ชีวิตหนูกำลังจะไปได้ดี มีแฟน มีบ้าน ทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แพลนพาครอบครัวที่ไทย ไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่นแล้ว แต่ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 4 อยู่ในระยะแพร่กระจายแล้ว ตอนนี้เหมือนทุกอย่างที่แพลนไว้ พังลงไปหมดเลย หนูทำใจไม่ได้

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ชีวิตหนูกำลังจะไปได้ดี มีแฟน มีบ้าน ทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แพลนพาครอบครัวที่ไทย ไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่นแล้ว แต่ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 4 อยู่ในระยะแพร่กระจายแล้ว ตอนนี้เหมือนทุกอย่างที่แพลนไว้ พังลงไปหมดเลย หนูทำใจไม่ได้

13 มิ.ย. 2025

ชีวิตหนูกำลังจะไปได้ดี มีแฟน มีบ้าน ทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แพลนพาครอบครัวที่ไทย

ไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่นแล้ว แต่ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 4

อยู่ในระยะแพร่กระจายแล้ว ตอนนี้เหมือนทุกอย่างที่แพลนไว้ พังลงไปหมดเลย หนูทำใจไม่ได้

ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน  ตอนนี้ลำดับชีวิตตัวเองไม่ถูกเลย จะบินไปทำงานหาเงิน ส่งมารักษาแม่

หรือ จะอยู่กับแม่ที่ไทยเลยดี ใครที่มีคนใกล้ชิดเป็นมะเร็งแบบไม่ทันตั้งตัว ช่วยเล่าประสบการณ์ให้หนูฟังทีนะคะ

                “คุณหนู (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อวันพุธที่ผ่านมา [11 มิ.ย 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาชีวิต และคุณแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 4

                โดย “คุณหนู (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘บ้านหนูอยู่ต่างจังหวัด หนูทำงานมาตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มขายของ ส่วนคุณแม่เห็นว่าจริงจัง คุณแม่เลยคอยสนับสนุนในทุก ๆ เรื่อง คือหนูอยากทำเอง ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินหรืออะไร แค่เป็นคนชอบขายของ หนูทำจนแม่เห็นว่าได้เยอะ เลยช่วยเปิดร้านให้ หลังจากเรียนจบ หนูได้เข้ามาเปิดร้านในกรุงเทพ ตอนแรกคุณพ่อ คุณแม่ เขาก็อยู่ด้วยกันตามปกติ แต่พอหนูมาเปิดร้านที่กรุงเทพ แม่เขาก็ยอมเสียสละเวลาตรงนั้น เพื่อที่จะเข้ามาช่วยหนูทำงาน

                ปัจจุบันนี้หนูทำงานอยู่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ที่ไทยอยู่ ปกติหนูมีคุณแม่เป็นทุกอย่างในชีวิตเลย คือเวลาอยู่ต่างประเทศเวลามันจะไม่ตรงกันกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ไทย หนูก็จะเกรงใจ หนูเลยโทรหาแม่ ทุกเรื่องเลย แม้กระทั้งเรื่องเล็กน้อย แม่ก็จะเป็นกำลังใจ เป็นแรงสนับสนุนทุก ๆ อย่างเลย ทีนี้ก่อนที่หนูจะย้ายมาอยู่ต่างประเทศ หนูเปิดร้าน 2 ที่ แต่ต้องเลิกกิจการ เพราะตลาดที่นั่นมันได้ปิดตัวลงกระทันหัน และทางตลาดเขาไม่ได้แจ้งอะไร แล้วทีนี้ของที่เปิดร้าน มันเลยไปอยู่ที่บ้านคุณแม่ จนตอนนี้บ้านโทรมมาก หนูก็เลยท้อ

                หลังจากนั้นหนูได้บอกเลิกแฟนที่คบกันมา 6 ปี ว่า “เราคงไม่ได้เจอกันแล้วแหละ เพราะว่าเดี๋ยวไปอยู่ต่างประเทศครั้งนี้ เราจะไม่กลับมาแล้ว” ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจตั้งแต่ก่อนจะไปอยู่ต่างประเทศเลย ตั้งใจไปตั้งตัวใหม่ที่นู้น จริง ๆ ตอนแรกแค่ไปเรียนก่อน มันช่วงที่ติดโควิดพอดี เลยมีโอกาสในเรื่องของวีซ่า เพราะว่ามันกลับไม่ได้ ซึ่งตอนที่ไป คือตั้งใจว่าทำงานเก็บเงินให้ได้ไวที่สุด เพื่อที่จะแก้ไขที่เอาของไปไว้ที่บ้านคุณแม่ ทำให้บ้านคุณแม่โทรม วางแผนอนาคตไว้ว่าจะเคลียร์ของออกจากบ้านและทำให้เร็วที่สุด ทุกครั้งเวลาหนูโทรหาคุณแม่ หนูจะคุยแต่เรื่องคนอื่น เช่น เรื่องคุณยายที่อายุเยอะขึ้นแล้ว หรือคุณพ่อที่เป็นโรคหัวใจ ไม่เคยคิดเลยว่าวันนึง คุณแม่จะป่วย

                จนกระทั่งหลังจากหนูย้ายไปต่างประเทศ คุณแม่ได้ย้ายกลับไปอยู่ต่างจังหวัดที่พึ่งสร้างเสร็จ ซึ่งจริง ๆ พวกหนูไม่เคยมีบ้านที่ต่างจังหวัดมาก่อน อาศัยอยู่ในโรงงาน เหตุเพราะมันมีปัญหาเรื่องในครอบครัวนิดหน่อย แต่ในที่สุดคุณแม่ก็ได้ย้ายกลับไปอยู่ หลังจากที่หนูแยกเขาออกมาจากพ่อตัวเองนานแล้ว เขาไม่ได้เลิกกันหรืออะไร  มาวันหนึ่งอยู่ ๆ คุณแม่ก็เริ่มป่วย เริ่มไอหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไปหาหมอประมาณ 6 เดือน ทุก ๆ สองอาทิตย์ หมอบอกว่าแต่ว่า “คุณแม่เป็นคออักเสบ หลอดลมอักเสบ กรดไหลย้อน” และพอไป x-ray ปอด จึงเจอก้อนเนื้อประมาณ 2 เซนติเมตร แต่หมอบอกว่าไม่ใช่มะเร็ง

