“ทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จ เพราะเราทำได้มากกว่า 1 อย่าง เราเป็นช่างแต่งหน้าได้ เราเป็นช่างทำผมได้ เราบริหารธุรกิจได้ ดังนั้นเวลาเราทำได้หลายอย่าง โอกาส เงิน หรือสิ่งต่าง ๆ ก็จะเข้ามาได้มากกว่าเช่นกัน”
เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “น้องฉัตร-ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ” ช่างแต่งหน้าคิวทอง เจ้าของผลงานการแต่งหน้าสุดจึ้ง ที่ได้ฝากผลงานไว้บนใบหน้าของคนดังมากมาย อย่าง หญิง รฐา,อั้ม พัชราภา, เป้ย ปานวาด หรือ นัท มีเรีย นอกจากนี้เขายังเป็นความฝันของเจ้าสาวหลายคน ที่อยากให้ น้องฉัตร มาสะบัดแปรงแต่งหน้าเนื่องในวันสำคัญของชีวิต จนต้องจองคิวยาวข้ามปีกันเลยทีเดียว กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาผ่านหลากหลายสีสันของชีวิต และได้มีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ได้แบ่งปันไว้ในรายการอีกด้วย

“น้องฉัตร” ชื่อนี้ไม่ได้แต่งเอง
“น้องฉัตร เป็นชื่อที่ผู้ชายตั้งให้ คือ คุณเอก เด็กวัดร้อยล้าน ตั้งให้ เรื่องของเรื่องคือ สมัยก่อนเราเป็นช่างผมอยู่ในวงการ แล้วเราไปทำผมในนิตยสารหนึ่ง ตอนนั้น คุณเอกเค้าก็เป็นนายแบบ แล้วด้วยความที่สมัยก่อนมันยังไม่มีการขอไลน์ แต่เราอยากรู้จักเค้า เค้าก็เลยถามว่า เราเล่น IG ไหม เค้ามีไอจี เราก็ถามว่า IG คืออะไร เพราะเป็นคนที่ไม่มีโซเชียลเลย ขนาดพี่อิ่ม ผู้จัดการบอกว่าให้เล่นโซเชียลเราก็ไม่เล่นเลย แต่พอผู้ชายบอกว่ามี IG ไหม เราสมัครตอนนั้นเลย แล้วผู้ชายก็ถามว่า แล้วพี่จะใช้ IG ชื่ออะไร ด้วยความที่เราชื่อ ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ แล้วมันแมนมาก เราก็ตั้งใจว่าเอาเป็น น้องฉัตร แล้วกัน มันก็เลยเป็นที่มาของคำว่า น้องฉัตร ตั้งแต่นั้นมา
จริง ๆ สมัยเด็ก เราเคยมีชื่อเล่น ชื่อแบงค์ แต่ตัวเองรู้สึกว่าไม่ชอบชื่อเล่น ตอนประมาณ 5-6 ขวบ เพราะเรารู้สึกว่า ฉัตรชัย มันดีแล้ว แล้วแม่เคยเล่าว่า สมัยเด็ก ๆ ตอนนั้นคุณปู่เป็นร่างทรง แล้วปู่บอกว่า เราเป็นกุมารมาเกิด ชื่อ ฉัตรมงคลชัย แต่ปู่บอกว่ามันยาวไป ถ้าจะตั้งชื่อเอาแค่ ฉัตรชัย ก็พอ แล้วเราไม่ชอบชื่อแบงค์ แม่ก็จะเรียกว่า ฉัตรชัย แล้วเวลาเรียกเร็ว ๆ ก็จะกลายเป็น ชัย ชัย กลายเป็นว่าแมนกว่าเดิมอีก”
ย้อยวันวาน ของ ด.ช.ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ
“เมื่อก่อนเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส ได้รับเกียรติบัตรมาโดยตลอด และเป็นเด็กกิจกรรม เป็นหัวหน้าห้อง แต่จะไม่ค่อยโดนเรียกเวลาต้องทำการแสดงหน้าชั้นเรียน เพราะว่าเราเป็นเด็กอ้วน เราก็คอยดูเพื่อน ๆ เต้นบ้าง รำบ้าง เราก็จะคอยเลื่อนโต๊ะให้เพื่อนซ้อมรำ หลังจากนั้นก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำมาโดยตลอด อย่างตอนเรียนลูกเสือ เราก็จะเป็นคนสั่งทั้งหมดแถวตรง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่ตลอด อาจจะด้วยความที่เราเป็นคนที่คอยเคลียร์กับทุกคนได้ ทั้งเพื่อน ทั้งอาจารย์ แล้วเราเป็นคนขี้สงสาร เป็นเพื่อนที่ใจดี เพื่อนเลยไว้ใจเรา
