เป็นเจ้าของธุรกิจร้านคาเฟ่เล็กๆ ทั้งร้านมี 3 ที่นั่ง แต่เจอลูกค้าที่ชอบนั่งแช่นานๆ มาคนเดียวยังนั่งโต๊ะใหญ่ ทั้งวันสั่งกาแฟแก้วเดียว บางวันเอาน้ำขวดใหญ่เข้ามากินในร้าน พีคสุดคือหายไปเข้าห้องน้ำครึ่งชั่วโมง จะจัดการกับลูกค้าประเภทนี้ยังไงดี..

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เป็นเจ้าของธุรกิจร้านคาเฟ่เล็กๆ ทั้งร้านมี 3 ที่นั่ง แต่เจอลูกค้าที่ชอบนั่งแช่นานๆ มาคนเดียวยังนั่งโต๊ะใหญ่ ทั้งวันสั่งกาแฟแก้วเดียว บางวันเอาน้ำขวดใหญ่เข้ามากินในร้าน พีคสุดคือหายไปเข้าห้องน้ำครึ่งชั่วโมง จะจัดการกับลูกค้าประเภทนี้ยังไงดี..

17 ม.ค. 2025

เป็นเจ้าของธุรกิจร้านคาเฟ่เล็กๆ ทั้งร้านมี 3 ที่นั่ง แต่เจอลูกค้าที่ชอบนั่งแช่นานๆ

มาคนเดียวยังนั่งโต๊ะใหญ่ ทั้งวันสั่งกาแฟแก้วเดียว บางวันเอาน้ำขวดใหญ่เข้ามากินในร้าน

พีคสุดคือหายไปเข้าห้องน้ำครึ่งชั่วโมง จะจัดการกับลูกค้าประเภทนี้ยังไงดี..

          “คุณโมโม่ (นามสมมติ)” สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [15 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาลูกค้าชอบนั่งแช่ในคาเฟ่นานๆ

            โดย “คุณโมโม่” ได้เล่าว่า “ที่ร้านจะเป็นร้านขายขนมเล็กๆ มีที่นั่งประมาณ 3 ชุด คือ โต๊ะใหญ่ 1 ชุด โต๊ะเล็ก 2 ชุด แล้วจะมีน้องลูกค้าคนหนึ่งที่แรกๆ เขาก็มาซื้อทุกวันปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะมีเหตุการณ์หนึ่งที่พีคๆ ของเขา คือ เขามานั่งทานที่ร้านคนเดียว แล้วเขาเอาชุดวาดระบายสีมากางเต็มโต๊หะ ซึ่งเขาเลือกที่จะนั่งโต๊ะใหญ่ แล้วก็นั่งแช่อยู่แบบนั้น แต่เขาจะสั่งกาแฟวันละ 1 แก้วเท่านั้น แล้วก็อยู่ยาวๆ เลยคือ 2 - 3 ชั่วโมงจนไม่มีลูกค้าแล้ว เขาก็ทานกาแฟแก้วนั้นแป๊ปเดียวก็หมด แต่เขาก็ยังนั่งอยู่

            เหตุการณ์ต่อมา คือ ช่วงปีใหม่ที่ร้านลูกค้าจะเยอะมากอยู่แล้ว น้องคนนี้เขาก็มาแต่พกขวดน้ำส่วนตัว 1.5 ลิตรมาด้วย เราก็ไม่เห็น มาเห็นตอนที่เราไปเก็บโต๊ะแล้วน้องเขาทิ้งขวดไว้ อันนี้เราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อีกวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ติดๆ กันทุกวัน เขาก็มาเหมือนเดิม สั่งน้ำแก้วเดียว 65 บาท แล้วก็นั่งทานที่ร้าน เขาเลือกนั่งโต๊ะเล็กและมีอุปกรณ์ของเขาครบมือเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เขาเอาหูฟังอันใหญ่ๆ ที่แบบครอบทั้งหูมาใส่ ซึ่งน้องก็ยังเป็นเด็กมัธยม มีหนังสือ IPad มือถือ น้องเขาก็นั่งอยู่แบบนั้นจนลูกค้าเยอะ ไม่มีที่นั่ง น้องเขาก็ไม่ลุกไปไหน เราก็แบบเอ๊ะ... น้องเขาทำอะไร หนูเลยไปดู ทีนี้ก็เห็นน้องเขานั่งหลับ หนูก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยไปจนลูกค้าหมดร้านไป

            วันต่อมาน้องเขาก็มาอีก ลูกค้าในร้านก็เยอะอยู่ เขาก็เอาหนังสือมาอ่าน อุปกรณ์ก็ยังครบมือเหมือนเดิม จนลูกค้าหมด ตอนอยู่ที่โต๊ะเขาไม่ได้อ่านหนังสือแต่เล่นมือถือ พอไม่มีลูกค้าก็จะเหลือแค่หนู แล้วก็น้องลูกค้าคนนี้ 1 คน เขาก็เอาหนังสือไปอ่านในห้องน้ำ ทีนี้เราก็จับเวลาเลยว่าเขาเข้าไปกี่นาที ก็คือเขาเข้าไปประมาณครึ่งชั่วโมง อีกวันหนึ่งเขามาอีกเหมือนเดิม แต่ไม่สั่งขนมเลย ทั้งๆที่ร้านเราเน้นขายขนม แล้วเขาก็เอาขวดน้ำดื่มของตัวเองไปเติมน้ำที่ร้าน เพราะที่ร้านเราจะมีน้ำดื่มให้ทานฟรีเป็นแบบเหยือก เขาก็เอาขวดตัวเองไปเติมจนหมดเหยือก แต่หนูก็ไม่ได้ว่าอะไร

