อายุ 24 ปี ทำสวนทุเรียนกับที่บ้าน ได้โบนัส 2 แสนต่อปี อุทิศตัวให้กับครอบครัวจนไม่มีความสุขเป็นของตัวเอง ทำยังไงก็ยังดีไม่พอ แต่พ่อก็บอกว่าเราต้องเก่งให้ได้ทุกอย่างความพอใจของเราเลยขึ้นอยู่กับพ่อ จะเลิกยึดติดกับความพอใจของพ่อยังไงดีคะ?

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

อายุ 24 ปี ทำสวนทุเรียนกับที่บ้าน ได้โบนัส 2 แสนต่อปี อุทิศตัวให้กับครอบครัวจนไม่มีความสุขเป็นของตัวเอง ทำยังไงก็ยังดีไม่พอ แต่พ่อก็บอกว่าเราต้องเก่งให้ได้ทุกอย่างความพอใจของเราเลยขึ้นอยู่กับพ่อ จะเลิกยึดติดกับความพอใจของพ่อยังไงดีคะ?

07 ก.พ. 2025

          “คุณบี (นามสมมติ)” อายุ 24 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 ก.พ. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความพอใจของเราขึ้นอยู่กับพ่อ

            โดย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเป็นลูกสาวคนเล็ก ทำสวนทุเรียนกับครอบครัวมา 5 ปีแล้ว ที่สวนได้รายได้ปีละ 6 ล้าน หนูได้โบนัสปีละ 2 แสน ไม่มีเงินเดือน แต่ถ้าเป็นของใช้ในบ้าน ค่าข้าว ก็จะเป็นเงินพ่อแม่ เงินโบนัสหนูก็เอาไปใช้ส่วนตัว ซึ่งตอนนี้หนูมีความรู้สึกว่าหนูชอบเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดอยู่กับความพึงพอใจของพ่อมากเกินไป พ่อหนูอายุ 59 ปี พ่อเป็นคนที่เก่งมากๆ เก่งทุกอย่างรอบด้าน

            งานในสวนหนูแฮปปี้ แต่ว่าหนูไม่แฮปปี้กับความถูกกดดันว่าจะต้องเก่งมากๆ ถ้าเกิดว่าหนูได้รับคำชมหนูก็จะรู้สึกดีมาก แต่ถ้าวันไหนหนูถูกตำหนิ หรือถูกเข้าใจผิด เขาก็จะมองว่าหนูฉลาดน้อย บริหารงานแบบไม่ถูก บางทีหนูมีแผนงานของหนู มันก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้เสียหาย หนูมีเหตุผลในการทำงานมากพอ มันเลยทำให้หนูรู้สึกเฟล เป็นรุ่นพ่อกับเป็นรุ่นลูกก็มีวิธีคิดที่ต่างกันมากแล้ว เช่น รถไถ รถตัดหญ้า กลไกในเครื่องยนต์ เครื่องจักร หนูรู้สึกว่าหนูน้อยใจตัวเองที่ว่าทำไมหนูไม่เก่ง  รู้สึกว่าหนูช่วยอะไรเขาไม่ได้ คือทุกอย่างหนูทำได้หมดเลยยกเว้นเรื่องนี้ สมมติถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาขัดข้องขึ้นมา ก็จะมีแค่พ่อคนเดียวที่ทำเป็น หนูก็จะรู้สึกแย่เองคนเดียวที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ถึงพ่อไม่ได้ว่าหนูตรงๆ แต่พ่อพูดว่าเราจะต้องเก่งให้ได้ทุกอย่าง หมายถึงเราจะต้องสมบูรณ์แบบในเรื่องนี้นะ ต้องรู้ทุกอย่างรอบตัวในการทำสวนทุเรียน

            ก่อนหน้านี้เขาก็ค่อนข้างกดดันหนู แต่พอมาถึงตอนนี้เขาก็มีทัศนคติใหม่ที่ว่า ไม่ต้องจริงจังเรื่องเรียนมากก็ได้ ออกมาทำสวนดีกว่า มันคือของจริง แต่มันก็เป็นความคิดที่หลังจากที่หนูเรียนจบแล้ว และหนูยังไม่มีครอบครัว คือ ถ้ามีครอบครัวปุ๊บเขาถึงจะแบ่งสวนให้ เคยไประบายเรื่องนี้กับพี่สาว พี่กับหนูห่างกัน 13 ปี พี่เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ พี่ไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อ คือเขาเรียนสูง จบป.โท ไปเรียนต่างจังหวัด พอกลับมาก็ทำงานข้างนอก ไม่ได้มาทำสวน แล้วพี่ก็ไปเจอกับแฟน แต่งงานกัน แล้วก็ย้ายออกไปอยู่ด้วยกันเลย พ่อก็แบ่งสวนให้ทำแบบส่วนตัว พี่สาวก็บริหารแบบ ถ้าพ่อทำอะไรฉันทำด้วย แค่ทำตามไม่ได้คิดเองเท่าไหร่ ตอนแรกพ่อก็โฟกัสที่พี่สาว แต่เขาดื้อกว่าหนู คิดจะไปเขาก็ไปเลย

            พอพ่อเริ่มแก่ลง เริ่มมาคาดหวังว่าลูกจะต้องมาสานต่องานของเขา อีกอย่างคือเขาเป็นคนติดลูก ไม่อยากให้ลูกไปไหนเลย ไม่อยากให้ไปเรียนต่างจังหวัด ไม่อยากให้ไปทำงานข้างนอก จะต้องทำสวนเท่านั้น อันนี้คือความคิดที่เขาปักหมุดปักธงไว้เลย ซึ่งหนูเป็นคนที่ตามใจพ่อ หนูยอมไม่เรียนป.ตรี หนูจบปวส. และมาช่วยเขาทำสวนเลย

