“อยากให้ทุกคนสู้ และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อย่าไปถามว่าความสำเร็จอยู่ตรงไหน เพราะไม่มีใครบอกเราได้ ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าสำเร็จเดี๋ยวมันจะสำเร็จเอง เพราะหนูเองก็ไม่มี Goal ในชีวิตเหมือนกัน”

ยังคงเป็นคลับที่นำเสนอสีสันของชีวิต แบ่งปันวิธีคิดดี ๆ และมีแรงบันดาลใจจากตัวแม่มาแชร์ให้กันในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”
Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “เอม วิทวัส” ซุปตาร์ตัวแม่จากราชบุรี ที่มีเอกลักษณ์คือ ฝีปากแจ๋วสายฮา จนกลายเป็นยูทูปเบอร์สุดแซ่บที่มียอดวิวทะลุล้านหลายคลิป และในตอนนี้เขาก้าวสู่การเป็นผู้จัดการกองประกวด Miss Keemao ถือเป็นการประกวดนางงามรูปแบบใหม่ ที่เปิดกว้างสุด ๆ และผู้เข้าประกวดแต่ละคนต่างโดดเด่น มีของดีอะไรใส่ไม่ยั้ง จนกลายเป็นไวรัล และมีมมากมายบนโลกโซเชียล ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เอม ก็เป็นหนึ่งคนที่เดินตามความฝัน ต่อสู้กับปัญหา ฟันฝ่าอุปสรรค และได้นำวิธีคิดดี ๆ มาแชร์ให้ฟังในรายการด้วย
วัยเด็กสุดแสบ กับความแซ่บของตัวตึงราชบุรี
เอม วิทวัส เติบโตที่จังหวัดราชบุรี กับครอบครัวที่ประกอบอาชีพค้าขาย ทำให้ เอม ได้มีหัวด้านการค้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ เอม ได้แชร์เรื่องราวในวัยเด็กให้ฟังว่า “หนูว่าตัวเองเป็นคนเด็กแสบคนหนึ่งเลย แต่มันจะค่อนข้างขัดกันกับการเลี้ยงดูของที่บ้านเพราะที่บ้านจะเลี้ยงเราเหมือนคุณหนู เรียบร้อย ครีมต้องทา การ์ตูนต้องดู ห้ามพูดคำหยาบ และเวลาแดดออกไม่อยากให้ไปเล่น ถ้าไปเล่นก็ต้องเป็นเวลา แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือฝังใจอะไร
หนูว่าตัวเองเริ่มเปรี้ยวซ่าตอนเริ่มเรียนมัธยม เพราะหนูเป็นเด็กกิจกรรม พอชอบทำกิจกรรมมันเลยทำให้กลับบ้านไม่ตรงเวลา กลับ 2 ทุ่ม 3 ทุ่มบ้าง และสังคมข้างนอกเราก็มีมากขึ้น
มีคนถามเยอะมากว่า เอม เป็นตุ๊ดได้ยังไง หนูว่าตัวเองเป็นตั้งแต่เด็กเลย ซึ่งตอนเด็กหนูก็เล่นปืนอัดลมเหมือนคนอื่น เล่นพ่อแม่ลูก แต่เราอาจจะเป็นแม่ เหมือนมันมียีนความเป็นตัวแม่อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว และหนูจะมีอาสะใภ้ที่ชวนให้เล่นบาร์บี้ ซึ่งหนูมองว่าการเลี้ยงดูไม่ได้ทำให้เราเป็นตุ๊ด แต่การสปอยอาจจะมีผลบ้าง ซึ่งครอบครัวของหนูเค้ารู้ แต่ไม่ได้เปิดโอกาสให้เป็น เพราะเค้าเป็นห่วงกลัวว่าโตมาเราจะทำอะไร เค้าก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาให้เสมอ ซึ่งก็จะมีคนอื่นมาเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ โดนแม่ตีเพื่อให้เลิกเป็นกะเทย แต่หนูไม่เคยโดน ครอบครัวไม่ได้บังคับเราแบบนั้น”

