชร์เรื่องราวรักทางไกลให้เราฟังว่า “รักทางไกลมาก เพราะตอนนี้อยู่แคนาดา เขาไปเรียนต่อค่ะไปประมาณ 7 – 8 เดือนแล้ว แต่อุปสรรคเรื่องระยะทางไม่ได้เกิดขึ้นกับคู่ของเรา เหมือนก่อนไปเราตกลงกันแล้วว่าเขาจะไปทำอะไร คือเขาอายุยังเด็กมาก 25 – 26 เอง เขาถามเราก่อนว่าจะให้เขาไปไหม เรารู้สึกว่าทำไมถึงจะไม่ไป เธอได้โอกาสขนาดนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ไปเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ ไปหาความรู้ ถ้าอีกหน่อยอยากลับมาก็มา ไม่อยากกลับมาอยู่ต่อ ก็เดี๋ยวว่ากันในอนาคต อย่าเพิ่งนึกถึงว่ามันจะต้องห่างกัน นึกถึงอนาคตของตัวเองก่อน เราบอกเขาแบบนี้ คือเหมือนเราคบกันแบบผู้ใหญ่มาก มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

คือโบเขาจะมี 2 พาร์ท พาร์ทจริงจังเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งโตกว่าหยาดอีก เขาจะมีความคิด คือเขาเรียนเศรษฐศาสตร์มา เขาจะมีความคิดที่ก้าวหน้า เป็นแบบเป็นแผน เป็นระบบมาก แต่ในอีกฝั่งนึงเขาจะมีความกระเทย เขาจะคุยเล่นคุยสนุก คือเขาเป็น อภิชาตแฟน เราไม่ได้จะอวยแฟน แต่เขาเป็นคนดีจริง ๆ ดีมาก ๆ ด้วยเนื้อแท้ เขารักครอบครัว เขารักเพื่อน ใครที่อยู่กับโบจะรักเขาหมดเลย อือ เขาน่ารักมาก เขาสนุกมาก เวลาหนูปาร์ตี้บ้านเพื่อน เราไม่เคยมานั่งนิ่ง เราต้องมีไมค์ เราต้องหยิบจับมาร้องเพลง เขาจะเชียร์ เขาจะถ่ายวิดีโอ เขาจะเป็นสายซัพพอร์ท เขามีความสุขมากที่เราเป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคู่เราไม่ทะเลาะหรือมีปัญหานะ มันก็จะมีบางมุมที่เขาคิดแบบนึงเราคิดแบบนึง แต่ความเป็นผู้ใหญ่ของโบ ทำให้บางทีจะทะเลาะปุ๊ปมองหน้ากัน ตัวเรามันก็ตลกอีก ตัวเขาก็ขำ ก็ลืมเรื่องทะเลาะไปเลย”

 

 

รับสายสุดเซอร์ไพรส์  ส่งต่อกำลังใจให้กัน

หนึ่งสายที่โทรเข้ามาเซอร์ไพรส์ แต่หยาดพิรุณก็จำได้ตั้งแต่คำทักทายแรก ว่านี่คือเสียงของ คุณโบ แฟนหนุ่มของเธอที่โฟนอินมาจากแคนาดา โดยคุณโบ ได้เล่าเรื่องราวความประทับใจ พร้อมส่งต่อความรักจากทางไกลมาให้หยาดพิรุณด้วย “หยาดเป็นคนที่ถ้าคิดอะไรแล้ว เขาจะโฟกัสแล้วมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นมาก ๆ  ก็อยากให้เขาเริ่มวางแผนชีวิตระยะยาว ค่อย ๆ วางแผนก็ได้ ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำไป อยากให้มองไกล ๆ มากขึ้น เพราะว่าอายุเราก็ไม่น้อยกันแล้วทั้งสองคน

โบคิดว่า การดูแลซัพพอร์ทตอนนี้ทำได้แค่ความรู้ครับ อาจจะไม่ได้ไปดูแลได้มากเท่าเดิม เหมือนที่หยาดบอกเลยครับ ก็เราก็คุยกันแล้ว บางทีโบก็บอกหยาดว่า บางครั้งโบเองก็ไม่มีเวลาที่จะคุยกันนะ ตื่นเช้าออกไปทำงาน บางทีกลับมาไม่ตรงเวลากัน บางทีเหนื่อยไม่อยากจะคุยกัน นอนหลับก็มี เพราะฉะนั้นการที่รักทางไกลมันอาจจะไม่ได้ลำบากก็ได้ อยู่ที่เราสองคนจะดูแลกันและกันได้มากแค่ไหน”

 

คนเราเลือกเกิดได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้

กลายเป็นประโยคไวรัลที่คนชื่นชอบมาก ๆ เมื่อครั้งที่หยาดพิรุณ ได้ไปประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ เมื่อปี 2561 คำตอบนี้สร้างความประทับใจให้กรรมการและแฟนนางงาม จนเธอสามารถคว้ามงกุฎมาได้ โดยเธอเล่าเหตุการณ์นี้ว่า “หนูแค่จะขอบคุณเวที ที่เขาเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยให้มาแสดงศักยภาพ หนูก็เลยตบท้ายไปว่า คนเฮาเลือกเกิดบ่ได้นะเจ้า แต่สิว่าจะเลือกบ่เกิดก็ไม่ได้คือกันจ่ะ ก็คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ คนมันจะเกิดก็เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดมาแล้วก็ใช้โอกาสนั้นให้คุ้ม นี่แหละคือสิ่งที่จะพูดต่อ คนก็ดันไปแคปแค่ตรงนั้น ก็ไปกระจายกันเต็มกลายเป็นไวรัลยิ่งใหญ่ คนก็เลยเริ่มรู้จักหยาดตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว จริง ๆ ประมาณปี 2561 แล้วค่อยมาคัพเวอร์เพลงตอนปี 2563”

 

 

“ม่วนไผม่วนมัน” ซิงเกิลแรกเติมเต็มความฝันของหยาดพิรุณ

“ความฝันของเด็กอิสานทุกคนที่อยากจะเป็นนักร้อง แล้วก็อยากจะเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ส่วนมากคนจะเข้าใจว่าเราชอบร้องสากล ชอบ R&B รึเปล่า แต่ความจริงแล้วคือหนูเติบโตมากับเพลงลูกทุ่งอิสาน ใครจะบอกว่าลูกทุ่งมันไม่เลิศ มันไม่แพง สำหรับหยาดไม่คิดอย่างนั้นเลย ลูกทุ่งมันคือจิตวิญญาณของเราเลย เราอยากจะทำเพลงให้มันสนุกสนาน ออกมาให้ทุกคน ได้สนุกให้ม่วนกันก็เลยเกิดมาเป็น ม่วนไผม่วนมัน ติดตามได้นะคะ ฟังได้ใน Youtube : YARDPIRUN แล้วก็สตรีมมิ่งทุกช่องทางเลย ขอบคุณมากค่ะ” - หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดมุมมองชีวิตของ “จ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง Tiffany’s Show Pattaya มารดาผู้ยกระดับสาวประเภทสองทั่วโลก

06 มิ.ย. 2023

เปิดมุมมองชีวิตของ “จ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง Tiffany’s Show Pattaya มารดาผู้ยกระดับสาวประเภทสองทั่วโลก