            ถ้าเขาไม่ได้บังคับให้ทำสวนทุเรียน หนูก็อยากไปเรียนต่อสายสถาปัตย์ แต่คือตอนนี้หนูชอบทำสวน แต่พอหนูมีความคิดเป็นของตัวเอง เลยแค่รู้สึกอึดอัดที่อยู่ภายใต้อานัส (คำสั่ง) ของเขา จนหนูไม่เป็นตัวเองแบบนี้ หนูอยากเลิกเอาความพอใจของตัวเองไปผูกกับความพอใจของพ่อ บางทีหนูก็อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง โดยที่ไม่ได้สนใจงานจนมีความสุข แต่หนูเป็นคนที่ค่อนข้างห่วงที่บ้าน ห่วงงาน ห่วงพ่อกับแม่มาก เหมือนถวายตัวทุกอย่างเพื่องาน เพื่อที่บ้าน หนูเคยบอกว่าจะไปเที่ยว เขาก็ให้ไป ไม่ได้ห้าม แต่บรรยากาศก็จะตึงๆ

            ประเด็นหลักเลย คือ หนูไม่เคยดื้อเลย จนหนูรู้สึกว่าถูกครอบงำ ถูกยัดความคิดของพ่อทุกอย่างมาใส่ในตัวหนู หนูมองไปที่คนอื่น แต่คนอื่นก็ดื้อจนได้ทำสิ่งที่เขาต้องการ หนูเคยพูดกับแม่ว่าถ้าหนูไม่ได้เก่งหรือสมบูรณ์แบบ แบบที่พ่อหวังยังจะยินดีที่มีหนูเป็นลูกอยู่ไหม? หนูเลยอยากถามพี่ๆ ดีเจว่า จะทำยังไงถึงจะเลิกยึดติดกับความพอใจของพ่อคะ?

            เริ่มที่ “ดีเจผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เคยอ่านเจอว่า เวลาคนเราทำอะไรจงทำให้ตัวเองภูมิใจ อย่าทำอะไรเพื่อให้คนข้างๆ ภูมิใจ จงดีกว่าตัวเองในเวอร์ชั่นก่อน อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร สิ่งที่ดีที่สุดเวลาทำอะไรสักอย่างแล้วรู้สึกภูมิใจในตัวเองจังเลย นี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา มันเป็นการเปลี่ยนมุมมองความคิดของตัวเอง ลองเปรียบมุมมองของตัวเอง ดูว่าเมื่อวานเราทำอะไรผิดพลาด พอมาวันนี้เราทำได้ ทำดีขึ้น อยากให้ภูมิใจกับตัวเอง ให้แยกกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่แสดงออกมา วิธีการที่คุณพ่อคุณแม่บีจะสอน หรือถ่ายทอด จะทิ้งมรดกอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง มันต่างจากพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน

            สุดท้ายแล้วเจตนา เนื้อแท้ในใจพ่อไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากอยากให้ลูกสบายในวันที่ตัวเองไม่อยู่แล้ว ช้าหรือเร็ว สุดท้ายพ่อแม่ก็จะจากไป สิ่งที่เขาจะทิ้งไว้ให้บี คือสวนทุเรียนแห่งนี้ ซึ่งมันมีหลายวิธีมากที่จะสอน แต่คุณพ่ออายุ 59 แล้วเขามีแค่วิธีเดียวคือ ยัดให้บี บีต้องเก่ง บีต้องรู้ทุกอย่าง เพราะวันที่เขาไม่อยู่ บีจะได้ทำมันได้ แต่ในมุมของบี บีไม่เห็นจะต้องรู้ทุกอย่าง ไม่รู้วิธีการซ่อมรถไถก็จ้างแค่คนมา วิธีการคิดมันคนละโลกกันเลย แต่เจตนามันคือเจตนาเดียวกัน

            ฉะนั้นถ้าบีเปลี่ยนมุมมองได้ทั้งสองเรื่อง บีจะเข้าใจในความเป็นเขาและบีจะทำเพื่อให้ตัวเองภูมิใจ เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนวิธีการของพ่อในวัย 59 ปีได้แล้ว ถ้าบีช่างมันได้ในบ้างประโยค เข้าใจและรับฟัง หันหลังเดินกลับพรุ่งนี้ตื่นมาใช้ชีวิตต่อ บีทำสวนทุเรียนได้ 6 ล้านต่อปี มันแทบจะไม่มีอาชีพไหนที่ได้เยอะขนาดนี้แล้ว ลองเอาชนะตัวเองค่อยๆ ทีละเรื่อง ให้ดีกว่าเมื่อวาน’

          ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เรื่องที่ทุกคำของคุณพ่อมันส่งผลกับหนู พี่ก็จะขอตอบว่า บีต้องโฟกัสคำตอบของเรื่องต่างๆ ในชีวิต ที่มาจากตัวเอง ไม่ใช่มาจากคุณพ่อ เช่น ถ้าบีเลือกที่จะทำสวนทุเรียน ไม่ได้เลือกเรียนสถาปัตย์ที่บีชอบ บีต้องหาคำตอบให้กับตัวเองว่า เลือกเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จะได้ช่วยเหลือครอบครัว หรือเลือกเพราะว่ามันจะดีกับอนาคตของตัวเอง แต่ว่าถ้าทำไปได้รายได้ปีละ 6 ล้าน ในอนาคตมันก็ถือว่าเป็นอาชีพที่ยั่งยืน หรือเรื่องเครื่องจักรถ้าวันนี้เราเรียนรู้มัน ก็จะมีประโยชน์กับสวนแน่ๆ เพราะพี่ก็เป็นเหมือนกัน พอมีช่างมาซ่อมถ้าเราไม่รู้ เราก็จะไม่รู้ว่าเขาโกงเราหรือเปล่า พี่ก็เข้าใจในมุมของพ่อบี เพราะพี่รู้สึกว่าเขาน่าจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เขาเลี้ยงบีมาแบบ ถ้ามันทำไม่ดีก็ด่ามันไปตรงๆ ถ้ามันทำดีก็ชมมันจะได้ทำต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ถ้าบีไม่ได้ทำสวนทุเรียนเพื่อที่อยากให้พ่อบอกว่า บีเป็นลูกที่ดี พี่ว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวบีมากกว่า ถ้าทำอะไรให้โฟกัสไปที่เราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำเพื่อดูว่าพ่อเขาชอบหรือไม่ชอบ’

            และสุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘งานที่บีทำอยู่มันไม่ง่าย แต่บีโชคดีที่พ่อบีรู้ทุกอย่าง เหมือนบีเป็นความหวัง เขาเลยอยากเอาสิ่งที่รู้ทั้งหมดมาใส่ที่ตัวบี มันเลยทำให้บียากกว่าคนอื่น เหนื่อยกว่าคนอื่น แต่พี่มองว่าบีเก่งนะ บีอายุ 24 บีสามารถมีโบนัสปีละ 2 แสน พี่เลยไม่รู้ว่าจะต้องแนะนำอะไรบี เพราะบีเก่งอยู่แล้ว แค่บีไปต่อด้วยความเข้าใจ เอามายเซ็ทของพี่เผือกและพี่เติ้ลบวกๆ ไปแล้วใช้ชีวิตต่อ บีรักในสวนทุเรียน แล้วพ่อก็รักในสวนทุเรียน แค่ทั้ง 2 คน มีระหว่างทางที่วิธีคิดมันต่างกัน แต่เป้าหมายเหมือนกันเลย แค่ลองเปลี่ยนมุมมองดู’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมผิดไปแล้ว... ภรรยาจับได้ว่าผมเซฟรูปเพื่อนภรรยาไว้ในไดร์ฟ ใช้ AI ตัดต่อให้เพื่อนภรรยาเปลือย จะเก็บไว้ดูคนเดียว เพราะไปอ่านเจอในกระทู้มาว่า ‘ลองกับคนใกล้ตัวจะตื่นเต้นดี’ พอภรรยาเห็น รับไม่ได้ ไม่ให้อภัยผม ต่อจากนี้ผมจะทำยังไงดีครับ?

08 มี.ค. 2024

ผมผิดไปแล้ว... ภรรยาจับได้ว่าผมเซฟรูปเพื่อนภรรยาไว้ในไดร์ฟ ใช้ AI ตัดต่อให้เพื่อนภรรยาเปลือย จะเก็บไว้ดูคนเดียว เพราะไปอ่านเจอในกระทู้มาว่า ‘ลองกับคนใกล้ตัวจะตื่นเต้นดี’ พอภรรยาเห็น รับไม่ได้ ไม่ให้อภัยผม ต่อจากนี้ผมจะทำยังไงดีครับ?

“คุณปุ๋ย (นามสมมติ)” อายุ 39 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [6 มีนาคม 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาที่ภรรยาไปเจอรูปวาบหวิวของคนใกล้ตัวที่เราแอบเซฟไว้ โดย “คุณปุ๋ย (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตอนนี้ผมมีปัญหากับภรรยา เนื่องจากภรรยาเปิดคอมพิวเตอร์ผมเพื่อหารูปลูกสาวที่ภรรยาเผลอลบไป แล้วดันไปเจอรูปวาบหวิว หนังติดเรท ซึ่งเป็นรูปของเพื่อนสนิทและคนใกล้ตัวของภรรยาที่ผมเป็นคนตัดต่อ เพื่อเอาไว้ช่วยตัวเอง เพราะผมไปอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตว่า “ลองช่วยตัวเองกับรูปคนใกล้ตัวจะตื่นเต้นมากกว่า” พอภรรยาเห็นรูปพวกนั้นก็พยายามคิดหาเหตุผลกับตัวเองว่าผมทำแบบนั้นทำไม จนภรรยาบอกกับผมว่าเราควรแยกทางกัน ส่วนลูกสาวภรรยาจะเป็นคนดูแลเอง อีกอย่างหนึ่งที่ผมยอมรับผิด คือ ผมเฉยชากับครอบครัวและมักจะผลักภาระทุกอย่างเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกให้ภรรยาดูแลทั้งหมด ซึ่งภรรยาก็ทำงานไปด้วยและเลี้ยงลูกไปด้วย เวลาที่ผมเหนื่อยกับการทำงานและกลับบ้านมาเจอลูกงอแง ผมก็จะผลักให้ภรรยา เรื่องนี้ก็สะสมมาเรื่อย ๆ จนทำให้ผมมองว่าความรักที่เคยมีให้กันจืดจางลง ยิ่งภรรยาไปเจอรูปวาบหวิวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ภรรยาก็พูดกับผมว่า “ผมทำหน้าที่พ่อได้ขาดตกบกพร่อง ในเรื่องของการดูแลภรรยาและลูก” ผมเองก็รู้สึกผิดกับภรรยามาก เพราะไม่ดูแลเหมือนตอนแรก ๆ ที่จีบกัน หลังจากที่ภรรยาขอหย่า ผมก็พยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามเข้าหาลูก ดูแลลูกมากขึ้น ผมยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อย แต่ลูกก็เข้าหาผมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผมคิดกับตัวเองว่าผมก็ทำได้แต่ทำไมผมถึงไม่ทำตั้งแต่แรก ตอนนี้ภรรยาก็เหมือนจะดีขึ้น แต่ภรรยาก็ยังมองว่าที่ผมทำอยู่เพราะรู้สึกผิดหรือเปล่า ทำแค่ช่วงแรก ๆ พอเวลาผ่านไปก็คงเป็นเหมือนเดิมอีก เพราะความเชื่อมั่นที่มีผมเป็นคนทำมันพังกับมือตัวเอง