เปิดมุมมองชีวิต ของ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ เจ้าของวลีดัง “ละแมะ” “อะหรือ” “ว่าซ่าน”

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดมุมมองชีวิต ของ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์ตัวแม่ เจ้าของวลีดัง “ละแมะ” “อะหรือ” “ว่าซ่าน”

15 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังในชั่วข้ามคืนจากการคัพเวอร์เพลง เธอคือสาวเก่ง สวย เสียงดี และมักจะมาพร้อมความม่วน ความจอย และความฮา

เปิดความสนุก ปลุกความฮา กันตั้งแต่เริ่มรายการ เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น” ยูทูปเบอร์สาวสายฮา เจ้าของวลีดัง ละแมะ , อะหรือ , ว่าซ่าน ซึ่งกว่าจะมาเป็นเธอในทุกวันนี้ เธอคือผู้ที่ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเดินตามความฝัน และแฮปปี้กับทุก ๆ โมเมนต์ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยมีหลากหลายเรื่องราวที่เธอได้มาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

หยาดพิรุณ ปู่หลุน ชื่อนี้มีเรื่องเล่า

เรียกว่าเป็นชื่อที่ฟังดูหวาน และ ดูมีความหมายอยู่ในชื่อสำหรับชื่อ หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น ซึ่งต้องบอกว่าชื่อนี้มีเรื่องเล่า โดย หยาดพิรุณ ได้เผยที่มาของชื่อเพราะ ๆ นี้ไว้ว่า “เป็นชื่อที่คุณตาตั้งให้เลยตั้งแต่เกิด เพราะว่าหยาดเกิดในวันที่ฝนตก ตอนนั้นประมาณตี 4 ตี 5 คุณแม่ปวดท้องมาก คุณพ่อก็ขับรถมาสแตนบายจะไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าคุณแม่ทนไม่ไหว ก็เรามันอยากเกิดเต็มทีอะแม่จ๋า ซึ่งแม่บอกว่าเอาจริงยังไม่ทันได้เบ่งเลย ก็หลุดออกมาเลย แบบหลุดออกมาแบบสบาย ๆ ที่หัวกระไดบ้าน ก็เลยต้องตามคุณหมอตำแยมาที่บ้านแทน และก็เหมือนตอนนั้นมีนักข่าวชื่อดังชื่อหยาดพิรุณ แล้วคุณตาก็เลยชอบชื่อนี้ ก็เลยขนานนามเป็น หยาดพิรุณ ให้

ตอนนั้นจริงๆแล้ว คุณแม่อยากได้ลูกชายตั้งแต่เด็ก เพราะว่าหยาดมีพี่สาวคนนึง คนต่อไปคุณแม่ก็อยากได้เป็นลูกชาย ซึ่งคุณแม่เล่าให้ฟังว่า วันที่จะเกิด วันที่จะฝนตกนั่นแหละค่ะ แม่ก็ฝันเห็นพ่อปู่ ก็คือเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านอะไรอย่างเงี้ย แม่ก็จะมีเซ้นส์อะไรพวกนี้ เสร็จแล้วคุณแม่บอกว่า พ่อปู่ท่านถามว่า ลูกจะมาแล้วนะ จะเอาผู้หญิงผู้ชายก็ตะโกนออกมาดังๆ เลย คุณแม่เราอยากได้ลูกชายอยู่แล้ว เลยตะโกนดัง ๆ ว่า ลูกชาย ลูกชาย (ในความคิดนะคะ) แต่สิ่งที่คุณแม่ตะโกนออกไปนั้นมันออกอากาศไม่ได้ ตะโกนไปว่า หีมมมม หีมมมม (จิมิ) ใช่คุณแม่บอก แล้วเสียงดังก้องกังวาน ก็เลยเกิดออกมาเป็นลูกสาว เป็นหยาดนี่แหละค่ะ 

ซึ่งชื่อเล่นจริงๆ ชื่อ น้องน้ำฝน แล้วหลายคนถามทำไมใช้ชื่อหยาด ก็พอเข้ามหาลัย มันก็ได้จังหวะเปลี่ยนชื่อ รุ่นพี่เขาจะให้เขียนชื่อที่มันห้อยคอ เราก็เอาเลยเลือกใช้ชื่อหยาดพิรุณ ดีกว่า จากนั้นเพื่อนก็เลยเรียก หยาดพิบ้าง พิรุณบ้าง มาตั้งแต่นู้นเลย ไม่มีใครเรียกน้ำฝนแล้วค่ะ

ปู่หลุ่น จะมีหลายคนคิดว่าเป็นฉายา ไม่คิดว่ามันเหมือนนามสกุล แต่ก็มีบางคนก็เรียกปู่หลุนเหมือนเรียกแทนชื่อเราเลย ซึ่งรายการนี้เขียนนามสกุลหยาดถูก ปู่หลุ่น มีไม่กี่รายการที่เขียนถูก ส่วนใหญ่จะเขียน ปู่หลุน ที่มาของนามสกุลนี้คือ เมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีนามสกุล เขาก็ไปหานายทะเบียนแล้วนายทะเบียนก็บอกว่า ไปหามาว่าจะเอานามสกุลอะไรก็เขียนมา บ้านเรา ตระกูลเราก็นึกไม่ออกว่าจะนามสกุลอะไร ก็เลยเอาชื่อปู่แล้วกัน (เป็นทวดของทวดอีกที) ปู่ชื่อ หลุ่น ก็เลยกลายเป็น หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น”

 

 

“ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” เพลงคัพเวอร์พลิกชีวิตหยาดพิรุณ

ชื่อของ หยาดพิรุณ กลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังชั่วข้ามคืน หลังจากที่เธอได้ทำคลิปคัพเวอร์เพลง “ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” ของเจ้าหญิงเพลง R&B ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ซึ่งยอดวิวล่าสุดของเพลงคัพเวอร์นี้ทะลุ 22 ล้านวิว ไปแล้ว โดยหยาดพิรุณ ได้เล่าที่มาของคลิปอันโด่งดังนี้ว่า “มันเกิดจากการที่หยาดถ่ายวิดีโอไลฟ์กับพี่สไบรท์ บะบะบิ ชื่อรายการโทรจิตโทรใจ ตอนนั้นเราไปถ่ายรายการกันที่ต่างอำเภอของเชียงใหม่ แล้วพวกเราอยู่บนดอย มันเหงา เลยคิดว่าเราจะทำอะไรกันดี ก็เลยตั้งกล้องไลฟ์มีมือถืออยู่อันนึง ไฟที่ใช้ก็เป็นไฟส่องกบอันเล็ก ๆ หน้าดำมากตอนนั้น แล้วตอนนั้นดันเป็นช่วงโควิดคนเขาก็จะดู ไลฟ์วันละ 3 ชั่วโมง คนโทรเข้าไม่หยุดเลย ทุกคนก็ต่างร้องเพลงให้เราฟัง เราเองก็ถือโอกาสร้องไปร้องมา แล้วปรากฏมีสายหนึ่งร้องเพลงว่างแล้วช่วยโทรกลับ ซึ่งเราชอบเพลงนี้ ชอบพี่ลิเดียอยู่แล้ว เราก็ชมว่าร้องเพลงถูกใจฉัน เดี๋ยวฉันขอร้องเวอร์ชั่นฉันให้เธอฟังบ้าง ปรากฏว่าท่อนที่หนูร้องคนก็ตัดท่อนนั้นไป กลายเป็นไวรัลใน TikTok ดาราอินฟลูเขาก็คัพเวอร์ มันก็เลยโด่งดังขึ้นมา ทีนี้แฟน ๆ ก็เรียกร้องเราว่าอยากฟังเวอร์ชั่นเต็ม เราก็เป็นคนที่เพื่อนให้ทำอะไรก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว คือมันเหมือนมีฐานคนรอฟังอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน บวกกับความ Check it out yo Check it out boom ของหนูเข้าไปมันก็เลยติดหูคนฟัง

พอหลัง ๆ เราก็เริ่มติดสวย เริ่มติดแกรม เพราะเรารู้สึกว่าเล่นมาเยอะแล้ว และมันก็มีบางคนแบบว่าโอ้ยติดเล่นจังเลย เราก็เริ่มลองจริงจัง ล่าสุดปล่อยเพลงต้องโทษดาวใน TikTok เพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย ซุปเปอร์สตาร์ในดวงใจเรา คอมเมนต์ประมาณเกือบ 400 คอนเมนต์ บอกว่า โอ้ะกรู้วหายไปไหน อะหรือไปไหน กลืนหยาดพิรุณออกมาเดี๋ยวนี้ เนี่ยพอเราทำสวย ๆ ให้ก็จะมาเอาโอ้ะกรู้ว คนติดภาพฮาเราไปแล้ว”

 

“ดารานักร้อง” ความฝันของ ด.ญ. หยาดพิรุณ

ด้วยเบื้องหน้าที่มักจะเห็นหยาดพิรุณชอบร้องเพลง ร้องเพลงเพราะ เอนเตอร์เทรนเก่ง แท้ที่จริงแล้ว นี่คือความฝันที่เธออยากทำมาตั้งแต่เด็ก โดยหยาดพิรุณได้เล่าเรื่องราวความฝันนี้ให้ฟังว่า “คืออย่าเรียกว่าใฝ่ฝัน เรียกว่าเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เริ่มจำความได้ หยาดจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นดาราตลอด อยู่ต่างจังหวัด เกิดที่หนองบัวลำภู คุณแม่เอาขึ้นท้ายมอเตอร์ไซค์ ขับไปตามทุ่งนาเจอหญ้าตามข้างทาง มือมันจะกุยทำเป็นแบบว่าอย่าดึงแรงค่ะ อย่าจับเนอะแขนน้องเจ็บ ทำเหมือนมี FC ตลอดเวลา เหมือนเราคือซุปเปอร์สตาร์ มันไม่รู้ตัวว่าทำไมเราถึงอยากเป็นอย่างงั้น เราอาจจะดูละครดูหนังดูคอนเสิร์ตตอนเด็กเยอะ

และหนูคิดว่ามันเริ่มมาจากตุณตา คุณตาหนูเป็นกำนัน ทุก ๆ ตี 5 คุณตาจะต้องมาประกาศเสียงตามสาย ซึ่งก่อนประกาศเขาจะต้องเปิดเพลงปลุกชาวบ้านก่อน เป็นเพลงหมอลำที่เปิดนำก่อน เราได้ยินทุกวัน อยู่ดี ๆ มันก็ร้องตามได้ พอโตขึ้นมาคุณแม่ก็ชอบร้องเพลง คุณพ่อก็ชอบฟังเพลง ไปโรงเรียนก็ชอบเป็นเด็กกิจกรรมอีก เหมือนชีวิตวนเวียนอยู่กับการร้องเพลงกับการทำกิจกรรม จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”

 

 

จากเด็กนักเรียนทุน สู่เด็กกิจกรรมแถวหน้าของมหาวิทยาลัย

หยาดพิรุณ เป็นคนหนึ่งที่เต็มที่กับทุกช่วงของชีวิต ในเรื่องการเรียนก็ไม่เป็นรองใคร เธอเคยเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าสันทนาการหญิงคนแรกของคณะที่เธอเรียน เรื่องราวนี้ หยาดพิรุณ ได้เล่าว่า “หนูเป็นคนทำอะไรแล้วตั้งใจมาก คือเหมือนเราตั้งใจเรียน แล้วพอเริ่มเข้ามัธยมก็เริ่มทำกิจกรรมเยอะ ครูก็รักเรา ส่งไปทำกิจกรรม ส่งไปเรียนแลกเปลี่ยนบ้าง รอบแรกคือตอนม. 5 ไปอเมริกา เป็นการชิงทุนระดับประเทศ แล้วเลือกไปแค่ทุนเดียวเอง นี่ถือเป็นการสอบชิงทุนครั้งแรกในชีวิต แล้วเราก็คิดว่าไม่ได้หรอก เราเป็นเด็กต่างจังหวัดตัวเล็ก ๆ ตอนมาสอบในกรุงเทพ คุณแม่พานั่งรถทัวร์มา ชีวิตเหมือนหนังเลย คือความที่มันตื่นเต้นมาจากต่างจังหวัด ทำให้หยิบกระโปรงนักเรียนมาผิด ที่เอามาเป็นกางเกงพละก็ต้องรีบไปหาซื้อ ตอนนั้นตื่นตี 4 ตี 5 พี่ชายก็พาไปหาซื้อกระโปรงใหม่ แล้วก็เข้าไปสอบ วันต่อมาเขาก็ประกาศผลว่าเราคือท็อป 10 ข้อเขียน ตอนนั้นคุณแม่ที่ไปด้วยน้ำตาไหล เขาคงภาคภูมิใจในตัวเรา เสร็จแล้วกลายเป็นว่าเราได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทุน YFU หรือ Youth for Understanding

มันมีความตื่นเต้น หนึ่งมันขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต แล้วบิน 24 ชั่วโมง เปลี่ยนไฟล์ทบิน 4 รอบ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาของเด็กอายุ 17-18 แล้วพอไปถึงเราไม่รู้จักคำว่า Homesick เลย เรารู้แค่ว่ามันสนุก ทำทุกวันให้มันสนุก กลายเป็นว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่เป็นเอเชีย คือในอเมริกาสมัยก่อนยังมีเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ เด็กเอเชียมาจะต้องโดนบลูลี่ โดนแกล้ง แต่เรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับดิฉันเลย คือหยาดได้ทำทุกกิจกรรมที่เพื่อน ๆ คนอื่นทำ เพราะว่าโฮสต์แฟมิลี่ก็สนับสนุน คุณครูก็สนับสนุน เราได้รับเกียรติถึงขั้นได้ร้องเพลงชาติของอเมริกาเวลาเปิดบาสเก็ตบอลเกมส์ของโรงเรียน ซึ่งมันเป็นเกียรติมาก ปกติเขาต้องให้ดาวโรงเรียนทำ แล้วบังเอิญดาวโรงเรียนเป็นเพื่อนสนิทเราอีก มันก็เลยไม่มีแบบว่า Gossip Girl ไม่มีการแย่งชิง ตอนนั้นภาษาเราไม่ได้เก่งมาก เราอาศัยความอยากรู้อยากเห็นความกล้าแสดงออก 
ความอยากเรียนรู้ ฝรั่งเขาชอบแบบนี้ค่ะ ฝรั่งเขาจะต่างกับคนไทยนิดนึงคือคนไทยจะขี้อาย แต่ฝรั่งคือถ้าเธอไม่พูดเธอคือจมไปเลย ถ้าเธออยากมีเพื่อนเธอต้องกล้าพูด เธอต้องกล้าแสดงออก เธอต้องมีตัวตน เวลาอยากให้ทำอะไร ฝรั่งเขาจะชอบแบบ go go! คือเชียร์ พอโดนเชียร์ฉันเลยฉันตีลังกาไปเลย ฉันไม่กลัว ฉันสวย มั่นใจ ไม่กลัว หนองบัวลำภู ทำทุกอย่างเลยค่ะ

สิ่งที่ยากของการไปอยู่ต่างประเทศ คือการที่ทำยังไงให้เราไม่หิว เพราะอาหารเขาอร่อย ตอนนั้นน้ำหนักขึ้น 13 กิโลกรัม ท้อใจมาก ส่วนชื่อไม่ต้องเปลี่ยนเขาเรียกฝน เพราะตอนนั้นยังชื่อน้ำฝนอยู่ แล้วก็สมัยก่อนเหมือนยังไม่ได้มี Facebook , Line ก็จะเป็นโทรหาคุณแม่เดือนละ 1-2 ครั้ง แล้วก็จะกำหนดนาทีด้วยว่าไม่เกินกี่นาที เพราะมันโทรนาทีละ 30-40 บาทเลย สมัยก่อนมันยังเป็นโทรศัพท์บ้านอยู่เลยค่ะ การไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมครั้งนั้น ทำให้เรื่องของภาษาเรา Flow ขึ้น เพราะเราอยู่ตรงนั้นเราต้องพูด เราต้องอ่าน เราต้องเขียน เราต้องเรียน เราก็เข้าใจความหลากหลายวัฒนธรรม เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาก้าวไกลเขาเป็นยังไง ได้เห็นเยอะมากค่ะ ในวัยนั้นรู้สึกแค่ว่าโอ้โหโลกมันกว้างกว่าที่เราคิดเยอะ

พอกลับมาปุ๊บ ก็เข้าโครงการทูบีนัมเบอร์วัน เพราะรู้แล้วว่ากิจกรรมนี้เราจะได้ร้องเพลง เราจะได้เต้น เราจะได้เล่นกีฬา แล้วก็มาถึงจุดที่ต้องเรียนมาหาวิทยาลัย จะเลือกคณะอะไรดี ตอนนั้นนิเทศศาสตร์อยู่ในใจเราอยู่แล้วแหละ แต่เราจะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี อันนี้คือปัญหาของเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนต้องเจอ ที่อยากจะเรียนในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อยากให้เรียน เพราะที่บ้านเรียนนิติศาสตร์หมดเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็คงคิดว่าเราก็คงไม่หนีไกลจากนี้ ให้หนีไกลได้มากสุดสองอย่างคือเป็นทูตกับเป็นครู แต่ว่าโชคดีที่คณะนิเทศศาสตร์ที่ มช. ชื่อว่าคณะการสื่อสารมวลชน ก็เลยเอามาให้พ่อแม่ดูว่าเนี่ย เดี๋ยวจะเรียนคณะนี้นะ เค้าก็ถามว่าสื่อสารมวลชนเรียนไปทำอะไร หนูก็ตอบไปเลยว่าเรียนไปเป็นนักข่าว ตอนนั้นเวลาก่อนดูหนังดูละครนักข่าวเขาต้องใส่สูทให้มันดูภูมิฐาน ซี่งถ้าไปบอกว่าจบไปเป็นดารา เป็นยูทูปเบอร์ ไม่มีวันได้เรียน ไปบอกว่าเป็นนักข่าว เขาก็โอเคได้แต่งตัวดูดีใช้ได้ ๆ พอเข้ามาเรียน ได้อ่านข่าวตอนเรียนอยู่วิชาหนึ่งครั้งเดียวเท่านั้นเองค่ะ

คราวนี้โซเชียลมันก็เริ่มมา คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มเห็นเพื่อนแท็กรูปเราบ้าง กิจกรรมที่เราเล่นโอ้โหเราก็ใช่ว่าจะธรรมดา ร้องเพลงสันทนาการนั่นนู้นนี่ คืออยู่ปีหนึ่งก็รับน้องเต็มที่ไม่พอ ขึ้นมาปีสองได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าสันทนาการผู้หญิงคนแรกของคณะอีก

ความโชคดีของหนูอย่างหนึ่งคือ หนูจะรู้วิธีการพูดกับคุณพ่อคุณแม่ผู้ใหญ่ การสื่อสารสำคัญมาก เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทะเลาะกับใคร ไม่ทะเลาะกับที่บ้าน ไม่ทะเลาะกับแฟน ไม่ทะเลาะกับใคร เพราะเรามีวิธีการสื่อสารที่จะทำให้เขาเข้าใจ เรารู้ระหว่างเรากับพ่อแม่มีช่วงอายุที่ค่อนข้างห่างกัน เรื่องของช่วงวัย เรื่องของความเข้าใจอะไรในหลาย ๆ อย่าง เราจะรู้แล้วว่าเขาคิดแบบนี้ เราจะเข้าหาเขายังไง ฉะนั้นใครที่เจอปัญหาคุยกับพ่อแม่ไม่เข้าใจ ลองเข้าใจเขาครึ่งนึง เอาใจเขามาใส่ใจเราครึ่งนึง ลองนึกดูว่าถ้าจะพูดกับเขาควรพูดแบบไหนแล้วเขาจะ say yes อย่าไปใช้อารมณ์ ถ้าใช้อารมณ์ทะเลาะกันแน่นอน ดังนั้นวิธีการอธิบายสำคัญมาก ๆ

 

หยาดพิรุณ เพื่อนสาวของเหล่า LGBTQ+

จะเห็นว่า หยาดพิรุณ มีเพื่อนเยอะมาก แล้วส่วนมากจะเป็นกะเทย กลายเป็นที่มาความสงสัยของใครหลาย ๆ คน ที่นึกว่าหยาดพิรุณ คือกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งหยาดพิรุณได้แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า “มันเหมือนพรหมลิขิต หรือเวรกรรมสักอย่างหนึ่ง ที่มันจะหลอมรวมมาด้วยธรรมชาติของกฎแรงดึงดูดอะไรไม่รู้ ตั้งแต่ประถมหยาดมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ เป็นสาวสองตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็มีมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าเราจะย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนเพื่อน ก็จะมีเพื่อนเป็น LGBTQ+ ตลอดเสมอมา จนเราโตเราถึงนึกได้ว่าเราชอบเล่นกับคนกลุ่มนี้เพราะเขาสนุกสนาน มันเลยทำให้เราซึมซับส่วนนั้นมาโดยไม่รู้ตัวในบางที แต่จริง ๆ หยาดก็คือผู้หญิงธรรมดา ๆ นี่แหละค่ะ คือหยาดชอบ LGBTQ+ อย่างนึง อันนี้เราไม่ได้แบ่งว่าใครเป็นเพศอะไร แต่แค่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เขามีความคิดสร้างสรรค์ เขามีความสนุกสนาน เขามีความเฟรนลี่ เขามีดีเอ็นเอบางอย่างที่เข้ากับเราได้ บางคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถเจอแล้วคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานได้เลย”

