เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง

Club Pride Day Recap

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง

12 เม.ย. 2024

“หนูภูมิใจตัวเองที่ เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”

 

ยังคงเป็น Club ที่รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง สู่ตัวตึงแห่งแก๊งหิ้วหวี ผู้สร้างตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง! กว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านมาหลากหลายบททดสอบของชีวิต และมีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ พั้มกิ้น ได้แชร์ไว้ในรายการด้วย

 

 

พั้มกิ้น ชื่อนี้ได้แต่ใดมา

“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยตั้งให้ค่ะ ตอนนั้นเรื่อง เกอิชา ดังมาก บวกกับตอนนั้นหนูชอบดื่มแอลกอฮอล์มาก รุ่นพี่ก็เลยตั้งชื่อให้เราว่า พั้มกิ้น ซึ่งชื่อจริง ๆ ของหนูคือ มอส เพราะแม่ชอบ พี่มอส ปฏิภาณ มาก ๆ ตอนนั้นเหมือนแม่จะดูจักรยานสีแดงมากเกิน หนูก็เลยได้ชื่อมอส

แล้วหนูก็มีรายการชื่อว่า พั้มกิน ด้วยนะคะ เป็นรายการที่หนูพาไปกินของที่มันน่ากินจริง ๆ ที่กินอันแรกเลยก็คือกินข้าวขาหมู ตาม พี่มาวิน แล้วหนูกินทั้งขาเลย คนถ่ายบอกว่าไม่ได้นะ เธอจะต้องเข้าโรงพยาบาลเลยนะหลังจากกินเสร็จ เธอต้องหยุดกินได้แล้ว แต่หนูก็กินต่อ คลิปนั้นลงวันแรกคนดูล้านคนเลย หนูเลยรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จ”

 

กางเกงเอวสูง เอกลักษณสุดจึ้ง ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี

“หนูชอบใส่กางเกงเอวสูงมาก เน้นแฟชั่นไปเลย เป็นกางเกงจากร้านของรุ่นพี่ เค้าส่งมาให้ใส่ เราก็ใส่เพลิน ๆ หนูเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรหนูจะใส่ยาว ๆ ใส่จนคนแซว มันก็เลยเป็นไวรัล ตอนนี้มี 21 ตัว แบบนี้สีนี้เลย หนูจะเอาออกมาใส่ทีละ 10 ตัวแล้วซัก มีคนถามหนูเยอะมากว่าซื้อที่ไหน หนูไม่บอกค่ะ กลัวมันหมด หนูไม่รู้ว่าหนูเอวเท่าไหร่ แต่ว่าหนูใส่กางเกงไซส์ 52 ครั้งแรกที่ใส่ มันจะหายใจไม่ออกหน่อย แต่พอใส่ไปสักพักมันจะเข้าทรงสวย และเพื่อความสวยเราทนได้”

 

 

ตำนานสุดสะพรึง กินจนแพ้กุ้ง!

“ในรายการหนูกินเยอะมาก กินหมูกระทะ กินอาหารตามสั่ง ที่มันน่ากิน แต่ที่หนักสุดคือ หนูแพ้กุ้งแบบขั้นวิกฤต มันเพิ่งจะมาแพ้ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียง มีเงินมีทองแล้ว เมื่อก่อนหนูจนมาก หนูก็เก็บเงินแล้วคุยกับ เอแคลร์ ว่าอาทิตย์นี้เรามียอด ไปหาร้านบุฟเฟต์กุ้งกินกันเถอะ แล้วก็ไปกัน

เมื่อก่อนหนูชอบกินกุ้งมาก หนูกินกุ้งได้ 4-5 กิโลกรัมเลย พอเริ่มมีงานมีชื่อเสียง มีเงินก็ไปซื้อกุ้งกิน จนแพ้แบบตาบวม แล้วก็หายใจไม่ได้ ก็เลยโทรหา พี่มิกซ์ เฉลิมศรี พอโทรติดสิ่งแรกที่เค้าทำคือนั่งหัวเราะประมาณ 2 นาที ซึ่งหนูหายใจไม่ออกนะ แล้วพี่มิกซ์ก็อัดคลิปลงโซเชียล แล้วกลายเป็นไวรัล ทำให้คนรู้จักหนูเยอะขึ้นเพราะคลิปนั้น พอหัวเราะกันเสร็จก็ไปหาหมอ ไปฉีดยา แล้วคุณหมอบอกว่าแพ้กุ้งแล้วนะ