เชียร์ลีดเดอร์สุดจึ้ง ยืนหนึ่งเรื่องการเต้น
หนึ่งสิ่งที่เป็นความชื่นชอบ และเป็นแพชชั่นของ เอม มาตั้งแต่เด็กคือ การเต้น “หนูเริ่มเต้นมาตั้งแต่ ม.1 ซึ่งการเต้นของหนู เป็นการเต้นที่มีโค้ช จากมหาวิทยาลัยสวนดุสิตมาสอนเลย แล้วสอนให้เราแข่งจริง ๆ ออกกำลังกายจริง เรียนยิมนาสติกจริง ประกวดเต้นจริงจัง ตอนหนูอยู่ ม.ต้น หนูได้แข่งกับ ม.ปลายเลย เพราะตอนนั้นทีมเรามันบูมมาก หนูว่าเชียร์ลีดเดอร์เป็นกีฬาที่เหนื่อยมาก เต้น ยิ้ม หัวเราะ สมาธิ สติ โยน ตีลังกา กฎ มีทุกอย่างเต็มไปหมด และภายในสองนาทีครึ่งต้องทำทุกอย่างให้เสร็จ”
โตขึ้นอยากเป็นอะไร? คำถามที่ เอม ตอบไม่ได้ในวัยเด็ก
“ตอนเด็ก ๆ หนูตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าหนูอยากเป็นอะไร เพราะหนูโดนปลูกฝังมาว่าที่บ้านเราขายผัก ก็ไม่มีความคิดอะไรนอกจากทำงานหาเงิน เพราะว่าการค้าขายของที่บ้านหนูมันเริ่มมาตั้งแต่พ่อแม่หนูยังเด็ก เราก็รู้แค่ว่าทำงานค้าขายแล้วได้เงินเลย ถ้ารวยหน่อยก็ขยับแผง หรือเปิดแผงใหม่ ไม่ได้มีการปลูกฝังว่าไปเป็นทหารนะ ตำรวจนะ ไม่มี
ตอนเรียนวิชาแนะแนว เราก็แค่คิดว่าจบ ม.6 ไปต่อที่ไหนดี ซึ่งแก๊งหนูก็จะมีความคิดว่า ถ้าไปเรียนกรุงเทพใจแตกนะ แกต้องเรียนแถวนี้ ซึ่งมันไม่มีเหมือนโรงเรียนใหญ่ ๆ ตอนนั้นแค่รู้ว่า จบ ม.6 ก็เรียนมหาลัยต่อเท่านั้น และคนที่บ้านจะพูดเสมอว่าโตไปจะเอาอะไรกิน ซึ่งตอนนั้นหนูไม่รู้ด้วยนะว่าเรียนมหาวิทยาลัยจะได้เงินเดือนจากอะไร แล้วถ้าเรียนการโรงแรมจบไปเป็นอะไร เรียนนิเทศศาสตร์จบไปเป็นอะไร และหนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่หนูทำอยู่มันคือการทำงาน เพราะหนูช่วยที่บ้านทำงานตลอด หนูขายของตั้งแต่เรียน ซึ่งถ้าจะเรียกว่าเป็นการทำงานมั้ยไม่รู้ เพราะมันชินไปแล้วกับการทำแบบนี้”

“ตามใจตุ๊ด” จุดเริ่มต้นของความปัง
เป็นรายการที่ทำให้ชื่อของ เอม วิทวัส กลายเป็นที่รู้จัก และได้แจ้งเกิดการเป็นยูทูปเบอร์รายการท่องเที่ยว สำหรับรายการ “ตามใจตุ๊ด” ที่มีเอกลักษณ์คือ ปากแจ๋ว เฮฮา และไม่มีแพทเทิร์นตายตัว ทำให้มียอดวิวทะลุล้านหลายคลิป โดย เอม ได้เล่าที่มาของการทำรายการตามใจตุ๊ด ให้ฟังว่า “ในตอนที่ได้มาเรียนนิเทศศาสตร์ ที่ ม.สวนดุสิต หนูก็มาเจอกับรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ราชบุรีแล้ว ก็เลยชวนกันมาทำ เพจตามใจตุ๊ด เพราะมันจะมีอยู่ช่วงนึงที่ทุกคนต้องมีช่อง มีเพจของตัวเอง ก็เลยชวนกันมาทำ
