หนูคิดมาก หรือ สังคมเพื่อนแฟนที่แปลกกันแน่? แฟนหนูคบหนูอยู่แล้ว เพื่อนเขาก็รู้ แต่จะมีเพื่อนแฟนที่เป็นผู้ชาย 2 คน ชอบชงผู้หญิงคนอื่นๆให้แฟนเราตลอด เราไม่ชอบเลย ถ้าเจอเพื่อนแฟนประเภทนี้ จัดการยังไงกันคะ?

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูคิดมาก หรือ สังคมเพื่อนแฟนที่แปลกกันแน่? แฟนหนูคบหนูอยู่แล้ว เพื่อนเขาก็รู้ แต่จะมีเพื่อนแฟนที่เป็นผู้ชาย 2 คน ชอบชงผู้หญิงคนอื่นๆให้แฟนเราตลอด เราไม่ชอบเลย ถ้าเจอเพื่อนแฟนประเภทนี้ จัดการยังไงกันคะ?

14 ก.พ. 2025

          “คุณหนู (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [12 ก.พ. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาเป็นตัวหนูที่แปลกหรือสังคมแฟนหนูที่ไม่ดี

            โดย “คุณหนู (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘หนูกับแฟนคบกันมาเข้าปีที่ 5 แต่อยู่คนละจังหวัดกัน แฟนหนูอายุ 23 ปี เมื่อปีที่แล้วเป็นช่วงที่หนูกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย และแฟนก็เริ่มไปทำงานเสริมเพื่อหารายได้ ทำให้เริ่มคุยกันน้อยลง ช่วงนั้นเริ่มมีผู้หญิงอื่นเข้ามาจีบแฟน แล้วตัวเพื่อนแฟนก็ชอบชงให้ ทั้งที่รู้ว่าแฟนคบกับหนูอยู่ เวลามีผู้หญิงอื่นเข้ามาก็จะช่วยชง แล้วผู้หญิงที่เข้ามาก็รู้จักกับเพื่อนแฟนด้วย เขามาขอให้เพื่อนแฟนช่วยนัดแฟนเราออกมากินเหล้า อ้างว่าเป็นงานของมหาลัย เป็นแบบนักศึกษามารวมตัวกัน แฟนเราก็เข้าใจแบบนั้น แต่พอไปถึงจริง ๆ สรุปคือได้ไปกินห้องผู้หญิงคนนั้น แล้วเพื่อนก็ชงให้ทำความรู้จักกัน และเวลาเจอหรือเดินผ่านที่มหาลัย เพื่อนคนนี้ก็จะชอบแซว แต่พอผ่านไปสักพักแฟนหนูเริ่มชัดเจนขึ้นว่าไม่สนใจ ผู้หญิงก็ห่างออกไปเอง

            ผ่านมาได้สักพักก็มีผู้หญิงเข้ามาอีก ผู้หญิงคนนี้เป็นรุ่นพี่ของเอ (นามสมมติ) เอคนนี้เป็นเหมือนหัวหน้านักศึกษา ซึ่งเอเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนี้ และก็รู้จักกับแฟนหนู แล้วก็รู้จักกับเพื่อนของแฟนหนูด้วย พอเอรู้ว่าเพื่อนของเขาสนใจแฟนหนู เอเลยพยายามติดต่อชวนให้แฟนของหนูมาเที่ยว มาเจอทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าแฟนมีหนูอยู่แล้ว และแฟนหนูก็ไม่รู้จริง ๆ ว่ามีผู้หญิงอยากจีบตัวเอง ก็เลยไปตามที่เขาชวน หลังจากกินเหล้ากัน ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนอยากทำความรู้จัก พยายามที่จะเข้าหา เขาก็ถามแฟนหนูว่ามีแฟนไหม? ซึ่งแฟนหนูก็ตอบไปว่ามีแฟนแล้ว แต่เหมือนผู้หญิงคนนี้ก็ยังจะเอา ยังจะคุย พอผ่านไปสามวัน แฟนหนูก็บอกว่าขอไม่ยุ่งแล้วได้ไหม ไม่อยากทำให้ใครไม่สบายใจ

            พอจบกันไป ผู้หญิงคนนี้ก็เอาแฟนหนูเข้าไปใน Close friend ของ IG และโพสต์เศร้า ๆ ว่าอยากให้กลับมาคุยกัน แฟนหนูก็ไม่ได้สนใจ เรื่องก็จบไป แล้วเขาก็มาเล่าให้หนูฟังทีหลัง หนูก็รู้สึกไม่โอเคก็เลยทักไปหาเพื่อนแฟนว่า ‘ทำไมถึงไม่ให้เกียรติกันเลย ไม่มีใครเขาโอเคหรอกที่ทำแบบนี้’ เขาก็ตอบกลับมาว่า ‘ไร้สาระ ปัญญาอ่อน’ หนูก็แบบโอเค งั้นก็จบ ไม่คุย หลังจากนั้นก็มีการทักไปคุยกับฝั่งผู้หญิงด้วยว่า ‘ทำไมถึงทำแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขามีแฟนนะ’ ทางผู้หญิงก็อธิบายและขอโทษว่าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ และถามกลับมาว่าแล้วหนูไปรู้ได้ไงทั้ง ๆ ที่ลบแชทไปหมดแล้ว เพื่อนแฟนไปบอกเหรอ หนูก็บอกไปว่าขอโทษนะ บอกไม่ได้จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่พอใจเลยด่าหนูกลับมา หนูก็นอยตัวเองไปเลย หรือว่าเป็นตัวหนูที่แปลก เพราะเพื่อน ๆ แฟนทุกคนว่าหนูกันหมดเลยว่า หนูไร้สาระ ทำไมไม่ไปจัดการตัวเอง หลังจากนั้นเพื่อนแฟนก็ยังโทรมาชวนไปกินเหล้าอีก ทางแฟนก็ปัดไปว่าไม่อยากทำให้แฟนไม่สบายใจ เพื่อนก็พิมพ์กลับมาว่า ‘ถ้ามีแฟนแล้วชีวิตมึงแย่ ไม่ต้องมีก็ได้นะ’ หนูเลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ดีเจว่า เป็นตัวหนูที่แปลกหรือสังคมของแฟนหนูแปลกกันแน่?

            โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามว่าหนูผิดปกติไหม พี่ว่าไม่ มันก็ควรจะรู้สึกอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบว่าหนูผิดปกติหรือสังคมเขาที่ผิดปกติ พี่ว่าทุกอย่างมันปกติหมดเลย แต่ตัวแปรสำคัญคือแฟนหนูมากกว่า ในมุมมองพี่ การที่เราจะมีเพื่อนแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ ส่วนการที่หนูรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นเรื่องที่ปกติ แต่พี่ว่าแฟนหนูควรทำอะไรมากกว่านี้ แต่ที่รู้สึกไม่ปกติคือแฟนหนูมากกว่า หลงกลออกไปหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง หนูก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะมันเป็นการเล่าผ่านปากของเขาเท่านั้น ถ้าเพื่อนเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ไม่โอเค พี่ว่าพี่ก็จะยอมแฟนก่อนนะ พี่ไม่ได้จะแต่งงานกับเพื่อนในความหมายของพี่ เพราะฉะนั้นพี่รู้สึกว่าแฟนหนูต้องทำอะไรสักอย่างให้หนูรู้สึกสบายใจมากกว่านี้’

            ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ยืนยันว่าฝั่งของหนูปกติ ใครก็ต้องรู้สึกแบบนี้ เมื่อรู้ว่าเพื่อนแฟนทำแบบนี้ ส่วนฝั่งเพื่อนแฟน พี่ว่าเขาทำเรื่องไม่ปกติจนเป็นเรื่องปกติ พี่ว่าหนูไม่ต้องไปจัดการอะไร แต่ต้องเป็นแฟนหนูที่เป็นคนจัดการหรือทำอะไรบางอย่าง แต่ก็เข้าใจว่าหนูอายุ 19 หนูก็ค่อนข้างเด็กอยู่ แต่พี่ไม่อยากให้หนูโทรหาเพื่อนเขาหรือส่งข้อความไปเคลียร์ เพราะว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ เรื่องนี้มันอยู่ที่คนของเราก็คือแฟนของหนู ถ้าพี่เป็นหนู พี่คงถามแฟนว่าทำไมยังคบเพื่อนแบบนี้อยู่

            และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คนเรามีสิทธิ์ในการหวงแฟน แต่พี่ว่าวิธีการของหนูต่างหากที่พี่รู้สึกว่ามันไม่ปกติ เป็นพี่จะขอบคุณเพื่อนสองคนนั้น เพราะมันจะเป็นโจทย์ให้พี่รู้ว่าแฟนของพี่เป็นคนยังไง อาจจะด้วยวัยของน้องที่รู้สึกว่าถ้าเลือกฉัน เธอต้องไม่เลือกเพื่อนสิ แต่พี่จะรู้สึกว่าหนูเสียเวลาจะตายที่ต้องไปแชทหาเพื่อนเขา ไปแชทหาผู้หญิงคนนั้น ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อนของเราเป็นโจทย์ เราจะเห็นทันทีว่าแฟนของเราเป็นคนที่หนักแน่นขนาดไหน ไม่ใช่คนนั้นลากไปทีก็ไป คนนี้ลากไปทีก็ไป เขาจะต้องดูแลหัวใจของแฟนก่อน ถึงจะมีกี่คนมาชงมันจะไม่มีทางมาสั่นคลอนหัวใจเขาได้ แต่ตอนนี้เราเองรู้สึกว่าเดี๋ยวเพื่อนชวนก็จะไปตามเพื่อนอีก ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ แฟนหนูจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย การที่หนูทำแบบนี้อาจไปปิดโอกาส ที่จะทำให้เห็นอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง หลายครั้งที่เกิดอะไรขึ้นกับคนกลาง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปคุยกับคนอื่น ถ้าคนสองคนจับมือกันแน่นพอ หนูไม่ต้องกลัวมือที่สาม เพราะฉะนั้นตอนนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครลากไป แล้วเขาไปตลอด อันนั้นพี่รู้สึกว่าคนกลางหนูต้องดูดี ๆ ว่าเขารักหนูมากพอหรือเปล่า ถ้าเกิดคนคนหนึ่งรักเรา เขาจะเลือกเรา แม้ว่าจะเจอคนอื่น ๆ อีกมากมาย’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