            และอีกวันหนึ่งน้องเขาก็มาอีก จนเราเดินเข้าไปถามน้องเขาว่า “น้องรับอะไรเพิ่มไหมคะ?” น้องก็มองหน้าเรามึนๆ แล้วก็บอกว่า “อ๋อ ไม่ครับ” เราก็บอกว่า “พอดีว่าเดี๋ยวมีลูกค้าจองโต๊ะเข้ามา พี่ขอรบกวนได้มั้ยคะ” น้องก็บอก “อ๋อ งั้นผมย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นได้ไหม” ทั้งๆ ที่น้องก็ไม่เหลืออะไรทานแล้ว เขาสั่งแค่น้ำแก้วเดียวแต่เขาก็ยังนั่งอยู่ หนูก็เลยบอกเขาไปว่า “อ๋อ พอดีว่าเขามาเยอะอ่ะค่ะ” ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย 2 ครึ่ง น้องก็เลยบอกว่า “อ๋อเดี๋ยวบ่าย 3 ผมไปครับ” แล้วก็คือบ่าย 3 เป๊ะน้องเขาก็ไปจริงๆ อีกวันหนึ่งเขาก็มาอีก พกขวดน้ำมาอีก ทีนี้เราก็เลยเดินไปเตือนเขาว่า “น้องครับ ขอรบกวนไม่เอาน้ำดื่มหรืออาหารข้างนอกเข้ามาทานที่ร้านได้มั้ยครับ” เขาก็แบบ “อ๋อ ครับ” แค่นี้ ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร

            หลังจากนั้นเขาก็ยังมาทุกวัน ๆ เหมือนเดิม แต่พฤติกรรมพกขวดน้ำมาก็เริ่มหายไป มีวันหนึ่งที่หนูก็ทักเขาว่า “อ๋อ น้องวันนี้เหมือนเดิมเนอะ” น้องเขาก็เหมือนไม่ได้อยากคุยกับเรา น้องก็บอก “อ๋อ ไม่ครับ” แล้วเปลี่ยนเป็นเมนูอื่นเลย หนูก็เข้าใจได้ว่า น้องเขาก็ไม่ได้อยากให้ใครรบกวนเขา หนูไม่ทราบว่าเขาโดดเรียนมามั้ย หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือช่วงเด็กม.6 ใกล้สอบเข้ามหาลัยอาจจะเข้า-ออกโรงเรียนช่วงไหนก็ได้ บางทีน้องเอาของมาวางโต๊ะเต็ม ลูกค้าที่ไม่มีที่นั่งเขาก็กลับไป ซึ่งตรงนี้เราเสียโอกาส เสียลูกค้าที่เขาตั้งใจมากินขนม หนูอยากถามพี่ๆ ดีเจว่า จะจัดการกับลูกค้าประเภทนี้ยังไง?

            ทางด้านดีเจทั้ง 3 ท่าน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘ให้ตั้งกฎเวลาว่าให้นั่งได้กี่ชั่วโมง 1 แก้ว ให้นั่งได้กี่ชั่วโมง หรือลองถามๆ เรื่องเรียนเขาหน่อยว่าไม่เข้าเรียนหรอ หรือมีเรื่องอะไรที่บ้าน เผื่อน้องเขามีปัญหา เราจะได้จัดการกับเขาอีกแบบหนึ่ง

            นอกจากนี้ “คุณโมโม่” ยังทิ้งท้ายถึงผู้ใช้บริการด้วยว่า “อยากให้เห็นใจผู้ประกอบการนิดนึง การใช้สถานที่หรืออะไรก็ตาม บางทีเราเอางานไปทำในที่ของเขา อยากให้เขาเห็นใจทางร้านด้วย เพราะบางทีทางร้านก็อึดอัดใจที่จะพูด เพราะกลัวจะเป็นดราม่า

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 20.00 – 23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เจอเพื่อนร่วมงาน TOXIC สังคมที่ทำงานไม่น่าอยู่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้หันมาศึกษาอ่านไพ่ เป็นแม่หมอ ไลฟ์ใน TIKTOK คนรีวิวกันว่าแม่น จนมีลูกค้าหลายคนจองคิว มีความคิดว่าจะออกจากงานประจำ มาเป็นหมอดูเต็มตัวเลยดีไหม? เพราะรายได้ที่ได้มามากกว่างานประจำที่ทำอีก

13 มิ.ย. 2025

เจอเพื่อนร่วมงาน TOXIC สังคมที่ทำงานไม่น่าอยู่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้หันมาศึกษาอ่านไพ่ เป็นแม่หมอ ไลฟ์ใน TIKTOK คนรีวิวกันว่าแม่น จนมีลูกค้าหลายคนจองคิว มีความคิดว่าจะออกจากงานประจำ มาเป็นหมอดูเต็มตัวเลยดีไหม? เพราะรายได้ที่ได้มามากกว่างานประจำที่ทำอีก