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับ Pride Month เดือนแห่งความหลากหลายและความเท่าเทียม กับแขกสุดพิเศษ ผู้อยู่เบื้องหลัง และคอบผลักดันกลุ่มสาวประเภทสองให้ได้มีอาชีพ และยกระดับให้ทั่วโลกยอมรับผ่านโชว์สุดตระการตา และเวทีการประกวดที่ได้รับความนิยมในระดับโลกเรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มต้นขึ้น เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “คุณจ๋า อลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน” CEO หญิงเก่งแห่งโรงละครTiffany’s Show Pattaya ที่ได้มาพูดคุยเล่าเรื่องราวในการต่อสู้และผลักดัน เพื่อกลุ่มผู้มีความหลากทางเพศ ที่กว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราวที่ คุณจ๋า ได้นำมาแชร์ในรายการกว่าจะเป็น Tiffany’s show เพชรแห่งพัทยา กับการสร้างอาชีพให้ชาว LGBTQ+กว่า 49 ปี ที่โรงละคร Tiffany’s Show Pattaya ได้มุ่งสร้างสรรค์สุดยอดโชว์ และการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจ จนกลายเป็นภาพจำและความประทับใจของใครหลายคน นอกจากนี้ที่นี่ยังถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองพัทยา มากกว่านั้นคือการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน รวมถึงชาว LGBTQ+ ที่เดินทางจากทั่วประเทศหลายร้อยชีวิต โดย คุณจ๋า ได้เล่าที่มา กว่าจะมีการก่อตั้งโรงละคร Tiffany’s show ให้ฟังว่า “จริงๆ แล้วบ้านจ๋าไม่ได้ทำ Tiffany คนที่เป็น Founder คือ คุณวิชัย แต่เรียกว่า คุณอาอั้งตี๋ นะ ซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่าตอนแรกบ้านจ๋าทำธุรกิจท่องเที่ยวในพัทยา ทำโรงแรม คุณพ่อทำร้านแลกเงินตราต่างประเทศ แล้วเค้าก็ไปเห็น Tiffany ที่อยู่ในแหลมบาลีฮาย ตอนนั้น รถทัวร์ รถบัส เข้าไม่ได้เพราะว่ามันเล็กมาก แล้วก็จะมีเรื่องของความเป็นมาเฟียด้วย คุณอาอั้งตี๋ก็เลยมาถามคุณพ่อว่า ต้องทำยังไงดี ช่วยเค้าหน่อยพ่อของจ๋าเค้าก็เลยสร้างเป็นโรงละครให้เค้าเช่า ซึ่งไม่ได้ว่าจะไปเป็นเจ้าของนะ เริ่มแรกนักแสดงก็เป็นสาวประเภทสอง ซึ่งโรงละครตอนนั้นมันเป็นเหมือนบ้านค่ะ แล้วก็มีสะพานข้ามสระว่ายน้ำ แล้วในบ้านเค้าก็ทำเป็นโชว์ ตอนแรกนักแสดงมีคนเดียว ก็คือคุณอ๊อด คุณอ๊อดเนี่ยเป็น Director ปัจจุบันยังอยู่นะคะ ซึ่งคุณอ๊อดกลับมาจากฝรั่งเศส แล้วคุณอาอั้งตี๋ก็ชวนบอกว่า เออฉันอยากจะเปิดบาร์ อ๊อดเธอมาโชว์ให้หน่อย เค้าก็เลยทำโชว์คนผิวดำ เล่นเป็น ไดอานา รอสส์ แล้วก็ติดประกาศบนรถแห่ในพัทยาว่ามีสาวผิวดำมาร้องในบาร์บาร์ทิฟฟานี่โชว์ คุณอ๊อดก็เลยเหมือนปลอมตัวว่าเป็นคนผิวดำ แล้วสามารถลิปซิงก์เป๊ะ พอหลังจากนั้นคนก็พูดกล่าวถึงว่าทิฟฟานี่โชว์บาร์นี้มันสนุกนะ เค้าก็เลยไปเรียกเพื่อน ๆ ที่เป็นเกย์ทั้งหลายมาทำโชว์ ตอนแรกที่เค้าเปิดเนี่ยเค้าทำเป็นเหมือนบาร์ แล้วขายเหล้า ขายดริ๊งค์ แล้วก็โชว์ฟรี ก็คือขายดริ๊งค์ 100 นึง แล้วก็ดูโชว์ไปอะไรอย่างเงี้ยค่ะพอทำไปทำมาประมาณ 2 ปี คุณอาอั้งตี๋เค้าก็บอกว่าเค้าทำไม่เป็น จากนั้นคุณพ่อก็เลยเข้าไปช่วยค่ะว่าจะทำไงดี รถก็เข้าไม่ได้ คนก็ลำบากมาก เค้าก็เลยบอกว่าเออ เค้าจะสร้างโรงละคร ประมาณ 550 ที่นั่งค่ะ ก็ทำให้ทัวร์เข้ามาได้ แต่ว่าปีนั้นพ่อเค้าก็คงคิดว่าคุณอาอั้งตี๋ก็คงรู้ว่าจะทำยังไง เพราะว่าก่อนหน้าเนี้ยมันเหมือนว่าเค้าก็ขายได้อยู่ แต่ปรากฎว่าเค้าขายไม่ได้ พอย้ายที่ ย้ายบุคลิกเป็นโรงละครเก้าอี้นั่งแบบนี้ เค้าก็ไม่รู้ว่าจะไปขายใคร เพราะว่าไม่ใช่บาร์ คุณอาเค้าจะคืนโรงละคร คุณพ่อก็เลยบอกว่าเด็กเยอะนะ ตั้ง 35 คน จะให้เค้าไปทำอะไร คุณอาบอกว่าก็ปล่อยมันกลับบ้านไป คุณพ่อก็บอกว่าไม่ได้ ๆ ควรจะทำต่อ แล้วพ่อก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวผมมาทำงานด้านบริหารเอง แล้วอั้งตี๋ก็ทำโชว์ไป แล้วหลังจากนั้นคุณพ่อก็เลยไปขายทั่วโลก ไปขาย ททท. เพื่อที่จะขาย Agent ให้มาดูโชว์นี้คือพ่อของจ๋าเวลาจะคิดอะไร เค้าก็จะคิดไกลมากเลย เค้าเคยเป็นลูกจ้างโรงแรม แล้วเค้าก็มองเห็นว่าร้านแลกเงินตราในต่างประเทศรายได้ดีมากเลย เค้าก็เลยผันตัวออกมาทำร้านแลกเงิน อันนั้นคือจุดเปลี่ยน เค้าก็เป็นคนทำมาหากิน พอเค้ามาทำร้านแลกเงิน เค้าก็อยากทำโรงแรม เคยเป็นคนโรงแรมก็อยากจะเป็นเจ้าของโรงแรม พอเป็นเจ้าของโรงแรมก็ไปเช่าที่ที่นึง ที่ทิฟฟานี่ปัจจุบัน แล้วก็บอกว่าเนี่ยจะทำโรงแรม พอมองไปมองมา เพื่อนที่อยู่ในวงการโรงแรมบอกว่าตรงนี้ที่มันไม่ติดทะเลอย่าทำเลย เค้าก็เลยไปหาเรื่องใหม่ทำ ก็คือไปสร้างโรงละครให้คนอื่นเช่า เค้าไม่ได้แค่นั้น เค้าทำสนามยิงปืน สนามธนู คือจ๋าว่าเค้ามองการณ์ไกล สิ่งที่สำคัญที่จ๋าว่าเค้ามองเพราะว่าเค้าอยู่ในธุรกิจการท่องเที่ยว เค้าก็มองอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรที่มันจะสร้างรายได้บ้าง แล้วเค้าก็มองว่าSea Sand Sun เนี่ยทุกคนก็ขาย โรงแรมสร้างคนก็ขายแล้ว มันมีอะไรบ้างที่ตอนกลางคืนคนต้องทำ โดยที่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของการกินเหล้าเมายาอย่างเดียว เค้าก็เลยบอกว่า เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เป็นสิ่งที่ขาดในเมืองพัทยา เค้าก็เลยคิดว่ามันต้องดี”Tiffany’s show กับการต่อสู้กับอคติของผู้คนในยุคแรกของ Tiffany’s Show มีหลายครั้งที่พวกเขาต้องพบกับอุปสรรคจนเกือบจะล้มเลิก ทั้งไม่สามารถจูงใจคนให้มาซื้อตั๋วดูได้ เพราะโชว์ของหญิงข้ามเพศยังเป็นเรื่องใหม่ หรือการที่คุณพ่อของคุณจ๋าโดนเหยียดหยามจากคนในวงการท่องเที่ยวเมื่อไปเสนอขายแพ็กเกจ ซึ่งคุณจ๋า ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “สมัยก่อนพี่อ๊อดก็จะเล่าให้ฟังเสมอว่า พี่อ๊อดก็หนีจากที่บ้านมา แล้วก็มาทำโชว์ทิฟฟานี่โดยที่คุณพ่อเค้าก็เป็นทหาร แล้วในที่สุดคุณพ่อก็จับได้ แล้วก็เอาตำรวจมาจับ เพราะคิดว่ามีใครมาอ้างชื่อลูกเค้าว่าเป็นดาราใหญ่ที่นี่ ซึ่งเค้าไม่เคยรู้เลยว่าลูกเค้าเป็นดาราใหญ่ ซึ่งเค้าก็มาจับแล้วสมัยก่อน พี่อ๊อดบอกว่าการที่เราลงมาทำโชว์เนี่ยไม่ได้เงินเดือนนะ ทำด้วยใจรัก ตอนที่อยู่ที่ทิฟฟานี่บาร์ ทำแล้วทิปคือเงิน แล้วก็พอดีมีบ้านให้อยู่ มีสระว่ายน้ำ มีอะไรที่ทำให้เค้าอยู่ได้ ทำให้เค้าอยู่ด้วยความสุข พอมันดังขึ้นเรื่อย ๆ คนทุกคนก็มาสมัคร ซึ่งการมาสมัครต้องนั่งรอตากแดดกันเป็นวันๆ เพราะว่าโควต้าการที่จะรับมันน้อยมาก แล้วทุกคนต้องมาโชว์ศักยภาพแล้วก็ไม่ได้เงินนะ เค้ารอทิปอย่างเดียว เค้าก็มาแล้วก็เหมือนบอกว่ามาตายเอาดาบหน้าจ๋าเป็นคนโชคดีค่ะพี่ เราเกิดมาพร้อมกับสาวประเภทสอง หรือ LGBTQ+ คือจ๋าเห็นมาตั้งแต่ 5 ขวบ จ๋าเต้นตาม จ๋าดูแล้วจ๋าก็มีความสุข สิ่งที่เราได้ทุกวันที่เราเดินตามพ่อไปดูก็คือ คนนี้เนี่ยเค้าเก่งจังเลย คนนี้เค้าร้องเพลงนี้ เพลงนี้เราร้องได้นะ คือเค้าเป็นซุปเปอร์สตาร์มากในใจเรา แล้วเราเป็นเด็ก เราก็ชอบเต้น ชอบร้อง เราก็เห็นแล้วเราก็รู้สึกเฉย ๆ พอเราเรียนหนังสืออยู่เตรียมอุดมฯ อยู่จุฬาฯ ทุกอาทิตย์เราก็ชวนเพื่อนว่าไปดูมั้ยทิฟฟานี่ เพื่อนก็ไปดูกันเป็นกลุ่มๆ เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเพื่อนเราก็ไม่เห็นอะไรกับเราหรือจะต้องรู้สึกแปลก พวกเขารู้สึกดีด้วย มากรี๊ดด้วยกัน มาสนุกด้วยกันพอจ๋าเรียนหนังสือจบ จ๋าก็มาทำงานกับพ่อ ในตอนนั้นจ๋าโดนคนพูดถึงในลักษณะแบบขนาดที่ว่าเราทำงานกลางคืน ทำงานกับกะเทย เหมือนเราเป็นคนอีกชนชั้นวรรณะอ่ะพี่ ซึ่งเราก็แบบ เอ๊ะเราไปขายโชว์ เราก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเราจะด้อยค่า ก่อนหน้านี้ลูกน้องก็เคยมาพูดให้ฟังตลอดว่าการมีบัตรทิฟฟานี่เนี่ย เป็นใบเบิกทางทุกอย่างในชีวิตเค้า เนื่องจากว่าการที่เค้าออกไปข้างนอกเนี่ยเค้าจะไม่โดนตำรวจจับ เค้าไปไหนเค้าก็จะบอกว่าเนี่ยเค้ามีอาชีพรับเป็นหลักเป็นแหล่งนะ แต่พอถูกด้อยค่า จ๋าก็รู้สึกว่ามันแปลก แปลกในความที่ว่าขนาดเราจบปริญญาโท ก็ไม่ได้ด้อยค่าตัวเองขนาดนั้น แต่พอกลับมา จ๋าก็รู้สึกว่าเพื่อนแต่ละคนก็เข้าไปอยู่ในองค์กรเค้าก็ดูดีมากเลย แล้วเค้าก็มาด้อยค่าเราเหมือนประมาณว่าแกไปยุ่งอะไรกันนักหนากับกะเทยคือจ๋ามองว่าพ่อประสบความสำเร็จในอาชีพนี้อยู่แล้ว พอเรากลับมา เราก็คิดว่าเมื่อมันสร้างรายได้อยู่แล้ว เราจะมาทำอะไรให้กับองค์กรนี้ คือเราก็รู้สึกว่าเราเป็นหนี้กับองค์กรนี้นะ พ่อก็ชอบพูดบอกว่ากะเทยเนี่ยเต้นจนจ๋าได้เรียนหนังสือจบทุกวันนี้ ซึ่งพ่อพูดอีกก็ถูกอีก ทำให้วันแรกที่จ๋าเข้ามา จ๋าก็เลยมาทำมิสทิฟฟานี่”Miss Tiffany’s Universe เวทีประกวดเพื่อสร้างมาตรฐานให้สังคมได้เห็นคุณค่าและยอมรับสาวประเภทสองเรียกว่าเป็นเวทีประกวดที่สาวประเภทสองหลายคนใฝ่ฝัน และตั้งตารอชมการประกวดในทุกๆปี แถมยังเป็นเวทีที่ช่วยสร้างมาตรฐานให้สังคมได้เห็นคุณค่า ความงดงาม จนเกิดการยอมรับสาวประเภทสอง โดยคุณจ๋า ได้เล่าที่มาจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งเวทีนี้ให้ฟังว่า “คือจริงๆ อาจารย์เสรีมาเปิดปี 1998 ด้วยความที่ว่าทำอยู่ในโรงละครเลยเป็นผลงานที่แบบดูกันเอง แต่ปีที่จ่ามาพอดีช่วงนั้นพ่ออยากไปเรียนหนังสือต่อ พ่ออยากไปทำงานสังคม พ่อก็บอกว่าเออมาทำ จ๋าก็มานั่งนึกว่าจ๋าจะทำวิธีไหน แล้วอาจารย์เสรีก็เปิดทางมาให้ คือจ๋าก็ไม่ได้เรียนมาร์เก็ตติ้งมา แต่ว่าท่านก็สอนเรามาโดยตลอดว่าการประกวดต้องมีทุก ๆ ปีแบบนี้ค่ะ ปรากฏว่าพอเข้ามาทำเราก็บอกว่าถ้าเราจะทำดูกันเองไม่ได้ เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็น แล้วก็เข้าใจความเป็นธรรมชาติของกะเทย เพราะฉะนั้นเราจะต้องออกทีวี จ๋าก็เลยวิ่งเข้าหาทีวี ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยากให้กะเทยออกทีวี แต่ก็สู้จนได้ออก ITV ตอนนั้นต้องให้คุณพ่อช่วยพูดช่วยประสานงานเยอะมาก และ ITV เป็นทีวีเสรีและมีนโยบายชัดเจนว่าต้องให้คนทุกเพศสามารถออกมาพูดได้ จากนั้นจ๋าพยายามจะไปหลายช่องมาก ยากมากเลยผลตอบรับหลังจากได้ถ่ายทอดสดดีมาก ตอนนั้นจ๋ายังไม่ได้ทำโปรดักชั่นเลย จ๋าทำเรื่องทีวีอย่างเดียว จ๋าจับเรื่องทีวีโฆษณาอะไรพวกเนี้ย แล้วพ่อเค้าบอกว่าลองดูซิจะมีใครมาสนับสนุนมั้ย ซึ่งตั้งแต่วันแรกประตูน้ำสนับสนุนจ๋าตั้งแต่ปีแรกจนปัจจุบัน เพราะทุกคนที่อยู่ด้วย ส่วนใหญ่เค้าไม่ได้มองเรื่องแบบว่าอยากจะได้โฆษณาอะไรมากมายหรอก เค้าเห็นเรื่องความถูกต้อง เค้าก็อยู่กันมาจนปีนี้จะ 25-26 แล้วพอทำนางงาม ทุกคนจะมองว่าสวย ๆ แต่จ๋าไม่รู้ว่าใครสวยกว่าใคร แล้วสมมติเวลา 10 คนสุดท้ายแล้วต้องคัดเหลือ 3 คนสุดท้าย จะให้ใครได้ที่ 1 เป็นเรื่องยากมากสำหรับจ๋า เพราะเรามองไม่เหมือนคนอื่น เราจะมองว่าคนนี้เค้าดียังไง เค้าเก่งยังไง แล้วเวลาเราทำงานทิฟฟานี่โชว์ทุกคนก็สวย ซึ่งเราก็จะเอามาให้เหมาะกับคาแรกเตอร์ คนนี้ก็เหมาะกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นงานของจ๋ามันเป็นงาน HR ประมาณว่า เราจับคนให้ถูกเรื่อง แล้วเค้าก็จะทำงานได้ดี แล้วเราไม่ได้บอกว่าคนนี้ต้องสวยกว่าคนนี้ คนนี้ก็ต้องได้อันนี้ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของว่างานนี้มันเหมาะกับคนนี้ พอเราทำไปทำมาจ๋าก็คุยกับทีมว่า ทุกคนเราจะต้องมี content