                พอเวลาผ่านไปแม่ก็ไอหนักขึ้น จึงได้ถามหมอไปว่า “ต้องมารักษาอีกไหม” หมอบอกว่า “หายแล้ว แค่ต้องกินน้ำอุ่น กินอะไรก็หายแล้ว” แต่คุณแม่ก็ยังไอไม่หยุด คุณพ่อเลยพาไปตรวจที่โรงบาลเอกชนและได้ฉีดสีที่ CT Scan จนเจอว่าก้อนเนื้อ 2 เซนติเมตรนั้นกลายเป็น 8 เซนติเมตร มันโตเร็วมาก ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน จนได้ตรวจกับหมอคนที่ 4 เขาแจ้งว่า “ก้อนเนื้อนี้ เป็นมะเร็งแน่นอน” ซึ่งตอนนั้นหนูอยู่ต่างประเทศ และคุณแม่เป็นคนโทรมาบอก หนูจึงต้องบินกลับมา

                แต่แล้วปรากฏว่าคุณแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 4 ลามไปที่คอ หนูเพิ่งรู้มาประมาณเดือนครึ่งเอง ตอนนี้หนูทำใจไม่ได้ หนูไม่แน่ใจว่าหนูควรจะวางแผนในชีวิตยังไงดี เพราะว่าใจนึงหนูก็อยากใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ เพื่อที่จะหาเงินได้เยอะ ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ และรีบกลับมาทำบ้านให้คุณแม่ตามคำสัญญา แต่เงินนั้นก็ต้องไปสู่การรักษาด้วย การรักษาตอนนี้ใช้สิทธิของรัฐบาลอยู่ แต่จะมียาบางตัวที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิการรักษา ซึ่งแค่เฉพาะยาเดือน ๆ นึง ตกประมาณ 200,000 – 400,000 บาทเลย

                ทางบ้านทุกคนก็ต้องช่วยกันหาเงินมารักษาคุณแม่อยู่ดี ถ้ามันถึงจุดนั้นขึ้นมา หนูไม่รู้จะโฟกัสกับอนาคตตัวเองเพื่อที่จะมารักษาคุณแม่ และทำบ้านให้แม่ตามคำสัญญาก่อนที่จะไปอยู่แล้วดี หนูไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต เพราะปกติหนูมีปัญหาอะไรที่นู้น หนูจะโทรหาคุณแม่ได้ทุกเรื่อง แต่พอตอนนี้คุณแม่เขาอยู่โรงพยาบาลใช้เครื่องช่วยหายใจมา 40 กว่าวัน แค่คิดว่าหลังจากนี้จะโทรหาเขาไม่ได้ตลอดไป หนูยิ่งไม่มี passion ในการใช้ชีวิต แบบคุณแม่เป็นคนที่เริ่มก้าวมาด้วยกันกับเรา หนูอยากให้เขาอยู่ในวันที่หนูประสบความสำเร็จแบบที่คิดไว้ด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้มันกะทันหันค่อนข้างมาก เพราะไม่ได้คิดไว้เลย  คุณแม่ไม่ได้มีอาการหรืออะไรที่ดูเป็นไปได้ตั้งแต่แรกเลย’

                หนูเลยอยากจะมาปรึกษาดีเจทั้งสามคนว่า “ตอนนี้หนูควรทำยังไง ควรจะกลับไปเมืองนอกหรืออยู่กับคุณแม่ ?” และ “ถ้าวันหนึ่งหนูต้องเสียคุณแม่ไปจริง ๆ หนูจะอยู่ยังไง ?”  คือหนูมีกำลังใจและใช้ชีวิตได้ เพราะว่ามีความฝันที่อยากจะทำบ้านให้คุณแม่ทุก ๆ วัน โดยที่ไม่เคยรู้สึกท้อ ไม่เคยเศร้า หรืออะไรเลย แม่เปรียบเหมือนกำลังใจสำคัญ ถ้ามีเขาอยู่ ก็จะทำให้มีความสำเร็จ

                โดยดีเจทั้งสามคน (ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม) ได้ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘การจากกันเป็นสัจธรรมของชีวิต มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ’

                ทางด้าน “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘ถ้ายังมีหลายคนในครอบครัวที่ช่วยหาเงิน การตัดสินใจอยู่ที่ไทยในช่วงนี้ก็อาจจะไหว อย่างน้อยก็เป็นระยะสั้น ๆ เพื่อดูทิศทางการรักษาว่าจะเป็นไปทางด้านไหน

                ส่วนในเรื่องที่กังวลว่าจะอยู่ได้ไหม พี่ไม่รู้จะปลอบใจยังไงดี เพราะพี่ก็เคยเสียคุณแม่ไปกะทันหันจากโรคนี้เช่นกัน แต่อยากให้หนูค่อย ๆ ใช้เวลานี้ในการทำให้ตัวเองได้เข้าใจธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ยังไงวันนึงคนเราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า อาจจะเกิดคำถามว่า “ทำไมเราต้องจากกันเร็ว” ซึ่งจากประสบการณ์ของพี่ การที่เรามานั่งหาคำตอบในเรื่องนี้ มัวแต่นั่งสมมติ ถ้าอย่างนู้น ถ้าอย่างนี้ พี่ว่ามันไม่ได้ทำให้เป็นประโยชน์อะไร พี่มองว่าใช้ช่วงเวลาที่เรายังอยู่ด้วยตรงนี้ให้ดีที่สุดด้วยเงื่อนไขที่บ้านเรามี ในชีวิตเราก็ยังมีอีกหลายคนที่เขาเห็นอยู่ และเขาก็ภูมิใจในสิ่งนั้น ไม่แพ้คุณแม่ ยังมีใครอีกหลายคนที่มองเข้ามาแล้วเห็นว่า “เราทำได้นี่หน่า”