ด้วยความที่เป็นเด็กเรียบร้อย แล้วเรามารู้ตัวตนตอนที่เราแอบชอบเพื่อนผู้ชายอีกคน ตอนนั้นประมาณ ม.2 คือเพื่อนผู้ชายคนนี้มันชอบมาเล่นกับเรา ชอบแกล้งเอามือมาจับก้นเราทุกวันเราก็เขิน เพราะว่ามันเหมือนในเรื่อง สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก อารมณ์แบบน้องน้ำพี่โชน แบบนั้นเลย แล้ววันวาเลนไทน์ เราก็ทำหมอนรูปหัวใจแล้วก็อยากเขียนชื่อเค้าลงไปว่ารัก... แต่เราก็ต้องเขียนว่ารักเพื่อน...นะ แล้วก็แอบเอาไปไว้ใต้โต๊ะเค้า ผู้ชายคนนี้ก็คือรักครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองชอบผู้ชาย แล้วสุดท้ายตอนนั้นได้มาเจอกันอีกครั้ง ก็ได้มาปรับความเข้าใจกัน แล้วบอกชอบกัน ในงานเลี้ยงรุ่น ก็บอกเพื่อนว่า เราชอบเธอนะ ชอบมาตั้งนานแล้ว เค้าบอกว่า แล้วทำไมพึ่งบอกตอนนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าก็คงรู้สึกดีเหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นเด็ก ก็เลยกลายเป็นอารมณ์แบบเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าความรักแบบผู้ชาย แบบ LGBTQ+ มันเป็นยังไง แค่รู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้ แต่เพื่อนผู้หญิงที่เรารู้สึกดีก็มีนะ เหมือนเราคุยกับเพื่อนผู้ชายสักประมาณ 6-7 ชม. ก็มีเพื่อนผู้หญิงที่เคยคุย 6-7 ชม.เหมือนกัน มันเป็นช่วงวัยเด็กที่เราไม่รู้เรื่อง แค่รู้ว่าเพื่อนผู้หญิงเรารู้สึกดีแบบฟีลเพื่อน แต่เพื่อนผู้ชายเรารู้สึกดีแบบฟีลอินเลิฟ
เรื่องดอกกุหลาบก็เคยมีนะ เรื่องคือวันนั้นเป็นวันไหว้ครู ซึ่งแต่ก่อนเราเป็นเด็กอ้วน ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่เคยมีแฟน พอมาวันหนึ่งเราเริ่มผอม ยุคเรียน ปวช. ก็จะมีรุ่นน้องไปเหมากุหลาบปากคลองตลาดมาให้เรา แล้ววันวาเลนไทน์จะได้ของขวัญแบบเยอะมาก เราไม่เคยมีโมเม้นท์ที่รู้สึกว่าตัวเอง Popular แล้วเคยมีผู้ชายบอกเราว่า ชอบเราสมัยที่เราอ้วนเป็นหมีพูห์ แล้วเราก็เชิดใส่ ว่าทำไมไม่มาบอกเราตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพอผอมก็มาบอกว่าชอบเรา ก็เลยเชิดกลับเลย”

ลดความอ้วน เพราะอยากเป็น BA ขายเครื่องสำอาง
“ที่เปลี่ยนตัวเอง เริ่มผอมลง เพราะมีความฝันอยากเป็น BA ขายเครื่องสำอาง เรื่องของเรื่องคือเราอยากเป็นช่างแต่งหน้า สมัยเด็ก ๆ เราก็จะชอบไปบ้านป้า ไปรับจ้างเก็บทำความสะอาด แล้วขอนิตยสารจากพี่สาวมาเรียนแต่งหน้า แล้วเอาเด็กแถวบ้าน ทำเป็นเอามาสอนเรียนภาษาอังกฤษ สอนเรียนภาษาไทย แต่จบที่เอาเค้ามาเป็นแบบแต่งหน้า ทำผม เหมือนครูพักลักจำเรียนรู้เอง
เราชอบมองผู้หญิงสวย ๆ ชอบคนที่ดูดี ชอบคนหน้าตาสวย มาตั้งแต่เด็ก แล้วพอวันที่เราโตขึ้นเราเห็นคนในแมกกาซีนเค้าแต่งหน้าทำผมสวยจังเลย แล้วเค้ามีชื่ออยู่ในแมกกาซีน จนคิดว่าวันหนึ่งเราก็อยากมีแบบนั้นบ้าง หลังจากนั้นเราไปเดินห้าง แล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่กับเครื่องสำอาง เหมือน BA ที่อยู่กับเครื่องสำอาง แล้วเราเรียนเกี่ยวกับการขาย เรียนการตลาดด้วย ซึ่งอาจารย์ก็แนะนำให้เราออกไปฝึกงาน แต่ให้เลือกเอาว่าจะขายของแคตตาล็อค หรือว่าจะไปหาที่ฝึกงานเอง ด้วยความที่เพื่อนทุกคนก็เลือกขายของแคตตาล็อค แต่เรารู้สึกว่าไม่ได้ ฉันจะต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก ก็เลยไปที่เคาท์เตอร์เซ็นทรัลบางนา แล้วก็ไปขอเบอร์บริษัทเครื่องสำอาง จนได้เบอร์ของบริษัทหนึ่งมา เราก็โทรไปบอกว่า ผมอยากจะมาขอสมัครเป็นเด็กฝึกงาน เค้าบอกว่า บริษัทไม่มีนโยบายการรับเด็กฝึกงาน เราก็แบบคิดว่าโอเคไม่เป็นไร ก็ลองกด 1 ต่อ กด 2 กด 3 กดไปจนถึงเบอร์สุดท้าย