เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

ENTERTAINMENT NEWS

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

22 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรีแอคชั่นที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในชั่วข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่เคยมีมาก่อน

เรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มขึ้น หลังจากสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เอิร์ธ อติรุจ” เจ้าของคลิปรีแอ็คชั่นสุดไวรัลที่ได้รีแอ็คถึงซีรีส์ The Interns ในแง่มุมการแพทย์แบบถึงพริกถึงขิง จนกลายเป็นคลิปล้านวิวในชั่วข้ามคืน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายแรงบันดาลใจ ที่ เอิร์ธ ได้เอามาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

เผยที่มา กว่าจะเป็นคลิปรีแอคสุดปังจากช่อง “Aertha Channel”

เรียกว่าเป็นคลิปดัง ที่ทำให้ชื่อ เอิร์ธฐา กลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ หลังจากที่ได้ปล่อยคลิป รีแอ็คชั่นซีรีส์ The Interns หมอมือใหม่ ที่มีลีลาการรีแอคแบบใหม่แบบสับ จนจับใจแฟน ๆ โดย เอิร์ธ ได้เล่าที่มา กว่าจะเป็นคลิปดังกล่าวให้ฟังว่า “มันเกิดจาการที่เราไปเห็นป้ายปิดของละครเรื่องนึง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับหมอนี่แหละที่พูดว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าอยู่เวรติดกันหลายวัน จุดนั้นเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อย

คือมันขัดกับความเป็นจริงหลายอย่างมาก เพราะไม่มีหมอคนไหนที่อยากที่จะอยู่เวรติดกันหลายวัน หนึ่งเลยคือด้วยตัวของเราเองไม่สามารถที่จะ Active ในการใช้ชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานเต็มที่ 8 ชั่วโมงคนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตร่วมกับการตัดสินใจที่เครียด กดดัน กับการที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับชีวิตคน 8 ชั่วโมงเนี่ยถือว่าเยอะมากแล้วพี่ ถ้าเกิดว่าเราลืมตาใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหลือเราคงน็อค

ความเป็นจริงเราเลยไม่มีใครอยากที่จะทำงานฝืนขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ ความเป็นตัวเอง คือเข้าใจเจตนาเขาคงต้องการจะสื่อว่า ความเป็นจริงมีหมอที่จะอยู่เวรติดกันหลายวันนะ เพราะปริมาณหมอไม่พอ แต่ว่าป้ายปิดอาจจะทำให้คนเข้าใจว่าหมออยากที่จะอยู่เวรหลายวัน เพราะว่าอยากได้เงินรึเปล่า อยากนั่นนี่รึเปล่า เลยต้องออกมาพูดนิดนึง

การรีแอคนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย เมื่อก่อนก็ทำเกี่ยวกับรีแอคเล่น ๆ กับเพื่อน เกี่ยวกับละครเก่า ๆ ที่เราโตมาด้วยกับมันอยู่แล้ว มันเลยอินกับสิ่งที่รีแอค และตัดสินใจทำรีแอคซีรีส์ในวันนั้น”

 

เลือกเรียนหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคนไข้

ย้อนกลับไป เอิร์ธ เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ และเคยทำงานเป็นหมอมาก่อน ซึ่งเอิร์ธ ได้เล่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ ให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้เป็นคุณหมอ จนถึงต้นเดือนมกราปีนี้ (พ.ศ. 2566) เป็นหมออยู่สองปีกว่าเกือบสามปีครับ ก็ต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้เป็นหมอมันลำบาก มันเป็นยาก แล้วก็ด้วยบริบทของสังคมเองด้วย ภาระงานด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานด้วย ไม่ได้เอื้อให้เราอยากที่จะเป็นหมอในระบบ จริง ๆ แล้วเราชอบอาชีพหมอมาก ๆ เลย

ต้องย้อนกลับไปก่อน 10 ปีที่แล้ว อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เด็กเก่งต้องเรียน เป็นค่านิยม เพื่อน ๆ ในห้องก็พูด เธอเรียนเก่งเธอไปเป็นหมอสิ ใครเรียนหมอโรงเรียนก็จะขึ้นป้ายให้ ได้รับความนิยมชมชอบได้รับการยอมรับจากสังคมก็เลยสอบกับเขา

การเรียนหมอ 6 ปี จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนะครับ ตอนนั้นรู้สึกกลาง ๆ แต่ที่คณะเขาจะปลูกฝังให้เรามีความชอบความรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ตอนปี 1 เลย ซึ่งเอิร์ธเพิ่งรู้สึกอิน รู้สึกชอบตอนประมาณปี 5 หรือ ปี 6 ที่ได้มาดูแลคนไข้จริง ๆ สภาพแวดล้อมจะปลูกฝังให้เรารักในอาชีพนี้เอง เราก็เลยรู้สึกภูมิใจกับอาชีพ พอเรียนจบต้องไปใช้ทุนก่อน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้ทุน เพราะว่าหมอขาดแคลน เลยมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก็คือหมอต้องไปอยู่ในชุมชนที่ตัวเองเกิดมา ตอนนั้นจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด และพอจบมาแล้วไม่ได้อยู่ในโควตา ก็ต้องจับฉลากไปลงว่าจะไปลงที่ไหน

ในการเรียนต้องใช้คำว่าเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ ๆ พอเราเรียนไป เชื่อว่าสุดท้าย ปี 3 ปี 4 การตัดสินใจมันยาก เราก็เลยเปิดใจยอมรับแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าทางเลือกของเราไม่ได้มีเยอะ ก็เปิดใจเปิดรับแล้วก็ชอบ จริง ๆ แล้วก็ชอบอาชีพหมอเหมือนกัน จะตอบให้โลกสวยก็ได้ เพราะว่าได้ช่วยเหลือคนไข้ และภูมิใจเวลาเห็นคนไข้อาการดีขึ้น คือถ้าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เราจะรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าถึงการรักษาได้ยาก

เอิร์ธเรียนจบรุ่นโควิดพอดี จบมาก็เจอโควิดเลย อินเทิร์นหนึ่งยังไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัดมีคนดูแล พอช่วงระลอกสองช่วงที่มันพีคเนี่ย ต้องไปอยู่ในชุมชนที่อยู่หน้างานดูแลเลย ไม่มีอายุรแพทย์ อยู่ที่นู่นคนไข้เยอะมากนะครับ โดยเฉพาะคนไข้โควิดวันละสองสามร้อยคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือว่าโรงพยาบาลสนามอีก มันต้องดูหมด ทั้งที่อาการหนัก และก็ไม่หนัก เพราะว่าอุปกรณ์เราก็ไม่พร้อม บุคลากรเราก็ไม่พอ เรื่องการส่งต่อคนไข้ก็ยาก ตอนนั้นเห็นปัญหาหลายอย่างจริง ๆ ทั้งโครงสร้างทางสังคมแล้วก็คนไข้หนักโควิด ก็ต้องสู้สุดชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน มีทั้งแบบได้ไปต่อ แล้วก็มีทั้งยอมที่จะไม่ได้ไปต่อเพราะว่าการส่งต่อก็ลำบากโรงพยาบาลจังหวัดเองก็ไม่มีที่ให้อยู่”

 

 

เหตุผลที่ไม่ก้าวต่อกับอาชีพหมอ

เมื่อเรียนจบ เอิร์ธ ได้ทำอาชีพหมออยู่เกือบ 3 ปี และตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ โดยได้เล่าเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “อย่างที่บอกไปว่าหมอในทุกวันนี้มันยากนะ ทั้งเรื่องของภาระงานเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คนไข้เยอะกว่า ความซับซ้อนเยอะกว่า และการฟ้องร้องก็เยอะกว่า แล้วก็ด้วยความที่คนไข้เยอะขึ้นภาระงานก็เยอะขึ้น แล้วค่าตอบแทนก็น้อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อที่ทำให้เราอยากเป็นหมอเยอะขึ้น

จริง ๆ เสียดายนะ แต่ว่าความชอบความรักมันไม่พอ ก็เหมือนเรารักในวิชา แต่เหมือนเรารักเขาข้างเดียว เหมือนเราทำงานอย่างเดียวแต่สิ่งที่ตอบแทนมาคือเขาไม่ได้เห็นเราเป็นคนรัก เขาไม่ได้ตอบแทนเราเหมือนเราเป็นคนรักของเขา

ด่านแรกเลยที่จะออกจากราชการ ต้องเรียกว่าของทุกคนแหละไม่ใช่กับเราอย่างเดียว ที่มักจะเจอคำถามว่า พ่อแม่มีสิทธิ์ข้าราชการรึเปล่า แล้วก็อาชีพหมอเนี่ยไม่เสียดายเหรอ พ่อกับแม่จะว่ายังไง สำหรับเราโชคดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา คือที่ตัดสินใจลาออกเนี่ยคิดหลายอย่างนะครับ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเราลาออกเลย มันผ่านการต่อสู้ด้วย ผ่านการพูดคุยกับทั้งผู้บริหารเอง เรื่องขององค์กรเอง เราไปมาหมด แล้วไม่มีคำตอบที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เราก็เลยเดินออกมา ถามว่าหมอคนหนึ่งทำงาน 24 ชั่วโมงไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมวันต่อมาไม่หยุดล่ะ ต้องบอกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะว่าโรงพยาบาลก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดคือไม่มีคนอยู่โรงพยาบาล แล้วก็ด้วยสังคมเรา เราอยู่กันแบบ seniority อะครับ เรามีชนชั้นของหมออยู่ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ Comfort กับการอยู่ในองค์กร แล้วก็เคย feedback ไปแล้วมันไม่ได้รับสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยเดินออกมา”

 

สิ่งที่เอิร์ธอยากเห็น ในแวดวงของการแพทย์

มีหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่อยากเห็นในแวดวงของการแพทย์คืออะไร? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “เราอยากเห็นสังคม หรือหัวหน้างานมองเราเป็นคนที่ทำงาน เราอยากเห็นสังคมการทำงานที่มองเราเป็นมนุษย์ คือมนุษย์เราทำงาน อาจจะต้องทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ซึ่งต้องอยู่ในระยะเวลางานที่เหมาะสม แล้วก็คนเรามันต้องกินต้องใช้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ในวงการหมอเอง ก็มองเราไม่เท่ากัน อย่างเช่นฉันเป็นหมอไปเรียนต่อเป็นเฉพาะทางแล้วฉันก็จะอยู่สูงกว่า อยู่สูงกว่าเธอ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นด้วยสังคมของเรา

แต่ถ้าใครรัก ถ้าใครชอบ แล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใน Work Life Balance ที่ดี อาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีเลยครับ”

 

 

มุมมองของการเป็น LGBTQ+ กับอาชีพหมอ

มีอีกหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ เป็นหนึ่งปัญหาของการเป็นหมอไหม? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “จริง ๆ ไม่เป็นปัญหาเลย LGBTQ+ เนี่ยอยู่ได้ เรียกว่าหมอเป็นอาชีพที่ privileges อย่างหนึ่งที่คนให้การยอมรับ ก็ต้องขอบคุณสังคมที่ยอมรับในอาชีพ เดี๋ยวนี้หมอผู้หญิง, ผู้ชาย หรือว่า LGBTQ+ เนี่ยถือว่าเท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดคนไข้ให้เกียรติมาก เรียกคุณหมอได้เลย

คำว่า LGBTQ+ เมื่อก่อนสมัยที่เอิร์ธเรียน หลักสูตรเอิร์ธนะ LGBTQ+ คือความผิดปกติทางเพศเป็น Gender Identity Disorder เป็นโรค แต่ว่าเดี๋ยวนี้ WHO หรือว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการศึกษาที่เยอะขึ้น LGBTQ+ เขาให้คำนิยามว่าคือ ความหลากหลาย เป็นเหมือนความแตกต่างที่สมองเราโปรแกรมมา เหมือนเรามีนิ้วยาวกว่าคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์นิยาม LGBTQ+ ในปัจจุบัน มันไม่ใช่โรค แต่มันคือความแตกต่าง ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่าเราคือความแตกต่างซึ่งดีมาก ๆ เลย