เวลาหนูทำรายการตามใจตุ๊ด หนูจะไม่เช็คเทปเลย ถ้าเป็นรายการคนอื่นหนูจะเช็ค แต่ถ้าเป็นรายการตัวเอง หนูจะไม่เปิดดู เพราะเราจะมัวแต่กังวลว่าทำแบบนี้สวย มุมนี้ดูดี ก็เลยปล่อยไปเลย เพราะไม่อย่างนั้นเราจะเกร็งมาก
ราชบุรี คือ Ep.แรก ที่ไม่มีสปอนเซอร์เลย หนูโทรหาทุกโรงแรมเพื่อขอความอนุเคราะห์ถ่ายทำรายการ ในตอนเริ่มเราก็คิดว่ารายการนี้มันจะเป็นอะไรดี ก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นตามติดชีวิตเอมเลยแล้วกัน อยากพูดอะไรก็พูด อยากไปไหนก็ไป EP.แรก เลยตัดสินใจว่าไปราชบุรีบ้านเราเลย แล้วตอนเย็นที่ราชบุรีมันไม่มีอะไรทำ ก็เลยชวนกันดื่มแล้วกัน แล้วก็ถ่ายทำไปด้วย ก็เลยทำให้เห็นว่าจุดยืนของรายการมันเป็นแบบนี้ ซึ่งกว่าจะทำให้คนเชื่อและชื่นชอบรายการเรามันยาก แต่เราก็ทำกันจนมีแฟนรายการ ลูกค้าเข้าใจ และก็ต้องหยุดรายการเพราะตอนนั้นมีปัญหาข้างในนิดหน่อย ก็เลยหยุดทำไป”
จากยูทูปเบอร์ สู่โปรดิวเซอร์ช่องคุณเอม
หลังจากที่หยุดทำรายการตามใจตุ๊ด ก็เป็นโอกาสที่ทำให้ เอม ตัดสินใจผันตัวเองมาทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ และได้ตั้ง Youtube Channel ของตัวเองชื่อว่า ช่องคุณเอม ซึ่ง เอม ได้แชร์ความประทับใจของการทำงานเบื้องหลังให้ฟังว่า “พอรายการตามใจตุ๊ดหยุดทำ เอม ก็เลยทำช่องตัวเองขึ้นมา ซึ่งพอได้ทำแล้วรู้สึกชอบเป็นเบื้องหลัง ชอบเป็นโปรดิวเซอร์ เอม ว่ามันยากเหมือนกันกับการเป็นพิธีกรเบื้องหน้าไปด้วย คุมเบื้องหลังไปด้วย แล้วก็ต้องคุมทุกอย่าง ซึ่งกว่าจะทำรายการออกมาสัก 1 รายการ เราจะต้องคิดเยอะมาก พอคิดเสร็จเราก็ต้องคุยกับตากล้อง แล้วต้องคิดคอนเทนต์ คิดไปคิดมาถ้ารู้สึกว่าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป หนูก็หยุดคิดเลย”

จากคนโต้ตอบทุกดราม่า สู่ความไม่กล้าแม้แต่จะคอมเมนต์กลับ
“พอเราเริ่มมีชื่อเสียง เอม ก็มีความรู้สึกว่ามันดีที่ทุกคนชอบ ไปไหนมีแต่คนขอถ่ายรูป แต่พอมันเริ่มมีเยอะมาก ๆ มันกลายเป็นความรู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยถ่าย เดี๋ยวค่อยกินซึ่งหนูว่า คนตลกมันไม่ได้ตลก 24 ชั่วโมง หนูเริ่มเจอหนักๆ คือแฟนคลับเริ่มมีการพูดจาไม่ให้เกียรติ เวลาเจอเราเริ่มมีการกอดคอบ้าง เล่นหัวเราบ้าง ซึ่งเราโดนหนักขึ้นพอเริ่มมีอาการไม่พอใจ คนก็จะมองว่าเราดังแล้วหยิ่ง ถามว่าก็อยากมาเป็นคนสาธารณะเองไม่ใช่เหรอ ก็บอกตรง ๆ ว่าอยากเป็น แต่ทุกคนก็ต้องมีพื้นที่ส่วนตัว
แรก ๆ ก่อนที่จะเจอดราม่า หนูจะคิดว่า ฉันคือเอม สิบคนด่า เอมโต้หมด ใครมีปัญหามาเลยมาคุยกับฉันเลย แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นแค่ความคิด พอเหตุการณ์จริงมันทำไม่ได้เลยค่ะ เราจะไม่อ่านก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องปล่อยผ่าน หลายครั้งต้องปลง