ไล่ไปทุกแผนกเพราะรู้สึกว่า โอกาสของเรามีสุดเท่าไหร่ก็ต้องไปให้สุด จนสุดท้ายก็เจอเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นเครื่องสำอางแบรนด์แรกที่เราอยากจะกดไปหาเค้าแต่ว่าเราไม่กล้า สรุปคือแบรนด์ที่เราคิดว่าไม่กล้ากลายเป็นแบรนด์ที่รับเราเป็นพนักงานฝึกงาน เค้าบอกว่าให้ใส่ชุดสีดำนะ ซึ่งเราก็ไม่มีชุดสีดำ เราก็ไปซื้อเสื้อตัวละ 99 บาท กับกางเกงสแล็ค แล้วก็เข้าไปสมัครงานกับเพื่อนเป็นพนักงานฝึกงาน พอไปถึงเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ให้ 300 นะ เราก็งงว่าเดือนละ 300 บาท หรือว่าฝึกงานเสร็จได้ 300 บาท แต่ด้วยความที่เราไม่ได้คิดเรื่องเงิน เพราะแค่เค้ารับเราก็ดีใจแล้ว ก็เลยตกลง แล้วพอไปถึงก็เจอรุ่นพี่รับน้องเลย เค้าบอกว่าให้เราจำสินค้าทุกตัวที่อยู่ในเคาท์เตอร์ให้ได้ เพื่อให้เราไม่มีเวลามาขายของ แล้วไม่ไปแย่งยอดเค้า ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ เค้ามาเฉลยที่หลัง แต่ตอนนั้นเราก็จำได้ไม่หมดหรอกเพราะสินค้ามันเยอะมาก
จริง ๆ เราเคยจะเรียนจบแค่ ม.3 เพราะว่าเรารู้สึกว่าอยากไปต่อสายอาชีพ พอคุยกับอาจารย์ท่านก็บอกว่า จริง ๆ แล้ว เราสามารถที่จะเรียนหนังสือต่อได้ แล้วก็ไปทางสายอาชีพได้ด้วย มันเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเราจะสามารถมีเพื่อนได้มากกว่า 1 ทาง หมายถึงว่าเราสามารถมีเพื่อนทั้งสายที่เรียน ปวช. หรือ ปวส.ก็ได้ แล้วเราก็สามารถมีเพื่อนที่เรียนเสริมสวยด้วยกันก็ได้ ซึ่ง น้องฉัตร เริ่มเรียนทำผมตอนอายุ 14 ปี ตอนนั้นช่วงประมาณ ม.2
นอกจากเป็นช่างแต่งหน้า อีกอย่างคืออยากเป็นครู เพราะเกิดวันพฤหัสบดีด้วย เราเป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงแล้วบวกกับการกระทำด้วย เรารู้สึกว่าเวลาที่เราสอนใคร แล้วเราสามารถที่จะแนะนำได้ดี นอกจากนั้นเราอยากจะพัฒนาสังคม อยากจะให้น้อง ๆ ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ซึ่งเราเคยไปให้ความรู้เด็ก ๆ บางทีเราถามเด็ก ๆ ว่า น้อง ๆ มีความฝันอยากเป็นอะไร ซึ่งบางคนก็ยังไม่รู้เลยว่าความฝันของตัวเองคืออะไร หรือบางคนก็มีความฝันแบบแปลก ๆ แตกต่างกันไป”
ใครจะพูดอะไรไม่ซีเรียสเลย เพราะครอบครัวเราเข้าใจที่สุด
“การที่เราเป็น LGBTQ+ สำหรับเพื่อนก็อาจจะมีล้อบ้าง แบบว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ถามว่าเรารู้สึกไหม บางทีเราก็รู้สึกนิดหน่อย แต่ไม่เท่าแบบป้าข้างบ้านหรือว่าลุงข้างบ้าน ที่ชอบมาถามพ่อแม่ว่า เรามีแฟนไหม แล้วถามต่อว่า แฟนเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกว่า แล้วเค้ายุ่งอะไรด้วย
แต่วันที่กำแพงความกลัวมันพังทลายไปเลย คือวันที่แม่ยอมรับเราได้ว่าเราเป็นแบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะว่า ผู้ชายโทรเข้าบ้าน ตอนนั้นเป็นช่วงที่เริ่มผอมแล้ว แล้วผู้ชายที่อยากคบเราตอนเป็นหมีพูห์นั่นแหละที่โทรเข้ามา เรื่องเกิดจากในวารสารโรงเรียน เราก็จะให้ทั้งเบอร์บ้าน แล้วก็เบอร์โทรศัพท์มือถือ ลงไปในนั้น แต่เราดันให้เบอร์มือถือแล้วเลขมันสลับ เค้าก็เลยโทรเข้าเบอร์บ้านแล้วก็แม่รับสาย ซึ่งเค้าบอกว่าอยากคุยกับเรา แม่ก็เลยสงสัยเพราะปกติเราจะมีแต่เพื่อนผู้หญิง แต่คราวนี้เพื่อนผู้ชายโทรมา แม่ก็เลยรู้สึกว่าลูกเริ่มแปลก ๆ ลูกเริ่มโต เริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ แม่ก็เลยเรียกคุยเลยว่า เดี๋ยวคืนนี้เราไปคุยกัน ก็เลยเข้าไปคุยแล้วแม่ก็ถามเลยว่าชอบผู้ชายใช่ไหม เราก็ได้แต่แบบพยักหน้าบอกว่าใช่ครับ คราวนี้แม่ก็เลยบอกว่า กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย แม่ห่วงอย่างหนึ่งว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ ด้วยสังคมไทยชอบวางภาพให้เราโดนหลอก โดนผิดหวังกับความรัก ซึ่งเราก็ให้เหตุผลกลับไปกับแม่ว่า จริง ๆ แล้วแม่รู้มั้ยว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรมันก็มีหลอกกันได้ รักกันได้ ดังนั้นมันไม่ได้อยู่ที่เพศ แม่ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ขอให้ลูกแม่เป็นคนดีก็พอ หลังจากนั้นเรารู้สึกว่าทุกอย่างที่เหมือนบีบเรา หรือกำแพงที่สร้างไว้มันพังทลาย แล้วเรารู้สึกว่าลุงข้างบ้านพูดอะไรเราไม่ซีเรียส ใครจะพูดว่าเราเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วเราไม่ซีเรียสเลย เพราะครอบครัวเราเข้าใจที่สุด”

เป็นช่างเสริมสวยได้ เพราะแรงสนับสนุนจากครอบครัว
“เราโชคดีมากตรงที่ คุณแม่เป็นค่อนข้างให้อิสระมาก ถ้าเราชอบอะไร แม่จะให้เราทำเต็มที่ ตอนที่คุยกับแม่ตอนจะจบม.3 แล้วอยากไปทำผมเลยโดยตรง แม่ก็ตกลง แล้วเราก็เคยไปสมัครงานร้านทำผมแต่เค้าไม่รับ เพราะว่าเราอายุไม่ถึง แม่ก็เลยให้เราเอาโต๊ะเครื่องแป้งแม่มาเป็นที่ลองทำผม แล้วก็ซื้อเตียงสระให้ จำได้เลยว่า 1,500 บาท สระไปสักพัก พอฝนตกก็ยกเตียงเข้าบ้านไปสระในห้องน้ำต่อ ตอนนั้นเราก็ทำงานเก็บเงินไปเรื่อย ๆ
ส่วนคุณพ่อตอนแรกก็จะมีค้านนิดหน่อย พ่อบอกว่างานเสริมสวยเป็นงานของผู้หญิงนะ ซึ่งก็โชคดีที่ครูสอนทำผมเค้าเป็นเพื่อนของพ่อพอดี แล้วพ่อดันไปทำงานอยู่ในโรงงานที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผมพอดี พ่อก็เลยเอาผลิตภัณฑ์ผมมาให้เราด้วย แล้วพ่อเห็นว่าเราทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ จากที่พ่อรู้สึกว่างานเสริมสวยเป็นงานของผู้หญิง กลับกลายเป็นว่าพ่อสนับสนุน แล้วก็เอาของเครื่องสำอางมาให้เราด้วย น้องฉัตรก็เลยรู้สึกว่าชีวิตเราโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่ แล้วคนรอบข้างที่ซัพพอร์ตเราดีมาก”
มุมมองเปลี่ยนไป จากการเรียนสายอาชีวะ
“พอเรียนสายอาชีวะ มุมมองก็เปลี่ยนเลยครับ เราได้เห็นสังคมในด้านต่าง ๆ การที่เราเรียนสายอาชีวะ ในตอนเรียน บางทีเพื่อน ๆ เค้าไปเที่ยวกัน แต่เราก็จะแบกกระเป๋าไปทำงาน คือเราจะไม่มีชีวิตวัยเด็กที่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้นมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราโตกว่าคนอื่น ก็คือบางทีเพื่อนไปดูหนังกัน แต่เราต้องไปรับแต่งหน้างานรับปริญญาตอนตี 3 ซึ่งสมัยก่อนก็หัวละ 500 บาท
น้องฉัตรจะบอกว่า มันยุคสมัยใหม่แล้ว ถ้าลูกเรารู้ว่าทำอะไรได้ดี เราก็ควรสนับสนุนสิ่งนั้นไปเลย และอยากให้เด็ก ๆ ทุกคนได้ลองหาความฝันตัวเองให้เร็วที่สุด อย่าง น้องฉัตร รู้ว่าเราชอบทางด้านเสริมสวยมาตั้งแต่เด็ก พอมันเริ่มเร็ว เราจะได้ลองผิดลองถูกเร็ว แล้วด้วยความที่เราเป็นเด็ก เวลาเราไปทำอะไรผิด ผู้ใหญ่เค้าจะยังเอ็นดู แต่สมมติว่าเราได้มาทำผิดตอนโตแล้ว มันก็จะถูกมองคนละมุม คนก็จะมองว่าเราทำงานผิดพลาด ดังนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าน้อง ๆ หนู ๆ ชอบเรื่องไหน ก็อยากให้โฟกัสไปเรื่องนั้นเลย