แล้วผมจะเป็นคนแก้ไขได้ยังไง? ซึ่งเหตุผลที่ภรรยาขอหย่าก็คือ ภรรยารับไม่ได้เรื่องรูปวาบหวิว เพราะภรรยาไม่รู้จะทำตัวยังไงเวลาเจอเพื่อน จะมองหน้าเพื่อนติดไหม? ทำไมภรรยาต้องมารู้สึกผิดกับเพื่อน ทั้งที่ภรรยาไม่ได้เป็นคนทำผิด แล้วยิ่งผมก็มีลูกสาว ผมทำอะไรไม่คิดถึงความรู้สึกลูกสาว ภรรยารู้สึกขยะแขยงผมมาก ผมก็รู้สึกแย่มาก ๆ อยากขอโอกาสแก้ตัว แก้ไขเรื่องนี้ ผมก็กลัวว่าภรรยากับลูกจะทิ้งผมไปก่อนที่ผมจะทำสำเร็จ เพราะภรรยามองว่ามันทรมานมาก เรื่องที่อยากขอคำปรึกษาคือ ผมจะสร้างความเชื่อใจใหม่ให้กับภรรยาได้ยังไง?’ งานนี้ “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘2 สิ่งที่ผู้หญิงจะดูคือ 1. คือความตั้งใจในการสำนึกผิดและเรื่องคำสัญญาที่ให้ไว้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก 2. คือการกระทำ ซึ่งจุดอ่อนของผู้หญิงคือ ลูก เล่นกับลูกในสิ่งที่ภรรยาเล่นกับลูกไม่ได้ ทำให้ครอบครัวนี้ขาดคุณปุ๋ยไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำเพื่อเอาคะแนน ทำเพื่ออยากรักษาครอบครัวไว้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องมาจากใจ ถ้าวันนี้ครอบครัวที่มีภรรยาและลูกคือความสุขของคุณปุ๋ย ทุ่มทุกอย่างให้สุด เพื่อที่จะดูแลครอบครัวนี้ ให้เวลา และชดเชยในสิ่งที่ผ่านมา ทำให้ภรรยาไม่เหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือทางจิตใจ ก็อยากอวยพรให้ภรรยายังอยากอยู่เป็นครอบครัวต่อ เพราะฉะนั้นรีบซื้อใจลูกให้ได้มากที่สุด’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คุณปุ๋ยต้องบอกกับตัวเองก่อนว่าต้องเหนื่อยแน่ ๆ กับการที่จะทำทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณปุ๋ยเห็นปลายทางว่า ความเหนื่อยที่เราจะต้องตัด เรื่องรสนิยมบางอย่างที่เราชอบออก เปลี่ยนแปลงนิสัยที่เคยทำกับครอบครัว และไม่รู้ว่าความไว้ใจจะกลับมาเมื่อไหร่ ซึ่งคุณปุ๋ยก็ไม่มีสิทธิ์ไปเร่งภรรยาว่าทำมาจะกี่ปีแล้วแต่ทำไมยังต้องทำอยู่ ทั้งหมดคือคุณปุ๋ยต้องทำใจยอมรับเลยว่า ไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งสิ้น ถ้าคุณปุ๋ยอยากให้ปลายทาง ยังคงเป็นครอบครัวเหมือนเดิมอย่างที่คุณปุ๋ยต้องการ พี่อยากให้กำลังใจว่า สักวันมันต้องมีวันที่คุณปุ๋ยเหนื่อยมาก ๆ ทั้งเอาใจภรรยาและดูแลลูก ก็อยากให้คุณปุ๋ยนึกถึงภาพสุดท้ายว่า วันนั้นเรายังมีกันและกันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก สุดท้ายไม่ว่าคุณปุ๋ยจะพยายามสักเท่าไหร่ แต่ภรรยาไม่สามารถเอาความเชื่อใจนั้นกลับมาได้ คุณปุ๋ยก็ต้องยอมรับให้ได้ หลังจากนั้นก็หาวิธีที่จะเป็นพ่อแม่ของลูกให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ อย่าเอาแต่ความต้องการเราอย่างเดียว จนอีกคนเขาไม่มีความสุข’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เรื่องนี้ต้องขอบคุณลูกสาวให้เยอะ ๆ คุณปุ๋ยต้องใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดเพื่อภรรยาและลูก คุณปุ๋ยทำเพื่อตัวเองมาตลอด ละเลยครอบครัวจนลูกสาว 4 ขวบ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก ต่อจากนี้ไม่ว่าภรรยาจะไม่มีเหตุผล หรืองี่เง่าอะไร คุณปุ๋ยคงต้องยอมทุกอย่าง เพื่อที่จะให้ได้ใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้สำหรับผมมันหนักเหลือเกิน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