เจอเพื่อนร่วมงาน TOXIC สังคมที่ทำงานไม่น่าอยู่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้หันมาศึกษาอ่านไพ่เป็นแม่หมอ ไลฟ์ใน TIKTOK คนรีวิวกันว่าแม่น จนมีลูกค้าหลายคนจองคิว มีความคิดว่าจะออกจากงานประจำมาเป็นหมอดูเต็มตัวเลยดีไหม? เพราะรายได้ที่ได้มามากกว่างานประจำที่ทำอีก แต่อีกใจก็กลัวว่าจะไม่มั่นคงและไปได้ไม่ดี ทุกคนคิดว่ายังไงดีคะ?? “คุณจีจี้ (นามสมมติ)” อายุ 30 ปี สายที่สองในรายการ ‘พุธทอล์ค พุธโทร’ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [11 มิ.ย. 68] โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาเจอเรื่อง Toxic ในที่ทำงาน จึงจะลาออกไปรับดูดวง โดย “คุณจีจี้ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูทำงานที่นี่มาสามปี ตอนแรกก็แฮปปี้ดี แต่พอเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน ก็ทำให้ทำงานยากและลำบากขึ้นกว่าเดิม ตอนแรกทำงานก็ผ่านฉลุยแต่ หลัง ๆ เจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ส่งงานก็ใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะผ่าน เพราะเขาไม่ได้มาซัพพอร์ตเราในส่วนนี้เลย เคยมีการคุยกับเพื่อนในแผนกบ้างแล้ว เขาก็เหนื่อยเหมือนกัน เพื่อนก็บอกว่าเขาเคยเอาเรื่องของหนูมาเล่าให้เพื่อนฟังด้วย จุดเริ่มต้นของการดูดวง หนูมีรุ่นพี่เป็นแม่หมอดูดวงคนนึง วันนั้นเขาชวนหนูไปซื้อไพ่สำรับใหม่แล้วเขาให้หนูเลือก หนูก็หลับตาเลือก ๆ ไป อันไหนเหมือนจะดึงเรา ก็เอาอันนั้นเลย หนูก็บอกรุ่นพี่ว่าหนูชอบอันนี้ แต่พอซื้อกลับมารุ่นพี่ก็โทรมาบอกว่าเขาอ่านไพ่สำรับนี้ไม่ออก หนูก็เลยตัดสินใจซื้อไพ่นี้มาเพื่อเรียนเองตามคู่มือที่มี เรียนไปได้สักพักหนูก็เริ่มขึ้นไลฟ์ใน TikTok แบบขำ ๆ จอย ๆ แต่คนดูก็บอกว่า ‘ทายแม่นนะ ลองทำจริงจังมั๊ย’ หนูก็เลยลองดูสักหน่อย แต่ก็ต้องหยุดไปเพราะปวดหัวกับที่ทำงานประจำ เมื่อเริ่มจับต้นชนปลายได้ หนูก็ลองคำนวณรายได้จากการดูดวงทั้งจากไลฟ์และทั้งส่วนตัวแล้ว ก็พบว่ามีจำนวนมากกว่างานที่ทำอยู่ด้วยซ้ำ แต่หนูยังไม่ได้ลงมือทำจริง หนูรับดูดวง 30 นาที 159 บาท 1 ชั่วโมง 259 บาท ถ้าในไลฟ์จะเป็นส่งของขวัญเพื่อดูดวง ซึ่งคนดูก็มีเข้ามาเรื่อย ๆ หนูยอมรับว่าตอนนี้หนูไม่สามารถทำงานควบกัน 2 อย่างได้ เพราะงานที่ทำส่งผลกับชีวิตหนู หนูไม่อยากเปิดไพ่ดูเพราะกลัวความ Toxic ออกมา แล้วก็ไม่อยากดูให้ตัวเองด้วยเพราะกลัวจะเข้าข้างตัวเองเกินไป ตอนนี้หนูแอบหางานใหม่อยู่ หนูก็เลยอยากถามว่าจะทำที่นี่ต่อไปดีมั๊ยหรือจะออกมาทำหมอดูแบบ Full Time ดี” ซึ่งดีเจทั้ง 3 คน (ดีเจเผือก-ดีเจต้นหอม-ดีเจเติ้ล) ได้ให้คำปรึกษาตรงกันว่า ‘อย่าเพิ่งลาออกจากงานเลย อยากให้จีจี้ทำงานควบไปทั้ง 2 อย่างก่อน ถ้ายังไม่มั่นใจจริง ๆ อย่าเพิ่งเลือกทางใดทางหนึ่ง ค่อยเลือกตอนถึงเวลาที่จำเป็น หรืออีกทางคือลองหางานประจำใหม่ แล้วให้การดูดวงเป็นรายได้เสริม เพราะจากที่เล่ามาตอนนี้ยังมีความเสี่ยงมากเกินไปที่จะเลือกดูดวงอย่างเดียว การมีรายได้หลายทางก็นับเป็นการกระจายความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่ง ลองพยายามให้มีงานหลักประจำก่อน แล้วทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าวันนึงเราจะแจ้งเกิดจากการดูดวงแล้วค่อยหันมาทำอย่างจริงจัง’ ทั้งนี้ “ดีเจต้นหอม” ได้เสนอขั้นตอนการทำงานไว้ว่า ‘1. หางานประจำใหม่แล้วโฟกัสกับงานนี้ไปก่อน 2.ดูดวงเป็นรายได้เสริมในเวลาว่าง 3.หากแจ้งเกิดและมีชื่อเสียงจากการดูดวงให้เปลี่ยนมาโฟกัสเป็นการดูดวง 4.ลาออกจากงานประจำ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