เดี๋ยวนี้มันมีการเรียนรู้ที่ค่อนข้างเยอะ เราสามารถเปิดอินเตอร์เน็ตได้ เราสามารถที่จะไปเรียนด้านต่าง ๆ ได้ คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน แต่เราสามารถทำ 24 นี้ โดยหาจุดที่มันจะฝึกทักษะเพิ่มกับตัวเองให้มันได้เยอะที่สุด เพราะอย่าง น้องฉัตร ทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จ เพราะเราทำได้มากกว่า 1 อย่าง ถ้าคนเราทำได้มากกว่า 1 อย่าง โอกาสมันก็จะมากเท่ากับสิ่งที่เราทำได้ เราเป็นช่างแต่งหน้าได้ เราเป็นช่างทำผมได้ เราบริหารธุรกิจได้ ดังนั้นพอเวลาที่เราทำได้หลาย ๆ อย่างมากกว่าคนอื่น โอกาส เงินหรือว่าสิ่งต่าง ๆ มันก็เข้ามาได้มากกว่าคนอื่น”

กว่าจะเป็น น้องฉัตร ใช่ว่าจะไม่เคยพลาด
“ตอนนั้นเป็นช่างทำผมก่อนครับ แล้วก็เก็บเงินซื้อเครื่องสำอาง แล้วก็เริ่มฝึกเรียนเป็นช่างแต่งหน้า ตอนนั้นมีคลาสเรียน 7 วัน ทำได้ 4 วันเพราะว่าโรงเรียนเปิดก่อน แล้วก็ไปรับจ้างแต่งหน้าที่บ้านลูกค้าบ้าง จำได้เลยว่าเจ้าสาวคนแรกที่เรารับ ตอนนั้นเค้าติดต่อมาตอนช่วงบ่าย แล้วอยากให้เราแต่งหน้าตอนเย็น แล้วเราก็รับ คือถ้าเป็นตอนนี้ไม่ได้แล้วนะ ต้องจองข้ามปี
สมัยก่อนแต่งหน้าเจ้าแรก 700 บาท ตอนแรกลองทาตาสีน้ำตาลแล้ว ซึ่งมันไม่รอด ก็เลยเปลี่ยนเป็นตาฟ้า ปากสีชมพูบานเย็น แล้วทำผมทรงรังนก หยุม ๆ ผม แล้วก็ตะกุยผม ติดดอกลิลลี่ แล้วเราก็อยากให้ดอกลิลลี่มันมีความวิบวับ ก็เลยเอากลิตเตอร์โรย แล้วก็ฉีดสเปรย์ทับดอกลิลลี่เพราะกลัวกลิตเตอร์มันปลิว ไปถึงงานปรากฎว่าดอกลิลลี่เหี่ยว ยุคนั้นพอเราย้อนความทรงจำไปมันก็มีความสนุกนะ ทุกวันนี้ที่เก่งได้ เพราะความผิดพลาดนั่นแหละ ทุกวันนี้ เจ้าสาวคนนั้นลูกเค้าโตแล้ว ยังอยู่บ้านในซอยเดียวกัน มีคนรีเควสว่า อยากเอาคนนั้นกลับมาให้แต่งหน้าใหม่อีกรอบ ซึ่งถ้ามีเวลาเดี๋ยวจะทำคอนเทนต์นี้ดู
เราเป็นคนที่มีความฝันมาโดยตลอดว่า ฉันจะต้องเป็นช่างแต่งหน้าที่คนรู้จัก ในช่วงอายุไม่เกิน 30 ปี จนตอนนี้ 36 ปีแล้ว ก็ประสบความสำเร็จ สำหรับตัวน้องฉัตรเอง น้องฉัตรคิดว่าเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เกิดมาบ้านรวยอยู่แล้ว เราสามารถสร้างเองได้ จนมาถึงจุดนี้ก็ดีมากแล้ว”
ทำไม น้องฉัตร ถึงเป็นช่างแต่งหน้าเจ้าสาวคิวทอง
“ลูกค้าเค้าอาจจะติดตามเรา แล้วก็เห็นผลงานของเรา และหลายคนที่เห็นผลงานเค้าชอบบอกว่าเราแต่งหน้าแล้วดูเด็กขึ้น แก้ไขรูปหน้าได้ คือต้องบอกว่า เราเป็นคนที่จริง ๆ ไม่ได้มีพื้นฐานการเรียนทางด้านชาร์ตสี แต่ของเราจะเป็นการแต่งหน้าตามจินตนาการ ทำให้เวลาแต่งหน้าเราไม่มีแพทเทิร์นว่า 1.ลงรองพื้น 2.เขียนคิ้ว เราจะมองว่า ปัญหาของลูกค้าคนนี้คือส่วนไหน แล้วเราจะแก้ส่วนนั้นก่อน แล้วเราก็จะเป็นคนที่แต่งหน้ากับกระจกให้เค้ามอง ให้เค้าเห็นวิธีการทำ จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะบอกเหตุผลว่าเพราะอะไรทำไมเราถึงทำแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ความสวยมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าอย่างเดียว มันมีองค์ประกอบหลาย ๆ การที่วันสำคัญคนแต่งหน้าอยากให้เป็นน้องฉัตร เพราะเค้าอาจจะอาจจะอยากซื้อความสบายใจ และเค้าอาจจะรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ใจดี พูดคุยได้ และอยากได้พื้นที่สบายใจ