                แม้ว่าต่อให้ทุกวันนี้นึกย้อนกลับไปมันอาจจะมีเสียดายไปบ้าง แต่แล้วไง มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ชีวิตมันก็ดำเนินแบบนี้มาแล้ว ฉะนั้นค่อย ๆ ทำใจและค่อย ๆ เรียนรู้ ใช้ช่วงเวลานี้ให้มันมีคุณค่าดีกว่า ช่วงเวลานี้ที่เรายังพออยู่ใกล้ ๆ ได้ ก็อยู่กับท่านไปก่อน ถ้าทุกอย่างมันเริ่มดีขึ้น ถึงค่อยบินกลับไปหาเงินส่งกลับมาก็ได้

                สุดท้ายชีวิตมันยังมีปลายทางที่เราจะต้องค่อย ๆ เดินไป เราอาจจะไม่ได้เดินเร็วขนาดนั้น เราอาจจะเดินขั้น ๆ ให้มันช้าลง แต่เราก็ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า แล้วค่อย ๆ หาสิ่งใหม่ ทั้งหมดทั้งมวล “จงทำเพื่อสร้างความภูมิใจให้ตัวเองเป็นหลัก” มันน่าจะดีกับชีวิตของหนู’

                ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘คุณหนูต้องอยู่ในแบบที่ตัวเองจะไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย ถ้าวันนี้แม่ของคุณหนูไม่ได้อยู่อีกต่อไปแล้ว นั่นหมายถึง อะไรที่คุณหนูคิดว่าทำแล้วตัวเองรู้สึกไม่ติดค้าง พี่แนะนำให้ทำ เช่น การที่คุณหนูลังเลว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ จนคุณแม่รักษาหาย หรือจะกลับไปหาความฝันตัวเอง บางเรื่องเราเป็นมนุษย์เราไม่สามารถที่จะมีทุกอย่างหรือสำเร็จทุกอย่างได้ดั่งใจตัวเอง การที่คุณหนูกังวลว่าจะไม่มีแม่อยู่ ฉันไม่มีความฝันแล้ว อะไรที่เคยตั้งใจคือมีแม่อยู่ในนั้นทั้งหมด แต่พี่อยากจะถามคุณหนูว่า “แล้วตัวคุณหนูหล่ะ มันยังไม่มีอยู่หรอ ?”

                ถึงคุณแม่จะไม่อยู่แต่คุณหนูยังอยู่และยังคงมีความฝัน ทำไมถึงไม่เอาสิ่งนี้เป็นแรงผลักดันว่า “ถึงในวันที่แม่ไม่อยู่ แต่ฉันยังมีความฝันนะ และวันนึงฉันจะทำให้มันสำเร็จ” และพี่เชื่อว่าถ้าวันนั้นมันมาถึงจริง ๆ การที่คุณหนูทำบ้านนั้นสำเร็จและเอารูปคุณแม่ไปตั้งอยู่ในบ้านหลังนั้น และบอกกับแม่ว่า “แม่ หนูทำสำเร็จแล้ว ถึงแม่จะไม่ได้อยู่กับหนูแล้ว แต่แม่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ที่หนูตั้งใจทำมัน”

                ความรู้สึก ความรัก ทุกอย่างมันยังคงอยู่ตรงนั้น และถ้าวันนี้หนูรู้สึกว่าหนูได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นแบบที่หวัง แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณหนูก็จะภูมิใจในตัวเองว่าเคยทำเต็มที่ที่สุดแล้ว’

                และสุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘ถ้าปัญหาเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลัก ให้เลือกอยู่กับคุณแม่ เพราะเวลาเงินซื้อไม่ได้ ตอนนี้เวลาของคุณแม่เคาท์ดาวน์แล้ว แต่ถ้าเงินเป็นปัญหาหลัก แปลว่าทางเลือกของหนูก็ไม่ได้มีมากนัก ให้ตัดเรื่องการซ่อมบ้านไปเลย มันกดดันตัวหนู ไม่ต้องเอามาเป็นปัจจัยทำให้เรากดดัน อยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่แม่ต้องการเห็นหรือต้องการจากหนู ไม่ใช่การซ่อมบ้าน เพราะตอนนี้แม่อยู่ในจุดที่เขารู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่กับหนูมันมีค่า และในมุมที่พี่เป็นแม่ ความห่วงลูก คือสิ่งที่แม่กังวลที่สุด

                ฉะนั้นถ้าอยากให้คุณแม่หมดห่วง ให้อยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตด้วยกัน ทำยังไงให้แม่รู้สึกว่า หนูจะอยู่ได้อย่างสบาย ถึงแม้ในวันนั้นอาจจะไม่มีแม่ และถ้าวันนึงไม่มีคุณแม่ อยากให้รู้ไว้ว่า “โลกเราเดินไปข้างหน้า สิ่งที่เราต้องเจอคือเส้นทางของสัจธรรม เมื่อไหร่ก็ตามที่เราก้าวไปข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่เราต้องพบเจออย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว”

                ท้ายที่สุดแล้วหากยังรู้สึกนอยด์ตัวเอง ‘การนั่งสมาธิ’ จะสอนให้เราไม่ยึดติดกับอะไรเลย แม้กระทั่งร่างกายของเรา’ สถานการณ์ตอนนี้มันยากลำบากมาก ๆ เป็นใครก็ทำใจได้ยาก แต่หวังว่าคุณหนูจะแข็งแรงโดยเร็วนะ เพราะตัวเราเป็นแหล่งกำลังใจที่สำคัญมาก ๆ ของคุณแม่เลย’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

สายสุดท้าย #พุธทอล์คพุธโทร ดีเจต้นหอมขอปรึกษาเอง! ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย? มันเป็นเรื่องที่หนูเคลียร์หมดแล้ว ชัดเจนไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน พิสูจน์หมดแล้วว่าหนูไม่ผิด ตอนนี้เจอลูกค้าแคนเซิลงาน โดนผลกระทบแบบนี้ แฟร์แล้วหรอคะ?