กำลังจัดงานแต่งงาน ให้ตรงกับวันเกิดแฟน คบกันมา 10 ปีพอดี ที่ผ่านมาเป็นคู่รักชิลๆ ไม่ค่อยเซอร์ไพร์สกัน แต่ครั้งนี้อยากสร้างความประทับใจให้เขา สิ่งเดียวที่เขาจะเลือกมากกว่าหนูคือ ลิเวอร์พูล ค่ะ ขอไอเดียหน่อยนะคะ

31 ม.ค. 2025

กำลังจัดงานแต่งงาน ให้ตรงกับวันเกิดแฟน คบกันมา 10 ปีพอดี ที่ผ่านมาเป็นคู่รักชิลๆ ไม่ค่อยเซอร์ไพร์สกัน แต่ครั้งนี้อยากสร้างความประทับใจให้เขา สิ่งเดียวที่เขาจะเลือกมากกว่าหนูคือ ลิเวอร์พูล ค่ะ ขอไอเดียหน่อยนะคะ

“คุณน้ำ (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่ 5 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาขอไอเดียจาก ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟน ซึ่งตรงกับวันแต่งงานของเราพอดี โดย “คุณน้ำ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘มีแพลนจะแต่งงานในอีก 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งก็คือเดือนมีนาคม หนูตั้งใจเลือกวันที่แต่งให้ตรงกับวันเกิดของแฟน หนูคบกับแฟนมาถ้าถึงวันที่แต่งงานจะครบ 10 ปีพอดี ต้องบอกก่อนว่าชีวิตคู่ของหนู ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คือ แฟนเป็นคนที่ดีมาก เขาเป็นคนนิ่ง ๆ พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความรักออก สื่อให้คนอื่นเห็นมากมาย แต่ว่าคู่ชีวิตของเรามีความสุข เพราะว่าเขาเป็นคนไม่เจ้าชู้ ไม่ทำให้เราไม่สบายใจ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบาย เราก็ร่วมทุกข์ ร่วมสุขมาด้วยกัน คือในวันแต่งงานมันก็เป็นวันเกิดของเขาด้วย หนูคิดไม่ออกว่าจะสร้างโมเม้นท์ประทับใจยังไงให้เขาดี อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นของหรืออะไรที่มีมูลค่า แค่อยากให้เป็นสิ่งที่เขานึกถึงแล้วก็ประทับใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาชอบทีมฟุตบอลลิเวอร์พูลมาก ซึ่งการดูบอลเป็นอย่างเดียวที่เขาเลือกก่อนเรา แต่พรีเวดดิ้งของเราก็เป็นธีมลิเวอร์พูลไปแล้ว ทีนี้หนูก็เลยอยากจะขอไอเดียจากพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า จะเซอร์ไพรส์วันเกิดของเขายังไงดีในวันแต่งงาน’ ทางด้านดีเจทั้ง 3 ท่าน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘ซื้อตั๋วไปดูลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์เลย อาจจะไม่ต้องหรูหราอะไร ถ้าไม่ซื้อทัวร์ เราสามารถทำงบเอง 5 - 6 หมื่นก็ไปดูได้ หรือเดี๋ยวนี้มันมีอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟุตบอลเขาก็ทำทัวร์เยอะมาก ถ้าหนูมีงบหรือมั่นใจว่าจะไปแน่ ๆ เราสามารถทำเป็นตั๋วน่ารัก ๆ ให้ แล้วบอกเดี๋ยวเค้าพาไปดู อันนี้ผู้ชายน่าจะชอบ แต่ทางผู้ชายก็อาจจะคิดว่า 50/50 ว่าจะได้ไปไหม แต่ถ้าหนูให้เป็นตั๋วแพคเกจที่มันได้มาแล้วเลย เขาก็ยิ่งฟินมาก แต่ถ้าไม่ทันก็สัญญากันไว้ก่อนก็ได้ ว่าเดี๋ยวจะพาไปดู แล้วก็บอกไปว่า ‘เราก็ไม่รู้นะว่าเธอชอบไหม แต่เราอยากให้เธอไปดูลิเวอร์พูลด้วยตาของตัวเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมสงสัยครับ เวลาผมเติมน้ำมันรถ 2000 บาท พนักงานจะเสนอบริการเช็ดกระจกให้ พอวันนี้ผมเติม 500 บาทพนักงานไม่ค่อยสนใจ และ ไม่ถามเช็ดกระจกให้ด้วย ผมเลยอยากรู้ว่า...

30 ก.ย. 2025

ผมสงสัยครับ เวลาผมเติมน้ำมันรถ 2000 บาท พนักงานจะเสนอบริการเช็ดกระจกให้ พอวันนี้ผมเติม 500 บาทพนักงานไม่ค่อยสนใจ และ ไม่ถามเช็ดกระจกให้ด้วย ผมเลยอยากรู้ว่า...