24 ม.ค. 2025

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

“คุณสอง (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาอยากขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีปัญหาเรื่องเงินและหน้าที่การงาน โดย “คุณสอง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘อยากจะขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีเรื่องของการเงินและหน้าที่การงานเข้ามา เรา 2 คนเคยคุยกันไปแล้ว แต่พอคุยกันบ่อย ๆ มันเหมือนกับว่าเขาอยากจะรีบแต่งงาน เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก เราก็เข้าใจในมุมเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ต่อให้เขาเข้าใจเราและยอมรับจริง ๆ เรา 2 คนคบกันมาปีนี้กำลังจะเข้าปีที่ 10 แล้ว แพลนแต่งงานของเราคือช่วงปลายปี 69 สิ่งที่ผมกลัวคือผมกลัวเก็บเงินไม่ทัน เราไม่อยากจัดงานแบบลวก ๆ อยากทำให้มันออกมาดีเพราะมันคือครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ สเกลมันก็ไม่ใหญ่มากประมาณ 100 – 200 คน แต่มันก็มีเรื่อง ไหนจะค่าสินสอด ค่าสถานที่ ไหนจะถ้าแต่งงานไปแล้วต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันอาจจะต้องย้ายไปอยู่ไกลกว่าที่ทำงาน หรืออาจจะทำให้เราทำงานเสริมไม่ได้ ผมค่อนข้างที่จะกังวลเรื่องเงินมาก ๆ ผมเป็นคนที่ต้องทำงานและเรียนไปด้วยตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะครอบครัวก็ไม่ได้มีฐานะเท่าไหร่ ไหนจะมีน้อง มีแม่ที่ต้องดูแลด้วย มันเลยทำให้ระหว่างทางผมมีเฉลี่ยเงินออกไปบ้าง ทำให้การเก็บเงินมันยังมีไม่มากพอ จริง ๆ แฟนผมก็รู้สถานะทางการเงินทั้งหมด เพราะเราคุยกันเรื่องสเกลงานแต่งทุกอย่างเบื้องต้นแล้ว เราคุยกันว่าช่วยกันออก ผมโอเค ไม่ได้ติดปัญหาอะไร สเกลก็ยังอยู่ในสโคปที่เข้าใจตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้ามันมีเวลามากกว่านี้ มันอาจจะทำให้มันดีได้มากกว่า ไหนจะค่าสินสอด แต่จริง ๆ พ่อแม่เขาก็ไม่ได้เรียกค่าสินสอดอะไร พ่อแม่เขาดีกับผม น่ารักกับผมมาก ผมเองที่รู้สึกว่าเราเป็นผู้ชาย เราควรให้เกียรติเขา ซึ่งสำหรับผมมันรู้สึกว่ามีเยอะได้มากกว่านี้ เราไม่อยากเป็นใครที่ดูแลคนอื่นไม่ได้ ทุกวันนี้ที่เราคุยกันก็ยังมีทะเลาะกันอยู่บ้างเป็นระยะ ๆ คือเขาก็เหมือนจะเข้าใจ แต่บางทีก็จะพูดประมาณว่า ทำไม จะต้องเลื่อนอะไรอีก คบกันมานานแล้ว ซึ่งผมก็เข้าใจนะคบกันมา 10 ปีมันก็อาจจะถึงเวลาแล้วแหละ ผมเลยอยากจะปรึกษาพี่ๆดีเจว่า มีวิธีพูดยังไงให้เขาอ่อนลงหรือทางไหนที่มันจะเป็นทางที่ดีที่สุด’ เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ อยาก reset สิ่งที่สองกังวลใหม่หมดเลย คือ ณ ตอนนี้เท่าที่เคยผ่านมาแล้ว เรารู้สึกว่ายิ่งเป็นครอบครัวรักกันทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปลงกับงานแต่งมากมายอะไรเลย จริง ๆ แล้วหัวใจของการแต่งงานคือ จัดเพื่อให้กับคุณพ่อคุณแม่ให้กับพ่อแม่ของบ่าวสาวได้มีความสุขกับวันนั้น เป็นวันที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเหนื่อยมากแล้วก็ เราจัดเพื่อให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่กับผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งเท่าที่ฟังสองมาพ่อแม่ฝั่งเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย สิ่งที่สองกังวลตอนเนี้ยเหมือนกับว่าครอบครัวเอย ทั้งบ่าวสาวเอย ตอนนี้มีสองกังวลอยู่คนเดียว พี่เลยไม่แน่ใจว่าเรากลัวมากกว่าที่มันจะเป็นหรือเปล่า ทุกวันนี้งานแต่งงานรูปแบบการจัดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก คนรุ่นใหม่ที่กำลังมีแพลนที่จะแต่งงานเนี่ย มัน Compact ขึ้นเยอะมาก มันเล็กลง จำนวนแขกน้อยลง ใช้สถานที่ที่ฟุ่มเฟือยน้อยลง ทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกันทั้งบ่าวทั้งสาวแล้ว ส่วนมากเราประหยัดการจัดงานแต่งงานที่มันจะต้องใหญ่โตแล้วก็สุดท้ายเสียเงินไปโดยใช่เหตุเราเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า หรือแม้กระทั่งสินสอดที่จะมาวางไว้ที่ข้างหน้างานทุกวันนี้มันก็เป็นแค่ พร็อพ นึงด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเงินตรงนั้นเขาก็ให้มาเป็นขวัญถุงตั้งตัวของบ่าวสาว ประเภทที่ว่าลูกสาวฉันต้องได้เงินเท่านี้เธอถึงจะเอาลูกสาวฉันไปยุคนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าไม่พร้อมของสองเท่าที่ฟังดูมันเลยเป็นความไม่พร้อมทางจิใจหรือเปล่า พี่ไม่ได้รู้สึกว่าสองจะต้องการเงินมากมายสำหรับการจัดงาน ซึ่งปลายปี 69 ก็จะมีเวลาอีก 