24 ต.ค. 2024

สายสุดท้าย #พุธทอล์คพุธโทร ดีเจต้นหอมขอปรึกษาเอง! ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย? มันเป็นเรื่องที่หนูเคลียร์หมดแล้ว ชัดเจนไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน พิสูจน์หมดแล้วว่าหนูไม่ผิด ตอนนี้เจอลูกค้าแคนเซิลงาน โดนผลกระทบแบบนี้ แฟร์แล้วหรอคะ?

สายสุดท้าย #พุธทอล์คพุธโทร ดีเจต้นหอมขอปรึกษาเอง! ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย?มันเป็นเรื่องที่หนูเคลียร์หมดแล้ว ชัดเจนไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน พิสูจน์หมดแล้วว่าหนูไม่ผิดตอนนี้เจอลูกค้าแคนเซิลงาน โดนผลกระทบแบบนี้ แฟร์แล้วหรอคะ?ต้นหอมขอพูดบ้างที่รายการแฉ GMM25 คืนนี้!! “ดีเจต้นหอม” สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [23 ต.ค.67] ได้ปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล’ ในรายการแบบสดๆ เกี่ยวกับปัญหาได้รับผลกระทบกับงานและเงิน โดย “ดีเจต้นหอม” ได้เล่าว่า ‘ลูกค้าแคนเซิลงานเรา กลัวไปทำภาพลักษณ์เเบรนด์เสียหาย ซึ่งเราไม่ได้เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ พิสูจน์เเล้วเรื่องนี้หนูไม่ได้ผิดเเต่ก็ได้รับผลกระทบจนต้องเสียงานเสียเงิน ก็ไม่ใช่ที่เราเป็นต้นเหตุเลย เราไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ต่อให้หนูเคลียร์เเล้วเเต่มันก็มีผลกระทบอยู่ดี เเล้วแบบนี้ใครต้องรับผิดชอบชีวิตหนู การงานการเงินหนู รายได้หนูที่จะเข้ามา นาน ๆ ทีหนูจะมีอีเว้นท์ซักทีนึง เเล้วเนี่ยพรีเซ็นเตอร์อีก 1 ตัวก็ยังลุ้นอยู่ว่าลูกค้าขอประชุมกันก่อนว่ายังไง เเล้วมันถูกพิสูจน์แล้วว่าหนูไม่ได้ผิด คนอื่นสร้างเรื่องขึ้นมา เเต่หนูได้รับผลกระทบ ก็เลยอยากจะปรึกษาพี่ๆดีเจทั้ง 2 คนว่าหนูโดนเเบบนี้มันแฟร์เเล้วหรอคะ?’ โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็เห็นใจ เป็นยุคที่ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับว่าคุณต้นหอมก็ตอบได้ค่อนข้างชัดเจน อาจจะต้องใช้ความเชื่อมั่นในตัวเอง รวมถึงต้องภาวนาให้ลูกค้าเขาเชื่อมั่นด้วย เราก็คาดเดาไม่ได้เพราะลูกค้าอาจจะไม่ได้หมายถึงองค์รวมประชุม อาจจะหมายถึงคนที่สิทธิ์ในการตัดสินใจเพียงเเค่ 1-2 คนที่เขาติด อย่าไปเสียความมั่นใจในตัวเอง ถ้าของไหนเป็นของเรามันก็จะมา’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ต้องมั่นใจในตัวเองว่าเราคือทองเเท้ ถ้าที่ชี้เเจงเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันเหมือนในตอนนี้เเสดงว่ามันคือสัจจะ มันคือความจริง ระยะเวลามันจะพิสูจน์เอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ

29 มี.ค. 2024

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนูแม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาทีให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ พีคสุด นัดครอบครัวผู้ชายมากินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นหนูยังเด็ก ทำตัวไม่ถูกเลย “คุณน้ำ(นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (27 มี.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาแม่สวมรอยเป็นเราไปคุยกับผู้ชายในเฟสบุ๊คจนได้คบกัน ถึงขั้นนัดกันไปกินข้าวกับครอบครัวผู้ชายคนนั้น! โดย ​“คุณน้ำ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘มันเริ่มมาจากหนูมีเฟซบุ๊ก น่าจะช่วงวัยประถม ประมาณ ป.4-ป.5 และไม่ได้รู้สึกว่าการที่แม่รู้พาสเวิร์ดหรือเข้าไปอ่านแชทเวลาเราคุยกับเพื่อนเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะตอนนั้นเด็กมาก ๆ เลยคิดว่าแม่คงเป็นห่วง แต่มันกลายเป็นว่าคุณแม่ตอบแชท ตอบคอมเมนท์แทน โดยที่ทำตัวเป็นเราและเป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนประมาณช่วง ม.1 โรงเรียนไม่ให้เอาโทรศัพท์ไป เพราะฉะนั้นหนูจะเล่นโทรศัพท์ได้ตอนที่อยู่บนรถ ก่อนจะลงจากรถเข้าโรงเรียน และตอนเลิกเรียน ทีนี้หนูก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ให้แม่ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน หนูเห็นแล้วว่ามีผู้ชายคนนึงแอดเฟซบุ๊กหนูมา แต่หนูไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอหนูกลับมา เฟซบุ๊กผู้ชายคนนั้นหายไป แต่มีแชทที่แบบถามต่อว่า เธอชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ คุณแม่ก็ตอบแทนปกติ แต่หนูมารู้ทีหลังว่า... จริง ๆ แล้วคุณแม่เอาไอดีไลน์ของคุณแม่ให้เขาไป แล้วเขาก็ไปคุยกันในไลน์ โดยที่คุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะชอบเอารูปลูกสาวหรือลูกชายตั้งเป็นโปรไฟล์ เขาอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้แปลกอะไร แต่ว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย แล้วมันก็เกินเลยมาเรื่อย ๆ หนูแอบเห็น message ที่เด้งมา ตอนแรกเข้าใจว่าคงคุยกันปกติ แต่ไป ๆ มา ๆ มันเป็นการคุยเหมือนจีบกันเชิงชู้สาว จนมารู้ทีหลังว่าเขาคบกัน คุณแม่ก็มาพูดประมาณว่า ช่วยวิดีโอคอลคุยกับเขาให้หน่อยซัก 5-10 นาทีได้ไหม? ทั้ง ๆ ที่หนูไม่ได้รู้จัก ไม่ได้คุยกับเขาเลย แต่ให้หนูตีหน้าซื่อคุยวิดีโอคอลกับเขา หนูก็คุย ๆ ไปให้มันหมดเวลา แล้วก็วางสาย คุณแม่ก็คุยกันต่อในแชท คุณพ่อทำงานอยู่ต่างจังหวัดกลับมาอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่คุณพ่อจับไม่ได้เพราะอาจจะเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล และไม่ค่อยสนใจอะไร เขาก็ดูอินโทรเวิร์ตหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยกับคุณแม่เลย ตอนหนูอายุ 15 ปี เป็นวันที่หนูต้องเปลี่ยนบัตรประชาชน หนูก็ถ่ายรูปลงมาจากอำเภอปุ๊บ แล้วคุณแม่ก็บอกว่า เดี๋ยวเราไปสยามกัน เนี่ยไปกินข้าวกัน นัดไว้แล้ว หนูก็ถามว่า ไปกินข้าวอะไร เขาก็เลยบอกว่า เขานัดผู้ชายคนนั้นกับครอบครัวเขาไว้แล้ว ต้องไปนะ เพราะว่าเขามาแล้ว หนูก็รู้สึกเหมือนโดนมัดมือชก ตอนนั่งกินอาหารก็คุยกันปกติ หนูอึดอัดมาก จนแบบหนูจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วแม่ของผู้ชายก็บอกผู้ชายคนนั้นว่า เนี่ย ไปกับน้องสิลูก จนหนูคิดว่าไม่ไปดีกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย หลังจากเหตุการณ์วันนั้น หนูก็พยายามที่จะบอกผู้ชาย โดยใช้แอคหลุมไอจีของหนูทักไปเลยว่า เธอรู้ไหมที่คุยกันมาตลอด 4-5 ปี แล้วที่นัดไปเจอเรื่องมันเป็นแบบนี้ ๆ ผู้ชายก็ไม่เชื่อ หนูก็ตั้งกล้องอัดหน้าตัวเองพูดว่า เนี่ย ดูหน้าเอาไว้ แล้วก็จำเสียงไว้ เสียงเราเป็นแบบนี้ พอเขาไม่เชื่อ หนูก็ไม่รู้จะทำยังไงหนูก็ปล่อยเขาไป แล้วเหมือนผู้ชายเริ่มจะรู้ว่านี่คือแอคหลุมของหนู แต่หนูไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจว่าแอคหลุมเป็นของแม่ไหม เพราะหนูคิดว่าผู้ชายมันก็ต้องแคปแชทที่หนูคุยส่งไปให้แม่ แม่ก็คงน่าจะบอกว่า นั่นแม่เราอย่าไปสนใจเลย ฟีลแบบสลับกัน และหนูพยายามหาว่าแม่กำลังจะทำอะไร ก็เลยเริ่มรู้ว่าแม่มีอีกเฟซบุ๊ก มีอีกไอจีนึงที่แม่สร้างเอง เหมือนเป็นอีกโลกที่เอาไว้คุยกับผู้ชายคนนั้น ด้วยความที่อยู่กับแม่ที่บ้าน 2 คน ก็เลยไปบอกเขาว่า แม่ทำแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ เลิกได้ไหม เขาก็ขำแล้วบอกว่า จะอะไรนักหนาก็คุยกันผ่านแชท ไม่ได้ไปหาเขาสักหน่อย หนูก็เคย message ไลน์ไปบอกคุณพ่อ คุณพ่อก็อ่านแต่ไม่ตอบ แต่พอเวลาผ่านไปเหมือนคุณแม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนูก็บอกว่า หนูทนไม่ไหวแล้วนะ หนูจะต้องบอกพ่อแล้วนะ เขาก็บอกว่า ครั้งที่แล้วก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าบอกอีกจะเลิกกันแล้วนะ จนปัจจุบันหนูเริ่มมีสังคม มีแฟน หนูควรจะทำยังไง หนูถึงจะเอาพื้นที่ส่วนตัวคืนมา หรือหนูควรจะเปิดเฟซบุ๊กใหม่ไปเลย? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูต้องเรียกแม่มาคุย แล้วการคุยของหนูไม่ได้ถามว่าแม่โอเคไหม หนูต้องบอกโหมดที่แม่จะใช้ชีวิตอยู่กับหนูให้แม่รับทราบ หนูเปลี่ยนพาสเวิร์ดเฟซบุ๊กก่อนที่จะเรียกแม่เข้ามาคุย ให้ทุกอย่างมันเป็นไพรเวทอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา คนอื่นจะเข้ามาก้าวก่ายไม่ได้ เรียกแม่มาคุยเลยว่า... 1. รับรู้เรื่องความเป็นส่วนตัวของเรา แล้วก็เราไม่ยุ่งเรื่องแม่ แม่ไม่ยุ่งเรื่องเรา อะไรที่เราอยากให้แม่รับรู้หรืออยากให้แม่แสดงความคิดเห็นเราจะบอก 2. เรื่องที่แม่แอบอ้างเป็นตัวตนของเราอันนั้นผิด อย่าทำอีก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคามแล้วไม่ปลอดภัย ถ้าทำทั้งหมดแล้วแม่ยังเป็นแบบนี้อยู่ เรื่องนี้จะเรียกพ่อมาคุย แล้วจะถามความคิดเห็นจากพ่อด้วย และถ้าพ่อกับแม่จะเลิกกัน ไม่ใช่ตัวหนูที่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ แต่เป็นเพราะแม่ทำตัวแบบนี้ แล้วก็เราจะไม่คอลไลน์กับผู้ชายโดยที่เราหลอกเขา เพราะเท่ากับเราสมรู้ร่วมคิดกับแม่ ถ้าแม่อ้างเหตุผลอะไร ให้พูดไปเลยว่า ไม่ ก่อนที่แม่จะทำอะไร อยากให้แม่ใช้ความคิดมากกว่านี้ อีกนิดแม่จะเข้าข่ายไม่ปกติแล้ว ถ้าแม่ยังเป็นอย่างนี้หรือไม่สามารถขจัดนิสัยแบบนี้ออกไปได้ แม่ต้องปรึกษาแพทย์แล้ว’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘การปลอมตัวเพื่อสวมรอยเป็นใครสักคนเพื่อคุยมันคือการหลอก ผู้ชายโดนเต็ม ๆ พี่ดูสารคดีของเมืองนอกเยอะเกี่ยวกับพวกหลอกลวง สวมรอย แล้วจุดจบมันไม่ค่อยดีทั้งนั้นเลยที่พี่ดู พี่เลยค่อนข้างตกใจ พอคิดตาม ที่มันรู้สึกไม่ปลอดภัยถูกต้องแล้วน้ำ เพราะฉะนั้นถ้าจะคุยกับแม่ น้ำต้องเด็ดขาดว่านี่มันไม่ใช่แล้ว สิ่งที่แม่ทำ มันอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับลูกสาวตัวเองได้ ถ้าคิดว่าคุยไม่รู้เรื่องก็ปิดเฟสบุ๊คไปเลย ให้เขารู้ว่าเราไม่เอาแล้ว’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็ต้องปิดเฟสบุ๊ค ปิดช่องทางทุกอย่างที่เขาจะเป็นหนูได้ แม่ต้องไม่มีตัวตนของหนูอีกต่อไปแล้ว ต้องดูว่าเขาทนได้ไหม ถ้าเขาไม่ไหวต้องพาเขาไปหาหมอ แต่ถ้าไปหาหมอแล้วเขาทำไม่ได้ เขาก็ต้องหย่ากับพ่อ ตอนนี้เขามีพ่อเป็นสามี เขาไม่สามารถไปคุยกับคนอื่นได้ นอกจากเขาต้องหย่า ทีนี้เขาจะคุยกับคนอื่นไม่ว่า แต่เขาก็ต้องห้ามสวมรอยเป็นคนอื่น เขาต้องคุยในฐานะเป็นเขาเอง ถ้าเราอยากให้ปัญหานี้ยุติ ต้องถอนรากถอนโคน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