เราจะต้องมีเรื่องที่ทำให้เค้าต้องเข้าใจเรา เข้าใจว่าเราทำงานอะไร มันมีค่ายิ่งกว่าการทำให้สวยแต่นางงามก็ต้องสวย แฟชั่นก็ต้องมา เราก็ต้องเก็บรายละเอียด เพราะฉะนั้นมันก็จะมาด้วยกันในเรื่องของความสวย กับเรื่องของความเข้าใจในคุณค่าของคน จ๋าเลยทำเรียลลิตี้ และพยายามที่จะทำทุกทางค่ะ เพื่อให้คนดูไม่เบื่อแล้วคนดูก็จะได้เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่ว่ากะเทยดูกันเองจ๋าเป็นคนไม่ได้เลือก 30 คนสุดท้ายที่เราจะได้มา เราอยากจะทำให้ทั้ง 30 คนเป็นตัวแทนออกไปข้างนอก ก็คือ 30 คนเนี้ยจะอยู่จังหวัดไหนก็ตามก็ต้องเป็นตัวแทนที่ดี อยากให้เป็นตัวของตัวเอง อยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี อยู่ในวัฒนธรรมที่ถูกต้อง อยู่ในจริตที่คนทุกคนในสังคมยอมรับ มันกลายเป็นเหมือนคลาสในแต่ละปี แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราสามารถไปบอกคนอื่นได้ ว่าฉันเคยเป็น 30 คนสุดท้าย เพราะฉะนั้นมันจะมีกรอบอยู่นิด ๆ ว่าเธอต้องทำให้ดีนะในการใช้ชีวิต ในการที่จะทำอะไรซักอย่างนึง ทำให้ดีนะ เธอคือมิสทิฟฟานี่ปี 2023 แล้วนะ อะไรแบบนี้ค่ะ”Miss International Queen เวทีสร้างความเท่าเทียมที่ทั่วโลกจับตามองเมื่อได้เริ่มทำ Miss Tiffany’s Universe จนได้รับความนิยมจากคนในประเทศ คุณจ๋า ก็ไม่หยุดที่จะคิดต่อยอด และยกระดับเวทีการประกวดสาวประเภทสอง จึงได้จัดตั้งการประกวด Miss International Queen เพื่อเป็นการประกวดแบบนานาชาติขึ้น โดย คุณจ๋าได้เล่าที่มาของการจัดตั้งเวทีดังกล่าวให้ฟังว่า “คือจ๋าก็เห็นนางงามผู้หญิงก็ต้องไปมิสยูนิเวิร์ส แล้วทุกคนก็มีความฝัน ตอนนั้นว่าจะทำไงดี เราก็มองในเรื่องของธุรกิจว่าทำยังไงให้มันเป็นมาร์เก็ตติ้ง จ๋าก็เลยพาผู้ได้ตำแหน่งไปประกวดมิสควีนที่อเมริกาไป 3 ปีก็ได้ 3 ปี ชนะหมด ซึ่งสูตรสำเร็จไม่มีอะไร คือเตรียมพร้อมดีมากทุกชุด ทุกวิธีการเดิน คือแค่เราเตรียมตัวมันก็ชนะแล้ว ซึ่งเวทีเค้าก็เล็ก จ๋าก็เลยมานั่งนึกว่า แล้วทำไมเราต้องลงทุนไปต่างประเทศ ประเทศเรามีทุกอย่าง โรงละครเราก็มีจ๋าก็เลยพูดกับพ่อว่า มิสทิฟฟานี่ 30 ปี จ๋าอยากทำอะไรใหม่ ๆ จ๋าอยากทำ Miss International Queen ที่เราเป็นลิขสิทธิ์ พ่อก็เลยบอกว่าหาเรื่อง เพราะว่าจะไปหากะเทยมาจากไหน แต่จ๋าก็แบบก็ต้องทำได้ เหมือนอยากจะเอาชนะ ปรากฎว่าคางเกือบเหลือง คือไม่ได้นอนเลย ต้องอีเมล์หาเกย์คอมมูนิตี้ทั่วโลกเลยเพื่อที่จะให้เข้ามาประกวด ปรากฎว่าวันที่ทำได้พ่อก็เลยบอกว่าเออเหนื่อยเน้อะ รู้ว่าเหนื่อย เงินก็ไม่ค่อยได้นะคะ ทำไปก่อน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกว่าถ้ามันมีความเชื่อมันต้องทำได้ทำไปทำมาปีแรก ปอย ตรีชฎา ได้ ฉันก็อยากปิดโรงละครอยู่แล้ว คิดว่าปีหน้าคงไม่มีใครมาสมัครแล้ว เพราะเหมือนกับว่าประเทศเราให้กันเอง ล็อคมองอะไรอย่างเงี้ย แต่พอมาปีที่สองก็ผ่านมาได้ด้วยดี คิดว่าคนก็คงมองเห็นเหมือนกันว่าคนไหนสวย คนไหนถูกต้อง และจ๋าก็เลยไม่เคยตัดสินเอง จ๋าให้คณะกรรมการตัดสิน ปีแรกอาจารย์เสรี ให้คะแนนออกมาคนได้คือปอยนะ ใจก็พูดบอกว่า แล้วปีหน้าจะมีคนมาสมัครมั้ย อาจารย์เสรีเค้าบอกว่า ถ้าเราไม่ให้ตามคะแนนก็เหมือนเราแกล้งเด็ก เหมือนลบคำพูดตัวเองเลยนะว่าความเท่าเทียมอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นจ๋าก็เลยคิดว่างานนี้จะต้องเป็นของกรรมการ ดวงใครได้คนนั้นก็ต้องได้ เพราะถ้าให้จ๋าเลือก จ๋าก็เลือกไม่เหมือนที่ได้ที่หนึ่ง”“อั๋น ภูวนาท - จ๋า อลิสา” รักเกิดจากงานทิฟฟานี่คุณจ๋า ผูกพันกับ Tiffany’s Show มาก แม้กระทั่งความรักก็เจอจากเวทีการประกวด Miss Tiffany’s Universe โดยคุณจ๋า และ คุณอั๋น ได้เล่าเรื่องราวความรักครั้งนี้ว่า “เพื่อนจ๋าเค้าสนิทกับภูวนาท จ๋าก็บอกว่าเธอแนะนำให้หน่อยสิหาพิธีกรอยู่ ตอนนั้นจ๋าก็เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังดูละครหรืออะไร เค้าก็เลยแนะนำว่าเพื่อนเราอยู่เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เค้าเป็นพิธีกร เป็นนักร้องด้วย ตอนแรกก็จ้างไปเป็นนักร้องที่โรงแรม แล้วก็รู้ทีหลังว่าเค้าก็เป็นพิธีกรด้วย เราก็เลยชวนมาเป็นพิธีกรสมัยก่อนหายากมากเลยนะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่คือไม่อยากจะมาเวทีสาวประเภทสอง ผู้หญิงก็ด้วยนะ ผู้หญิงก็จะรู้สึกแบบไม่ถูกที่ถูกทาง บางทีเราก็เสียใจนะ แต่เราก็เสียใจไม่ได้ คือแบบเราโกรธใครไม่ได้เพราะเราอยากจะให้ทุกคนเข้าใจเรา เราก็จะต้องเข้าใจเค้าก่อน เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องพยายามปรับ Mindset แล้วก็หาคนใหม่แค่นั้นเอง เราทำงานด้านนี้มาต้องเข้าใจก่อน ให้โอกาสคนอื่นก่อน ก็คือการที่เค้าจะกลับมาหันมามองเรา และตอนนั้นเค้าก็บอกว่าเนี่ยผมมองงานคุณอยู่นะ ผมโอเคแรกๆ จ๋าไม่เคยสนใจเค้า จ๋าทำแต่งาน จ๋าก็มีความรู้สึกว่าเค้าคุยเก่ง เค้าก็เขียนไลน์มาโน่นนี่ แล้วเค้าก็ไปเจองานโน้นงานนี้ งานลูกเสือโลกของพ่อเค้าก็ไปเป็นพิธีกร เค้าก็มาเจอ อยู่ดีๆ ก็แบบเมคแบบสนิท ก็เขียนบีบีมาโน่นนี่ เราก็คุยด้วย สมัยก่อนคนรอบกายจ๋า เค้าก็มองว่าอั๋นไม่ใช่ชายแท้ ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่าเค้าจะมาจีบเราหรอก และเราก็ไม่เคยพูดกับคนอื่นว่าเค้าไม่ใช่ชายแท้ เพราะว่าเค้าไม่เคยแสดงออกให้เราเห็นว่าเค้าเป็น เราก็จะเฉย ๆ ซึ่งพอเค้าเขียนคุย เราก็คิดว่า เอ๊ะ คนเป็นเกย์มันจะเป็นอย่างงี้เหรอ อันนี้คือมันมีความที่เราอยากคุยด้วย ถ้าเป็นเกย์จริงก็มาเม้าท์กันดีกว่า”คุณอั๋น เล่าต่อว่า “แต่ว่าเราคุยเรื่องมีสาระกันมาก ไม่มีการแพลน เพราะรู้สึกว่าการจะจีบใครซักคนนึงใช้พลังเยอะมาก เพราะเราไม่ได้จีบแค่เค้านะ เราต้องจีบเพื่อนเค้าทุกคน แล้วเราไม่รู้จักพ่อแม่เค้า ไม่รู้จักเพื่อนสนิทเค้า โอ้โหเหนื่อย ทั้งหมดมันก็เริ่มแค่นั้นอ่ะครับ พอมองแล้วรู้สึกว่าชอบเลยลองคุยดู พอคุยปุ๊บมันง่ายมาก ไม่ได้หมายความว่าเค้าง่ายนะ แต่ไม่เคยต้องคิดว่าจะคุยอะไร มันไหลไปเลยอ่ะ แค่นั้น”จากคนไม่เคยอยากแต่งงาน สู่จุดที่ตัดสินใจแต่งงานเพราะเป็นคนที่ชอบทำงาน จนทำให้คุณจ๋าไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน แต่ก็มาถึงจุดที่ต้องคิดใหม่ และตัดสินใจแต่งงาน โดยคุณจ๋าเล่าให้ฟังว่า “จ๋าไม่เคยเป็นแฟนออกหน้าออกตาให้พ่อแม่เห็นเลย เพราะเราก็เกรงใจคุณพ่อ แต่แม่ก็เหมือนแอบรู้ตลอดเวลา ซึ่งแม่ได้ได้อะไร แม่ชอบแซว แต่ในความที่เรามีพ่อเป็นไอดอลของการทำงาน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้ เราจะให้พ่อเห็นเราแต่มุมทำงาน อันที่สองก็ฉันจะออกไปจากครอบครัวทิฟฟานี่ได้เหรอ มันเหมือนเรารู้สึกผูกพันมาก เพราะฉะนั้นมันจะเหมือนว่าเราทิ้งพวกเค้าไม่ได้ มันคิดเยอะ แล้วก็อีกอันจะออกจากบ้านไม่ได้ เพราะเป็นคนติดบ้าน แล้วก็รู้สึกว่าฉันจะไปอยู่กรุงเทพยังไง อยู่พัทยาเช้ามาไปทำงานเย็นกลับบ้านมากินข้าวมันมีความสุขอยู่แล้วจนชิน จนไม่อยากจะแต่งงาน แล้วทุกคนก็มองจ๋าว่าเป็นคนที่กลัวการแต่งงานอยู่แล้วอีกอันหนึ่งคือคนรอบกายที่รักเรา แล้วก็มองว่าภูวนาทเป็นเกย์ก็มาเตือน บอกว่ามันไม่ได้ ต้องไม่ใช่คนนี้ เราก็ฟังนะ แต่เราก็บอกว่าเดี๋ยวเราต้องคิดเอง คนข้างนอกพูดมันไม่เท่ากับเรารู้ เค้าก็เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายตั้ง 7-8 ปี เอาจริง ๆ คนใกล้ชิดทุกคนก็กลัว ห่วงเรากลัวว่าเราจะเสียใจ แล้วจ๋าก็บอกว่าเราดูมา 7-8 ปีอ่ะ ไม่มีใครเชื่อเราเลยจุดเปลี่ยนคืออั๋นมาเลิก เลิกไปประมาณจะปีนึง และในการที่เราเล่นโยคะทุกวัน ตอนนั้นคือเล่นไม่ได้จริง ๆ คือเรามีความรู้สึกว่าเราคิดถึงเค้า เลยคิดว่าทำไมเราต้องฟังเสียงคนอื่นแล้วเราไม่มีความสุข ทั้งหมดทั้งมวลเราไม่มีความสุขมาเป็นปี แล้วเราก็เลิกกับเค้ามาเป็นปี ทุกครั้งที่ทะเลาะกันคือเรานิสัยไม่ดี เค้าก็ไม่เคยทำนิสัยไม่ดีใส่เรา เราก็บอกว่าเออมันถึงเวลาแล้วหล่ะที่ฉันจะแต่งงานชีวิตหลังแต่งงานคือมันมีความสุข แต่คือรู้เลยว่าการที่เราโตแล้วเราจะต้องคอมมิทกับเรื่องอะไร เราต้องคอมมิทก่อนแล้วเราก็ค่อยกระโดดเข้าไปอยู่ พอเรากระโดดเข้าไปอยู่แล้วเราก็จะทำให้ดีที่สุด ตอนนี้แม้จะมีลูกสองคน จะไม่ได้นอน จะอะไรทุกอย่างก็มีความสุข ขนาดเมื่อก่อนเรานอนกันเตียงใหญ่ ๆ วันนี้เรานอนกันเบียด 4 คนยังมีความสุขเลยอั๋น เค้าเป็นยังไง เค้าเป็นอย่างงั้น เค้าไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เค้าเปิดหมดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เป็นคนเปิดเผย อยู่เฉยๆ ก็ไลฟ์เล่าเรื่องตัวเองให้คนทั้งโลกรู้ ไม่มีอะไรที่โลกนี้ไม่รู้ด้านคุณอั๋น ก็ได้พูดถึงภรรยาไว้ด้วยว่า “ในมุมอั๋น ผมมองว่าเค้าเป็นธรรมชาติในความสมบูรณ์แบบ และความไม่สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเราก็มองว่าเค้าคือคนหนึ่งคน แล้วก็มองสิ่งที่เค้าตั้งใจทำ แล้วก็ภูมิใจในตัวเค้า บางครั้งเราก็กลับบ้านไปแล้วเห้ยทำไมบ้านรก ก็นึกในใจว่าอ๋อเค้าดูแลคนอีกเป็นพันคนนะ บ้านรกแค่นี้เก็บให้เค้าก็ได้ มองทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มันเลยเข้าใจว่าเราต่างกันก็ได้ โดยที่ไม่ต้องทะเลาะกัน”มุมมองคุณจ๋าต่อ LGBTQ+ ต้อนรับ Pride Month“เรื่องที่จ๋าทำอยู่ตลอดคือเรื่องของความเท่าเทียม เรื่องของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งไปละเมิดสิทธิ์ใคร แม้กระทั่งเราจะสอนลูกเราก็จะพูดแบบนี้ เพราะฉะนั้นจ๋าคิดว่าทุกคนที่เป็น LGBTQ+ ต้องรู้ก่อนว่าสิทธิ์เราคืออะไร แล้วเราควรจะทำแค่ไหน เรามีอะไรบ้างที่เราควรจะเป็น ไม่ใช่เราไปละเมิดสิทธิ์คนอื่นนะ เอาแค่รู้สิทธิ์ตัวเองก่อน เหมือนวันนี้เราพูดเรื่องสมรสเท่าเทียมกันหลายคนก็ยังไม่มีความเข้าใจตรงนี้เลยเพราะฉะนั้นจ๋าคิดว่าเวลาเรารวมตัวกัน เรารวมตัวเรื่องความสนุกอ่ะง่าย เรื่องความรู้ที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้เราต้องไม่ลืม อย่าให้องค์กร อย่าให้นักการเมือง มาเห็นเรื่องนี้แล้วมาบอกว่าเดี๋ยวเรียกร้องให้ แต่จริง ๆ แล้วเค้าใช้ประโยชน์เรามากกว่าเราต้องรู้ตัวเรามากกว่าว่าเราต้องการอะไร แล้วเราก็ต้องช่วยกันให้สังคมนี้มันเป็นสังคมไร้เพศ คือจ๋าไม่ได้มองแค่ในเรื่องของ LGBTQ+ นะ แต่มองว่ายิ่งเราแบ่งกลุ่มมันยิ่งเยอะเหลือเกิน LGBTQ+ อะไรทุกอย่าง แต่ว่าจริง ๆ จ๋ามองแล้วทุกคนเหมือนกัน แล้วเราจะทำให้สังคมนี้มันไร้เพศ โดยที่เข้าใจซึ่งกันและกันว่ามนุษย์เป็นยังไง”“ต้องบอกว่าจ๋าโชคดี เพราะจ๋าเกิดมาจากมิสทิฟฟานี่ โชคดีที่ได้ทำงานทิฟฟานี่ มันไม่เครียดเลย มันมีแต่ความเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มันมีแต่ความสุข เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่เรารัก มันก็เหมือนกันกับที่ จ๋าก็ได้พลังงานดีๆ จากลูกน้องจ๋า ที่เค้ามาทำงาน เค้ารัก เค้าไม่ได้มาทำงานแบบรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ เหมือนเป็นพลังที่เสริมกัน” - จ๋า อลิสาติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองชีวิตของ “ครูธัญ ธัญวัจน์” ตัวแม่ผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ทุกเพศเท่ากัน