อีกอย่างหนึ่งเรื่องการยอมรับของ LGBTQ+ เด็ก ๆ เราจะรู้ว่าเราเป็นเพศอะไร รู้จักเรื่องเพศตอนประมาณ 3 ถึง 5 ขวบ แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสดงเรื่องของเพศสภาพการแสดงออกของเรา ก็ตอนเราเข้าสู่วัยรุ่น เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ไม่เกี่ยวกับว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่าขาดความอบอุ่นหรือเปล่าลูกถึงเป็น อันนี้ไม่ใช่ มันคือโปรแกรมในสมองเรา มันกำหนดมาแล้วว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ จริงๆ เขาไม่รู้จะแสดงออกยังไงมากกว่า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วแหละ orientation เขาคืออะไร แต่ด้วยสังคมบางอย่างทำให้เราไม่สามารถแสดงออกสิ่ง ๆ นี้ได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ LGBTQ+ อยู่ในสังคมได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายครับ ก็คิดว่าปีนี้จะได้เห็นสมรสเท่าเทียม เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ LGBTQ+ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมยอมรับเราแน่ ๆ เลยก็คือกฎหมาย ถ้ากฎหมายยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เท่ากัน LGBTQ+ ก็จะเท่ากันในประเทศไทย”

 

 

ดารา พิธีกร อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเอิร์ธ

อีกหนึ่งความฝันที่เป็นแพชชั่นในการทำคลิปรีแอคสุดปังของเอิร์ธ คือการเป็น ดารา พิธีกร โดยเอิร์ธ ได้แบ่งปันแรงบันดาลใจเรื่องนี้ว่า “วันนี้เอิร์ธเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เป็นดาราด้วย ซึ่งก็พูดไม่เกินไปเพราะว่าเดี๋ยวจะลงจอแก้ว มันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กของ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ซึ่งก็ก็ต้องบอกเลยว่าเริ่มจากการรีแอ็คซีรีส์เรื่องนั้นแหละ ก็คือแจ้งเกิดเลย

วงการบันเทิงเป็นวงการที่สนุก และสามารถเป็นกระบอกเสียงให้อะไรกับสังคมได้เยอะ ถ้าเรามีแพชชั่น อย่างที่เห็นในรีแอ็คก็พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องของการแพทย์บ้าง แล้วก็เรื่องของการขับเคลื่อนสังคมบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด เรื่องของการให้ข้อมูลความรู้กับสังคมที่มันยังขาดหายไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นพื้นฐานหมดเลยครับ

เรื่องข้อมูลทางการแพทย์เนี่ย ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทำมาเป็นสื่อ ก็ควรที่จะถูกต้อง 100% เลย เพราะว่าเราเป็นสื่อที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม อย่างอื่นสามารถตัดแต่งเติมสีได้เพราะหมอก็เป็นคนปกติทั่วไป

หลังจากที่รีแอ็คออกไปก็มีติดต่อมาเยอะ มีทางรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ชื่อดังติดต่อให้ไปออกรายการ ก็ไปร่วมพูดคุยกับเขาว่ามันเป็นยังไง สามารถพัฒนาแนวทางของซีรีส์ได้ไหมแล้วก็อนาคตจะปรับปรุงยังไง คือเขารับฟังความคิดเห็น เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทยสำหรับเรื่องแบบนี้”

 

มุมมองความแตกต่างของซีรี่ส์ไทย และ ต่างประเทศ

จากที่ได้ทำคลิปรีแอคชั่นชีรีส์มาเยอะ และได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานผู้ผลิตซีรีส์มาหลายครั้ง ทำให้ เอิร์ธ ได้เห็นความแตกต่างของการทำซีรีส์ระหว่างของไทยกับต่างประเทศ โดยเอิร์ธ ได้แชร์ให้ฟังว่า “สำหรับซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับหมอที่เอิร์ธเคยรีแอคก็มี Hospital Playlist กับ Doctor Cha ต้องบอกว่าหมอส่วนใหญ่ที่อยู่ในเฉพาะทางนั้น ๆ เขาแคสเหมือนนะ คาแรคเตอร์เขาตรงกับอาชีพ ตรงกับเฉพาะทางเลย เขา research มาอย่างดี ว่าหมอที่เรียนเฉพาะทางอันนี้ หมอนิวโรศัลย์จะต้องมีลักษณะยังไง การพูดจายังไง แล้วก็หมอศัลยกรรมทรวงอกลักษณะการพูดเป็นยังไง การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะบอกได้เพราะว่าไลฟ์สไตล์มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ซึ่งเนื้อหาเขาย่อยมาดีมาก การทำซีรี่ส์หมอส่วนใหญ่ก็คืออาจจะชี้ให้เห็นว่า วงการสาธารณสุขเรามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง แล้วก็อยากที่จะสนับสนุนอะไรผ่านสื่อ เพราะว่าเป็นหลายอย่างที่ส่วนกลางไม่สามารถให้เราได้ มันสร้างแรงบันดาลใจมาก

ส่วนในไทย หลังจากที่ไปคุยกับคนเขียนบทต่าง ๆ มา พบว่าเวลาเค้าน้อยมากในการ research ครับ ด้วยเวลาเขาน้อยมันก็จะยากหน่อย แล้วก็มันก็จะมีคนเขียนที่เป็นหมอด้วยนะมาเขียนซีรี่ส์ก็จะมีความแบบสมจริงขึ้นมาหน่อย แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมันต้องผ่านหลายกลไกที่ทำให้ละครสนุก ซึ่งต้องปรับเป็นบทละครอีกบทมันก็จะแปลกบ้าง”

 

 

ท้องไม่พร้อม อีกหนึ่งปัญหาที่เอิร์ธฐา อยากเป็นกระบอกเสียง

มีหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เอิร์ธ ได้ให้ความสำคัญ และพยายามเป็นกระบอกเสียงเกี่ยวกับเรื่องของเคส teenage pregnancy หรือการตั้งท้องไม่พร้อมในเยาวชน โดยเอิรธ์ ได้แชร์มุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เราสนับสนุนในสิทธิขั้นพื้นฐานของคน เราเห็นเรื่องนี้เป็น Pain Point ของสังคมไทยมานานเพราะเราอยู่ในวงการ เราเห็นการท้องไม่พร้อมเยอะมาก แล้วก็ท้องไม่พร้อมถึงขนาดกำลังจะคลอด วันนั้นคือวันที่เขาท้องไม่พร้อมแล้วเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอว่าเขาจะสามารถจะจัดการท้องที่ไม่พร้อมยังไง มีคุณแม่วัยใสเยอะมากที่โรงพยาบาลชุมชน เดินมาสมมติมีร้อยคน ห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าเรามีกฎหมายเรื่องของการทำแท้งแล้ว ก็คือผู้หญิงทุกคนที่ท้องไม่พร้อม สามารถเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล โดยกระบวนการคือต้องผ่านการพูดคุยกับหมอหลายขั้นตอนครับ เอิร์ธมองว่าอาจจะเป็นสิทธิของผู้หญิงคนหนึ่ง หากอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม แล้วเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลท้องนี้ให้ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในสังคมแล้ว เราสามารถเข้ามารับการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยครับ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ

เราอยากสนับสนุนให้เรื่องการป้องกันเป็นที่พูดถึงกันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงกันเลย ยิ่งการคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้สำหรับเยาวชนเนี่ยฟรี ยาคุมกำเนิด หรือง่าย ๆ เลย ถุงยางอนามัยป้องกันได้ที่สุด แล้วไม่ใช่กันท้องแต่กันโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ด้วย  อันที่สองสำหรับผู้หญิงก็จะมีการฝังยาคุม ฝังครั้งนึงอยู่ได้ 3 - 5 ปี แล้วก็ยาคุมฉุกเฉิน คือหลังจากที่เราไปประกอบกิจกรรมไปพลาดอะไรมา ร้านยาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเข้าไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเนอะ ก็เป็นอุปสรรคนึงที่ทำให้เราเข้าถึงยาคุมฉุกเฉินยาก แต่เราต้องกล้า ดังนั้นด่านแรกที่เราต้องไปเจอก็คือเป็นคุณเภสัชกรที่ร้านขายยา ภายใน 48 – 72 ชั่วโมงแรกจะได้ผลดีที่สุดในการกินยาคุมฉุกเฉินจะช่วยคุมกำเนิด

เดี๋ยวนี้มันต้องพูดกันได้แล้วว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องให้ความรู้กับเยาวชนที่ถูกต้องเพราะเขาก็ไม่ได้รับความข้อมูลได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราก็มีหน้าที่ให้ความรู้แล้วก็ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สถาบันแรกเลยคือครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ยังขาดการให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง”

 

 

ห้องฉุกเฉิน ที่อยากให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับสิทธิ์ก่อน

มีอีกหนึ่ง Pain point ที่เอิ์รธเคยเจอเมื่อตอนที่ยังเป็นหมอ ก็คือเรื่องของ ห้องฉุกเฉิน โดยเอิร์ธ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็น Pain point อีกเรื่องคือเรื่องห้องฉุกเฉินกับหมอ เพราะว่าห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนอกเวลาราชการ ซึ่งก็จะมีคนไข้หลายรูปแบบมาเลย ถ้าฉุกเฉินจริงก็โอเคไม่เป็นไรเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ส่วนใหญ่มันเป็นในเรื่องของการที่ไม่ฉุกเฉิน หมายถึงว่า คนไข้เป็นไข้มาแล้ววันหนึ่งอยากมาหาหมอจังเลยตอน 2-3 ทุ่ม อะไรแบบนี้ครับ 
ซึ่งในช่วงนอกเวลาราชการจะมีแต่ห้องฉุกเฉินอย่างเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็จะมีหมอแค่คนเดียวที่ดูแลทั้งหมด ซึ่งหมอก็น้อยอยู่แล้ว บุคลากรทางการแพทย์อย่างอื่นก็น้อยด้วย พยาบาลก็ไม่พอ แล้วเทคนิคการแพทย์ หรือว่าเภสัชกรก็ไม่พอด้วย เขาก็จะรับไม่ไหว

อยากให้คนไทยรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเบื้องต้นก่อนครับ เช่นเรื่องของไข้เนี่ยมันก็ไม่ได้มีสอนในสุขศึกษาว่า ไข้มันคืออะไร ไข้มันมาจากไหน ส่วนใหญ่มันเกิดจากไวรัสเกิดจากหวัดหรือเปล่า แล้วการดูแลตัวเองเบื้องต้นยังไง สามารถซื้อยากินเองได้มั้ย สามารถมาเจอหมอในวันถัดไปได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นไข้ เป็นหวัด มาหาหมอหรือไปร้านยา ก็ได้ยาเหมือนกัน

จริง ๆ โครงการ 30 บาทดีมั้ย มันดีนะครับเพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะเข้ามาโรงพยาบาลมาได้ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็เป็น Pain point อย่างนึงเหมือนกัน เพราะเหมือนโยนภาระทุกอย่างเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหมดเลย ไม่ว่าคนจะเป็นยังไงก็มาโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เหมือนเป็นการผลักภาระเข้ามาที่บุคลากรการแพทย์ ซึ่งมันต้องแก้ที่อะไรหลายๆ อย่างระบบการศึกษาด้วย แล้วก็ให้ความรู้ทั่วไปกับประชากรและสังคมด้วย” - เอิร์ธ อติรุจ

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related ENTERTAINMENT NEWS

เปิดเส้นทางชีวิต ที่ถูกลิขิตมาเป็นคู่หู ของ “หยิ่นวอร์” มิตรภาพของผู้เสิร์ฟความฟิน สะเทือนวงการซีรีส์วาย

04 ต.ค. 2024

เปิดเส้นทางชีวิต ที่ถูกลิขิตมาเป็นคู่หู ของ “หยิ่นวอร์” มิตรภาพของผู้เสิร์ฟความฟิน สะเทือนวงการซีรีส์วาย