ผมสงสัยครับ เวลาผมเติมน้ำมันรถ 2000 บาท พนักงานจะเสนอบริการเช็ดกระจกให้พอวันนี้ผมเติม 500 บาทพนักงานไม่ค่อยสนใจ และ ไม่ถามเช็ดกระจกให้ด้วย ผมเลยอยากรู้ว่า...ปกติเวลาเติมน้ำมันรถ พนักงานจะเช็ดกระจกให้เราตอนไหนขึ้นอยู่กับ ราคาน้ำมันที่เติมหรือ นิสัยส่วนบุคคลของพนักงานแต่ละคน ?? “คุณบี (นามสมมติ)” อายุ 29 ปี เป็นสายสุดท้ายในรายการพุธทอล์ค พุธโทรเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [24 ก.ย. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา“ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาเรื่องขอเช็ดกระจกจากเด็กปั๊ม แต่กลับโดนมองแรงใส่เพราะเติมน้ำมันแค่ 500 บาท “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘วันนี้ผมไปเติมน้ำมันแล้วไปขอให้เขาเช็ดกระจกให้แต่โดนมองแรงใส่ ต้นเรื่องคือผมเคยเติมน้ำมันประมาณ 2,000-3,000 บาท เขาก็จะมาถามว่า ‘พี่เช็ดกระจกไหม?’ แต่พอวันนี้ผมไปเติมมาแค่ 400-500 บาท แล้วผมอยากเช็ดกระจก ผมก็ไม่กล้า เกรงใจเขา และน้ำที่ฉีดที่ปัดน้ำฝนเราก็หมด ก็เลยถามไปว่า ‘พี่เช็ดกระจกให้หน่อยได้ไหมครับ?’ เขาก็มองแรงใส่ ผมก็เลยคิดว่า หรือเพราะเราเติมน้อยไปเลยไม่มีบริการนี้ จะเดินไปขอเช็ดเองก็ไม่กล้า ผมเลยสงสัยว่าปกติแล้วเราขอให้เขาเช็ดกระจกให้ได้ไหม?’ ทางด้าน “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ผมว่าเรื่องเช็ดกระจก มันน่าจะเจอที่คน คือเติมแค่ 500 เนี่ย ต่อให้เราเรียกเช็ดก็จกเขาก็ต้องทำเพราะเขาจะลุ้นว่าจะได้ทิปรึเปล่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเติมมากเติมน้อยไม่น่าเกี่ยวกับบริการเสริมเพราะมันเป็นช่องทางที่น้อง ๆ พนักงานจะได้เงินเพิ่ม คิดว่าอย่างนั้น’ ต่อมา “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมว่า ‘ถ้าเราให้เขาเช็ดเขาก็ต้องเช็ด ทำฟรีก็ต้องเช็ด แต่หอมเป็นคนให้ทิปอยู่แล้ว เขาทำเพื่อทิปนะการเช็ดกระจก ยอดเติมน้ำมันไม่เกี่ยวกับเขาเพราะเขาไม่ใช่เจ้าของปั๊ม เขาอาจจะมองว่าเติมน้ำมันเยอะอาจจะให้ทิป มันก็แล้วแต่คน ถ้าเราต้องการให้เช็ด เขาก็ต้องจัดการให้มันเป็นหน้าที่ของเขา’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาปิดท้ายว่า ‘ไม่น่าเกี่ยวกับเงินที่เราเติม ถ้าคุณบีอยากได้ก็แจ้งเขาได้เลย แล้วก็อาจจะทิปเขาหน่อยเป็นน้ำใจ’เรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App AtimeFung Fin

ชีวิตหนูกำลังจะไปได้ดี มีแฟน มีบ้าน ทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แพลนพาครอบครัวที่ไทย ไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่นแล้ว แต่ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 4 อยู่ในระยะแพร่กระจายแล้ว ตอนนี้เหมือนทุกอย่างที่แพลนไว้ พังลงไปหมดเลย หนูทำใจไม่ได้

13 มิ.ย. 2025

ชีวิตหนูกำลังจะไปได้ดี มีแฟน มีบ้าน ทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แพลนพาครอบครัวที่ไทย ไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่นแล้ว แต่ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 4 อยู่ในระยะแพร่กระจายแล้ว ตอนนี้เหมือนทุกอย่างที่แพลนไว้ พังลงไปหมดเลย หนูทำใจไม่ได้