2 ปีเต็ม ๆ การที่ 2 ปีเต็ม ๆ เราวางสเกลงานแต่งไว้ ขนาดกะทัดรัด แขกอาจจะหลัก 10 ที่มีแต่ญาติสนิทก็พอ เพื่อนเดี๋ยวไปปาร์ตี้กันทีหลัง มันสามารถจัดได้เลยโดยที่ไม่ต้องอาศัยความพร้อมมากมาย พี่เลยรู้สึกว่าคำว่าไม่พร้อมไม่พร้อมตรงไหนทางเป็นเรื่องของเงินมันจัดการได้มากมายแต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจลองนอนคุยกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะเอาวันที่พร้อมแต่ก็ไม่รู้ว่าวันที่พร้อมมันจะมีอยู่จริงไหม พร้อมไม่พร้อมหรือเราแค่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกเยอะ 2 ปี คนเราเติบโตอีกตั้งเยอะมีเวลาครับ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ที่สองบอกไม่พร้อมเท่าที่ฟังนะพี่เห็นไปใกล้เคียงกับพี่เผือกว่าเหมือนสองไม่พร้อมในสิ่งที่ฝั่งน้องผู้หญิงแฟนสองกับครอบครัวก็ไม่ได้ต้องการ กลายเป็นว่าเหมือนสองแค่ว่าจะไม่เห็นตัวเองเป็นไปตามแพลนที่มันวางไว้ แต่บางทีการไม่ได้ตามแพลนแต่มันได้อะไรมาซึ่งความสุขให้อีกแบบนึงพี่ว่ามันก็น่าลองเหมือนกันในมุมพี่นะ คือตอนนี้พี่พยายามแทนตัวเองเป็นแฟนสอง พี่ว่าคบกันมา 10 ปีแล้วถ้าเขาเคยบ่นแล้วว่าทำไมมันไม่ได้แต่งสักที พี่ว่าในมุมผู้หญิงที่เล่ามานะ มันอาจจะแค่ว่า มึงแต่งกับกูสักทีเถอะให้มันจบ ๆ ให้มันรู้ว่าเราคือสามีภรรยาถูกต้องมากฎหมายเฉย ๆ อาจจะไม่ได้ต้องการแขก 200 คนก็ได้ อาจจะแค่ครอบครัว 2 ครอบครัวกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องสินสอดมาวางประกาศบอกใครก็ได้ว่าเท่าไหร่ เขาแค่อยากให้มันมีงานแต่งงานเกิดขึ้น ลองคุยแล้วลดสเกลแบบแพลนที่เราว่าไว้แต่บนพื้นฐานที่ว่ามันแต่งงานได้แล้วมันก็ยังเป็นสามีภรรยากัน พี่ลองคุยกับเขาก่อนถ้าเขาแบบไม่ได้ฉันต้องมีงานใหญ่ ฉันต้องมีสินสอดอย่างงั้นพี่ว่ามันจะเป็นปัญหา แต่ว่าถ้าคุยกับเขาแล้วมันโอเคมันไม่มีปัญหาเลย บ้าน 2 บ้านกินข้าวกันมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้กันแหวนเล็ก ๆ พี่ว่า 2 อาจจะไม่ต้องเครียดขนาดนี้ก็ได้’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คืองานแต่งงานเป็นแค่อีเว้นท์ ชีวิตหลังแต่งงานสำคัญกว่านั้นมากเลย และวันนี้น้องเจอครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ ครอบครัวที่เห็นน้องมาโดยตลอดว่า น้องมีความใส่ใจซื่อสัตย์ อันนั้นก็เป็นสินสอดที่ราคาสูงมากกับการที่ผู้หญิงคนนึงอยู่ในความสัมพันธ์แบบแฟนมาตั้งเป็น 10 ปี แล้วพอเขาจะขอแค่อีกนิดเดียวเพื่อจะบอกกับทุกคนว่า ตกลงที่เห็น ๆ กันอยู่เนี่ยไม่ใช่แฟนแล้ว สามีภรรยาแล้วนะ จริง ๆ เขาก็ต้องการแค่นั้นเอง เราจะต้องไปเปรียบเทียบอะไรกับบ้านเขาพี่กลัวเหลือเกินว่า เดี๋ยวรอผมสร้างบ้านก่อนน้องไม่แคร์เหรอว่า แล้วคนในบ้านล่ะถ้าเกิดวันนึงมีแต่บ้านแล้วคนในบ้านไม่อยู่ด้วยแล้ว หนูโอเคจริงไหม น้องอย่าลืมวันนี้ความเปลี่ยนแปลงสอนเราทุกวัน วันนี้ก้าวเท้าออกนอกบ้านเราไม่รู้เลยว่า จะได้กลับเข้าบ้านกันหรือเปล่ามันมีอะไรต่าง ๆ มากมายเยอะแยะ มันไม่มีทางหรอกที่มันจะไปตามแพลนของน้องโดยตลอด แล้วถ้าน้องจะเอาตามแพลนของตัวเองคนเดียว พี่กลับรู้สึกว่าไม่ได้ ในเมื่อจะมีใครสักคนเป็นคู่ชีวิตจะเอาแต่ใจตัวเองคนเดียวได้ยังไง เป็นพี่เป็นฝ่ายหญิงก็คงจะงง เชื่อไหมว่าคนอื่นคงถามว่าทำไมยังไม่แต่ง คือถ้าจะรอสร้างบ้านก่อนพี่ว่าบ้านไม่สำคัญเท่าคนในบ้าน พี่นับถือหัวใจน้องตั้งใจว่าน้องจะเป็นผู้ชายคนนึงที่ดูแลผู้หญิงคนนึงได้แต่นอกเหนือจากทุนทรัพย์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณสมบัติของการเป็นคนรักกัน ใส่ใจความรู้สึกเขาและอยากให้มีวันของเราหรือแม้แต่การกังวลอนาคตจนไม่มีความสุขในปัจจุบัน ถ้าชีวิตพี่อ้อยจะสามารถเป็นวิธีคิดได้พี่อ้อยกับสามีอยู่กันเป็นรักทางไกลมาในวันแรกที่แต่งงานกัน สามีบอกว่าแต่งงานได้ 2 ปีต้องมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ ปัจจุบันแต่งไป 17 ปีแล้วยังเป็นกรุงเทพ แม่สอดอยู่เลย แต่ในที่สุดแล้วใน 17 ปีนั้น เราจะค่อย ๆ ขยับมันเองได้และก็อยู่กันแบบนี้แบบที่เรายังดูแลกันได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้ารักกันมากพอ ชีวิตหลังแต่งงานยังสำคัญมากกว่าการแต่งงานเยอะมาก’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมไปล้ำเส้นกับคนที่มีแฟนแล้ว! ตอนนี้เราสองคนรักกันมาก แต่เขามีผู้ชายอีกคนเป็นชาวต่างชาติ เวลาแฟนเขามา ผมก็จะอยู่เงียบๆไม่ไปวุ่นวาย ผมรู้สึกว่าน้องควรจะเจอความรักดีๆ ผมแพ้ผู้ชายคนนั้นแค่เรื่องของฐานะ ผมเลยคิดว่าจะขอเวลาพัฒนาตัวเองสัก 3 ปี