“เราโชคดีมาก ๆ นะที่เราไม่ได้สนิทกันเพราะว่าต้องทำงาน แต่เราสนิทกันเองเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องนิสัย ผมก็เลยรู้สึกว่าการเป็น คู่หู มันยั่งยืนมาก ๆ”“มันคือความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ตั้งแต่ต้น มันทำให้ทุกวันนี้เราสบายใจมากในการทำงาน เราไว้ใจกันได้ตลอด เล่นซีรีส์แทบจะไม่ต้อง เวิร์กชอปกันเลยเพราะว่าเรารู้จักกันทั้งหมดจากความจริง”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคู่หูผู้เสิร์ฟความฟิน “หยิ่น อานันท์ หว่อง” และ “วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์” สองนักแสดงที่โด่งดังจากซีรีส์วาย โดยชื่อของพวกเขามักจะติดเทรนด์ทวิตเตอร์อยู่บ่อยครั้ง หลังจากทั้งคู่มีผลงานการแสดงคู่กันครั้งแรกในเรื่อง ‘Love Mechanics กลรักรุ่นพี่’ ด้วยเคมีที่เข้ากัน ความละมุน และเสน่ห์อันล้นเหลือ ทำให้ทั้งคู่สามารถเรียกแฟน ๆ เข้าด้อม มาได้อย่างยาวนาน ล่าสุดพวกเขาได้หวนกลับมาแสดงคู่กันอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง “Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที” ที่ทั้งคู่รับทั้งบทบาทของการเป็นผู้จัด รวมถึงการเป็นนักแสดงเองอีกด้วย สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดพลังใจดี ๆ ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการหยิ่นวอร์ กับบทบาทของการเป็นผู้จัดซีรีส์วอร์ : “ผมรู้สึกดีใจที่กระแสตอบรับดีมาก ๆ เพราะว่าตัวเราเป็นนักแสดง และทีมงานทุกคนตั้งใจมาก ๆ กับซีรีส์เรื่องนี้ แล้วพอมันมีกระแสตอบรับไปในทางบวก ผมก็รู้สึกว่าการที่เราทุ่มเทกับเรื่องที่เราทำ แล้วท้ายที่สุดมันสัมฤทธิ์ผล มันดีต่อใจมาก ๆ”หยิ่น : “จริง ๆ ผมว่า ภาพผู้จัดมันอาจจะดูยิ่งใหญ่มาก แต่สำหรับผมขอใช้คำว่าเป็นผู้จัดที่ช่วยระดมทุนดีกว่า และเราก็ทำหน้าที่แสดงเหมือนเดิมอย่างเต็มที่ที่สุด อย่างเรื่องนี้เราถ่ายกันอาทิตย์ละ 4 วันเลยครับ เพราะต้องออนแอร์ให้ทัน ทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานมาก แล้วสุดท้ายพอผลตอบรับออกมาดี จนผมรู้สึกว่ามันเหมือนเราเป็นทีมเดียวกันเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเราทำมาเพื่อขายให้คนดู แต่กลายเป็นว่าคนดูกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ ผมก็เลยรู้สึกดีใจมากครับ”วอร์ : “ที่มาของซีรีส์ Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที มันเกิดจากที่เราไปถ่ายคอนเซ็ปต์ในคอนเสิร์ตเฉย ๆ ครับ เป็นการถ่ายเพื่อนำมาคั่นในคอนเสิร์ต โดยเราถ่ายในเรื่องราวเกี่ยวกับการโจรกรรมต่าง ๆ เพราะคอนเสิร์ตจะเป็นธีม PARTNER IN CRIME แล้วมันเกิดกระแสการตอบรับที่ดี คนอยากเห็นเราเอามาทำเป็นซีรีส์ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์เรื่องนี้ครับพอเป็นผู้จัด การเสนอพล็อตก็มีบ้าง แต่ว่าทางทีมเค้ามีในใจแล้ว แต่ผมเองก็เคยเสนอไปว่า ลองทำเป็นซีรีส์เกี่ยวกับแนวประมงไหม เพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบตกปลาอยู่แล้ว แล้วก็รู้สึกว่าถ้าเกิดเราทำซีรีส์แนวนี้ มันอาจจะส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศได้ แต่ไอเดียก็ถูกปัดตกไป ด้วยความที่ทีมเค้ามีพล็อตในใจอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแอคชั่นประมาณนี้”Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกทีวอร์ : “Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนสองคน โดยคนหนึ่งมีทุกอย่าง ครอบครัวดี ฐานะดี แต่ว่าขาดเรื่องความรักความอบอุ่น คือครอบครัวของโจ๊กเกอร์เค้ามีลูกสองคน โดย โจ๊กเกอร์ เป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วอีกคนเป็นคนที่พ่อแม่ตั้งใจเลี้ยงมาก ๆ จน โจ๊กเกอร์ เริ่มโดนพ่อแม่กดดัน จนคิดอะไรผิด ๆ นั่นคือการไปปล้นคนที่ไม่ดี แล้วก็มาช่วยคนจน ส่วน แจ็ค ก็จะเป็นคนที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะ แต่ว่าเค้าได้รับความรักจากอาม่า แล้วเค้าก็จะมีแนวความคิดอยากจะเป็นนักเทควันโด เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ แจ็ค กับ โจ๊กเกอร์ ได้มาเจอกันในจังหวะที่ โจ๊กเกอร์ไปปล้นธนาคารพอดี แล้วแจ็คก็จะมาขอเงินกู้ เพื่อสร้างโรงเรียนสอนเด็กที่ขาดโอกาสการแสดงเป็น โจ๊กเกอร์ คาแรกเตอร์มันมีการเปลี่ยนเยอะมากครับ ผ่านไป 3 EP. คนน่าจะได้เห็นประมาณ 10 ลุคแล้ว แล้วก็น่าจะมีประมาณ 4 ลุค ที่ได้เล่นแบบพูดตามบท ซึ่งความยาก มันยากมาตั้งแต่อ่านบทแล้วครับ ตอนที่อ่านบทผมท่องกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ต้องทำให้คนดูเชื่อให้ได้ว่าเราเป็นโจรที่มีไหวพริบในการปลอมตัวจริง ๆ เรื่องจริต หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ช่วงก่อนเข้าซีน ผมจะมีวิธีในการซิงค์ตัวละคร โดยเราต้องเป็นตัวละครนั้นให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าซีน ต้องพูดกับคนอื่นโดยลองใช้น้ำเสียงตามคาแรกเตอร์ ต้องทำผมแต่งหน้าเพื่อให้ทุกคนเชื่อให้ได้ก่อนพอเรามั่นใจแล้วค่อยไปเล่นโดยคาแรกเตอร์ของผม กับ โจ๊กเกอร์ อาจจะไม่คล้ายในเรื่องการที่ต้องปลอมตัวเยอะ ๆ เพื่อไปโจรกรรม แต่ว่าสิ่งที่คล้ายกันคือ ผมเป็นคนชอบใช้ช่องโหว่ทางคำพูด ในการทำอะไรบางอย่าง อย่างเช่น แข่งเกม ที่กติกาบอกว่า ต้องเอาลูกโป่งแนบหน้าเราแล้ววิ่งไม่ให้ลูกโป่งตก แต่ผมกัดหัวลูกโป่งวิ่งเลย จะเป็นแบบนั้นครับ”หยิ่น : “ผมว่าคาแรกเตอร์ของผมมีส่วนคล้ายกับ แจ๊ค ตรงที่ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ส่วน แจ็ค ก็จะเป็นคนขรึม ๆ แต่ผมคิดว่า ที่เห็น แจ๊ค พูดเยอะ เพราะว่าเป็นนักแสดงนำ ก็เลยต้องพูดไปตามบท แต่ผมคิดว่า ถ้า Off Scene เค้าก็คงจะเป็นตัวที่นั่งเงียบ ๆ แล้วรอฟังเพื่อนพูดมากกว่า ซึ่งส่วนนี้ก็จะคล้ายคลึงกันกับตัวผม ผมว่าตัวเอง Introvert อยู่นะ”วอร์ : “คือเค้าจะเป็นกับคนที่ไม่สนิท ถ้าเกิดเจอกันครั้งแรก คนภายนอกจะมองว่าเค้าดูดุมาก ดูไม่ค่อยพูด แต่กับเราเค้าก็ไม่ Introvert นะ จะเป็นแค่บางช่วง บางอารมณ์ที่เค้าต้องการจะเซฟพลังงาน”หยิ่น : “พื้นฐานผมเป็นคนคิดมากครับ มักจะกังวลว่า ถ้าเกิดเราเข้าไปคุยกับใครสักคน เค้าอยากคุยกับเรารึเปล่า สมมติว่าเราเพิ่งเจอใครคนหนึ่งได้ไม่นาน พอเค้าเข้ามาชวนคุย ผมก็จะคิดไปแล้วว่า เค้าจะอยากคุยกับเราไหม เค้าจะรำคาญเราไหม ผมจะกังวลแทน และไม่อยากไประรานใครแล้วในซีรีส์ แจ๊ค จะมี อาม่า ที่ต้องคอยดูแล แล้วก่อนหน้าที่ผมจะเข้าวงการ ผมก็ใช้ชีวิตกับยาย เพราะพ่อแม่ของผมทำงานอยู่ต่างประเทศ ผมก็เลยอยู่กับยายเป็นหลัก เพราะฉะนั้นมันก็สามารถดึงอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดมาได้เลย หรือแม้แต่เรื่องหนี้สินก็เหมือนกัน เพราะก่อนเข้าวงการครอบครัวผมก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน แล้วผมจะเข้าใจว่าแรงกดดันของตัวละครเป็นยังไง มันก็เลยสามารถนำมาถ่ายทอดในตัวละคร แจ๊ค ได้แบบที่เราไม่ต้องเขียนบทเพิ่มเรื่องขึ้นมา เราสัมผัสความรู้สึกตัวละครได้จริง ๆ ความจนตรอกบ้าง ความไม่มีทางเลือก มันก็เชื่อมโยงกับตัวผมได้ง่าย ๆ”วอร์ : “เราเตรียมตัวเยอะกันเยอะมาก ๆ ต้องไปลงเรียนเทควันโด ที่ผมก็ตามติดไป แต่ หยิ่น เค้าจะเรียนหนักกว่าผม เพราะว่าในเรื่อง เค้าต้องแสดงเป็นนักเทควันโด แต่เราเองก็ต้องมีคิวแอ็คชั่นด้วย ก็เลยต้องไปเรียนพื้นฐานด้วยครับ”หยิ่น : “ผมว่าเทควันโดยากนะ ศาสตร์นี้ถ้าเราไม่ได้เรียนตั้งแต่เด็ก เมื่อเราเส้นตึง หรือมีกล้ามเนื้อที่มันยืดไม่ได้แล้ว ผมว่ามันไม่มีทางที่จะเพอร์เฟกต์ได้เหมือนเด็ก ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องตัวอ่อน กล้ามเนื้อขาต้องแข็งแรง เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมตัวมากพอสมควรเลย ซึ่งผมเองตัวแข็งมาก บวกกับมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลังด้วย ต้องไปหาหมอเพื่อทำกายภาพอยู่บ่อยครั้ง เวลาเรียนผมก็พยายามยืดกล้ามเนื้อ แล้วก็มีซื้อกระสอบทรายไว้ที่บ้านเพื่อฝึกเตะ แล้วก็บางท่าก็ต้องคอยดูจากคลิปสอนในโซเชียลมีเดีย ที่จะมีการสอนเป็นสเต็ป ผมก็จะอัดหน้าจอมือถือไว้ แล้วก็ศึกษาว่ามันกระโดดแบบนี้ เตะแบบนี้ เพราะบางทีถ้าเราดูแค่ตาเปล่ามันไม่เข้าใจ แล้วพอมาถ่ายเราก็ต้องเตะ 3-4 รอบ เพื่อให้ภาพมันออกมาสวย ผมก็เลยต้องมานั่งวิเคราะห์อะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อเตรียมตัวในการเล่นซีรีส์เรื่องนี้แล้วตัวละคร แจ็ค ต้องมีการพลิกคาแรกเตอร์ อย่าง EP.1 มันต้องย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน ถ้าเทียบก็น่าจะอายุประมาณ 17-18 ปี ที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เลย ก็จะมีบุคลิกใส ๆ ด้วยความที่ตัวเค้าเป็นคนที่คิดบวกอยู่แล้ว แต่ว่าพอเจอเหตุการณ์ที่โจ๊กเกอร์ทำ เลยเป็นเหตุผลให้ แจ๊ค ต้องพลิกคาแร็กเตอร์ให้เป็นสายดาร์กขึ้น ก็จะมีความเย็นชาขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจว่าโลกเรามีเส้นสายนะ ถ้าเกิดเราไม่มีทุนเราก็แพ้อำนาจอยู่ดี หรือแม้กระทั่งตัวแจ๊คเกือบจะติดคุกด้วยซ้ำถ้าเกิดโจ๊กเกอร์ไม่รับแทน