 

ผิดที่ไว้ใจ! บางครั้งเพื่อนที่ร้าย ก็ไม่จำเป็นต้องทนคบ

แม้จะมีเพื่อนเยอะมากแต่ครั้งหนึ่ง หยาดพิรุณ ก็เคยเจ็บจากการไว้ใจ เพราะเคยมีข่าวโดนอดีตผู้จัดการโกงค่าตัวกว่า 3 ล้านบาท! โดยเธอได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “คนนี้เป็นเพื่อนรักที่สุดในชีวิตด้วย 10 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นพอเราเริ่มมีกระแสเริ่มดัง เราจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราก็รับโทรศัพท์ไม่ไหวก็เลยให้เขามาช่วยรับงานให้  ปรากฎว่าด้วยความไว้ใจเขาก็ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการรับเงินเข้าบัญชีตัวเอง รับงานโดยไม่บอกเรา บางทีมีงานเข้ามาเขาจะไม่อธิบายให้เราฟังก่อน ซึ่งปกติแล้วเราต้องรับทราบงานก่อนที่เราจะคอนเฟิร์มกับใครก็ตามเพราะว่ามันคือการทำงานของเรา ทีนี้เขาไม่บอกแล้วเขาก็รีบไปรับมา พอมันเกิดปัญหาหนูก็ต้องทยอยคอยแก้ อยู่กันอย่างนั้นประมาณสองเดือนสามเดือนก็มีปัญหามาเรื่อย ๆ จนวันที่มันเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น ความแตกขึ้นมา เราก็ใจดีปล่อยเขาไปเพราะว่าเห็นเขาเป็นเพื่อน คือเราปล่อยเขาไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาทำผิดกับเรามากขนาดไหน แต่พอปล่อยเขาไปเสร็จเขาก็ยังไม่หยุด เขายังใช้โอกาสตรงที่ไม่มีใครทราบแอบรับงานแล้วก็ไปจ้างลูกค้าปลอมอีก ซึ่งแย่กว่านั้นพอเราไม่พูดไม่จาไม่บอกใครเพราะเป็นเพื่อนสนิท เราก็ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง แต่พอเราไม่พูดปุ๊บ กลายเป็นว่าเขาก็ไปพูดกับเพื่อนอีกแบบนึง กลายเป็นเรื่องเป็นราว บางคนไม่เข้าใจเราโกรธเราเกลียดเราก็มี หาว่าเราทำร้ายเพื่อน เสียใจที่สุดในชีวิตหนูใช้คำนี้เลย

คือตอนนี้ Move on จากเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ใช่ค่ะ เราไม่คิดว่าคนรอบตัวเราเป็นคนไม่ดีไม่เคยคิดอย่างงั้นเลย จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเรารู้สึกว่า โอเค คนเรามันมีอีกด้านหนึ่งจริง ๆ ก็ทำให้รู้ว่าจะทำอะไรก็ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้บอกว่าปิดกั้นตัวเองที่อยากจะคบกับใครนะคะ คือใครดีกับเราเราก็ดีกับเขา แค่นั้นเลยใช้ชีวิตแบบนั้นเลยในทุกวันนี้

ถ้าถามหยาด เรื่องนี้เขาผิดอยู่แล้ว 100% มันผิดทั้งกฎหมาย ผิดจรรยาบรรณศีลธรรม คือทุกอย่างมันผิด แต่มันคือวิธีการของคนที่รับสาร รับสารจากใคร ฟังเรื่องราวจากใครไม่มีใครไปนั่งพูดว่าตัวเองผิด ทุกคนต้องพูดตัวเองในทางที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างที่บอกเรื่องนี้ไม่อยากให้ซีเรียส หรือเครียดกับมันมาก เพราะว่าตัวหยาดเองปล่อยวางไปแล้วคือจบไปแล้ว แต่ส่วนที่เหลือคือก็ให้กฎหมายจัดการแค่นั้น Move on แล้วแฮปปี้มากตอนนี้”

 

 

จะตายทั้งที ขอให้ได้เจอสามีก่อนเจ้าค่ะ!

มีเรื่องราวสุดพีค ของการฝืนดวงแบบตัวแม่ ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้เล่าเหตุการณ์ชวนอึ้งนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปหาคู่ คือเพื่อนไปดูดวงกับพระรูปนี้มา แล้วท่านแม่น แล้วกะเทยอะแม่ แบบว่าใครไปดูหมอแม่นก็ต้องพาเพื่อนไป หยาดก็ไปด้วย ถึงเวลาท่านก็บอกว่า เดือนนี้มิถุนายนนะที่มาดูดวง เดี๋ยวสักประมาณธันวานี่แหละใกล้ละ หยาดถามว่าทำไมเหรอคะ ท่านบอกเดี๋ยวประมาณธันวาเนี่ย ตาย!! ท่านทักแบบนี้เลย แล้วใครจะไม่กลัว ไอ้เราคิดว่ากลัวเรื่องตายแล้ว พอตอนจะกลับปุ๊บ ก็ถามต่อว่า สรุปหนูจะมีแฟนไหมคะ? ก็ต้องถาม เพราะจากมิถุนาไปธันวามันก็หลายเดือนอยู่นะ ขอมีก่อนได้ไหมล่ะ ท่านบอกว่า ไม่ต้องมีเธอมันชอบทำงานไม่ต้องมีหรอกปวดหัว หยาดก็ถามต่อว่ามันจะไม่มีเลยเหรอคะ คืออยากถามเฉย ๆ ไม่มีไม่เป็นไรแค่อยากรู้ ท่านก็เหมือนรำคาญเลยบอกว่า เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ จะเจอเด็กหนุ่ม เดี๋ยวเขาจะมาจีบ ซึ่งหยาดไม่ชอบเด็ก เลยคุยกับพระว่า ไม่เอา ๆ แต่ท่านก็บอกกลับมาว่า ชอบ คนนี้เราชอบแน่นอน เราก็ลาท่านมาไม่ได้คิดอะไรเลยตอนนั้น

หลังจากได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ตามธรรมเนียมเสร็จสรรพ แม่! มันเจอจริง ๆ ไม่ถึงสองอาทิตย์ คือเราไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อเรา แต่ปรากฏว่า พอมันจะเจอก็เจอ ก็เป็นคุณโบ เป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่อายุน้อยกว่าตั้ง 5 –6 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนกับเขาก็นัดปาร์ตี้กันและ เขาก็ชวนหยาดไป รอบแรกหยาดไม่ไป เราไปวันที่สองที่เขานัดกัน ก็ไปเจอ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออน้องคนนี้น่ารักนิสัยดีจังเลย พูดคุยถูกปากถูกคอ ก็คุยกันต่อมาเรื่อย ๆ พอเราเจอกันได้ 4 – 5 วันเราก็ต้องแยกกัน เขาจะต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งเราอยู่เชียงใหม่ เขาซื้อกำไลข้อเท้ากับเคสมือถือมาให้ เพราะเขาสังเกตว่าเคสมือถือเรามันเก่าแล้ว เขาก็ซื้อเป็นสีชมพูพาสเทลหวาน ๆ เราก็รู้สึกเอ๊ะหรือว่าเขาคิดอะไรกับเราหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ยังทักมาคุยอยู่เรื่อย ๆ คือมันคุยสนุกค่ะ ทักกันไปทักกันมา ปรากฏว่าครบประมาณเดือนนึง เขาก็เหมือนกลัวว่าเราจะไม่ Say Yes ก็เลยขอเป็นแฟนเลย เดือนเดียว ที่รายการจีบหนูหน่อย รายการของพี่โอ๊ต ตอนนั้นก็เป็นกระแส ก็ Sold out ไปเลย”

 

 

มุมมองความรัก ของหยาดพิรุณ

จะเห็นว่าคู่ของหยาดพิรุณเป็นคู่รักที่หวานมาก ๆ หากได้ติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลของหยาดพิรุณ โดยเธอได้แชร์มุมมองความรักให้ฟังว่า “คุณโบ เป็นทรานส์แมน เขาเป็นผู้หญิงที่ข้ามเพศไปเป็นผู้ชาย เขาจะตัดหน้าอก และมีการผ่าตัดอะไรของเขาเสร็จสรรพ มีการเทคฮอร์โมน มันก็เหมือนผู้ชายที่จะข้ามไปเป็นผู้หญิงเหมือนกันเลย ส่วนจิตใจเขาคือผู้ชายคนหนึ่งเลย เท่าที่เราสัมผัส บอกก่อนว่าวันแรกที่เจอนึกว่าเขาเป็นเกย์ นึกว่าเป็นลูกสาว หุ่นเขาเหมือนผู้ชายแต่ว่าภาษาเขาคือเขาเรียนโรงเรียนหญิงล้วน เขาจะมีมือไม้ความจริตหญิงล้วน เราก็คิดว่าลูกสาวฉันแน่นอน งานเกย์แน่นอน แต่พอคุยไปคุยมาเขาก็มีความแมนขึ้น ความสุภาพบุรุษ เราเลยเข้าใจเขาเรื่องรัก ไม่ติดเลยค่ะเพราะก่อนหน้านี้ก็มีแฟนที่เป็น LGBTQ+ ที่เป็นแบบนี้มาก่อน ที่บ้านเขารักโบมาก แฮปปี้มากคือสองครอบครัวแฮปปี้มาก ครอบครัวโบก็ชอบเรา ครอบครัวเราก็ชอบโบ แล้วเหมือนที่บ้านเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องความรักของลูกเท่าไหร่ ลูกรักใครก็รักตาม ตอนแรกเราก็แอบเกรงใจกลัวพ่อแม่จะไม่โอเค แต่จริง ๆ พ่อแม่เราก็เอ็นดูเขา ตอนนี้คบกัน กำลังจะ 2 ปี แล้วค่ะ แข็งแรงดี เฮลตี้ดี”

 

รักทางไกล ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น

ในตอนนี้ ความรักของหยาดพิรุณ เรียกว่าเป็น “รักทางไกล” เพราะคุณโบ ต้องไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา ซึ่ง หยาดพิรุณ ได้แชร์เรื่องราวรักทางไกลให้เราฟังว่า “รักทางไกลมาก เพราะตอนนี้อยู่แคนาดา เขาไปเรียนต่อค่ะไปประมาณ 7 – 8 เดือนแล้ว แต่อุปสรรคเรื่องระยะทางไม่ได้เกิดขึ้นกับคู่ของเรา เหมือนก่อนไปเราตกลงกันแล้วว่าเขาจะไปทำอะไร คือเขาอายุยังเด็กมาก 25 – 26 เอง เขาถามเราก่อนว่าจะให้เขาไปไหม เรารู้สึกว่าทำไมถึงจะไม่ไป เธอได้โอกาสขนาดนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ไปเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ ไปหาความรู้ ถ้าอีกหน่อยอยากลับมาก็มา ไม่อยากกลับมาอยู่ต่อ ก็เดี๋ยวว่ากันในอนาคต อย่าเพิ่งนึกถึงว่ามันจะต้องห่างกัน นึกถึงอนาคตของตัวเองก่อน เราบอกเขาแบบนี้ คือเหมือนเราคบกันแบบผู้ใหญ่มาก มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

คือโบเขาจะมี 2 พาร์ท พาร์ทจริงจังเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งโตกว่าหยาดอีก เขาจะมีความคิด คือเขาเรียนเศรษฐศาสตร์มา เขาจะมีความคิดที่ก้าวหน้า เป็นแบบเป็นแผน เป็นระบบมาก แต่ในอีกฝั่งนึงเขาจะมีความกระเทย เขาจะคุยเล่นคุยสนุก คือเขาเป็น อภิชาตแฟน เราไม่ได้จะอวยแฟน แต่เขาเป็นคนดีจริง ๆ ดีมาก ๆ ด้วยเนื้อแท้ เขารักครอบครัว เขารักเพื่อน ใครที่อยู่กับโบจะรักเขาหมดเลย อือ เขาน่ารักมาก เขาสนุกมาก เวลาหนูปาร์ตี้บ้านเพื่อน เราไม่เคยมานั่งนิ่ง เราต้องมีไมค์ เราต้องหยิบจับมาร้องเพลง เขาจะเชียร์ เขาจะถ่ายวิดีโอ เขาจะเป็นสายซัพพอร์ท เขามีความสุขมากที่เราเป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคู่เราไม่ทะเลาะหรือมีปัญหานะ มันก็จะมีบางมุมที่เขาคิดแบบนึงเราคิดแบบนึง แต่ความเป็นผู้ใหญ่ของโบ ทำให้บางทีจะทะเลาะปุ๊ปมองหน้ากัน ตัวเรามันก็ตลกอีก ตัวเขาก็ขำ ก็ลืมเรื่องทะเลาะไปเลย”

 

 

รับสายสุดเซอร์ไพรส์  ส่งต่อกำลังใจให้กัน

หนึ่งสายที่โทรเข้ามาเซอร์ไพรส์ แต่หยาดพิรุณก็จำได้ตั้งแต่คำทักทายแรก ว่านี่คือเสียงของ คุณโบ แฟนหนุ่มของเธอที่โฟนอินมาจากแคนาดา โดยคุณโบ ได้เล่าเรื่องราวความประทับใจ พร้อมส่งต่อความรักจากทางไกลมาให้หยาดพิรุณด้วย “หยาดเป็นคนที่ถ้าคิดอะไรแล้ว เขาจะโฟกัสแล้วมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นมาก ๆ  ก็อยากให้เขาเริ่มวางแผนชีวิตระยะยาว ค่อย ๆ วางแผนก็ได้ ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำไป อยากให้มองไกล ๆ มากขึ้น เพราะว่าอายุเราก็ไม่น้อยกันแล้วทั้งสองคน

โบคิดว่า การดูแลซัพพอร์ทตอนนี้ทำได้แค่ความรู้ครับ อาจจะไม่ได้ไปดูแลได้มากเท่าเดิม เหมือนที่หยาดบอกเลยครับ ก็เราก็คุยกันแล้ว บางทีโบก็บอกหยาดว่า บางครั้งโบเองก็ไม่มีเวลาที่จะคุยกันนะ ตื่นเช้าออกไปทำงาน บางทีกลับมาไม่ตรงเวลากัน บางทีเหนื่อยไม่อยากจะคุยกัน นอนหลับก็มี เพราะฉะนั้นการที่รักทางไกลมันอาจจะไม่ได้ลำบากก็ได้ อยู่ที่เราสองคนจะดูแลกันและกันได้มากแค่ไหน”

 

คนเราเลือกเกิดได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้

กลายเป็นประโยคไวรัลที่คนชื่นชอบมาก ๆ เมื่อครั้งที่หยาดพิรุณ ได้ไปประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ เมื่อปี 2561 คำตอบนี้สร้างความประทับใจให้กรรมการและแฟนนางงาม จนเธอสามารถคว้ามงกุฎมาได้ โดยเธอเล่าเหตุการณ์นี้ว่า “หนูแค่จะขอบคุณเวที ที่เขาเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยให้มาแสดงศักยภาพ หนูก็เลยตบท้ายไปว่า คนเฮาเลือกเกิดบ่ได้นะเจ้า แต่สิว่าจะเลือกบ่เกิดก็ไม่ได้คือกันจ่ะ ก็คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ คนมันจะเกิดก็เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดมาแล้วก็ใช้โอกาสนั้นให้คุ้ม นี่แหละคือสิ่งที่จะพูดต่อ คนก็ดันไปแคปแค่ตรงนั้น ก็ไปกระจายกันเต็มกลายเป็นไวรัลยิ่งใหญ่ คนก็เลยเริ่มรู้จักหยาดตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว จริง ๆ ประมาณปี 2561 แล้วค่อยมาคัพเวอร์เพลงตอนปี 2563”

 

 

“ม่วนไผม่วนมัน” ซิงเกิลแรกเติมเต็มความฝันของหยาดพิรุณ

“ความฝันของเด็กอิสานทุกคนที่อยากจะเป็นนักร้อง แล้วก็อยากจะเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ส่วนมากคนจะเข้าใจว่าเราชอบร้องสากล ชอบ R&B รึเปล่า แต่ความจริงแล้วคือหนูเติบโตมากับเพลงลูกทุ่งอิสาน ใครจะบอกว่าลูกทุ่งมันไม่เลิศ มันไม่แพง สำหรับหยาดไม่คิดอย่างนั้นเลย ลูกทุ่งมันคือจิตวิญญาณของเราเลย เราอยากจะทำเพลงให้มันสนุกสนาน ออกมาให้ทุกคน ได้สนุกให้ม่วนกันก็เลยเกิดมาเป็น ม่วนไผม่วนมัน ติดตามได้นะคะ ฟังได้ใน Youtube : YARDPIRUN แล้วก็สตรีมมิ่งทุกช่องทางเลย ขอบคุณมากค่ะ” - หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดสตอรี่ที่เปี่ยมแรงบันดาลใจ จาก “เบนซ์ ขมคอ” อินฟลูฯตัวแม่ ผู้อัปเดตทุกกระแสโซเชียล

04 ธ.ค. 2024

เปิดสตอรี่ที่เปี่ยมแรงบันดาลใจ จาก “เบนซ์ ขมคอ” อินฟลูฯตัวแม่ ผู้อัปเดตทุกกระแสโซเชียล