สาววัย 20 กลุ้มใจ ทะเลาะแฟนโดนบีบคอ จนหายใจไม่ออก ตอนนี้ตัดสินใจจะยุติความสัมพันธ์ แต่พ่อแม่เค้าบอกว่า "ระวังจะเป็นฝ่ายแพ้นะ ถ้าเลิกกับลูกเค้า"

01 ธ.ค. 2023

สาววัย 20 กลุ้มใจ ทะเลาะแฟนโดนบีบคอ จนหายใจไม่ออก ตอนนี้ตัดสินใจจะยุติความสัมพันธ์ แต่พ่อแม่เค้าบอกว่า "ระวังจะเป็นฝ่ายแพ้นะ ถ้าเลิกกับลูกเค้า"

“คุณจี (นามสมมติ)” อายุ 20 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาที่ทะเลาะกับแฟนรุนแรง จนถึงขั้นโดนเขาทำร้ายร่างกาย แต่ครอบครัวแฟนกลับบอกให้เราอยู่ต่อ โดย “คุณจี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เพิ่งทะเลาะกับแฟนมา แล้วโดนบีบคอ แต่ทางฝั่งครอบครัวแฟนบอกให้อยู่ต่อ เพราะกลัวเราจะแพ้ คือเราเป็นเมียหลวง แต่ทีนี้แฟนหนูเขาไปมีมือที่สาม เรื่องราวเกิดขึ้นมาหลายครั้ง แต่ว่าครั้งนี้หนักที่สุด เราอยู่กับแฟนมา 3 - 4 ปี แล้วก็มีเรื่องมือที่สามมาตลอด โดยที่เขาไม่ได้มีคนเดิมแต่เปลี่ยนคนไปเรื่อย ๆ เวลาเราจับได้ เขาก็จะยอมเลิกแล้วเลือกเรา เหมือนว่าพอต่างคนต่างตัดสินใจไปมีคนอื่น สุดท้ายก็กลับมาหากันอยู่ดี หนูตัดสินใจมาอยู่กับเขาตั้งแต่เรียนอยู่ จนตอนนี้ก็ทำงานไปด้วย เรียนมหาลัยไปด้วย เขาก็คะยั้นคะยอตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ว่าให้เรามาอยู่ด้วยกับเขา ถ้าเรามาอยู่กับเขา เขาจะปรับปรุงตัว ก็ทำให้เราเชื่อ แต่หนูก็พยายามปฏิเสธมาตลอด จนกระทั่งสุดท้ายหนูตัดสินใจมา เพราะว่าทางครอบครัวหนูเองก็มีปัญหาเลยตัดสินใจมาอยู่กับเขา พอมาอยู่ ก็ทะเลาะกับเขา เรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้เราเลิกกันไปแล้ว หนูก็มีผู้ชายคนอื่น แต่เราก็เคลียร์กันไปหมดแล้วก่อนที่จะมาอยู่กับเขา แต่เขาก็มาเห็นแชทที่เราคุยกับผู้ชายพวกนั้น จนเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา เขาโมโหเรา แย่งโทรศัพท์กัน แล้วเขาก็บีบคอเรา คือเขาบีบคอเหมือนเราใกล้จะตาย บีบทั้งหมดสามรอบ โดยรอบแรกบีบเบา ๆ รอบสองหนักขึ้นเรื่อย ๆ พอมารอบที่สามหนูหายใจไม่ออกแล้ว ไม่มีใครห้ามเพราะไม่มีใครเห็น ที่เขาหยุดเพราะหนูพูดเบา ๆ ว่า “มึงบีบกูให้ตายไปเลย ให้ตายคามือมึงไปเลย” เขาเลยค่อย ๆ คลายมือเขาออก พอหนูเล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวแฟนฟัง ตอนแรกเขาก็จะให้หนูกลับไปอยู่บ้านหนู แต่สุดท้ายเขาไม่ให้หนูกลับ เพราะเขากลัวว่าหนูจะแพ้ผู้หญิงที่เป็นมือที่สาม คำถามที่อยากถามพี่ๆวันนี้ก็คือ หนูจะทำยังไงต่อไปดี ในเมื่อฝั่งทางแฟนไม่ให้หนูไปไหน...’ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผู้ชายแบบนี้น่ากลัวที่สุด ไอพวกเลิกยาก ต้องหนีเท่านั้น กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ก็โดนตาม แล้วทรงหนูดูใจอ่อนด้วย เขาทำหนูตั้งกี่ครั้งแล้วหนูยังทนได้เลย ฉะนั้นหนูมีทางเดียวคือ บล็อคทุกอย่างแล้วก็หนี หนีไปอยู่กับใครสักคนนึงที่เขาไม่รู้จักแล้วตามไม่ได้ โทรศัพท์ก็เปลี่ยนเบอร์เลย ไม่งั้นชีวิตพ้นน้ำยากมาก อีนี่จะตามอยู่เป็นปีบอกเลย ยกเว้นอีตัวเมียใหม่มันดี แต่คือถ้าเขายังหึงขนาดบีบคอหนูได้ แบบนี้พี่ว่าตามแน่นอน แล้วอีกอย่างนึงก็คือการมีหนูอยู่เขาไม่ได้เสียอะไรเลยนะ เขาสามารถมีคนอื่นก็ได้ ซึ่งผู้หญิงฉลาด ๆ จะไม่ทน ฉะนั้นพี่แนะนำให้หนูไปอยู่กับใครสักพักนึง แล้วก็ค่อยหางานทำ แต่ใจต้องแข็งต้องบล็อก บล็อกทุกอย่างเลย ส่วนพ่อแม่เขาก็ช่าง ไม่ใช่พ่อแม่เรา ไม่ใช่เรื่องที่จะมาให้กูไปทนทุกข์ บ้าหรือเปล่า การที่เราได้ลูกเขาคือการแพ้ ใครได้ผู้ชายแบบนี้เป็นผัวคือแพ้กว่า ห่วงอีมือที่สามเหอะอีนั่นอะซวย’ ต่อมาเป็น “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หนีไปที่ ๆ เขาไม่รู้ แต่ว่าเราก็ต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ไว้ แล้วหนูก็ลบทุกอย่างที่จะตามได้ โซเชียลทุกอย่างหนูลบไปก่อนให้หายไปก่อน ไปเริ่มชีวิตใหม่ไปหางานใหม่ทำ แล้วก็พี่อยากเสริมว่าอย่าคิดว่าเป็นคู่แท้ อันนี้คือคู่ดันทุรังนะ คู่กรรมคูเวร ที่เหมือนหนูไม่รู้กันสักทีว่าจริง ๆ มึงไม่ควรอยู่ด้วยกันได้แล้ว แต่มึงยังหากลับมาเพื่อวันนี้มาบีบคออีก แล้วบีบครั้งนึงได้แล้วพี่ว่านางทำได้อีกแหละ’ และสุดท้ายเป็น “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ มันหมดคำถามตั้งแต่บีบคอแล้ว ไม่ต้องฟังอะไรอื่นเลย คืออย่างที่หอมบอกแค่มีชู้มันก็ควรจะเลิกละ แล้วแบบบีบคอกันมันไม่มีอะไรจะต้องฟังต่อแล้ว นอกจากเลิกซะ ไอที่เขาบีบคอเราเนี่ยถ้ามันเลยกว่านั้นอีกสักเท่าไหร่หนูก็คงไม่มีโอกาสโทรมาแล้ว การที่คนเรามันจะทำร้ายคนอื่นได้ มันไม่เหลือความชอบธรรมที่จะอยู่ด้วยกันแล้วแหละ ส่วนคำพูดจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไม่ต่างจากลูกเขาเลย ตรรกะประหลาดมาก คนที่ได้ลูกเขาไปนั่นแหละคือคนที่พ่ายแพ้ในชีวิตนี้ อย่าคิดว่าไอคนที่เราคบมาตั้งแต่มัธยม จะกี่ปี ๆ ก็เหอะ มันเป็นความคิดที่ผิด คือคนที่คิดแบบนี้โทรมารายการเราเยอะมาก ว่าแบบนี่คือแฟนคนแรก ก็เพราะมันเป็นแฟนคนแรกและหนูยังไม่เห็นคนที่ดีกว่าไง หนูถึงคิดว่านี่คือรักแท้ ถ้าหนูแค่ปิดประตูบ้านออกไปมองซ้ายมองขวาบางคนเดินผ่านไปผ่านมา ไอนี่ก็ดีกว่าผัวหนู ไอนี่ก็ดีกว่าแฟนหนู คนที่ดีกว่าแฟนหนูเยอะแยะไปหมด แต่เขาก้ไปมีคู่ดี ๆ แล้วแหละ ยิ่งหนูเสียเวลากับคนนี้ หนูก็จะไม่มีโอกาสเจอคนดี ๆ เพราะว่าเปิดประตูออกไป อ่อ...คนนั้นก็มีแฟน คนนั้นเขาก็เพิ่งแต่งงาน คนนั้นเขามีครอบครัวที่ดีไปแล้ว สุดท้ายจะเหลือแต่คนไม่ดีให้หนูเลือก เลือกหน่อย แล้วก็ครั้งแรกไม่จำเป็นต้องดีที่สุดลูก แล้วมันน้อยมากเท่าที่พี่เจอมาที่รักครั้งแรกจะเป็นรักครั้งสุดท้าย มันต้องโป๊ะเชะ มันต้องคนดีเจอคนดี ไม่แน่คนดีเจอคนดียังเลิกกันก็มี เพราะมันเจอกันเร็วไป หรือมันคบกันนานไป มันไม่มีความเชื่อมโยงอะไรเลยกับรักครั้งแรก กับคู่ชีวิต ไม่เกี่ยวเลย แล้วก็การที่เขามาบรรจงบีบคอเราสามสเต็ปเนี่ย มันไม่ต้องมีคำถามอะไรอีกแล้ว จริง ๆ จีไม่ต้องโทรมาถามก็ได้ ถ้าจีรักตัวเองมากพอ มันไม่ควรมีใครทั้งนั้นมาบีบคอเรา จงรักตัวเองให้มาก แล้วจีจะรู้ว่าจีต้องทำยังไง มันเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอด สัญชาตญาณการหนีตายของสิ่งมีชีวิตพื้นฐานเลย เราไม่อยู่กับสิ่งที่เป็นอันตรายกับชีวิตเรา นี่คือพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตไม่นับมนุษย์ด้วยซ้ำ สัตว์เดรัจฉานยังหนีสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตมันเลย แล้วทำไมมนุษย์เราที่มีมันสมองมีความคิดขนาดนี้ ถึงยอมที่จะอยู่กับคนที่เป็นอันตรายกับชีวิตเราหล่ะ ม้าลายมันยังวิ่งหนีสิงโตเลย รักชีวิตเราให้มากลูกแล้วก็เด็ดขาด ต้นหอมอาจจะคิดว่าเขาจะตามไป แต่ถ้ามันไม่มีหนทางแล้วจริง ๆ อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ให้พ่อแม่คุ้มครองเรา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คุณแม่โทรปรึกษา 3 ดีเจ มีลูกสาวอายุ 11 ขวบ เขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเรียน บางวันทำการบ้าน อ่านหนังสือถึงตี 1 – 2 รู้สึกว่าเขาจะมีภาวะเครียดสะสม ไม่มีความสุขเวลาไปโรงเรียน พาเขาย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิม

22 พ.ย. 2023

คุณแม่โทรปรึกษา 3 ดีเจ มีลูกสาวอายุ 11 ขวบ เขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเรียน บางวันทำการบ้าน อ่านหนังสือถึงตี 1 – 2 รู้สึกว่าเขาจะมีภาวะเครียดสะสม ไม่มีความสุขเวลาไปโรงเรียน พาเขาย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิม

คุณแม่โทรปรึกษา 3 ดีเจ มีลูกสาวอายุ 11 ขวบเขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเรียนบางวันทำการบ้าน อ่านหนังสือถึงตี 1 – 2 รู้สึกว่าเขาจะมีภาวะเครียดสะสมไม่มีความสุขเวลาไปโรงเรียน พาเขาย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิมตอนนี้แม่รู้สึกกังวลและเป็นห่วงมาก ควรพาลูกสาวไปพบจิตแพทย์ดีไหม? “คุณแม่เหมียว (นามสมมติ)” อายุ 48 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (8 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับเรื่องของลูกสาวอายุ 11 ขวบ รู้สึกกังวลและเป็นห่วง เพราะเขาเครียดเกินวัย โดยสายนี้ “คุณแม่เหมียว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ลูกสาวค่อนข้างมีภาวะเครียดสะสม ไม่มีความสุขเลยเวลาที่ลูกสาวอยู่ในโรงเรียน ต้องบอกว่าลูกสาวส่วนตัวเป็นคน Perfectionist มาก ทำอะไรก็ต้องดีทุกอย่าง เขาเป็นคนที่ลายมือสวย ระบายสีสวย แม้กระทั่งการเรียนก็ต้องดีที่สุด เขาจะสร้างบรรทัดฐานของตัวเองให้เป็นคนที่ดีมาตลอด จนทำให้เขาเริ่มมีความเครียดสะสม พอลูกสาวเราขึ้น ป.5 การเรียนของเขาก็เริ่มเข้มข้นขึ้น ครูที่สอนก็ไม่ได้ใจดีเหมือนเมื่อก่อน จะมีดุบ้าง ด่าบ้าง แต่ไม่ได้ดุหรือด่าลูกสาวเราคนเดียว หมายถึงว่าเขาก็พูดถึงโดยรวม แต่ลูกสาวเราก็จะเก็บมาคิดมาก เวลามีการบ้านเขาก็จะนั่งทำจนดึกดื่น ยิ่งช่วงสอบเขาจะนั่งติวหรืออ่านหนังสือดึกมาก บางทีอ่านไม่เข้าใจ เขาก็จะร้องไห้ หรือให้เราปลุกเขาตั้งแต่ตี 5 เรารู้สึกว่ามันเครียดเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรจะเป็น ซึ่งเขาก็เป็นคนที่มีภาวะเครียดมาหลายปีอยู่แล้ว เคยมีเหตุการณ์หนึ่ง สมัยที่ลูกสาวเราเรียนอยู่ที่โรงเรียนเก่า เขามีภาวะเครียดเกี่ยวกับครูผู้สอน แม่ก็แก้ปัญหา โดยการพาเขาย้ายโรงเรียนไป ซึ่งเราก็มีการคุยกับครูไว้ว่าให้ดูแลเขาเป็นพิเศษ ตอนที่ลูกสาวขึ้น ป.5 คุณครูที่สอนแต่ละวิชาก็มีหลากหลายขึ้น แม่ก็เข้าใจ เพราะว่าแม่ก็อยากให้เขาเจอกับสังคมที่มันหลากหลายอยู่เหมือนกัน เพราะโตไปเขาก็ต้องเจออะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่เหมือนว่าลูกสาวยังคงเครียดอยู่เหมือนเดิม วันนี้เลยอยากปรึกษาว่า แม่ควรพาลูกสาวไปพบจิตแพทย์ไหม? เพราะว่าคุยกับหลาย ๆ บอกเราคิดไปเอง บางคนก็บอกว่ามันคือธรรมชาติของเด็ก ดีแล้วที่ลูกสาวเรามีความขยันมุ่งมั่นดี แต่เราก็รู้สึกว่ามันหนักเกินไปอยู่ดี หรืออีกอย่างที่อยากสอบถามคือ เราเองหรือเปล่าที่ต้องไปพบจิตแพทย์เอง เพราะรู้สึกว่าเราจะห่วงลูกมากเกินไป ซึ่งดีเจทั้ง 3 คน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ว่า ‘สำหรับพวกเรา สิ่งที่เกิดกับลูกเป็นสิ่งที่ต้องคิดมาก ต้องใส่ใจอยู่แล้ว มันต้องคอยสังเกต สิ่งแบบนี้มันเป็นอะไรที่น่ากังวลมาก อะไรที่มันแพ้ไม่ได้ ยอมรับความผิดหวังไม่ได้ เราควรที่จะพาเขาไปพบจิตแพทย์เลยตอนนี้ เพราะว่าเด็กวัยนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว ตอนนี้เรายังควบคุมเขาได้ ควรที่จะพาเขาไปให้เร็วที่สุด มันเครียดเกินไป เหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเลย ได้วิ่งเล่นหมือนเด็กคนอื่น ๆ เลย ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกแล้วมันเครียด มันมีปัญหา ก็ไปพบจิตแพทย์ได้ เพราะเขาจะบอกเลยว่าคุณแม่ควรที่จะทำตัวยังไงเพราะว่าเราเป็น Effect สำหรับเขาอยู่แล้ว มันต้องเริ่มที่คุณแม่ เดี๋ยวลูกก็จะปรับไปตามนั้น การมีลูกเราคิดน้อยไม่ได้ มันควรมีความบาลานซ์กัน ในระหว่างรอที่จะไปพบแพทย์ เราก็หาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกในเน็ตดูก่อน มันจะมีข้อมูลมากมาย ทั้งเทคนิคต่าง ๆ หรือคลิปวิดีโอที่มันจะพอเป็นแนวทางสำหรับคุณแม่ได้ หรือหากิจกรรมระหว่างครอบครัวให้เขารู้สึกได้ผ่อนคลาย รวมถึงการศึกษาที่มันเข้มข้นมากเกินไปอาจจะยังไม่เหมาะ ถ้ามันจะทำให้เด็กคนนึงต้องมีภาวะเครียดขนาดนี้ โรงเรียนทางเลือกอาจจะเป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่งก็ได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