กำลังจัดงานแต่งงาน ให้ตรงกับวันเกิดแฟน คบกันมา 10 ปีพอดี ที่ผ่านมาเป็นคู่รักชิลๆ ไม่ค่อยเซอร์ไพร์สกัน แต่ครั้งนี้อยากสร้างความประทับใจให้เขา สิ่งเดียวที่เขาจะเลือกมากกว่าหนูคือ ลิเวอร์พูล ค่ะ ขอไอเดียหน่อยนะคะ

31 ม.ค. 2025

กำลังจัดงานแต่งงาน ให้ตรงกับวันเกิดแฟน คบกันมา 10 ปีพอดี ที่ผ่านมาเป็นคู่รักชิลๆ ไม่ค่อยเซอร์ไพร์สกัน แต่ครั้งนี้อยากสร้างความประทับใจให้เขา สิ่งเดียวที่เขาจะเลือกมากกว่าหนูคือ ลิเวอร์พูล ค่ะ ขอไอเดียหน่อยนะคะ

“คุณน้ำ (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่ 5 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาขอไอเดียจาก ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟน ซึ่งตรงกับวันแต่งงานของเราพอดี โดย “คุณน้ำ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘มีแพลนจะแต่งงานในอีก 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งก็คือเดือนมีนาคม หนูตั้งใจเลือกวันที่แต่งให้ตรงกับวันเกิดของแฟน หนูคบกับแฟนมาถ้าถึงวันที่แต่งงานจะครบ 10 ปีพอดี ต้องบอกก่อนว่าชีวิตคู่ของหนู ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คือ แฟนเป็นคนที่ดีมาก เขาเป็นคนนิ่ง ๆ พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความรักออก สื่อให้คนอื่นเห็นมากมาย แต่ว่าคู่ชีวิตของเรามีความสุข เพราะว่าเขาเป็นคนไม่เจ้าชู้ ไม่ทำให้เราไม่สบายใจ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบาย เราก็ร่วมทุกข์ ร่วมสุขมาด้วยกัน คือในวันแต่งงานมันก็เป็นวันเกิดของเขาด้วย หนูคิดไม่ออกว่าจะสร้างโมเม้นท์ประทับใจยังไงให้เขาดี อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นของหรืออะไรที่มีมูลค่า แค่อยากให้เป็นสิ่งที่เขานึกถึงแล้วก็ประทับใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาชอบทีมฟุตบอลลิเวอร์พูลมาก ซึ่งการดูบอลเป็นอย่างเดียวที่เขาเลือกก่อนเรา แต่พรีเวดดิ้งของเราก็เป็นธีมลิเวอร์พูลไปแล้ว ทีนี้หนูก็เลยอยากจะขอไอเดียจากพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า จะเซอร์ไพรส์วันเกิดของเขายังไงดีในวันแต่งงาน’ ทางด้านดีเจทั้ง 3 ท่าน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘ซื้อตั๋วไปดูลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์เลย อาจจะไม่ต้องหรูหราอะไร ถ้าไม่ซื้อทัวร์ เราสามารถทำงบเอง 5 - 6 หมื่นก็ไปดูได้ หรือเดี๋ยวนี้มันมีอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟุตบอลเขาก็ทำทัวร์เยอะมาก ถ้าหนูมีงบหรือมั่นใจว่าจะไปแน่ ๆ เราสามารถทำเป็นตั๋วน่ารัก ๆ ให้ แล้วบอกเดี๋ยวเค้าพาไปดู อันนี้ผู้ชายน่าจะชอบ แต่ทางผู้ชายก็อาจจะคิดว่า 50/50 ว่าจะได้ไปไหม แต่ถ้าหนูให้เป็นตั๋วแพคเกจที่มันได้มาแล้วเลย เขาก็ยิ่งฟินมาก แต่ถ้าไม่ทันก็สัญญากันไว้ก่อนก็ได้ ว่าเดี๋ยวจะพาไปดู แล้วก็บอกไปว่า ‘เราก็ไม่รู้นะว่าเธอชอบไหม แต่เราอยากให้เธอไปดูลิเวอร์พูลด้วยตาของตัวเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แม่หนูเปลี่ยนคู่นอนบ่อยมาก จนหนูเริ่มสังเกตว่าผิดปกติ ไปเจอว่าแม่ขายบริการทาง X มีลูกค้าติดต่อมา รับงานเรื่อยๆ หลังๆมาแม่เพิ่งทราบว่ามีเชื้อ HIV แต่แม่ก็ยังไม่หยุดทำงานนี้ ค่าตัวที่แม่รับ ทำหนูตกใจกว่าเดิม 200 – 300 บาท จะทำยังไงดีคะให้แม่เลิก

26 ก.ค. 2024

แม่หนูเปลี่ยนคู่นอนบ่อยมาก จนหนูเริ่มสังเกตว่าผิดปกติ ไปเจอว่าแม่ขายบริการทาง X มีลูกค้าติดต่อมา รับงานเรื่อยๆ หลังๆมาแม่เพิ่งทราบว่ามีเชื้อ HIV แต่แม่ก็ยังไม่หยุดทำงานนี้ ค่าตัวที่แม่รับ ทำหนูตกใจกว่าเดิม 200 – 300 บาท จะทำยังไงดีคะให้แม่เลิก