“ความพยายามไม่เคยทรยศใคร เพราะกว่าจะเป็น เบนซ์ ขมคอ ได้ทุกวันนี้มันเกิดจาก ความพยายามล้วน ๆ เลย ใครที่ช่วงนี้ชีวิตท้อแท้อยู่ วันนี้เราอาจจะพยายามมาเป็นร้อยครั้ง แต่ใครจะไปรู้ มันอาจจะสำเร็จครั้งที่ 101 ก็ได้”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “เบนซ์ ขมคอ” จากผู้เข้าประกวดร้องเพลงในรายการดัง ด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ บวกกับการได้เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นผู้เข้าประกวดที่ได้รับความนิยม สู่ชีวิตที่พลิกผัน ให้กลายเป็นผู้อัปเดตทุกกระแสในโซเชียลผ่าน Tiktok จนกลายเป็นที่รู้จัก เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส ของ ด.ช. จิรายุ“เอาจริง ๆ โลกในโรงเรียนของเบนซ์บันเทิงมากเลย ซึ่งเบนซ์เรียนที่เชียงใหม่ แล้วโรงเรียนของเบนซ์ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ซึ่งเพิ่งมีการรับนักเรียนชายได้ไม่กี่รุ่น ดังนั้นในห้องก็จะมีผู้ชายไม่เยอะ นักเรียนผู้หญิง 40 คน ผู้ชาย 8 คน เป็นกะเทยไปแล้ว 7 ทำให้การเล่นต่าง ๆ กับเพื่อนหรือจริตการพูดคุย มันก็เลยกลายเป็นความธรรมชาติมาก ๆ บวกกับที่เบนซ์อยากเรียนนิเทศศาสตร์ด้วย เพราะเราชอบวงการบันเทิงอยู่แล้ว แล้วก็มีโอกาสได้มองเห็นพี่ชายตัวเองที่เค้าอยู่ในวงการบันเทิงแล้วมันมีความสุข ก็เลยอยากจะอยู่วงการบันเทิงบ้างเบนซ์เรียนจบ คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอก Voice เพราะมีความใฝ่ฝันอยู่แล้วว่าอยากเป็นนักร้อง จนมาเจอรายการ Stage Fighter ไมค์หมู่ สู้ฟัด ที่เค้าจะให้ออกซิงเกิล ได้ขึ้นคอนเสิร์ตกรีนเวฟ ขึ้นคอนเสิร์ตแกรมมี่ แล้วก็ได้เงินรางวัล เราเลยคิดว่านี่แหละ รายการที่ฉันจะประกวด แต่ก่อนหน้านั้น เบนซ์ก็เคยประกวด AF ซึ่งตอนประกวดเรายังไม่ได้เปิดเผยตัวตนมากมายขนาดนั้น”การประกวดร้องเพลง ที่ไม่ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่“ตัวตนของเราในตอนที่ประกวด AF ไม่มีการเปล่งประกายอะไรออกมาเลย แทบไม่ได้เป็นตัวเองเลย เพราะเรากั๊ก ตอนนั้นแอ๊บแมนอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าการเป็นตัวเอง มันจะมีมวลความสุขออกมาให้คนอื่นเห็นขนาดนี้ ซึ่งตอนประกวดซีซั่น 8 มันจะมีให้เข้าบ้าน 1 อาทิตย์ 36 คนสุดท้าย แล้วมันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เบนซ์รู้สึกว่า หรือการแสดงออกมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าตอนนั้น เบนซ์มีโอกาสได้เข้าไปรอบ 36 คนสุดท้ายจาก Fast Track เข้ารอบสุดท้ายไปเลย ปรากฎว่าพอเราเข้ารอบ 36 คนสุดท้ายก็มีกรรมการท่านหนึ่งเดินมาพูดกับเราว่า ถ้าวันนั้นเค้าอยู่ คุณไม่ได้เข้ารอบมาถึงตอนนี้หรอก เราก็เลยคิดว่าการแสดงออกมันจะดีไหม นี่ขนาดเรายังไม่แสดงออกเต็มที่นะ ยังโดนปิดกั้นขนาดนี้ แล้วถ้าเราแสดงออกเต็มที่ ก็คงไม่มีโอกาสเลยมั้ง เราก็เลยติดอยู่กับความคิดนั้นมานานมาก ๆ”ย้อนที่มากว่าจะเป็นชื่อ เบนซ์ ขมคอ“ชื่อนี้เกิดจากการที่เบนซ์มีโอกาสไปประกวดรายการของทางจีเอ็มเอ็ม 25 ก็คือรายการ Stage Fighter ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้ตามหานักร้องที่เสียงดีอย่างเดียว แต่ต้องมีคาแรกเตอร์ มีการเอ็นเตอร์เทนต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเบนซ์ก็ได้ไปออดิชั่น ก็รวมทีมกับเพื่อนอีก 2 คนชื่อ เมย์ กับ มุกแล้วชื่อขมคอ มาจากที่วันนั้นพวกเราสามคนเป็นนักร้องกลางคืน ซึ่งแน่นอนพอเราร้องเพลงกลางคืน เราก็จะได้รับเครื่องดื่มเป็นรางวัล เป็นแก้วแล้วก็พันแบงค์มา ซึ่งทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ ก็ต้องมีการดื่ม ทำให้ตอนเช้าเรามาออดิชั่นกันแบบมีอาการไม่เต็มร้อย แล้วพอมาถึงปุ๊บ รายการบอกว่าต้องตั้งชื่อทีมเลย ซึ่งตอนนั้นทีมเราก็ไม่ได้สนิทกันมาก ก็คิดกันว่าชื่อทีมอะไรดี แต่พวกเราดื่มกันมาหนักมากเลย ชื่อขมคอแล้วกัน ก็เลยตั้งชื่อทีมว่า ขมคอ ซึ่งถ้ารู้ว่าจะต้องใช้นามสกุลว่าขมคอตลอดชีวิตขนาดนี้ ก็จะตั้งชื่อที่มันดูสวยงามกว่านี้ แล้วก็เลยกลายเป็นชื่อที่เราต้องใช้ยาว ๆ จนถึงทุกวันนี้”Stage Fighter ไม่ใช่แค่ร้องดี แต่ต้อง Show ให้เลิศ“คือรูปแบบรายการคือ ต้องทำยังไงก็ได้ให้กรรมการกดคะแนนให้เรา ดังนั้น 1 แต้มมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ จะเต้น จะเอ็นเตอร์เทน จะใส่ความทะเล้นไปในเพลง หรือว่าดีไซน์โชว์ของเรา เบนซ์ขอเรียกว่าเป็นการประกวดโชว์ดีกว่า เพราะว่ามันเป็นการโชว์ต่าง ๆ ให้รูปแบบรายการมันสนุกสนาน ซึ่งเบนซ์ก็มาในพาร์ทของการเอ็นเตอร์เทนอย่างเต็มที่ ซึ่งคนก็จะงงว่าร้องไม่เห็นเพราะเลย ทำไมได้ที่ 1 เพลงนี้ทำไมชนะอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเสียงที่ดีมากซึ่งเพลงที่เบนซ์โชว์แล้วเป็นไวรัลทำให้คนรู้จักก็คือ พ่อกลับบ้านค่ะ แล้วได้ที่ 1 ซึ่งคนดูก็ด่าฉ่ำด้วยความที่เค้าเข้าใจว่ามันคือรายการประกวดร้องเพลง พออีกฝั่งเค้าเอาเพลงที่ร้องดีที่สุดของตัวเองมาสู้อยู่แล้ว ซึ่งเรารู้ว่า ถ้าเราเอาเพลงที่เราร้องดีไปแข่งกับคนนี้ เราไม่ได้แน่นอน มันเหมือนการวางแผนเลือกเพลงมาต่อสู้กัน เราก็เลยเลือกเพลงที่เราน่าจะทำคะแนนได้มากที่สุด ก็คือเพลงที่เอ็นเตอร์เทนคนได้ แล้วก็กลายเป็นเราชนะ ซึ่งคนดูก็มีทั้งเข้าใจรูปแบบรายการ แล้วก็คนที่ไม่เข้าใจก็มี เรียกว่าในโลกโซเชียลก็เดือดอยู่ค่ะตอนนั้น”Show อย่างมั่นใจ เมื่อได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่“ในรายการ Stage Fighter เบนซ์เปิดตัวค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นมันมีความลังเลว่า การที่เรากำลังจะเปิดตัว มันคุ้มค่าพอหรือไม่ เพราะเราก็ต้องแคร์ที่บ้านด้วย ในเรื่องภาพลักษณ์ของเราด้วยว่า ถ้าสมมติเราเปิดตัวออกไปแล้ว ต่อไปนี้ก็จะต้องยอมรับกับสิ่งที่มันจะตามมา เช่น โดนคนแซวหรืออะไรก็ตาม ตอนนั้นเราก็มีความลังเล แต่ปรากฏว่าโชคดีที่ทางรายการเค้าบอกว่า อยากให้เป็นตัวเองแบบเต็มที่ แบบออกทีวีแบบเต็มที่เลยได้มั้ย ซึ่งตอนแรกเราเก้ ๆ กัง ๆ เค้าบอกว่าเบนซ์เอ็นเตอร์เทนดี แต่มันดูเหมือนยังไม่สุด มันน่าจะได้มากกว่านี้ เค้าก็บอกให้ลองทำให้สุดเลยได้มั้ย เราก็เลยมีการโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า เดี๋ยวหลังจากนี้เบนซ์จะมีถ่ายรายการนะ เบนซ์อาจจะต้องมีการแสดงออกที่มันชัดเจนมากขึ้น ก็คือเป็นตัวเองมากขึ้น มีจริตความสาวมากขึ้น ก็เลยโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ เพราะว่าเค้าเป็นคนที่เราแคร์มากที่สุด กลัวว่าเค้าจะอายคนอื่นรึเปล่า ซึ่งพ่อกับแม่บอกว่าเต็มที่ได้เลย จัดเต็มได้เลย ไม่ต้องแคร์ใครเลย เท่านั้นแหละค่ะ เราก็เดินมาบอกทีมงานว่าพร้อมแล้วค่ะเริ่มได้เลย ทีมงานก็เลยตัดสายสะดือออกรายการเลยค่ะพอได้เป็นตัวเองเต็มที่ ฟีดแบ็ครายการออกมาตกใจมาก คือมันดีมาก เพราะว่าเพลงแรกของเบนซ์ เป็นเพลง ประเทือง เราก็วางคาแรกเตอร์ของเราว่า เราจะออกไปแบบแมน ๆ ก่อน เป็นหนุ่มร็อคจากเชียงใหม่ พอเสร็จในท่อน ว้าย ๆ เราก็ร้อง ว๊าย ว๊าย ว๊ายไปเลย กลายเป็นว่าผลตอบรับดี ทุกคนตกใจแล้วก็เซอร์ไพรส์กับโชว์ของเรามาก มันกลายเป็นอีก 1 โชว์ที่เรารู้สึกว่าเป็นโชว์ที่เป็นตำนานของเราเบนซ์ว่าการประกวดร้องเพลงมันทำให้เรากล้าแสดงออกบนเวทีมากขึ้น ทุกเวทีมันมีบทเรียนของมันอยู่แล้ว และมันทำให้ความตื่นเต้นของเราลดลงเรื่อย ๆ ประสบการณ์ของเรามากขึ้น เบนซ์มองว่ามันเป็นเรื่องการสะสมประสบการณ์ และเราชอบการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และชอบซึมซับบรรยากาศแบบนั้น ซึ่งเวลาไปประกวดร้องเพลง เราไม่คาดหวังเลย เพราะว่าเราก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเราไม่ได้เกิดมาเสียงดีมาก เพราะในชนิดที่ทุกคนฟังแล้วประทับใจ แต่เราไปเอาบรรยากาศ ไปเอาประสบการณ์ แล้วเบนซ์ได้เพื่อนสนิทจากการประกวดร้องเพลงด้วย ได้เจอคนเยอะมากที่มีความชอบและความฝันแบบเดียวกัน เบนซ์ว่าคนที่เป็น Extrovert จะเข้าใจ มันจะมีความสุขกับการไปเจอคน ไปพูดคุยกับเพื่อน เธอร้องเพลงอะไร เลือกเพลงอะไร บางทีเป็นคู่แข่งกันบนเวที แต่เรายังมานั่งซ้อมร้องให้กันฟังอยู่เลยแล้วการประกวดร้องเพลง ทำห้เบนซ์มีโอกาสทำอาชีพนักร้องคอรัส ด้วยความที่หลังจากประกวด AF ตอนไปประกวดเราไม่เข้ารอบ 12 คนสุดท้าย แต่ผู้ใหญ่เห็นแวว เพราะเราเรียนจบการร้องเพลงมา น่าจะทำงานเบื้องหลังได้ ก็เลยมาชวนให้เราเป็นคอรัส เราเลยตกลง และได้เห็นการทำงานทั้งหมดของ AF ตั้งแต่วันเลือกเพลง วันออดิชั่น กลายเป็นว่าเราอยู่ในทุกกระบวนการของการคัดเลือก 12 คนสุดท้าย เรามีความสุขมาก แล้วทำยาวเลยตั้งแต่ซีซั่น 9 ถึง 12”คนที่กลัวที่สุด กลายเป็นคนที่พร้อมเข้าใจที่สุด“เบนซ์ไม่ได้ตีความว่าคุณพ่อรับเราไม่ได้ แต่ด้วยความที่เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสคุยเปิดอกกัน เค้าไม่ได้อาย และเค้าเป็นคนมาคุยกับเราเองด้วยซ้ำ มันเคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่เรารู้สึกว่าประทับใจแล้วก็ตกใจในเวลาเดียวกัน เพราะว่าคนที่เรากลัวที่สุดว่าจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ หรือว่าเราเกรงใจที่สุดก็คือคุณพ่อ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เปิดอกคุยเรื่องนี้เป็นคนแรกในบ้านคือคุณพ่อ วันนั้นคุณพ่อเป็นคนเดินมาคุย แล้วช่วงนั้นคุณพ่อเหมือนจะไม่สบาย ท่านก็เหมือนไม่อยากจะมีอะไรติดค้างกับลูกตัวเอง ก็เลยมีการแหมือนเปิดประเด็นขึ้นมาว่า พ่อขอถามหน่อยว่าที่เบนซ์เป็นอยู่ตอนนี้มีความสุขไหม เบนซ์ก็บอกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีความสุขมาก พ่อก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเบนซ์ก็จงเป็นเบนซ์ในเวอร์ชั่นที่มีความสุขที่สุดได้เลย อยากทำอะไรทำเลย หลังจากนี้เบนซ์จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร แสดงออกแบบไหน มีชีวิตคู่ยังไง เลือกเองได้เลย เพราะเบนซ์ยืนยันว่าสิ่งที่เบนซ์ทำอยู่มีความสุขแล้วเบนซ์อยากจะบอกว่าเป็นวิธีสื่อสารกับลูกที่ดีมาก ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีลูกเป็น LGBTQ เบนซ์ว่าการสื่อสารแบบนี้มันน่ารัก และมันไม่รู้สึกอึดอัดเลย พ่อบอกว่าห่วงเรื่องการทำงานว่าเราจะทำงานได้ไหม แต่ ณ วันที่เราคุย วันนั้นเราทำงานได้แล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เค้าก็เลยบอกว่าเต็มที่ได้เลย คือปกติที่บ้านก็คือเป็นเซฟโซนอยู่แล้ว แต่หลังจากได้คุยกัน มันกลายเป็นบ้านที่แข็งแรงมาก ๆ คุยได้ทุกเรื่อง แล้วก็รู้สึกว่าการเป็นตัวของตัวเองนั้น พอเรามีความสุข มันจะแผ่กระจายออกไปรอบข้างเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย คนใกล้ชิดเรา เพื่อนร่วมงาน คนที่เจอเราทุกวันก็จะรู้ว่ามวลความสุขของเรามันออกมาข้างนอก แต่ถ้าเป็นคนที่ครอบครัวไม่ยอมรับ หรือที่บ้านอาจจะยังไม่เป็นเซฟโซน เบนซ์มองว่ามันอาจจะทำให้เค้าไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต ซึ่งมันก็อาจจะแผ่ออกไปหาคนรอบข้างได้เช่นเดียวกัน”คอมเมนต์เชิงลบ ที่เริ่มกระทบจิตใจ“หลังจากที่เราประกวดร้องเพลงเสร็จ ด้วยความที่รายการมันกระแสตอบรับดี คอมเมนต์ก็เยอะมาก ๆ จนทีมงานเดินมาถามว่า เบนซ์ได้อ่านคอมเมนต์บ้างรึเปล่า ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหวอย่าอ่านนะ เพราะเค้าเข้าไปอ่านมาแล้ว เราก็คิดว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็เลยไปอ่านบ้าง พอเราไปอ่านก็ตกใจว่าทำไมคนที่เค้าไม่รู้จักเรา เค้าถึงเขียนต่อว่าเราได้ถึงขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องจัดการตัวเราเอง เพราะเราไม่สามารถห้ามให้เค้าเขียนได้ เบนซ์ก็เลยเลือกที่จะไม่อ่าน เพราะเบนซ์รู้สึกว่า ถ้าอ่านแล้วคิดมากไม่ต้องอ่าน ถ้าพร้อมที่จะอ่านเมื่อไหร่ค่อยมาอ่าน