ล่าสุดหนูไลฟ์สด แล้วหนูพูดว่า ตอนนี้มีคนดูอยู่ 2,600 คน ใครที่รักชอบหนูจริง ๆ ให้กด 1 มาหน่อย และคนที่คิดว่าวันไหนถ้าหนูล้มพร้อมเหยียบหนูทันที พร้อมที่จะแคปหนูไปด่า ให้กด 2 มาให้หนูหน่อย ปรากฎว่ามีคนกด 2 มา 2 คน ซึ่งหนูบอกว่าหนูไม่โกรธเลย หนูขอบคุณ และถ้าหนูทำอะไรไม่ดีให้ทักมาบอกหนูเลย ถ้าหนูปรับได้หนูจะปรับ ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจสองพันกว่าคนที่รักเรา แต่เราโฟกัสแค่ 2 คนนั้น
ตอนหลัง ๆ หนูไม่ต้องต่อสู้กับใครเลยค่ะ เวลาทำงาน เค้าจ้างเรามาทำงาน เราก็ต้องทำงาน สุดท้ายแล้วเรื่องเรทติ้ง หรือเรื่องคอมเมนต์ เรากำหนดไม่ได้ หนูว่าการทำงานไม่ได้ยาก มันยากกับการเปิดใจของคนดู ถ้าเค้าไม่ชอบอยู่แล้ว มันก็คือไม่ชอบค่ะ
แต่ก่อนเวลาไปถ่ายรายการงานจบรับเงินกลับบ้าน แต่ทุกวันนี้เราจะคอยมาดูว่า ที่พูดในรายการจะมีดราม่าไหม หนูจะให้ผู้จัดการเช็คหมดเลย ถ้ามีดราม่าตัดออกนะ ซึ่งชีวิตเราตอนนี้มันเปลี่ยนไป
ทุกวันนี้เวลาไลฟ์สดเราก็ต้องเป็นตัวเอง ด่าคนนั้นคนนี้ แต่พอปิดไลฟ์หนูจะคิดเยอะมากว่าด่าใครเกินไปไหม ถ้าไม่ด่าได้ไหม แต่ก็ได้เข้าใจว่าตอนนี้ คนดูเค้าชอบแบบนี้ก็ต้องทำแบบนี้ หนูต้องทำในสิ่งที่คนดูชอบ”

จากโปรดิวเซอร์ลุคแรง สู่นักแสดงสุดแซ่บ
หลังจากเปิดช่องตัวเอง และมีโอกาสทำงานโปรดิวเซอร์ที่ตัวเองรัก ในปี 2562 เอม ก็ได้มีโอกาสได้ชิมลางงานแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง พี่นาค ซึ่งนอกจากภาพยนตร์จะได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างล้นหลาม และกำลังจะมีการทำต่อถึง 4 ภาคแล้ว ตัวของ เอม ก็ได้มีชื่อเสียงมากขึ้น โด่งดังไปในวงกว้างกับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดย เอม ได้เล่าจุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดงให้ฟังว่า “เส้นทางนักแสดงของหนูเริ่มจาก พี่ไมค์ ผู้กำกับเรื่องพี่นาค ทักมาในเพจว่าอยากให้ เอม ไปแคสบทนี้หน่อย ของไฟว์สตาร์ เราก็เลยไปย้อนดู แล้วก็รู้ว่าจริง ๆ แล้ว เราเป็นแฟนคลับค่ายนี้ แต่ตอนนั้นเอม ตอบกลับไปว่า ถ้าแคสหนูไม่ไป เพราะหนูรู้สึกว่าถ้าไปแคส เวลาเค้าปฏิเสธ เค้ามักจะพูดว่าเดี๋ยวเราติดต่อกลับไป แล้วหายไปเลย ซึ่งเราก็จะเก็บมาคิดว่าจะได้ไหมจะผ่านไหม คือในใจเราก็ต้องปกป้องตัวเองเหมือนกัน