ทุกวันนี้ลูกค้าดูแลเราดีมาก บางคนก็ซื้อช่อดอกไม้ให้ บางคนก็ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้ บางคนให้เงินทิปเหมือนมีแม่ยกช่างแต่งหน้า แต่มันก็มาพร้อมความกดดันนะ เพราะว่าเราจะบอก ทุกครั้งเลยว่าเราคือเมคอัพอาร์ติส เราไม่ใช่หมอศัลยกรรม ดังนั้นบางทีเราจะไฮไลท์จมูกให้มันโด่ง มันก็จะโด่งได้แค่พอมีมิติ คือการแต่งหน้ามันอยู่ที่การจัดแสงด้วย บางทีเราแต่งหน้าเสร็จไปยืนใต้ไฟ หน้าเปลี่ยนเป็นเบ้าหมีแพนด้าก็มี ดังนั้นมันควรจะต้องมีหลาย ๆ องค์ประกอบ”

กว่าจะเป็นลุคสุดปังของ หญิง รฐา ในเทศกาลหนังเมือนคานส์
“ผลงานแต่งหน้าที่สร้างชื่อเลยก็คือตอนแต่งหน้าให้ พี่หญิง รฐา งานเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2013 ที่เป็นลุคผมตีหม้อ ใส่ชุดผ้าไทยสีเขียว กะเทยทุกคนก็ต้องมาคัฟเวอร์เป็นผมทรงหม้อหญิง รฐา จุดเริ่มต้นคือตอนนั้นเราไปแต่งหน้าให้กับ พี่ตั๊ก บงกช ในจันดาราภาค 2 แล้วเจอ พี่หญิง อยู่ดี ๆ พี่หญิงก็เดินเข้ามาหาเรา แล้วก็ทักเราว่า นี่ใช่น้องฉัตรที่คนพูดถึงไหม เราก็สวัสดี แล้วพี่หญิงก็บอกว่า ถ้ามีโอกาสไว้แต่งหน้าทำผมพี่หญิงบ้างนะ เราก็คิดว่าพี่เค้าคงพูดตามมารยาทแต่เราก็รอนะ ระหว่างนั้นเราก็ไปคอมเมนต์ IG ว่า อยากมีโอกาสแต่งหน้าพี่หญิงจังเลย ซึ่งเค้าเห็นว่าเราไปคอมเมนต์ แล้ววันนึงเค้าก็ให้ผู้จัดการติดต่อเราให้ไปแต่งหน้างานถ่ายแมกกาซีน วันนั้นเราก็ไปแต่งหน้า แต่เอากระเป๋าทำผมไปด้วย เพราะว่าสมัยก่อน ใครจ้างน้องฉัตรก็จะเป็นช่างหน้าผมไม่ได้แยก เราก็เอากระเป๋าทำผมไปด้วย เดชะบุญวันนั้นช่างผมเป็นช่างที่เรารู้จัก แล้วเค้าต้องวิ่งงาน ก็เลยบอกว่า น้องฉัตร พี่ขอฝากทัชอัพผมต่อเลยได้ไหม เราก็ตกลง ซึ่งเราแค่คลายลอนออกนิดนึง แล้วสไตล์ลิสสั่งให้เรารวบผม พอพี่หญิงเปลี่ยนชุดเสร็จ เราก็เลยจับเค้ารวบผมภายใน 10 นาที แล้วในช่วงที่พี่หญิงพักกินข้าว เค้าก็ถามเราว่าไปคานส์กันมั้ย เราฟังไม่ถนัดก็เลยถามว่า ไปกาญจนบุรี เหรอครับ พี่หญิงบอกว่าไม่ใช่ เมืองคานส์ ฝรั่งเศส เราก็เลยบอกว่าจริงเหรอครับ ตอนนั้นไม่กล้าบอกใครเลยเพราะว่ากลัวไม่ได้ไป มาบอกแม่ กับพี่อิ่มที่เป็นผู้จัดการ 2 คนเท่านั้น ว่าพี่หญิงชวนเราไปคานส์ แล้วเค้าก็ขอชื่อเราจองตั๋ว แล้วก็ไปทำวีซ่า จนกระทั่งวันที่ไปคานส์แล้วรูปลง ทุกคนถึงรู้ว่าน้องฉัตรไปคานส์กับ หญิง รฐา
แล้วเบื้องหลังมันไม่ง่ายนะ วันนั้นมันต้องเริ่มแต่งตั้งแต่ 7 โมงเช้า ตอนนั้นฟ้ามืดมากเหมือนตี 3 บ้านเรา ก็เลยต้องเอาโทรศัพท์มือถือส่องไฟแล้วแต่งหน้า จับมือถือข้างนึงแล้วก็แต่งหน้าเขียนคิ้ว เขียนตา แล้วตอนแรกวางทรงผมไว้ว่าเป็นทรงจันดารา คือหวีลอนแห้งแล้วเป็นบ๊อบสั้น แต่ด้วยความที่กิจกรรมมันยาวมากแล้วมันไม่ทัน แล้วตอนนั้นไปเดินอยู่ที่ฝรั่งเศส เจออุปกรณ์ทำผมเหมือนใยบวบเป็นทรงกลม ก็เลยเอามาวางแล้วก็ทำทรงหม้อออกไปเลย กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ตอนนั้นเคยถามตัวเองว่าสรุปแล้วฉันอยากเป็นช่างแต่งหน้าหรือช่างทำผม ทุกคนก็เลยให้น้องฉัตรเป็น เมคอัพอาร์ติสเถอะ”
น้องฉัตร กับความฝันที่เป็นจริง
“เคยฝันว่าอยากแต่งหน้า พี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ เราเคยดูการประกวด ตอนนั้น พี่ปุ๋ย คือนางงามจักรวาล แล้วเราก็รู้สึกว่า อยากแต่งหน้านางงามจักรวาล แล้ววันหนึ่งมันเกิดขึ้นจริง ซึ่งการจะได้แต่งหน้าพี่ปุ๋ย เราต้องส่งเรซูเม่ ส่งโปรไฟล์ต่าง ๆ ให้เค้าคัดเลือก โดยมีช่างแต่งหน้าคนอื่น ๆ ที่ส่งไปพร้อมกัน และตอนแรกพี่ปุ๋ยยังไม่ตอบกลับมา ซึ่งใกล้วันแล้วที่พี่ปุ๋ยจะกลับมาไทย เราก็เลยไปเอากระดาษที่วัดพุทไธสวรรค์ ที่เป็นกระดาษยันต์ เอามาเผาแล้วขอบอกว่า ขอให้ได้แต่งหน้าพี่ปุ๋ย