เพราะตอนนั้นมันก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่เราแสดงออก เพลงที่เราเลือก วิธีการเดินเกมในรายการมันออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม พอเรามีภูมิต้านทานแล้ว เชื่อมั้ยคะว่าความรู้สึกเรามันเปลี่ยนไป จากการที่อ่านแล้วรู้สึก กลายเป็นว่าอ่านแล้วก็ปล่อยวาง อันไหนที่เค้าติเพื่อก่อ เช่น เพลงนี้น่าจะใส่อันนั้นอันนี้เพิ่มเติมเพลงมันจะได้สมบูรณ์แบบ เราก็มาเตรียมมาปรับปรุง จนตอนนี้ก็สตรองแล้ว อ่านได้หมด แต่ก็ไม่อ่าน เลือกที่จะไม่อ่านไปเลย”โควิด พลิกชีวิตให้เจอเส้นทางที่ใช่“ตอนนั้นเบนซ์ไปร้องเพลงที่ทองหล่อ ก็กลายเป็นคลัสเตอร์ทองหล่อเลย เพราะเป็นนักร้องในผับ แล้วปรากฏว่าวันนั้น มันก็เกิดการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่าในสถานที่นั้น แล้วเราก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็เป็นคนที่ติดโควิด-19 ในช่วงแรก ๆ ข่าวก็ออกเลยเพราะว่าเราตรวจหลายรอบแล้วไม่เจอ เรามาเจอรอบที่ 4 ซึ่งจริง ๆ มันก็ต้องเป็นอยู่แล้ว เพราะว่าเราใช้ไมค์ตัวเดียวกันกับนักร้องหลายคน ซึ่งคนที่ใช้ไมค์ตัวนั้น ทุกคนเป็นหมด ก็ตรวจเจอใน 4 รอบ กลายเป็นข่าวออกใหญ่เลยว่าโควิดเดี๋ยวนี้มันหลบเก่งนะ ตรวจ 4 รอบถึงจะเจอตอนนั้นเบนซ์โดนด่าเละเลยค่ะ งานร้องเพลงก็หมดไม่มีเลย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็โหลดแอพ Tiktok มาเล่น ตอนแรก ๆ ก็เต้นแร้งเต้นกา ลิปซิ้งค์บ้าง เราก็ทำกับเค้าหมดนะ ลองทำแต่เราไม่ได้โพสต์ แต่เราเป็นคนชอบฟังข่าว ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีคนมาสรุปข่าวให้ฟังว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงในแบบฉบับที่คุยเป็นภาษาพูด แล้วเราก็รู้สึกว่าเราใช้การเล่าข่าวแบบนี้กับเพื่อนในกลุ่มอยู่แล้ว เพื่อนในกลุ่มไลน์ของเราก็จะบอกว่าวันนี้มีข่าวนี้มา ข่าวยาวจังเลยฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วเรามีหน้าที่อ่าน แล้วก็กดส่งเสียงให้เพื่อน เหมือนสรุปข่าว แล้วก็กดส่งไปในกรุ๊ป ซึ่งเพื่อนก็เข้าใจภายในไม่กี่ แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่จุดประกายบอกว่าแล้วทำไมแกไม่สรุปข่าวลง Tiktok ทำแบบนี้คนเข้าใจง่ายนะ เราก็เลยลองดู หลังจากนั้นก็ทำยาวมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยความที่เราใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป ดังนั้นมันก็จะมีเรื่องของอรรถรสในเนื้อข่าว หรือว่าความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งในคลิปทีวีมันทำไม่ได้อยู่แล้วสำหรับคนที่เป็นนักข่าว พอคนที่เค้าฟังข่าวแบบเรา เค้าก็จะชอบเพราะว่ามันได้อรรถรส ได้ดูแอคติ้ง คนก็เลยชื่นชอบแล้วก็มีฟีดแบ็คที่ดี”จากเรื่องขมคอ สู่สตอรี่สร้างแรงบันดาลใจ“เบนซ์เป็นคนที่ชอบฟังรายการพอดแคสต์อยู่แล้วไม่ว่าจะของใครก็ตาม เบนซ์ฟังและเป็นแฟนรายการเค้าหมดทุกคน แล้วก็มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะมีรายการพอดแคสต์เป็นของตัวเองบ้าง แล้วก็ ณ วันหนึ่งที่มันโอเค เราสามารถทำรายการเองได้ มีทุนทรัพย์พอ มีทีมงานที่พร้อม ก็เลยเกิด รายการขมคอสตอรี่ ออกมาจริง ๆ แล้ว ขมคอสตอรี่ ไม่ได้มีแค่เรื่องเศร้านะคะ ด้วยชื่อรายการมันอาจจะขมคอสตอรี่ มันดูเป็นรายการดราม่าหนัก ๆ แต่ไม่เลย มันเป็นพอดแคสต์ที่ฟังสบาย ๆ แล้วก็มีเรื่องให้หัวเราะเยอะกว่าเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ แต่มันมีหลายเรื่องมาก ๆ ที่แขกรับเชิญมาออกแล้วเบนซ์รู้สึกว่า เรื่องราวแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงกับคน ๆ นี้เหรอ บางทีรายการออนแอร์ออกไป ก็มีคนจำนวนมากที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับเค้ามาขอบคุณรายการที่พอเค้าฟังก็คิดได้ และได้เอาไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไปเบนซ์รู้สึกมีความสุขมากหลังจากที่รายการออนแอร์ออกไป ถ้าพูดถึงความสุขในชีวิต เบนซ์มอบให้การร้องเพลง ต่ถ้าความสุขที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เบนซ์เลือกพอดแคสต์ เลือกTiktoker จริง ๆ เบนซ์ยังอยากร้องเพลง ณ วันนี้ทุกครั้งที่เบนซ์ร้องเพลง คนก็ยังเซอร์ไพรส์บอกว่า พี่ร้องเพลงได้ด้วยเหรอ เราก็บอกว่าเราเป็นนักร้องค่ะ มาทำนักข่าวทีหลัง เบนซ์ก็เลยยังอยากทำคอนเทนต์ร้องเพลง ก็ยังหาโอกาสอยู่ ยังรับงานร้องเพลงอยู่ จ้างได้เลยค่ะเบนนซ์เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ ม.6 เรียนจบก็ร้องเพลงกลางคืนเลย เพราะว่าตอนนั้นเบนซ์ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ที่เลือกเรียนเอกร้องเพลง ก็เพราะว่าต้องการหาเงิน เลยไปร้องเพลงกลางคืน ก็ไปเจอรุ่นพี่นักดนตรีกลางคืนด้วยกันและพากันไปร้องเพลงเบนซ์มองว่าเป็นข้อดีคือปัจจุบันคนเป็นนักร้องง่ายขึ้นมากจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนอยากเป็นนักร้องต้องประกวดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเป็นนักร้อง เดี๋ยวนี้ใครอยากเป็นนักร้องแค่ตั้งกล้องเลย ร้องแล้วอัพโหลดลงโซเชียล คนดังในชั่วข้ามคืนเยอะแยะมากมาย เบนซ์มองว่าปัจจุบันนี้การเป็นนักร้องมันง่ายมากขึ้น แต่การเป็นนักร้องที่ทุกคนยอมรับ มันก็จะยากมากขึ้น เพราะว่าคนฟังเค้ามีตัวเลือกเยอะมากขึ้นกว่าเดิม อย่างเมื่อก่อนนักร้องมีไม่กี่คน แต่ยุคนี้การหาจุดที่ทำให้แฟนคลับชื่นชอบมันก็จะยากขึ้น”เปิดความรัก ส่องหัวใจ ของ เบนซ์ ขมคอ“ความรักครั้งนี้ดีมาก แต่ก็เคยบอบช้ำจากความรักนะคะ คือเลิกรากันไป แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเสียอกเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย แต่มีความรักครั้งหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันเสียดายมากกว่า เพราะเค้าจากไปโดยที่เราไม่ได้บอกลากันด้วยอุบัติเหตุ คนนี้ คบกัน 4 ปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้บอกลากันใช้เวลาทำใจก็เกือบปีเหมือนกันนะคะ เพราะด้วยความที่เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ยังอยู่ห้องเค้าอยู่เหมือนเดิม ยังมีเสื้อผ้าเค้า ยังมีกลิ่นเค้าทุกอย่าง มันก็เลยทำให้เราไม่ลืม จนเราบอกตัวเองว่า เราต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ก็เลยออกมาอยู่ข้างนอกเอง แล้วก็รู้สึกว่าดีขึ้นหลังจากรักครั้งนั้น เบนซ์คิดว่าไม่มีอีกแล้ว คิดว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไขมันไม่น่าจะมีอีกแล้ว จนมาเจอคนนี้ เราเจอกันผ่านแอพหาคู่ ซึ่งเราเขียนในโปรไฟล์ว่าหาแฟน แล้วปรากฎว่าเค้าก็ตั้งสถานะหาแฟนเหมือนกัน เราก็เลยคุยกับเค้า ปรากฏว่าทุกครั้งที่คุยเสร็จ เค้าจะเปลี่ยนแอ็คเคาท์ใหม่ เราเลยรู้สึกว่าคนนี้แปลก ๆ แต่ก็คุยกันได้ประมาณ 4 ปี เราสงสัยก็เลยถามเค้าว่าทำไมต้องเปลี่ยนแอคเคาท์บ่อย ซึ่งคำตอบของเค้าน่ารักมาก คือทุกครั้งที่เค้าหายไป เพราะเค้าคุยเดทกับคน ๆ หนึ่งอยู่ แล้วเค้าก็เลยลบไม่เล่น แล้วกับการที่เค้ามาสมัครใหม่นั่นแปลว่าเค้าเลิกกับคนนั้นแล้ว เค้าไม่ได้เดทกับคนนั้นแล้ว เค้าก็เลยสมัครใหม่ เค้ามีความจริงจังกับความสัมพันธ์ทุกครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้นัดเจอกัน พอเจอกันก็เลยรู้สึกว่าคลิกมาก เรารู้สึกว่าคนนี้เค้าจิตใจดีจังเลย แล้วคนที่มีจิตใจดีมันจะเผยแพร่ออกมาเองโดยปริยาย ซึ่ง ณ วันที่เราเดทกับเค้า แล้วเราตกลงเป็นแฟนกันแล้ว เราก็ไม่ได้คุยกับใครอีกเลยเบนซ์ไม่เคยเข้าใจคำว่า ความรักที่มันไม่ต้องพยายาม แต่เพิ่งมารู้ว่ามันเป็นอย่างงี้ มันไม่ต้องพยายามอะไรเลย เราเป็นตัวเองได้ เราไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียเค้าจากการที่เราเป็นตัวของเราเอง ไม่ต้องแอ๊บแมนเวลาไปข้างนอก ทุกอย่างมันสบายมาก มันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่ง แล้วความสัมพันธ์มันปลอดภัยมาก เค้าไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่เคยหายไป ไม่เคยติดต่อไม่ได้ ไม่เคยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่เคยมีสัญญาณแปลก ๆ ไม่มีเลย ณ ตอนนี้ทุกช่วงเวลาในชีวิต หรือการวางแผนอนาคต มันมีเค้าอยู่ในอนาคตของเราตลอด แล้วเค้าก็มีเราอยู่ในอนาคของเค้าตลอด ดังนั้นการวางแผนอนาคตของเบนซ์ก็คือใช้ชีวิตแบบนี้ไปนั่นแหละ ยังไงก็มีเค้าอยู่ในความสัมพันธ์ของเรา ไม่ได้มองเป็นของตายนะ แต่เราคิดเผื่อเค้าในทุกอย่างที่เรามองในอนาคตด้วยแล้ว”ความพยายาม ไม่เคยทรยศใคร“ความทุกข์หนักที่สุดในชีวิต เบนซ์ว่าก็น่าจะเป็นช่วงก่อนจะเป็น Tiktoker เพราะว่าเราไม่มีงานแล้วเป็นโควิดด้วย การใช้จ่ายของเราคือการหยิบเอาเงินสำรองทุกอย่างมาใช้ เบนซ์มองว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นความทุกข์สำหรับเบนซ์นะครับ เพราะเราไม่รู้อนาคตเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อ วันพรุ่งนี้จะได้เริ่มทำงานไหม เดือนหน้าจะได้เริ่มทำงานไหม มันไม่มีอะไรสามารถคอนเฟิร์มเราได้เลย มันอยู่บนความไม่แน่นอน การเกิดของโควิดทำให้การมองชีวิตของเบนซ์เปลี่ยนไปมาก ๆ เมื่อก่อนเรามองอนาคตอันไกลไว้ตลอด ปรากฎว่าเจอโควิดแล้วทุกอย่างมลายหายไปเลย เบนซ์ก็เลยดึงสติเบนซ์ไว้ตลอดเวลาว่าอะไรก็ไม่แน่นอน ดังนั้นทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุด อนาคตค่อยว่ากัน เพราะยังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะทางบวกหรือทางลบ มันเปลี่ยนแปลงแน่นอนแต่เมื่อไหร่แค่นั้นเองวิธีคิดเพื่อก้าวข้ามความทุกข์ เบนซ์ได้จากคุณพ่อ ด้วยความที่บ้านเคยล้มละลายมาก่อนช่วงวิกฤตปี 2540 ตอนนั้นคุณพ่อเครียดมาก ที่บ้านก็เครียดมาก ซึ่งฐานะที่บ้านก็คือแย่ลงทันที ตัวเบนซ์เอง จากเด็กที่มีเงินใช้จ่ายอย่างดี จนที่บ้านไม่เหลืออะไรเลย จะต้องต่อสู้ ซึ่งเบนซ์มองว่าจุดนี้เป็นความทุกข์ แต่กลับเป็นความทุกข์ที่สนุกของเบนซ์ เพราะเบนซ์ได้ไปขายของครั้งแรกในชีวิต ไปขายของตามสะพานลอย ตามป้ายรถเมล์ เพื่อเอาเงินมาเรียนหนังสือ แต่มันสนุกมาก แล้วมันทำให้เรารักการขายของ แล้วคุณพ่อจะสอนวิธีคิดว่า วิธีฮีลใจคือให้หลับไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว ค่อยว่ากันใหม่ว่าเราจะแก้ปัญหายังไง หลับไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะมีทางออกของมันเองที่เป็น เบนซ์ ขมคอ ขึ้นมาได้ มันเกิดจากความพยายามทั้งนั้นเลย แล้วเบนซ์มองว่าความพยายามมันไม่เคยทรยศใคร ดังนั้นใครที่อยากประสบความสำเร็จ หรือช่วงที่ชีวิตท้อแท้อยู่ วันนี้เราอาจจะทำครั้งที่ร้อยแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าอาจจะสำเร็จครั้งที่ 101 ก็ได้ ทำอีกสักครั้งนึง อาจจะสำเร็จรอบที่ 101 ก็ได้ อย่าเพิ่งท้อ ให้มองว่าทำอีกสักรอบแล้วกัน เผื่อมันจะสำเร็จรอบต่อไป แล้วเบนซ์มองว่า ถ้ามันถึงวันและเวลาที่พอดีกับโอกาส มันจะสำเร็จ แล้วความพยายามมันไม่ทรยศใครแน่นอน”สีสันแรงบันดาลใจ จาก เบนซ์ ขมคอ“เบนซ์ว่า เราควรใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท มันต้องคิดไว้ด้วยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก อย่างตอนที่มีโควิด-19 เราจะใช้ชีวิตยังไง หาลู่ทาง หาอาชีพสำรองไว้ บางทีความชื่นชอบของเราหรือว่าความสามารถของเราอาจจะทำเงินได้และถ้าอยากทำอะไรทำเลย ลงมือทำก่อน เพราะถ้าไม่ทำ เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรามีความสามารถมันถูกจริตคนดูไหม จงทำเลยและสม่ำเสมอ จงตั้งใจกับมัน ให้เวลากับมัน ทุ่มเทกับมัน อย่างที่บอกว่า ความพยายามไม่เคยทรยศใครค่ะ” – เบนซ์ ขมคอพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองชีวิตของ “จ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง Tiffany’s Show Pattaya มารดาผู้ยกระดับสาวประเภทสองทั่วโลก