02 พ.ค. 2025

ผมไปล้ำเส้นกับคนที่มีแฟนแล้ว! ตอนนี้เราสองคนรักกันมาก แต่เขามีผู้ชายอีกคนเป็นชาวต่างชาติ เวลาแฟนเขามา ผมก็จะอยู่เงียบๆไม่ไปวุ่นวาย ผมรู้สึกว่าน้องควรจะเจอความรักดีๆ ผมแพ้ผู้ชายคนนั้นแค่เรื่องของฐานะ ผมเลยคิดว่าจะขอเวลาพัฒนาตัวเองสัก 3 ปี

ผมไปล้ำเส้นกับคนที่มีแฟนแล้ว! ตอนนี้เราสองคนรักกันมาก แต่เขามีผู้ชายอีกคนเป็นชาวต่างชาติเวลาแฟนเขามา ผมก็จะอยู่เงียบๆไม่ไปวุ่นวาย ผมรู้สึกว่าน้องควรจะเจอความรักดีๆผมแพ้ผู้ชายคนนั้นแค่เรื่องของฐานะ ผมเลยคิดว่าจะขอเวลาพัฒนาตัวเองสัก 3 ปี พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมดูแลเขาได้ “คุณกอล์ฟ (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [30 เมษายน 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจพี่อ้อย” เกี่ยวกับปัญหาการไปตกหลุมรักคนที่มีเเฟนเเล้ว โดย “คุณกอล์ฟ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เราบังเอิญได้ไปมีความสัมพันธ์กับคนที่เเฟนอยู่เเล้ว ทั้งเรา ทั้งเขาก็เป็นคนที่ใช่สำหรับกันเเละกัน เเต่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถจะเลิกกับเเฟนได้ เพราะว่าเเฟนของเขาเป็นที่สามารถจะซัพพอร์ตได้ทั้งเงิน เเละหน้าที่การงานก็ดี เเต่ในตอนนี้เขาก็อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนรัก มากกว่าเเฟน ตัวของผู้ชายก็มีข้อบกพร่องหลายๆเรื่องเหมือนกัน เช่นเรื่องการนอกกาย นอกใจ น้องผู้หญิงที่ผมชอบเขาคบกับเเฟนมาประมาณปีครึ่งแล้ว เเต่กับความสัมพันธ์ของผม มันพึ่งเริ่มได้เเค่ครึ่งเดือน ผมก็เป็นพนักงานอยู่ที่ห้างเเห่งนึง เเต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้ย้ายมาทำงานอีกสาขานึง ในตอนเเรกที่เจอ ผมไม่ได้ชอบตัวของน้องเขา เเต่ชอบเพื่อนของเขาก่อน ตอนเเรกเพื่อนของน้องเขาอยู่ในความพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดี น้องที่ผมชอบผมขอเเทนด้วยชื่อ บี (นามสมมติ) บีก็ได้เป็นสะพานให้กับผม โดยเอาไลน์ของเพื่อนมาให้ จนผมก็ไม่ได้จีบเพื่อนบีต่อ เพราะเขายังไม่ได้เลิกกับเเฟน หลังจากนั้นผมก็ได้มีการไปเที่ยวกับน้องบี ไปดื่มกัน จนเกิดความรู้สึกเเปลกๆ เพราะเราทั้งคู่สนิทกันไวมาก อาจจะเป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาเรามีอะไรคล้ายกันอยู่เยอะ ตอนเเรกผมก็ทราบว่าน้องเขามีเเฟนอยู่ ผมก็พยายามที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ความรู้สึกเกินเลยไปมากกว่านี้ เเต่ก็มีอีกครั้งนึงที่ต่างฝ่ายต่างหยุดตัวเองไม่อยู่จนมารู้ทีหลังว่า น้องบีเองก็ชอบตัวเราเหมือนกัน เเต่น้องก็ไม่รู้ตัวว่าตั้งเเต่เมื่อไหร่ ตอนอยู่ที่ทำงานเราก็ทำตัวปกติ เเต่พอหลังเลิกงานเราก็ตัวติดกัน เเบบหวานชื่นเลย ด้วยความที่เเฟนของน้องบีเขาเป็นคนต่างชาติ เขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ไทย เเต่พอเเฟนเขากลับมา เราเเทบจะไม่ได้เจอกันเลย เเค่ได้เห็นหน้าในที่ทำงาน ซึ่งเราก็มีการตกลงกันว่าผมจะไม่ได้เป็นคนทักหรือโทรไปหาน้องก่อน เเละจะรอให้น้องเป็นคนทักหรือโทรมาเอง เพราะเขาจะรู้เองว่าเวลาไหน ตอนไหนที่เราสามารถโทรได้ เราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เเต่ตอนเเรกผมก็งอเเงหน่อย เเต่พอเราได้มารู้เหตุผลหลายๆอย่างว่า ทำไมน้องเขาไม่สามารถเลิกกับเเฟนได้ เป็นเพราะว่าเรื่องภาระหน้าที่ทางการเงินต่างๆที่น้องต้องส่งไปช่วยทางครอบครัว เเละผมก็ไม่สามารถที่จะซัพพอร์ตน้องเขาได้ เเละ 70% ของค่าใช้จ่ายของน้องบี เเฟนของเขาก็สามารถช่วยออกได้ ถามว่าน้องบีรักเเฟนไหม เขาก็รักเเหละ เเต่ด้วยเรื่องข้อเสียของเเฟนน้องมันก็ทำให้บั่นทอน ลดลง เเละผมก็ชัดเจนกับน้องมากๆ ผมเคยพูดกับน้องบีไปว่า ถ้าวันไหนที่ความรักของผม มันจะทำให้น้องมีปัญหา ผมก็จะเป็นคนเลือกที่จะปล่อยมือเเละเดินออกมาเอง ใจของเขาก็รู้สึกว่า อยากให้เราไป เเต่ก็เหมือนจะรักเรา น้องเขาก็มีการพูดอ้อมๆว่า ถ้าวันไหน พี่เจอคนที่พร้อมจะเดินไปกับพี่ พี่ก็ไปได้เลยนะ สำหรับผมสิ่งที่คิดว่าเราถูกใจกันทั้งคู่ คือ นิสัยเเละความเก่งของน้องเขา ตอนเเรกครอบครัวของน้องบี เขาไม่ได้มีทุนมากพอที่จะส่งน้องบีเรียนต่อได้ เเต่น้องบีเขาก็ขอเเค่เงิน พอให้ตั้งตัวได้ เเล้วน้องก็กู้ กยศ. ส่งตัวเองเรียนจนจบได้ เเละในชีวิตที่ผ่านมา น้องเขาก็เจอเเต่ผู้ชายที่โหล่ยโทย เเต่กับเเฟนคนปัจจุบัน เขาก็มีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย เอาจริงๆ ทุกครั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำอะไรไม่ดีกับน้อง ผมก็จะอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสมอ ตอนนี้ผมเลยพยายามที่จะตั้งเป้าหมาย ภายใน 3 ปี เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ให้มีการเงินที่มั่นคง พอที่จะทำให้น้องเขามั่นใจในตัวผมได้ เเละด้วยความที่ว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ของน้องเขาก็ไม่ค่อยจะดี ทะเลาะกันหนักจนถึงขั้นเอ่ยปากจะเลิกกัน ส่วนตัวของผม ผมมองว่าน้องบีก็เป็นคนที่เเอบเห็นเเก่ตัว ผมเลยอยากฟังในมุมมองของพี่ๆว่า ผมควรทำทุกอย่างที่อยากทำ หรือ หยุดทุกอย่างในตอนนี้เลยดีไหมครับ?’ โดย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ พี่มองว่าคุณกอล์ฟควรที่จะหยุด เพราะตอนนี้คุณกอล์ฟ กำลังเป็นมือที่ 3 อยู่ เเละทุกอย่างมันไม่ควร เพราะเขาก็มีเเฟนอยู่เเล้ว เเละพี่มองว่ายังไงน้องคนนั้นก็ไม่เลิกกับเเฟนหรอก เพราะผู้ชายคนนั้นสามารถซัพพอร์ตได้ในเรื่องของเงิน เพราะงั้นพี่มองว่ายังไงผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เลือกคุณกอล์ฟหรอก’ ต่อมา “ดีเจพี่อ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เห็นด้วยกับที่พี่เติ้ลพูดเหมือนกันว่า เเต่ให้น้องจะหยุดหรือจะทน เขาก็มีอีกคนอยู่ดี เพราะขนาดที่ว่าเขาบอกคุณกอล์ฟเป็นคนที่ใช่ เเต่เขาก็ไม่เลิกกับเเฟนอยู่ดี เพราะผู้ชายคนนั้นมีเงิน เเละถ้าในอนาคตคุณกอล์ฟ มีเงินเยอะมากๆ เเล้วผู้หญิงมาหาคุณกอล์ฟ เพราะเงิน คุณกอล์ฟจะรู้สึกดีหรอ เพราะงั้นกอล์ฟต้องลองคิดเเล้วว่า ผู้หญิงคนนี้มีเเฟนเพราะเงิน หรือมีเเฟนเพราะเราภูมิใจ เราเห็นคุณค่า เเละเราก็รักเขา ถ้าน้องอยากมีความรักมากถึงขนาดที่ว่าต้องใช้เงินหามา นั้นจะเรียกว่าความรักจริงๆหรอ’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผมคิดว่าถ้ามันใช่ มันใช่ไปเเล้ว เเล้วตัวของผู้หญิงก็มีสติมาก ในเรื่องของการเลือกว่าทางนั้นคือทางที่จะสามารถทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เขาอาจจะเเค่มีความชอบในตัวกอล์ฟ เเต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นเหตุผลให้เลิกกับอีกคน กอล์ฟอยากรอ ก็รอได้นะเเต่ว่าการรอครั้งนี้มันอาจจะไม่ได้มีจุดหมายปลายทางก็เป็นไปได้ เพราะงั้นต้องมีสติ เเละเเค่เดือนกว่า อย่าพึ่งตัดสินทุกอย่าง เพียงเพราะเวลาสั้นๆ เเละอีกอย่างนึงถ้าสมมุติเขาเลิกกับเเฟนเเล้วมาคบกับกอล์ฟจริงๆ กอล์ฟสามารถไว้ใจผู้หญิงคนนี้ได้จริงๆหรอ เราจะไว้ใจได้จริงๆหรอกับผู้หญิงที่นอกใจเเฟนตัวเองได้ เพราะงั้นถ้าอยากรอก็เอาเลย ส่วนเรื่องการพัฒนาตัวเอง ทำไปเลย เผื่อไว้สักวันนึงตอนที่เราเป็นตัวเองในเวอชั่นที่ดีเเล้ว เราอาจจะได้เจอกับคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆก็ได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว "หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดี มาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน

26 เม.ย. 2024

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว "หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดี มาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว"หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดีมาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคนสามีบอกเป็นความพลาด แต่เขาขึ้นบ้านใหม่ด้วยกันแล้ว “คุณเหมียว (นามสมมติ)” อายุ 36 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (24 เม.ย. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจต้นเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย นภาพร’ เกี่ยวกับปัญหามีลูกให้สามีไม่ได้ แต่เขาดันไปมีลูกกับคนอื่น โดย ​“คุณเหมียว(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คบกับแฟนมา 10 ปี พอคบกันได้ 2 ปีก็ตัดสินใจแต่งงาน ก็คือแต่งงานกันมาแล้ว 8 ปี สร้างตัวจากที่ไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็คบกันปกติเหมือนคู่รักคู่อื่น ตอนแรกเรา 2 คนก็ขายของตามตลาดนัดด้วยกัน แต่เศรษฐกิจไม่ดี ผู้ชายเลยตัดสินใจไปทำงานประจำ ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่เขาไปทำงาน เราก็มีไปที่ทำงานผู้ชายบ้าง ที่ทำงานก็รู้หมดว่าเป็นสามีภรรยากัน เหมือนปีที่ 9 เราทำงานหนักเลยไม่มีเวลาไปตามผู้ชายสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ไม่ได้ไปไหนด้วยกัน เพราะว่าต่างคนก็ต่างทำงาน จึงไม่ได้สงสัยหรือระแวงในตัวเขา และหนูก็เป็นโรคเกี่ยวกับมดลูก ซึ่งตอนแรกผู้ชายก็บอกว่า อยากมีลูก แล้วหนูก็ได้มีการปรึกษากันมาตลอดว่า ถ้าเกิดว่าเราไม่มีลูกจะเป็นอะไรไหม ผู้ชายบอกว่า ไม่เป็นไร เรารักกัน เราเก็บเงินให้กันและกันไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย ถ้าเราอยากมีจริง ๆ อาจจะใช้เป็นวิธีอื่นได้ในอนาคต ซึ่งปรึกษากันตลอด ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง เพราะเราเป็นคู่ที่ใช้ชีวิตปกติมาก ๆ แต่มาวันหนึ่งก็มีเฟซบุ๊คพึ่งสร้างใหม่ส่งข้อความมาหาว่า ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดข้อความในแชทอ่าน ในวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพอเราเปิดเข้าไปอ่านก็เป็นรูปสามีเราไปขึ้นบ้านใหม่กับผู้หญิง แล้วก็มีแม่สามีนั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีรูปสลิปการโอนเงิน ซึ่งเป็นชื่อ - นามสกุลของสามีเรา แล้วมีแคปชั่นว่า ขอบคุณสามีที่เปย์ให้กันตลอดมา เป็นรูปการโพสต์ด่าเราเรื่องต่าง ๆ นานา เขาแคปมาให้เราดูหมด ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเป็นคนโพสต์ ที่พีคไปกว่านั้นคือ มีรูปการคลอดลูก ซึ่งเป็นแคปชั่นที่มีนามสกุลสามีของเรา เรื่องความสัมพันธ์เขาบอกว่า คบกันมา 1 ปีแล้ว แต่ว่าคบกัน 2 เดือนผู้หญิงก็ท้องเลย และเป็นรูปสามีของเราอยู่ในห้องคลอดซึ่งมีเด็กด้วย รายละเอียดในรูปคือ เหมือนผู้หญิงพึ่งคลอดลูกมาเมื่อวาน แล้วเอาเฟซบุ๊คปลอมส่งมาบอกเราในวันนี้ แบบพึ่งเกิดแล้วให้เรารู้เลย เราก็ช็อกมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น เราก็เลยโทรไปถามผู้ชายว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ตอนแรกผู้ชายเขาก็ไม่ได้ยอมรับผิด เราก็เลยบอกว่า ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรแล้ว เดี๋ยวเรามาช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยกันไหม หนูอยากให้เขายอมรับความจริง เขาก็เลยสารภาพว่า เขาไปทำผู้หญิงท้อง ซึ่งเป็นน้องที่ทำงานเดียวกันกับเขา คบกันมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว พอคบกันได้ 2 เดือนปุ๊บ ผู้หญิงก็ท้องเลย และเป็นการพลาดพลั้ง ถ้ามันเป็นการพลาดพลั้งจริง ๆ ทำไมเขาถึงมีการซื้อบ้านใหม่ด้วยกัน ทำไมเขาถึงสร้างทุกอย่างด้วยกันหมดแล้ว หนูก็ไม่เชื่อ แต่หนูยังรักเขา หนูรักเขามากเพราะว่าเราไม่มีปัญหาอะไรที่จะทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเราเคลียร์กันทุกเรื่อง ทุกวันอยู่แล้ว หนูคิดว่าถ้าหนูไม่รู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้แย่ แต่หนูมานั่งทบทวนประมาณ 3-4 วัน ก็ตัดสินใจบล็อกเบอร์ ไม่ติดต่อไปหาเขาอีกเลย เพราะหนูคิดว่าเขาคงอยากไปสร้างอนาคตใหม่ด้วยกันโดยที่ไม่มีหนูแล้ว ถ้าเขารักเราจริง ๆ เขาจะไม่ทำร้ายเราทั้งที่เราผ่านความลำบากมาก่อน จนเรามีทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งหนูไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับฝั่งผู้ชายเลย ส่วนฝั่งนั้นเขาบอกว่า ไม่ได้จดเหมือนกัน แต่รับเป็นบุตร หนูรู้สึกแพ้แล้วกับความรัก 10 ปีที่ผ่านมาของหนู’ อยากถามคำถามแรกกับพี่เผือกว่า คิดว่าหนูทำถูกไหมที่หนูยอมเดินออกมาแทนที่จะเก็บผู้ชายไว้? ซึ่ง “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ต้องถามกลับว่าทำไมถึงรู้สึกว่ามันจะไม่ถูก เหมียวมีความลังเลหรอว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดที่เดินออกมา ถ้าถามคนที่ได้ฟังเรื่องนี้พี่ว่าร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่า เหมียวทำถูกแล้วแหละ พี่ยังไม่เจอเหตุผลที่จะต้องเก็บเขาเอาไว้ มันต้องแยกให้ออกระหว่างความเสียใจกับการตัดสินใจที่จะตัดใครสักคนที่เขาไม่ใช่คนดีออกไป มันคนละเรื่องกัน ไอ้ความเสียใจ ไอ้ความช็อก ตื่นมาแล้วอีกคนหนึ่งในชีวิตเราหายไป มันรู้สึกอยู่แล้วเหมียว แต่สาเหตุที่เขาไม่อยู่วันนี้มันต้องแยก พี่ไม่เห็นเหตุผลว่าการเก็บเขาไว้ในสถานการณ์ของเหมียวมันจะเป็นสิ่งที่ดีได้ยังไง ในเมื่ออีกฝั่งเขามีลูกด้วย ต่อให้คิดกันแบบ Positive สุด ๆ คุยกันได้ลงตัว ทำหน้าที่แค่พ่อ ไปดูแลแต่ยังรัก เหมียวคิดว่ามันจะไปตลอดรอดฝั่งจริง ๆ หรอ? แล้วพี่ก็ไม่เชื่อว่าตัวเหมียวเองจะรับมันได้ ไม่งั้นเหมียวคงไม่ตัดสินใจเดินออกมา พี่อยากจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ให้ความมั่นใจว่า เราตัดสินใจแล้ว ทุกการตัดสินใจของเราที่เกิดขึ้นมันดีเสมอแหละ เราจะได้เรียนรู้อะไรจากมัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันอาจจะรุนแรงหน่อย แต่ว่าถ้ามันผ่านพ้นไปได้ พี่ว่ามันเป็นจุดที่ดีของชีวิต ขอให้มั่นใจ ตัดสินใจแล้วก็ทำให้มันเด็ดขาด ยอมเจ็บหน่อย ยอมช็อกหน่อย แต่ถ้ามันผ่านพ้นไปจะรู้สึกโล่ง อย่างที่พี่อ้อยพูดเห็นด้วยมาก ๆ เราไม่ได้แพ้อะไร สุดท้ายพอเวลามันผ่านไป จนถึงวันหนึ่งเหมียวอาจจะเริ่มรู้สึกว่า ฉันชนะแล้วแหละที่ออกมาได้’ คำถามที่ 2 ให้พี่อ้อย หนูขอวิธีการมูฟออนที่หนูยังติดอยู่วังวนความรัก 10 ปีที่ผ่านมา หนูไม่สามารถมีใครได้หรือมีความรักครั้งใหม่หนูก็รู้สึกกลัว? ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าเป็นพี่จะบอกว่า วิธีการมูฟออนอย่างหนึ่งคือ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน เข้าใจว่าน้องรักเขาเท่าที่เขารักน้องแหละ คบกันมาตั้ง 10 ปี รักเขาเราไม่เห็นมีใคร เขารักเราทำไมถึงทรยศ พอน้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับมัน น้องอาจจะเข้าใจว่า คนบางคนนะ ออกจากชีวิตฉันไป น่าดีใจกว่าได้เขามาอีก เพียงแต่วันนี้การมูฟออนของน้อง ยังไม่สามารถมูฟออนได้เพราะยังคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเรา มีคนในโลกนี้เยอะแยะมากมาย ลูกไม่ได้เป็นโซ่ทองคล้องใจเสมอไป มันไม่ได้แปลว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกแล้วนั่นคือที่สุดของชีวิต และการที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกไม่ได้ก็เลยถูกพิพากษาให้เขาต้องไปทรยศนอกใจกับคนอื่น พี่ว่ามันไม่ใช่เป็นเหตุเป็นผลกัน วันนี้ถ้าไม่เจอ Account ที่เขามาบอกว่า ถ้าไม่อยากโง่ก็อ่านแชทสิ แค่สิ่งที่เขาบอกกับเราก็ดูไม่ใช่ผู้หวังดีอยู่แล้ว การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่รับผิดชอบความรู้สึกของเราเลยแม้แต่น้อย พี่รู้สึกว่า ฉันทำดีที่สุดในฐานะของคนที่เป็นภรรยามา 10 ปีแล้ว เธอต่างหากที่ยอมให้ใครสักคนเข้ามาทำร้ายความรู้สึกฉันได้มากขนาดนั้น โดยที่มีเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พอเหมียวค่อย ๆ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ การมูฟออนก็เกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้อยู่ แต่ถ้าน้องบอกว่า ไม่เอาค่ะพี่ หนูอยากได้วิธีการมูฟออนจริง ๆ อันแรกเลิกส่อง มีคนเยอะมากที่พยายามจะมูฟออนแต่ยังไปเฝ้าดูโซเชียลเขาตลอดเวลา ที่สุดแล้วพอไปเห็นว่าเขาดูมีความสุขมาก คนที่พังสุดก็คือเราอยู่ดี วันนี้ความสัมพันธ์มันเคลื่อนตัว ต่อให้ 10 ปี ความผูกพันดันเกิดขึ้นกับเหมียวคนเดียว ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา ถ้าความผูกพันนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วย เขาจะไม่ทำร้ายหนูขนาดนี้ แค่เหมียวเห็นคุณค่าในตัวเอง ชีวิตของฉัน ฉันทำเต็มที่ในตอนที่ฉันเป็นภรรยาที่น่ารัก ดูแลเธออย่างซื่อสัตย์ แต่ถ้าเธอไม่สามารถให้ความซื่อสัตย์กับฉันได้ ฉันก็แค่ตัดเธอออกจากชีวิต มันคือแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเรากลายเป็นคนที่ด้อยค่าตัวเอง พี่ว่ามันอยู่ที่วิธีคิดของเรา ถ้าน้องอยากได้เป็นแบบรูปธรรม 1.เลิกส่อง 2.ช่วยเห็นข้อดีของตัวเองใน 10 ปีที่ผ่านมาหน่อย เพราะน้องไม่เคยวอกแวกไปมีใคร และในที่สุดแล้วไม่มีใครดีพอ สำหรับคนที่ไม่รู้จักพอ ต่อให้น้องดีแทบตาย สุดท้ายเขาไม่รู้จักพอเขาก็มีคนอื่นอีก แล้วเอาสิ่งนั้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้เขาเลิกกับเราได้แบบที่เขารู้สึกผิดน้อยที่สุด พี่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้ผิดที่เหมียว หนูต้องรักตัวเอง เพราะหนูมีคุณค่ามากพอ และพี่คิดว่าเดี๋ยววันหนึ่งเหมียวจะขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจแบบนี้’ และคำถามที่ 3 ให้พี่เติ้ล มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการนอกใจครั้งนี้ เป็นเพราะหนูไม่ใส่ใจเขามากพอหรือว่าเป็นเพราะหนูท้องไม่ได้ เขาก็เลยไปมีคนอื่น? สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ตอบอันหลังก่อนที่เหมียวถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหนูไม่ใส่ใจหรือว่าหนูมีลูกให้เขาไม่ได้ ไปที่เรื่องไม่ใส่ใจก่อน อันนี้พี่ไม่รู้เพราะเหมียวไม่ได้บอก เหมียวบอกว่าเราเป็นชีวิตคู่ปกติ ถ้างั้นคงไม่เกี่ยวกับการใส่ใจ พี่ว่าอย่าไปเพ่งโทษตัวเองแบบนั้น กับเรื่องที่มีลูกให้เขาไม่ได้ ตอนที่เหมียวโทรมาพี่กรี๊ดเหมือนกัน เพราะว่ามันคือบทสนทนาในห้องประชุมเขียนบทเมื่อวาน ถ้าคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก กลายเป็นว่าปัญหาเรื่องเดียวคือสามีอยากมีลูก แล้วภรรยาลูกให้เขาไม่ได้ มันจะไปได้ถึงไหน ซึ่งตอนที่พี่คุยในห้องประชุมบอกจริง ๆ ว่ามันมีสิทธิ์เกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่มันไม่เกี่ยวกับการนอกใจ ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าอยากมีลูกจริง ๆ เขาก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองและเรามากพอในฐานะคนรักกัน ไม่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาอะไรในชีวิตคู่ มันไม่ใช่สาเหตุที่จะมาอ้างว่า เพราะฉะนั้นฉันจะไปมีคนอื่น เพราะเธอทำข้อ 1-3 ไม่ได้ มันคือการนอกใจ คุณจะทำอะไรก็ได้เลยถ้าบอกกับคนรักตรง ๆ ว่า เราไม่แฮปปี้ ถ้าแก้ไม่ได้ เราขอไปมีคนอื่น อย่างนี้มันคือแฟร์ ยุติธรรมกันทั้ง 2 ฝ่าย เราเองก็ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่า เราให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ได้ แต่การที่เขาไปมีคนอื่น มีลูกแบบนี้ พี่ว่าเขาไม่ได้พลาด เพราะพี่รู้สึกว่าคนรักกัน ถ้าพลาดเขาต้องมาบอกหนู เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้คลอดลูกออกมาจนเรื่องนี้มาเข้าหูหนูเอง พี่ว่าอันนี้ไม่ใช่คนรักกัน เขาคือผู้ชายที่ทรยศหนู ซึ่งมันก็จะเด้งไปที่คำตอบพี่อ้อยกับพี่เผือกว่า การที่หนูตัดสินใจเลิกกับเขาแบบเด็ดขาดก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตหนูที่เกิดขึ้นแล้วกับ 1 ปีที่หนูเจออะไรแบบนี้มา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