แต่หนูก็ยังกินกุ้งค่ะ ตอนนั้นหนูพยายามต่อสู้กับมันมาโดยตลอด คือจะมียาแก้แพ้พกไว้เลย มื้อไหนเราทำงานมาเหนื่อยมาก ก็จะขอกินกุ้งสักวันนึง ปรากฏว่าก็แพ้ค่ะ หลัง ๆ หนูกินเป็นกิโลกรัมไม่ได้แล้ว กินได้แค่ตัวเดียว แล้วก็แพ้มาตลอด ปากบวมมาตลอด หลังจากกินกุ้งก็ต้องกินยาค่ะ

หนูทำ IF ค่ะ คือหนูกิน 20 หยุด 4 หนูนอนทานได้เลย หนูสามารถหลับ ๆ อยู่ แล้วฝันว่าหิวมาก พอตี 2 หนูตื่นหนูก็กดสั่งข้าวเลย ซึ่งในยุคสมัยนี้มันง่ายด้วย เราก็กินแบบปล่อยใจไปเลย หนูเข้าใจแฟนคลับที่คอยเป็นห่วงและเตือนหนูตลอด แต่ว่าหนูเคยทุกข์มาแล้ว ช่วงนี้หนูขอมีความสุขก่อน แล้วหนูมีความสุขกับการกินมาก”

 

ย้อนวันวาน กับความเป็นตัวเอง ที่ต้องถูกปิดกั้น

“เมื่อก่อนที่บ้านค่อนข้างจะเซนซิทีฟเรื่องการเป็น LGBTQ+ แล้วเค้าก็พยายามจะปิดกั้นทุกอย่าง เค้าห้ามเราหลาย ๆ อย่าง ไม่ให้ไปเล่นกับผู้หญิง ส่งเราไปเรียนโรงเรียนชายล้วน ตอนแรกหนูอึดอัด ครั้งแรกที่ไปเรียน คือ โรงเรียนปทุมคงคา ซึ่งพอเข้าไปเรียนหนูก็รู้ว่ามันไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราคิด แล้วได้เจอเพื่อนที่เป็นเหมือนเราประมาณเกือบร้อยคน จนรู้สึกว่าตรงนี้แหละคือความสุขของเรา เราอยากจะมาโรงเรียนทุกวัน ไม่อยากอยู่บ้านแล้ว

หนูพยายามจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แล้วที่โรงเรียนมีกิจกรรมเยอะ วันภาษาไทย วันวาเลนไทน์ หนูก็จะแต่งหญิง พอคุณป้ารู้ก็เห็นว่าไม่ได้การแล้วต้องย้ายออก ก็เลยพาหนูมาเรียนที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก เป็นโรงเรียนช่างไปเลย ตอนแรกหนูทำใจไม่ได้ แล้วหนูคือ LGBTQ+ คนเดียวในรุ่นและในโรงเรียน แต่หนูมองทุกอย่างให้เป็นมุมบวก มาที่นี่ฉันจะต้องเป็นดาว ฉันสวยที่สุดในโรงเรียน ฉันอยู่ได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โชคดีที่หนูได้เพื่อนที่ดี แล้วก็เข้ากับวัฒนธรรมของโรงเรียนช่างได้ง่าย หนูทำหมดทุกกิจกรรม รับรุ่น รับน้อง จนหนูกลายเป็นเจ๊ไปเลย ในเมื่อเราไปไหนไม่ได้แล้ว ก็ต้องปรับตัวเองให้มันเข้ากับสถานการณ์ จนที่แห่งนั้นกลายเป็นความสุขครั้งใหม่ของเรา

จริง ๆ หนูรู้ตัวเองตั้งแต่อนุบาลค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าเราเหมือนจะชอบผู้หญิงบ้าง เรามองว่าเค้าผมยาวจัง เค้าสวยจัง พอขึ้น ป.1 หนูเริ่มไม่ชอบแล้ว เริ่มจะชอบ พี่เคน ธีรเดช ชอบดูดาราชาย ว่าคนนี้น่ารักจังเลย ด้วยความที่เมื่อก่อนบ้านหนูอยู่การท่าเรือ ตรงกรมสรรพสามิต ที่บ้านก็จะมีความคิดที่ว่า การที่เราทำงานประจำ มันจะมีสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งหนูมองว่า หนูอยากจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์มากกว่า อยากจะมาเป็นคนสอนเชียร์ลีดเดอร์ มันหาเงินได้นะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่ามันหาเงินได้ยังไง