15 มิ.ย. 2023

เปิดมุมมองชีวิตของ “ครูธัญ ธัญวัจน์” ตัวแม่ผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ทุกเพศเท่ากัน

รายการ Club Pride Day ต้อนรับ Pride Month ด้วยการเฉลิมฉลองทุกความรัก และความเป็นไปได้บนโลกใบนี้ กับแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่เป็นตัวแม่ผู้อยู่เบื้องหลัง และคอยผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายที่จะทำให้คนทุกเพศเท่ากันความประทับใจเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก๊อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ “ครูธัญ - ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์” จากอดีตผู้ออกแบบท่าเต้นเพลงแดนซ์ชื่อดัง “จีนี่จ๋า” ของวง “2002 ราตรี” ก้าวสู่การทำหน้าที่ ส.ส. ที่ต่อสู้และผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีหลากหลายเหตุการณ์ หลากหลายมุมมอง ที่ครูธัญ ได้นำมาแชร์ในรายการความชอบ ความฝัน ที่ฉันต้องซ่อนไว้เฮฮัลเล ฮัลเลวังกา เฮฮัลเล ฮัลเลวังกา จีนี่จ๊ะ จีนี่จ๋า ออกมา...เชื่อว่านี่คือเพลงที่หลายคนรู้จัก และมักจะเต้นตามเมื่อได้ยิน ด้วยดนตรีสุดจี๊ดจ๊าด มาพร้อมท่าเต้นที่เป็นภาพจำ ที่คนสามารถเต้นตามได้ ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นเพลงแดนซ์ยอดนิยมเพลงนี้ ครูธัญ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ทำหน้าที่ออกแบบท่าเต้นให้กับเพลงจีนี่จ๋า ของวง 2002 ราตรีโดยครูธัญ ได้เผยจุดเริ่มต้นของความชื่นชอบ ที่ถูกต่อยอดกลายเป็นความฝัน ของการทำอาชีพผู้ออกแบบท่าเต้นให้ฟังว่า “เมื่อก่อนแอบไปเรียนเต้น เพราะว่าตอนนั้นเราไปเรียนดนตรีที่สยามกลการ พอได้เห็นห้องเต้น เราก็เลยลองเข้าไปเต้นดู ซึ่งพอนับจังหวะ five , six , seven แล้วครูก็บอกว่าเธอพร้อม เธอเต้นได้ แล้วครูก็แนะนำให้ไปเรียนบัลเล่ต์ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็รู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ว่าในยุคนั้นเราต้องแอบซ่อน เราก็อยากเรียนบัลเลต์ แต่มันเป็นสิ่งที่เราไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ก็เลยแอบไปเรียน จนกระทั่งเข้าตาหลาย ๆ ท่าน เค้าก็เลยชวนกันมาเต้น แล้วก็เลยเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นนี่แหล่ะค่ะ”เริ่มค้นพบว่าตัวเองเป็น LGBTQ+ในยุคหนึ่งที่ LGBTQ+ ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคมมากเท่ากับปัจจุบัน ครูธัญ ก็ผ่านการค้นหาและการพิสูจน์ตัวเองต่อครอบครัว และสังคมภายนอก พร้อมกับเจอแรงกดดันในเรื่องของการแสดงออกทางเพศสภาพด้วยเหมือนกัน ซึ่งครูธัญ ได้แชร์เรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “ธัญ เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่รู้ แต่ในเมื่อเราไม่พูด เค้าก็ไม่ถาม ธัญ ไม่รู้ว่าคุณแม่มอง ธัญ เป็นยังไง แต่ตอนเด็ก ๆ ธัญ รู้สึกว่าตัวเองอยากเล่นกับพี่สาว แต่ถ้าจะเล่นกับพี่ชาย พี่ชายก็ต้องเล่นเป็น แบทแมน ซุปเปอร์แมน ส่วนเราก็จะเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ เวลา ธัญ จะสนิทกับใคร ธัญ จะเห็นความต่าง อย่างเช่นเวลาไปบ้านเพื่อน ก็จะเห็นว่ามีเพื่อนบางคนไม่อยากให้เราไปบ้าน เพราะว่าเค้ากลัวพ่อแม่รู้ว่าเราเป็นกะเทย มันทำให้เรารู้สึกไม่เป็นตัวเองเต็มที่จากสิ่งรอบข้าง ในยุคนี้อาจจะนึกไม่ออก แต่ในยุคก่อนเราจะมีคำว่า “แอบจิต” คือเรารู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ภายนอกก็จะต้องแสดงออกเป็นแนวแมน ๆ มันเป็นยุคที่พยายามซ่อนตัวตน ยุคที่เพื่อนเราไม่สามารถจะเล่นกับเราได้อย่างเต็มที่ ยุคที่เราอยากจะเป็นอะไรก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนเป็นในตอนที่อยู่ในวงการเต้น ตอนนั้นเรารู้สึกว่าพอเราเต้นแล้วได้เงิน เราก็คิดว่าเกิดการยอมรับแล้ว แต่พอเราเต้นไปสักพักนึง คนก็จะมองเราว่าตัวเล็ก รูปร่างไม่เป็นผู้ชาย แดนเซอร์ยุคนั้น ผู้ชายแบบจะต้องมีกล้ามหน่อย แล้วธัญก็เป็นคนตัวแกร็น ๆ เล็ก ๆ คนก็คิดว่าตกลงแล้วเราเป็นหญิงหรือเป็นชายกันแน่ แล้วสมัยก่อนจะมาไม่มีการเต้นแบบ Vogue แบบผู้ชายเต้นออกกะเทยแบบนั้นจะไม่มีเลย ก็จะต้องเต้นเป็นผู้ชาย แล้วเวลาเราเต้นคนดูก็จะกรี๊ดคิดว่าเราเป็นผู้ชาย พอเราลงเวทีพวกเค้าจะตามมา ซึ่งเราเป็นกะเทย เราก็จะรู้สึกอึดอัดนิดนึง คิดว่าเราจะเอายังไงดี เหมือนว่าเราต้องเก๊กแมนทำงาน”จุดเปลี่ยนจาก วงการบันเทิง สู่ นักการเมืองแม้จะอยู่ในวงการบันเทิง แต่ ครูธัญ ก็จะมีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสิ่งที่จุดประกายอีกหนึ่งความฝันที่อยากจะเป็นนักการเมือง โดยครูธัญ ได้เผยเรื่องราวนี้ว่า “พอธัญเติบโตมาการศึกษาในประเทศไทย และสังคมโดยรวม มันก็หล่อหลอมให้เราคิดแบบที่เป็นอนุรักษ์นิยม จริง ๆ แล้วคำถามการเมืองของธัญมันดังขึ้นมาตั้งแต่เด็ก คือ ธัญ ทำงานกลางคืนตั้งแต่อายุ 18 -19 นะคะ แล้วเวลาขับรถกลับบ้านเราเห็นเหตุการณ์ของพฤษภาทมิฬปี 2535 เราก็เกิดการตั้งคำถามว่า ทำไมสื่อมวลชนถึงนำเสนอภาพอีกแบบหนึ่ง แล้วคำถามมันดังมาก ๆ ตอนรัฐประหารปี 2549 ที่มีคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมเราต้องทำร้ายกัน ดูเป็นคำถามเด็ก ๆ ง่าย ๆ แล้วช่วงนั้นมันก็เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนให้เราสนใจกลับไปศึกษาเรื่อง 6 ตุลา ซึ่งเราก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ จริง ๆ แล้วในระหว่างอำนาจรัฐกับการคิดต่าง มันจำเป็นต้องกำจัดโดยวิธีใดวิธีหนึ่งทำไม ธัญ ถึงใส่ใจเรื่องของสังคม เพราะว่าพอเราศึกษาเรื่องของ 6 ตุลา ทำให้เราเหมือนตื่นรู้ทุกวันเลย เราเห็นศิลปินหญิงที่ทำทุกอย่างมากมาย ทุ่มเท ตีลังกา ร้องเสียงสูง แต่งตัว ลดน้ำหนัก ทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่ดังเท่ากับผู้ชาย เราเห็นความไม่เท่าเทียมทุกอย่างของสังคม เห็นรองเท้าส้นสูงที่กดขี่ผู้หญิง เห็นรายการโทรทัศน์ที่ตบจูบ และเห็นคนนั่งเฝ้ารอพระเอกข่มขืนนางเอกด้วยความตื่นเต้น และอยากให้โดนข่มขืน พอเห็นความไม่เท่าเทียมเหล่านี้มันเลยสะสม จนทำให้เราตัดสินใจมาเดินสายการเมือง”ทำไมถึงต้อง #สมรสเท่าเทียม“สมรสเท่าเทียม” เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อสนับสนุนสิทธิความเท่าเทียมทางเพศของกลุ่ม LGBTQ+ ที่ถูกพูดถึงและเป็นที่ถกเถียงจนเกิดแฮชแท็ก #สมรสเท่าเทียม ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนโซเชียลมีเดียหลายครั้ง นำไปสู่การลงชื่อเรียกร้องให้มีการร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เพื่อผลักดันเป็นกฎหมายต่อไป โดย ครูธัญ ได้อธิบายเรื่องราวของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ให้ฟังว่า “เพราะในปัจจุบันสมรสมันยังไม่เท่าเทียม อย่างพี่อ้อยสมรสแล้ว พี่อ้อยจะรู้ว่ามีสิทธิ์ ทั้งสิทธิที่จะดูแลกัน สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน มีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งจัดการทรัพย์สิน หรือแม้แต่รับบุตรบุญธรรม แต่ว่า LGBTQ+ ไม่มีมันเหมือนเวลาที่เรารักกับใครซักคน แล้วมันเป็นแค่ความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่มีสถานะ วันหนึ่งเค้าไปมีใครก็ได้ เพราะว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน ซึ่งสมรสเท่าเทียมจะเป็นจุดให้ LGBTQ+ มีครรลองในการดำเนินชีวิตในเรื่องสมรสเท่าเทียม ธัญคิดว่ามันไม่ใช่แค่ตัวธัญที่อึดอัด แต่ LGBTQ+ ทุกคนมีส่วนในการขับเคลื่อน เพราะทุกคนมีประสบการณ์ร่วมว่า ความรักของพวกเราเป็นไปไม่ได้ เมื่อทุกคนมีประสบการณ์ร่วม เวลาที่เรามาทำงานการเมือง เราก็จะเห็นกลุ่ม NGO กลุ่มที่พยายามขับเคลื่อนความเท่าเทียมว่ามันมีประเด็นร่วม ทุกคนมีประสบการณ์ ซึ่งสมรสเท่าเทียม ธัญต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ LGBTQ+ ทุกคนมีอยู่ในใจว่า ความรักฉันไม่เคยเป็นไปได้เสียทีโดยกฎหมายจะให้สิทธิเราเหมือนคู่สมรสเลย โดยเราเปลี่ยนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 จาก ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล เพื่อให้ทุกเพศสามารถสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง เพราะฉะนั้นกฎหมายลูกอีก 127 ฉบับ ก็จะให้สิทธิ์ทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอภิบาลดูแลกันในฐานะคู่สมรส สวัสดิการราชการในฐานะคู่สมรส การหักลดหย่อนภาษีในฐานะคู่สมรส การใช้นามสกุลในฐานะคู่สมรส การรับบุตรอุปการะในฐานะคู่สมรส การจัดการทรัพย์สินในฐานะคู่สมรส การฟ้องคดีอาญาหรือแพ่งแทนคู่สมรส การจัดการงานศพในฐานะคู่สมรสโดยสมรสเท่าเทียม มันผ่านวาระ 1 แล้วนะคะ แล้วก็เสร็จในคณะกรรมาธิการ แล้วก็บรรจุ กำลังจะเข้าสู่วาระ 2 ซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองคือติดที่ พรบ.กัญชา กัญชง คือเหมือนกับว่า พรบ.กัญชา กัญชง ก็จะมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและไม่อยากให้ผ่าน เค้าก็จึงอภิปรายกันยาวแบบทีละมาตรา มันเลยทำให้สมรสเท่าเทียมที่ต่อคิวอยู่มันเข้าไม่ได้ มันต่อคิวอยู่สมมติมีการเปิดประชุมสภา เราก็จะยืนยันกฎหมายสมรสเท่าเทียม แล้วก็ดันเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 เลย ไม่ต้องไปเริ่มใหม่ ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็น รอบรรจุวาระต่อเลย ซึ่งต้องยอมรับว่ามีทุกพรรค ฝ่ายกฤษฎีกา หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันออกมาทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด”เมื่อ ‘คู่ชีวิต’ ไม่เท่ากับ ‘สมรสเท่าเทียม’ในขณะที่มีการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก็จะมีอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงควบคู่กัน คือ พ.ร.บ.คู่ชีวิต แม้จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ โดย ครูธัญ ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า “คำว่าสมรสในกฎหมาย มันเป็นคำเดิมซึ่งเข้าใจอยู่แล้ว โดยภาษาอังกฤษก็ Married เพราะฉะนั้นเวลาที่มีกฎหมายประมวลแพ่งพาณิชย์ และผู้ถือคู่สมรส และกฎหมายอีก 127 ฉบับที่พูดถึงสิทธิ์ของคู่สมรส เมื่อเราเปลี่ยนแค่ ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล ทั้งหมดมันจะเชื่อมกันแต่คำว่าคู่ชีวิตมันเป็นคำใหม่ ซึ่งพอคุณจดคุณก็ไปอยู่ใน พรบ.นั้นเฉยๆ นั่นหมายถึงว่า สิทธิ สวัสดิการต่างๆ เราก็ต้องไปแก้เพิ่ม ถ้าพูดกันง่าย ๆ คือว่าคู่ชีวิตมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ตรงเหตุ สมรสเท่าเทียมคือแก้ปัญตรงเหตุ แต่นอกเหนือจากความเท่าเทียมแล้วมันคือศักดิ์ศรี คำถามคือว่า ในเมื่อสถานะกฎหมายคือคู่สมรส แล้วทำไมเราต้องใช้คำว่าคู่ชีวิตถ้าเปรียบทั้งคู่เป็นการแสดงคอนเสิร์ต สมรสเท่าเทียมก็เหมือนโชว์แบบเต็มซีน แดนเซอร์มาครบ นักร้องร้องเต็มเสียง ดนตรีมาครบ ไฟอลัง แต่คู่ชีวิตก็จะเหมือนแดนเซอร์ป่วยไป 7 คน แพทเทิร์นหาย ไฟดับ คือมันไม่สมบูรณ์ ซึ่งทุกคนน่าจะเห็นภาพ”มุมมองการยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียมในสังคมปัจจุบันมีมุมมองของ ครูธัญ ที่ได้แบ่งปันเกี่ยวกับการยอมรับกลุ่มบุคคลที่เป็น LGBTQ+ ของสังคมในปัจจุบัน โดย ครูธัญ มองว่า “ในปัจจุบันมีการยอมรับมากขึ้นนะคะ ทั้งในสื่อ หรือว่าในแวดวงต่าง ๆ แต่ธัญมองว่า มันเป็นการยอมรับแบบมีเงื่อนไข ซึ่ง ธัญ กำลังจะบอกว่า มันมีคำหนึ่งที่เก่าคร่ำครึมาก ๆ ก็คือ เป็นเพศอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดี มันฟังดูดีนะ แต่จริง ๆ มันเป็นคำที่บดบังความหลากหลายทางเพศ คือเราควรจะรู้จักว่าเราคือใคร เราเพศอะไรเพื่อที่จะยอมรับกัน ไม่ใช่ยอมรับความดี เพราะเราทุกคนเป็นดีอยู่แล้ว แต่อย่าง น้องก๊อตจิ คือผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีประสบการณ์แบบนี้ เป็นดีเจ มีความเก่งกาจ ซึ่งฉันควรจะรู้จักความเป็นตัวเธอ ไม่ใช่บอกว่า ก๊อตจิ เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ขอให้เป็นคนดี มันคือการบังความหลากหลาย คือคำว่าความดี เราต้องคิดว่ามันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันไม่จำเป็นต้องพูดกันว่าเป็นคนดี เพราะเราทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้วณ วันนี้ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเลยนะคะ ตอนที่จัดงาน Pride ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับบางคน เค้าบอกว่าประเทศไทยเนี่ยสวนทาง คือสังคมดูเหมือนจะยอมรับมากกว่ากฎหมาย นั่นคือกฎหมายมาช้ากว่าการยอมรับ ในสังคมมันจะมีความกลัวกะเทย ซึ่งมันเกิดจากความไม่รู้ และมันเกิดจากการที่มีการสะสมจากการสอนในโรงเรียนว่า กลุ่มคนพวกนี้คือเบี่ยงเบน พวกนี้คือคนที่ทำบาปกรรมมาในสมัยก่อนเลยต้องมาชดใช้กรรม คนแบบนี้จะมาสร้างความแบบวุ่นวาย มันจะมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น ทำให้กลุ่ม transgender จะเป็นกลุ่มที่ ธัญ เห็นว่ามีพี่บางคนเรียนสูงมาก เก่งมาก แต่หางานทำไม่ได้ จนเค้าต้องบินไปต่างประเทศเพื่อทำงานที่ไม่อยากทำ บางทีมันมีความเหลื่อมล้ำอยู่ค่ะอย่างเช่นนโยบายรัฐ เราก็มองว่าทำไมถึงต้องมี Lady Park ซึ่งเราก็มองว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะซื้อของเยอะกว่าผู้ชาย ผู้หญิงส่วนใหญ่จะซื้อของเพื่อสามีและลูก เพราะฉะนั้นเธอต้องจอดในที่ ๆ รวดเร็ว และใกล้ จากนโยบายรัฐทำให้แต่ละเพศมีความไม่เท่ากัน มันเป็นด้วยพฤติกรรม แต่เรามองว่า รัฐต้องออกแบบนโยบายที่จะทำอย่างไร ให้ผู้หญิงเท่ากับผู้ชายได้มากที่สุดอย่างเรื่องห้องน้ำ ก็ควรทำให้ห้องน้ำนั้นปลอดภัย และอินคลูซีฟทุกเพศ แต่ก็ต้องมองต่อว่า ถ้ากรณีใช้สถานที่แออัดห้องน้ำผู้หญิงต้องใหญ่กว่า อย่างห้องน้ำสนามบิน รถทัวร์ ห้องน้ำผู้หญิงต้องใหญ่กว่าผู้ชายถึงจะเท่าเทียม มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง และไม่มีคำตอบตายตัว แต่ว่าเรื่องเพศมันต้องมีมุมมองเพศว่าถ้าเราทำแบบนี้ผู้หญิงจะเหลื่อมล้ำ ทำแบบนี้กลุ่ม LGBTQ+ จะรู้สึกถูกกันออกในบางสถานที่ เพราะฉะนั้นในทุกโครงสร้าง ถ้ามีการคำนึงถึงทุกเพศมันจะเกิดความเท่าเทียม”เปิดหัวใจส่องความรักของ ครูธัญเมื่อเป็นผู้ผลักดันกฎหมายการสมรส กฎหมายที่ทำให้ทุกเพศสามารถรักกันได้อย่างเท่าเทียม ในรายการ ครูธัญ ยังได้แชร์เรื่องราวความรักเผยสถานะหัวใจให้ฟังว่า “วันนี้ ธัญ โตจนอายุขนาดนี้แล้ว ธัญยังไม่กล้าบอกเลยว่าตัวเองมีความรัก เพราะธัญยังนิยามความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้ และเวลาที่เค้าเดินจากไป เค้าก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย เพราะเค้ามองว่าฉันกับเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว เพราะความสัมพันธ์ของเรามันไม่มีนิยามที่สังคมรองรับธัญมีความรัก ความรู้สึกดี ๆ แบบนี้กับผู้ชายไม่ถึง 5 คน จนมาถึงช่วงที่ ธัญ อายุ 25 ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันเหมือนดับไฟตัวเองตั้งแต่ต้นเลย คือพอเราเริ่มรู้สึกดี กำลังจะดอกไม้บาน เราชิงหุบก่อนเลย มันเป็นอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นตอนนี้ถามว่าความรักของ ธัญ เป็นยังไง ก็ต้องตอบว่า ธัญ มีช่วงดี ๆ กับใครบางคน แต่ ธัญ ก็ไม่อาจเอื้อมที่จะบอกว่ามันคือความรักซึ่งคนรอบตัว ณ ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอดีต เราก็เห็นมีพี่บางคน ที่อยู่กันยาว มีบางคู่อยู่กันตั้งแต่เรายังเด็ก จนวันนี้เค้าก็ยังอยู่ด้วยกันก็มี ซึ่งคนที่อยู่ด้วยกันยืดขนาดนี้ แปลว่าเค้าต้องมีอะไรบางอย่างที่อยู่ด้วยกันได้จริง ๆ และเราทุกคนควรที่จะมีความสัมพันธ์อย่างนั้นได้ แต่มันกลับไม่เกิดกับเรา”LGBTQ+ เราคือธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์มีมุมมองในเรื่องของ Pride Month ที่ครูธัญ ได้แบ่งปัน พร้อมอธิบายให้ฟังว่า “Pride Month มันเป็นเดือนที่รำลึกการต่อสู้นะคะ ธัญจะขอเล่าย่อ ๆ ว่า ในช่วงปี 1969 ที่อเมริกา มันเป็นจุดเปลี่ยนของกลุ่ม LGBTQ ที่ถูกรังแก และรังควานจากเจ้าหน้าที่ มันเปลี่ยนจากจุดที่แพ้ที่สุดเป็นลุกขึ้นสู้ และหลังจากนั้นก็มีกระบวนการเดือนมิถุนายนขึ้นมาซึ่ง LGBTQ+ ในประเทศไทยก็มีประสบการณ์ที่ไม่ต่างจากต่างประเทศ เพราะเราคือคนที่ถูกโลกเกลียดชัง ที่เชียงใหม่ ในปี 2552 ก็มี ตอนนั้นเค้าใช้คำว่าเกย์พาเหรด พอจะมีการจัดขบวนเกย์พาเหรด ก็มีอีกกลุ่มนึงมาปิดล้อม มองว่าเดินไม่ได้นะถ้าแต่งตัวแบบนี้ เสียวัฒนธรรมเชียงใหม่ทำให้ดูไม่ดี เพราะฉะนั้นเดือนมิถุนายนมันช่วยให้รำลึกว่าโลกเรายังมีความเกลียดชังอยู่ โลกเรายังมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเดือนมิถุนายน มันสำคัญกับการที่เราจะบอกว่า เราคือธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์คือ ธัญ จะต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพว่าท่านคะ ถ้าลูกท่านเป็น LGBTQ+ ลูกท่านเป็นตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ก่อนเค้าพูดแล้ว จงอย่าไปว่าเค้า มันไม่ได้เป็นความผิดที่คุณพ่อคุณแม่ เพราะลูกคุณเป็นแบบนั้น และนั่นคือตัวตนของเค้า อยากให้คุณพ่อคุณแม่มองว่าเค้าคือธรรมชาติค่ะ อย่าง ธัญ เป็นกะเทยยืนอยู่ตรงนี้ ธัญเป็นธรรมชาติ ธัญเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมีลมหายใจธัญไม่เข้าใจว่าเราจะผลิตยานอวกาศไปดาวอังคารทำไม เพื่อไปยอมรับหินบนดาวอังคาร แล้วก็บอกกับโลกนี้ว่านี่คือชัยชนะของชาวโลก นี่คือวิทยาศาสตร์ของดาวอังคาร ทั้ง ๆ ที่คนที่ยืนหายใจรดต้นคอข้าง ๆ ท่าน ที่เป็นเพื่อนท่าน ท่านกลับมองว่าเค้าผิดธรรมชาติไม่มีใครผิดปกติ แล้วเราก็เราเป็นเราจริง ๆ มันเหมือนเพลง I am what I am มันเป็นเพลงเก่า แต่เวลาที่เราเติบโตขึ้น I am what I am ความหมายมันจะเปลี่ยนไปเสมอว่าเราเป็นเราจริง ๆ”“ในฐานะผู้แทนราษฎร ธัญก็จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ธัญจะทำงานอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ความตรงไปตรงมานั่นแหล่ะ ที่ ธัญ คิดว่ามันเป็นคีย์สำคัญที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงประเทศไทยค่ะ” - ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