ซึ่งทั้งชีวิตเค้าใช้ชีวิตอยู่กับอาม่า ถ้าเกิดเค้าติดคุก แล้วไม่มีคนช่วย อาม่าของเค้าจะอยู่ยังไง ผมรู้สึกว่าเค้ารับความผิดหวังมาทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นคาแรกเตอร์มันก็ต้องเปลี่ยนการกลับมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้กังวลครับ เพราะว่าเราห่างหายจากการแสดงไปนานแล้ว แล้วเราเป็นพาร์ทเนอร์หยิ่นวอร์มานานแล้ว อะไรก็ตามที่มีชื่อในเทรนด์มานานประมาณหนึ่งแล้ว จะให้มันกลับไปพีคเหมือนเดิมค่อนข้างยาก และมันค่อนข้างน่ากังวล ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราทำเรื่องนี้เพื่อจะเอากำไรรึเปล่า แต่สุดท้ายผมมาสรุปกับตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่า เราทำเพื่อแฟนคลับจริง ๆ เพราะถ้าถามหาผลกำไรที่จะกลับมา ผมยังมองไม่เห็นทางนะ เพราะว่าเรื่องนี้ใช้เงินค่อนข้างเยอะ ลองคิดภาพว่าเราลงทุนไปขนาดนี้ แล้วสุดท้ายเราไม่ได้อะไรกลับมา แต่ว่าเราได้ความสุขจากแฟน ๆ เพราะฉะนั้นก็คงพูดได้เต็มปากว่า เราทำให้แฟน ๆ” วอร์ : “เราคุยกันตลอดว่า ถ้าผลตอบรับมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะไปทำอะไรต่อดี แต่ผมก็รู้สึกว่าเราทำเต็มที่มาก ๆ เต็มที่กว่าทุกครั้งที่ทำเลย แล้วก็มองเห็นทีมงาน มองเห็นนักแสดงทุกคนเต็มที่ ถ้าเกิดมันไม่ประสบความสำเร็จในเชิงที่มีกระแสตอบรับที่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นซีรีส์ที่ดีมาก ๆ แล้ว ในใจของผม และในใจของทุก ๆ คน”ซีรีส์ ที่ถูกเดิมพันด้วยการไปดูแสงเหนือหยิ่น : “จริง ๆ มันมีการเดิมพันเรื่องการไปดูแสงเหนือด้วยนะ ย้อนไปตอน PARTNER IN CRIME มันจะมีคีย์เวิร์ดที่ตัวละครสองคนพูดคุยกัน แล้วตัวละครหนึ่งในนั้นพูดว่า ไปดูแสงเหนือกัน แต่สุดท้ายแล้วตัวละครดันถูกตำรวจจับ ก็เลยเอากิมมิกตรงนี้มาคุยกับผู้จัดการว่า ไหน ๆ เราเป็นผู้จัดแล้ว เราก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย ๆ นะ ผมก็เลยพูดออกไปในงานอีเว้นท์ว่าพี่ ๆ ครับ ถ้าเกิดซีรีส์เรื่องนี้สามารถติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของเทรนด์โลก 5 ครั้ง พี่ผู้จัดการจะพาเราไปดูแสงเหนือ หลังจากนั้นแฟน ๆ ก็เริ่มมีมิชชั่นในการทวิตข้อความ ไม่ใช่แค่ปั่นเทรนด์ไปลอย ๆ ก็รู้สึกไม่เสียใจที่ได้พูดไปนะ และจะได้ไปดูแสงเหนือจริงไหม ต้องคอยดูครับ”“ซี่รีส์” บางทีไม่จำเป็นต้องครอบด้วยคำว่า “วาย”วอร์ : “ที่ซีรีส์วายได้รับความนิยมมากขึ้น ผมรู้สึกว่าด้วยความที่โลกเรามันค้นพบในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องนี้มีอยู่แล้ว แค่เพียงแค่เรายังไม่ค้นพบ และเจาะลึกกับมันมากพอ แล้วในวันที่เราเริ่มค้นพบเรื่อย ๆ ว่ามันมีสิ่งนี้อยู่นะ มันก็เลยทำให้ซีรีส์เหมือนเป็น Soft Power เหมือนกัน คนเห็นมุมมองต่าง ๆ ได้มากขึ้น ยิ่งเราใส่อะไรในซีรีส์มากเท่าไหร่ คนดูก็จะเห็น แล้วก็ซึมซับไปด้วย”หยิ่น : “ผมมองว่าซีรีส์วาย มันเปลี่ยนแปลงครับ ผมว่ามันมีการแตกแขนงนะ จนเรารู้สึกว่า ซีรีส์ บางทีมันไม่ต้องครอบคำว่า วาย เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดเรามองว่ามันคือเรื่องปกติ และโลกมันพัฒนาไปจนความรักของ ชายกับชาย หรือ หญิงกับหญิง หรือชายกับหยิง จะอะไรก็แล้วแต่มันกลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นคำว่า วาย ยังจำเป็นอยู่ไหม มันอาจจะเป็นแค่ซีรีส์ปกติก็ได้ แล้วผมรู้สึกว่า เรื่อง Jack Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที เรากำลังทำให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่โดยผลลัพธ์ คือตอนตั้งต้นเราสร้างให้มันเป็นซีรีส์วาย แต่ว่าผลลัพธ์ที่ออกไป มีพ่อแม่ หรือกระทั่งเพื่อนผมที่ไม่ได้ติดตามซีรีส์วายเข้ามาดู ซึ่งดูเพราะว่าตัวเนื้อเรื่องมันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับชมได้”“คู่หู” อธิบายความเป็นเรามากกว่า “คู่จิ้น”วอร์ : “คำว่า คู่จิ้น ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายนะว่ามันคืออะไร มันอาจจะมาจากแต่ก่อนที่มีซีรีส์แบบนี้ที่ใหม่มาก ๆ แต่ผมมองคำว่า คู่หู มันยั่งยืนกว่า มันเหมือนเป็นได้ทั้งเพื่อน ได้ทั้งพี่น้อง มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก แฟน ๆ หลายคนจะรู้ว่า ตอนที่เข้ามาในด้อมครั้งแรก หยิ่นวอร์จะไม่มีการเซอร์วิสแฟนคลับ และเราไม่สนิทกันเลย จนคนดูออกว่าเราไม่สนิท ซึ่งเราโชคดีมาก ๆ นะที่เราไม่ได้สนิทกันเพราะว่าต้องทำงาน แต่เราสนิทกันเองเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องนิสัย ผมก็เลยรู้สึกว่า การเป็นคู่หูมันยั่งยืนมาก ๆ”หยิ่น : “ผมว่าดีที่มันคือความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ตั้งแต่ต้น มันทำให้ทุกวันนี้เราสบายใจมากในการทำงาน เราไว้ใจกันได้ตลอด เล่นซีรีส์แทบจะไม่ต้องเวิร์กช็อปกันเลยเพราะว่ารู้จักกันทั้งหมดจากความจริง ไม่ใช่ว่าแบบ พี่ผมมาสนิทกับพี่ ผมขอจับมือหน่อย เพราะว่าผมอยากมีชื่อเสียง ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนี้เลยตั้งแต่ต้น”ย้อนก้าวแรกก่อนเข้าสู่วงการบันเทิงของ หยิ่นวอร์หยิ่น : “การเข้าวงการบันเทิง ถ้าเป็นความคิดแบบจริงจังในตอนเด็กนี่ไม่มีครับ แต่ว่าช่วงอยู่ ม.ต้น ช่วงนั้นผมดู พี่วู้ดดี้ สัมภาษณ์หลาย ๆ คน แล้วบางทีสัมภาษณ์คนดังมากมาย ตอนไปโรงเรียนก็เลยพูดกับเพื่อนเล่น ๆ ว่า สักวันจะเราจะให้เค้ามาสัมภาษณ์ แต่พอเวลาผ่านไป จน ม.ปลาย เคยเจ็บมากบนเส้นทางนี้ ก็เลยล้มเลิกความคิดจนถึงจุดที่ต้องวางแผนอาชีพ ว่าเราจะทำอาชีพอะไรที่มั่นคงในประเทศนี้ดี เพราะว่าฐานะที่บ้านก็ไม่ค่อยดี ถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันไม่มั่นคง หรือไปทำตามฝันที่เคยมี แล้วถ้ามันไม่สำเร็จ เราจะใช้ชีวิตต่อยังไง ผมเป็นคนวางแผนชีวิตมาตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเข้าเรียน วิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ดีกว่า เพราะผมคาดเดาว่าโลกอนาคต ใครที่มีความรู้ด้านไอทีมันใช้ชีวิตรอดได้แน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่ผมคิด อย่างที่เห็นว่า AI ในยุคนี้มันกำลังมา มาแรงจนคนกลัวว่าจะกลายเป็นดราม่าว่า AI จะแย่งงานคนรึเปล่า ซึ่งผมเคยไปแนะแนวเด็ก แล้วผมพูดมาตลอดเลยว่า อะไรก็ตามที่ทางเข้ามันกว้าง ทางออกมันจะแคบมาก คุณจะแข่งกับชาวบ้านเยอะมาก แล้วท้ายที่สุดคุณอาจจะแพ้หุ่นยนต์ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นต้องมีสติ และคิดถึงอนาคตให้มาก ๆสิ่งที่ได้จากการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิธีคิด มีหลาย ๆ คนชอบทักผมว่าเป็นคนที่คิดแบบมี Logic อย่างที่เคยไปออกรายการ พิธีกรถามคำถามว่า ถ้าเกิดให้ปลอมตัวในชีวิตประจำวันได้ 1 อย่าง จะปลอมเป็นอะไร คนอื่นก็คิดไป ส่วนผมนั่งคิดว่าเราปลอมเพื่ออะไร เราปลอมทำไม ผมหาคำตอบไม่ได้ แล้วผมจะตอบคำถามนี้ยังไงให้มันถูกจุดที่สุด ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตแบบคิดหน้าคิดหลังคิดไปหมดว่าเราจะทำอะไร บางทีผมไปเปิดตู้เย็นไรแล้วก็คิดว่าหรือเราจะเดินไปรดน้ำต้นไม้ก่อนดี หรือจะเดินไปกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรก่อนดี ผมมานั่งคิดว่า ถ้าเกิดผมกินน้ำก่อน เจ้ากรรมนายเวรจะไม่พอใจไหม ผมเลยเดินไปเปิดน้ำเพื่อไปกรวดน้ำ แล้วก็คิดว่าโอเคผมให้คุณก่อนแล้วนะ แล้วตัวผมค่อยกิน ผมคิดทุกการกระทำไปหมดเลย จนบางครั้งไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่า”วอร์ : “ไม่มีในความคิดเลยครับสำหรับอาชีพนักแสดง คือตอนเด็ก ๆ มีอาชีพที่อยากเป็นเยอะมาก อย่างตอนเด็กมาก ๆ ก็จะอยากเป็นนักโบราณคดี อยากไปขุดไดโนเสาร์ เพราะชอบดูสารคดี ชอบดาราศาสตร์ แล้วก็ชอบวิทยาศาสตร์ บวกกับชอบวาดรูปด้วย พอช่วงที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เลยมองหาคณะที่มันกลาง ๆ ระหว่าง วิทยาศาสตร์ กับ ศิลปะ ก็เลยเลือก สถาปัตยกรรม แล้วเราก็เลยฝันอยากเป็นนักออกแบบมาตลอด ไม่ได้อยากเป็นอย่างอื่นแล้ว ใครมาชวนไปเข้าวงการก็ไม่ไป จนมีรุ่นพี่เค้ามาชวนอีกที ตอนที่จะเรียนจบแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเค้าเห็นอะไรในตัวเรารึเปล่า เลยตัดสินใจว่าลองดูก็ได้ แล้วก็ลองมาจนถึงทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าการเรียนสถาปัตยกรรม มันไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการออกแบบสักทีเดียว มันเรียนเกี่ยวกับการออกแบบความคิดมาก ๆ ผมรู้สึกว่าคนเรียนจบคณะนี้จะเป็นอะไรก็ได้ เพราะว่าเค้าเรียนองค์ประกอบการออกแบบความคิดมาแล้ว อย่างเช่นการแสดงผมก็ได้ใช้เกี่ยวกับการออกแบบ ในเรื่องการออกแบบตัวละคร ผมใช้วิชาจากการเรียนมาปรับใช้ เวลาเราจะออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย เราก็ต้องคิดเลยว่า คนอายุเท่าไหร่ ชอบอะไร สีอะไร วัสดุอะไรจนกลายเป็น Product ที่เราต้องการแค่หนึ่งอย่าง ซึ่งมันเหมือนการออกแบบคาแรกเตอร์ของผมเลย”หยิ่น : “ผมเริ่มเข้าวงการบันเทิง ตอนที่ได้เจอ พี่ก็อตจิ ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ซึ่งมันเป็นช่วง Open House พอดี แต่ว่าคณะของผม จริง ๆ ต้องเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ แล้วนาน ๆ ที จะได้มางาน Open House แล้วมาเจอ พี่ก็อตจิ ถ่ายรายการอยู่ แล้วก็เข้ามาสัมภาษณ์ผม แล้ว พี่อั๋น ผู้จัดการคนปัจจุบันคงจะได้ดูรายการ แล้วก็ติดต่อผมมา ตอนนั้นบอกก่อนว่าผมเล่นโซเชียลไม่เป็น ก็เลยไม่รู้ว่ารายการมันเกิดไวรัลอะไรไหม แต่ว่าผู้จัดการเห็นเค้าก็เลยชวนเข้าวงการครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็มีคนมาชวนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ว่าผมให้สิทธิ์พี่อั๋นคนแรก อาจจะเพราะโชคชะตาด้วย เพราะว่าคำพูดที่เค้าชวนผมตอนนั้น เค้าบอกว่าถ้าเกิดมาตรงนี้จริง ๆ เราอาจจะมีงานรีวิวนะ แล้วบังเอิญว่าก่อนหน้านั้นมีเพื่อนของผมที่เป็นเดือนคณะเข้ามาคุยกับผมว่าไปรับงานรีวิวมา แล้ว 1 โพสต์ ได้ 500 บาท ผมทึ่งมากนะ อะไรคือการลงรูปในโซเชียลแล้วได้เงิน 500 บาท มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก แล้วผู้จัดการผมดันพูดเรื่องนี้พอดี ผมก็เลยตกลง ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีคนชวนแล้วเหมือนกัน แต่เค้าชวนเพื่อนผมที่เป็นเดือนคนนั้นแหละ แต่ไม่ได้ชวนผม แล้วพอผมพาเพื่อนไปเจอ เค้าก็พูดกับผมว่าไปอยู่กับพี่ด้วยก็ได้นะ แต่ความรู้สึกผมมองว่าคุณไม่ได้ชวนผมตั้งแต่แรก ก็เลยเบี่ยง ๆ แล้วบังเอิญว่ามาเจอพี่อั๋น ที่รู้สึกว่าเค้าอยากได้เราไปทำงานจริง ๆ โดยที่เห็นเรามีคุณค่า ที่ไม่ใช่สินค้า ผมก็เลยมีทุกวันนี้ครับ”หยิ่นวอร์ กับข้อคิดที่ได้รับจากการแสดงวอร์ : “ผมรู้สึกว่าวงการนี้ให้หลักคำสอนคือ โอกาสมันมาไม่ได้นาน และมันอยู่ไม่ได้นาน บางทีเราต้องมีศักยภาพก่อนที่จะคว้ามันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อย่างเช่นถ่ายงานมันมีเวลากำหนด 6 โมงถึง 4 ทุ่ม ซึ่งมันไม่สามารถทำให้นานกว่านั้นได้ เพราะมีทีมงานอีกหลายคน เราก็เลยต้องทำให้มันดีตั้งแต่คัทแรกไปเลย ไม่อย่างนั้นโอกาสมันอาจจะหลุดลอย ถ้าความสามารถของเรามันคว้าไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีอะไรต้องทำให้เต็มที่ไว้ก่อน”หยิ่น : “การแสดงให้ทุกอย่างเลย ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น และผมรู้สึกว่า จริง ๆ แล้วเราเป็นหนึ่งคนที่มีคุณค่า และเราจะส่งต่อพลังบวกให้ใครหลาย ๆ คนได้ มีแฟน ๆ หลายคนที่เค้าแท็กมาว่า เค้าป่วยนะ แต่เค้าดูเราแล้วเค้าหาย จนผมรู้สึกว่าในชีวิตนี้เราสามารถเป็นประโยชน์ขนาดนี้ได้จริง ๆ เหรอ โดยที่เราไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ และการแสดงเป็นงานที่มีความสุขนะ เราได้เจอเพื่อนที่สนิทกันตลอด แล้วยังสร้างคุณค่าให้ใครหลาย ๆ และผมค่อนข้างชอบนะที่เราเป็นประโยชน์ให้ใครหลาย ๆ คนได้”วอร์ : “นักแสดงที่ดี ผมรู้สึกว่ามันคือการเอาประสบการณ์ที่เรามีอยู่มาใช้ อย่างเช่น ที่เราพบเจอ และสังเกตคนบ่อย ๆ เพราะว่าการเป็นนักแสดงมันไม่ได้แสดงเป็นตัวเราเอง แต่ว่ามันก็แสดงไปเป็นคนอื่นเลย 100% ไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการสังเกตรายละเอียดของคนมากกว่า ผมรู้สึกว่าถ้าเกิดเรามีวัตถุดิบเยอะเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีมุมมองที่กว้างมากขึ้นจนสามารถแสดงเป็นบุคลิกที่มันไกลตัวเราไปได้ หมั่นสังเกตบุคลิกคน หมั่นสังเกตการใช้ชีวิต แล้วคุณจะมีวัตถุดิบที่มากขึ้นแถมยังได้เข้าใจชีวิตคนอื่นมากขึ้นด้วย”หยิ่น : “ผมว่าถ้าเราอยากเป็นนักแสดงที่ดี ควรมีเครื่องมือให้ครบดีกว่า เพราะว่าการเป็นนักแสดงก็เหมือนการเป็นช่างหนึ่งคน บางทีถ้าเกิดผมจะต้องเลื่อยโต๊ะนี้ แล้วผมไม่มีเลื่อย ก็กลายเป็นว่าเราก็ยังทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็อยากให้เตรียมเครื่องมือเอาไว้เยอะ ๆ แต่ผมว่าคนที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นคนที่มาพร้อมกับพรสวรรค์จริง ๆ เพราะว่าผมเทียบกับตัวเองที่แสดงเรื่องแรก ตอนนั้นเราเล่นแข็งมากนะ เพราะเป็นประสบการณ์ที่ใหม่มาก จึงมองว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาส แต่ถ้าเรามีเครื่องมือพร้อม เก็บชั่วโมงบินตัวเองให้ได้ เชื่อว่าผลงานมันก็จะดีเอง”วอร์ กับข้อคิดที่ได้จากการปั้นเซรามิกวอร์ : “ผมรู้สึกว่าการปั้นเซรามิกมันเป็นวิทยาศาสตร์มาก ๆ แล้วมันก็เป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่จะคิดวิธีนี้ การเอาดินที่มันเหลว ๆ มาปั้นเป็นรูป แล้วก็ใส่ความร้อนเข้าไปให้มันแข็งตัวเปลี่ยนจากดินเหลว ให้กลายเป็นของที่ขึ้นทรงแล้วใช้งานได้ หรือการจะเอาสารเคมีมาหลอมละลายให้มันกลายเป็นสารเคลือบที่มันให้สี ผมรู้สึกว่าเวลาเราทำงานศิลปะในแขนงนี้ มันเหมือนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปด้วย และบางครั้งมันเกิดความผิดพลาด เราก็มักจะหาคำตอบได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วมันทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ศาสตร์นี้ผมรู้สึกว่าเรียนทั้งชีวิตมันก็ไม่รู้จบ ต้องเจาะลึกไปเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่าฝึกสมาธิครับ แต่ว่าผมก็หัวร้อนเหมือนเดิม หลายคนบอกว่ามันฝึกให้เราเป็นคนใจเย็น แต่ถ้าผมไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการผมก็ทุบทิ้งผมอยากมีงาน Exhibition ของตัวเองเกี่ยวกับเซรามิกด้วยครับ เพราะเรียนออกแบบมาก็อยากทำงานเกี่ยวกับออกแบบ แล้วผมรู้สึกว่ามันให้ข้อคิดที่บางทีไม่รู้ตัวด้วย เพราะการปั้นมันตรงกับปรัชญาคัมภีร์ห้าห่วง ของ มิยาโมโตะ มูซาชิ ที่เป็นซามูไร เค้าบอกว่า ก่อนอื่นคุณต้องมีความแข็งแกร่งในตัวเองก่อนเป็นพื้นฐาน แต่ว่าที่เหนือกว่าความแข็งแกร่งคือความอ่อนโยน มันก็เปรียบเหมือนดินก้อนที่แข็ง มันจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าเราไม่ผสมน้ำ ผมก็เลยรู้สึกว่าชีวิตเราควรมีความอ่อนโยน เพราะมันจะทำให้เราลื่นไหลไปได้กับทุกคน ไปเจอสังคมแบบไหนเราก็ปรับตัวตามแบบนั้น ปั้นไปด้วยก็คิดไปด้วยครับ”หยิ่น : “ตอนที่ผมเห็นพี่วอร์ปั้นครั้งแรก ๆ ผมก็ทึ่งแล้วนะ แล้วตอนที่ผมมีงานแฟนมีตครั้งแรก ทีมงานเค้าก็จะถามว่า ในพาร์ทตัวเองอยากจะโชว์อะไร โดยทั่วไปก็จะร้องเพลง แต่พี่วอร์เป็นคนเดียวที่เอาหม้อมาปั้น แล้วก็เปิดเพลงคลอไปด้วย พอมาวันนี้เค้ามีโอกาสได้ทำจริงจังจนเกิดเป็นไวรัล ผมดีใจนะที่สิ่งที่เค้าชอบ ทำให้ใครหลาย ๆ คนชอบ แล้วนี่ก็อาจจะเป็น Soft Power ด้วย”คู่หู หมูยอ และคำขอบคุณจาก หยิ่นวอร์วอร์ : “สำหรับด้อมหมูยอ ผมบอกทุกครั้งว่าขอบคุณมาก ๆ เค้าเป็นเหมือนยักษ์ตัวใหญ่ ๆ ที่ให้ผมเกาะไหล่เค้าไป ยิ่งตัวใหญ่แค่ไหน ผมยิ่งมองโลกได้ไกลขึ้น คือการเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วมีคนสนับสนุนที่เยอะมาก ๆ มันทำให้ผมได้ไปเจอในโอกาสใหม่ ๆ ที่ในชีวิตนี้ผมไม่คิดว่าจะเจอด้วยซ้ำ อย่างการไปขึ้นเวที เห็นคนดูเยอะ ๆ แล้วเค้าได้รับอะไรกลับไปจากการแสดงของเรา จากการที่เราโชว์แล้วเค้ารับแรงบันดาลใจกลับไป หมูยอ สุดยอดมาก ขอบคุณยักษ์ตนนี้มาก ๆ ที่พาผมไปในทุกที่เลยครับ”หยิ่น : “ผมจะบอกหมูยอตลอดเลยว่า อย่าเบื่อนะที่ผมจะขอบคุณ เพราะว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่าเราได้แรงสนับสนุนจากทุก ๆ คน มันเลยทำให้มีเราวันนี้ และเราก็อยากตอบแทนเค้ากลับไป จนกลายเป็นวัฏจักรวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ แล้วก็แรก ๆ พี่วอร์เคยวาดรูปยักษ์แล้วเค้าเกาะอยู่บนไหล่ยักษ์ฝั่งหนึ่ง แล้วผมก็วาดรูปผมอยู่อีกฝั่งด้วย ขอเกาะไหล่ยักษ์ตัวเดียวกันไปด้วยกันครับผม”วอร์ : “สำหรับหยิ่น ที่อยากจะพูดก็คือ เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ยิ่งพออายุ 30 มันเห็นได้ชัดเลยว่า จากหลังไม่ปวดมันจะเริ่มมีก๊อกแก๊กแล้ว แล้วเวลาเตะบอลเกิดขาพลิกขึ้นมามันใช้เวลานานกว่าจะกลับมาปกติ แล้ว หยิ่น อายุยังไม่ 30 เลย แต่เค้ามีอาการเกี่ยวกับหลังก่อนผมแล้ว เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แล้วก็ขอให้อายุ 70 เรายังวิ่งได้เหมือนเดิม เตะบอลได้เหมือนเดิม และอยู่ด้วยกัน ไปทำกิจกรรมตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนแก่เราก็ยังไปเที่ยวด้วยกันได้ครับ”หยิ่น : “สำหรับพี่วอร์ ปีแรก ๆ เราจะพูดกันด้วยความลึกซึ้ง แต่ว่าพอหลัง ๆ เราพูดไปหมดแล้ว และเราทั้งคู่พูดออกมาจากใจจริง ๆ เพราะฉะนั้นก็อยากจะบอกว่า ทุกความหวังดี ผมพูดมาจริง ๆ ผมพูดมาตั้งแต่ต้น ต่อให้เราไม่ได้อยู่คู่กัน ต่อให้เราไม่ได้เล่นด้วยกัน ผมยังหวังดีกับคุณเสมอตลอดเวลา ซัพพอร์ททุกผลงาน มีงานอะไรก็จะเชียร์ ดันหลังกันไปกันมาตลอด แล้วก็จะบอกว่าขอให้ได้ทำตามฝันตัวเอง ทั้งเรื่องการเป็นนักแสดง แล้วก็เรื่องที่อยากจัดงานแกลอรี่ นอกจากงานปั้นแล้ว ผมก็อยากให้เค้าได้จัดงานภาพด้วย เพราะว่าเค้าเป็นคนที่วาดภาพได้ลึกซึ้ง แล้วผมก็ชอบงานภาพเช่นกัน ก็ขอให้ทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ครับ”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