“คุณมิ้นต์ (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่แรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ [24 ก.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาแม่ติดเชื้อ HIV แต่ยังขายบริการอยู่ โดย “คุณมิ้นต์ (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องของแม่หนู พ่อกับแม่หนูแยกทางกันตั้งแต่เด็ก หนูอยู่กับพ่อ ส่วนน้องสาวอยู่กับแม่ แม่หนูอายุ 45 ปี จะเป็นคนที่มีนิสัยเปลี่ยนแฟนบ่อยแทบทุกเดือน ช่วงที่หนูเด็กๆ เวลาแม่มาเยี่ยมเค้าก็จะเปลี่ยนแฟนทุกครั้ง จนหนูไม่อยากให้แม่มาหาเพราะคนแถวบ้านเค้าก็จะนินทาเรื่องที่แม่มาหาแล้วเปลี่ยนแฟน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่มาหาแล้วเหมือนจะคืนดีกับพ่อ พอผ่านไปอยู่ดี ๆ เค้าก็กลับบ้านไปพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นแม่หนูไม่มีโทรศัพท์แต่เจอผู้ชายคนนั้นที่ขนส่งเลยพาเค้ากลับบ้าน แล้วเหมือนแฟนเก่าแม่ก็ไปเจอทวิตเตอร์แม่ที่ขายบริการด้วย หนูก็เลยถามน้องสาว ซึ่งน้องสาวก็ไม่รู้ จนเวลาผ่านไป 3 ปี แม่ก็กลับมาบอกว่าเค้าป่วยและอยากให้หนูไปหา หนูเลยถามเค้าว่าเค้าป่วยเป็นอะไร? เค้าก็บอกว่าเค้าเป็นโรคที่คนรังเกียจ หนูก็เลยพาเค้าไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล ผลปรากฎว่าแม่หนูเค้าติดเชื้อ HIV แล้วหนูก็ให้เงินไปรักษา เพราะเค้าบอกว่าเค้าไม่สามารถทำงาน หาเงินได้แล้ว หนูก็เชื่อใจเค้า เพราะเค้าบอกเค้าจะหยุดเรื่องผู้ชายก็เลยช่วยเหลือเค้าไป จนผ่านมาประมาณเดือนกว่า หนูก็เห็นเค้าโพสต์ในเฟซบุ๊กว่าเหงา อยากหาคนมาอยู่ด้วยหรือใครสักคนที่รักเค้าไปเลี้ยง หนูก็เริ่มเอะใจว่าเค้าไม่ได้เลิกทำเหมือนที่เค้าบอก เลยไปเสิร์ชในทวิตเตอร์ก็เจออีกว่าเค้ายังขายบริการอยู่ แต่ที่หนูตกใจคือเค้ารับแบบไม่ป้องกันด้วย หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบอกเค้ายังไง หนูเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้วเพราะว่าน้องสาวที่อยู่กับเค้าก็มีนิสัยเหมือนเค้าเลย คือมีพฤติกรรมเปลี่ยนแฟนทุกเดือน และหนูก็เคยเตือนเค้าไปแล้ว เค้าก็บอกว่าเค้าเลิกแล้ว ที่หนูกลัวคือแม่หนูเค้าขายถูกมาก 200 - 300 หนูก็กลัวว่าคนที่มาซื้อแม่จะมารับเชื้อไปแพร่ต่อในครอบครัว หนูไม่รู้จะเริ่มต้นบอกเค้ายังไงให้เค้าหยุดเพราะหนูรู้สึกว่ามันเป็นตราบาป ปกติแม่หนูจะฟังรายการพุธทอล์คพุธโทร เค้าจะแชร์หน้าเฟสอยู่บ่อย ๆ เลยอยากให้พี่ ๆ พูดถึงแม่ว่าสิ่งที่เค้าทำมันเป็นยังไง? โดย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ทุก ๆ การกระทำของคนที่เป็นแม่ มันส่งผลถึงลูกอยู่แล้ว ทีนี้ลูกโทรเข้ามาแม่ก็ต้องคิดแล้วว่าที่ผ่านมาเราทำหน้าที่แม่ดีพอแล้วรึเปล่า ทำไมเราถึงทำให้ลูกเราทุกข์ขนาดนี้ แล้วสิ่งที่ลูกเรากำลังเป็นห่วงอยู่ มันเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นรึเปล่า คุณแม่ควรคุยกับลูก บางทีลูกก็ไม่กล้าที่จะเปิดใจหรือพูดคุยกับคุณแม่ แม่ลองเป็นฝ่ายเข้าหาลูกดู ลูกโทรเข้ามาวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากห่วง ฉะนั้นแม่ลูกควรพูดคุยกัน และสิ่งที่ลูกบอกคือไม่อยากให้แม่แพร่เชื้อ แม่ก็ลองหาวิธีดูว่าแม่จะไม่แพร่เชื้อได้อย่างไร ส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการหอมว่าชั่งหัวมัน เพราะการไม่ใส่ถุง โอกาสของการติดเชื้อมันมีอยู่แล้ว ชั่งหัวลูกค้ามัน เอาเรื่องความสัมพันธ์ของแม่ลูกดีกว่า ว่าวันนี้เราจะดูแลสภาพจิตใจลูกเรายังไง เรามีคำตอบอะไรให้ลูกเรา ยังไงหน้าที่แม่ก็ลาออกไม่ได้ ฝากคุณแม่เรื่องนี้ละกัน’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผมไม่แน่ใจย่าคุณแม่จะติดขัดเรื่องเงินมากน้อยแค่ไหน แต่รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องคิดถึงคนอื่นบ้าง เข้าใจว่าชีวิตที่ลำบากมันทำให้ต้องคิดถึงตัวเราก่อน แต่ว่าในขณะที่เราต้องการพาตัวเราให้รอด ไม่ว่าจะปัญหาอะไรก็ตาม เราก็ไม่ควรพาเอาชีวิตคนอื่นเค้าแย่ไปด้วย ผมไม่รู้ว่าแม่ถือหรือเชื่อเรื่องอะไร แต่จริง ๆ บาปกรรมเราคงไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรม แต่ว่าถ้าพูดถึงกรรม กรรมก็คือผลของการกระทำ ทุกอย่างที่เราทำมันมีผลเสมอ มันอาจจะไม่ได้ตกถึงแม่ แต่วันนี้ความทุกข์มันตกถึงลูกอย่างมหาศาล ถึงแม้จะไม่ใช่ความรับผิดชอบอะไรของเค้าเลยก็ตาม มิ้นเองก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจก็ได้ ชีวิตใครชีวิตมัน แม้กระทั่งลูกสาวังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมากกว่าเรา ผมว่ามันมีอะไรที่ผิดไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดที่จะพอนึกถึงคนอื่นได้บ้างก็ป้องกัน แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็คิดถึงชีวิตคนอื่นได้บ้าง’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ ก็เคารพในการตัดสินใจที่จะทำอะไร เพราะมันก็ชีวิตใครชีวิตมัน มันก็อาจจะเป็นหนทางเดียวที่คุณแม่มีอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้ ซึ่งเติ้ลก็ไม่สามรถไปตัดสินได้ ว่าอย่าทำแบบนั้น อย่าทำแบบนี้ แต่อย่างน้อย ๆ การกระทำของคนทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน แต่สิ่งที่คุณแม่ตัดสินใจทำอยู่ตอนนี้มันมีส่วนที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้วตัวเองด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณแม่ป่วยขนาดไหน แต่การที่คุณแม่ขายบริการโดยใช้เรื่องการสดเป็นการดึงดูดมันเหมือนเป็นการทำร้ายคนอื่นทางอ้อม เพราะว่าการเป็นโรคนี้ไม่ใช่แค่คนที่มาใช้บริการจะติดได้ แต่ถ้าคนนั้นเค้าไปมีอะไรกับภรรยาหรือคนอื่น ๆ มันก็มีสิทธิ์ที่จะแพร่ไปได้อีก และมันจะควบคุมความเสียหายไม่ได้ อยากให้คิดดี ๆ การที่แค่จะให้ตัวเองรอดโดยที่ไม่สนว่าคนอื่นจะเป็นยังไง มันสมควรแล้วมั้ยกับทางรอดของตัวเองในแบบนั้น เท่าที่น้องมิ้นเล่าให้ฟังมีน้องสาวที่เห็นคุณแม่เป็นตัวอย่าง อยากให้รู้ว่าบางอย่างไม่ใช่เราตัดสินใจแล้วจะทำได้เลย คิดหน้าคิดหลังว่าจะมีใครได้ผลกระทบจากสิ่งที่เราทำไหม’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1