ชีวิตหนูกำลังจะไปได้ดี มีแฟน มีบ้าน ทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แพลนพาครอบครัวที่ไทยไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่นแล้ว แต่ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 4อยู่ในระยะแพร่กระจายแล้ว ตอนนี้เหมือนทุกอย่างที่แพลนไว้ พังลงไปหมดเลย หนูทำใจไม่ได้ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้ลำดับชีวิตตัวเองไม่ถูกเลย จะบินไปทำงานหาเงิน ส่งมารักษาแม่หรือ จะอยู่กับแม่ที่ไทยเลยดี ใครที่มีคนใกล้ชิดเป็นมะเร็งแบบไม่ทันตั้งตัว ช่วยเล่าประสบการณ์ให้หนูฟังทีนะคะ “คุณหนู (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อวันพุธที่ผ่านมา [11 มิ.ย 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาชีวิต และคุณแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 4 โดย “คุณหนู (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘บ้านหนูอยู่ต่างจังหวัด หนูทำงานมาตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มขายของ ส่วนคุณแม่เห็นว่าจริงจัง คุณแม่เลยคอยสนับสนุนในทุก ๆ เรื่อง คือหนูอยากทำเอง ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินหรืออะไร แค่เป็นคนชอบขายของ หนูทำจนแม่เห็นว่าได้เยอะ เลยช่วยเปิดร้านให้ หลังจากเรียนจบ หนูได้เข้ามาเปิดร้านในกรุงเทพ ตอนแรกคุณพ่อ คุณแม่ เขาก็อยู่ด้วยกันตามปกติ แต่พอหนูมาเปิดร้านที่กรุงเทพ แม่เขาก็ยอมเสียสละเวลาตรงนั้น เพื่อที่จะเข้ามาช่วยหนูทำงาน ปัจจุบันนี้หนูทำงานอยู่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ที่ไทยอยู่ ปกติหนูมีคุณแม่เป็นทุกอย่างในชีวิตเลย คือเวลาอยู่ต่างประเทศเวลามันจะไม่ตรงกันกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ไทย หนูก็จะเกรงใจ หนูเลยโทรหาแม่ ทุกเรื่องเลย แม้กระทั้งเรื่องเล็กน้อย แม่ก็จะเป็นกำลังใจ เป็นแรงสนับสนุนทุก ๆ อย่างเลย ทีนี้ก่อนที่หนูจะย้ายมาอยู่ต่างประเทศ หนูเปิดร้าน 2 ที่ แต่ต้องเลิกกิจการ เพราะตลาดที่นั่นมันได้ปิดตัวลงกระทันหัน และทางตลาดเขาไม่ได้แจ้งอะไร แล้วทีนี้ของที่เปิดร้าน มันเลยไปอยู่ที่บ้านคุณแม่ จนตอนนี้บ้านโทรมมาก หนูก็เลยท้อ หลังจากนั้นหนูได้บอกเลิกแฟนที่คบกันมา 6 ปี ว่า “เราคงไม่ได้เจอกันแล้วแหละ เพราะว่าเดี๋ยวไปอยู่ต่างประเทศครั้งนี้ เราจะไม่กลับมาแล้ว” ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจตั้งแต่ก่อนจะไปอยู่ต่างประเทศเลย ตั้งใจไปตั้งตัวใหม่ที่นู้น จริง ๆ ตอนแรกแค่ไปเรียนก่อน มันช่วงที่ติดโควิดพอดี เลยมีโอกาสในเรื่องของวีซ่า เพราะว่ามันกลับไม่ได้ ซึ่งตอนที่ไป คือตั้งใจว่าทำงานเก็บเงินให้ได้ไวที่สุด เพื่อที่จะแก้ไขที่เอาของไปไว้ที่บ้านคุณแม่ ทำให้บ้านคุณแม่โทรม วางแผนอนาคตไว้ว่าจะเคลียร์ของออกจากบ้านและทำให้เร็วที่สุด ทุกครั้งเวลาหนูโทรหาคุณแม่ หนูจะคุยแต่เรื่องคนอื่น เช่น เรื่องคุณยายที่อายุเยอะขึ้นแล้ว หรือคุณพ่อที่เป็นโรคหัวใจ ไม่เคยคิดเลยว่าวันนึง คุณแม่จะป่วย จนกระทั่งหลังจากหนูย้ายไปต่างประเทศ คุณแม่ได้ย้ายกลับไปอยู่ต่างจังหวัดที่พึ่งสร้างเสร็จ ซึ่งจริง ๆ พวกหนูไม่เคยมีบ้านที่ต่างจังหวัดมาก่อน อาศัยอยู่ในโรงงาน เหตุเพราะมันมีปัญหาเรื่องในครอบครัวนิดหน่อย แต่ในที่สุดคุณแม่ก็ได้ย้ายกลับไปอยู่ หลังจากที่หนูแยกเขาออกมาจากพ่อตัวเองนานแล้ว เขาไม่ได้เลิกกันหรืออะไร มาวันหนึ่งอยู่ ๆ คุณแม่ก็เริ่มป่วย เริ่มไอหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไปหาหมอประมาณ 6 เดือน ทุก ๆ สองอาทิตย์ หมอบอกว่าแต่ว่า “คุณแม่เป็นคออักเสบ หลอดลมอักเสบ กรดไหลย้อน” และพอไป x-ray ปอด จึงเจอก้อนเนื้อประมาณ 2 เซนติเมตร แต่หมอบอกว่าไม่ใช่มะเร็ง พอเวลาผ่านไปแม่ก็ไอหนักขึ้น จึงได้ถามหมอไปว่า “ต้องมารักษาอีกไหม” หมอบอกว่า “หายแล้ว