04 มี.ค. 2025

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

“โรสว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราถูกทำร้ายอยู่ทุกวัน คือการนึกถึงอดีต อยากให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญเสียงเพราะมีเสน่ห์ “โรส ศิรินทิพย์” เจ้าของเพลงรักที่โด่งดัง เช่น มากกว่ารัก ก้อนหินก้อนนั้น เกิดมาแค่รักกัน ฟ้าเปลี่ยนสี อย่าเปลี่ยนไป ซึ่งเธอไม่ได้มีดีแค่ด้านการร้องเพลง แต่ยังมีความสามรถในการเล่นกีต้าร์และเปียโนอีกด้วย พร้อมมีรางวัลการันตีมาหลายเวที และผลงานเพลงคุณภาพที่กลายเป็นที่จดจำ และเป็นพลังใจให้กับแฟนคลับมากมาย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการโรส ชื่อนี้มีที่มา“ตอนแรกแม่จะตั้งว่า Ruth (รูท) เพราะว่าพ่อแม่เป็นคริสเตียนอยู่ในโบสถ์ แล้วจะมีชื่อในคัมภีร์ อย่างพี่ชายโรสก็ชื่อ เดวิด มาจากกษัตริย์เดวิด แม่ก็อยากจะให้เราชื่อรูท แต่เหมือนคุณแม่มีเพื่อนชื่อรูทเยอะ เลยตั้งชื่อว่า โรส ก็แล้วกันลูกจะได้สวย ก็เลยออกมาเป็นโรส แล้วโรสก็ไม่ชอบชื่อตัวเองเลยตอนเด็ก ๆ เพราะว่าโรสเป็นคนที่ออกเสียงชัด เพราะฉะนั้นมันเป็น ร.เรือ มันเป็น ส.เสือ เราจะต้องออกว่าโรสทุกครั้ง แล้วรู้สึกว่าพอแนะนำตัว ชื่อโรส มันขัดกับลุค เราไม่ชอบเลย จนกระทั่งจบ ม.3 จะต้องไปเรียนต่อ ม.4 แล้วก่อนที่จะไปเข้าโรงเรียนใหม่ เราได้ไปเข้าค่ายที่หนึ่ง แล้วคนทั้งค่ายไม่มีใครรู้จักกัน ทุกคนต้องแนะนำตัวกันใหม่ 200 คน เราก็เลยคิดว่าชื่ออะไรดี ใช้ชื่อ โอ๊ต แล้วกัน แล้วก็เข้าโรงเรียนไปด้วยชื่อโอ๊ต พอจบ ม.ปลาย ก็เป็นนักร้อง เราก็ยังได้ยินเพื่อน ๆ หรือว่ารุ่นน้อง ยังเถียงกันว่า คนนี้ไงรุ่นพี่ที่เป็นนักร้อง เค้าชื่อโรส ไม่ใช่เค้าชื่อโอ๊ต เธออย่ามาเถียงฉัน ก็ต้องขอโทษที่สร้างความแตกแยกด้วยนะคะ ชื่อจริง ๆ ชื่อโรสค่ะ แต่ชื่อโอ๊ตก็ได้ เรียกได้ทั้งคู่ค่ะ”โรส ตัวตน และการยอมรับจากคนในครอบครัว“จริง ๆ เวลาอยู่บ้านก็เป็นตัวโรสเลยค่ะ ไม่ได้มีการต้องใส่กระโปรง คือเราก็เป็นแค่ตัวเราที่ผมยาวแค่นั้น บุคลิกเราก็ยังเป็นแบบนี้แหละ ขี้เล่น พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีอะไรที่ฝืนค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ โรสคิดว่าเค้าก็รู้มาตลอด ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นยังไง เพียงแต่ว่ามันอาจจะพูดไม่ได้ความเป็นผู้ใหญ่ บางคนเค้าก็รู้สึกว่าไม่พูดดีกว่า ต่อให้รู้ก็เงียบ ๆ ไว้ดีกว่าการเปิดใจ ก็เคยได้คุยกับคุณแม่ พอเราโตมาประมาณนึง เราก็จะคิดว่ายังไงเราก็คงต้องแต่งงาน ก็คงต้องมีครอบครัว เพราะว่าโลกมันเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาประมาณหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราเคยพยายามที่จะคุยกับผู้ชาย แต่พอคุยไปมันก็ไม่ใช่ เราก็เลยคุยกับคุณแม่ ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโต เค้าก็จะบอกว่าไม่ได้นะ มันไม่โอเคหรอก เพราะว่าเราจะต้องมีครอบครัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่เค้าก็ได้รับสาย คล้าย ๆ กับฮอทไลน์ ที่ต้องคุยปรึกษาปัญหา แล้วเค้าก็จะได้รับหลาย ๆ สายที่จะโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้าง ปัญหาครอบครัวบ้าง ปัญหางานบ้าง แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แล้วก็เลยได้คุยกัน แล้วเค้าก็บอกเราว่า แม่ก็เริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามันก็มีหลายสายที่โทรเข้ามา แล้วก็มีบางสายที่เป็นลูกที่แม่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นผู้หญิงได้ไหม ทีนี้พอคุณแม่อยู่ตรงกลาง เค้าก็เลยเริ่มได้มองเห็นมุมที่ทั้งคู่มาบรรจบกันว่า ไม่ได้มีใครที่เลือกที่จะเป็นแบบนี้ เหมือนกับที่เราเลือกไม่ได้ว่า เราจะเกิดเป็นผู้หญิงหรือเกิดมาเป็นผู้ชาย โรสก็เลยได้คุยกับคุณแม่ และบอกเค้าตรง ๆ ว่า ก็รู้ว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่โอเค แต่ว่าถ้าโรสไม่ได้คุยกับแม่แบบนี้ เราก็อาจจะไม่ได้คุยกันเลย โรสก็อาจจะไม่มีวันที่จะได้คุยเรื่องไหนกับเค้าอย่างจริงใจ พอได้คุยกันจริง ๆ เวลามีอะไรเราก็สามารถที่จะคุยกับเค้าได้มากขึ้น เหมือนกำแพงที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้ว”โรส ศิรินทิพย์ กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“ตอนนั้น ม.5 ค่ะ เป็นครั้งแรกที่โรสเดินเข้าตึกซีมิค เพราะว่า พี่ฟั่น เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่แกรนด์ แล้วเราอยู่โบสถ์เดียวกัน แล้วเค้าก็แนะนำโรสให้กับโปรดิวเซอร์คนอื่น ๆ ว่าน้องคนนี้ร้องเพลงเพราะ โรสก็เลยได้ไปอัดเสียง แล้วพี่ปั่นก็เอาไปส่งให้พี่ ๆ โปรดิวเซอร์ฟัง หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเข้าไปตอน ม.5 ค่ะโรสคิดว่าความพิเศษที่ทำให้คนในโบสถ์ร้องเพลงได้ เป็นเพราะว่าอย่างโรสเองเกิดมาก็เป็นคริสต์เลย ไม่เคยเป็นศาสนาอื่น แล้วก็การอยู่ในโบสถ์มันจะมีช่วงที่ต้องนมัสการ คือเป็นช่วงที่ต้องร้องเพลง เราก็เลยโตมากับเสียงเพลง ทุกวันอาทิตย์เราต้องโดนบังคับให้ได้ร้องเพลงเพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนซึมซับเข้าไปในโสตประสาทของเรา เราต้องร้องเพลงได้ แล้วก็เล่นดนตรีได้ เพื่อที่จะสามารถเล่นดนตรีในโบสถ์ได้จริง ๆ นักร้องมันคือ ฝันที่ไม่กล้าฝันของโรสค่ะ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ จนมาถึงโต โรสเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดี และตอนเด็ก ๆ เราจะมีตัวอย่างให้เห็นว่านักร้องตอนนั้น พี่ทัช ทาทา พี่มาช่า แต่ละคนเค้าหน้าตาดีกันหมดเลย เราก็เลยคิดว่าตัวเองอยากทำอะไรในวงการเพลง แต่คงไม่ถึงกับเป็นนักร้อง อาจจะเป็นแค่นักดนตรี หรืออะไรก็ได้ แต่ถามว่าชอบร้องเพลงไหม เราชอบมาก ชอบฟังเพลงแล้วก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่บนเวที แต่ว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เลยคือ การร้องเพลงต่อหน้าคนพอช่วงเรียนมัธยม ตอนนั้นเล่นดนตรีแล้วร้องเพลงกับเพื่อน แล้วเพื่อนบอกว่าเสียงดีนี่นา ไปเป็นนักร้องไหม เราก็เลยลองไปสมัครประกวดร้องเพลง จำได้เลยครั้งแรกที่ไปประกวดแล้วดีใจมากที่ได้เข้ารอบ คือโครงการของพี่แอมดา ตอนนั้นประกวดเพลงเพื่อเธอตลอดไป แล้วเราจำได้ว่าติด 12 คนสุดท้าย ซึ่งดีใจมากเพราะว่า 12 คนนี้ ตอนที่เค้าเรียกเข้าไปที่สตูดิโอ ตอนนั้นมีผู้หญิงแค่ 2 คน แล้วโรส เด็กที่สุด เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนมัธยม แล้วอีกคนที่เป็นผู้หญิง ดูแล้วเค้าต้องเป็นนักร้องกลางคืนที่ช่ำชอง แล้วทุกคนดูเก่งมาก ตอนที่นั่งซ้อมก่อนเข้าอัดรายการ เราก็ร้องแล้วก็ฟังเสียงคนอื่น ก็แอบคิดว่าเราสู้ได้ พอเข้าห้องอัด เจอกรรมการ กลายเป็นว่าเราลืมทุกอย่างเลย เพราะเป็นคนที่ไม่มั่นใจ แล้วพอเห็นคนจ้องมองเรา มีคนตัดสินเราว่าจะต้องหักคะแนนตรงนี้ตรงนั้น แบบนั้นเราจะทำไม่ได้เลยวันนั้นก็ตกรอบเลยค่ะ เพราะร้องแล้วลืมเนื้อ แล้ววันนั้นมันก็ทำให้ความมั่นใจดิ่งลงข้างล่างอีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายพอพี่ฟั่นเรียกเข้ามาที่แกรมมี่ แล้วก็พี่ ๆ ก็ตกลงจะให้เป็นศิลปิน เราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้ละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันน่าจะไม่รอด ก็เลยเริ่มไปร้องเพลงกลางคืน เริ่มสมัครไปร้องเพลงตามร้านอาหาร เพราะเราเล่นกีต้าร์ได้อยู่แล้ว ก็ไปหัดเพื่อที่จะได้ร้องเพลงต่อหน้าคนได้ จนเรารู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองทำได้ เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่มาดูเฉย ๆ แบบคนที่นั่งตามร้านอาหาร เราจะทำได้ แต่ถ้าต้องประกวด หรือมีกรรมการมาจับจ้อง แบบว่าหักคะแนนตรงนี้ เสียงปลิ้นตรงนี้ อะไรแบบนี้โรสทำไม่ได้”เพลงสร้างชื่อ ของ โรส ศิรินทิพย์“จริง ๆ เพลงสร้างชื่อของโรส คือ เพลงก้อนหินห้อนนั้น แต่ไม่ใช่เพลงแรกนะคะ เพราะเพลงแรกชื่อเพลง TOMORROW อยู่ในอัลบั้มรวม ซึ่งตอนแรกอัลบั้มโรสใช้เวลาทำ 4 ปี ซึ่งพอไปฟังประวัติ พี่โบ สุนิตา พี่เค้าใช้เวลาทำ 2 ปี ซึ่งนานมาก ก็เลยมาคุยกับพี่ ๆ ทีหลังว่าทำไมในการทำอัลบั้มถึงนาน ก็ได้รู้เพราะเค้ากลัวว่า ถ้าเราออกอัลบั้มไปโดยที่เราไม่ได้มีนามสกุล หรือเหมือนมีอะไรติดท้าย มันจะกลายเป็นว่า ออกมาได้ยังไง ดังนั้นเค้าก็เลยลองให้โรสไปร้องคอรัสบ้าง หรือว่าให้ออกอัลบั้มที่รวมศิลปินใหม่ ตอนนั้นเป็น จีราฟ เรคคอร์ด โดย พี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล เป็นคนดูแล เป็นอัลบั้มที่เอาศิลปินใหม่มารวม ๆ กัน แล้วเพลง TOMORROW เป็นเพลงที่พี่ฉายเขียน ตอนที่อยู่อเมริกา แล้วเค้าก็เลยบอกว่าให้โรสร้องดีกว่า เพราะว่าตอนที่ออดิชั่นเข้ามา โรสมีทั้งเพลงสากล และเพลงไทย พี่ ๆ เค้าก็ลงความเห็นกันว่า โรสร้องเพลงสากลดีกว่า ก็เลยเอาเพลงนี้ให้โรสร้องส่วนเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ความจริงเลยตอนนั้นไม่ได้ตื่นเต้นที่รู้ว่า พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นคนแต่ง เพราะโรสเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย เราชอบร้องเพลงอย่างเดียว และไม่เคยมานั่งดูว่า เพลงนี้คนแต่งคือใคร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่กดดันว่านี่คือผลงานของพี่ดี้ ถ้ารู้ตอนนี้ว่านั่นคือพี่ดี้ น่าจะเกร็งค่ะ แต่ตอนนั้นไม่รู้เลย ก็เลยร้องไปด้วยความไม่ได้รู้สึกว่าเกร็งอะไร แล้วถ้าดู MV เพลงก้อนหินก้อนนั้น โรสจะโผล่มาสัก 3 วินาที ใส่หมวกผมยาวหลบอยู่หลังเปียโน เพราะฉะนั้นน้อยคนมากที่จะจำโรสได้ แต่คนจะจำได้เมื่อใส่หมวกเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้น เหมือนเป็นการสอนใช่ไหมคะ แต่พี่ดี้เค้าได้คิดไว้แล้ว คือตอนแรกที่เค้าได้ยินเสียงโรส ทุกคนคงนึกภาพไว้ประมาณว่าต้องผมยาว ต้องสวย ต้องดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอได้เห็นตัวจริงว่าเราอยู่ ม.5 พี่ดี้เค้าก็เลยใส่คำว่า เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา ก็เลยกลายเป็นว่า ฉันไม่ได้พูดเอง มันมีคนสอนฉันมาอีกที เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันก็เลยกลายเป็นเหมือนเพลงที่ใครก็ร้องได้ เพราะว่ามีคนบอกฉันมาอีกที