06 มิ.ย. 2023

เปิดมุมมองชีวิตของ “จ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง Tiffany’s Show Pattaya มารดาผู้ยกระดับสาวประเภทสองทั่วโลก

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับ Pride Month เดือนแห่งความหลากหลายและความเท่าเทียม กับแขกสุดพิเศษ ผู้อยู่เบื้องหลัง และคอบผลักดันกลุ่มสาวประเภทสองให้ได้มีอาชีพ และยกระดับให้ทั่วโลกยอมรับผ่านโชว์สุดตระการตา และเวทีการประกวดที่ได้รับความนิยมในระดับโลกเรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มต้นขึ้น เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “คุณจ๋า อลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน” CEO หญิงเก่งแห่งโรงละครTiffany’s Show Pattaya ที่ได้มาพูดคุยเล่าเรื่องราวในการต่อสู้และผลักดัน เพื่อกลุ่มผู้มีความหลากทางเพศ ที่กว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราวที่ คุณจ๋า ได้นำมาแชร์ในรายการกว่าจะเป็น Tiffany’s show เพชรแห่งพัทยา กับการสร้างอาชีพให้ชาว LGBTQ+กว่า 49 ปี ที่โรงละคร Tiffany’s Show Pattaya ได้มุ่งสร้างสรรค์สุดยอดโชว์ และการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจ จนกลายเป็นภาพจำและความประทับใจของใครหลายคน นอกจากนี้ที่นี่ยังถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองพัทยา มากกว่านั้นคือการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน รวมถึงชาว LGBTQ+ ที่เดินทางจากทั่วประเทศหลายร้อยชีวิต โดย คุณจ๋า ได้เล่าที่มา กว่าจะมีการก่อตั้งโรงละคร Tiffany’s show ให้ฟังว่า “จริงๆ แล้วบ้านจ๋าไม่ได้ทำ Tiffany คนที่เป็น Founder คือ คุณวิชัย แต่เรียกว่า คุณอาอั้งตี๋ นะ ซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่าตอนแรกบ้านจ๋าทำธุรกิจท่องเที่ยวในพัทยา ทำโรงแรม คุณพ่อทำร้านแลกเงินตราต่างประเทศ แล้วเค้าก็ไปเห็น Tiffany ที่อยู่ในแหลมบาลีฮาย ตอนนั้น รถทัวร์ รถบัส เข้าไม่ได้เพราะว่ามันเล็กมาก แล้วก็จะมีเรื่องของความเป็นมาเฟียด้วย คุณอาอั้งตี๋ก็เลยมาถามคุณพ่อว่า ต้องทำยังไงดี ช่วยเค้าหน่อยพ่อของจ๋าเค้าก็เลยสร้างเป็นโรงละครให้เค้าเช่า ซึ่งไม่ได้ว่าจะไปเป็นเจ้าของนะ เริ่มแรกนักแสดงก็เป็นสาวประเภทสอง ซึ่งโรงละครตอนนั้นมันเป็นเหมือนบ้านค่ะ แล้วก็มีสะพานข้ามสระว่ายน้ำ แล้วในบ้านเค้าก็ทำเป็นโชว์ ตอนแรกนักแสดงมีคนเดียว ก็คือคุณอ๊อด คุณอ๊อดเนี่ยเป็น Director ปัจจุบันยังอยู่นะคะ ซึ่งคุณอ๊อดกลับมาจากฝรั่งเศส แล้วคุณอาอั้งตี๋ก็ชวนบอกว่า เออฉันอยากจะเปิดบาร์ อ๊อดเธอมาโชว์ให้หน่อย เค้าก็เลยทำโชว์คนผิวดำ เล่นเป็น ไดอานา รอสส์ แล้วก็ติดประกาศบนรถแห่ในพัทยาว่ามีสาวผิวดำมาร้องในบาร์บาร์ทิฟฟานี่โชว์ คุณอ๊อดก็เลยเหมือนปลอมตัวว่าเป็นคนผิวดำ แล้วสามารถลิปซิงก์เป๊ะ พอหลังจากนั้นคนก็พูดกล่าวถึงว่าทิฟฟานี่โชว์บาร์นี้มันสนุกนะ เค้าก็เลยไปเรียกเพื่อน ๆ ที่เป็นเกย์ทั้งหลายมาทำโชว์ ตอนแรกที่เค้าเปิดเนี่ยเค้าทำเป็นเหมือนบาร์ แล้วขายเหล้า ขายดริ๊งค์ แล้วก็โชว์ฟรี ก็คือขายดริ๊งค์ 100 นึง แล้วก็ดูโชว์ไปอะไรอย่างเงี้ยค่ะพอทำไปทำมาประมาณ 2 ปี คุณอาอั้งตี๋เค้าก็บอกว่าเค้าทำไม่เป็น จากนั้นคุณพ่อก็เลยเข้าไปช่วยค่ะว่าจะทำไงดี รถก็เข้าไม่ได้ คนก็ลำบากมาก เค้าก็เลยบอกว่าเออ เค้าจะสร้างโรงละคร ประมาณ 550 ที่นั่งค่ะ ก็ทำให้ทัวร์เข้ามาได้ แต่ว่าปีนั้นพ่อเค้าก็คงคิดว่าคุณอาอั้งตี๋ก็คงรู้ว่าจะทำยังไง เพราะว่าก่อนหน้าเนี้ยมันเหมือนว่าเค้าก็ขายได้อยู่ แต่ปรากฎว่าเค้าขายไม่ได้ พอย้ายที่ ย้ายบุคลิกเป็นโรงละครเก้าอี้นั่งแบบนี้ เค้าก็ไม่รู้ว่าจะไปขายใคร เพราะว่าไม่ใช่บาร์ คุณอาเค้าจะคืนโรงละคร คุณพ่อก็เลยบอกว่าเด็กเยอะนะ ตั้ง 35 คน จะให้เค้าไปทำอะไร คุณอาบอกว่าก็ปล่อยมันกลับบ้านไป คุณพ่อก็บอกว่าไม่ได้ ๆ ควรจะทำต่อ แล้วพ่อก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวผมมาทำงานด้านบริหารเอง แล้วอั้งตี๋ก็ทำโชว์ไป แล้วหลังจากนั้นคุณพ่อก็เลยไปขายทั่วโลก ไปขาย ททท. เพื่อที่จะขาย Agent ให้มาดูโชว์นี้คือพ่อของจ๋าเวลาจะคิดอะไร เค้าก็จะคิดไกลมากเลย เค้าเคยเป็นลูกจ้างโรงแรม แล้วเค้าก็มองเห็นว่าร้านแลกเงินตราในต่างประเทศรายได้ดีมากเลย เค้าก็เลยผันตัวออกมาทำร้านแลกเงิน อันนั้นคือจุดเปลี่ยน เค้าก็เป็นคนทำมาหากิน พอเค้ามาทำร้านแลกเงิน เค้าก็อยากทำโรงแรม เคยเป็นคนโรงแรมก็อยากจะเป็นเจ้าของโรงแรม พอเป็นเจ้าของโรงแรมก็ไปเช่าที่ที่นึง ที่ทิฟฟานี่ปัจจุบัน แล้วก็บอกว่าเนี่ยจะทำโรงแรม พอมองไปมองมา เพื่อนที่อยู่ในวงการโรงแรมบอกว่าตรงนี้ที่มันไม่ติดทะเลอย่าทำเลย เค้าก็เลยไปหาเรื่องใหม่ทำ ก็คือไปสร้างโรงละครให้คนอื่นเช่า เค้าไม่ได้แค่นั้น เค้าทำสนามยิงปืน สนามธนู คือจ๋าว่าเค้ามองการณ์ไกล สิ่งที่สำคัญที่จ๋าว่าเค้ามองเพราะว่าเค้าอยู่ในธุรกิจการท่องเที่ยว เค้าก็มองอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรที่มันจะสร้างรายได้บ้าง แล้วเค้าก็มองว่าSea Sand Sun เนี่ยทุกคนก็ขาย โรงแรมสร้างคนก็ขายแล้ว มันมีอะไรบ้างที่ตอนกลางคืนคนต้องทำ โดยที่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของการกินเหล้าเมายาอย่างเดียว เค้าก็เลยบอกว่า เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เป็นสิ่งที่ขาดในเมืองพัทยา เค้าก็เลยคิดว่ามันต้องดี”Tiffany’s show กับการต่อสู้กับอคติของผู้คนในยุคแรกของ Tiffany’s Show มีหลายครั้งที่พวกเขาต้องพบกับอุปสรรคจนเกือบจะล้มเลิก ทั้งไม่สามารถจูงใจคนให้มาซื้อตั๋วดูได้ เพราะโชว์ของหญิงข้ามเพศยังเป็นเรื่องใหม่ หรือการที่คุณพ่อของคุณจ๋าโดนเหยียดหยามจากคนในวงการท่องเที่ยวเมื่อไปเสนอขายแพ็กเกจ ซึ่งคุณจ๋า ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “สมัยก่อนพี่อ๊อดก็จะเล่าให้ฟังเสมอว่า พี่อ๊อดก็หนีจากที่บ้านมา แล้วก็มาทำโชว์ทิฟฟานี่โดยที่คุณพ่อเค้าก็เป็นทหาร แล้วในที่สุดคุณพ่อก็จับได้ แล้วก็เอาตำรวจมาจับ เพราะคิดว่ามีใครมาอ้างชื่อลูกเค้าว่าเป็นดาราใหญ่ที่นี่ ซึ่งเค้าไม่เคยรู้เลยว่าลูกเค้าเป็นดาราใหญ่ ซึ่งเค้าก็มาจับแล้วสมัยก่อน พี่อ๊อดบอกว่าการที่เราลงมาทำโชว์เนี่ยไม่ได้เงินเดือนนะ ทำด้วยใจรัก ตอนที่อยู่ที่ทิฟฟานี่บาร์ ทำแล้วทิปคือเงิน แล้วก็พอดีมีบ้านให้อยู่ มีสระว่ายน้ำ มีอะไรที่ทำให้เค้าอยู่ได้ ทำให้เค้าอยู่ด้วยความสุข พอมันดังขึ้นเรื่อย ๆ คนทุกคนก็มาสมัคร ซึ่งการมาสมัครต้องนั่งรอตากแดดกันเป็นวันๆ เพราะว่าโควต้าการที่จะรับมันน้อยมาก แล้วทุกคนต้องมาโชว์ศักยภาพแล้วก็ไม่ได้เงินนะ เค้ารอทิปอย่างเดียว เค้าก็มาแล้วก็เหมือนบอกว่ามาตายเอาดาบหน้าจ๋าเป็นคนโชคดีค่ะพี่ เราเกิดมาพร้อมกับสาวประเภทสอง หรือ LGBTQ+ คือจ๋าเห็นมาตั้งแต่ 5 ขวบ จ๋าเต้นตาม จ๋าดูแล้วจ๋าก็มีความสุข สิ่งที่เราได้ทุกวันที่เราเดินตามพ่อไปดูก็คือ คนนี้เนี่ยเค้าเก่งจังเลย คนนี้เค้าร้องเพลงนี้ เพลงนี้เราร้องได้นะ คือเค้าเป็นซุปเปอร์สตาร์มากในใจเรา แล้วเราเป็นเด็ก เราก็ชอบเต้น ชอบร้อง เราก็เห็นแล้วเราก็รู้สึกเฉย ๆ พอเราเรียนหนังสืออยู่เตรียมอุดมฯ อยู่จุฬาฯ ทุกอาทิตย์เราก็ชวนเพื่อนว่าไปดูมั้ยทิฟฟานี่ เพื่อนก็ไปดูกันเป็นกลุ่มๆ เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเพื่อนเราก็ไม่เห็นอะไรกับเราหรือจะต้องรู้สึกแปลก พวกเขารู้สึกดีด้วย มากรี๊ดด้วยกัน มาสนุกด้วยกันพอจ๋าเรียนหนังสือจบ จ๋าก็มาทำงานกับพ่อ ในตอนนั้นจ๋าโดนคนพูดถึงในลักษณะแบบขนาดที่ว่าเราทำงานกลางคืน ทำงานกับกะเทย เหมือนเราเป็นคนอีกชนชั้นวรรณะอ่ะพี่ ซึ่งเราก็แบบ เอ๊ะเราไปขายโชว์ เราก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเราจะด้อยค่า ก่อนหน้านี้ลูกน้องก็เคยมาพูดให้ฟังตลอดว่าการมีบัตรทิฟฟานี่เนี่ย เป็นใบเบิกทางทุกอย่างในชีวิตเค้า เนื่องจากว่าการที่เค้าออกไปข้างนอกเนี่ยเค้าจะไม่โดนตำรวจจับ เค้าไปไหนเค้าก็จะบอกว่าเนี่ยเค้ามีอาชีพรับเป็นหลักเป็นแหล่งนะ แต่พอถูกด้อยค่า จ๋าก็รู้สึกว่ามันแปลก แปลกในความที่ว่าขนาดเราจบปริญญาโท ก็ไม่ได้ด้อยค่าตัวเองขนาดนั้น แต่พอกลับมา จ๋าก็รู้สึกว่าเพื่อนแต่ละคนก็เข้าไปอยู่ในองค์กรเค้าก็ดูดีมากเลย แล้วเค้าก็มาด้อยค่าเราเหมือนประมาณว่าแกไปยุ่งอะไรกันนักหนากับกะเทยคือจ๋ามองว่าพ่อประสบความสำเร็จในอาชีพนี้อยู่แล้ว พอเรากลับมา เราก็คิดว่าเมื่อมันสร้างรายได้อยู่แล้ว เราจะมาทำอะไรให้กับองค์กรนี้ คือเราก็รู้สึกว่าเราเป็นหนี้กับองค์กรนี้นะ พ่อก็ชอบพูดบอกว่ากะเทยเนี่ยเต้นจนจ๋าได้เรียนหนังสือจบทุกวันนี้ ซึ่งพ่อพูดอีกก็ถูกอีก ทำให้วันแรกที่จ๋าเข้ามา จ๋าก็เลยมาทำมิสทิฟฟานี่”Miss Tiffany’s Universe เวทีประกวดเพื่อสร้างมาตรฐานให้สังคมได้เห็นคุณค่าและยอมรับสาวประเภทสองเรียกว่าเป็นเวทีประกวดที่สาวประเภทสองหลายคนใฝ่ฝัน และตั้งตารอชมการประกวดในทุกๆปี แถมยังเป็นเวทีที่ช่วยสร้างมาตรฐานให้สังคมได้เห็นคุณค่า ความงดงาม จนเกิดการยอมรับสาวประเภทสอง โดยคุณจ๋า ได้เล่าที่มาจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งเวทีนี้ให้ฟังว่า “คือจริงๆ อาจารย์เสรีมาเปิดปี 1998 ด้วยความที่ว่าทำอยู่ในโรงละครเลยเป็นผลงานที่แบบดูกันเอง แต่ปีที่จ่ามาพอดีช่วงนั้นพ่ออยากไปเรียนหนังสือต่อ พ่ออยากไปทำงานสังคม พ่อก็บอกว่าเออมาทำ จ๋าก็มานั่งนึกว่าจ๋าจะทำวิธีไหน แล้วอาจารย์เสรีก็เปิดทางมาให้ คือจ๋าก็ไม่ได้เรียนมาร์เก็ตติ้งมา แต่ว่าท่านก็สอนเรามาโดยตลอดว่าการประกวดต้องมีทุก ๆ ปีแบบนี้ค่ะ ปรากฏว่าพอเข้ามาทำเราก็บอกว่าถ้าเราจะทำดูกันเองไม่ได้ เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็น แล้วก็เข้าใจความเป็นธรรมชาติของกะเทย เพราะฉะนั้นเราจะต้องออกทีวี จ๋าก็เลยวิ่งเข้าหาทีวี ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยากให้กะเทยออกทีวี แต่ก็สู้จนได้ออก ITV ตอนนั้นต้องให้คุณพ่อช่วยพูดช่วยประสานงานเยอะมาก และ ITV เป็นทีวีเสรีและมีนโยบายชัดเจนว่าต้องให้คนทุกเพศสามารถออกมาพูดได้ จากนั้นจ๋าพยายามจะไปหลายช่องมาก ยากมากเลยผลตอบรับหลังจากได้ถ่ายทอดสดดีมาก ตอนนั้นจ๋ายังไม่ได้ทำโปรดักชั่นเลย จ๋าทำเรื่องทีวีอย่างเดียว จ๋าจับเรื่องทีวีโฆษณาอะไรพวกเนี้ย แล้วพ่อเค้าบอกว่าลองดูซิจะมีใครมาสนับสนุนมั้ย ซึ่งตั้งแต่วันแรกประตูน้ำสนับสนุนจ๋าตั้งแต่ปีแรกจนปัจจุบัน เพราะทุกคนที่อยู่ด้วย ส่วนใหญ่เค้าไม่ได้มองเรื่องแบบว่าอยากจะได้โฆษณาอะไรมากมายหรอก เค้าเห็นเรื่องความถูกต้อง เค้าก็อยู่กันมาจนปีนี้จะ 25-26 แล้วพอทำนางงาม ทุกคนจะมองว่าสวย ๆ แต่จ๋าไม่รู้ว่าใครสวยกว่าใคร แล้วสมมติเวลา 10 คนสุดท้ายแล้วต้องคัดเหลือ 3 คนสุดท้าย จะให้ใครได้ที่ 1 เป็นเรื่องยากมากสำหรับจ๋า เพราะเรามองไม่เหมือนคนอื่น เราจะมองว่าคนนี้เค้าดียังไง เค้าเก่งยังไง แล้วเวลาเราทำงานทิฟฟานี่โชว์ทุกคนก็สวย ซึ่งเราก็จะเอามาให้เหมาะกับคาแรกเตอร์ คนนี้ก็เหมาะกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นงานของจ๋ามันเป็นงาน HR ประมาณว่า เราจับคนให้ถูกเรื่อง แล้วเค้าก็จะทำงานได้ดี แล้วเราไม่ได้บอกว่าคนนี้ต้องสวยกว่าคนนี้ คนนี้ก็ต้องได้อันนี้ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของว่างานนี้มันเหมาะกับคนนี้ พอเราทำไปทำมาจ๋าก็คุยกับทีมว่า ทุกคนเราจะต้องมี content เราจะต้องมีเรื่องที่ทำให้เค้าต้องเข้าใจเรา เข้าใจว่าเราทำงานอะไร มันมีค่ายิ่งกว่าการทำให้สวยแต่นางงามก็ต้องสวย แฟชั่นก็ต้องมา เราก็ต้องเก็บรายละเอียด เพราะฉะนั้นมันก็จะมาด้วยกันในเรื่องของความสวย กับเรื่องของความเข้าใจในคุณค่าของคน จ๋าเลยทำเรียลลิตี้ และพยายามที่จะทำทุกทางค่ะ เพื่อให้คนดูไม่เบื่อแล้วคนดูก็จะได้เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่ว่ากะเทยดูกันเองจ๋าเป็นคนไม่ได้เลือก 30 คนสุดท้ายที่เราจะได้มา เราอยากจะทำให้ทั้ง 30 คนเป็นตัวแทนออกไปข้างนอก ก็คือ 30 คนเนี้ยจะอยู่จังหวัดไหนก็ตามก็ต้องเป็นตัวแทนที่ดี อยากให้เป็นตัวของตัวเอง อยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี อยู่ในวัฒนธรรมที่ถูกต้อง อยู่ในจริตที่คนทุกคนในสังคมยอมรับ มันกลายเป็นเหมือนคลาสในแต่ละปี แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราสามารถไปบอกคนอื่นได้ ว่าฉันเคยเป็น 30 คนสุดท้าย เพราะฉะนั้นมันจะมีกรอบอยู่นิด ๆ ว่าเธอต้องทำให้ดีนะในการใช้ชีวิต ในการที่จะทำอะไรซักอย่างนึง ทำให้ดีนะ เธอคือมิสทิฟฟานี่ปี 2023 แล้วนะ อะไรแบบนี้ค่ะ”Miss International Queen เวทีสร้างความเท่าเทียมที่ทั่วโลกจับตามองเมื่อได้เริ่มทำ Miss Tiffany’s Universe จนได้รับความนิยมจากคนในประเทศ คุณจ๋า ก็ไม่หยุดที่จะคิดต่อยอด และยกระดับเวทีการประกวดสาวประเภทสอง จึงได้จัดตั้งการประกวด Miss International Queen เพื่อเป็นการประกวดแบบนานาชาติขึ้น โดย คุณจ๋าได้เล่าที่มาของการจัดตั้งเวทีดังกล่าวให้ฟังว่า “คือจ๋าก็เห็นนางงามผู้หญิงก็ต้องไปมิสยูนิเวิร์ส แล้วทุกคนก็มีความฝัน ตอนนั้นว่าจะทำไงดี เราก็มองในเรื่องของธุรกิจว่าทำยังไงให้มันเป็นมาร์เก็ตติ้ง จ๋าก็เลยพาผู้ได้ตำแหน่งไปประกวดมิสควีนที่อเมริกาไป 3 ปีก็ได้ 3 ปี ชนะหมด ซึ่งสูตรสำเร็จไม่มีอะไร คือเตรียมพร้อมดีมากทุกชุด ทุกวิธีการเดิน คือแค่เราเตรียมตัวมันก็ชนะแล้ว ซึ่งเวทีเค้าก็เล็ก จ๋าก็เลยมานั่งนึกว่า แล้วทำไมเราต้องลงทุนไปต่างประเทศ ประเทศเรามีทุกอย่าง โรงละครเราก็มีจ๋าก็เลยพูดกับพ่อว่า มิสทิฟฟานี่ 30 ปี จ๋าอยากทำอะไรใหม่ ๆ จ๋าอยากทำ Miss International Queen ที่เราเป็นลิขสิทธิ์ พ่อก็เลยบอกว่าหาเรื่อง เพราะว่าจะไปหากะเทยมาจากไหน แต่จ๋าก็แบบก็ต้องทำได้ เหมือนอยากจะเอาชนะ ปรากฎว่าคางเกือบเหลือง คือไม่ได้นอนเลย ต้องอีเมล์หาเกย์คอมมูนิตี้ทั่วโลกเลยเพื่อที่จะให้เข้ามาประกวด ปรากฎว่าวันที่ทำได้พ่อก็เลยบอกว่าเออเหนื่อยเน้อะ รู้ว่าเหนื่อย เงินก็ไม่ค่อยได้นะคะ ทำไปก่อน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกว่าถ้ามันมีความเชื่อมันต้องทำได้ทำไปทำมาปีแรก ปอย ตรีชฎา ได้ ฉันก็อยากปิดโรงละครอยู่แล้ว คิดว่าปีหน้าคงไม่มีใครมาสมัครแล้ว เพราะเหมือนกับว่าประเทศเราให้กันเอง ล็อคมองอะไรอย่างเงี้ย แต่พอมาปีที่สองก็ผ่านมาได้ด้วยดี คิดว่าคนก็คงมองเห็นเหมือนกันว่าคนไหนสวย คนไหนถูกต้อง และจ๋าก็เลยไม่เคยตัดสินเอง จ๋าให้คณะกรรมการตัดสิน ปีแรกอาจารย์เสรี ให้คะแนนออกมาคนได้คือปอยนะ ใจก็พูดบอกว่า แล้วปีหน้าจะมีคนมาสมัครมั้ย อาจารย์เสรีเค้าบอกว่า ถ้าเราไม่ให้ตามคะแนนก็เหมือนเราแกล้งเด็ก เหมือนลบคำพูดตัวเองเลยนะว่าความเท่าเทียมอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นจ๋าก็เลยคิดว่างานนี้จะต้องเป็นของกรรมการ ดวงใครได้คนนั้นก็ต้องได้ เพราะถ้าให้จ๋าเลือก จ๋าก็เลือกไม่เหมือนที่ได้ที่หนึ่ง”“อั๋น ภูวนาท - จ๋า อลิสา” รักเกิดจากงานทิฟฟานี่คุณจ๋า ผูกพันกับ Tiffany’s Show มาก แม้กระทั่งความรักก็เจอจากเวทีการประกวด Miss Tiffany’s Universe โดยคุณจ๋า และ คุณอั๋น ได้เล่าเรื่องราวความรักครั้งนี้ว่า “เพื่อนจ๋าเค้าสนิทกับภูวนาท จ๋าก็บอกว่าเธอแนะนำให้หน่อยสิหาพิธีกรอยู่ ตอนนั้นจ๋าก็เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังดูละครหรืออะไร เค้าก็เลยแนะนำว่าเพื่อนเราอยู่เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เค้าเป็นพิธีกร เป็นนักร้องด้วย ตอนแรกก็จ้างไปเป็นนักร้องที่โรงแรม แล้วก็รู้ทีหลังว่าเค้าก็เป็นพิธีกรด้วย เราก็เลยชวนมาเป็นพิธีกรสมัยก่อนหายากมากเลยนะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่คือไม่อยากจะมาเวทีสาวประเภทสอง ผู้หญิงก็ด้วยนะ ผู้หญิงก็จะรู้สึกแบบไม่ถูกที่ถูกทาง บางทีเราก็เสียใจนะ แต่เราก็เสียใจไม่ได้ คือแบบเราโกรธใครไม่ได้เพราะเราอยากจะให้ทุกคนเข้าใจเรา เราก็จะต้องเข้าใจเค้าก่อน เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องพยายามปรับ Mindset แล้วก็หาคนใหม่แค่นั้นเอง เราทำงานด้านนี้มาต้องเข้าใจก่อน ให้โอกาสคนอื่นก่อน ก็คือการที่เค้าจะกลับมาหันมามองเรา และตอนนั้นเค้าก็บอกว่าเนี่ยผมมองงานคุณอยู่นะ ผมโอเคแรกๆ จ๋าไม่เคยสนใจเค้า จ๋าทำแต่งาน จ๋าก็มีความรู้สึกว่าเค้าคุยเก่ง เค้าก็เขียนไลน์มาโน่นนี่ แล้วเค้าก็ไปเจองานโน้นงานนี้ งานลูกเสือโลกของพ่อเค้าก็ไปเป็นพิธีกร เค้าก็มาเจอ อยู่ดีๆ ก็แบบเมคแบบสนิท ก็เขียนบีบีมาโน่นนี่ เราก็คุยด้วย สมัยก่อนคนรอบกายจ๋า เค้าก็มองว่าอั๋นไม่ใช่ชายแท้ ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่าเค้าจะมาจีบเราหรอก และเราก็ไม่เคยพูดกับคนอื่นว่าเค้าไม่ใช่ชายแท้ เพราะว่าเค้าไม่เคยแสดงออกให้เราเห็นว่าเค้าเป็น เราก็จะเฉย ๆ ซึ่งพอเค้าเขียนคุย เราก็คิดว่า เอ๊ะ คนเป็นเกย์มันจะเป็นอย่างงี้เหรอ อันนี้คือมันมีความที่เราอยากคุยด้วย ถ้าเป็นเกย์จริงก็มาเม้าท์กันดีกว่า”คุณอั๋น เล่าต่อว่า “แต่ว่าเราคุยเรื่องมีสาระกันมาก ไม่มีการแพลน เพราะรู้สึกว่าการจะจีบใครซักคนนึงใช้พลังเยอะมาก เพราะเราไม่ได้จีบแค่เค้านะ เราต้องจีบเพื่อนเค้าทุกคน แล้วเราไม่รู้จักพ่อแม่เค้า ไม่รู้จักเพื่อนสนิทเค้า โอ้โหเหนื่อย ทั้งหมดมันก็เริ่มแค่นั้นอ่ะครับ พอมองแล้วรู้สึกว่าชอบเลยลองคุยดู พอคุยปุ๊บมันง่ายมาก ไม่ได้หมายความว่าเค้าง่ายนะ แต่ไม่เคยต้องคิดว่าจะคุยอะไร มันไหลไปเลยอ่ะ แค่นั้น”จากคนไม่เคยอยากแต่งงาน สู่จุดที่ตัดสินใจแต่งงานเพราะเป็นคนที่ชอบทำงาน จนทำให้คุณจ๋าไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน แต่ก็มาถึงจุดที่ต้องคิดใหม่ และตัดสินใจแต่งงาน โดยคุณจ๋าเล่าให้ฟังว่า “จ๋าไม่เคยเป็นแฟนออกหน้าออกตาให้พ่อแม่เห็นเลย เพราะเราก็เกรงใจคุณพ่อ แต่แม่ก็เหมือนแอบรู้ตลอดเวลา ซึ่งแม่ได้ได้อะไร แม่ชอบแซว แต่ในความที่เรามีพ่อเป็นไอดอลของการทำงาน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้ เราจะให้พ่อเห็นเราแต่มุมทำงาน อันที่สองก็ฉันจะออกไปจากครอบครัวทิฟฟานี่ได้เหรอ มันเหมือนเรารู้สึกผูกพันมาก เพราะฉะนั้นมันจะเหมือนว่าเราทิ้งพวกเค้าไม่ได้ มันคิดเยอะ แล้วก็อีกอันจะออกจากบ้านไม่ได้ เพราะเป็นคนติดบ้าน แล้วก็รู้สึกว่าฉันจะไปอยู่กรุงเทพยังไง อยู่พัทยาเช้ามาไปทำงานเย็นกลับบ้านมากินข้าวมันมีความสุขอยู่แล้วจนชิน จนไม่อยากจะแต่งงาน แล้วทุกคนก็มองจ๋าว่าเป็นคนที่กลัวการแต่งงานอยู่แล้วอีกอันหนึ่งคือคนรอบกายที่รักเรา แล้วก็มองว่าภูวนาทเป็นเกย์ก็มาเตือน บอกว่ามันไม่ได้ ต้องไม่ใช่คนนี้ เราก็ฟังนะ แต่เราก็บอกว่าเดี๋ยวเราต้องคิดเอง คนข้างนอกพูดมันไม่เท่ากับเรารู้ เค้าก็เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายตั้ง 7-8 ปี เอาจริง ๆ คนใกล้ชิดทุกคนก็กลัว ห่วงเรากลัวว่าเราจะเสียใจ แล้วจ๋าก็บอกว่าเราดูมา 7-8 ปีอ่ะ ไม่มีใครเชื่อเราเลยจุดเปลี่ยนคืออั๋นมาเลิก เลิกไปประมาณจะปีนึง และในการที่เราเล่นโยคะทุกวัน ตอนนั้นคือเล่นไม่ได้จริง ๆ คือเรามีความรู้สึกว่าเราคิดถึงเค้า เลยคิดว่าทำไมเราต้องฟังเสียงคนอื่นแล้วเราไม่มีความสุข ทั้งหมดทั้งมวลเราไม่มีความสุขมาเป็นปี แล้วเราก็เลิกกับเค้ามาเป็นปี ทุกครั้งที่ทะเลาะกันคือเรานิสัยไม่ดี เค้าก็ไม่เคยทำนิสัยไม่ดีใส่เรา เราก็บอกว่าเออมันถึงเวลาแล้วหล่ะที่ฉันจะแต่งงานชีวิตหลังแต่งงานคือมันมีความสุข แต่คือรู้เลยว่าการที่เราโตแล้วเราจะต้องคอมมิทกับเรื่องอะไร เราต้องคอมมิทก่อนแล้วเราก็ค่อยกระโดดเข้าไปอยู่ พอเรากระโดดเข้าไปอยู่แล้วเราก็จะทำให้ดีที่สุด ตอนนี้แม้จะมีลูกสองคน จะไม่ได้นอน จะอะไรทุกอย่างก็มีความสุข ขนาดเมื่อก่อนเรานอนกันเตียงใหญ่ ๆ วันนี้เรานอนกันเบียด 4 คนยังมีความสุขเลยอั๋น เค้าเป็นยังไง เค้าเป็นอย่างงั้น เค้าไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เค้าเปิดหมดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เป็นคนเปิดเผย อยู่เฉยๆ ก็ไลฟ์เล่าเรื่องตัวเองให้คนทั้งโลกรู้ ไม่มีอะไรที่โลกนี้ไม่รู้ด้านคุณอั๋น ก็ได้พูดถึงภรรยาไว้ด้วยว่า “ในมุมอั๋น ผมมองว่าเค้าเป็นธรรมชาติในความสมบูรณ์แบบ และความไม่สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเราก็มองว่าเค้าคือคนหนึ่งคน แล้วก็มองสิ่งที่เค้าตั้งใจทำ แล้วก็ภูมิใจในตัวเค้า บางครั้งเราก็กลับบ้านไปแล้วเห้ยทำไมบ้านรก ก็นึกในใจว่าอ๋อเค้าดูแลคนอีกเป็นพันคนนะ บ้านรกแค่นี้เก็บให้เค้าก็ได้ มองทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มันเลยเข้าใจว่าเราต่างกันก็ได้ โดยที่ไม่ต้องทะเลาะกัน”มุมมองคุณจ๋าต่อ LGBTQ+ ต้อนรับ Pride Month“เรื่องที่จ๋าทำอยู่ตลอดคือเรื่องของความเท่าเทียม เรื่องของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งไปละเมิดสิทธิ์ใคร แม้กระทั่งเราจะสอนลูกเราก็จะพูดแบบนี้ เพราะฉะนั้นจ๋าคิดว่าทุกคนที่เป็น LGBTQ+ ต้องรู้ก่อนว่าสิทธิ์เราคืออะไร แล้วเราควรจะทำแค่ไหน เรามีอะไรบ้างที่เราควรจะเป็น ไม่ใช่เราไปละเมิดสิทธิ์คนอื่นนะ เอาแค่รู้สิทธิ์ตัวเองก่อน เหมือนวันนี้เราพูดเรื่องสมรสเท่าเทียมกันหลายคนก็ยังไม่มีความเข้าใจตรงนี้เลยเพราะฉะนั้นจ๋าคิดว่าเวลาเรารวมตัวกัน เรารวมตัวเรื่องความสนุกอ่ะง่าย เรื่องความรู้ที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้เราต้องไม่ลืม อย่าให้องค์กร อย่าให้นักการเมือง มาเห็นเรื่องนี้แล้วมาบอกว่าเดี๋ยวเรียกร้องให้ แต่จริง ๆ แล้วเค้าใช้ประโยชน์เรามากกว่าเราต้องรู้ตัวเรามากกว่าว่าเราต้องการอะไร แล้วเราก็ต้องช่วยกันให้สังคมนี้มันเป็นสังคมไร้เพศ คือจ๋าไม่ได้มองแค่ในเรื่องของ LGBTQ+ นะ แต่มองว่ายิ่งเราแบ่งกลุ่มมันยิ่งเยอะเหลือเกิน LGBTQ+ อะไรทุกอย่าง แต่ว่าจริง ๆ จ๋ามองแล้วทุกคนเหมือนกัน แล้วเราจะทำให้สังคมนี้มันไร้เพศ โดยที่เข้าใจซึ่งกันและกันว่ามนุษย์เป็นยังไง”“ต้องบอกว่าจ๋าโชคดี เพราะจ๋าเกิดมาจากมิสทิฟฟานี่ โชคดีที่ได้ทำงานทิฟฟานี่ มันไม่เครียดเลย มันมีแต่ความเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มันมีแต่ความสุข เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่เรารัก มันก็เหมือนกันกับที่ จ๋าก็ได้พลังงานดีๆ จากลูกน้องจ๋า ที่เค้ามาทำงาน เค้ารัก เค้าไม่ได้มาทำงานแบบรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ เหมือนเป็นพลังที่เสริมกัน” - จ๋า อลิสาติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โยชิ นิมิต” อดีตบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง

24 พ.ค. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โยชิ นิมิต” อดีตบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง

CLUB นี้ยังคงรวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดฮอท “โยชิ นิมิต” จากอดีตบอยกรุ๊ปสุดเท่ห์วง ซีควินท์ (C-Quint) สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง ที่กว่าจะถึงวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต และได้แชร์ข้อคิดมุมมองดี ๆ ให้ฟังในรายการด้วยย้อนวัยเด็กสุดเป๊ะ ของ ด.ช.นิมิต“โยรู้สึกว่าตัวเองเป๊ะตั้งแต่เด็ก แล้วเหมือนจะเป๊ะมาตลอด ไม่รู้ว่าการเป็น LGBTQ+ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า แต่บางทีมันอาจจะทำให้คิดเยอะขึ้น เพราะว่าตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเปิดเผยตัวตนเราไม่ได้ เราก็เลยต้องคิดเยอะกว่าคนอื่น ว่าถ้าทำแบบนี้ ผลต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันจะกระทบชื่อเสียงของเรารึเปล่า มันทำให้เราต้องคิดหลายสเต็ปล่วงหน้า และอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป๊ะขึ้นตอนเรียนส่วนใหญ่จะไปในทางเด็กหน้าห้อง ไปในทางเด็กเรียน เพราะความตั้งใจของเราคืออยากจะเข้าเตรียมอุดมฯ อยากจะเข้าจุฬาฯ ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราไม่ตั้งใจเรียนเราอาจจะเข้าไม่ได้ มันเป็นความคาดหวังของตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าถ้าไปเรียนเตรียมอุดมฯ แล้วจะมีผู้ชายหล่อ ๆ แบบว่าเด็กเรียนเก่งมักจะหน้าตาดี ผู้ชายคือแพชชั่นที่บ้านเป็นครอบครัวคนจีน หลายคนเข้าใจว่าโยเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แต่ครอบครัวเป็นจีนเลย อย่างภาพยนตร์เรื่องหลานม่า คือเราดูแล้วร้องไห้สุดฤทธิ์ มันอินสุด ๆ โยมีพี่ชาย 2 คน เราเป็นคนเล็กสุดเลย ซึ่งส่วนใหญ่พี่ 2 คนจะสนิทกันมากกว่าโย เค้าจะชอบเล่นบอลด้วยกัน ทั้งเล่นบอลจริง กับเล่นบอลในเกม แล้วที่บ้านมีเกมเครื่องเดียว พอมีลูก 3 คน พี่สองคนก็เล่น เราก็เลยเป็นติ่ง บางทีเค้าเล่นกันคนละชั่วโมงรวมเป็น 2 ชั่วโมง อีก 1 ชั่วโมงเรามาเล่น ก็จะเล่นเกมแนวเลี้ยงสัตว์ แหวกออกไปซึ่งในตอนเด็ก คุณพ่อกับคุณแม่เค้ามีโรงงานเป็นของตัวเอง และเค้าก็มีหุ้นส่วน แต่ดันโดนหุ้นส่วนโกง จนธุรกิจล้มลง ต้องเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นตอนพวกเราเด็ก ๆ พ่อกับแม่จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ซึ่งต้องไปส่งพวกเราที่โรงเรียนก่อนที่ประตูโรงเรียนจะเปิดอีก ต้องตื่นตีสี่ครึ่ง พอก่อน 6 โมงเช้าก็ถึงโรงเรียนแล้ว ซึ่งโรงเรียนยังไม่เปิด มีวันนึงพี่ชายคนกลางโดนจี้เอากระเป๋าตังค์ แล้วดันโดนจี้วันจันทร์ แม่เพิ่งให้ค่าอาทิตย์มา แต่พ่อแม่เค้าก็ต้องไปทำงานเช้า กลับมาก็ประมาณ 2-3 ทุ่ม เพราะฉะนั้นตอนเด็ก ๆ พวกเราก็จะอยู่กับพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพอขึ้นมัธยม โยก็จะย้ายจากฝั่งธนฯ มาอยู่ประตูน้ำ จนอยู่ที่อยู่ ณ ตอนนี้”จุดเริ่มต้น ของการเดินบนเส้นทางสายบันเทิง“ตอนเด็ก ๆ ความฝันคิดว่า น่าจะได้อยู่ในวงการบันเทิง แต่ไม่รู้ว่าจะได้มาเป็นอะไร อยู่ตรงส่วนไหน ซึ่งการเข้าสู่วงการบันเทิงแรกสุดคือ แบงค์ แบล็ควนิลา ชวนมา โยเข้ามาตอน ม.6 ซึ่งเข้ามาเป็นแคสติ้งที่อาร์เอส แล้วที่ทำงานมันไกลบ้าน เราต้องขึ้นรถเมล์ บางครั้งขึ้นแท็กซี่ แล้วถ้าเราต้องขึ้นแท็กซี่ไปกลับมันไม่ไหว เงินค่าอาทิตย์เราก็ไม่ได้เยอะ ก็เลยปฏิเสธไม่เข้าวงการบันเทิงในตอนนั้นแล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เริ่มขับรถเอง แล้วมี พี่ก้อง ที่อาร์เอส เค้าดูแลเรื่องแคสติ้ง แล้วเค้าเห็นเราจากกลุ่มตัวแทนนิสิตจุฬาฯ แล้วโยก็ได้เป็นคนอันเชิญป้ายมหาวิทยาลัยเข้างาน แล้วพี่คนที่เคยชวนเราตอน ม.6 ก็เห็นเรา ก็เลยติดต่อโยว่าเข้ามาหน่อย พี่ก้องอยากให้เข้ามาแคส โยก็เลยตกลงเข้าไป ตอนนั้นมีโปรเจกต์ ซีควินท์ เข้ามาพอดี เราก็เลยได้เข้าไปทำตรงนั้นจริง ๆ โย เริ่มร้องเพลงครั้งแรกตอนที่ไปอเมริกา ซึ่งตอนเรียนมันจะมีวิชาให้เลือกเรียนเป็นวิชาคอรัส เราก็ไปเรียนเป็นเสียงเบส แล้วทุกวันนี้แม่ยังบอกอยู่เลยว่าเสียดายเนาะ ที่ตอนเด็ก ๆ พวกลูก ๆ มีความสามารถพิเศษอะไรแม่ไม่เคยรู้เลย ถ้ารู้แม่ก็คงบอกให้ไปเรียนเพิ่ม แล้วพอได้เข้ามาเป็น ซีควินท์ เราก็จะมีพื้นฐานร้องนิดหน่อย แล้วก็มีเรียนเพิ่ม มีครูแหม่ม ครูปุ้ม แล้วก็ครูคนอื่น ๆ สอนด้วย ก็เรียนอยู่ประมาณปีกว่าครับ”ตัวตนที่ถูกเก็บซ่อน เมื่อต้องมาเป็นบอยกรุ๊ปสุดฮอท“ตอนนั้น ซีควินท์ มี 5 คนครับ แล้วจะบอกว่าเอาจริง ๆ สิ่งที่โยทำในวงการบันเทิง ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขสักงาน มันเหมือนเป็นหน้าที่ ทุกอย่างที่อยู่ในชีวิตโย ก็ยังไม่เจออะไรที่ทำแล้วมีความสุขสุด ๆ รู้แค่ว่าอันนี้เหนื่อยมาก กับอันนี้เหนื่อยน้อย แล้วพื้นที่ความสุขในหัว คือการที่รู้ว่าวันนี้จะได้นั่งอยู่บ้าน นั่งดูทีวี อันนี้แหละคือความสุขและเมื่อมองไปถึงอนาคตข้างหน้า ว่าถ้าทำไปแล้วมันสามารถทำให้เราพัฒนาตัวเองไปอยู่จุดที่ดีขึ้น มันก็ควรจะต้องทำ ยกเว้นว่าถ้าทำแล้วทุกข์ก็ไม่ต้องทำในตอนที่อยู่ใน ซีควินท์ มันมีความน้อยใจบ้างครับ มันเหมือนเรารู้สึกได้ว่าทีมงานเค้าเหมือนไปพูดกันว่า โยชิเป็นเก้งนะ แล้วการจะดันคนคนหนึ่ง เขาจะไม่เลือกดันเก้ง ซึ่งการจะเป็นบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ป เค้าจะต้องดึงตัวเด่นมา 1 คนก่อน เพื่อที่จะเป็นตัวเด่นในการตีหัวเข้าบ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยไปรู้จักคนอื่น ๆ ในวงต่อ ซึ่ง ซีควินท์ ก็ต้องมีคนหนึ่งที่เด่นก่อน หลังจากนั้นเค้าก็พยายามดัน ดันจนแล้วจนเล่า จนโปรเจกต์ซีควินท์มันจบ แต่เค้าก็ไม่ได้ดันเราเราไม่ได้เพิ่งจะรู้สึกได้ในตอนจบนะ เรารู้สึกตั้งแต่แรก ๆ มีอยู่ครั้งนึงตอนนั้น พิชญ์กับโฟร์เป็นแฟนกัน แล้วก็จะมีเอ็มวีที่เค้าเล่นด้วยกันอยู่ตัวนึง ซึ่งถ่ายทั้งวัน กองนัดเราตั้งแต่เช้ายันค่ำ แล้วซีนที่เราเข้ามีแค่ซีนรวมคือหั่นผักอยู่ข้างหลัง ซึ่งพิชญ์อยู่ข้างหน้า แล้วกล้องอยู่ไกลมาก เราก็รู้ว่าเราเป็นตัวประกอบอยู่ข้างหลัง ก็เลยบอกทีมงานว่า เอ็มวีนี้จะยังไงก็ได้ แต่ก็ขอให้ช่วยอย่าให้ผมดูเหมือนเป็นอากาศเกินไปได้ไหม เราเข้าใจว่าเค้ามีเนื้อเรื่องในหัวอยู่แล้ว แล้วก็พยายามที่จะดันเนื้อเรื่องนี้ออกไป มันอาจจะเทไปที่ไลน์เรื่องของพิชญ์ 90% แล้วก็ไลน์เรื่องของเพื่อน ๆ อีก 10% แต่เราก็บอกว่า พี่ลองดูแล้วกันว่ายังไงให้มันดูสมเหตุสมผล และดูสมส่วนหน่อยนั่นคือเรื่องที่เจอตอนทำงาน แต่สำหรับที่บ้านจริง ๆ พ่อแม่เหมือนกับเค้าจะปล่อยเสรีนะ เราอยากจะทำอะไรก็ไปทำ ถ้ามีโอกาสอะไรดี ๆ เข้ามาก็ไปทำ แต่คุณพ่อบางทีก็จะรู้สึกว่า แต่เรื่องเรียนก็สำคัญห้ามทิ้งนะ เพราะถ้าเกิดว่างานวงการมันไปไม่รอดอย่างน้อยเรายังมีงานประจำ เราก็ยังทำอะไรต่อได้”จากบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่พิธีกรสุดแซ่บ และ CEO สุดปัง“พออยู่ ซีควินท์ ได้สักพัก โยได้โอกาสจากทาง YAAK มา ซึ่งเป็นช่องเคเบิล ของอาร์เอส เค้าให้โอกาส โย กับ พิชญ์ ไปทำพิธีกร หลังจากนั้นพอได้ไปทำ มันก็จะมีสล็อตเวลาที่ว่างอยู่ โยก็เลยเริ่มจากการขอเวลาไปวิ่งหาสปอนเซอร์ แล้วก็ขึ้นรายการเอง ทำไปจนถึง ซีควินท์ เข้าสู่ช่วงท้าย ๆ โยก็เริ่มทำผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เริ่มทำธุรกิจส่วนตัวหลังจากนั้น พิชญ์ ก็จะทำรายการของเค้าเอง แล้วก็ชวนโยไปทำรายการด้วย หลังจากนั้น โยก็ทำรายการห้าวเก้ง ทำกับ พิชญ์ ซึ่งตอนนั้นโยทำพิธีกรอยู่หลายรายการ แล้วจะมีรายการหนึ่งที่โยจะสนิทกับพี่ ๆ ทีมโปรดักชั่น เค้าก็บอกว่า โยก็ไปเอาเวลาของช่องมาสิ แล้วเดี๋ยวก็ให้พี่ทำรายการให้โย ส่วนโยก็หาสปอนเซอร์ แล้วเอาเงินจากสปอนเซอร์ที่ได้มาจ้างพี่ แล้วที่เหลือโยก็เอาไป ซึ่งตอนนั้นโยก็มองว่าง่ายดีเนาะ ลองทำดูก็แล้วกัน จนสุดท้ายมันก็จะมีคอนเนคชั่นไปเรื่อย ๆ เป็นวิธีหาเงินของเราจนตอนนี้ โยก็มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นพวกเซรั่มบำรุงหน้า มีธุรกิจส่วนตัว แล้วก็ทำคอนเทนต์ลงช่องทาง Tiktok ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เราอยากเป็นยูทูบเบอร์ แต่เรารู้สึกว่า ตัวเองเริ่มช้าไปประมาณ 5 ปี พอทำมาหลาย ๆ เทป เรารู้สึกว่ายอดผู้ติดตามมันไม่ขึ้นแล้ว ก็เลยหันมาทำเป็นคลิปเล็ก ๆ ทาง Tiktok ดีกว่า แล้วปรากฏว่าผลตอบรับดี มีสปอนเซอร์เข้า หลัง ๆ เลยเลือกทำคอนเทนต์ลง Tiktok แทน ซึ่งก็ทำคอนเทนต์ที่หลากหลาย ให้เหมาะกับสไตล์เรา Beauty ก็ได้ Healthy ก็ได้ อย่างเรื่องออกกำลังกาย หรือเรื่องกิน แล้วก็มีท่องเที่ยว มีคลิปสอนภาษาฝรั่งเศสด้วยครับ”เคล็ดลับปั้นหุ่นปัง และทานให้สุขภาพดี ของ โยชิ นิมิต“เริ่มตั้งแต่เช้า ตื่นมาโยจะกินผักปั่น ซึ่งจะมี ผักเคล, แครอท, มะเขือเทศ และ ฟักทอง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็ปั่น เติมกล้วยน้ำว้า ใส่น้ำเปล่า ใส่โปรตีนพืชไปสัก 1 ช้อน แล้วก็กิน ทำแบบนี้มาเป็น 10 ปี แล้วครับ ซึ่งมันไม่ได้อร่อยหรอก รสชาติก็จะคล้าย ๆ กับโปรตีนที่เราใส่นั่นแหละที่ต้องกินผัก มีสาเหตุคือ ย้อนกลับไปตอนเด็ก เราไม่ชอบกินผัก จนตอนไปเรียนที่อเมริกา 1 ปีแล้วต้องดูแลตัวเองหมดเลย ปรากฏว่าเราถ่ายเป็นเลือด เพราะว่าไม่กินผัก ตามใจปากอย่างเดียว เน้นกินสปาเก็ตตี้ กินเฟรนช์ฟรายส์ แล้วไม่กินผักใบเขียวเลยแม้แต่ใบเดียว พอเริ่มถ่ายเป็นเลือด ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี แล้วก็อายที่จะต้องไปบอกโฮสแฟมิลี่ว่าเรามีอาการนี้ แต่นึกขึ้นได้ว่า เราต้องกินผัก จะได้มีไฟเบอร์ เพราะจำที่พ่อเคยสอนมา หลังจากนั้นเราก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เอาเบบี้แครอทมากิน กินเยอะจนพี่ ๆ น้อง ๆ เอามากินด้วย จนโฮสมัมถึงขั้นต้องเรียกไปคุยว่า เธอรู้ใช่ไหมว่ากินแครอทเยอะ ๆ แล้วมันจะทำให้ตัวเหลืองนะ หลังจากนั้นพอกลับมาอยู่ไทย การกินเริ่มไม่เหมือนตอนอยู่ที่อเมริกาอีกแล้ว เริ่มกลับมากินผักน้อย แล้วกลับมาถ่ายเป็นเลือดอีกครั้ง ผมก็เริ่มจากเอาผลไม้มาปั่น หลัง ๆ มาเพิ่มผัก ให้มันได้สารอาหารแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากินแต่ผักผลไม้ เพราะในหนึ่งวันความสมดุลมันต้องมี หมูกระทะ, ผัดกระเพราไข่ดาว, ไข่เจียว อันนี้คืออาหารทั่วไป ซึ่งหนึ่งวันมันมี 3 มื้อ ถ้าเรากินมื้อนึงเป็นผักล้วน เราก็มีโควตากินอาหารทั่วไปในมื้ออื่น เราก็บาลานซ์ให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันตอนนี้อายุ 37 แล้วครับ การออกกำลังกายก็ประมาณสัปดาห์ละ 6 วัน แต่ถ้าออกกำลังกายแบบไปยิมจริงจัง ใช้เทรนเนอร์ หรือเล่นเวท ก็จะอยู่ที่อาทิตย์ละ 3 วัน แต่ถ้าวันที่ไม่ไป ก็ต้องมีคาร์ดิโอสัก 40 นาที ออกกำลังกายให้พอดี แล้วโยเป็นคนที่ชอบขนมถุงมาก แต่ถุงนึงจะกินเป็นเดือน ก็จะหยิบออกมาทีละ 3-4 ชิ้นแล้วก็พอ ให้เรารู้ตัวเอง”ในวันที่ต้องเปิดเผยตัวตน กับคนในครอบครัว“ในเรื่องการยอมรับตัวตนของตัวเอง เรายอมรับตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อาจจะเคยมีช่วงสับสนบ้าง เวลานักข่าวมาถามเราก็จะตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นเก้ง ก็ต้องบอกว่า ผมไม่ได้เป็นเก้งครับ เป็นผู้ชายแท้ครับ แต่ก็เข้าใจว่าคำถามพวกนี้ นักข่าวเค้าก็จะได้เอ็นเกจด้วย ช่องเค้าก็จะมีคนดูมากขึ้น เอาไปลงหน้าปกคนก็ชอบอ่านส่วนกับครอบครัว เราเลือกวันที่จะบอกครอบครัวด้วยนะ ตอนนั้นเราเลือกวันเกิด เพราะมันต้องเป็นวันของเรา แล้ววันนั้นพี่ชายคนกลางที่ปกติอยู่ที่อเมริกา แล้วช่วงนั้นเค้ากลับมาพอดี ส่วนพี่ชายคนโตก็ไม่ได้อยู่ตรงประตูน้ำแล้ว เค้าย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่วันเกิดเราก็นัดทานข้าวรวมกันเลย พี่ชาย พี่สะใภ้ พ่อแม่ แล้วก่อนกิน เราก็บอกพี่ชายว่าให้มาที่ห้องโยก่อนนะ แล้วช่วงกินข้าว โยจะบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเป็นเกย์นะ ซึ่งพี่ก็บอกว่าอ้าวเหรอ เป็นเกย์เหรอ ซึ่งเอาจริง ๆ พี่ก็น่าจะรู้ แต่ก็คงแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วตอนนั้นมันตลกตรงที่ พี่ชายคนโต ก็เหมือนกำลังจะบอกพ่อว่า ลูกคนที่สองของเค้าเป็นลูกผู้หญิงนะ คือภรรยาเค้าท้องอยู่ แล้วจะมาบอกพ่อแม่ในวันเกิดเรา แล้วความเป็นลูกคนจีน พ่อก็เหมือนคาดหวังนิด ๆ ว่าครั้งนี้คงจะได้หลานชาย ส่วนพี่ชายคนกลางก็ตั้งใจจะมาบอกพ่อกับแม่เหมือนกันว่า เค้าปรึกษากับภรรยาว่าอาจจะไม่มีลูกนะ ซึ่งโยบอกเลยว่า เรื่องของพวกพี่พักก่อนนะ วันนี้วันของโย พวกพี่ต้องเป็นแบ็คอัพให้โยในช่วงกินข้าว พ่อก็ถามโยนมาเลยว่า โยอย่าลืมหาสะใภ้ดี ๆ แต่งงานให้พ่อนะ ซึ่งโยก็เลยบอกว่า ป๊า โยคิดว่าน่าจะไม่ได้นะ เพราะว่าโยชอบผู้ชาย พูดเสร็จป๊าก็อึ้ง แล้วพี่ชายคนโตก็รู้งาน พี่ก็พูดสวนเลยบอกว่า ป๊าเค้ารู้นานแล้ว ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รู้หรอกว่าลูกเป็นอะไร ป๊าก็อึ้งไปเลย พูดไม่ออกเพราะคำพูดของพี่ก็ค้ำคอไว้แล้ว หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่าเป็นอะไรก็ได้ลูก แค่เป็นคนดีก็พอ เหมือนจะจบสวย แต่แม่ก็บอกว่า ขออย่างเดียวอย่ามีความรักนะลูก เพราะเวลาผู้ชายมีอะไรกันจะเป็นเอดส์ แล้วพี่ชายคนกลางก็บอกว่า ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกันนะ เดี๋ยวนี้เค้ามีวิธีป้องกันแล้ว ซึ่งความเชื่อของแม่มันเป็นความเชื่อที่ผิดอยู่แล้ว มันพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ คือแม่เข้าใจผิดเรื่องนั้น แต่เราก็โตแล้ว อายุ 29 ปีแล้ว เรื่องความรักมันทำได้แล้ว และรู้วิธีป้องกันแล้ว มันไม่ใช่ความรักของเด็ก 16-17 ปีแล้วนะหลังจากที่ได้เปิดเผยตัวตน โยปลดล็อคมาก เพราะเราแคร์พ่อแม่มาก ๆ เราไม่อยากให้เค้าทุกข์ใจ แต่ถ้าเค้ารู้จากปากเราก็คือจบ หลังจากนั้นเราก็จะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งให้พ่อทำใจก่อน เราก็จะไม่โผงผางมาก ซึ่งจริง ๆ แล้ว ช่วงอายุ 29 ปี ที่เปิดตัวกับพ่อ เป็นปีที่แฟนเก่าจะต้องย้ายจากออสเตรเลียมาอยู่กับเรา เค้าลาออกจากงานเพื่อที่จะมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพ และเรารู้สึกว่าถ้าเค้าจะต้องมาอยู่บ้านเรา พ่อเราก็ต้องเห็นเรื่อย ๆ เลยเป็นสาเหตุที่เราคิดว่าเปิดตัวดีกว่า เพราะยังไงพ่อก็ต้องรู้อยู่ดี หลังจากเปิดตัวสักพัก แฟนเก่าก็เข้าบ้านเลย”เปิดหัวใจส่องความรักของ โยชิ นิมิต“กับแฟนเก่า พอมีเรื่อง Long distance relationship แล้วต้องบินตลอด ก็ตัดสินใจเลิกกันไปก่อนโควิด ตอนนั้นมันมีหลาย ๆ อย่างที่เข้ากันไม่ได้ แล้วเราเป็นคนรักใครแล้วรักมาก เราพยายามจะปรับทุกอย่าง แต่มันมีปัญหาเรื่องมือที่สาม แล้วลามไปเรื่องบนเตียง เพราะเค้าอยากให้มีอีกคนมาร่วมเตียงเรา ตอนนั้นเราก็บอกว่าก็ได้ถ้าเค้าโอเค โยก็โอเค เพื่อความแปลกใหม่ แต่หลังจากนั้นมันเลยเถิด ถึงขั้นคนที่สามเค้าอยากมาบ้านเรา แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากทำอะไรบนเตียงกับคนนี้แล้ว จนเราต้องบอกว่า ถ้างั้นเธอสองคนก็อยู่ที่บ้านไปแล้วกัน ฉันขอออกไปข้างนอกนะ หลังจากนั้นมันก็เลยเถิดเป็นเค้าเลิกกับเรา แล้วเค้าก็ไปเป็นแฟนกับคนนั้น เราเลยเหวอไปเลยว่าตัวเองพยายามปรับทุกอย่าง แต่ใจมันไม่อยู่ ปรับให้ตายยังไงก็ไม่ได้แล้วสำหรับความรักครั้งปัจจุบันนี่ดีครับ เราเจอกันช่วงท้าย ๆ โควิดแล้ว ตอนนั้นโยกะว่าจะไปเวิลด์ทัวร์สักหน่อย อยากจะไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ให้ชาวโลกได้ดู เพราะโควิดมันนานมาก แล้วโยเป็นคนที่ชอบฝรั่ง แต่ช่วงนั้นฝรั่งออกจากประเทศไทยกันหมดเลย ดังนั้นโยเลยตั้งใจว่า ฉันจะไปฉีดไฟเซอร์ที่อเมริกา ซึ่งเราก็ไปฉีดจริง แต่หลังจากไปลงที่ชิคาโก แล้วหลังจากนั้นก็มีไปอีกเป็น 20 เมืองเลย กะว่าฉันจะต้องได้พบเจอผู้คนทั่วโลก ปรากฎว่าไปชิคาโก วันแรกไปถึงกลางคืน แล้ววันที่สองก็เจอกับ แมท เลย โยอยู่ชิคาโก 6 วัน ก็เจอแมท 5 วัน เพราะว่าแมทเค้าก็มาทำงานที่ชิคาโกเหมือนกัน เจอกัน 5 วัน พอวันที่ 6 ก็ย้าย แล้วก็ไปส่งเค้าที่สนามบิน ซึ่งเค้าก็ถามว่า โยคิดยังไง ถ้าจะ Long distance relationship เราก็บอกว่าได้นะ แล้วเค้าก็ถามว่า หรือเราจะลองเจอคนอื่น ๆ แต่เราก็ยังคุยกัน โยก็บอกว่าหรือเราจะลองดู สุดท้ายโยก็เดินทางไปเมืองอื่น ๆ แต่เป็นการไปท่องเที่ยว ดูธรรมชาติ ไม่ได้เจอใคร เพราะว่าเราเป็นคนพูดอะไรแล้วเราทำตามนั้น ถ้าคุณเต็มที่กับเรา คุณให้เราร้อย เราก็จะให้คุณร้อย เราจะไม่หมกเม็ด และจะไม่ไปทำอะไรลับหลังให้คุณไม่เชื่อใจเรา ก็ตกลงกัน แล้วเค้าบอกว่า เค้าแฮปปี้นะกับการที่ไม่ต้องเจอใครเลย คุยแค่กับเราคนเดียวก็แฮปปี้ ไม่ต้องไปมีเซ็กซ์กับใครเป็นเวลาหลายเดือนเค้าก็ไม่เป็นไร โยก็เลยตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์แบบ Long distance relationship ซึ่งเค้าเป็นคนฝรั่งเศส หลังจากนั้นโยก็จะบินไปหาเค้าอยู่เรื่อย ๆ เพราะด้วยความที่เค้าทำงานให้กับโรงแรมหรูมาก ๆ ไม่เหมือนงานเราที่ยืดหยุ่นมากกว่า ก็เลยตัดสินใจว่างั้นเดี๋ยวโยเป็นฝ่ายบินไปเองหลังจากนั้นโยก็เรียนภาษาฝรั่งเศส เพราะอยากคุยกับเค้า มันยากมาก และต้องเรียนกับแอปพลิเคชั่น ซึ่งมันสอนทุกอย่างเลย ระหว่างเรียนก็จะมี Quiz ให้เราหาคำไปตอบ มีให้เราแปลประโยคจากอังกฤษเป็นฝรั่งเศส หรือแปลจากฝรั่งเศสเป็นอังกฤษ มีให้พูดแล้วแอปพลิเคชั่นจะจับคำ ว่าเราพูดถูกสำเนียงรึเปล่า มีสอนแกรมม่าด้วย ซึ่งโชคดีที่โยเป็นคนจับเรื่องภาษาเก่ง แล้วโยก็เรียนทุกวัน จนตอนนี้เกือบจะ 3 ปีแล้วที่เรียน และดุแลกันมา ความรักระยะไกลหลักการเยอะมาก ความสัมพันธ์ต้องสม่ำเสมอ ความเชื่อใจ ความซื่อสัตย์ แล้วก็ความหวังดี มันต้องมีให้กัน มันต้องสมดุลกัน”โยชิ นิมิต กับชีวิตที่ชอบมูเตลู“อย่าเรียกว่าชอบเลยดีกว่า เรียกว่าเป็นคนเชื่อง่ายก็แล้วกัน ใครแนะนำอะไร ไปดูหมอดูคนไหน หรือหมอดูให้ทำอะไร ให้บุกน้ำลุยไฟเราทำหมด ซึ่งการมูที่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือมูที่บ้าน มูพระพิฆเนศของที่บ้าน เพราะเรารู้สึกว่าท่านรู้จักเราดีที่สุด มีอะไรเราก็ไหว้ บางทีเราก็คุยกับท่าน ขอให้ช่วยเราเรื่องนี้หน่อยได้ไหม นอกจากที่บ้านก็จะมี พระตรีมูรติ หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะคอนโดอยู่ตรงประตูน้ำ เดินไปเซ็นทรัลเวิลด์สะดวกมาก ซึ่งหมอดูสอนมาว่า เวลาจะไหว้ เรายกมือไหว้แล้วขอเลยไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องขอให้ท่านเจริญขึ้นก่อน อย่างเช่น จะขอพระพิฆเนศ ก็ต้องบอกว่า ขอให้บุญบารมีทุกอย่างที่เราทำ ทำให้ท่านสูงขึ้น มีคนสักการะบูชาท่านมากขึ้น แล้วพอมีอะไรเหลือ ๆ ก็ให้มาถึงเราบ้าง อะไรประมาณนั้น”สีสันแรงบันดาลใจจาก โยชิ นิมิต“โยชอบในความที่เราเป็นคน Worry Free โยไม่ค่อยเครียด และเวลามีเรื่องเครียด โยจะเป็นคนที่ตัดออกไปได้เร็วมาก เพราะเวลาเครียด มันทำให้ร่างกายหลั่งสารที่มันท็อกซิกซ์ ซึ่งแต่ละคนมันมีเรื่องใหญ่มันไม่เหมือนกัน แต่ให้มองเอาไว้ว่า เรื่องนี้จะทำให้คุณตายรึเปล่า ตอนจบของเรื่องนี้ตายรึเปล่า ถ้าไม่ตายจะเครียดทำไม พรุ่งนี้มันก็มีใหม่ ทำใหม่ก็ได้ แต่ถ้าป่วย ถ้าเป็นโรคร้าย อันนั้นน่ากลัวจริง แต่ถึงจะป่วยมันก็ยังมีโอกาสที่จะไม่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าการไม่เครียดมันจะเป็นการรักษาได้ก็ต้องห้ามเครียด ก็ต้องมองหาความหวัง” - โยชิ นิมิตพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดชีวิตหลังไมค์ ของ “ดีเจอ๋อง เขมรัชต์” จากหนุ่มร็อคสุดเท่วงมะลิ สู่ดีเจตัวแม่ฝีปากแซ่บสะเทือนวงการ!