แล้ววันหนึ่ง เค้าก็ติดต่อเรามาจริง ๆ แล้วพอเราไปที่ แมนดารินโอเรียลเท็ล เราขนลุก แล้วเราฝนสีอายเชโดเท่าไหร่มันก็ไม่ขึ้นสีสักที ด้วยความที่เราตื่นเต้นด้วย เราก็ตั้งสติ เพราะเราเคยผ่านระดับซุปเปอร์สตาร์ นางเอกเบอร์ 1 ของเมืองไทยมาแล้ว และ ด้วยความที่ พี่ปุ๋ย เค้าน่ารัก แล้วก็เฟรนด์ลี่มาก ชวนเราคุยเยอะเลย จังหวะที่นั่งแต่งหน้าพี่ปุ๋ย เรารู้สึกว่า ความฝันมันเป็นจริง จากที่เราเคยฝันว่าเราอยากประสบความสำเร็จ อยากเป็นช่างแต่งหน้าตอนอายุ 30 ซึ่งตอนที่เราไปเมืองคานส์กับพี่หญิงตอนนั้นประมาณ 30 ย่างเข้า 31 แล้วหลังจากนั้นความฝันที่ 2 คืออยากแต่งหน้านางงามจักรวาล ก็ปรากฏว่าเราได้แต่งหน้านางงามจักรวาลจริง ๆ ภูมิใจมากเลย พี่ปุ๋ย น่ารักมาก แล้วเค้าก็ดีใจกับความฝันที่เราเคยฝันไว้ตอนเด็ก ๆ แล้วมันเกิดขึ้นจริง
ในอนาคตอยากแต่งหน้า Beyonce มันมีที่มาคือ กับพี่อิ่ม ที่เป็นผู้จัดการของเรา เราโตมาด้วยกัน ผ่านจุดร้อน จุดหนาว จุดเหนื่อยด้วยกันทั้งหมด แล้วสมัยก่อนเค้าเคยเล่าให้ฟังว่า เค้าเป็นสาวโรงงาน แล้วเค้าเก็บเงินเพื่อไปดูคอนเสิร์ต Beyonce แล้วเค้าไปไม่ทันเพลงแรก เค้ารู้สึกเสียใจมาก เราก็เลยรู้สึกว่า เราอยากทำความฝันนี้ของพี่อิ่มให้เป็นจริง ถ้าวันที่ฉันได้แต่งหน้า Beyonce เธอจะต้องไปอยู่ข้างๆ ฉันนะ แล้วเธอก็ไปบอก Beyonce ด้วยว่าช่ วยร้องเพลงแรกวันนั้นให้หน่อยเพราะฉันพลาดไป ถ้า Beyonce ได้มาไทย ใครที่รู้จัก Beyonce ช่วยเอาน้องฉัตร ไปแต่งหน้าด้วยนะครับ
และในอนาคต อยากเปิดศูนย์ฝึกอาชีพ มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ช่วงวันเกิด หรือวันพิเศษ เราจะเอาเงินของเราไปช่วยสนับสนุนเรื่องของการซื้ออุปกรณ์ ในศูนย์ฝึกต่าง ๆ ที่เค้ามีอยู่แล้ว หากมีโอกาสเราก็อยากเปิดศูนย์ฝึกอาชีพของตัวเอง”

จุดเริ่มต้นของ ช่างแต่งหน้าสายมู
“เราเชื่อการมู 50 แล้วก็การทำตัวอีก 50 ที่เรามีความเชื่อเพราะสมัยก่อนเคยมีคนทักว่าเราโดนของ มันมีช่วงที่เป็นจุดบอด ช่วงนั้นสมมติว่าเราจะทำธุรกิจใหม่ เงินก็สูญไป 5 ล้านบาทเปล่า ๆ โดยที่แบบยังไม่ขึ้นมาเป็นโพรดักส์ ตอนนั้นทุกอย่างมันดาวน์ไปหมดเลย พอไปเปิดดูดวง หมอดูก็ทักว่ามีเกณฑ์โดนของนะ เราก็ถามว่าจะต้องทำยังไง ก็เลยมีคนสอนเราให้ไปแก้ แล้วรู้ไหมว่าผี หรือเทวดา เค้าก็เหมือนคน คือถ้าสมมติว่าเค้าเห็นเราเป็นคนดี จากที่เค้าจะทำอันตรายเรา เค้าก็จะเมตตาสงสารเรา เพราะว่าเห็นว่าเราเป็นคนตั้งใจขยัน สามารถช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ ถ้าเราขี้เกียจ แล้วมูเตลูขนาดไหน ความร่ำรวยหรือเงินมันก็ไม่มา มันก็ต้องขยัน 50 บวกกับดวง 50”
เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ “น้องฉัตร”