ซึ่งผู้กำกับพูดคำว่า ไม่เล่นอะไรยากหรอกเอม เป็นตัวของตัวเอง ซึ่ง เอม ว่าการเป็นตัวเองนั่นแหล่ะมันยาก แล้วเป็นตัวของตัวเองต้องเป็นยังไง แล้วก็เคยน้อยใจผู้กำกับ วีนขึ้นมาเลย คือเวลาเราแสดง เราจะเป็นคนที่ผู้กำกับไม่พูดถึงเลย เล่นกัน 3 คน เค้าจะคอมเมนต์แค่ 2 คน แล้วไม่คอมเมนต์เรา วันนั้นหนูบอกเลยว่า พี่เดี๋ยวค่อยถ่าย ทำไมพี่ไม่พูดอะไรกับหนูเลย เราพูดไปก็ร้องไห้ไป แล้ว พี่ไมค์ เค้าก็บอกว่า พี่ขอโทษคือที่ไม่พูดคือ เอม เล่นดีแล้ว เอมก็บอกว่า ก็ชมสิ ก็พูดกับหนูหน่อยหนูน้อยใจ จนสุดท้ายก็เข้าใจกัน แล้วก็กลายมาเป็น พี่นาค ที่กำลังจะมีภาคที่ 4 แล้วค่ะ”

ในชีวิตมีคนรู้จักเยอะ แต่มีเพื่อนสนิทน้อย
ด้วยคาแรกเตอร์ที่ดูเฮฮา ชอบสร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้าง ทำให้หลาย ๆ คนคิดว่า เอม เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ แต่ เอม ก็ได้เปิดใจเล่าให้ฟังว่า ตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างมีกำแพงกับการสนิทกับใครสักคน ทำให้เป็นคนที่มีเพื่อนสนิทน้อย ซึ่ง เอม เล่าให้ฟังว่า “ในชีวิต เอม คนรู้จักเยอะค่ะ แต่ถ้าเพื่อนจริง ๆ น้อยแบบนับนิ้วได้เลย ถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทด้วยตั้งแต่เรียน ก็จะเป็น ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา เพราะหนูเป็นคนที่มีกำแพงเวลาจะสนิทกับใครสักคน ซึ่งแรก ๆ ไม่ได้มีกำแพงเลย เจอใครเค้าก็เป็นคนดีหมดทุกคน แต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่เรามองว่าดีจะกลับมาแทงเราตอนไหน ทุกวันนี้หนูกลัวคอมเมนต์คนที่ให้กำลังใจหนู เพราะหนูเห็นว่า คนที่มาให้กำลังใจหนูวันนี้ เมื่อวานยังด่าหนูอยู่เลย แล้วหนูเห็นโพสต์พอดี มันก็เลยกลายเป็นว่า เราไม่กล้าบอกว่าสนิทกับใคร และเวลาหนูจะคบใครซักคนเป็นเพื่อน หนูจะต้องแลกใจเลย ไม่มีกั๊ก
กับ จ๊ะ นงผณี เป็นเพื่อนที่ได้ร่วมอะไรกันมา และเป็นคนที่บ้านใกล้กันด้วย และได้ไปถ่ายเอ็มวีด้วยกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น เราอยู่ด้วยกันได้เพราะถ้ามันแรงหนูจะเบา ถ้ามันเบาหนูจะแรง ซึ่งไม่ได้หมายถึงทะเลาะกันนะคะ หมายถึงเวลาที่ต้องช่วยกันคุมสถานการณ์ข้างหน้าที่บางทีไปทำงานด้วยกันแล้วต้องเจอเรื่องที่ต้องจัดการ
เอม ว่า จ๊ะ เป็นห่วงหนูมากเลย แล้วสิ่งที่ชอบในตัว จ๊ะ ก็คือมันเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็เฮไหนเฮนั่น ถึงไหนถึงกัน มันเจ็บหนูเจ็บ หนูเจ็บมันเจ็บ อย่างเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ มันทำให้หนูอยากออกจากวงการเลย หนูร้องไห้โทรหา จ๊ะแล้วหนูพูดว่าอยากออกจากวงการ เพราะหนูรู้สึกว่ามันหนักหนาเกินไป หนูเหนื่อยกับเรื่องนี้ ตอนหนูเข้าวงการมาหนูเข้ามาเพื่อมาเป็นนักแสดง มาร้องเพลง มาทำรายการ หนูไม่ได้เตรียมใจว่าต้องเข้ามา เพื่อมานั่งแถลงข่าว กับเหตุการณ์ที่ใครก็ไม่รู้มารุมด่าหนูโดยที่ไม่รู้เรื่องจริงเลย แล้วพอเค้ารู้เรื่องจริงก็ไม่ได้มาขอโทษ แล้วหนูต้องทำยังไงกับความรู้สึกนั้น ที่บอกอยากจะออกจากวงการ คือคุยกับ จ๊ะ เลยนะว่าออกไปขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า ถ้าเราตัดขาดแล้วออกไปเลย คนเค้าน่าจะไม่สนใจเราแล้วแหละ แต่ท้ายที่สุดมันก็มีเพื่อนที่สนใจ และคอยให้กำลังใจเราอยู่”

เคล็ดลับการเตรียมตัว จากเวที Miss Keemao
เรียกว่าเป็นการประกวดนางงามรูปแบบใหม่ ที่เปิดกว้างสุด และผู้เข้าประกวดแต่ละคนต่างโดดเด่น มีของดีอะไรใส่ไม่ยั้ง จนกลายเป็นไวรัล และมีมมากมายบนโลกโซเชียล สำหรับ Miss Keemao ที่มี เอม วิทวัส เป็นผู้จัดการกองประกวด โดย เอม ได้เล่าที่มาของการจัดการประกวด พร้อมเผยรูปแบบของนางงาม ที่เวที Miss Keemao ตามหาให้ฟังว่า “Miss Keemao ย้อนกลับไปมันเกิดมาจากการที่ เอม ไปเที่ยวกับทีมงานในช่อง แล้วจัดนางงามประกวดเล่นกันแค่นั้นเลย จนปีต่อมาพี่ ไบรอัน ตัน เจ้าของเวที Miss Fabulous Thailand เค้าก็ชวนว่าอยากเป็นผู้จัดการประกวดของภาคกลางไหม เราก็เลยตกลงแล้วก็จัด ตอนนั้นเราจัดแบบกันเอง กล้องสับเอง เอาไมค์มาผูกกับขาตั้ง ทำแบบตลกไปเลย สุดท้ายคนก็ชอบ เราก็เลยตั้งเป็นเวที Miss Keemao เลย
คนที่จะเป็นนางงามบ้านขี้เมาได้ หนูมองหน้าไปแล้วจะต้องรับรู้อะไรบางอย่างว่าคนนี้เป็นเพื่อนเราได้ คนนี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเราได้ เพราะว่านางงามขี้เมามันคือบ้านเรา เราเคยจัดรูปแบบนี้ เราเคยทะลึ่งแบบนี้ เราเคยไม่สนใจใครแบบนี้ เราก็ต้องทำแบบนี้ เพราะอย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นเวทีทั่วไป
ดังนั้นถ้าต้องการนามสกุลที่ยิ่งใหญ่ไม่ต้องมา ถ้าต้องการเป็นที่เชิดหน้าชูตาของครอบครัวไม่ต้องมาเลย แต่ถ้าให้เกียรติเวทีหนูจริง ๆ แล้วชื่นชอบเจ้าของเวทีบ้านนี้
ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรมาก็ตาม พอมาอยู่บ้านนางงามขี้เมา เราต้องมาเริ่มกันใหม่ ถ้ามาแบบฉันเดินดีที่สุดยังไงฉันก็ชนะ แบบนั้นไม่ใช่บ้านนางงามขี้เมา หรือฉันเป็นด็อกเตอร์มา อยากจะบอกว่า ด็อกเตอร์ตกรอบก็มี นางงามที่อยากมา Miss Keemao เอาแค่มองตากันแล้วรู้สึกว่าเป็นคนที่พร้อมสู้ แค่นั้นพอค่ะ”
เคล็ดลับดูแลความรัก 13 ปี ของเอม