23 ธ.ค. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

“ดวงชะตามันเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ สำหรับวั้งมองว่า การดูดวงมันคือการให้คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วตัวเราเองเป็นคนเลือก เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูชื่อดัง ในเรื่องการดูดวงด้วยไพ่ออราเคิล ที่คนในวงการบันเทิงต่อคิวดูดวงกันมากมาย จากไสตล์การดูดวงที่เป็นกันเองมาก ๆ จนเกิดเป็นฉายา หมอดูอินดี้ ซึ่งกว่าจะมาเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงในวันนี้ ชีวิตของเขาเริ่มจากความไม่เชื่อมาก่อน และชีวิตของเขาต้องผ่านบททดสอบมามากมาย และนอกจากการเป็นหมอดู เขายังมีอีกหลายบทบาท เช่น การถ่ายภาพ และการเป็นครีเอเตอร์ด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการไพ่ออราเคิล คืออะไร? ใช้ทำนายอย่างไร?“ไพ่ออราเคิล คือ ไพ่ที่เป็นรูปภาพ ซึ่งถูกเรียกว่า ไพ่ภาพพยากรณ์ ซึ่งสิ่งที่วั้งชอบในการใช้ไพ่นี้คือ มันเป็นการใช้โดยที่ไม่มีขีดจำกัดในการพยากรณ์ แล้วก็จริง ๆ แล้วในการดูดวงด้วยไพ่ ถ้าพูดแบบตรง ๆ เลย มันคือการเสี่ยงทาย เหมือนบางครั้งที่เราต้องการความมั่นใจสักอย่าง แล้วเราโยนเหรียญ เพื่อดูว่าออกหัวหรือก้อย มันเหมือนกันเลย แต่ว่าข้อดีของไพ่ คือมันมีความเป็น Storytelling คือมันต้องเล่าเรื่องราวได้ ในสิ่งที่เราถามแล้ววั้ง เป็นคนที่เชื่อเรื่องที่ว่าไม่มีอะไรบังเอิญ สมมติมาดูดวง เราบอกว่าสับไพ่ให้วั้งหน่อยค่ะ 9 ครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความจดจ่อ เพื่อให้คนเกิดสมาธิ แล้วพอสับไพ่เสร็จ วั้งก็จะหยิบไพ่โดยเรียงตามลำดับที่ได้สับไว้แล้วเท่านั้น จะไม่สุ่มไพ่ จะไม่กรีดไพ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นสถิติ หรือมันจะเป็นความไม่บังเอิญก็ไม่รู้ ที่เวลาที่เค้าถามในเรื่องราวนั้น ภาพของไพ่ก็จะเป็นสตอรี่ในเรื่องนั้น ๆ เช่นกันซึ่งคนที่ทำไพ่ออราเคิลนี้ ชื่ออาจารย์สมบูรณ์สุข ท่านเป็นช่างศิลป์ แล้วก็เรียนโหราศาสตร์ จากนั้นก็มาวาดทำไพ่นี้ขึ้น ตอนนี้น่าจะทำไพ่ประมาณ 3-4 ชุด แต่ชุดที่วั้งใช้ เป็นชุดที่สองของเค้า ที่เลือกใช้ชุดนี้เพราะว่า ในไพ่ชุดนี้ มีไพ่ที่มีวั้งเป็นต้นแบบ คือเค้าถ่ายรูปเรา แล้ววาดออกมาเป็นไพ่นั่นเองค่ะ”เปิดไพ่ทำนายดวง 2568 ปีนักษัตรไหนปัง ปีไหนต้องระวัง!“คนเกิดปีชวด ปีหน้าคนปีชวดมีโอกาสที่จะได้เริ่มอะไรใหม่ ๆ เหมาะกับช่วงของการที่จะต้องเริ่มต้นจริงจัง ต้องลงมือทุ่มเทตั้งใจ แล้วประคับประคองทุกสิ่งอย่างให้มันดี ให้มันผ่านพ้นไปได้แล้วจะเป็นปีที่ดีของคุณเลยคนเกิดปีฉลู ปีหน้าเป็นช่วงที่จะมีความโดดเด่นในเรื่องของการเดินทาง การสัญจร ทุกการเดินทางมีความสุขมากขึ้น เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายให้กับตัวเองมากขึ้น เป็นการเดินทางกับกลุ่มคนสนิทรักใคร่ คนคุ้นเคย คนใกล้ตัว ถ้าเป็นเรื่องงาน ก็จะเป็นคนที่ต้องทำงานที่มีการเดินทางไปโน่นมานี่ ติดต่อประสานงาน มันต้องมีการไป Walk-in บ้าง ไม่ใช่แค่อินเตอร์เน็ต หรือทางออนไลน์อย่างเดียว เราจะทำให้มันเป็นเชิงรุกมากขึ้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิถี สำหรับคนปีฉลูคนเกิดปีขาล ปีหน้าถือว่าเป็นปีแห่งชัยชนะ ปีแห่งความสำเร็จ เพราะฉะนั้นคนปีขาล ถ้าเกิดว่าในปี 2567 มันโหดร้ายกับคุณ ในปี 2568 มันเป็นปีที่คุณจะทำสำเร็จ มันเป็นปีที่คุณรู้สึกว่าได้รางวัลจากสิ่งที่คุณทุ่มเทตั้งใจ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อ รางวัลรออยู่ รางวัลแห่งชีวิต รางวัลแห่งผลงาน หรือแม้กระทั่งความชื่นชมจากคนรอบตัวของคุณ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ดีของคนปีขาลเช่นกันคนเกิดปีเถาะ ปีหน้าเป็นปีแห่งการต้องเรียนรู้วิธีการ ฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น สิ่งไหนที่เราคิดว่าเรายังทำไม่ดี เรายังทำไม่ได้ การฝึกฝนจะไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราพยายามทำมันอย่างสม่ำเสมอจนกว่าเราจะบอกได้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะ ในปีหน้ามันอาจจะมีเรื่องให้คุณมีความรู้สึกท้อบ้างในบางช่วงของปี แต่อย่างที่บอกไปว่า การเรียนมากมันไม่สู้การเรียนรู้นะ คือเรียนมามาก แต่ถ้าไม่เคยเรียนรู้ คือเรียนแล้วไม่ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะเรียนรู้เท่านั้นที่จะช่วยทำให้คุณเติบโตและก้าวหน้าได้คนเกิดปีมะโรง ในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่มีจุดเลือก มีทางเลือกให้เราต้องตัดสินใจค่อนข้างเยอะ ซึ่งทุกการตัดสินใจของคนปีมะโรง มีผลในระยะยาว 1-2 ปีจากนี้ ถ้าคุณใช้เหตุและผล ใช้สติ แล้วก็ใช้ความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มันจะทำให้การตัดสินใจของคุณเกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด และจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนปีมะโรงตลอดทั้งปีเลยคนเกิดปีมะเส็ง ปีหน้าเป็นปีชงด้วยนะ ซึ่งในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่อาจจะทำให้คุณเจอปัญหาหรือความรู้สึกที่ทำให้หมดไฟได้ มีความขี้เกียจ มีความรู้สึกเหนื่อยหน่าย เบื่อ เซ็ง ไม่มีแพชชั่น ไม่มีการผลักดันให้ตัวเองอยากจะทำ อยากจะสู้ อยากจะลุยต่อ แต่ไพ่บอกว่า คุณเหนื่อยนะ แต่มันคือการพักผ่อน เพราะฉะนั้นคนปีมะเส็งพักได้แต่อย่านาน เพราะเวลามันเดินเร็วมาก คนปีมะเส็ง ปีหน้าเหนื่อยได้ท้อได้ไม่ว่ากัน แต่ขออย่างเดียว อย่าทิ้งโอกาส อย่ารอเวลา ลุกขึ้นได้เมื่อไหร่ ทำให้สำเร็จเร็วได้มากเท่านั้นคนเกิดปีมะเมีย ในปีหน้าเป็นช่วงปีที่คุณอาจจะเจอเรื่องราวดราม่าจากคนอื่น ๆ รอบตัวได้ง่าย เช่นถูกจับตามองเป็นพิเศษ ถูกติฉินนินทา กล่าวร้ายให้โทษ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เรากีดกั้นคนอื่นให้คิดหรือพูดถึงเราไม่ได้ แต่ให้รู้ไว้เลยว่าในปีหน้า คุณควรที่จะต้องสตรองมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเจออะไร ให้นึกเอาไว้เลยว่า สิ่งไหนสบายใจ ทำแล้วฮีลใจได้ ให้ทำสิ่งนั้น เจอเรื่องกระทบกระทั่งบ้าง เจอดราม่าบ้าง แล้วจะเจอบ่อยตลอดทั้งปีเลยสำหรับคนที่เกิดปีนี้ แต่ไม่ต้องไปสนใจ บางทีสิ่งเหล่านี้มันทำร้ายใจเราได้ แต่เราไม่ควรทำร้ายใจตัวเองคนเกิดปีมะแม ในปีหน้า ที่พึ่งทางใจของคุณที่ดีที่สุดก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เคารพ สิ่งไหนที่รู้สึกว่าคุณได้ทำดี คิดดี ปฏิบัติดี จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ กับคนปีมะแม เพราะฉะนั้นคนไหนที่รู้สึกว่า ปีที่ผ่านมาฉันมีเรื่องที่ฉันผิดพลาด ฉันมีการเกเร รีบ ๆ ปรับตัว เพราะดวงชะตาของคุณส่งผลกับการกระทำของคุณจากปี 2567 ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นในปี 2568 คนปีมะแม ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องก่อนถูกใจ แล้วชีวิตคุณราบรื่นตลอดปี 2568 แน่นอนคนเกิดปีวอก ในปี 2567 ที่ผ่านมา คุณจะเจอความชอกช้ำจิตใจ คุณจะเหน็ดเหนื่อย จะท้อแท้มาแค่ไหนก็ตาม ปี 2568 ถึงเวลาที่เป็นปีของคุณแล้ว มันเป็นปีของหัวใจนักสู้ ความโลดโผนในชีวิตที่บางทีก็ไม่ได้คิดไว้ว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรขนาดนี้ ปีหน้ามันกำลังจะดีขึ้น หัวใจของคุณมันกำลังจะแข็งแกร่ง ร่างกายซ่อมแซมมาแล้วอย่างดี มันแกร่งขึ้น มันดีขึ้น มันอดทนได้มากขึ้นและมันต้านทานต่ออุปสรรค และปัญหาชีวิตได้ดีกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดหวังไว้ มันมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ง่าย และมากขึ้นเช่นกันคนเกิดปีระกา ในปีหน้าสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคนปีระกาคือ ความว้าวุ่นเรื่องความรัก อย่างเดียวเลย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีอยู่แล้ว หรือความรักที่กำลังอยากจะมี อยากจะหามาใหม่ หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องเดียวที่รบกวนจิตใจ เพราะจริง ๆ แล้วคนปีระกา เป็นคนที่รักคนยากอยู่แล้วโดยพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเวลาที่เค้าจะต้องรักใคร มันหมายถึงการทุ่มไปทั้งตัวเลย แต่นอกนั้น ในปีหน้าอะไรก็ตามที่มีการเรียนเพิ่ม เรียนมาเพื่อเสริมอาชีพ หรือมีรายได้เสริม ลุยเลย คนปีระกาเงินรออยู่ จากการเรียนรู้ของคุณคนเกิดปีจอ ปีหน้าต้องระวังมากที่สุดในเรื่องของสุขภาพ บางครั้งการไม่ตรวจ ก็คือไม่รู้ แต่ฝากย้ำไว้เลยว่า