พอที่บ้านเค้ากดดันเรา เราก็เลยต่อต้าน แปลกมากเลยหนูปรับกับที่อื่นได้ แต่ที่บ้านหนูไม่ปรับ  เหมือนเรายิ่งโดนกด เราก็ยิ่งสู้ เหมือนที่เค้าบอกว่า คนเราจะใส่ใจคนรอบข้างน้อยกว่าคนไกล ๆ อย่างเวลามีการประกวดมิสทิฟฟานี่ หรือมิสยูนิเวิร์ส ที่บ้านก็จะจับเรามาขังไว้ในห้อง เพื่อที่จะไม่ให้ดู แต่ยิ่งขังเราก็ยิ่งสู้ ต่อสู้แบบมันอัตโนมัติเลยค่ะ

จนหนูเริ่มโตขึ้น หนูก็เริ่มต้องไปแล้ว หนูอยู่ที่บ้านไม่ได้ มันไม่มีทางที่จะมีความสุขได้เลย หนูเลยบอกแม่ว่า ขอออกไปอยู่เองนะแม่ ไม่ต้องห่วง แล้ววันแรกที่เราออกมาไม่มีเงินเลย แต่รู้สึกว่ามีความสุขมาก ไปอยู่หอกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าไม่มีไม่เป็นไร อยู่ไปก่อนเดี๋ยวทำงานแล้วก็ค่อยมาช่วยกันจ่ายค่าห้อง จากนั้นหนูก็ไปสอนเชียร์ลีดเดอร์บ้าง ไปอยู่ร้านเช่าชุดบ้าง เริ่มรู้จักพี่ ๆ เริ่มรู้จักลู่ทางต่าง ๆ”

 

 

ครั้งหนึ่ง บนเส้นทางนางงาม

“หนูเคยประกวดนางงาม เป็นเวทีนางงามธิดาช้างต่าง ตอนนั้นหนูมีพี่เลี้ยง แล้วพี่เลี้ยงก็พาไปประกวด ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเราสวย เราไปเรียกเสียงหัวเราะ เวทีแรกได้ที่ 2 แล้วก็ไปประกวดต่อที่ อนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เวทีใหญ่มาก คนที่ประกวดมีประมาณ 50 คน ปรากฏว่า เวทีนั้นหนูได้ที่ 1 หนูดีใจมากที่ได้มง หลังจากนั้นหนูก็ไม่ประกวดแล้วเพราะว่าเหนื่อย เวทีคนอ้วนจะไม่ค่อยมีตอบคำถาม เวลาประกวดก็จะเน้นเดิน แล้วบนเวทีมันร้อน หนูต้องยืนบนส้นสูงนานมาก พอใส่รองเท้าแล้วต้องเอาสก็อตเทปพันไม่ให้มันหลุด ซึ่งมันเจ็บและทรมาน มันร้อนมาก เหงื่อท่วมเลย หนูก็เลยไม่ประกวดแล้วดีกว่า”

 

ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง

“อาชีพแรกในวงการบันเทิงของหนูคือแต่งตัวให้ศิลปิน ได้เงินวันละพัน วันละห้าร้อย ตอนนั้นเราดีใจมากเลยที่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่หนูก็ไม่ได้ชอบตรงนั้น ก็เลยมาเป็นช่างทำผม หนูมองว่าหนูมีความสุขวันต่อวัน พอได้อยู่ในที่ที่เรารัก มันก็เลยมีความสุขไปเรื่อย ๆ การได้เงินพันบาท หนูถือว่าหนูรวยแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว หนูมีเงินซื้อข้าวกินด้วยแรงที่หนูเอาไปแลกมาด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของหนูแล้ว

เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ชอบเสพสื่อ ก็จะเจอคอนเทนต์แบบฉันมีบ้าน 800 ล้าน หมา 10 ตัวอยู่หน้าบ้าน รถ 7-8 คันอยู่ในนั้น ซึ่งมันเกิดขึ้นได้กับบางคนเท่านั้น ไปเชื่อแบบนั้น 100% ไม่ได้ เราเอาแรงของเราทำงาน แลกเงินมาได้ 500 บาทก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีเงินซื้อของที่เราอยากได้ด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของคน ณ ปัจจุบันที่ต้องคิดให้ได้ พอมีรายได้หนูก็ส่งให้แม่ตลอด เพราะหนูรักแม่มาก น้อยบ้าง เยอะบ้าง งานไหนได้เงินเยอะก็จะพาแม่ไปกินข้าวบ้าง และหนูดีใจแล้วที่ได้พาแม่ไปกินข้าว”