ต้องบอกว่า เอม ไม่ได้ประสบความสำเร็จเรื่องหน้าที่การงานเท่านั้น แต่ก็ยังลัคกี้อินเลิฟไปด้วยเลย กับความรักอันยาวนานกับแฟนหนุ่ม อย่าง "เอื้อ - ทิฐิพงษ์ ศรีวิไล" ซึ่งที่ผ่านมาบอกเลยว่า กาลเวลาทำอะไรความหวานของสองคนนี้ไม่ได้ โดย เอม ได้เล่าจุดเริ่มต้นของความรัก พร้อมฝากถึงหวานใจด้วยว่า “ตอนนั้นได้มาจีบกันเพราะว่าเราเป็นนักเต้นทั้งคู่ และด้วยความไปเรื่อยของเรา ก็เลยได้ขอมาคุยกัน จนได้คุยได้คบกันมา 13 ปีประมาณนี้ค่ะ คือหนูว่าเคล็ดลับก็คือ วันแรกมันเป็นยังไง วันนี้มันก็เป็นอย่างงั้น ให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แล้วค่อยมาปรับกัน อาจมีบางอย่างที่เค้าอาจจะรับไม่ได้ เมื่อวันเวลาที่มันจะต้องเปลี่ยนไป เดี๋ยวเราจะเปลี่ยนไปเอง โดยที่เราก็ต่างเข้าใจกันว่าทำไมถึงเปลี่ยน
เราเคยเลิกกันตอนคบได้ 10 เดือนแรก ตอนนั้นเลิกกันไป 3 เดือน จากความหึง แล้ววนกลับมาคบกันใหม่ ซึ่งเรื่องวันนั้นที่เลิกกันหนูจำได้หมดไม่เคยลืม เค้าก็ไม่ลืมเรื่องไม่ดีของหนูเหมือนกัน
ปกติ เอื้อ จะเป็นคนไม่พูดอะไรเยอะ แค่จะคอยถามว่าไหวมั้ย เหนื่อยมั้ย ไปพักมั้ย อยากไปเที่ยวไหนรึป่าว แต่เค้าจะไม่มาเซาะแซะ แล้วหนูก็จะไม่เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้เค้าฟัง เพราะว่าเราไม่อยากให้เค้ามารับรู้อะไรที่มันรู้สึกว่าเครียด หนูรู้สึกว่าไม่อยากให้เค้าไม่สบายใจ
คือหนูชอบให้ทุกคนมีความสุข ถ้าหนูทุกข์เดี๋ยวหนูจัดการเอง แต่ในเมื่อบางทีที่เราทุกข์มาก ๆ แล้วเราไปบอกเค้า เค้าจะพูดว่าจริงเหรอ เพราะเค้าไม่เคยรับรู้ไง เพราะเรารู้สึกว่าเดี๋ยวจัดการเอง แต่ในบางครั้งถ้าเราไม่ไหวขึ้นมา เราก็ยังหาทางออกไม่เจอเหมือนกัน ซึ่งหลังจากนี้หนูอาจจะต้องพูดบ้าง เพราะหนูรู้สึกว่าบางทีมันแรงเกินไป หรือมีเรื่องอะไรที่มันอยู่ในหัวมาก ๆ มันเหนื่อย แต่หนูก็เลือกที่จะคิดว่าไม่เป็นไร กลับบ้านน่าจะหาย ไปเที่ยวกับเพื่อนน่าจะหาย ซึ่งหนูคิดแบบนั้น
ณ วันนี้ อยากจะบอกกับ เอื้อ ว่า อะไรที่คิดว่าทำแล้วสบายใจ ทำไปเลยไม่ต้องห่วงเอม เพราะว่าเราอยู่กันมาในจุดที่เราดูแลกันได้ ทุกคนมันต้องมีความสุข ไม่อยากให้ซัพพอร์ทหนูอย่างเดียว หนูก็อยากให้ทำตัวเองให้มีความสุข อยากทำไรทำ หนูก็จะทำเต็มที่เหมือนกัน เค้าก็จะทำเต็มที่เหมือนกัน วันนึงเราจะได้ไม่ต้องมาเสียดาย ตอนนี้เอมอายุ 30 กว่าแล้ว เลยอยากให้โฟกัสไปที่จุดที่มีความสุขมากที่สุด เพราะหันมายังไงก็เจอกันอยู่แล้ว”

กำลังใจจาก เอม วิทวัส
“อยากให้ทุกคนสู้ และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อย่าไปถามว่าความสำเร็จอยู่ตรงไหน มันจะไม่มีใครบอกเราได้ ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าสำเร็จเดี๋ยวจะสำเร็จเอง เพราะหนูก็ไม่มี Goal ในชีวิตเหมือนกัน อะไรที่สำเร็จตัวเองจะเป็นคนบอก ไม่ใช่คนอื่น” - เอม วิทวัส

ดูรายการย้อนหลัง