23 พ.ค. 2025

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า...“อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี? หัวหน้าเช็คถามทุกวันเลยว่า วันนี้มายังไง กลับยังไงทำไมยังไม่ช่วยเหลือตัวเองอีก ลูกพี่อายุเท่าๆหนูก็ทำได้แล้ว ตอนนี้หนูอึดอัด และ เบื่อกับคำถามเดิมๆในทุกๆวันถ้าจะโกหกว่านั่งรถเมล์มา เขาก็คงจะถามซอกแซกอีก กลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแล้วตอบคำถามเขาไม่ได้ “คุณส้ม (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาพี่ที่ทำงานตกใจที่คุณแม่ยังรับ-ส่งหนูไปทำงาน โดย “คุณส้ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้าทำงานออฟฟิศที่นึง ในแผนกที่เข้าไปทำจะมีพี่หัวหน้าหนู 1 คน ซึ่งเขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50 ปี แล้วห้องทำงานก็มีแค่หนูกับพี่เขาในห้องแค่ 2 คน เรื่องเกิดตั้งแต่วันแรกที่หนูเข้าไปทำงานเลย พี่เขาก็เข้ามาคุยด้วยว่า บ้านหนูอยู่แถวไหน แล้วมาทำงานยังไง หนูก็ตอบเขาไปว่า อ่อ คุณแม่หนูมาส่งค่ะ แล้วคุณแม่ก็จะมารอรับ เพราะปกติที่บ้านจะค่อนข้างหวง จะชอบไปรับ-ส่งตลอด แต่พอหนูตอบไปแบบนั้น พี่เขาก็ตกใจและถามหนูว่า เราอายุเท่าไรนะ? ทำไมยังให้แม่ไปรับ-ส่ง แล้วเขาก็บ่นหนูว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราโตแล้ว เราต้องหัดเดินทางเองบ้างนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยตอบ ค่ะๆ แล้วก็ยิ้มตอบไป พอช่วงบ่ายของวันนั้น พี่เขาก็ส่งรูปสายรถเมล์มาให้หนูดูว่า รถเมล์สายนี้มันผ่านแถวบ้านหนู แล้วมันมาถึงออฟฟิศได้เลยนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยเออ ออตามเขาไปว่า จริงหรอคะ? หนูก็คิดในใจว่าหนูก็คงไม่ได้ขึ้นรถเมล์อยู่แล้ว เพราะหนูไม่เคยขึ้นรถเมล์เลย ตอนนี้หนูทำงานมาได้เดือนกว่าๆแล้ว แต่พี่เขาจะถามหนูแทบทุกเช้าเลยว่า วันนี้มาทำงานยังไงลูก? หรือ วันนี้ลองขึ้นรถเมล์หรือยัง? จริงๆเขาแนะนำวิธีการเดินทางอื่นด้วย ทั้งขึ้นรถ ลงเรือ แล้วทุกเช้าหนูก็จะตอบเขาเหมือนเดิมว่า วันนี้แม่มาส่งค่ะ บางวันเขาก็จะรับฟังเฉยๆ แต่บางวันเขาก็บ่นเราเลยว่า ทำไมไม่ลองเดินทางเอง ทำไมไม่ลองขึ้นรถเมล์ ลองดูมั้ยพรุ่งนี้ เขาชวนหนูคุยทั้งวันเลย เวลาหนูนั่งทำงานอยู่ เขาจะชอบเดินมาถามว่า เป็นยังไงบ้าง เย็นนี้กลับยังไง พรุ่งนี้กินข้าวอะไร เพราะแม่หนูจะทำข้าวกล่องมาให้ด้วยทุกวัน เขาจะชอบมาดูข้าวกล่องหนูว่าวันนี้แม่ทำอะไรมาให้กิน เขาบอกว่าลูกเขาอายุเท่าๆกับหนู หนูก็เคยตอบเขาไปแล้วว่า คุณแม่หนูเขาชอบมารับ-ส่งจริงๆ หนูไม่สามารถเดินทางแบบอื่นได้ ยกเว้นบางวันที่รีบมากๆ คุณแม่ก็จะให้ขึ้น BTS บ้าง เขาก็รู้แล้วว่าที่บ้านหนูมารับ-ส่งได้ หนูไม่ได้บังคับแม่ แต่เขาก็ยังถามหนูอยู่ทุกเช้า ที่หนูโทรมาวันนี้ คือ หนูไม่ได้อยากเปลี่ยนคำถามเขา แต่อยากเปลี่ยนคำตอบของตัวเองมากกว่า หนูไม่อยากโกหกเขาด้วย บางทีก็อยากจะตอบปัดๆไปว่า อ่อวันนี้เดินทางเอง แต่ด้วยความพี่เขาน่าจะถามต่ออีกเยอะ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรจะตอบยังไงดีให้เขาเลิกถามเรื่องนี้กับหนูไปเลย?’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ลองบอกหัวหน้าไปว่า คุณแม่มีปมกับการขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถเมล์ของคุณแม่คือไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่อนุญาตให้ส้มทำ ส้มเคยอยากลองแล้วแต่ส้มทำไม่ได้จริงๆ’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อาจจะต้องใช้วิธีอ้างคุณแม่ไปเลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่แม่เขาชอบที่สุด ได้คุยกัน ได้ส่งลูก เขาว่างแล้วเขาก็อยากดูแลลูก เคยบอกว่าจะขึ้นรถเมล์แล้ว แม่เขาร้องไห้เลย พี่ไม่ต้องถามหนูแล้วนะ หนูจะร้องไห้เลย หรือบอกไปว่า หนูเคยบอกให้แม่ไม่มาส่งแล้ว แต่มันเป็นอย่างเดียวที่แม่อยากทำเพื่อลูกอยู่’ และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่ามันก็อาจจะเป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใยอย่างนึง ถ้าหนูมองเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ดีที่หัวหน้าพูดคุยกับลูกน้อง เพราะถ้าเขาไม่คุยเลย แสดงว่าเราถูกเขม่นอยู่นะ พี่ไม่อยากให้หนูรู้สึกถึงขั้นว่า หนูรู้สึกไปหมดกับสิ่งที่เขาถาม หรือเราอาจจะชิงถามเขาไปก่อนว่า พี่กินข้าวหรือยัง หรืออาจจะคุยเรื่องงานไปเลยก็ได้ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรามากกว่า เพราะไม่งั้นหนูเองที่ดันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาถาม ทั้งที่มันอาจจะเป็นการชวนคุยเฉยๆ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1