 

 

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางช่างทำผม

“ตอนนี้หนูเป็นช่างทำผมให้ศิลปิน หนูอยากจะเป็นช่างทำผมอันดับ 1 หนูไม่ได้เรียนทำผมค่ะ มันเริ่มจากตอนนั้นหนูไม่มีงานทำ ก็เลยมาเป็นผู้ช่วยช่างแต่งหน้าตามพี่ ๆ ไปทำงาน แล้วชอบไปนั่งดูพี่ ๆ ช่างทำผม มันตลบแบบนี้ ม้วนแบบนี้ มันสวยจังเลย จนพี่ ๆ ถามเราว่า จริง ๆ แล้วอยากทำอะไร หนูบอกว่าอยากเป็นช่างทำผม พี่ ๆ ในวงการก็สนับสนุนแล้วหาโอกาสให้หนูไปเป็นผู้ช่วยช่างทำผม

คนแรกที่หนูทำผมให้คือ น้ำตาล ชลิตา ก็ได้ความใจดีของน้ำตาลด้วยที่ไว้ใจและมอบโอกาสให้หนู จนเริ่มมีคนรู้จักหนูมากขึ้น จนหนูมาอยู่กับ เอแคลร์ หิ้วหวี เป็นช่างทำผมประจำของเอแคลร์ แล้วก็ได้ทำผม พี่นัท สะบัดแปรง พอมาอยู่ตรงนี้ เหมือนพี่ ๆ เค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว พอมาทำงาน เอแคลร์ ก็บอกหนูตลอดว่า พั้มกิ้น ต้องทำช่อง ทำคลิปนะ หนูก็บอกว่าไม่เอา ฉันอยากจะเป็นช่างผมอันดับ 1 แต่ เอแคลร์ ก็ย้ำว่าหล่อนต้องทำ หนูก็เลยค่อย ๆ เข้ามาในกล้องทีละนิด ๆ จนคนเริ่มแซว คนเริ่มรู้จัก แล้วก็มีวันนี้ที่กลายเป็น พั้มกิ้น หิ้วหวี”

 

เรื่องนี้ ที่ทำให้ พั้มกิ้น เสียน้ำตา

“ในช่วงโควิด ตอนนั้นหนูไม่มีงาน แล้วหนูก็เที่ยวเล่นเสเพลจนเงินหมด จนต้องหยุดเที่ยว หยุดปาร์ตี้ หยุดทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่ทำให้หนูร้องไห้ หนูไม่มีเงินกินข้าวแล้ว และหนักถึงขั้นที่ว่าหนูต้องกินน้ำก๊อก มันหนักจนคิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า ด้วยสถานการณ์มันห่อเหี่ยวไปหมดเลย หนูเลยเอาเงินที่เหลืออยู่ไปซื้อยาแก้แพ้กระปุกเล็กมากระปุกหนึ่ง แล้วกินเข้าไปหมดเลย ปรากฏว่า 8 โมง หนูหิวข้าวแล้วสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้วตัวมันชาไปหมดเลย แล้วก็รู้สึกเวียนหัว ก็เลยเดินลงมาซื้อข้าวกิน ในเมื่อไม่ตาย ชีวิตก็ต้องไปต่อ เมื่อเรามีชีวิตเดียวเดินหน้าต่อดีกว่า ฝืนอีกสักหน่อยเผื่อจะมีโอกาสที่ดี จนเริ่มมีงานเข้ามา หนูขอบคุณตัวเองมากที่ไม่คิดสั้นตั้งแต่ตอนนั้น”

 

กลับมาสู้ต่อ จนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์

“พอตัดสินใจสู้ต่อ หนูก็มาทำผมให้ เอแคลร์ เหมือนเดิม แล้วนางก็เริ่มปั้นหนู ดันจนมาเจอ พี่ทราย มาดามฟิน ที่ให้หนูไปทำผม ทำไปทำมาพี่ทรายก็เอ็นดูเรา พาเราไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปเที่ยวหลากหลายที่ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งเราจะไปทำผมให้เหมือนเดิม แล้วเค้าก็เดินมาจับมือเราบอกว่า พรุ่งนี้พั้มกิ้นไม่ต้องมาทำผมพี่แล้ว แต่มาช่วยพี่ไลฟ์สด แล้วหนูก็มาช่วยไลฟ์สดจนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้องบอกว่ามันไปเรื่อยเลยชีวิตหนู”