แค่ต้องกินน้ำอุ่น กินอะไรก็หายแล้ว” แต่คุณแม่ก็ยังไอไม่หยุด คุณพ่อเลยพาไปตรวจที่โรงบาลเอกชนและได้ฉีดสีที่ CT Scan จนเจอว่าก้อนเนื้อ 2 เซนติเมตรนั้นกลายเป็น 8 เซนติเมตร มันโตเร็วมาก ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน จนได้ตรวจกับหมอคนที่ 4 เขาแจ้งว่า “ก้อนเนื้อนี้ เป็นมะเร็งแน่นอน” ซึ่งตอนนั้นหนูอยู่ต่างประเทศ และคุณแม่เป็นคนโทรมาบอก หนูจึงต้องบินกลับมา แต่แล้วปรากฏว่าคุณแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 4 ลามไปที่คอ หนูเพิ่งรู้มาประมาณเดือนครึ่งเอง ตอนนี้หนูทำใจไม่ได้ หนูไม่แน่ใจว่าหนูควรจะวางแผนในชีวิตยังไงดี เพราะว่าใจนึงหนูก็อยากใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ เพื่อที่จะหาเงินได้เยอะ ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ และรีบกลับมาทำบ้านให้คุณแม่ตามคำสัญญา แต่เงินนั้นก็ต้องไปสู่การรักษาด้วย การรักษาตอนนี้ใช้สิทธิของรัฐบาลอยู่ แต่จะมียาบางตัวที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิการรักษา ซึ่งแค่เฉพาะยาเดือน ๆ นึง ตกประมาณ 200,000 – 400,000 บาทเลย ทางบ้านทุกคนก็ต้องช่วยกันหาเงินมารักษาคุณแม่อยู่ดี ถ้ามันถึงจุดนั้นขึ้นมา หนูไม่รู้จะโฟกัสกับอนาคตตัวเองเพื่อที่จะมารักษาคุณแม่ และทำบ้านให้แม่ตามคำสัญญาก่อนที่จะไปอยู่แล้วดี หนูไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต เพราะปกติหนูมีปัญหาอะไรที่นู้น หนูจะโทรหาคุณแม่ได้ทุกเรื่อง แต่พอตอนนี้คุณแม่เขาอยู่โรงพยาบาลใช้เครื่องช่วยหายใจมา 40 กว่าวัน แค่คิดว่าหลังจากนี้จะโทรหาเขาไม่ได้ตลอดไป หนูยิ่งไม่มี passion ในการใช้ชีวิต แบบคุณแม่เป็นคนที่เริ่มก้าวมาด้วยกันกับเรา หนูอยากให้เขาอยู่ในวันที่หนูประสบความสำเร็จแบบที่คิดไว้ด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้มันกะทันหันค่อนข้างมาก เพราะไม่ได้คิดไว้เลย คุณแม่ไม่ได้มีอาการหรืออะไรที่ดูเป็นไปได้ตั้งแต่แรกเลย’ หนูเลยอยากจะมาปรึกษาดีเจทั้งสามคนว่า “ตอนนี้หนูควรทำยังไง ควรจะกลับไปเมืองนอกหรืออยู่กับคุณแม่ ?” และ “ถ้าวันหนึ่งหนูต้องเสียคุณแม่ไปจริง ๆ หนูจะอยู่ยังไง ?” คือหนูมีกำลังใจและใช้ชีวิตได้ เพราะว่ามีความฝันที่อยากจะทำบ้านให้คุณแม่ทุก ๆ วัน โดยที่ไม่เคยรู้สึกท้อ ไม่เคยเศร้า หรืออะไรเลย แม่เปรียบเหมือนกำลังใจสำคัญ ถ้ามีเขาอยู่ ก็จะทำให้มีความสำเร็จ โดยดีเจทั้งสามคน (ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม) ได้ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘การจากกันเป็นสัจธรรมของชีวิต มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ’ ทางด้าน “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘ถ้ายังมีหลายคนในครอบครัวที่ช่วยหาเงิน การตัดสินใจอยู่ที่ไทยในช่วงนี้ก็อาจจะไหว อย่างน้อยก็เป็นระยะสั้น ๆ เพื่อดูทิศทางการรักษาว่าจะเป็นไปทางด้านไหน ส่วนในเรื่องที่กังวลว่าจะอยู่ได้ไหม พี่ไม่รู้จะปลอบใจยังไงดี เพราะพี่ก็เคยเสียคุณแม่ไปกะทันหันจากโรคนี้เช่นกัน แต่อยากให้หนูค่อย ๆ ใช้เวลานี้ในการทำให้ตัวเองได้เข้าใจธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ยังไงวันนึงคนเราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า อาจจะเกิดคำถามว่า “ทำไมเราต้องจากกันเร็ว” ซึ่งจากประสบการณ์ของพี่ การที่เรามานั่งหาคำตอบในเรื่องนี้ มัวแต่นั่งสมมติ ถ้าอย่างนู้น ถ้าอย่างนี้ พี่ว่ามันไม่ได้ทำให้เป็นประโยชน์อะไร พี่มองว่าใช้ช่วงเวลาที่เรายังอยู่ด้วยตรงนี้ให้ดีที่สุดด้วยเงื่อนไขที่บ้านเรามี ในชีวิตเราก็ยังมีอีกหลายคนที่เขาเห็นอยู่ และเขาก็ภูมิใจในสิ่งนั้น ไม่แพ้คุณแม่ ยังมีใครอีกหลายคนที่มองเข้ามาแล้วเห็นว่า “เราทำได้นี่หน่า” แม้ว่าต่อให้ทุกวันนี้นึกย้อนกลับไปมันอาจจะมีเสียดายไปบ้าง แต่แล้วไง มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ชีวิตมันก็ดำเนินแบบนี้มาแล้ว ฉะนั้นค่อย ๆ ทำใจและค่อย ๆ เรียนรู้ ใช้ช่วงเวลานี้ให้มันมีคุณค่าดีกว่า ช่วงเวลานี้ที่เรายังพออยู่ใกล้ ๆ ได้ ก็อยู่กับท่านไปก่อน ถ้าทุกอย่างมันเริ่มดีขึ้น ถึงค่อยบินกลับไปหาเงินส่งกลับมาก็ได้ สุดท้ายชีวิตมันยังมีปลายทางที่เราจะต้องค่อย ๆ เดินไป เราอาจจะไม่ได้เดินเร็วขนาดนั้น เราอาจจะเดินขั้น ๆ ให้มันช้าลง แต่เราก็ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า แล้วค่อย ๆ หาสิ่งใหม่ ทั้งหมดทั้งมวล “จงทำเพื่อสร้างความภูมิใจให้ตัวเองเป็นหลัก” มันน่าจะดีกับชีวิตของหนู’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘คุณหนูต้องอยู่ในแบบที่ตัวเองจะไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย ถ้าวันนี้แม่ของคุณหนูไม่ได้อยู่อีกต่อไปแล้ว นั่นหมายถึง อะไรที่คุณหนูคิดว่าทำแล้วตัวเองรู้สึกไม่ติดค้าง พี่แนะนำให้ทำ เช่น การที่คุณหนูลังเลว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ จนคุณแม่รักษาหาย หรือจะกลับไปหาความฝันตัวเอง บางเรื่องเราเป็นมนุษย์เราไม่สามารถที่จะมีทุกอย่างหรือสำเร็จทุกอย่างได้ดั่งใจตัวเอง การที่คุณหนูกังวลว่าจะไม่มีแม่อยู่ ฉันไม่มีความฝันแล้ว อะไรที่เคยตั้งใจคือมีแม่อยู่ในนั้นทั้งหมด แต่พี่อยากจะถามคุณหนูว่า “แล้วตัวคุณหนูหล่ะ มันยังไม่มีอยู่หรอ ?” ถึงคุณแม่จะไม่อยู่แต่คุณหนูยังอยู่และยังคงมีความฝัน ทำไมถึงไม่เอาสิ่งนี้เป็นแรงผลักดันว่า “ถึงในวันที่แม่ไม่อยู่ แต่ฉันยังมีความฝันนะ และวันนึงฉันจะทำให้มันสำเร็จ” และพี่เชื่อว่าถ้าวันนั้นมันมาถึงจริง ๆ การที่คุณหนูทำบ้านนั้นสำเร็จและเอารูปคุณแม่ไปตั้งอยู่ในบ้านหลังนั้น และบอกกับแม่ว่า “แม่ หนูทำสำเร็จแล้ว ถึงแม่จะไม่ได้อยู่กับหนูแล้ว แต่แม่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ที่หนูตั้งใจทำมัน” ความรู้สึก ความรัก ทุกอย่างมันยังคงอยู่ตรงนั้น และถ้าวันนี้หนูรู้สึกว่าหนูได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นแบบที่หวัง แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณหนูก็จะภูมิใจในตัวเองว่าเคยทำเต็มที่ที่สุดแล้ว’ และสุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘ถ้าปัญหาเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลัก ให้เลือกอยู่กับคุณแม่ เพราะเวลาเงินซื้อไม่ได้ ตอนนี้เวลาของคุณแม่เคาท์ดาวน์แล้ว แต่ถ้าเงินเป็นปัญหาหลัก แปลว่าทางเลือกของหนูก็ไม่ได้มีมากนัก ให้ตัดเรื่องการซ่อมบ้านไปเลย มันกดดันตัวหนู ไม่ต้องเอามาเป็นปัจจัยทำให้เรากดดัน อยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่แม่ต้องการเห็นหรือต้องการจากหนู ไม่ใช่การซ่อมบ้าน เพราะตอนนี้แม่อยู่ในจุดที่เขารู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่กับหนูมันมีค่า และในมุมที่พี่เป็นแม่ ความห่วงลูก คือสิ่งที่แม่กังวลที่สุด ฉะนั้นถ้าอยากให้คุณแม่หมดห่วง ให้อยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตด้วยกัน ทำยังไงให้แม่รู้สึกว่า หนูจะอยู่ได้อย่างสบาย ถึงแม้ในวันนั้นอาจจะไม่มีแม่ และถ้าวันนึงไม่มีคุณแม่ อยากให้รู้ไว้ว่า “โลกเราเดินไปข้างหน้า สิ่งที่เราต้องเจอคือเส้นทางของสัจธรรม เมื่อไหร่ก็ตามที่เราก้าวไปข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่เราต้องพบเจออย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว” ท้ายที่สุดแล้วหากยังรู้สึกนอยด์ตัวเอง ‘การนั่งสมาธิ’ จะสอนให้เราไม่ยึดติดกับอะไรเลย แม้กระทั่งร่างกายของเรา’ สถานการณ์ตอนนี้มันยากลำบากมาก ๆ เป็นใครก็ทำใจได้ยาก แต่หวังว่าคุณหนูจะแข็งแรงโดยเร็วนะ เพราะตัวเราเป็นแหล่งกำลังใจที่สำคัญมาก ๆ ของคุณแม่เลย’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1