ฉันไม่ได้พูดเอง”นักร้อง ที่เสียงร้อง เหมือนเสียงพูด และร้องเพลงไหน คนก็คิดว่าเป็นเพลงตัวเอง“ชอบมีคนบอกโรสว่า ทำไมร้องเพลงไหนก็เหมือนเพลงตัวเอง เพราะว่าโรสพูดกับร้องเหมือนกัน คือโรสไม่ได้พยายามที่จะทำอะไร อย่างสมมติว่าโรสเล่าเรื่อง โรสจะเล่าเรื่องนั้นเป็นเสียงของโรสเอง มันก็เลยทำให้คนอาจจะคิดว่าถ้าโรสร้องเพลงใครแล้วจะฆ่าต้นฉบับ จริง ๆ แล้วมันแค่เหมือนการที่เราพูดในแบบของเราเท่านั้นเองเพลงฟ้าเปลี่ยนสี จริง ๆ จะไม่ใช่เพลงของโรสนะคะ ตอนนั้น พี่นิ่ม สีฟ้า เป็นคนเขียน แล้วพี่นิ่มก็บอกว่า โรสมาร้องเพลงนี้หน่อย พอดีว่าเหมือนละครจะออนแอร์แล้ว แต่พี่แอมไม่สบาย โรสก็เลยได้รับเพลงนี้ไปเลย หรือเพลง มากกว่ารัก เพลงนี้ตอนนั้น พี่พจน์ อานนท์ ทำภาพยนตร์เรื่องซารังเฮเการักที่เกาหลี แล้วก็บอกว่า อยากให้โรสร้อง โรสว่าเพลงนี้ความเพราะของมันมีอยู่แล้วตั้งแต่พีทร้อง แล้วมันเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ แต่อาจจะด้วยความตอนที่โรสเอามาร้องใหม่ มันอยู่ในหนัง คนก็อาจจะได้ยินมากกว่าตอนที่พีทร้อง แต่ก็เคยมีคนที่มาบอกโรสว่า ทำไมฉันฟังรอบแรกแล้วฉันก็ร้องได้เลย มันเหมือนจิตวิทยา ที่จริง ๆ แล้ว เค้าได้ยินเวอร์ชั่นพีทมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้ดัง ทั้ง ๆ ที่ พีท เป็นคนที่ปูทางมาให้ก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับความรู้สึกว่า ตัวเองไม่ดัง“ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโต โรสไม่ได้มีความมั่นใจ แล้วเราไม่ได้หน้าตาพิมพ์นิยม เราก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ๆ แล้วยิ่งเพลงของเรามันเป็นที่รู้จัก เพลงก้อนหินก้อนนั้น คนรู้จักกันเยอะมาก แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มันไม่ใช่เพลงที่เปรี้ยงปร้าง แต่มันเป็นเพลงที่เวลามีคนฟังแล้วเค้าชอบ แล้วเก็บไว้ในใจ จนกว่าเค้าจะเจอคนที่เคยเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเค้า ถึงจะแนะนำกันปากต่อปากมากกว่า เพราะฉะนั้นโรสก็เลยไม่เคยรู้สึกว่าเพลงมันดัง คนน่าจะรู้จักบ้างแหละ แต่ว่าเราคงไม่ได้ดังขนาดนั้นจนกระทั่งโรสไลฟ์ Tiktok แล้วก็คุยกับแฟน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนมีคนหนึ่งมาบอกว่า หนูเคยเจอพี่โรสตอนนานมาแล้ว แต่หนูไม่กล้าคุยเพราะพี่ดังมาก โรสก็เลยประหลาดใจว่าตัวเองดังเหรอ จากนั้นทุกคนใน Tiktok ก็บอกว่าดังมาก แล้วเค้าก็มาพิมพ์บอกเรา ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองดัง ขอบคุณนะคะเพลงของโรสมีเยอะมาก โรสจำไม่ได้เลยว่าโรสร้องไปกี่เพลง และโรสก็ไม่คาดหวังว่ามันจะดัง เพราะว่าถ้ามันจะดังทุกเพลง ป่านนี้โรสคงไม่ได้เดินไปไหนแล้ว แต่เราก็ทำหน้าที่ของเรา นั่นคือร้องเพลง เราเป็นนักร้อง เราก็จะร้องทุกเพลงที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีที่สุด โดยที่จะไม่หวังเลยว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ เรารู้แค่ว่าเราทำดีแล้ว และเราก็พอใจ”ลุคนี้ ที่เป็นตัวตนของโรส ศิรินทิพย์“โรสว่าพี่ ๆ ทีมงานก็งงเหมือนกัน ตอนที่ต้องออกเพลงใหม่ ๆ เพราะว่าถ้าพูดกันตรง ๆ คือโรส ก็ไม่ได้เป็นสาวหวาน แค่ผมยาว แต่เราก็ไม่ได้อยากผมยาว แต่เวลาช่างทำผมเค้าก็อาจจะเคยชินกับการทำผู้หญิงผมยาว โรสเคยถามเค้าว่า อยากตัดผมสั้นได้ไหมคะ เพราะโรสไม่อยากผมยาวมันเสียเวลา พี่เค้าก็บอกว่าไม่รอด ผมหนูตัดไม่ได้เลยเพราะว่าผมหนูฟู แล้วผมหนูหนา ถ้าหนูตัดก็ไม่รอด แล้วพอผมยาว เค้าก็คิดต่อว่าจะทำไงกับลุค จะใส่กระโปรงเหรอ ใส่กางเกงเหรอหรือเสื้ออะไร แต่ด้วยความที่โรสค่อนข้างเป็นคนที่ง่าย ๆ ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็น่าจะได้ แล้วใส่หมวกอะไรง่าย ๆ ก็เลยกลายเป็นลุคที่สบาย ๆ ดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงง่ายโรสตัดผมสั้นตอนไปเรียนที่เกาหลีค่ะ เพราะว่าช่วงนั้นจะหายไป 3 เดือน จะไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว เราก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ฉันจะหายไป 3 เดือน ถ้ามันจะไม่รอด ก็ให้มันไม่รอดที่เกาหลีแล้วกัน แล้วถ้ากลับมาก็น่าจะผมยาวประมาณนึง ก็เลยตัด แล้วรู้สึกชอบ มันไม่ได้แย่อย่างที่เค้าว่า หลังจากนั้นก็เลยไม่ไว้ยาวอีกแล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับบทบาทการให้คำปรึกษา“ช่วงนี้มีคนมาขอคำปรึกษาเยอะค่ะ ก็มีทั้งเพื่อน มีทั้งแฟนคลับ ที่ส่งข้อความมาคุยบ้างเวลาไลฟ์ โรสก็พยายามที่จะให้คำแนะนำ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถามว่าประสบการณ์เรา บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ว่าข้อดีก็คือ โรสเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจโลกด้วยแหละ ก็เลยอาจจะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างกลาง ๆ หลัก ๆ ก็ปรึกษาความรัก แต่อาจจะเป็นความรักเชิงชู้สาว หรือบางทีก็ความรักในครอบครัวที่ไม่เข้าใจคนที่มีความฝัน สำหรับโรสคคิดว่า การทำผิดจะช่วยเราได้เยอะ การทำผิดจะช่วยทำให้รู้ว่า สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ใช่ จนกว่าเราจะเจอสิ่งที่ถูกก็คือทำให้เยอะที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำไมวันนั้นเราไม่ลองทำแบบนี้ ถ้าเราลองทำแบบนี้เราอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ ก็คือลองทำเยอะ ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ โรส ศิรินทิพย์“โรสชอบตอนที่ตัวเองมีความรัก แต่ว่าตอนที่โสดก็ไม่ได้แย่ โรสว่าตอนที่โสดก็เป็นตอนที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่อาจจะทำไม่ได้ตอนที่เรามีคู่ สิ่งไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าตอนที่มีความรักก็ดีอีกแบบหนึ่ง ที่เราสามารถมีคนที่หันไปแล้วเราปรึกษาเค้าได้ทุกเรื่อง ก็เลยคิดว่าถ้าให้เลือก ก็เลือกเป็นตอนมีความรักดีกว่าค่ะที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่ความรักพังมาก จำได้เลยวันนั้นต้องร้องเพลงเกิดมาแค่รักกัน แล้วโรรสร้องไม่ไหว พอใจมันคิดถึงเรื่องอะไร มันไปเลย ก็ค่อนข้างลำบาก แต่ว่าต้องปิดโหมด แล้วก็โฟกัสที่คนดูเท่านั้น เวลาอกหักฟังเพลงตัวเองบ้างค่ะ แล้วการฮีลลิ่งการกินก็ช่วยได้ แต่สำหรับโรส เพื่อนสำคัญ คนรอบข้างสำคัญที่สุด แล้วโรสก็ค่อนข้างโชคดีด้วยที่มีเพื่อนรักที่ดี มันทำให้โรสฮีลลิ่งได้เร็ว เพราะว่าเพื่อนจะรู้ว่าต้องพูดอะไร ต้องทำอะไร ถ้าสมมติว่ามันกำลังจะแย่ เค้าจะบล็อคความรู้สึกนั้น หนึ่งคนนั้นคือ คุณไดอาน่า จงจินตนาการ เค้าจะเป็นคนที่รู้เสมอ บางทีมีช่วงที่เรายุ่งกันทั้งคู่ แต่ถ้าโรสโทรไป เค้าก็จะรู้เลยว่าจะเอาอะไร รู้เลยว่าเราต้องการเค้าความรักตอนนี้ก็ลงตัวทีเดียวค่ะ เพราะว่ามันเหมือนเป็นเพื่อนที่ซัพพอร์ทกันทุกเรื่อง เป็นซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีมาก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเคมีมันตรงกันมาก ศีลมันเสมอกันมาก ๆ เลย มันเคยมีวันที่เราตื่นมาแล้วเราได้ยินเสียงเพลงในหัว ได้ยินอยู่สักพักเค้าก็ร้องออกมา เราก็แปลกใจว่าได้ยินมาจากไหน เค้าบอกว่าเค้าก็ได้ยินในหัวของเค้าเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันเท่จัง หรือว่าบางทีพูดอะไรก็พูดคำเดียวกัน จบประโยคเหมือนกัน มันใช่ไปหมดเลยความรักครั้งนี้ เราเจอกันตอนทำงาน ซึ่งก็ดูอยู่พักใหญ่ ๆ เลย เพราะว่าเราก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเค้าก็เหมือนกับมีท่าทีว่าชอบเราเหมือนกัน สมมติเราอยู่ใกล้เค้าเวลาทำอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึกว่ามันจะมีอาการบางอย่างที่มันทำให้คิดแบบนั้น แล้วเค้ามีความ Professional มาก นี่คือข้อแรกที่เรารู้สึกประทับใจในตัวเค้า แล้วก็เลยเริ่มศึกษากัน เริ่มพูดคุยกัน ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเค้าเก่งมาก ๆ คือตอนที่พี่ชายของโรสเสีย แล้วตอนนั้นทั้งบ้านงงไปหมด เค้าเป็นคนบอกให้เราทำแบบนี้ ไปที่เขต ไปแจ้งเรื่องก่อน เหมือนกับเค้าช่วยทุกคนไว้ได้เลย เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าเก่งมากเลย แล้วก็ประทับใจเค้ามากขึ้นด้วยทำงานกับคนรัก มีปัญหาบ้างไหม มีบ้างค่ะ เพราะว่าความต่างของเราคือ โรสจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ แล้วเป็นคนที่เฉย ๆ มาก มีอารมณ์ศิลปิน ลงรูปเราก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ถ้ารู้สึกอยากจะลงเราก็ค่อยลง แต่เค้าจะบอกว่าไม่ได้ ด้วยความที่เค้าเป็น PR ด้วย กลายเป็นว่าอาชีพก็ส่งเสริมกัน เพราะเค้ารู้ว่าการโปรโมทเราควรจะทำอะไรยังไง เค้าก็จะคอยบอกว่าลงงานด้วยค่ะ ไปงานมาถ่ายรูปแล้วก็ลงด้วยค่ะ แล้วเค้าก็จะคอยตามเก็บรูปโรส เวลาไปงานต่าง ๆ หรือว่าไปเจอศิลปินดารา ก็ถ่ายลง ซึ่งเค้ารู้แหละว่าเราไม่ชอบ แต่ว่าตอนนี้เราไม่มีบริษัทแล้ว เราก็ต้องทำ เพื่อที่คนจะได้เห็นเรา ซึ่งตอนแรกโรสก็ไม่อยากทำเลย แต่พอเราเริ่มทำตามที่เค้าบอก ก็กลายเป็นว่า คนรู้จักเราเยอะขึ้นจริง ๆ แล้วงานก็เข้ามามากขึ้น เราก็เลยเริ่มเชื่อใจกัน”สีสันแรงบันดาลใจจาก โรส ศิรินทิพย์“ความสุขของโรส โรสคิดว่าจริง ๆ มันก็มีเยอะเนาะ การร้องเพลงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คือโรสชอบร้องเพลงจริง ๆ แล้วก็ชอบทำให้คนมีความสุขกับเสียงเพลงของโรสจริง ๆ แล้วการได้อยู่กับคนที่สบายใจ ก็เป็นความสุขมาก ๆ ด้วยค่ะโรสอยากให้ทุกคนมองปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคต อย่าไปมองอดีต โรสว่าหนึ่งสิ่งที่ทำร้ายหลาย ๆ คน ตลอดมาคือการมัวแต่คิดถึงอดีต ถ้ามัวแต่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่โอเค ก็มองถึงชีวิต ณ ปัจจุบัน แล้วก็มองถึงอนาคตว่า เราอยากเป็นแบบไหน เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วก็ทำตัวเองให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้ มีความสุขเยอะ ๆ กับคนรอบข้าง มองสิ่งรอบข้างที่เรามี และชื่นชมในสิ่งที่เรามีค่ะ” - โรส ศิรินทิพย์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดชีวิตสุดแฟ(ชั่น) ของตัวแม่สายฝอ “ตูน หิ้วหวี” อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง กับลุคสุดเฟียร์ส