“ความรักมันขึ้นกับช่วงของเวลาจริง ๆ แล้วเวลาผิดพลาดเรื่องของความรัก เราก็เก็บความทรงจำต่าง ๆ ที่มันผิดพลาดนำมาปรับด้วย เมื่อก่อนเราจะโดนผู้ชายบอกเลิก เพราะว่าเราเป็นคนที่เก่งเกินไป ผู้ชายทุกคนจะพูดว่าเราเก่งเกินไป ซึ่งเราก็กลับมามองตัวเองแล้วพบว่า เพราะบางครั้งเราใช้วิธีการบริหารแบบนักธุรกิจหรือเป็นผู้นำเกินไปกับความรัก ซึ่งจริง ๆ แล้วความรักบางอย่างเราต้องเป็นผู้ตามบ้าง เราต้องเป็นคนที่ไม่รู้บ้าง เพราะว่าผู้ชายที่เค้าอยากจะดูแลเราเค้าก็อยากมีความเป็นผู้นำบ้าง ก็เลยเอาความผิดพลาดเรื่องความรักต่าง ๆ อย่างเช่น รักครั้งแรกก็รักกับเด็ก แล้วจับได้ว่า เค้าไปมีแฟนใหม่เป็นเด็กรุ่นเดียวกัน เราก็จองตั๋ว แล้วบินไปจัดการเลย ตอนนั้นก็เล่นบทเป็นนางเอกว่าฉันอยู่ได้ ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วคือ ฉันอยู่ไม่ได้ ดังนั้นถ้าเกิดเรารู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ให้บอกผู้ชายไปเลยว่าอยู่ไม่ได้ อย่าของเราคือ ผู้ชายเลือกอีกฝั่ง เพราะว่าเค้าบอกว่าเค้าจะฆ่าตัวตาย เค้าอยู่ไม่ได้ ฝั่งโน้นดูอ่อนแอกว่า เราดูเข้มแข็งกว่า ผู้ชายเลยไม่ได้เลือกเรา
เราเคยทนจีบผู้ชายหนึ่งปีเต็ม ๆ น้ำหยดลงหิน สักวันหินมันยังกร่อน ก็ทนไป ให้เวลาตัวเองเลย 1 ปี แล้วผู้ชายบอกว่า ผมชอบใครก็ได้ที่รักครอบครัวผม เราก็เลยเข้าทางแม่เลย คุยกับแม่เค้าทุกเรื่อง จนผู้ชายบอกว่า ผมไม่ชอบเลยครับเอาเรื่องผมไปคุยกับแม่ กลายเป็นเราก้าวก่ายเรื่องชีวิตเค้าเกินไป
จนมาถึงคนปัจจุบัน เรารู้แล้วว่าเรื่องเค้าคือเรื่องของเค้า จะไม่มีการเอาเรื่องของเค้าไปนั่งคุยกับคนอื่น เรานับถือแม่เค้า เรานับถือครอบครัวเค้าได้ แต่มันไม่ใช่การเอาเรื่องของเค้าไปเล่าให้แม่เค้าฟังทุกเรื่องเหมือนไปรายงาน ซึ่งผู้ชายคนนี้ดีมาก เพราะเป็นคนเดียวที่เวลาไปดูหนังแล้วเลี้ยงหนังเรา ไปกินข้าวเค้าจ่ายเงินหรือแชร์กัน ไม่เคยขอเงิน หาเงินเลี้ยงดูตัวเอง แล้วเดินไปไหนก็ภูมิใจกับการที่ยอมจับมือ อยู่ต่อหน้าสื่อจะจูบยังไงก็จูบได้เลย เค้าไม่ได้รู้สึกว่าเขินอาย ดังนั้นมันจะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่รู้สึกว่ารัก LGBTQ+ แล้วยอมรับในทุก ๆ มิติของเราได้ มันก็เลยรู้สึกว่า คนนี้แหละใช่ที่สุดแล้ว”

สีสันแรงบันดาลใจจาก น้องฉัตร
“น้อง ๆ คนไหนที่อยากจะประสบความสำเร็จเหมือนใคร บางครั้งเราอาจจะต้องมีพื้นฐาน หรือว่ามองเค้าเป็นไอดอลแล้วลองดูจุดดีของเค้า ในส่วนจุดเสียของเค้าเราก็เอามาปรับใช้
และในยุคปัจจุบัน ไม่อยากให้ทุกคนเคร่งเครียดกับชีวิตที่มันโดนกดดันด้วยสื่อโซเชียลมีเดีย อยากให้ทุกคนรู้สึกสบาย คำว่าสบายในที่นี้ หมายถึง ถ้าเด็ก ๆ มีความรับผิดชอบในเรื่องของการเรียนก็เรียน แต่ถ้าเกิดสมมติว่าเราอยากทำกิจกรรมอย่างอื่น อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียง ก็ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
เราทุกคนสามารถผิดพลาดได้ เมื่อผิดพลาดก็ให้เรายอมรับ ถ้าผิดจริงก็ขอโทษ แล้วปรับปรุง อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตแบบเป็นธรรมชาติ เพราะการที่เราทำตัวธรรมชาติมันจะดีมาก การที่บางทีเราสร้างโปรไฟล์อยากให้ทุกคนมองเห็นว่าเรามี แต่ถ้าในอนาคตเราไม่มี จากที่คนอื่นเค้าเห็นว่าเรามี เค้าจะกลายเป็นสมน้ำหน้า อยากให้ทุกคนยอมรับความเป็นจริง สำหรับใครที่เคยทำงานหรือบริหารธุรกิจผิดพลาด ความล้มเหลว ถ้าเรามองด้วยสติ เราจะได้ปัญญา อย่างเราเคยมีคนไม่ชอบ เราไม่ได้สนใจ เพราะการการันตีที่ดีที่สุด คือชีวิตเราที่มันดีมากยิ่งขึ้น เราไม่สามารถบอกใครได้ว่าเราดียังไง แต่เราสามารถให้ทุกคนเห็นเราดีได้ด้วยการกระทำ” – น้องฉัตร

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง
