หนูคบกับแฟนมา 10 ปี เขาคือแฟนคนแรกของหนู ตอนนี้เขาเพิ่งบอกเลิกหนู ด้วยเหตุผลว่า “ขออยู่คนเดียวที่ผ่านมาเขาให้หนูเป็นที่ 1 ในทุกเรื่อง ตอนนี้ขอเวลาเลือกตัวเองก่อนบ้าง” รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของหนูพังลงแล้ว แต่เขายังทักมาถามว่าเราโอเคไหม?

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูคบกับแฟนมา 10 ปี เขาคือแฟนคนแรกของหนู ตอนนี้เขาเพิ่งบอกเลิกหนู ด้วยเหตุผลว่า “ขออยู่คนเดียวที่ผ่านมาเขาให้หนูเป็นที่ 1 ในทุกเรื่อง ตอนนี้ขอเวลาเลือกตัวเองก่อนบ้าง” รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของหนูพังลงแล้ว แต่เขายังทักมาถามว่าเราโอเคไหม?

20 พ.ค. 2025

หนูคบกับแฟนมา 10 ปี เขาคือแฟนคนแรกของหนู ตอนนี้เขาเพิ่งบอกเลิกหนู ด้วยเหตุผลว่า

“ขออยู่คนเดียวที่ผ่านมาเขาให้หนูเป็นที่ 1 ในทุกเรื่อง ตอนนี้ขอเวลาเลือกตัวเองก่อนบ้าง” รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของหนูพังลงแล้ว

แต่เขายังทักมาถามว่าเราโอเคไหม? ยังเป็นห่วงเราอยู่ คนเราจะเลิกกัน  ทั้งๆที่ยังรักกันอยู่ได้จริงๆหรอคะ?

                “คุณเจ (นามสมมติ)” อายุ 29 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อวันพุธที่ผ่านมา [14 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อม” เกี่ยวกับปัญหาความรัก 10 ปีที่ไปกันไม่รอด และเลิกกันทั้งๆที่ยังรัก

                โดย “คุณเจ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับแฟนมาตั้งแต่สมัยเรียน ระยะเวลารวม 10 ปี เขาเป็นแฟนคนแรก เป็นทุกอย่างของชีวิตทั้ง แฟน เพื่อน พี่ น้อง เขาคอยซัพพอร์ตหนูทุกอย่างที่อยากทำ คอยตามใจ พาไปกิน พาไปเที่ยว รับ-ส่งถึงบ้าน คอยให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง คบกันมาเรื่อย ๆ จนถึงทำงาน มันยังไม่ได้มีเรื่องอะไรที่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนไปหรือเลิกกัน ส่วนตัวหนูเป็นคนขี้หึง ขี้หงุดหงิด เหวี่ยงและวีน ช่วงทำงานปีแรกๆ หนูค่อนข้างจับผิดคนที่ทำงานของแฟน ทุกครั้งถ้าเห็นแจ้งเตือนของเพศตรงข้าม หนูก็จะชักสีหน้าหรือหงุดหงิด จนกลายเป็นความไม่พอใจของหนูเอง และเราก็ทะเลาะกัน แต่หนูก็เชื่อใจและเข้าใจว่าแฟนคงไม่มีอะไร หนูเคยเข้าไปดูแชทของเขากับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งในมุมมองคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นคนเฟรนด์ลี่สองคนคุยกัน แต่มุมมองของหนู หนูไม่ชอบ เพราะนี่คือแฟนของหนู ทำไมต้องคุยหรือทำแบบนี้กับแฟนคนอื่น? เพื่อนร่วมงานของแฟนคนนี้เขาเป็นคนที่ช่วยเหลือเรื่องงาน อยู่แผนกเดียวกัน อายุใกล้เคียงกัน เขาเลยปรึกษาเรื่องงานกัน บ้านเป็นทางผ่านก็อาจจะมีติดรถไป-กลับด้วยกัน

                ปฏิกิริยาของแฟนตอนหนูแสดงอาการ แรกๆแฟนหนูเขาจะอธิบายว่าไม่มีอะไรเลย แล้วก็ง้อและโอ๋ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะแฟนเขาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่ได้คิดอะไร เวลาผ่านไปหนูแสดงอาการบ่อยขึ้น แฟนก็เริ่มหงุดหงิด อารมณ์เสียบอกว่า “อีกแล้วหรอ เรื่องคนนี้อีกแล้วหรอ เราอยู่กับแบบสงบ ๆ ไม่ได้หรอ ทำไมต้องเอามาเป็นประเด็น” พอเริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น ซึ่งก็อาจจะเป็นความประสาทของหนูเอง เริ่มท็อกซิกใส่แฟน จากที่เขาทำงานเหนื่อย เครียดเรื่องงาน เครียดหลาย ๆ อย่างรอบตัว พองานหนักขึ้นทุกปีก็ไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่ หนูก็ยิ่งท็อกซิกขึ้น งอแงใส่แฟน พอเห็นแจ้งเตือนก็จะเริ่มตึง จากที่เขาวางแพลนว่าวันนี้จะดูซีรีส์ เล่นเกม ทำกิจกรรมร่วมกัน พอหนูหงุดหงิดก็จะเริ่มเงียบ  ไม่เล่น ไม่มีอารมณ์ร่วม จะเสียเวลาครึ่งวันนั้นไปเลย แฟนก็เลยตัดปัญหาโดยการปิดการแจ้งเตือนเวลาอยู่กับหนู แต่พอเขาปิด หนูก็อยากเป็นโคนันอยู่ดี

                พอความสัมพันธ์ผ่านไป 7 ปี หนูก็เริ่มปล่อยวาง ไม่สนใจแล้ว เวลาหนูหงุดหงิดแฟนจะคอยเตือนว่าอารมณ์เป็นปัญหาที่เราจะต้องใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน หนูก็เลยปรับตัว เงียบขึ้น ปล่อยวางเรื่องเล็กน้อย เพื่อให้มีเรื่องกระทบกันน้อยที่สุด จะได้อยู่กันแบบสงบ จนช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ หนูจะไม่ค่อยทักแฟนไปช่วงทำงานเพราะรู้ว่างานเขาหนัก และเขาไม่ว่าง หนูก็จะรอให้แฟนทักมาเอง ด้วยความคิดที่ว่าถ้าแฟนทักมาแปลว่าเค้าว่าง ถ้าเราทักไปแฟนอาจจะยังไม่สะดวก หนูจะได้ให้แฟนโฟกัสกับงานอย่างเต็มที่ หลังจากที่เจย้ายออกจากบ้านแฟนมาอยู่บ้านตัวเอง เลยทำให้เราห่างกัน แต่พอช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาบอกเลิกหนู ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยากโฟกัสตัวเองบ้าง อยากให้ความสำคัญกับตัวเอง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาแฟนให้หนูเป็นอันดับ 1 เสมอ เขาอยากโฟกัสว่าจริงๆตัวเองต้องการอะไร? หนูขอโอกาสจากแฟน “ไม่ไปได้มั๊ย ไม่เลิกกันได้มั้ย” เขาบอกว่าเขาก็ไม่ได้อยากเลิก แต่ไม่อยากทำร้ายเราต่อไป เขายังรักหนูนะ ไม่อยากยื้อไว้ให้เราสองคนยิ่งเจ็บ แต่อนาคตเราก็อาจจะมาคบกันอีกก็ได้

                หลังจากเลิกกันอาทิตย์นึงไป เขาก็ยังทักมาถามทุกวันเป็นระยะ หนูเริ่มไม่แน่ใจว่าที่ทักมาเพราะแฟนรู้สึกผิดที่บอกเลิก หรือรักและเป็นห่วงเรากันแน่ ตัวเขาเองบอกว่ายังรักเราอยู่ เขาเป็นห่วงเรา ถึงเขาจะไม่สามารถเทคแคร์เราได้ แต่เค้าไม่สามารถปล่อยให้เราจมอยู่คนเดียวได้ ที่ผ่านที่หนูพยายามปรับปรุงตัว เขาบอกว่าเขาเห็นว่าหนูพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด เห็นว่าเราน่ารักขึ้น แต่พอยิ่งเราเติมเต็มเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดที่รู้สึกกับเราแบบนั้น ส่วนนึงไม่รู้ว่ามาจากการที่หนูถามเรื่องอนาคตบ่อยเกินไปหรือเปล่า หรือเปรียบแฟนตัวเองกับแฟนคนอื่นเพียงเพราะอยากรู้ว่าในอนาคตของเขามีหนูอยู่มากน้อยแค่ไหน การที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน หนูเลยไม่รู้ว่าอนาคตเขาวางแพลนไว้ มีหนูอยู่ในอนาคตของเขาหรือเปล่า แล้วเวลาหนูถามเขาก็จะบอกว่า ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ก็เห็นอยู่ว่าสภาพแวดล้อมรอบข้างเป็นยังไง ภาระทางบ้านเขาค่อนข้างเยอะ แต่หนูไม่ได้ต้องการคำตอบชัดๆ หรือเขาจะโกหกหนูก็ได้ว่าในอนาคตแฟนก็มีเจอยู่ แต่เจก็ไม่ได้เซ้าซี้

                ตอนนี้หนูก็รอเขาอยู่ หนูยอมรับว่าเป็นคนเริ่มทำให้มันแย่ และความสะสมของเขาที่ผ่านมามันทำให้รู้สึกแย่กับเจ สำหรับหนู เขาเป็นคนดี เป็นคนที่หนูรัก หนูก็ยังรักอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่พอต้องห่างกันก็ยังตัดใจไม่ได้ เขาก็ยังทักมา ยังคงเป็นห่วงว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแค่เปลี่ยนสรรพนามเท่านั้น ถ้าเขาไม่ทักมาก็กระวนกระจายใจ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูรู้สึกสับสนว่าจะต้องทำยังไงดี ระหว่างรอเค้าต่อไปหรือมูฟออนออกไป?

                ดีเจทั้งสามคน (ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อม) ได้ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘ไม่ต้องไปตามหาเหตุผลของการเลิกกัน เพราะคนที่จะเลิกกันคงหาหลายเหตุผลมาบอกเรา มันเป็นความลับที่ไม่มีทางรู้ แม้เค้าจะพูดออกมาก็ไม่มีทางรู้ในใจเค้า คิดไปก็เจ็บ เจควรยอมรับความจริงว่าวันนี้เค้าไม่ได้รักเราเหมือนเดิม’

                “ดีเจเผือก” ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ‘ตามจิตวิทยาคนที่ถูกบอกเลิกเป็นเรื่องธรรมดาที่ช่วงแรก จะไม่อยากยอมรับความจริง เป็นการปฏิเสธ เรายังรักกันอยู่ เราไม่ได้เลิกกัน อนาคตอาจจะกลับมาเจอกันอีกก็ได้ จากเหตุผลที่เขาพูดมาว่า “เดิมให้เจเป็นที่หนึ่ง แล้ว ณ วันนี้อยากดูตัวเองบ้าง” นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเลิกกับใครสักคน แฟนสามารถดูแลเราให้เป็นที่หนึ่ง แล้วก็ดูแลตัวเองได้ด้วย ไม่เป็นปัญหา แต่จะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อเราไม่ได้รักเขาแล้ว มันอาจจะเป็นแค่ประโยคที่ถูกคิดมาหลายวันเพื่อให้คนที่ถูกบอกเลิกรู้สึกดีที่สุด ทุกคนดูแลตัวเองทุกวันอยู่แล้ว พอเวลาผ่านไปเจจะเริ่มยอมรับความจริงได้ เข้าใจแล้วว่าเลิกกันแล้วจริง ๆ ก็จะเข้าสู่กระบวนการเยียวยาต่อไป การโดนบอกเลิก มันก็จะหนักหนาหน่อย ยิ่งคบกันมานานสิบปี หายไปใครก็เหวอ แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่เป็นเจ้าของโลกของเรา แฟนเป็นแค่หนึ่งในสามเองแล้วอีกสองในสามที่ไม่เคยมีเขาเราโตมาได้ยังไง เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากว่าเราเป็นคนผิดหรือเปล่า ชีวิตเจอาจจะไม่มีวันได้รู้เหตุผลเลยก็ได้ ใช้ชีวิตให้พ้นเป็นวันต่อวัน ถ้าวันนี้เศร้าก็แค่ร้องไห้ ถ้าอึดอัดก็หาเพื่อนระบาย แล้วค่อยเข้าสู่กระบวนการเยียวยาด้วยวิธีการต่าง ๆ ต่อไปแล้วมันจะค่อย ๆ ดีขึ้น’

                “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ‘ไม่ว่าจะรักกันกี่ปีคนเราหมดรักกันได้ ของเจยังโชคดีที่มีสถานการณ์แบบนี้ให้รู้สึกว่าเราเคยรักกัน ตอนนี้อาจจะโหดร้าย เจต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่าอยู่บนโลกนี้โดยที่ไม่มีเขาไม่ได้ เพราะเจอยู่ได้ ทุกคนอยู่ได้ ยกเว้นคนคิดสั้น ถ้าทำใจได้เมื่อไหร่ ก็อยากบอกว่าอย่าให้ใครเป็นโลกทั้งใบของเรา เพราะถ้าวันใดมันถล่มก็จะเป็นเหมือนวันนี้’

                “ดีเจอ้อม” ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ‘เรื่องราวในอดีตปัญหาส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการสื่อสาร ถ้าไม่ได้พูดกันบางทีมันก็สะสม แต่พูดมากไปก็ไม่พอดี แต่เท่าที่ฟังฝั่งผู้ชายก็ต้องตัดเลยอย่ายึกยัก ไม่ต้องส่งข้อความมาแสดงความเป็นห่วง ถ้าเราตั้งใจเลิกแปลว่าเราตั้งใจเปลี่ยนสถานะ บางทีอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่พร้อม ทำให้เจยังอาลัยอาวรณ์

                สุดท้ายนี้…เจต้องชัดเจนก่อนว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร จะรอก็ได้ รอแบบไม่มีความหวังใช้ชีวิตไปวัน ๆ ก็ได้ หรือตั้งใจที่จะมูฟออน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ตัดใจแต่มูฟไปอยู่ในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น เห็นคุณค่าของตัวเอง ถ้าเป็นพี่ พี่เชียร์ให้มูฟออนเพื่อสร้างเวอร์ชั่นใหม่ของตัวเอง แฟนจะกลับมาหรือไม่ ไม่ต้องไปสน ถ้าเขากลับมาเจอเราเวอร์ชั่นใหม่ เราอาจจะเป็นคนเลือกเองว่าได้ว่าเราไม่พอดีกัน หรือเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่มีคนเข้ามาหา หรือเอนจอยกับการอยู่คนเดียวก็ได้ ไม่ว่าจะคบกี่คนเราก็สะดุด การเริ่มต้นสดใหม่เสมอ เป็นไปไม่ได้ที่ความรักจะไม่เจ็บ มันจะเจ็บทางใดทางหนึ่งเสมอ ลองหากิจกรรมอื่นทำ หรือหาเพื่อนที่รับฟังเรามากขึ้น’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

แม่หนู ชอบเอาเรื่องของหนู ชีวิตของหนู ไปเล่าให้กับทุกคน รอบๆตัวแม่ ทั้งญาติ เพื่อนบ้าน คนรู้จัก บางทีมันเป็นเรื่องที่หนูยังทำไม่สำเร็จเลย แม่ก็เอาไปเล่าแล้ว หนูรู้สึกอึดอัด พอบอกแม่ แม่ก็บอกว่าที่แม่เอาไปเล่าเพราะว่าแม่ภูมิใจในตัวลูก

02 ก.ย. 2025

แม่หนู ชอบเอาเรื่องของหนู ชีวิตของหนู ไปเล่าให้กับทุกคน รอบๆตัวแม่ ทั้งญาติ เพื่อนบ้าน คนรู้จัก บางทีมันเป็นเรื่องที่หนูยังทำไม่สำเร็จเลย แม่ก็เอาไปเล่าแล้ว หนูรู้สึกอึดอัด พอบอกแม่ แม่ก็บอกว่าที่แม่เอาไปเล่าเพราะว่าแม่ภูมิใจในตัวลูก

แม่หนู ชอบเอาเรื่องของหนู ชีวิตของหนู ไปเล่าให้กับทุกคน รอบๆตัวแม่ ทั้งญาติ เพื่อนบ้านคนรู้จัก บางทีมันเป็นเรื่องที่หนูยังทำไม่สำเร็จเลย แม่ก็เอาไปเล่าแล้ว หนูรู้สึกอึดอัด พอบอกแม่แม่ก็บอกว่าที่แม่เอาไปเล่าเพราะว่าแม่ภูมิใจในตัวลูก แต่หนูกลับรู้สึกว่าไม่โอเคเลยที่แม่ทำแบบนี้ถ้าเป็นทุกคนจะทำยังไงดีกับเรื่องนี้คะ?? “คุณหลง (นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [27 ส.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อม” เกี่ยวกับปัญหาแม่ชอบเอาเรื่องเราไปพูดให้คนอื่นรอบตัวฟัง จนเรากดดัน กลัวจะทำไม่ได้ โดย “คุณหลง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า “แม่ชอบเอาเรื่องหนูไปเล่าให้คนอื่นฟัง คือหนูมีแพลนที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศแต่ยังไม่ได้ไป ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัว อย่างเดือนหน้าหนูต้องไปฝึกงานก่อนแล้วค่อยไปสัมภาษณ์กับบริษัทต่างประเทศอีกที ซึ่งตามแพลนคือจะได้ไปประมาณกลางปีหน้า แต่แม่ก็ไปพูดให้เพื่อนที่ทำงานแล้วก็เพื่อนบ้านฟัง วันนั้นหนูไปหาแม่ที่บริษัท แม่ออกมากับเพื่อน แล้วแม่ก็บอกให้หนูเล่าให้เพื่อนของแม่ฟังว่า หนูจะไปทำอะไร ที่ไหน และไฟลท์บินเป็นอย่างไร ซึ่งด้วยความที่หนูรู้สึกว่าถ้าไม่บอกจะเสียมารยาทก็เลยต้องจำใจเล่าไป ทั้ง ๆ ที่ตัวหนูไม่โอเคมาก ๆ เลยที่จะต้องไปบอกแผนชีวิตของหนูให้คนอื่นฟัง มันเลยทำให้หนูกดดันขึ้นมาก ๆ เพราะหนูเป็นคนที่คิดเยอะและคิดมากตลอดเวลา หนูกลัวว่าถ้าหนูทำแพลนนี้ไม่สำเร็จแล้วสิ่งที่แม่ไปพูดเม้าท์ โอ้อวดไว้จะทำให้คนมองหนูยังไง ถึงมันจะมีโอกาสสูงถึง 80% ที่ได้ไปก็ตาม แต่มันก็ทำให้หนูกดดันในตัวเองมาก ๆ เหมือนกัน หนูเข้าใจแม่แต่แค่อยากให้มันประสบความสำเร็จก่อน คือถ้าจะเอาหนูไปเม้าท์ไปพูดหนูไม่ว่าเลย แต่หนูอยากเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว แม่เพิ่งมาเป็นแบบนี้ตอนหนูเข้ามหาลัยเพราะตอนปี 2023 หนูมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ แล้วเหมือนเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวได้เพราะคนแถวบ้านไม่ได้ไป หนูรู้ว่าก็เป็นความภูมิใจของเขานั่นแหละ หนูดีใจมากแต่ทำไปทำมาแม่ก็เอาเรื่องนี้มาพูดเยอะเกินไปจนอึดอัด หนูไม่สบายใจ หนูเคยคุยกับแม่หลายครั้งแล้วว่าไม่โอเค ให้หนูทำให้เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันก่อนได้มั๊ยแล้วค่อยพูด แม่ก็รับปากทุกครั้งเลยแต่เขาทำไม่ได้ ล่าสุดเรื่องเกิดก็ขึ้นเมื่อวานเลย ขนาดหนูเป็นลูก พูดตรง ๆ แล้วเขายังไม่ฟังเลย ไม่ยอมปรับมายเซ็ทด้วย หนูก็เลยคิดว่าคงต้องปรับที่ตัวหนูเองแล้วแหละ แถมตอนนี้มีการสร้างรายได้ใหม่ที่เป็นการทำคลิปรีลลงแอปฟ้า ซึ่งแม่ก็เอาเรื่องหนูไปเล่าในนั้นด้วยว่าหนูทำอะไร ที่ไหน อย่างไรอยู่ หนูก็เคยพูดกับแม่เรื่องความปลอดภัยไปแล้วแต่แม่ก็บอกว่าให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนได้มั๊ย ให้แม่ได้สร้างรายได้ก่อน หนูก็เลยไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว หนูก็เลยอยากรู้ว่าหนูควรจัดการกับความคิดตัวเองยังไง?” เริ่มต้นที่ “ดีเจอ้อม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าพื้นฐานนิสัยหลงกับแม่อาจจะไม่เหมือนกัน หลงเป็นคนที่ต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยภูมิใจ ไม่อยากพูดออกไปก่อน กลัวฝันเก้อเพราะมีหน้า ที่ต้องรักษา แต่แม่ก็มีหน้า ที่ต้องรักษาเหมือนกัน การที่เขาพูดเขาก็ได้หน้าแต่ไม่อยากให้ใช้คำว่าเม้าท์เพราะเป็นความหมายลบ พี่มองว่าแม่พูดด้วยความภาคภูมิใจไม่ใช่เรื่องไม่ดี แล้วมันเป็นความฝันของแม่อีก ยังไงมันก็คือความภูมิใจ ถ้าปิดหมู่บ้านได้แม่คงทำไปแล้ว ในเมื่อเราเปลี่ยนความคิดแม่ไม่ได้และเหมือนยากที่จะเปลี่ยนด้วย เราจำกัดข้อมูลที่แม่ต้องรู้ได้มั๊ย หรือใช้ศิลปะในการพูดกับแม่ หลงใช้เงินแม่ก็จริงแต่บางแผนที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินก็เล่าคร่าว ๆ ได้’ ต่อไป “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่กลัวหลงกดดันมากเกินจนมีผลต่อสิ่งที่หลงกำลังทำอยู่ว่ามันต้องสำเร็จเท่านั้น หลงก็ต้องพยายามคิดให้ได้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลงตั้งใจกับมัน แล้วท้ายที่สุดถ้า 80% นั้น ดันไม่สำเร็จขึ้นมา ก็เป็นความผิดพลาดในชีวิตซึ่งมันคือเรื่องปกติ ไม่อยากให้ความคิดของแม่หรือคนรอบตัวมากดดันเรา ต้องตัดออกไปให้ได้อย่าเอาปัจจัยอื่นที่ไร้สาระมาคิด และคงหาวิธีรับมือแบบประนีประนอม ถ้าเพื่อนแม่มาถามก็จะตอบแค่ความจริงแต่ไม่ลงรายละเอียด แล้วก็พูดไปเลยว่าหนูก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ป้าก็อย่าไปเชื่อแม่มาก ป้าเขารู้แหละแต่อย่างน้อยเราก็ได้ออกตัวแล้ว ลองนำประเด็นความกดดันและความคาดหวังไปคุยกับแม่อีกรอบ แม่อย่ามาคาดหวังในตัวเราเพราะมันอาจจะเป็น 20% ที่ไม่สำเร็จก็ได้’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่จะพูดกับแม่ว่า โอ๊ยย แม่ก็ช่างเล่าเนอะ จะได้ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้เลย แค่นี้ แล้วไม่ต้องเล่าอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นบทสนทนาที่คลายความกดดัน และมันมีวิธีที่จะรับมือกับความกดดันต่อหน้าคนอื่นอีกมากมายเลย ต้องทำให้ทั้งหมดไม่กดดัน พี่เชื่อว่าคนเรามีหลายโอกาสซึ่งนี่เป็นเพียงโอกาสแรกที่เข้ามาก็เท่านั้น ถ้าพลาดมันก็ยังมีโอกาสที่สอง สาม สี่ อีก ซึ่งหลงได้ไปต่างประเทศมาแล้ว ในแง่ของการสมัครงานถือว่าเป็นพอร์ตที่ดี ซึ่งเป็นอาวุธติดตัวถ้าพลาดขึ้นมาโอกาสก็ยังมีอีกมากมายที่ให้หลงได้เดินตามไป อย่ากดดันตัวเอง ส่วนแม่คือเปลี่ยนยากแล้วเพราะแม่ก็คาดหวัง เราก็ต้องจับเข่าคุยกันว่าให้แม่เผื่อใจไว้ด้วย เผื่อใจไว้อายบ้าง แต่หนูไม่อาย แม่ก็ต้องแฟร์ด้วย’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คุณพ่อหนูอยากให้หนูสานต่อธุรกิจโรงงานครอบครัว แต่หนูรู้สึกว่าที่นี่ยังไม่มีระบบการทำงานที่ดี ยังเป็นโรงงานเล็กๆ ความตั้งใจของหนูอยากจะไปทำงานที่โรงงานใหญ่ๆ ไปเปิดโลก เรียนรู้ก่อน สัก 1-2 ปี กลับมาพัฒนาธุรกิจครอบครัวของหนู แต่จะพูดยังไงให้พ่อเข้าใจดี

08 ส.ค. 2025

คุณพ่อหนูอยากให้หนูสานต่อธุรกิจโรงงานครอบครัว แต่หนูรู้สึกว่าที่นี่ยังไม่มีระบบการทำงานที่ดี ยังเป็นโรงงานเล็กๆ ความตั้งใจของหนูอยากจะไปทำงานที่โรงงานใหญ่ๆ ไปเปิดโลก เรียนรู้ก่อน สัก 1-2 ปี กลับมาพัฒนาธุรกิจครอบครัวของหนู แต่จะพูดยังไงให้พ่อเข้าใจดี

คุณพ่อหนูอยากให้หนูสานต่อธุรกิจโรงงานครอบครัว แต่หนูรู้สึกว่าที่นี่ยังไม่มีระบบการทำงานที่ดียังเป็นโรงงานเล็กๆ ความตั้งใจของหนูอยากจะไปทำงานที่โรงงานใหญ่ๆ ไปเปิดโลก เรียนรู้ก่อนสัก 1-2 ปี กลับมาพัฒนาธุรกิจครอบครัวของหนู แต่จะพูดยังไงให้พ่อเข้าใจดี เพราะถ้าหนูทำตามที่พ่อบอกพ่อหนูก็อายุมากแล้ว สอนอะไรก็หลงๆลืมๆ สอนไม่เป็น ทุกคนคิดว่าควรจะเริ่มพูดกับคุณพ่อยังไงดีคะ? “คุณพี (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่ 3 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร ในคืนวันพุธที่ผ่านมา [6 ส.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจพี่อ้อม’ เกี่ยวกับปัญหาอยากไปทำงานหาประสบการณ์ข้างนอก ก่อนที่จะมาบริหารกิจการที่บ้าน แต่คุณพ่อไม่เห็นด้วย โดย “คุณพี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตัวหนูเองเป็นนักศึกษาจบใหม่ และที่บ้านก็เป็นครอบครัวคนจีน คุณพ่อมีบริษัทที่อยากจะให้มารับช่วงต่อ ในช่วงเวลาที่ได้เรียนจบใหม่ๆ หนูก็เริ่มทำงานกับที่บ้านเลย แต่ความกดดันหลายๆอย่างทำให้รู้สึกว่า ยังทำได้ไม่ดี รวมกับว่าที่คุณพ่ออายุมากแล้ว มีหลายครั้งที่ท่านเกิดอาการหลงๆลืมๆทำให้สอนงานได้ไม่ต่อเนื่อง หนูเลยตัดสินใจว่า จะไปทำงานที่อื่นก่อน แล้วค่อยเก็บประสบการณ์กลับมาทำงานที่บ้าน พอปรึกษาคุณแม่ ท่านก็เห็นด้วยกับสิ่งที่หนูจะทำ แต่คุณพ่อไม่เห็นด้วย ท่านอยากให้เราทำที่บ้านเลย เขาบอกว่าสามารถสอนเราได้ แต่ระยะเวลามันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หนูก็เห็นแล้วว่า หนูควรจะได้ประสบการณ์จากที่อื่นมากกว่า ท่านรู้ตัวถึงอาการหลงๆลืมๆของตัวเอง บางทีที่จะอยากจะสอนงาน ท่านก็ลืมว่าจะสอนอะไร คนในบริษัทคนอื่นก็ไม่สามารถสอนแทนได้ในส่วนของท่าน ประเภทงานที่บ้านของหนูทำ เป็นโรงงาน นำเข้าส่งออก ด้วยความที่หนูเรียนไม่ตรงสาย บางครั้งก็ไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรท่าน แล้วหนูก็ได้งานแล้ว ที่ยื่นสมัครไปเป็นโรงงานนิคม ทำหน้าที่ล่าม เอกสารเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก โรงงานของคุณพ่อเป็นกิจการเล็ก ยังไม่ค่อยมีระบบ หนูไม่ชอบ เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก เลยอยากที่จะมีประสบการณ์ก่อน เพื่อมาพัฒนา ระบบตรงนี้ หนูอยากจะปรึกษาพวกพี่ว่า หนูตัดสินใจแล้วว่าจะไป ควรอธิบายให้คุณพ่อเข้าใจยังไงดี ว่าหนูไม่ได้ทิ้งกิจการที่บ้าน แค่อยากมีประสบการณ์มากพอ ที่จะกลับมาช่วยที่บ้าน’ โดยทั้ง ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจพี่อ้อม’ ได้ให้คำปรึกษาไปในทางเดียวกันว่า ‘การที่จะออกไปทำข้างนอก ต้องรีบทำให้ไว ครูพักลักจำให้มาก อาจจะเหนื่อยกว่าคนอื่นหน่อย ด้วยความที่เรียนไม่ตรงสาย หวังว่าทางที่พีเลือกไป จะสามารถนำมาปรับใช้กับกิจการที่บ้านได้จริงๆ มีโอกาสเรียนรู้ ควรเรียนรู้ให้มาก แต่เส้นทางที่เลือก เป็นเส้นทางที่ดี ควรตั้งเวลาให้กับคุณพ่อ ทำให้คุณพ่อสบายใจ ว่าเราจะไม่ทิ้งกิจการ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 23 รู้สึกชีวิตนี้ทำอะไรก็ล้มเหลว เรียนใกล้จะจบแล้วก็โดนรีไทน์ คุณแม่เศร้าจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หนูคิดมาตลอดว่าหนูอาจจะเป็นสาเหตุ ญาติก็พูดดูถูก เปรียบเทียบหนูกับลูกเขาให้ครอบครัวหนูฟัง ตอนนี้หนูพยายาม เรียนเพิ่ม

06 ก.ย. 2024

หนูอายุ 23 รู้สึกชีวิตนี้ทำอะไรก็ล้มเหลว เรียนใกล้จะจบแล้วก็โดนรีไทน์ คุณแม่เศร้าจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หนูคิดมาตลอดว่าหนูอาจจะเป็นสาเหตุ ญาติก็พูดดูถูก เปรียบเทียบหนูกับลูกเขาให้ครอบครัวหนูฟัง ตอนนี้หนูพยายาม เรียนเพิ่ม

หนูอายุ 23 รู้สึกชีวิตนี้ทำอะไรก็ล้มเหลว เรียนใกล้จะจบแล้วก็โดนรีไทน์คุณแม่เศร้าจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หนูคิดมาตลอดว่าหนูอาจจะเป็นสาเหตุญาติก็พูดดูถูก เปรียบเทียบหนูกับลูกเขาให้ครอบครัวหนูฟังตอนนี้หนูพยายาม เรียนเพิ่ม เตรียมสอบทหารตำรวจ แต่ก็กลัวจะล้มเหลวอีก“คุณวี (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [4 ก.ย.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อม’ เกี่ยวกับเรื่องโดนรีไทร์ปีสุดท้ายของมหาลัย เจอคำพูดญาติดูถูกจนเราหมดกำลังใจโดย “คุณวี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เมื่อต้นปีที่ผ่านมาคือวีกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเเห่งหนึ่งอยู่ ในช่วงชั้นปีที่ 4 เทอม 1 ในระหว่างเรียน หนูก็เรียนนักศึกษาวิชาทหารไปด้วยเเล้ว เหลือเวลาอีก 1 เทอมก็จะจบเเล้ว ปรากฎว่าสิ่งที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวในตอนนั้นก็คือวีโดนรีไทร์ก่อน เพราะว่าเกิดจากที่เกณฑ์คะเเนนในเเต่ละปีของเราทำไม่ถึงเขา เลยส่งผลทำให้เราโดนรีไทร์ออกมา มันเหลืออีกเเค่เทอมเดียว เลยเกิดความเสียใจ ตอนนั้นที่ประกาศผล เกรดออกมาก็อยู่กับคุณพ่อคุณเเม่นี่แหละ 3 คน วันที่ประกาศออกมาว่าโดนรีไทร์ ก็เสียใจทั้งบ้านเลยก็กอดกัน คือตอนนั้นมันตันไปหมดเลย มันไม่รู้จะทำยังไง เราอุตส่าห์เตรียมใจไว้เเล้วว่ามันมีโอกาสแหละ คือเราใช้ความพยายามของเรามาตลอด วีเป็นคนที่ไม่ได้เรียนเก่งอะไร เเต่อาศัยความพยายาม การส่งงาน การอ่านหนังสือให้หนักกว่าคนอื่นให้เข้าไว้ เพื่อให้ผ่านไปในเเต่ละเทอม เเต่เหมือนว่าเราพยายามดีที่สุดเเล้วในจุด ๆ นั้น พอเรารู้ว่าประกาศผลออกมามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังเเละมันถึงทางตันไปหมดเลย ทีนี้ปัญหามันเข้ามาในชีวิตเยอะมากในครอบครัวปัญหา Topic แรกที่เกิดขึ้นในครอบครัวคือ คุณแม่กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย จริง ๆ ตอนแรกวีคิดว่าเป็นเรื่องของวีนี่แหละ เเต่พอเราไปถามจากคุณเเม่มา ก็ทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ เขาสะสมมานานเเล้วเเต่อาการยังไม่ออก จนมาถึงวันที่ประกาศผล วีถึงได้รู้ว่ามันเกิดจากที่สะสมมาเเละเงียบมานาน โดนเรื่องวีด้วยมันก็เลยทำให้หนักเข้าไปอีก หลังจากนั้นพอรู้ว่าคุณเเม่เป็นโรคซึมเศร้า ตอนแรก ๆ เราเคว้งกันมาก ไม่รู้จะไปต่อทางไหนดี ได้เเต่พึ่งการสวดมนต์ คุณเเม่ก็จะบอกไว้ว่าสวดมนต์ทุกวันนะ มันจะช่วยทำให้เราเเบบจิตใจเราได้จะดีขึ้น เราจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เราจะได้ลุกขึ้นมาให้ได้เร็วที่สุด เราก็ต้องใช้การสวดมนต์ในการบำบัดทั้งครอบครัวเลยจนทีนี้เราได้มานั่งคุยกันเเล้วต่อจากนี้วีจะทำยังไงต่อไป วีจะยังกลับไปเรียนที่ตรงนั้นอยู่มั้ย คือมหาลัยที่วีเรียนอยู่ มันค่อนข้างที่จะหนักมาก ๆ คือเกณฑ์การให้คะแนนเขาค่อนข้างสูงมาก เราประเมินตัวเองเเล้ว ยังไงกลับไปก็น่าจะไม่ไหวเหมือนเดิม หนูก็เลยตัดสินใจเลือกชีวิตของหนู เส้นทางที่หนูเลือก คือการเป็นตำรวจ หรือ ทหารได้มั้ย? หนูก็เลยตัดสินใจบอกคุณพ่อคุณเเม่ไป คุณพ่อคุณเเม่ก็บอกว่า “โอเค ถ้ามันคือการตัดสินใจของหนู ก็ทำมันให้เต็มที่เลย” ในระหว่างนั้นหนูใช้เวลาประมาณ 2 เดือนกว่า ๆ กว่าจะลุกขึ้นมาให้ตัวเองได้พยายามให้มากขึ้น อ่านหนังสือให้เยอะมากขึ้น เเละก็ไปสอบให้ได้ใบเบิกทางมา อะไรหลาย ๆ ให้เราได้มีโอกาสได้เข้าไปสอบในสิ่งที่เราอยากสอบตอนนี้หนูก็ได้ไปลองข้อสอบในการสอบหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางทหารอากาศ หรือว่าอะไรหลาย ๆ อย่าง เหมือนหนูอยากเข้าไปหาประสบการณ์ให้ตัวเองว่าครั้งนึงสิ่งที่เราเลือกเราจะต้องไปเจออะไรบ้าง ถ้ามันไม่ผ่านจริง ๆ เราก็เเค่กลับมาทบทวนในสิ่งที่เราเจอว่าเราเจออะไร เราจะต้องเพิ่มตรงไหน เราจะต้องแก้ตรงไหน? ตอนนี้หนูก็ลงคอร์สของพี่คนนึงไว้ เป็นคอร์สของการสอบตำรวจโดยเฉพาะ เเละพอพยายามไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จมันก็เกิดขึ้น แต่ว่าความสำเร็จตรงนี้มันก็ยิ่งทำให้อุปสรรคยิ่งเข้ามาถาโถมอีกครอบครัวของวี ฝั่งคุณพ่อจะเป็นทางญาติของย่า เขารู้ว่าหนูล้มเหลวจากการโดนรีไทร์เเล้ว ต่อจากนี้หนูจะทำอะไรต่อ เหมือนเขาไม่ได้สนับสนุนให้หนูเรียนในคณะหรือสิ่งที่หนูอยากเรียนมาตั้งเเต่เเรก คือ เขาอยากให้หนูเรียนปกติ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ออกมาก็ทำงานเหมือนพ่อ เหมือนเเม่ เขาก็เลยไม่ค่อยสนับสนุนในสิ่งที่หนูเรียนมากเท่าไหร่ ตลอดระยะเวลาที่เริ่มเรียนมาตั้งเเต่มัธยมจนถึงมหาลัย เหมือนเราโดนเขาใช้คำพูดที่เราโดนดูถูกมาตลอด เเบบเขาเตือนเรามาหลายครั้งเเล้วว่าอย่าหวังเกินตัว อย่าฝันให้สูงเกินตัวเองทั้ง ๆ ที่ตัวเองทำไม่ได้ เขาไม่ได้บอกทางหนูหรอก เหมือนเขาพูดทางพ่อเเม่เอา เพราะหนูไม่ค่อยได้เจอเขาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นคุณพ่อคุณเเม่ที่ไปเยี่ยมเขา เเล้วก็โดนมาตลอด เเต่ว่าคุณพ่อคุณเเม่ก็ไม่เคยบอกว่าเขาเจอคำพูดไหนมาบ้าง จนถึงปัจจุบันก็ยังโดนอยู่ เหมือนยิ่งโดนคำพูดนี้มากขึ้น คุณเเม่หนูก็ยิ่งเเย่ลงไปเรื่อย ๆ เหมือนโรคซึมเศร้าที่เขาเป็นอยู่มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ ความรู้สึกที่หนูมองเเม่ อยู่ดี ๆ เขาก็ร้องไห้คนเดียวโดยที่แบบไม่มีเหตุผลหนูโทษตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่าเพราะเเบบนี้ใช่มั้ย? หนูถึงทำให้แม่อยู่ในจุดที่มันดิ่งที่สุดในชีวิตในครอบครัวของหนู คือ มันทำให้แม่ของหนูร้องไห้ทุกวันจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะเกิดจากความล้มเหลวของหนูด้วยใช่มั้ย? หนูพยายามเก็บอารมณ์ในการร้องไห้ของหนูมาตลอด เพราะหนูก็ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าหนูจะล้มกับเขาไปอีกคนนึง เเค่เเม่คนเดียวมันก็เสียใจกันทั้งครอบครัวเเล้ว ถ้าเราล้มตามเเม่ไปอีก คนที่เป็นพ่อเขาก็จะไม่สบายใจมากขึ้น หนูก็เลยพยายามเข้มแข็งให้เขาเห็นว่าหนูไม่เป็นไรนะเเม่ หนูจะผ่านมันไปให้ได้ หนูจะพิสูจน์ให้เเม่ได้เห็นเองว่าสิ่งที่หนูทำเลือกจริง ๆ มันถูกต้องเเละมันคือสิ่งที่หนูรักจริง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็พาคุณเเม่ไปหาหมอตลอด ที่เป็นหมอเกี่ยวกับด้านโรคซึมเศร้า คุณเเม่ก็จะกินยาอยู่เเบบนี้ตลอดเพราะว่าอาการมันยังไม่หาย หนูก็เลยอยากให้พี่ ๆ ดีเจช่วยดึงสติ อยากให้พี่ ๆ ช่วยพูดให้กำลังใจให้หนูได้ลุกขึ้นมาพยายามอีกครั้งนึงหน่อย’ซึ่งดีเจทั้งสามคน (ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อม) ก็ได้ให้คำปรึกษาไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘ไม่จำเป็นต้องกลับไปหาคำตอบว่าแม่เป็นเเบบนี้เพราะใคร เราผิดมากแค่ไหน ส่วนตัวพี่มองไม่ได้ทำให้ปัญหาอะไรดีขึ้น มันไม่ได้อยากหาคำตอบจริง ๆ หรอก ลึก ๆ มันคืออาการโทษตัวเองมากกว่า เป็นปกติของคนรู้สึกแบบนี้ อย่างน้อยคนที่รู้สึกผิด คน ๆ นั้นทั้งห่วงทั้งรักเเละเเคร์ คนที่ได้รับผลกระทบนั้นมาก ๆ หนูกำลังใช้อารมณ์กับเรื่องบางเรื่องที่เป็นอดีตอยู่ เเทนที่จะโฟกัสกับปัจจุบันเเล้วพุ่งไปอนาคต แต่ถ้าเมื่อไหร่ไปข้างหน้าได้หมดเเล้วไม่เหลียวมามองเรื่องพวกนี้อีก มันจะทำให้หนูพุ่งไปมากขึ้น เเต่อาจจะต้องใช้เวลาเรื่องคุณแม่ การไปถามเหตุผลกับอดีตที่มาผ่านมาแล้ว กับการมาดูปัจจุบันว่าคุณเเม่เป็นยังไง ที่บอกว่าเห็นคุณเเม่ร้องไห้อะ คิดว่าคงเป็นเพราะโรคมากกว่านะ อยากให้ไปศึกษาเรื่องโรคนี้ดี ๆ ว่าจริง ๆ สารเคมีในสมองคุณเเม่มันควบคุมไม่ได้ การที่คุณเเม่ฟังเรื่องหนูเเล้วเป็นทันที หนูไม่ใช่คนที่ทำให้คุณเเม่เป็นได้ขนาดนั้น เขาผ่านโลกมาเยอะ โรคเเบบนี้มันต้องสะสมมา มันมีมาก่อนแล้ว หนูไม่ใช่คนที่สร้างปัญหา มันเป็นจังหวะนั้นพอดีมากกว่า ไม่ต้องโทษตัวเองขนาดนั้นเรื่องเรียน ถ้าทำเต็มที่จงชมเเละให้กำลังใจตัวเองมาก ๆ เลยวี ให้รางวัลกับตัวเองเยอะ ๆ ว่าชั้นพยายามเต็มที่ทั้งชีวิตเเล้ว ถ้ามันเต็มที่เเล้วคือจบเเค่นั้น ไม่ต้องยึดติดกับผลลัพธ์ ถ้าระหว่างทางจะผิดจะถูกอะไร นั้นคือรางวัลของเราเเละครอบครัววันนี้ต้องตั้งสติมาก ๆ คนรอบตัวต้องเข้มเเข็ง อยากให้วีปรึกษาคุณหมอด้วย ทุกครั้งที่พูดถึงเเม่ เสียงวีก็ไม่ไหวเเล้ว อย่าห่วงเเต่เเม่ห่วงตัวเองด้วย ถ้าเรารู้ตัวเราเองเเล้ว เเข็งเเรงพอ เราเองนี่เเหละจะดูเเลทุกคนได้ ดูเเลเเม่ได้ ถ้ารู้สึกเหนื่อยลองเปิดใจคุยกับคุณพ่อดู ช่วยกัน 2 คน ต้องทำให้คุณพ่อเข้าใจเรื่องนี้ด้วย การที่คุณพ่อพาคุณเเม่ไปเเล้วโดนญาติ ๆ ด่า โดยที่รู้ว่าคุณเเม่เป็นโรคซึมเศร้า คุณพ่อก็ทำไม่ถูก มันต้องช่วยกัน มันเป็นเรื่องครอบครัว’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ไอโฟนของผมจับได้ว่ามีเครื่องติดตาม GPS อยู่ในรถ จนเจอว่าแฟนผมแอบติดไว้จริงๆ อาจจะเพราะที่ผ่านมา ผมเคยเป็นคนเจ้าชู้ แล้วก่อนจะเกิดเรื่อง แฟนเคยโทรถาม ว่าอยู่ไหน? ผมโกหกเขา แต่จริงๆ ผมแค่ไปดื่มไปดริ้งค์ กับน้องที่รู้จักใน IG น้องคนนี้เคยแค่คอลเสียวกันเฉยๆ

08 ส.ค. 2025

ไอโฟนของผมจับได้ว่ามีเครื่องติดตาม GPS อยู่ในรถ จนเจอว่าแฟนผมแอบติดไว้จริงๆ อาจจะเพราะที่ผ่านมา ผมเคยเป็นคนเจ้าชู้ แล้วก่อนจะเกิดเรื่อง แฟนเคยโทรถาม ว่าอยู่ไหน? ผมโกหกเขา แต่จริงๆ ผมแค่ไปดื่มไปดริ้งค์ กับน้องที่รู้จักใน IG น้องคนนี้เคยแค่คอลเสียวกันเฉยๆ

ไอโฟนของผมจับได้ว่ามีเครื่องติดตาม GPS อยู่ในรถ จนเจอว่าแฟนผมแอบติดไว้จริงๆ อาจจะเพราะที่ผ่านมาผมเคยเป็นคนเจ้าชู้ แล้วก่อนจะเกิดเรื่อง แฟนเคยโทรถาม ว่าอยู่ไหน? ผมโกหกเขา แต่จริงๆ ผมแค่ไปดื่มไปดริ้งค์กับน้องที่รู้จักใน IG น้องคนนี้เคยแค่คอลเสียวกันเฉยๆ ผมอยากรู้ว่าผมมีสิทธิ์โกรธไหมที่แฟนมาติดเครื่องติดตามแล้วแฟนมีสิทธิ์ทำแบบนี้ไหมครับ? “คุณเอ (นามสมมติ)” สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [6 ส.ค 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก– ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อม” เกี่ยวกับปัญหาแฟนแอบติดเครื่องติดตามไว้ที่รถของเรา โดย “คุณเอ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้ชาย คบกันมาเกือบ 10 ปี เกริ่นก่อนว่าเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้ว แฟนผมเขาไป Hang Out นั่งชิลล์กับเพื่อนเขาประมาณ 6 โมงเย็นและโดยปกติจะกลับช่วงเที่ยงคืน-ตีหนึ่งและกลุ่มที่เขาไปจะเป็นแก๊งเกย์ผู้ชายด้วยกัน คือผมไม่เคยเจอหรือพูดคุยกับเพื่อนเขาเป็นการส่วนตัว เขาเป็นเพื่อนกันมานานแล้วแต่พึ่งมาเริ่มสนิทกันช่วงหลัง ๆ แล้วเพื่อนเขาฝั่งนู้นถ้าว่าง ๆ ช่วงวันศุกร์จะชอบมาชวนไปนั่งชิลล์ ไป Common ซึ่งผมก็จะไม่ไปเพราะผมไม่ใช่คนชอบดื่มชอบเที่ยวอยู่แล้ว ช่วงแรก ๆ ตัวของผมเองไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นแบบไหนอะไรยังไงเลยให้เขาไป แต่ผมก็มีความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ตรงนี้คือจะเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนั้น พอเขาไป ตัวผมเองก็อยู่บ้าน ตอนนั้นผมรู้สึกดาวน์ ๆ นอยด์ ๆ เพราะมันมีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องที่บ้าน ตอนนั้นผมเลยชวนน้องคนนึงที่รู้จักใน IG ที่เคยคุยกันในลักษณะของการคอลเสียวแต่เวลาทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เปิดหน้าหรือเจอกันมาก่อน จริง ๆ ผมเคยสารภาพเรื่องนี้ไปกับแฟนก่อนหน้านี้แล้วด้วย แต่ว่าวันนั้นผมแค่ชวนน้องออกไปทานข้าวด้วยกันเฉย ๆ ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้ฟัง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน ตอนนั้นคือผมรู้สึกเหงา อยู่บ้านคนเดียวแค่รู้สึกอยากคุยกับใครบางคนเพราะผมมีปัญหาเรื่องที่บ้านแต่แฟนไม่อยู่ และก็ไม่ได้บอกแฟนเรื่องที่มีปัญหากับที่บ้านคือปล่อยเขาไป Hang Out เลย และผมออกจากบ้านประมาณ 6 โมง ถึงประมาณทุ่มนึง ออกจากร้านและกลับบ้านประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ ประเด็นคือว่ามีคนนึง ผมไม่รู้ว่าเป็นใครเจออยู่ร้านอาหาร เหมือนกับว่าเขาเจอผมแล้วไป inbox บอกแฟนผมว่าผมว่ากินข้าวกับคนอื่นที่ร้านอาหารและเขาได้ไปเช็คกล้องในรถเลยเห็นว่าผมไปไหน เวลาอะไรต่าง ๆ ทั้งของผมและของเขามันพอดีกัน ผมไม่ได้ไปทั้งคืน พอกลับมาตอนประมาณเที่ยงคืน-ตีหนึ่ง ผมกลับมานอน เขาไม่ได้กอดผมและหันหลังใส่ ซึ่งอันนี้คือสิ่งที่ผิดปกติ แต่ผมก็ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งวันถัดมาผมรู้สึกว่ามันเป็นการคุยกันแบบถามคำตอบคำ ไม่ปกติผมรู้สึกอึดอัด พอตกเย็นมาผมเลยเรียกเขามาคุยว่า “เป็นอะไร ถามจริง ๆ” หลังจากนั้นเขาก็อธิบายให้ผมฟังว่ามันเป็นลักษณะแบบนี้นะและเขาได้ขอบอกเลิกผมไปในวันนั้นเลย ซึ่งผมก็ดีเฟ้นว่า “เฮ้ย ไปกินข้าวกัน ไม่ได้ไปมีอะไรกัน ทำไมการลงโทษอันนี้มันถึงต้องถึงขั้นเทียบเท่ากับการไปมีอะไรกับคนอื่นเลยหรอ” ผมก็พยายามจะอธิบายไป ซึ่งโชคดีที่เขารับฟังผมและให้อภัย ถัดไปประมาณเกือบอาทิตย์ ผมขับรถตามปกติ แต่เหมือนโทรศัพท์ผมมันขึ้นเจอว่ามีอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นเหมือนเครื่องติดตามขึ้นมาที่หน้าจอเป็นชื่อนี้ ผมเลยไปเสิร์ชหาในเว็บไซต์เลยรู้ว่ามันเป็นเครื่องติดตาม จากนั้นผมเลยไปค้นในรถต่อแบบทุกซอกทุกมุมเป็นของชิ้นเล็ก ๆ นูน ๆ แบน ๆ ความกว้างเหมือนกับเหรียญ 10 สองเหรียญ ผมเจออยู่หลังเบาะคนนั่งข้าง ๆ ที่มันจะเป็นที่ใส่เอกสารอยู่ด้านหลังเบาะ ผมจึงรู้ว่าผมถูกติดตามอยู่ ผ่านไปผมเลยเริ่มรู้สึกนอยด์ ๆ เพราะแบบเหมือนเราโดนสะกดรอยตามตลอดเลย ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นแฟนทำเพราะมันไม่มีใครแล้ว มันรู้สึกนอยด์ เหมือนเวลาเขาถามว่าอยู่ไหน ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเขารู้อยู่แล้วจะแกล้งถามอีกทำไม แต่ผมไม่ได้พูดไป จากนั้นผมเริ่มทนไม่ไหว รู้สึกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผมคุยกับเขาเหมือนมันมีเส้นบาง ๆ อะไรที่กั้นไม่ให้ผมรู้สึกคุยได้เต็มที่เพราะผมรู้ว่าเขาเหมือนมาจับผิดผม โดยการเอาสิ่งนี้มาตามผม ผมก็รู้สึกอึดอัดไม่ชอบ เลยเปิดใจคุยไปเลยว่า “มันเป็นข้อดีใช่ไหมที่จะต้องรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน โดยที่เดี๋ยวใช้เครื่องนี้ตรวจสอบก็ได้ จะได้ไม่ต้องโทรหากันบ่อยขึ้นใช่ไหม” จากนั้นเขาจึงตอบกลับมาว่า “โอเค งั้นเอาออกไปเลยก็ได้” แต่ว่าจริง ๆ ตอนนี้ผมยังไม่ได้เอาออก ซึ่งคำถามของผมคือว่า ถ้าเอาเอาออกตามที่เขาบอก เขาจะมีความระแวง ความไม่ไว้ใจว่าผมไปไหน ไปจริงหรือเปล่า ยังจะอยู่กับเขาอยู่หรือเปล่าหรือถ้าผมไม่เอาออกเพราะอยากจะให้แฟนรู้สึกสบายใจ แต่เป็นตัวผมเองที่ต้องรู้สึกอึดอัด บางครั้งก็รู้สึกว่ามีคนมารู้ความเคลื่อนไหว มาเช็คสเตตัสของเราตลอดเวลา แต่ว่าด้วยงานของผมมันต้องไปประชุม ใช้รถไปหาลูกค้าบ่อย ๆ บางทีอาจจะแวะนู้นนี่นั่นหลายที่ บางทีผมเกิดตอบไม่ตรงไม่ครบกับที่เครื่องติดตามมันระบุตำแหน่งเอาไว้ มันจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอีกไหม?’ โดย “ดีเจอ้อม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ไม่ว่าจะเอาเครื่องติดตามออกหรือเอาไว้เหมือนเดิม เขาก็ยังคงระแวงอยู่เหมือนเดิมเท่ากันเพราะเขามีความลังเลอยู่แล้ว ไม่งั้นเขาคงออกไปตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องของความไว้ใจ ถ้าเขาสบายใจเดี๋ยวเขาก็เอาออก มันอยู่ที่พฤติกรรมของคุณมากกว่า ปัญหาอยู่ที่คุณเอว่า คุณจะทำให้เขาไว้ใจได้อีกหรือเปล่า ซึ่งมันต้องใช้เวลาและสร้างมัน มันเป็น consequence ที่คุณต้องจัดการกับมัน’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่อยากให้เอเคลียร์ก่อนว่าสิ่งที่เอทำมันเป็นสิ่งที่ผิดในแง่ของคู่รัก สำหรับพี่การที่เอไปเจอกับน้องคนนั้นพี่มองว่ามันผิดนะเพราะมันไม่ใช่การไปเจอคนปกติแต่ไปเจอเพราะเอเคยวิดีโอคอลเสียวกับเขา ผิดขนาดที่ว่าเขาสามารถเลิกกับเอได้เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเอยังเอาคน ๆ นี้มาเจอกันนอกรอบ ลับหลังเขาอีก อันนี้ผิดแบบผิดมาก ๆ มันคือการนอกใจสำหรับพี่ แฟนทุกคนต้องรู้สึกแล้วเราเป็นแฟนกันมา 10 ปี คิดง่าย ๆ เขาไปกับเพื่อนเกย์เขา เอยังหึงและโกรธเขา นี่เอยังไปกับคนที่ตัวเองเคยคอลแบบนั้นแล้วแฟนดันมารู้เพราะคนอื่นบอกอีก ซึ่งการที่เขางอนและติดเครื่องดักฟังไว้นี่ถือว่าเป็นบุญมาก น้อยกว่าเหตุด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นเอต้องรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ แล้วเพราะพี่รู้สึกว่าเราทำขนาดนี้ แฟนเอาแค่นี้ แต่จริง ๆ แล้วเขามีสิทธิ์ทำกับเอได้มากกว่านี้อีกแต่เขาไม่ทำ ฉะนั้นเอจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากเรื่องนี้ได้อย่างไรกับการที่มีเครื่องติดตามที่รถตัวเอง ถ้าเป็นคนทั่วไปที่เขารู้ว่าตัวเองทำผิดและตอนนี้เขากลับใจแล้ว พี่ว่ามันไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย มันไม่ใช่ประเด็นที่เอจะต้องกลัวว่าจะตอบไม่ตรง ประเด็นคือเอต้องเลิกทำนิสัยแบบนั้นให้ได้ก่อนเพราะตอนนี้เขาไม่มีทางไว้ใจเอ สำหรับพี่ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น จงก้มหน้ายอมรับกรรมนี้ไป อีกอย่างที่พี่จะพูดคือเอต้องทนให้ไหวและต้องถามตัวเองว่ารักคน ๆ นี้ขนาดไหน ถ้ารักเขาแล้วอยากมีเขาอยู่ในชีวิตต่อ เขาจะทำอะไรเอต้องทนให้ไหวเพื่อที่จะได้ไปต่อ ทำให้เขาเชื่อใจเอได้จริง ๆ ว่าจะไม่ออกไปเจอกับใครอีก แต่ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเขาซื่อสัตย์แล้วต้องมาเจอคนแบบนี้ พี่ว่ามันไม่แฟร์กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับน้องอีกอยู่ดีนะ’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มว่า ‘เห็นด้วยกับดีเจเติ้ลทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจสาเหตุที่จะตอบไม่ตรงคือถ้าคนเราไม่ได้มีอะไรปิดบังคนรัก มันไม่มีโอกาสที่จะตอบไม่ตรง นอกจากวันนึงคุณจะไปประมาณ 75 ที่ ผมไม่เข้าใจเรื่องตอบไม่ตรงจริง ๆ สมองคนเราจะมีวิธีการบอกเจ้าของร่างว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ไม่เหมือนกัน จริง ๆ คุณเอไม่ได้ผิด ไม่ใช่คนที่จิตใจไม่ดี แต่สมองของคุณเอคำว่าผิดกับถูกมันเป็นอีกแบบนึงที่ไม่ตรงกันกับคนอื่น ๆ รวมถึงแฟนคุณเอด้วย หนึ่ง การที่เราไม่ได้ตกลงว่ามันคือ Open Relationship ผมว่าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะไปคุยกับคนอื่นด้วยเหตุผลอะไร ผิดหมด มันจะมีสาเหตุอะไรที่เราต้องไปคุยกับคนอื่น ในขณะที่เรามีแฟนอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปคุย นอกจากเป็นเพื่อนของเรา เราไม่ต้องไปหาใครก็แล้วแต่ใน IG คุย ไม่ว่าจะคุยธรรมดา คุยแบบเต๊าะหรือจะคุยเสียว ผมว่าผิดเท่ากันครับ จะโกหกเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มันคือการโกหกเหมือนกัน ขนาดเรื่องเล็ก ๆ ยังโกหกกัน เรื่องใหญ่ ๆ คุณจะบอกกันหรอ มันผิดทั้งหมดเลย ค่อย ๆ ทำความเข้าใจว่าคนอื่นเขาคิดยังไง สำหรับผมแล้วถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น วันดีคืนดีผมไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมว่าเหตุการณ์นี้มันจะส่งผลต่อคนที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันคนละแบบ ถ้าคนที่มีชีวิตที่ซื่อสัตย์ต่อคนรักเป็นอย่างมาก บริสุทธ์จริง ๆ ไม่ไปไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราค้นพบว่าเจอเครื่องดักฟังอยู่บนรถเรา สิ่งที่ต้องนอยด์ที่สุดในชีวิตคือเราทำอะไรผิด ถึงทำให้แฟนไม่ไว้ใจวะ คนที่นอยด์สุดไม่ควรเป็นคนที่เอามาติดไว้ แต่เป็นตัวเอง แต่ถ้าเรื่องสนี้มันเกิดขึ้นกับคนที่มันมีมูลความผิดจริง ๆ จะรู้สึกทันทีว่ามาตามมองฉันทำไม มันอึดอัด คนเรามีเงื่อนไขในการมองคนรักหรือคู่ชีวิตต่างกัน คุณอาจจะมองว่าไม่เห็นผิดอะไรแต่กับคู่ที่เขาซื่อสัตย์จต่อกัน มันแค่ทักไปก็ผิดแล้ว ฉะนั้นผมเข้าข้างแฟนคุณเอเต็มที่และจะขอร้องไม่ให้เอาออกด้วยคือสมมติถ้าผมเป็นคุณเอแล้วพลาดไปครั้งนึงแล้ว แล้วผมคิดว่าผมจะอยู่กับคน ๆ นี้ต่อ ได้โปรดทิ้งเครื่องนี้เอาไว้เพราะมันเป็นสิ่งเดียวแล้วที่จะพิสูจน์ตัวของคุณเอได้ ในเมื่อตัวและคำพูดของคุณเอเองมันไม่สามารถยืนยันความบริสุทธ์ของตัวเองได้ ก็ให้เทคโนโลยีมันช่วยยืนยันแทน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1