22 ม.ค. 2024

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

“คุณเอ(นามสมมติ)” อายุ 21 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 มค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก เกี่ยวกับปัญหาที่พึ่งรู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือน โดย ​“คุณเอ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คุณแม่อายุประมาณ 53 ปี เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ไขสันหลัง ซึ่งอาการตอนนี้กำลังลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ คุณแม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแต่ไม่ได้บอกคนในครอบครัว และแอบไปรักษาคนเดียว คุณแม่มีลูก 2 คน หนูอายุ 21 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ และพี่ชายอายุ 25 ปี ทำงานฟรีแลนซ์ ได้คุยกับพี่ชายพี่ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน คุณพ่อก็อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ได้อะไรกับคุณแม่แล้ว แค่ทำหน้าที่พ่อและแม่เฉย ๆ หลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งก็ช็อคเหมือนกัน เขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่ ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลแต่ต้องไปฉีดมุ่งเป้า (คือการฉีดเฉพาะจุด) อยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้คุณแม่ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่จะปวดตามกระดูก ตามข้อ ซึ่งวันที่คุณแม่มาบอก ตอนนั้นอยู่ ๆ เขาก็พูดว่า แม่เป็นมะเร็งระยะที่สาม แล้วที่เขาบอกว่าอยู่ได้อีก 6 เดือนคือมันห่างจากตอนนั้นแค่ 3 เดือน หนูรู้สึกว่ามันเร็วมาก และช่วงนี้เขาชอบพูดเกี่ยวกับเรื่องเขาตายบ่อย ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนูเครียด คุณแม่ก็เครียดมากเพราะเป็นห่วงว่าถ้าเกิดเขาไปแล้วจะอยู่กันยังไง...? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘วันนี้คงเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ยากลำบาก คือสถานการณ์ของการสูญเสีย แต่ต้องยอมรับว่าไม่ว่าใครทุกคนบนโลก เขาก็ไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอด ทีนี้เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่บ้านยังไม่ทันเตรียมตัว แล้วพี่ก็ไม่อยากให้คุณแม่เครียด ณ วันนี้ถ้าทุกคนที่บ้านเครียด ตัวคุณแม่เครียด มันก็จะทำให้ช่วงระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ความสุขมันก็ลดน้อยลงไปอีก เราอาจจะต้องเติมพลังบวกให้กันและกัน เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีข่าวคุณหมอคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เค้าเองก็รู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เค้าก็เหมือนเติมพลังบวกให้กับตัวเอง ในการคิดว่ามันจะเป็นการออกเดินทางครั้งใหม่นะ เราอาจจะช่วยคุณแม่ ถ้าคุณแม่เป็นห่วงเรา เราอาจจะต้องทำตัวให้เราดูแข็งแกร่ง เป็นคนเก่ง แม่ไม่ต้องกังวลเลย เสาร์-อาทิตย์นี้อยากทำอะไรก็ทำด้วยกัน ให้รู้สึกว่าวันทุกวันเราสร้างความสุขแบ่งปันความสุขในทุก ๆ วันที่เราเจอกัน และก็เป็นกำลังใจให้กับเอและพี่ชายแล้วก็ครอบครัวทุกคนเลย ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าช่วงเวลามันมีแค่ 6 เดือนตามที่คุณหมอบอก ซึ่งจริง ๆ มันมีปาฏิหาริย์เยอะแยะมากมายว่าถ้ากำลังใจของคนไข้ดี บางทีมันอาจยาวนานกว่านั้น แต่ถ้า 6 เดือนตามนั้นจริง ๆ พี่ก็แค่อยากบอกน้องเอว่า อยากให้ใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เวลามันเดินถอยหลัง ถ้าท่านอยากทำอะไรโดยที่มันไม่ไปขัดขวางการรักษา พี่อยากให้น้องเอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่ แล้วก็สิ่งหนึ่งที่พี่ฟังเหมือนท่านยังเป็นห่วง พี่อยากให้น้องเอทำเพื่อให้ท่านได้รู้ว่าถ้าไม่มีท่านอยู่จริง ๆ หนูกับพี่ชายจะอยู่กันได้ดี เพื่อที่ท่านจะไปอย่างไม่มีห่วงอะไร แต่ถ้าน้องเอทำให้ท่านรู้สึกเป็นห่วงด้วยการเสียใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำให้ท่านเห็นรอยยิ้ม พี่ว่าอันนี้ท่านจะยิ่งเป็นห่วง พี่รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่บางทีคนที่ป่วยเขาไม่อยากเห็น คือคนรอบข้างเป็นทุกข์เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ มันอาจจะต้องฝืน หนูอาจจะร้องไห้ในห้องได้หรือคุยกับพี่แล้วเศร้าใจได้ แต่เวลาอยู่กับท่านอยากให้ส่งพลังบวกให้กันและกัน เพราะเรื่องกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนป่วย ถ้าทำได้อยากให้เป็นแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดท่านจะได้รู้สึกว่าเราอยู่กันได้และมีชีวิตต่อไปได้อย่างดี เขาจะได้ไม่เป็นห่วงเรามาก อย่างสุดท้ายพี่ฝากไว้ละกันเผื่อถ้าเวลามันมาถึง บางทีคนที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ เวลาเชื้อมะเร็งกัดกินแล้วไม่รู้สึกอะไร ถ้าคุณหมอบอกว่าในอีกไม่กี่วันเขาจะไม่รับรู้แล้ว อยากให้น้องเอและคนในครอบครัวไปคุยกับเขาเป็นวาระสุดท้าย เพราะ ณ ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก สำหรับผู้ป่วยก่อนที่เขาจะไม่รู้ตัวและสื่อสารอะไรไม่ได้อีกแล้ว อันนี้พี่พูดในกรณีที่ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ เหมือนเราเตรียมให้เขาไปอย่างสงบ เคลียร์ทุกอย่างบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง หนูกับพี่กับพ่อจะอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วเราจะคิดถึงเค้าด้วยรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อที่เค้าจากไปแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้น้องเอนะ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ จะไม่พูดถึงว่าเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มันก็เป็นการประมาณการ สำหรับพี่ไม่อยากให้เอามาเป็นประเด็นเท่าไหร่ การที่เราเกิดมาเรารู้ว่ามันต้องมีอายุขัย สิ่งในชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้มันมีอายุขัยของมัน ณ วันที่เราเกิด เราก็มาพร้อมกับแพ็กเกจคำว่าตายอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแต่ไม่มีใครอยู่ได้ จริง ๆ มันเป็นสัจธรรมมากเลยเนาะ แต่ว่ามันก็ยากในวัย 21 ปีที่เราจะเข้าใจว่าไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็ต้องจากกันอยู่ดี ทีนี้ความรู้สึกกะทันหันของเอ ถ้าได้คุยกับคนอื่นที่ประสบเหตุกันคนละอย่างกับที่เอเจอ ในหลาย ๆ สายที่เค้าโทรมาว่าคนที่เขารักประสบอุบัติเหตุกะทันหันชนิดที่ว่าเราไม่ได้แม้แต่จะบอกลา ถ้าเค้าเลือกได้บางทีเค้าอาจจะอยากให้เค้ามีเวลาบ้างอย่างที่เอมี อันนี้พี่เปรียบเทียบให้ดูว่าในความที่เราคิดว่าเรากำลังเจอเรื่องราวที่เลวร้าย อย่างน้อยเรายังมีโอกาสทำให้ในทุก ๆ วันที่มันยังมีอยู่ด้วยกัน ย้อนไปในวัย 21 ปี พี่ก็เสียคุณแม่ไปตอนปี 2 ก็ ณ วันนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่ได้เป็นพ่อคน เรายังไม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกมากพอ เรายังไม่ได้แสดงออก เรายังไม่ใช้โอกาสสุดท้ายในการบอกอะไรที่บางทีเรายังไม่ได้บอก เราก็แค่เขิน ไม่กล้าพูดอย่างที่เติ้ลบอก เพราะเราคิดว่ายังมีเวลา จนเมื่อเค้าไม่รู้ตัว เราถึงรู้ว่าคงไม่ได้บอกแล้ว ซึ่งถ้าเอได้ฟังอยู่ตอนนี้ก็คือ พี่ก็อยากให้เอมีโอกาสที่จะได้บอก บางครั้งเราแค่ไม่กล้าพูดว่ารัก เพราะว่าเราเป็นเด็กวัยรุ่นหรือเขิน ไม่กล้าพูด หรือคำพูดอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยบอก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ เอก็ยังมีเวลาที่จะทำให้ทุกวันที่ยังมีเค้าอยู่มันไม่มีอะไรติดค้าง ซึ่งสุดท้ายไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เศร้าหรอก ทุกคนก็เศร้าทั้งนั้น วันสุดท้ายของมนุษย์มันเป็นสิ่งที่ประหลาดนะทุกคนต้องเจอ แต่เรามักจะถือสาว่าเราไม่ควรพูด เพราะมันเท่ากับแช่ง แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้พิจารณามันบ้าง ลองนึกดูบ้างว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่มีคนที่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นยังไง อย่างน้อย ๆ ในวันนั้นเหมือนเราได้ซ้อมรับแรงกระแทกไว้แล้วบ้าง ซึ่งวันนี้เอมีโอกาสละพี่ว่าอยากให้ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ตอนนี้บอกหรือคุยกับเค้าไม่ให้มันมีอะไรติดค้าง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1