02 พ.ค. 2024

เปิดชีวิตสุดแฟ(ชั่น) ของตัวแม่สายฝอ “ตูน หิ้วหวี” อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง กับลุคสุดเฟียร์ส

“หนูจะไม่ด้อยค่าตัวเอง เราควรรักตัวเองที่สุด ถ้าวันนี้เราตื่นมาแล้วเรายังหายใจได้ เราก็จะสามารถแต่งตัวสวย ๆ หาความสุขให้กับสิ่งที่เรารัก หนูว่าเราทำทุก ๆ วัน ให้มีค่าในชีวิตตัวเองได้เสมอ”ยังเป็น Club ที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดเฟียร์ส จากจักรวาลหิ้วหวี “ตูน หิ้วหวี” หรือ “Alie Blackcobra” บิวตี้บล็อกเกอร์สายฝอ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักของวัยรุ่นไทย ด้วยความที่มีลุคเผ็ดแซ่บ ตรงไปตรงมาบวกกับการมีสไตล์การแต่งหน้าที่เป็นจุดเด่น จึงทำให้เธอมีแฟนคลับที่ติดตามผลงานอย่างมากมาย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต และมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แบ่งปันไว้ในรายการด้วยชื่อ Alie Blackcobra กับที่มาสุดแซ่บ“จริง ๆ หนูเรียนจบสายภาพยนตร์มา และเป็นคนคลั่งภาพยนตร์มาก ๆ คำว่า Alie Blackcobra มันมาจากหนังทั้งหมดเลย Alie มาจากหนังเรื่องเอเลี่ยน เพราะหนูรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนคนทั่วไป ทั้งเรื่องความชอบ และการใช้ชีวิต หนูเลยชอบคำว่าเอเลี่ยน และก็ตัดตัวเอ็นออก ให้มันดูเป็นชื่อคนหน่อย กลายเป็น Alie ส่วน Blackcobra มาจากรหัสสายลับ ในหนังเรื่องคิวบิว หนูก็เลยเอามารวมกัน ทีนี้พอมันมาเรียงกัน Alie Blackcobra มันเป็น A B C พอดี หนูเลยชอบคำนี้มาก ชื่อนี้นำเสนอความเป็นตัวหนูสุด ๆ เลย”ย้อนวัยใส ของ ตูน หิ้วหวี“หนูเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดและโตที่กำแพงเพชร ก็เรียนมาเรื่อย ๆ แล้วก็ช่วยคุณแม่ขายของจากรถเข็น ก็ตากแดดตากลม แต่หนูรู้สึกว่า คนเราเมื่อมันไม่มีมันอยู่ได้ แต่ถ้ามันเคยมี แล้วมันไม่มีจะอยู่ยาก หนูโตมาจากการไม่มี แล้วมีมาเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นการลำบากที่สบายในอนาคต ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย ไม่ได้รู้สึกท้อใจ ไม่ได้รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาเลยหนูใช้ชีวิตอยู่กับคุณยายมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าคุณแม่เค้าไปทำงานต่างจังหวัด หนูก็จะอยู่กับคุณยาย แล้วเค้าก็จะไม่ค่อยมีเงิน หนูจะไปสอนหนังสือเพื่อเอาเงินไปโรงเรียน สอนเด็กประถม วันละ 1 ชั่วโมง คนละ 10 บาท วันหนึ่งหนูได้ 50 บาท หนูก็สอนแบบนี้จนเข้ามหาวิทยาลัยหนูเรียกยายว่า คุณแม่ ส่วนแม่ หนูเรียกว่า คุณน้า เพราะเหมือนถูกปลูกฝังมาว่าให้เรียกคุณยายว่าแม่ อาจเป็นเพราะแม่เค้าท้องหนูตอนสาว แล้วทีนี้ยายก็เลยบอกว่านี่ลูกฉัน แล้วก็บอกแม่ต้อให้หนูเรียกเค้าว่าน้า จนวันที่หนูอ่านหนังสือออก ไปอ่านใบเกิด มารดา ไม่ใช่ชื่อคุณยายแต่เป็นชื่อแม่ต้อ ก็เลยงงว่า เธอเป็นแม่ฉันเหรอ แล้วก็ร้องไห้ไปกอดคุณยาย มันเหมือนโดนหลอกเหมือนกันนะหนูได้ ความอดทน จากคุณยาย ที่บ้านหนูเคยโดนตัดน้ำตัดไฟ เพราะไม่มีเงินจ่าย แล้วก็ต้องย้ายบ้าน เพราะเหมือนเค้ามีหนี้สิน ซึ่งทุกคนอดทนที่จะใช้ชีวิต แล้วหนูอดทนในตอนที่โดนดราม่า หนูอดทนที่จะยืนตรงนี้ต่อ แล้วทำมาเรื่อย ๆ แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ไม่มีงาน ไม่มีลูกค้า หนูก็พยายามไปหาของมาขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพได้ จริง ๆ ใจอยากจะกลับต่างจังหวัดจะแย่แล้ว แต่ว่าหนูก็ถู ๆ ไถ ๆ มาได้ หนูก็รู้สึกว่านี่แหละความอดทน”ในวันที่ต้องมาใช้ชีวิตในเมืองกรุง“ตอนแรกหนูมากรุงเทพแบบ เสื่อผืนหมอนใบ มาเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตอนนั้นหนูมีเสื่อ หมอน พัดลม แล้วก็หม้อหุงข้าว แค่นั้น หนูมากับรถทัวร์ แต่ว่าหนูฝันสูงมาก ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากมาอยู่ และทำงานที่กรุงเทพ หนูพูดกับเพื่อนว่า ฉันต้องได้เป็นดารา แล้วเพื่อนบอกว่า ไม่ได้เป็นหรอกดาราที่กรุงเทพ เค้าได้เป็นกันตั้งแต่อายุ 15 แล้ว หนูก็บอกว่าดูถูกความฝันกันมาก หนูก็มาเรียนที่กรุงเทพเลย จนวันนี้หนูบอกเพื่อนคนนั้นว่า ฉันได้เป็นดาราแล้วนะตอนเรียนหนูมีความฝันว่า หนูอยากอยู่ในหนังสือ CHEEZE MAGAZINE หนูก็เลยไปงาน CHEEZE บ่อย ๆ ให้เค้าถ่ายรูป แล้วหนูดีใจมาก จน พี่พายไก่ กับ พี่ปิงปอง มาเห็น แล้วให้โอกาสชวนหนูไปทำรายการคบตุ๊ดไม่หลุดเทรนด์ หนูก็เลยได้ไปเป็นบิวตี้บล็อคเกอร์ในคบตุ๊ดไม่หลุดเทรนด์ แล้วพอมีชื่อเสียงมากขึ้น หนูก็เลยเปิดช่อง Youtube ของตัวเอง พอมีช่องแต่งหน้า มิกซ์ เฉลิมศรี ก็เลยดึงหนูเข้าแก๊งหิ้วหวีเลย แล้วหนูก็ดังเลยหนูชอบถ่ายรูป ชอบแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก ถามว่ามีพื้นฐานไหม หนูแค่ไปดูคนอื่นมาแล้วลองแต่ง แต่ว่าแฟชั่นของหนูมันหลุดไปจากคนอื่นที่มันไม่มีคนทำ มันอาจจะเป็นแปลกใหม่ แล้วคนไทยไม่เคยเห็น คนก็เลยชอบบอกว่าหนูเป็นสายฝอ แล้วคนก็ชอบ”ครอบครัว กับการยอมรับตัวตนของ ตูน หิ้วหวี“เอาจริง ๆ ครอบครัวเพิ่งมารับได้ ตอนที่หนูเข้ามหาวิทยาลัยเลย เมื่อก่อนเราทะเลาะกันทุกวันแม้กระทั่งหนูย้อมผมสีทอง คุณแม่ก็ไม่ชอบ เพราะว่ามันแบบตุ้งติ้งออกสาว เค้าไม่ชอบให้เราเป็น LGBTQ+ เลย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย เหมือนเราเลี้ยงดูตัวเองได้ เค้าก็ไม่มาเบียดเบียนเรา เราก็ไม่ได้เบียดเบียนเค้า เค้าก็เลยเริ่มปล่อย ๆ เราตอนที่เค้ายังไม่ยอมรับหนูต้องแอบ ทุกครั้งที่หนูแต่งหญิง หนูต้องแอบหมดเลย ห้ามให้เค้าเห็น ซึ่งหนูรู้สึกว่าเสียใจจัง อยากให้แม่มาช่วยถ่ายรูปให้ อยากให้แม่เห็นว่าเราแต่งหญิงแล้วมันสวยขนาดไหน ถึงแม้เราจะไม่สวยก็ตาม แต่เราอยากให้คนข้าง ๆ เราเห็น จนหนูเรียนปี 3 หนูก็นั่งแต่งหน้าหวีผมอยู่ คุณยายที่หนูเรียกว่าแม่เค้าก็บอกว่า มาเดี๋ยวหนีบผมให้ แค่เค้าทำให้ แต่หนูรู้สึกว่าซึ้งใจจัง กับแม้ต้อ หนูอยู่แบบเป็นเพื่อนอยู่แล้ว เค้ารู้ว่าหนูเป็น LGBTQ+ อยู่แล้ว ซึ่งหนูจะเกรงใจคุณยายมากกว่าเพศแบบพวกหนูถูกกดดันเยอะมาก คุณต้องเป็นหมอ คุณต้องเป็นอะไรเลิศ ๆ คุณถึงจะเป็น LGBTQ+ ได้ ถ้าคุณไม่รวย คุณห้ามเป็นกะเทย ซึ่งหนูว่ามันไม่เกี่ยวเลย ถ้าคนมันจะเป็น มีเงินบาทเดียวหรือไม่มีเลย มันก็จะเป็น ทุกวันนี้แอบอิจฉาเด็กรุ่นใหม่ ที่เค้ารู้ตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วคุณพ่อคุณแม่เค้าช่วยส่งเสริม มันเป็นอะไรที่ยกระดับ LGBTQ+ มากเลย”ตัวตนที่คนอื่นเห็น กับ ตัวตนที่เป็นฉัน“จากที่คนอื่นมอง หนูจะมีคาแรกเตอร์ดุร้าย เฟียร์ส แล้วก็ดูเป็นคนสนุกสนาน ดูไฮเปอร์อยู่ไม่นิ่ง ดูเป็นคนต้องการเพื่อน เป็นคนขี้เหงามาก ๆ อยู่คนเดียวไม่ได้แต่จริง ๆ แล้วหนูเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมาก สมมติว่าถ้าหนูรู้จักใครสักคน แล้วรู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ หนูก็จะค่อย ๆ เอาตัวออกจากเค้า แต่ถ้าใครสักคนที่หนูรู้สึกเข้ากันได้ หนูก็จะสนิทไปเลย เพราะหนูชอบคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน มีสไตล์คล้ายกัน ซึ่งมันก็จะหายากมาก หนึ่งในนั้นก็จะมีในแก๊งหิ้วหวี อย่างเช่นเวลาหนูชอบกินหนูก็จะชวนเอิ๊ก เวลาหนูชอบไปต่างจังหวัดหรือไปเที่ยวหนูก็จะชวนพี่นัท เวลาหนูอยากปาร์ตี้หนูก็จะชวนอยู่กับมิกซ์ เป็นต้นซึ่งในตอนแรก หนูรู้สึกว่าถ้ายิ่งมีเอนเนอร์จี้ คนจะยิ่งชอบดูคลิป คนจะไม่กดข้าม ถ้าเราเป็นคนสนุก แต่จริง ๆ แล้วมันกลายเป็นดาบสองคม เรากลายเป็นคนโหวกเหวกโวยวาย ใช้คำหยาบมากเกินไป ทำให้ตอนนี้ทุกอย่างมันถูกปรับให้รวม ๆ กัน หนูกลายเป็นคนที่โวยวายด้วย น่ารักด้วย กลายเป็นการผสมผสานแล้วลงตัวมากแล้วการที่หนูเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ก็จะมีบางเรื่องที่คนดูจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง อาทิเช่น ตอนที่เพื่อนบอกว่าหนูโตในคุก หนูก็ทำเป็นเศร้าให้อินไปกับเรื่องที่เพื่อนพูด ไม่ได้คิดอะไร แล้วปรากฎว่าคุณแม่ได้ยินแล้วเค้าเสียใจ แล้วในคอมเมนต์ก็เชื่อกันว่าหนูโตในคุกจริง ๆ ซึ่งมันไม่ใช่ แต่หนูก็เล่นไปตามน้ำด้วย บวกกับที่พอเราเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนก็เลยเชื่อ ยิ่งเพื่อนก็บิ้วต์อีก มันก็เพิ่มความเชื่อเข้าไปอีก”คอมเมนต์เชิงลบ ที่มันกระทบจิตใจ“ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีคอมเมนต์ที่กระทบจิตใจหนูเลย จน 3 ปีที่ผ่านมา คอมเมนต์มันมีพลังกับชีวิตหนูมาก มากจนหนูไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากทำงาน ไม่อยากอยู่ในวงการ ไม่อยากอยู่ในโซเชียล หนูเบื่อมาก จากที่หนูเป็นคนสนุกตลอดเวลา อยากอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา อยากทำคลิปทุกวัน กลายเป็นหนูไม่อยากทำแล้ว เพราะว่าคอมเมนต์มันถาโถมมาเรื่อย ๆ แล้วเราเก็บมามาก ๆ มันทับกันเรื่อย ๆ มันเหมือนโดนยิงจุดเดิมหลาย ๆ นัด จนวันหนึ่ง มันระเบิดออกมาให้กับคนทั้งโซเชียลรู้ แล้วหนูเหมือนได้ยกสิ่งที่หนูเครียดที่สุดในชีวิตออกไปให้ทุกคนรู้ จากเทปที่หนูไปนั่งคุยกับพี่เขื่อน ว่าหนูไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว หนูเหนื่อย ซึ่งมันก็ดีนะที่หนูไม่ต้องเล่าให้เพื่อนรู้ และกลายเป็นว่าคนอื่นเค้ารู้แล้วว่าหนูเหนื่อย หนูไม่อยากทำ พอเทปนี้ออกไปกลายเป็นว่า หนูเห็นคนรักหนูมากขึ้น หนูมีแรงที่จะทำอะไรหลายอย่างมากขึ้น หนูมีพลังที่อยากจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งมากขึ้น หนูอยากเปลี่ยนให้คนในสังคมเห็นว่า หนูสามารถเปลี่ยนคาแรกเตอร์ตัวเอง ให้เป็นคนที่มีคาแรกเตอร์ดีขึ้น ให้เป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่นิสัยจริง ๆซึ่งคอมเมนต์ส่วนมากที่หนูเห็นแล้วก็จะเก็บเอามาคิดก็คือ ตูน ไม่ควรยืนอยู่กับพวกพี่อีก 4 คนในแก๊งนี้เลย ตูน ไม่ควรที่จะอยู่ข้าง ๆ พวกเค้าเลย ทั้ง ๆ ที่พวกเค้าเป็นเพื่อนหนู ซึ่งการที่ได้คุยกับพี่เขื่อน แล้วก่อนที่คลิปจะออนแอร์ หนูส่งคลิปให้เพื่อน ๆ ทุกคนถามว่าจะปล่อยคลิปนี้ใช่ไหม โอเคใช่ไหม หนูก็บอกว่าโอเค แล้วพอมันทับถมมาก ๆ มันถึงเวลาที่เราต้องมานั่งคุยกัน ในแก๊งว่า หนูพร้อมที่จะเปลี่ยนแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะช่วยหนูไหม หนูอยากจะเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ ที่ไม่ดูโวยวายแบบน่ากลัว หนูอยากโดนแกล้งเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าเกิดหนูทำอะไรไม่ดีอยากให้ช่วยเตือนกัน ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่ได้เตือนกัน อะไรเลิศ ๆ ก็ลงไปเลย แล้วพอได้คุยกันเพื่อนทุกคนน่ารักมากที่ยอมรับฟังหนู แล้วก็ช่วยหนูจนสามารถปรับคาแรกเตอร์ของตัวเองได้”แก๊งหิ้วหวี ที่พร้อมซัปพอร์ต ตูน อยู่เสมอ“มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่นัทไปรายการ แล้วเค้าบอกว่า ถ้าตูนยังไม่พร้อม จะไม่มีการถ่ายรายการหิ้วหวีเกิดขึ้น เราจะรอจนกว่าตูนพร้อม และหิ้วหวีจะไม่มีวันยุบ ตอนนั้นพอเห็นคลิปแล้วหนูก็นั่งร้องไห้คนเดียว เรารู้สึกว่าดีใจจังที่เค้ายังเห็นเราสำคัญ หิ้วหวีมันเกิดมาจาก 4 คน ก่อนที่จะมีจักรวาลหิ้วหวี หนูเคยย้อนคิดกลับไปว่า ถ้าไม่มีหนูตรงนั้นจริง ๆ เค้าจะเศร้าไหม เหมือนคนที่อยากลองแกล้งจัดงานศพตัวเอง แล้วดูว่าเพื่อนจะมาไหม แต่วันนี้หนูได้เห็นเลยว่า ทุกคนในแก๊งพร้อมที่จะอยู่ข้างหนู ในทุก ๆ ก้าวของการใช้ชีวิตหลังจากปรับตัวเอง และเพื่อน ๆ ช่วยซัปพอร์ต มันดีนะ หมายถึงว่าแฟนคลับก็เห็นว่า พี่ตูน ดูมีไฟจัง ดูกลับมาทำงานสร้างคอนเทนต์อลังการมากมาย ส่วนตัวก็รู้สึกว่า เราเหมือนกลับมามีไฟจริง ๆ พราะว่าหนูไม่สนใจคำด่าแล้ว หนูสนใจแค่ว่า หนูอยากอยู่กับเพื่อน หนูตรงนี้ ต่อให้คนอื่นจะไม่ให้หนูอยู่ หนูก็จะอยู่ เพราะว่าตรงนี้มันคือพลังรักของหนูหมดเลย นี่คือพลังที่คอยอุ้มชูชีวิตหนูให้มาจนถึงจุดนี้ หนูเลยให้ความสำคัญกับแฟนคลับ แล้วก็คนรอบตัวหนูมากกว่า”ตูน หิ้วหวี กับโรค Hyperventilation“หนูป่วยโรคนี้นานมาก ประมาณ 2 ปีได้ หาหมอจิตแพทย์วนไปวนมา มันชื่อว่าโรค Hyperventilation มันคล้ายกับไฮเปอร์ แต่เป็นไฮเปอร์แบบหนักมาก โรคที่หนูเป็น มันเกิดตรงสมอง คล้าย ๆ กับแพนนิค คล้าย ๆ กับโรคซึมเศร้า แต่มันไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าในวันที่รู้ว่าตัวเองป่วย เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนหนูกินข้าวตอนเที่ยงคืน แล้วมันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะมันอิ่มมันจุก แต่เราคิดย้ำ ๆ ว่า หายใจไม่ออก หายใจไม่ออก คิดอยู่อย่างนั้น จนวานให้ เอิ๊ก เรียกรถพยาบาลให้หน่อย ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว พอไปถึงโรงพยาบาล หนูชักเกร็ง ใจเต้นเร็วและแรงมาก คุณหมอก็เลยฉีดยาระงับประสาท หรือยาระงับความเครียดประมาณนี้ มันหายเลยแบบทันทีทันใด ตอนนั้นหนูคิดว่าตัวเองจะตาย หนูไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร เราไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตนี้ จากนั้นคุณหมอก็บอกว่าให้ไปหาหมอจิตแพทย์เลยพรุ่งนี้ หนูก็หาจิตแพทย์ เค้าบอกว่ามันคือโรค Hyperventilation หนูถามว่า แล้วหนูต้องทำยังไงหนูถึงจะหาย ซึ่งหนูไม่ได้กินยานะ หนูแค่ไปคุยกับคุณหมอในทุก ๆ อาทิตย์ เพราะช่วงเดือนแรกหนูกินยาแล้วหนูเวียนหัวจนตกบันได หนูเลยต้องเยียวยาด้วยธรรมชาติ คือเวลาอาการกำเริบใจจะเต้นเร็ว ซึ่งหนูแยกออกเลยว่าอันไหนตื่นเต้น อันไหนเป็นโรค เราแยกออกเพราะมันจะตื่นเต้นหายใจไม่ทันแล้วก็เวียนหัว ต้องตั้งสติ นั่งสมาธิ ไปอยู่กับธรรมมะ ที่หนูรู้สึกสบายใจ แล้วอาการมันดีขึ้นเอง หนูใช้เวลา 6 เดือน ก็หายจากโรคนี้”ในวันนี้ได้เรียนรู้ว่า คนเก๋ร้องไห้ได้“เมื่อก่อนเพื่อนหนูไม่เคยเห็นหนูร้องไห้เลย เพราะหนูไม่เคยเศร้าและไม่เคยเครียดให้เพื่อนเห็น หนูจะให้เพื่อนเห็นแต่มุมที่หนูแฮปปี้มีความสุขแล้วก็ตลก เพราะหนูรู้สึกว่าหนูคือรอยยิ้มของเพื่อน ๆ ในทุก ๆ วัน หนูชอบทำตัวตลกให้เพื่อน ๆ เห็นจนวันนี้หนูเข้าใจแล้วว่า คนเก๋ร้องไห้ได้ ยิ่งเราร้องไห้ ยิ่งเราพูดกับเพื่อนมากเท่าไหร่ เรายิ่งเอาความเครียดนั้นออกไปจากตัวเราได้ไวที่สุด อย่าเก็บมันไว้คนเดียว มนุษย์คือสัตว์สังคม เรามีเพื่อน เพื่อนสร้างความสุขให้เรา เราสร้างความสุขให้เพื่อน แล้วเวลาเราทุกข์เราแบ่งกัน”ตูน หิ้วหวี ในเวอร์ชั่นใหม่“แพชชั่นในช่องหนู มันคือเรื่องแฟชั่น หนูนำเสนอความเก๋ ความเฟียร์ส ก่อนหน้านี้หนูเคยหลงทางลองทำคอนเทนต์อื่น ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าตัวเองฝืนจังเลย หนูก็เลยกลับมาเป็นหนูอีกครั้งในแบบใหม่ จากคนที่โหวกเหวกโวยวาย กลายเป็นดูอ่อนน้อมถ่อมตน และดูมีความกล้าเล่นมากขึ้น ทุกวันนี้มันผสมผสานแล้วก็กลมกล่อมมาก ๆ หนูเปลี่ยนตัวเองจากที่เป็นคนที่เข้ากับแม่ต้อไม่ได้เลย แบบตีกันตลอดเวลา แต่หนูก็ให้เค้ามาอยู่ในบ้านหนู ทั้ง ๆ ที่หนูไม่เคยให้เค้าเข้ามาอยู่ในเซฟโซนของหนูเลย แล้วพอหนูยิ่งโต แม่ต้อเค้าก็จะพูดว่าเรียกฉันว่าแม่ได้แล้ว พอหนูย้อนคิดก็เข้าใจว่า หรือว่าเค้าคิดถึงหนูจริง ๆ พอเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ก็เข้าใจว่าเค้าคงมีเหตุผลสมัยเค้าสาว ๆ แต่ตอนนี้เค้าคงอยากอยู่กับเราจริง ๆ ทุกวันนี้หนูก็เห็นเค้าทำงานโรงงานแล้วเค้าดูเหนื่อย เลยชวนมาอยู่ด้วยกัน มาดูแลหนูก็ได้ เดี๋ยวหนูก็ให้เงิน ซึ่งก่อนหน้านี้หนูไม่เคยคิดจะให้เงินเค้าเลย กลายเป็นอะไรใหม่ ๆ ในการรับผิดชอบใหม่ ๆ ของหนู นอกจากเลี้ยงคุณยาย หนูก็มาเลี้ยงคุณแม่เพิ่มขึ้น”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ ตูน หิ้วหวี“ตอนนี้หนูไม่มีความรัก หนูมีแค่คนคุยกรุบกริบ สมัยก่อนหนูให้ความรักเป็น Priority แรกเลย เวลามีความรักก็จะคิดว่าแกต้องรักฉัน ฉันอยู่กับแกแกต้องรักฉัน แกไม่รักฉันไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ ถ้ามีคนที่เข้ามาคุยกับหนู แล้วเค้าจะออกไป หนูสามารถมูฟออนได้ไวมาก เพราะหนูรู้สึกว่าหนูต้องรักตัวเองก่อน ต้องรักตัวเองมาก ๆ หนูต้องมีเกราะที่ป้องกันห้ามให้เค้ามาทำร้ายหนูชอบเกย์ผมสั้น ซึ่งเวลาหนูเปิดเผย หนูกลับรู้สึกว่ามันยิ่งยาก เพราะว่า โดยปกติ เกย์เค้าก็จะชอบเกย์ด้วยกัน แล้วหนูก็ควรจะชอบชายแท้ แต่หนูก็มีความสามารถ แล้วก็มีความสู้ของหนู ที่จะไปคุยกับเค้าได้ ถ้าอยากคุยหนูคุยเลย ไปกินข้าวกันไหม ไปดูหนังกัน จนได้ใช้ชีวิตด้วยกัน หลายครั้งเค้าจะบอกว่าเป็นพี่น้อง ซึ่งหนูชินมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเสียใจ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เสียใจเลย เรื่องความรักหนูตายด้านมากเลย แต่ถ้าจะมีใครเข้ามาจริง ๆ ตอนนี้ที่หนูมองหนูคิดว่า น่าจะฝรั่ง แต่ว่าหนูก็ยังไม่ได้อยากจะคุยกับฝรั่งคนไหน หนูยังไม่คิดจริงจังเลย ให้เป็นเรื่องของอนาคต”ความสุข ของ ตูน หิ้วหวี“การได้ตื่นมา มีกับข้าวที่แม่ทำให้ อันนี้แฮปปี้มากแล้ว และการได้ดูหนังเก่า ๆ ที่หนูชอบ ได้ฟังเพลงกับเพื่อนแล้วเมาท์กัน ความสุขง่ายมากของหนู คือเรื่องแค่นี้เองในอนาคตหนูมีความฝันเยอะมากที่อยากทำ ในอนาคตหนูอยากทำเรียลลิตี้ และด้วยความที่หนูชอบแฟนชั่น มีเพื่อนหลายคนถามว่า ทำไมไม่ไปนั่ง Front Row ดูโชว์ที่ต่างประเทศ แต่หนูมองว่าทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย แฟชั่นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เงินเยอะ ซึ่งถ้ามีโอกาสไปต่างประเทศหนูไปได้ แต่ว่าเราลองทำเมืองไทยให้มันดูเก๋สิ หนูถึงชอบออกไปถ่ายรูปข้างนอก ให้ดูมีคอนเซ็ปต์ มันคือแพชชั่นของหนูเลยที่ได้ออกไปถ่ายรูปให้มันดูเหมือนเราอยู่ต่างประเทศ”สีสัน แรงบันดาลใจจาก ตูน หิ้วหวี“เราเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่มีความคิดที่เติบโตกันใหม่ได้ทุกวัน นี่เป็นความคิดของคนอายุ 30 ปี ซึ่ง สำหรับหนูมาอยู่ตรงนี้เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก มันไม่ได้มีอะไรที่ปูทางมาให้เพื่อให้มาถึงทุกวันนี้ เด็กรุ่นใหม่เก่งกันหลายคน แล้วก็มีความสามารถที่ดีมาก ๆ จะบอกว่าดูพวกเราเป็น Case Study แล้วกัน แล้วเดินตามฝันที่อยากทำ ไปให้ถึงจุดหมายของตัวเอง แม้ว่าเราจะเหนื่อย พักสักนิด จิบน้ำ แล้วสู้ต่อ อย่าท้อค่ะการรักตัวเอง มันคือที่สุดของชีวิต หนูจะไม่ด้อยค่าตัวเอง เช่น หนูเห็นคนสวยเดินผ่าน หนูก็จะพยายามคิดลึก ๆ ว่า เราสวยที่สุด วันนี้ถ้าเราตื่นมาแล้วยังหายใจได้ เราจะใส่ชุดอะไรดี เราทำตัวสวย ๆ ดีกว่า จะได้ออกไปนอกบ้านสวย ๆ หนูรู้สึกว่า การรักตัวเองมันคือที่สุดในชีวิตเลย หนูเคยไม่รักตัวเอง หนูทำร้ายตัวเอง หนูไม่หาความสุขให้ตัวเองเลย หนูอยู่ในห้องมืด ๆ อยู่เศร้า ๆ แล้วรู้สึกว่าเสียดายเวลาชีวิตมาก หนูคิดว่า เราทำทุก ๆ วันให้มีค่าในชีวิตตัวเองได้เสมอ” - ตูน หิ้วหวีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1