 

 

พั้มกิ้น กับชีวิตที่เคยหลงผิด

“บทเรียนครั้งนั้นมันหนักมากสำหรับหนู ตอนนั้นหนูคิดว่าไปลองซักหน่อย อาจจะไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่าตอนนั้นหนูเจอเรื่องราววิกฤติที่มันแย่มาก ๆ มันเกิดก่อนช่วงโควิดอีกค่ะ และคิดว่ายาเสพติดคงจะช่วยเราได้ มันเหมือนไปยืมความสุขมาใช้ พอเราลองสัมผัสมันแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องวันวานเลย จนหนูถลำลึกไปเรื่อย ๆ จนเงินหมด เงินเก็บที่มีหลายแสนหมดเพราะยาเสพติด

หนูติดแล้วก็ถลำลึกจนเราไม่รู้ตัว งานเริ่มหาย เพื่อนเริ่มไม่มี หนูไม่ฟังใครเลย ไม่อยากไปทำงาน อยากจะอยู่แต่บ้าน อยากจะอยู่แต่ห้อง อยากจะใช้แต่ยาเสพติด เรากลายเป็นใครก็ไม่รู้ไปเลย ซึ่งมันอันตรายมาก จนถึงขั้นหนูมีภาวะซึมเศร้า เลยพยายามสู้มาด้วยตัวเอง แล้วก็หาวิธีการเลิกในวิธีต่าง ๆ ฟังแล้วก็ดูสื่อให้มันหลอน พออยากจะใช้ยาก็หาอะไรดูให้รู้สึกว่าไม่ได้นะ ถ้าใช้ต่อไปเราจะเละเทะไปแค่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หนูจะต้องไปนอนข้างถนนแน่ ๆ ก็หักดิบได้เองเลย

หนูกลับตัวมาได้ เพราะเพื่อน ๆ ช่วงนั้นมันมีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เพื่อน ๆ รู้ว่าหนูเป็นหนักแล้ว เพราะหนูชอบโพสต์ว่าอยากตาย อยากฆ่าตัวตาย ทำให้คนที่ติดตามเราเลิกติดตามไปเรื่อย ๆ เพื่อนหลายคนก็แซว แต่ เอแคลร์ ไม่แซวอะไรเลย นางเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ คอยเรียกไปทำผม เพื่อที่จะเรียกให้ไปหา แล้วสังเกตว่าหนูเลิกแล้วแน่นะ

จากนั้นหนูก็อยู่เบื้องหลัง คอยทำผมมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มขยับขึ้นมาเป็นไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์ รับงานลูกค้าเอาเราไปถ่ายคลิป โชคดีที่พี่ ๆ หิ้วหวี เป็นเหมือนแสงสว่างของหนูเลย คือถ้าไม่มีพวกเค้าเหล่านี้ ทุกคนก็คงจะไม่รู้จักหนู ต้องขอบคุณมาก ๆ เลย”

 

ความในใจจาก พั้มกิ้น ที่อยากจะบอกกับคนสำคัญคนนี้

“เอแคลร์ เป็นคนที่ไม่ได้ชมให้รู้ พวกหนูจะไม่ได้ชอบชมกัน แต่จะให้กำลังใจทางอ้อม ซึ่ง เอแคลร์ เป็นเพื่อนที่หนูรักที่สุดตอนนี้ เพราะนางดันหนูทุกทาง ให้หนูได้มีวันนี้ จะบอกว่าขอบคุณเอแคลร์ มาก ๆ ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ หนูรักเพื่อนคนนี้มาก มันรักโดยอัตโนมัติ สมมติถ้าเราไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วมีคนที่จะมาทำอะไรไม่ดีใส่เอแคลร์ หนูสามารถพุ่งไปหาคนนั้นได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ และสามารถตายแทนได้เลย”

 

 

คอมเมนต์เชิงลบ ที่ไม่กระทบจิตใจแล้ว

“แรก ๆ หนูจะโดนคอมเมนต์ว่าเบาหน่อยได้ไหม เสียงดังทำไม ซึ่งหนูก็คุมตัวเองไม่ได้เรื่องการเสียงดังเวลาไปรายการ แต่พอหนูเข้ามาย้อนคิด ก็เห็นว่าคนที่มาคอมเมนต์เป็นแอ็คเคาท์หลุม เราไม่เจอเค้าอยู่แล้ว หนูก็เลยคอมเมนต์กลับว่า ขอบคุณค่ะ น่ารักมาก ฝากผลงานด้วยนะ คอมเมนต์มาก็คอมเมนต์กลับ หนูไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

แล้วก็จะมีหลายคนที่คอมเมนต์เพื่อปรึกษา เช่น ที่บ้านหนูไม่ยอมรับเลยทำยังไงดี หนูก็จะบอกว่า สู้ ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ ลองเปลี่ยนความคิดตัวเองดูไหม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะไปเอาก้อนตรงนั้นมาไว้ที่หัวเรามากน้อยแค่ไหน ทำให้ตัวเองมีความสุขไปวันต่อวันนะคนดี ซึ่งหนูให้คำปรึกษาได้ และในอนาคต หนูอยากทำรายการทอล์ค หนูอยากฟังอยากคุยกับคน อย่าง พี่อ้อย พี่ก็อตจิ พี่สุทธินาถ ทองชื่น อย่างพี่อ้อย เวลาจัดรายการ เวลาคนมีเรื่องเศร้า ๆ เข้ามาปรึกษา พอหลังจบรายการเค้าจัดการกับตัวเองยังไง หนูก็เลยอยากมีรายการทอล์ค อยากคุยกับผู้คนอื่น ๆ ค่ะ”

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี

“ตอนนี้มีคนคุยเป็นคนนอกวงการ ตอนนี้ชอบเพื่อนอยู่ชื่อเก้า จีบเก้าอยู่ แต่เก้าบอกว่ารออีก 2 ปี ถ้าไม่มีใครเดี๋ยวมาเป็นแฟนกัน ซึ่งเก้าคืออยู่ในกลุ่มหิ้วหวีเหมือนกัน น้องเก้าน่ารัก หนูชอบคนที่เด็กกว่า แล้วหน้าตาน่ารัก ก่อนหน้านี้หนูมีแฟนค่ะ เป็น LGBTQ+ เหมือนกัน เค้าเป็นทอม ที่อยู่ด้วยกันแล้วเข้าใจกัน แต่สุดท้ายก็เลิกกัน หนูก็เสียใจวันเดียวเลย ไม่มีล้มค่ะเรื่องนี้ ไม่มีอะไรล้มหนูได้ นอกจากหนูหิว ไม่มีผู้ชายไม่เป็นไร ไม่มีความรักไม่เป็นไรเลย ให้หนูอิ่มให้หนูได้กิน หนูไม่ซีเรียสเลยค่ะเรื่องความรัก”

 

 

ความภูมิใจ ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี

“หนูภูมิใจที่เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ และหนูภูมิใจตรงที่ว่า หนูเคยทำผิดพลาดกับหลาย ๆ คน แล้วพอมาอยู่ตรงนี้ หนูก็ไม่ต้องไปป่าวประกาศว่าหนูเป็นคนดีแล้ว หนูทำตัวเองให้คนอื่นได้เห็นว่า เรามีวันนี้ได้แล้วนะ เรามีลูกค้าที่รักเรา แสดงว่าเราเป็นคนดีแล้วจริง ๆ นี่คือสิ่งที่หนูภาคภูมิใจในตัวเองที่สุด”

 

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก พั้มกิ้น หิ้วหวี

“คนที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากให้ลองตั้งสติ คิดให้มาก คิดถึงคนรอบข้างให้เยอะ ๆ และคิดถึงตัวเองในอนาคตด้วย และใครที่กำลังจะไปยุ่ง อย่าไปยุ่งเลยนะคะ มันอันตรายมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเคยลองครั้งสองครั้งแล้วบอกว่าไม่ติด มันไม่จริง มันคือยาเสพติด มันจะทำลายทุกอย่างในชีวิตเรา ไม่เคยมีใครได้ดีจากยาเสพติดเลยแม้แต่คนเดียว มันคือการยืมความสุขในอนาคตมาใช้ วันนี้เรามีความสุข แต่พอมันหมดตรงนั้นไป เราจะทุกข์มาก ๆ เลยนะคะ” - พั้มกิ้น หิ้วหวี

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1