02 ต.ค. 2023

เปิดชีวิตหลังไมค์ ของ “ดีเจอ๋อง เขมรัชต์” จากหนุ่มร็อคสุดเท่วงมะลิ สู่ดีเจตัวแม่ฝีปากแซ่บสะเทือนวงการ!

CLUB นี้ยังคงรวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าซ “ดีเจอ๋อง เขมรัชต์” จากอดีตหนุ่มร็อคสุดเท่ของวงมะลิ พิธีกรรายการไฟว์ไลฟ์สุดคูล สู่ดีเจตัวแม่ ฝีปากแซ่บ สะเทือนวงการ ที่กว่าจะถึงวันนี้ ดีเจอ๋อง ผ่านหลากหลายเรื่องราวสุดพีค และได้แชร์มุมมองดี ๆ ให้ฟังในรายการด้วยความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก“ย้อนไปตอนเด็ก อ๋องเป็นเด็กขี้อายมาก เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าโตมาแล้วจะเป็นแบบนี้ได้ แต่เวลาที่อยู่กับเพื่อน เราจะร่าเริงและไม่ชอบให้ใครในกลุ่มเศร้า ก็จะชอบเอนเตอร์เทนคนอื่นให้มีความสุข แต่ถ้าจะต้องทำการแสดงก็มักจะปฏิเสธ เราขี้อาย ตอนที่แม่ให้ขึ้นไปร้องเพลงงานวันเกิดคุณป้า เราก็โกรธแม่เพราะว่าอายแต่ลึก ๆ ในใจมันมีความชอบร้องเพลงอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว พอเริ่มโตก็เป็นคนที่ชอบประกวดร้องเพลง แม้จะมีความขี้อาย แต่เมื่อจะต้องทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ เราจะเต็มที่ จนกระทั่งจุดพีคเลยคือตอนมัธยม ที่ได้ลองประกวดวงดนตรีที่โรงเรียน เป็นแบบโฟล์คซอง ร้องเพลงภาษาอังกฤษ ฮู้ฮา ฮู้ฮากันไป หลังจากนั้นเราก็มีเรียนร้องเพลงบ้าง แต่ไม่ได้เรียนแบบจริงจัง มาเริ่มเรียนจริงจังในตอนที่เข้ามาตึกแกรมมี่แล้ว ตอนที่เริ่มทำเพลงแล้วถึงจะเรียนร้องเพลงแบบจริงจัง”จากเด็กชอบร้องเพลง สู่การประกวดวงดนตรีมัธยมระดับตำนาน“ตอนนั้น อ๋อง ประกวด HOTWAVE MUSIC AWARDS รุ่นที่ 5 ตอนนั้นประกวด 3 ครั้ง ตั้งแต่ ม.4 ตอนนั้นไม่เข้ารอบเลย พอครั้งที่ 5 ก็เข้ารอบ 30 วงสุดท้าย และครั้งที่ 6 ก็เข้ารอบ 30 วงสุดท้าย ใช้ชื่อวงเป็น วงมะลิ เลย แล้วพี่มิก เชษฐา ยารสเอก เป็นกรรมการ ก็เห็นแววว่าวงนี้ดูมีแววนะ ก็พาวงเราเข้ามาที่แกรมมี่ มาสกรีนเทสอยู่ 2-3 ปี ตอนแรกวงมี 6 คน พอมาสกรีนเทสแล้วเหลือ 4 คน ถึงได้เริ่มทำอัลบั้ม”ตัวตน LGBTQ+ ที่ต้องเก็บซ่อนไว้“ตอนเด็ก อ๋อง ไม่รู้ว่า LGBT คืออะไร แต่ด้วยความที่เป็นเด็กร่าเริง มันก็จะมีอาการวี้ดว้ายกับเพื่อน ออกมือออกไม้ แล้วก็ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิง เลยมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ แต่มารู้จัก LGBTเพราะคนแซวเราว่าเป็นตุ๊ดป่ะเนี่ย ทำไมดูกรีดกรายจังเลย เราก็จะได้ยินคำเหล่านี้มาโดยที่เราก็คเข้าใจว่าอาการแบบนี้มันเรียกว่าตุ๊ด แต่คำว่าตุ๊ดตอนนั้นเป็น Negative นะ เพราะรู้สึกว่าทุกคนรอบตัวไม่อยากให้เราเป็นตุ๊ด และมองว่าการเป็นตุ๊ดดูน่าอายโชคดีที่ตัวเราเอง ไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นตุ๊ดมันเป็นปัญหา แต่เราแค่รู้สึกห่วงใยคนรอบข้างมากกว่า ว่าเค้าจะคิดเห็นอย่างไร เช่นพ่อกับแม่ ตอนเด็กที่พยายามจะไม่ใครล้อว่าเป็นตุ๊ดเพราะกลัวพ่อแม่รู้ว่าเราถูกล้อว่าเป็นตุ๊ด ซึ่งส่วนใหญ่จะห่วงพ่อแม่เป็นหลัก เวลาอยู่บ้าน เราแค่จะไม่วี้ดว้ายขนาดนั้น แต่ตอนอยู่โรงเรียนเราก็จะวี้ดว้ายเต็มที่ กรี๊ดกร๊าดเต็มที่ แต่ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ พ่อแม่ก็เห็นอยู่แล้วว่าลูกเป็นยังไง วิธีการทุกอย่างของพ่อแม่ พอเราโตขึ้นมาถึงรู้ว่านั่นคือการวางแผนอย่างแยบยลของพ่อและแม่เรา คือตอนเด็กเราโตมาพร้อมกับความรู้สึกว่าพ่อไม่ชอบตุ๊ด พ่อไม่ชอบ LGBT เวลาดูหนังดูละครที่มีตุ๊ดเนี่ยเค้าจะฮึดฮัด จะมีความไม่อยากดู ไม่ชอบ แล้วแม่ก็จะคอยมาตะล่อมว่าป๊าเค้าไม่ชอบนะ แต่พอโตขึ้นมาเราก็เพิ่งมารู้ว่า มันเป็นกลวิธีที่เราเลี้ยงลูก เราก็ยิ่งรู้สึกประทับใจไปใหญ่ว่า พ่อแม่ฉันก็เต็มเหนี่ยวเหมือนกันนะ เค้ามีความพยายามมาก ๆ เลย”ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะมีคุณแม่ที่เข้าใจ“อ๋อง กับ แม่ จะสนิทกันมาก แล้วแม่จะพาไปร้านตัดเสื้อตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ส่วนพ่อก็จะทำงานต่างจังหวัด ซึ่ง อ๋อง มีพี่สาวคนนึงที่ติดกัน แล้วก็มีพี่ชายคนโตซึ่งก็โตกว่ามาก โตกว่าอ๋อง 8 ปี เค้าก็จะมีชีวิตของเค้า แล้ว แม่ พี่สาว อ๋อง ก็จะแพ็ค 3 ไปไหนไปกันตลอด ซึ่งที่ที่ไปบ่อยมากเลยคือร้านทำผม อีกที่คือร้านตัดเสื้อผ้า ก็จะเป็นนิสัยของแม่ลูกคู่นี้ว่าชอบคุยกันเรื่องเสื้อผ้า และ แม่ชอบดูหนังสือแฟชั่น เวลาแม่อยากได้เล่มไหน ก็จะวานให้อ๋องไปซื้อให้แม่หน่อยมีวันนึงแม่ก็บอกว่าไปซื้อหนังสือยี่ห้อนี้กลับมาให้แม่ที ระหว่างที่เราซื้อก็เปิดดู แล้วไปเจอคอลัมน์นึง ยังตลกกับเพื่อนอยู่เลยว่ามันมีคอลัมน์แบบนี้นะคือ ใช้ชีวิตเป็นเพศที่สามอย่างไรในสังคมให้มีความสุข แล้วพอกลับมาบ้านก็เอาหนังสือให้แม่ปกติ รุ่งขึ้นแม่ก็อยู่ข้างบนเราอยู่ข้างล่างนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่ก็ตะโกนลงจากข้างบนบอกว่า อ๋อง อ่านที่แม่คั่นไว้หน่อยลูก อ๋องก็เข้าใจว่าเป็นแฟชั่นเสื้อผ้าที่ชี้ชวนกันดู ปรากฏเปิดมาเป็นคอลัมน์ที่เราได้อ่านมาก่อนนั่นแหละ เราไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นกันอีกเลย แต่ความหมายทั้งหมดที่ อ๋อง รู้สึกว่ามันเอ่อล้นในใจเราเพราะ 1.คือแม่รับได้ 2.แม่เป็นห่วงเรานะว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ แบบที่เราเลือกยังไงในสังคม 3.แม่ช่างถนอมจิตใจเราเหลือเกินโดยที่เราไม่เคยคิดหรอกว่าจริง ๆ แม่บอกเลยก็ได้ แต่แม่ก็คงกลัว อ๋องเลยรู้สึกว่า แม่เราคิดแบบซับซ้อนมาก หลายมิติมาก กว่าจะเลี้ยงเรามาได้อ๋อง ไม่เคยคิดที่จะเดินไปบอกที่บ้านว่า อ๋องเป็นตุ๊ดนะ เพราะรู้สึกว่าเค้ารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง อย่างป๊าเอง จากที่เค้าเคยแข็งมาก ๆ เรื่องการยอมรับ LGBTQ+ เค้าก็จะเริ่มผ่อนคลายขึ้น แล้วก็เราเอง เป็นคนที่เพื่อนทุกคนก็จะรู้จักพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะสนิทกับเพื่อน เพราะเราจะเป็นคนที่ชอบพาเพื่อนพาแฟนไปให้พ่อแม่รู้จัก ซึ่งวันที่รู้สึกว่าพ่อรับได้เลยคือเราเลี้ยงหมาตัวนึง แล้วหมาอยู่ที่บ้าน อ๋องกับแฟนกลับไปบ้าน พ่อก็พูดกับหมาบอกว่า อ้าวพ่อมาแล้วไปหาพ่อ แต่คำว่าพ่อไม่ได้หมายถึงอ๋องนะ หมายถึงแฟนอ๋อง เราก็เลยคิดในใจว่าฉันก็คงเป็นแม่มั้งในสายตาพ่อ แต่พ่อไม่พูด แต่เรารู้สึกว่ามันคือขั้นกว่าของการยอมรับอีกนะ เพราะมันคือการทำให้ทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นปกติที่สุดมันมีอีกเหตุการณ์นึง คือให้คนมาติด UBC ที่บ้าน แล้วมันต้องติดกล่องเป็นจุดใช้กล่องเดียวทั้งบ้านไม่ได้ เราก็มีห้องนอนของเรา มีทีวีเราก็อยากจะดูส่วนตัวมากขึ้น เราก็ให้คนมาติดกล่องในห้องเรา ซึ่งทีวีเราก็จะมีเครื่องเล่นดีวีดี พอคนมาติดตั้ง ป๊าก็เข้าไปช่วยติดตั้ง แล้วจังหวะที่เปิดทีวีขึ้นมาทุกอย่างมันก็ออโต้เพลย์ทั้งเครื่องเล่นดีวีดีทั้งหน้าจอทีวีเอง แต่ในเครื่องเล่นดีวีดีมันมีหนังโป๊ที่ใส่อยู่ในนั้น ซึ่งมันเป็นหนังโป๊ผู้ชายกับผู้ชาย พ่อเค้าคงเห็นคาตานั่นแหล่ะ ซึ่งพ่อเค้าคงไปบอกแม่ แล้วแม่เค้าก็ถามว่าป๊ารู้สึกยังไง ป๊าก็บอกว่า ก็ไม่รู้สึกอะไร แม่ก็เลยบอกว่า อ๋อง มันจะเป็นอะไร เราเลี้ยงลูกเราตกลงว่าให้ลูกเป็นคนดี อ๋องมันไม่ดียังไง อ๋อง มันรับผิดชอบตัวเองไม่ได้เหรอ แม่ก็ถามป๊าบอกว่า แม่ชอบสีชมพู ป๊าชอบสีเหลือง แม่จะบังคับให้ป๊ามาชอบสีชมพูเหมือนแม่ได้เหรอ ต้องบอกเลยว่าแม่เก่งมาก เรื่องทั้งหมดนี้แม่มาเล่าให้พี่สาวฟัง แล้วพี่สาวก็มาเล่าให้อ๋องฟัง ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้นะ เราก็เลยรู้สึกว่าแม่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรื่องนี้”ความโชคดีที่สุดในชีวิต คือการได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่“อ๋อง พูดเสมอกับทุกคนว่า ไม่ว่าความโชคดีไหนในโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นกับอ๋อง จะมาที่หลังความโชคดีของการที่อ๋องเกิดเป็นลูกพ่อแม่เสมอ เพราะมันคือที่สุดแล้วสำหรับชีวิตนี้ กับการที่เราเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ อ๋องรักพ่อรักแม่มากเพราะรู้สึกว่าเค้าเข้าใจเรามากจริง ๆ แล้วเค้ารักที่เราเป็นเราจริง ๆ เพราะบางทีสิ่งที่เราเลือกมันก็ไม่เหมือนลูกบ้านอื่นเลย แต่เค้าก็ยังพร้อมที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่ลูกเราชอบมันเป็นยังไง ก็เลยค่อนข้างที่จะแฮปปี้ครับ”เมื่ออาชีพ ทำให้ต้องเก็บซ่อนตัวตนอีกครั้ง“ย้อนไปตอนเป็นนักเรียน ทุกคนที่โรงเรียนรู้อยู่แล้วว่า อ๋อง เป็นแบบไหน เพราะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ใส่เสื้อกันหนาวสีบานเย็น ผ้าพันคอสีบานเย็น ตบวอลเล่ย์ใต้ตึก เวลากะเทยตบกันรุ่นน้องมาตามเรียกว่าป้าอ๋องไปเคลียร์หน่อย ดังนั้นเด็กบดินทร์ทุกคนรู้วาเราเป็นตัวมัม เป็นตัวคลอดบุตรตั้งแต่ตอนเด็กจนพอเราโต ต้องทำงาน กลายเป็นว่าถ้าอยากเป็นคนในวงการบันเทิงก็ต้องแอ๊บแมนนะ ก็ต้องเก๊กแมนสิ ถ้าจะเป็นนักร้อง ต้องเป็นผู้ชายนะ ซึ่งมันเป็นการรับได้ไปโดยปริยายว่าถ้าเราจะต้องทำงานวงการบันเทิงเราต้องมีคาแรกเตอร์ที่แมนขึ้น แล้วพอเข้ามาทำวง ก็มีความรู้สึกมันต้องทำอัตโนมัติว่าเราต้องเก๊กแมน เรามาสกรีนเทสเราก็เก๊กแมน แต่ว่าโชคดีที่ค่ายก็ให้พูดความจริงให้หมดว่าเราเป็นยังไง ตอนที่เข้ามาค่ายก็ถามเลยว่าใครมีความลับอะไรต้องบอก อ๋องก็พูดตรง ๆ ว่าอ๋องเป็นแบบนี้ ทุกคนในโรงเรียนรู้นะ แต่ว่าอ๋องก็พร้อมจะทำตามบรีฟอะไรอย่างเงี้ย เค้าก็บอกว่า ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ขอแค่เวลาทำงานก็ขอให้เป็นพาร์ทที่ได้วางคาแรกเตอร์กันไว้ ใครถามก็ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ก็ให้คนอื่นเค้าพูด ให้โดนด่าว่าเก๊กแมนดีกว่าโดนรู้ว่าเป็นตุ๊ดนะ ณ วันนั้นวงการบันเทิงยังไม่มีบทหลากหลายแบบทุกวันนี้ ละครจะมีตุ๊ดทีนึง คือ นาน ๆ จะมีที ซึ่งในยุคแบบ แม่โหน่ง วสันต์ แม่ก้อง ปิยะ ยุคนั้นเป็นยุคที่เราต้องขอบคุณเค้าที่ปูทางมาให้พวกเราถึงทุกวันนี้ เพราะยุคนั้นมันไม่ได้มีหนังวาย หรืออะไรแบบทุกวันนี้ แม้กระทั่งตัวนักร้อง แล้วยิ่งเป็นนักร้องเพลงร็อค มันไม่สามารถแสดงตัวตนได้เลยว่าเราเป็นตุ๊ด เพราะเราต้องเป็น อ๋อง มะลิ ที่ดูขี้เก๊กและพูดน้อย ให้ดูคูล ๆ แต่ในใจคือกรี๊ดนะ คิดเสมอเราคือ ดา เอ็นโดรฟิน , ทราย ฟาเรนไฮต์ อะไรแบบนั้นอ๋อง เคยโดนเปลี่ยนพิธีกร เพราะลูกค้ารู้ว่าเราเป็นตุ๊ดด้วยนะ ย้อนไปตอนนั้นมีงานนึงติดต่อมาคอนเฟิร์มแล้วเรียบร้อย พอใกล้ๆ วันงานก็จะขอแคนเซิล ด้วยเหตุผลบอกว่า ลูกค้าอยากเปลี่ยนใช้พิธีกรคนอื่น เราก็เลยต้องถามเจาะลึกขึ้นไป เพราะเราเป็นคนไม่ยอมอยู่แล้ว ถามว่าทำไมล่ะ เราไม่ดีตรงไหน สิ่งที่เค้าตอบมาคือ ลูกค้าไม่อยากได้ตุ๊ด ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าการเป็นตุ๊ดของคนที่เป็นพิธีกรมันเป็นอะไรเหรอ ถ้าไม่ชอบก็บรีฟมาสิว่าไม่เอาวี้ดว้าย ไม่กรี๊ด ไม่เล่นบ้าผู้ชาย ขอเฟิร์ม ขอคูล ขอนิ่ง เราทำได้ทุกอย่าง แต่จะปฏิเสธเราเพียงเพราะว่าเรามีคาแรกเตอร์เป็นตุ๊ด เรารู้สึกว่าใจแคบจังเลย ซึ่ง ณ ตอนนั้นมันก็มีข้อตกลงว่า ถ้าเกิดจะยกเลิกก็ได้ แต่ค่าตัวก็ต้องให้เราครึ่งนึงเพราะว่ามันใกล้วันงานมาก ปรากฎเค้าดันขี้งกก็เลยไม่ยกเลิก ให้เราได้ทำต่อ เราก็โชว์ความสามารถเต็มที่ เราทำแบบเฟิร์ม รันสคริปได้ปังโดยไม่กรี๊ด ไม่กรีดร้องได้เลย พอจบงานเค้าก็ฟีดแบ็คมาว่าลูกค้าโอ ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็บรีฟได้นะ สมัยนี้แล้วตุ๊ดเราก็ไม่ใช่ต้องกรีดร้องกันหมดทุกคน”จากดีเจสุดแซ่บ สู่พิธีกรไฟว์ไลฟ์สุดคูล“ตอนนั้นเป็นดีเจที่เอไทม์ปีแรกเลย แล้วทางไฟว์ไลฟ์เค้าอยากจะเปลี่ยนพิธีกร เลยให้ดีเจไปออดิชั่น อ๋องก็เป็นหนึ่งคนที่ไปออดิชั่น ออดิชั่นอยู่หลายรอบแล้วก็ได้ในที่สุด ก็ได้เป็น 1 ใน 6 พิธีกรรุ่นใหม่ ที่มาเสริมทัพพี่ ๆ ผู้ที่มีความสามารถมากมายอย่าง พี่อ้อย นภาพร ก็เลยมีโอกาสได้เป็นพิธีกรไฟว์ไลฟ์ ไล่ ๆ กันกับตอนปล่อยเพลงชิน คือเพลงชินมาแป๊บนึง แล้วก็มาทำไฟว์ไลฟ์ 7 ปี”เกิดอาการแพนิค เพราะฝืนความรู้สึกตัวเองบ่อย“อ๋อง เป็นคนรักการทำงานมาก เป็นคนที่กลัวไม่มีเงิน กลัวไม่มีกิน แล้วเป็นคนที่ชอบได้รับเสียงชื่นชม อยากทำให้ทุกคนมีความสุข อยากทำให้ทุกคนพึงพอใจ ดังนั้นพอต้องทำงาน ไม่ว่าอ๋องจะทำอะไรอยู่ อ๋องปล่อยได้หมดเลย แล้วก็ทำงานให้ดีที่สุด แล้ว อ๋อง เป็นคนที่ชอบเอาทุกเรื่องมาพันรวมกัน เช่น ระหว่างจัดรายการอยู่ ก็สามารถทะเลาะกับแฟนไปด้วยได้ มันต้องสับสวิตซ์ความรู้สึกแบบเร็วมาก แล้วเป็นคนทำอย่างงั้นมาตลอดในวันที่ อ๋อง มีอาการแพนิค ตอนนั้นกำลังจะเข้ารายการอ่านข่าว EFM ON TV ทางช่อง GMM25 จังหวะที่จะเข้าจิงเกิลรายการ มันมีภาวะเหมือนหัวใจหล่นไปตาตุ่ม จากนั้นคือตัวชา แล้วหัวใจก็เต้นแรงแบบแรงมาก ๆ เราก็ตกใจนะว่าเราเป็นอะไร เพราะมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่าต้องตายให้ได้เดี๋ยวนี้ มันน่ากลัวเหมือนหัวใจจะวาย เลยรีบลงไปห้องพยาบาลอาการมันก็หาย กลับมาสู่ภาวะปกติ อันนี้คือวันแรกที่เป็น วันต่อไปเป็นอีกก่อนเข้ารายการเวลาเดิม ที่เดิม แต่วันเนี้ยเราสู้ เราก็พยายามจะนั่งอ่านข่าวไปจนจบ มันก็เป็นภาวะของการทรมานมากเลยพี่ ทำเสร็จก็ไปหาหมอ หมอบอกว่าหัวใจมันกลับเป็นปกติแล้ว เราก็พยายามเช็คด้วยเครื่องเยอะแยะทำอยู่แบบนี้ 2 โรงพยาบาล ก็ไม่มีอาการผิดปกติ จนมาโรงพยาบาลสุดท้าย ก็บอกว่ามันไม่เป็นไรจริง ๆ นะคะ เคยคิดถึงเรื่องจิตเวชบ้างมั้ย พอเราฟังเท่านั้น ก็เริ่มรู้สึกว่าต้องไปพบจิตแพทย์ เพราะเราเรียนละครเวทีมา มันก็จะเรียนเรื่องจิตเวชประมาณนึงอยู่แล้ว ก็ตัดสินใจไปหาหมอจิตเวช หมอก็ให้เล่าทุกอย่างให้ฟัง แล้วก็เลยสรุปมาว่า อ๋อง เป็น แพนิคดิสออเดอร์ ก็คือ อาการแพนิคที่สารเคมีในสมองมันแปรปรวน แล้วมันก็ประทุออกมาผ่านรีแอคของการเป็นแพนิคแบบนี้สาเหตุที่แท้จริงคือ พักผ่อนไม่เป็นเวลา พักผ่อนไม่พอ แล้วก็ดูแลตัวเองไม่ดี อันนี้คือพื้นฐานนะที่มันจะนำไปสู่อาการแพนิคได้ แต่สิ่งที่มันทำให้เป็นเลยคือ เราชอบคัทอารมณ์ตัวเองเร็ว ๆ บ่อยเกินไป เราฝืนความรู้สึกตัวเองบ่อยเกินไป เช่น เสียใจมากเลย แต่ต้องเข้ารายการแล้ว ฉันก็สามารถคัทความเสียใจตรงนั้นแล้วก็หัวเราะออกมาได้เลยทันที ซึ่งมันผิดธรรมชาติ แล้วเป็นคนในวงการบันเทิง โกรธแค่ไหนคนเดินมาก็ต้องยิ้ม เสียใจแค่ไหนคนจะขอถ่ายรูปก็ต้องถ่าย แล้วพื้นฐานยิ่งเป็นคนไม่ชอบเห็นใครเศร้าอีก มันก็เลยทวีคูณขี้นไปอีก และสะสมมาเรื่อย ๆ เป็นสิบปี วันนึงมันก็เลยประทุออกมาด้วยอาการเหล่านี้ ตอนนี้ก็คือดีขึ้นมากแล้ว ใช้คำว่าปกติได้เลย แต่ก็ต้องระวัง อ๋อง ก็ต้องกลับมาใส่ใจเรื่องการดูแลตัวเองมากขึ้น”ความรัก 17 ปี ของ อ๋อง เขมรัชต์“อ๋อง คบกับแฟนมา 17 ปีแล้ว แต่ก่อน อ๋อง ไม่ใช่คนเรียบร้อย แล้วตอนที่เจอแฟนคนนี้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ก็วันไนท์สแตนด์ คิดแค่นั้น อ๋องรู้สึกว่า พอเรารักสนุก มันมาพร้อมกับความไม่คาดหวังอะไรเลย แล้วเราก็เป็นตัวเราได้เต็มที่ อีกฝ่ายก็คงเป็นตัวเค้าได้เต็มที่ เราไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องเห็นด้านดีของกันและกันเสมอ แต่ด้านเสียที่มันแสดงออกมามันดันเป็นสิ่งที่เราทั้งคู่รับได้ และเรารู้สึกว่าไม่เป็นไร แล้วพอมันไม่คาดหวัง มันก็ไม่ผิดหวัง แล้วมันก็ไม่เสียใจ จนวันนึงรู้สึกว่าคนนี้แหละที่ใช่สำหรับเราจริง ๆอ๋องเป็นคนงี่เง่ามาก เวลาอยู่กับแฟน อ๋อง จะทำทุกอย่างที่ไม่ทำกับคนอื่น และเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย เพราะเรารู้สึกว่าก็เราเป็นคนแบบนี้ เค้าพูดเสมอว่า ก็เพราะ อ๋อง เป็นคนแบบนี้ แรก ๆ อ๋องก็จะต่อต้านเพราะอ๋องไม่รับตัวเอง แต่พอเปิดใจ ทำใจกว้างกับตัวเองมากขึ้น แล้วมองเข้าไปจริง ๆ ก็เลยเข้าใจตัวเองว่าเราชอบเผลอทำไม่ดีกับคนใกล้ตัว จนบางทีมันก็ทำให้บั่นทอนจิตใจ อ๋อง ก็เลยพยายามประคับประคอง แล้วก็ทำตัวเองให้ดีขึ้น ทุกวันนี้ก็จะชมเค้าเช้าเย็น เรารักเค้านะ มันอยู่ด้วยกันจนข้ามความความโรแมนติกฟุ้งฝันไปแล้ว แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะมีเค้าอยู่ในแพลนชีวิตเราตลอดอ๋อง อินกับเรื่องสมรสเท่าเทียมมาก พรบ.คู่ชีวิตก็ไม่เอานะ เพราะรู้สึกว่ามันจะไปยากอะไร ในเมื่อคนสองคนเค้ารักกัน บุคคลกับบุคคลมันรักกัน แล้วทำไมเค้าถึงจะมีสิทธิ์ไม่เท่าคนอื่น คืออ๋อง ยังหาทางออกไม่ได้เลยว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงยังไม่ผ่านสักที การที่ผู้ชายสองคนรักกัน มันจะไปผิดแปลกกับผู้ชายผู้หญิงรักกัน หรือผู้หญิงกับผู้หญิงรักกันอย่างไร ทุกคู่มันมีเรื่องราวหมด ตราบใดก็ตามที่เราเป็นบุคคลกับบุคคล ก็ไม่ควรมากีดกัน หรือลิดรอนสิทธิเราในเรื่องนี้เลย”กำลังใจจาก อ๋อง เขมรัชต์“อ๋อง อยากบอกทุกคนว่า มีความสุขในแบบที่ตัวเองมีได้ให้มากที่สุด ทุกคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าคนที่เงื่อนไขน้อยกว่าหรือเยอะกว่าจะมีความสุขไม่ได้ เราต้องมีความสุขก่อน ถ้าข้างในของเราแน่นไปด้วยความสุข ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น เราจะสู้กับมันไปได้ แล้วชีวิตเราจะมีคุณค่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในครอบครัวแบบไหนครับ จะพร้อมบอกทุกคนวันนี้ หรือไม่พร้อมเลยด้วยเงื่อนไขอะไรก็ตามช่างมัน อย่าให้อะไรก็ตามมาบั่นทอนชีวิต เพราะว่าชีวิตเรามีคุณค่าเสมอ แต่เราต้องเห็นมันก่อน ก่อนที่จะไปเรียกร้องให้ใครเห็น อ๋อง อยากให้ทุกคนมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทำอะไรก็ได้ที่ไม่กระทบคนอื่น และที่สำคัญไม่เดือดร้อนตัวเอง” - อ๋อง เขมรัชต์ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1