สำหรับในช่วงของปีหน้า สิ่งที่คนปีจอต้องให้ความสำคัญคือเรื่องสุขภาพร่างกายตัวเอง และมันเป็นช่วงปีที่อาจจะเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยนตัวตนไป ซึ่งมันจะส่งผลในด้านบวก มากกว่าในด้านลบ และสิ่งที่คุณคาดหวัง มันจะสำเร็จได้ ถ้าคุณกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงคนเกิดปีกุน ไพ่อาจจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะว่ามันหมายถึง คนปีกุน อาจจะต้องเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจ ปัญหาสุขภาพ เจอเรื่องที่ทำให้เสียอกเสียใจ เพราะปีหน้า ปีกุน ชงเต็ม แต่ใจเย็น ๆ คุณอาจจะเสพคอนเทนต์มากเกินไป ว่าฉันชง 100% แล้วจะเจอแต่เรื่องไม่ดี จะบอกให้เลยว่า ส่วนตัววั้ง เรื่องเปอร์เซ็นต์ของปีชงไม่มีผลเลย จากการพิสูจน์มาแล้วทั้งชีวิต ดวงมันมาจากการกระทำของเราล้วน ๆ บางคนบอกว่าชง 100% ไม่ดี แต่ปีนั้นชีวิตวั้งดีมากเลยนะ เพราะฉะนั้น คนปีกุนอาจจะให้ระวังหน่อย ถ้าคุณรู้สึกว่ามันกังวลมาก ไม่สบายใจ อยากไปทำบุญ อยากไปทำทาน อยากจะเข้าวัด เข้าศาลเจ้า อยากไปช่วยเหลือบริจาคอะไร ทำเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าฉันได้ทำสิ่งดี ๆ แล้ว สิ่งดี ๆ จะเกิดกับฉัน แต่ว่าเรื่องสุขภาพอันนี้ย้ำเลย เรื่องของความเสียอกเสียใจ ความแตกสลายทางความรู้สึก ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรีบรักษามันให้เร็ว แค่นั้นเองส่วนไพ่ของปีหน้า 2568 ทำนายว่า ปีหน้าผู้หญิงมีอำนาจเยอะ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงอาจจะมีการลุกขึ้นมามีความเป็นผู้นำมากกว่าคุณผู้ชาย หรือเป็นเพศที่หาเงินได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นผู้หญิงอย่านิ่งดูดาย ถึงแม้เราจะเป็นมนุษย์แม่ ดูแลลูกอยู่บ้าน ทุกวันนี้มันมีอาชีพออนไลน์นะหลายคนมองข้าม แต่มันทำให้เรามีรายได้นะ แต่ถ้าเป็นภาพโดยรวม วั้งมองว่า ปีหน้าเราต้องจับตามองมาก ๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจบ้านเรา ว่ามันจะเติบโตได้จริงไหมต้องตีความว่าเป็นของช่วงระหว่างปี 2568 กับ 2569 สองปีนี้มันมีผลมาก ๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ การเงิน การค้าขาย ในบ้านเรา ที่มันพร้อมจะดีเลยก็ได้ แต่ในช่วงสั้น ๆ และเป็นช่วงที่สามารถจะพลิกให้แย่ลงไปเลยก็ได้ในช่วงสั้น ๆ เช่นกัน เพราะฉะนั้น การเงินในปีหน้า ควรวางแผนชีวิตให้ดี มันมีความไม่แน่นอนสูง เวลามันดีมันอาจจะเหมือนพลุมี่ขึ้นไปสวย แล้วร่วงมาเร็ว เพราะฉะนั้นก็ให้ระวังเรื่องการใช้จ่าย ไตร่ตรองให้รอบคอบ ปีหน้าทุกการใช้เงินมีผลกับคุณในระยะยาว”ทริคจัดบ้านรับปีใหม่ บ้านแบบไหนถึงจะปัง?“โล่ง โปร่ง สะอาด ไม่มีกลิ่น มันเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมาก ๆ คือสะอาดตา อยู่แล้วสบายใจ ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มันทำให้คุณไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และทำให้คุณ หรือคนอื่นที่แวะมาเยี่ยมเยียนก็จะรู้สึกดีกับบ้านหลังนี้ ยังไงก็เป็นบ้านที่รู้สึกว่า เราสามารถดูแลตรวจตรา การที่มันไม่รกไม่ร้าง มันทำให้เกิดการปลอดภัย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นฮวงจุ้ยดี ๆ ที่ทำให้บ้านเรามันคือเซฟโซน แล้วจากประสบการณ์ที่วั้งทำ วั้งรู้สึกว่า บ้านที่ดีมันต้องปลอดภัยถูกใจคนอยู่ ต้องมีระเบียบ ข้าวของวางเป็นที่ ไม่เกิดอุบัติเหตุ เตะ เกี่ยว เฉี่ยว ชน คนในบ้านไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่อยู่ได้ และคุณก็ไม่ควรเก็บของให้มันเน่าเสียคาตู้เย็น เพราะมันจะเหม็นอับ ถ้าอับก็ต้องเปิดหน้าต่าง ให้มันมีวินัยของคนในบ้านในการทำความสะอาด และใส่ใจบ้านด้วย ทุกอย่างมันจะต้องกลมกลืน นี่คือฮวงจุ้ยที่ดี และลงทุนน้อยที่สุด ไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะมาตั้ง มาจัด มาวาง มาทุบ เราเลือกไม่ได้ว่าจะต้องเป็นที่อยู่ที่ดี และดวงชะตามันบอกเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ บางคนอาจจะบอกว่า การดูดวงคือแผนที่ สำหรับวั้ง เมื่อก่อนเคยเห็นด้วย แต่พอเราเติบโตขึ้น เราจะรู้ว่าการดูดวงมันไม่ใช่แผนที่ มันคือการที่คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วให้คุณเป็นคนเลือก เราต้องเชื่อว่ามันมีหลายอย่างมากในชีวิตมนุษย์ที่มันเอาชนะโชคชะตาได้เสมอ”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู ของ หมอวั้ง วรางคณา“วั้งเริ่มดูดวงมาตั้งแต่ 9 ขวบ ตอนนั้นวั้งไปอยู่กับคุณพ่อที่อเมริกา ซึ่งคุณพ่อได้รับเชิญให้ไปเปิดสำนักสอนนั่งปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ที่อเมริกา แล้วคุณพ่อก็รักเรามาก เราเป็นลูกคนเดียวที่คุณพ่อเลี้ยง ไปไหนคุณพ่อก็หนีบไปด้วย พอไปอยู่ที่นั่นคุณพ่อก็จะรับแขก รับลูกศิษย์ ที่จะมาดูดวงบ้าง มานั่งสมาธิบ้าง แล้วอยู่ ๆ ก็มีอยู่เคสหนึ่ง ที่เค้าอยากจะขายที่ดิน แล้วคุณพ่อก็บอกว่าลองตอบให้พี่เค้าหน่อยสิว่าพี่เค้าจะขายที่ดินผืนนี้ได้ไหม จากเซ้นส์ของวั้ง คือมนุษย์เรามันมีเซ้นส์ทุกคนอยู่แล้ว แต่เราฝึกใช้มันได้ไม่เท่ากัน แล้ววิธีที่จะฝึกใช้เซ้นส์ ก็คือการคาดเดา แล้วตอนนั้นเรารู้สึกว่าที่ดินขายได้ แต่ว่ามันจะช้าหน่อย แต่มันจะขายได้แน่ ๆ แล้วภายใน 3 อาทิตย์ อยู่ ๆ เค้าก็ขายที่ดินตรงนั้นได้จริง ๆ วั้งก็เลยได้ค่าดูหมอมา 1 ดอลล่าร์ ณ วันนั้น ก็ประมาณ 40 กว่าบาท ก็ถือว่าเยอะนะ นั่นคือจุดแรก แล้วก็ไม่เคยสนใจดูดวงเลย เพราะว่าวั้งไม่เคยภูมิใจในอาชีพพ่อมาตั้งแต่เด็กย้อนไป 40 กว่าปีที่แล้ว เมื่อเราต้องตอบใคร ๆ ที่โรงเรียน ว่าคุณพ่อทำอาชีพอะไรมันน่าอายมากนะ คือเราจะรู้สึกว่าเพื่อนในห้อง คุณพ่อจะเป็นทหาร คุณแม่เป็นพยาบาล เป็นตำรวจ แต่พอเป็นเรา ต้องบอกว่าคุณพ่อเป็นหมอดู คุณแม่เป็นนางพยาบาล ณ วันนั้นเรารับไม่ได้ เราไม่เคยภูมิใจเลยว่าฉันมีพ่อทำอาชีพหมอดูแต่เมื่อไม่นานมานี้ ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา วั้งมาค้นเจอจดหมายที่พ่อเค้าเขียนถึงเรา ซึ่งคุณพ่อวั้งเสียชีวิตเร็ว เสียตั้งแต่เราอายุ 11 แล้วคุณแม่ก็เสียตั้งแต่เราอายุ 13 เสียตามกัน 2 ปีเลย แต่ปรากฏว่าเค้าก็บันทึกหลายอย่างว่า พ่อไปแจ้งเกิดวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ ลูกเกิดวันนี้ เพราะลูกจะดวงดีกว่า ลูกยิงปืนลมครั้งแรกตอน 9 ขวบ แล้วนี่ก็คือเป้าที่ลูกยิงเอาไว้ คือคุณพ่อเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ ชอบเขียนบันทึก ชอบเก็บรูปถ่าย แล้ววั้งก็เพิ่งมาเมื่อ 2 ปีแล้วนี่เอง มันก็รู้สึกได้ว่าพ่อรักเรามาก จนวันพ่อที่ผ่าน วั้งอยากจะบอกให้รู้ว่า ภูมิใจมากที่มีพ่อเป็นหมอดู”จุดพลิกชีวิตของ หมอวั้ง วรางคณา“จุดลำบากของวั้งเลยคือ ช่วงอายุประมาณ 14 ด้วยความที่คุณพ่อเสียเร็ว คุณแม่ก็เสียเร็ว เพราะฉะนั้นชีวิตเราเติบโตมากับการต้องไปอยู่บ้านอาก่อน จากบ้านอาก็หนีออกจากบ้านเพราะเราจะไปหาคุณแม่ สุดท้ายก็ต้องมาอยู่บ้านพี่สาวคนละแม่ ช่วงที่มาอยู่ตรงนี้ ก็เหมือนพจมานเลย ทำทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เป็นงานคนใช้ วั้งทำหมด ดูแลทุกคนในบ้าน ทำทุกอย่าง จะไปเรียนหนังสือ ต้องตื่นตี 4 คือต้องทำงานบ้านก่อนทุกสิ่งอย่างถึงจะไปโรงเรียนโด้ ณ วันนั้นวั้งรู้สึกว่าโรงเรียนคือสวรรค์ บ้านมันคือนรก อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน แล้วเรารู้สึกว่าอุ่นใจ เราได้ไปโรงเรียน ได้ไปเจอเพื่อน แล้วก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่วั้งตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แล้วก็ไปอาศัยตามบ้านเพื่อน หาเงินกินข้าวโดยการไปนั่งดูดวงตรงใกล้ ๆ เสาชิงช้า คือตรงศาลพระวิษณุ อยู่ตรงเกาะกลางถนนหน้าโรงเรียน นั่นคือออฟฟิศแรกที่ไปนั่งดูดวงตอนนั้นวั้งไม่รู้สึกว่าทุกข์นะ เรารู้สึกว่าตัวเองมีอะไรให้ทำ และสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่เป็นอาชีพที่ฉันจะเลือก ฉันแค่ต้องการหาเงินโดยที่ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้เงินมา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปขโมยของ ดีกว่าไปหลอกเงิน การดูดวงมันเป็นความพึงพอใจที่เค้าจะให้เงินเรา บางคนเค้าให้เกินก็มี ถ้าถามว่าทุกข์ทรมานไหม เรามองว่า นี่ยังไม่ใช่จุดทุกข์ทรมาน เพราะจุดที่ทุกข์ทรมานจริง ๆ คือในวันที่เราพยายามทำหลาย ๆ อาชีพเหมือนคนอื่น ๆ เราก็อยากจะเหมือนคนอื่นที่เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงิน แต่เราเป็นคนเรียนหนังสือน้อย วั้งเรียนถึง ปวช. ปี 3 และก็เรียนออกแบบตกแต่งภายใน แต่ไม่ได้สอบไฟนอล แล้วต้องดร็อปเรียน แล้วเวลาที่เราจะต้องไปสมัครงาน มันจะต้องใช้วุฒิ วั้งได้แค่วุฒิ ม.3 ก็เอาไปสมัครงาน ซึ่งตามหลักมันหางานไม่ได้หรอก แต่เราก็ได้งานมาตลอดนะ”หมอวั้ง วรางคณา กับความสามารถ และบทบาทที่หลากหลาย“งานแรกเลยที่วั้งไปสมัครแล้วเค้ารับ คือนิตยสารปลื้ม ไปสมัครตำแหน่งตำแหน่งนักข่าว และวาดรูปล้อดารา เพราะเป็นนิตยสารภาพล้อการ์ตูนดารา เป็นเจ้าเดียวเลย เราก็ไปทำเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง ตอนนั้นเงินเดือนน่าจะ 4,000 บาท ก็ไปทำแบบงง ๆ ทำอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน ก็ได้ไปทำอยู่ที่ มีเดียออฟมีเดีย เป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง แล้วก็ไปเป็นตากล้อง ซึ่งเป็นตากล้องที่ถ่ายรูปไม่เป็น แต่ในยุคนั้นเวลาที่เราจะไปถ่ายภาพข่าว มันจะต้องใช้ฟิล์มสไลด์ ซึ่งมันถ่ายยากมาก เราก็ต้องไปฝึกเอา เราไม่เคยเรียน แล้วสมัยก่อนถ้าจะถ่ายลงนิตยสาร อาร์ทเวิร์คมันจะต้องเป็นฟิล์มสไลด์ ไม่ใช่ฟิล์มทั่วไปเหมือนที่เราใช้กล้องฟิล์มนะ ซึ่งมันยากก็ต้องไปฝึกเอาเองหลังจากนั้นเราก็อยากมีรายได้ ก็ทำหมดเลย ไปเรียนเสริมสวย เป็นช่างเสริมสวย ก่อนหน้านั้นก็มีไปรับจ้างร้านยาดอง อยู่ที่เชียงใหม่ ไปขายพวกไส้ย่าง ไปรับจ้างขนถังแก๊ส ขับรถขนผัก จากนครปฐมมาคลองขวาง อะไรก็ได้ที่ได้เงินเราทำหมดเลยส่วนสิ่งที่ชอบจริง ๆ คือ ชอบถ่ายรูป อาจจะเป็นเพราะว่าเราเห็นคนที่บ้านเรา คือคุณพ่อ เป็นคนชอบถ่ายรูป ที่บ้านเราก็จะมีรูปภาพที่คุณพ่อชอบถ่ายเอาไว้เยอะมาก แล้วมันทำให้เรารู้ว่าในวันที่มันมีภาพถ่าย มันทำให้เรามีความทรงจำ มันดีมากเลยนะ อาจจะไม่เหมือนยุคนี้ เรามีมือถือกดถ่ายได้เลย แต่ในยุคนั้นมันต้องตั้งใจ มันต้องเอาฟิล์มไปล้าง ไปอัดภาพออกมา เรารู้สึกว่าตัวเองชอบถ่ายภาพ ตอนที่เรียนปวช. วั้งอยากเรียนถ่ายภาพมากเลย แต่ไม่ได้เรียน วั้งเลือกเรียนคณะศิลปประยุกต์ เป็นศิลปกรรมออกแบบตกแต่งภายใน ก็ไปเรียนแบบไม่ได้อยากเรียน แต่ดันสอบผ่านเลยต้องไปเรียน ก็เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ เขียนแบบ ทำดิสเพลย์ ออกแบบผลิตภัณฑ์”หมอวั้ง กับการยอมรับตัวตน จากคนในครอบครัว“เรื่องการยอมรับตัวตน จะมีแค่ช่วงตอนอยู่กับพี่สาว ที่เค้าแบบรับได้ หรือรับไม่ได้ ตาวั้งเป็นคนที่บุคลิกชัดมากตั้งแต่ 5-6 ขวบ เพราะว่าเราโตมากับคุณพ่อ ก็เติบโตมาแบบลูกชายคนหนึ่ง แต่คุณแม่ทำงานโรงพยาบาล เค้าก็ไปเช้าเย็นกลับ ชีวิตและบุคลิกส่วนใหญ่เราก็ได้มาจากคุณพ่อทั้งหมด เช่น ไม่ค่อยอยากจะใส่เสื้อ ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว ใส่ผ้าโสร่ง จนทุกวันนี้วั้งก็เป็นคนชอบนุ่งโสร่งอยู่บ้าน ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ๆ ก็เลยเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว และติดนิสัยพูดเร็ว เพราะเราเป็นคนอ่านออกเสียงมาตลอด วั้งโชคดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยโดนบูลลี่ หรือโดนกดดันมาก ๆ จากครอบครัว อาจจะเป็นเพราะว่า เราหนีออกจากบ้าน เราก็เลยเหมือนคนที่มาเติบโตอยู่ข้างนอก ดังนั้นคนในครอบครัวไม่ค่อยมีผลกับตัวตนวั้งเลย ในตอนที่โตมาการที่เราเป็นทอมบอย มันมีปัญหาอยู่สองเรื่องที่ทุกวันนี้วั้งก็ยังเป็นอยู่ เรื่องแรกคือการเข้าห้องน้ำ แต่ความโชคดีคือ คนยุคก่อนกับคนยุคนี้ การใช้สายตาแบบไม่มีมารยาทมันลดลง สมัยก่อนสายตาไม่มีมารยาทมากนะ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราคือตัวประหลาด การที่เราไปเข้าห้องน้ำผู้หญิงแล้วคนหันมามอง หรือโดนแม่บ้านไล่ มันเหมือนเราเป็นตัวประหลาด จนบางทีถ้าทนไม่ไหว วั้งก็เดินออก แล้วเดินเข้าห้องน้ำผู้ชายเลย โชคดีที่ยุคนี้คนที่เค้าไม่มีมารยาททางสายตามันลดลงไปมาก อาจจะด้วยสังคมที่เข้าใจพวกเรามากขึ้น สังคมที่มันเปิดกว้างมากขึ้น คนเรามันควรจะมาดูกันในเรื่องของนิสัยใจคอ ความคิด การกระทำ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่เรื่องของบุคลิกทางเพศ กับอีกเรื่องที่วั้งมีปัญหา คือเรื่องของการใช้หางเสียง ไม่รู้จะใช้ครับ หรือค่ะ เพราะเราเคยโดนคอมเมนต์ว่าเป็นผู้หญิงอย่าพูดครับ แต่ก็ไม่ได้ให้ค่า ไม่สนใจ ถ้าคิดว่าตัวเองใจบางทนไม่ได้ ก็แค่ลบ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราตอบ เดี๋ยวเค้าก็อาจจะกลับมาอีก แล้วคนที่เจ็บช้ำใจไม่ใช่เค้า แต่เป็นเรา ก็เลยเลือกด่าในใจ บางทีวั้งก็แก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องใส่หางเสียง ซึ่งมันเป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน”เรื่องความรัก อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจ“สมมติว่าใครอยากจะมาดูดวงกับวั้งเรื่องความรัก ถ้าคุณมีแฟน แนะนำว่าให้มาทั้งคู่ แล้วดูไปพร้อม ๆ กัน อะไรดีไม่ดีจะได้ช่วยกัน วั้งไม่ชอบการดูดวงความรักที่แยกกันดู มันจะกลายเป็นว่าเราคือคนกลางที่ไปทำให้เค้าตีกัน หรือรักกันได้ และมันจะกลายเป็นรักกันเพราะหมอดูบอก เลิกกันเพราะหมอดูทัก เรื่องของความรัก เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ใช้ดวงในการตัดสิน มันเป็นเรื่องคนสองคน ความรักมันสวยงามได้ และมันก็คือทำลายเราได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องความรัก ไม่อยากให้ตัดสินด้วยดวง อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจมากกว่าวั้งก็มีความรักที่ดี ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วค่ะที่คบกัน เราผ่านอะไรมาเยอะ เราหนักหนาสาหัสมาเยอะ จริง ๆ แล้ว ความรักแบบนี้มันค่อนข้างต้องเป็นรักที่สตรอง กว่ามันจะเป็นรักที่สังคมยอมรับ กว่ามันจะเปิดเผย มันก็ต้องมีอุปสรรค แต่ว่าโชคดีที่เราเป็นคนที่ไม่เคยจะต้องไปเจอความรักที่คู่เราจะต้องบอกไม่ได้ว่าเราคือทอม เพราะเราเป็นคนชัด จึงไม่ได้โดนปิดกั้นเรื่องผู้ใหญ่เวลาจะเข้าหาใครการดูแลความรัก อย่างแรกเลยคือ ความเข้าใจ ความรักเนี่ยนะ สมมติเราเจอคนสวย เก่ง รวย แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วท็อกซิก ก็ไม่ไหว วั้งจะบอกคนอื่นเสมอว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าคุณรักใครสักคน แล้วถ้าความสุขกับความทุกข์มันใกล้กันมาก แสดงว่ามันไม่สุข เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักมันสุข ความทุกข์มันต้องน้อยที่สุด”ดูดวงอย่างไรถึงจะมีประโยชน์กับชีวิต“ดูดวงแบบฟังหูไว้หู การดูดวงที่ดี ได้ประโยชน์จากการดูดวง แล้วไม่ทำให้ชีวิตคุณพัง หรือว่างมงายจนเกินไป คือฟังหมอดู แล้วคิดดูบนความเป็นจริงในสิ่งที่เราเจออยู่ แบบนี้คุณจะได้ประโยชน์จากหมอดู และการเลือกหมอดูที่คุณรู้สึกว่าถูกจริต อันนี้ก็สำคัญ คือบางครั้งถ้าหมอดูแนะนำให้คุณทำอะไรที่มันจะทำให้คุณคลายทุกข์ หรือสบายใจขึ้น แต่ถ้ามันจะต้องเสียเงินทองมากมาย ต้องคิดดี ๆ ว่ามันใช่รึเปล่า หรือสมมติคุณมีเงิน 1,000 บาท คุณอยากจะทำบุญแล้วหมอดูบอกว่าให้ไปทำบุญนี้ไปเลย 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นวั้ง วั้งจะรู้สึกว่า ถ้าคุณทำบุญได้แค่ 1,000 บาท คุณแบ่งไปทำบุญที่ละ 100 บาท คุณก็ทำบุญได้ตั้ง 10 ที่นะ เพราะฉะนั้นการดูดวงมันไม่ใช่เรื่องงมงายหรอก แต่ว่าการดูดวงเราต้องมีเหตุและผล อย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย” – หมอวั้ง วรางคณาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” พร้อมเรื่องราวลี้ลับ บุญกรรม และการกระทำของ LGBTQ+

08 พ.ย. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” พร้อมเรื่องราวลี้ลับ บุญกรรม และการกระทำของ LGBTQ+

“เราไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือสุดโต่งในทางใดทางหนึ่ง แต่เราต้องเป็นมนุษย์ที่อยู่บนทางสายกลาง ใช้สติให้มาก เข้าใจว่าทำยาก แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลองทำก็ยังดี”ฟังเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจจากแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ส่งท้ายตุลาคม เดือนฮาโลวีน กับ “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” จากชีวิตที่ถูกเลือก เพื่อเป็นร่างทรงเห้งเจีย สู่มูกูรู ผู้มีสัมผัสกับวิญญาณ พร้อมพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องทาน วิถีบุญกรรม ตามการกระทำของมนุษย์ เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการเซ้นส์เห็นผี ที่มีมาตั้งแต่เด็ก“จริง ๆ แล้วตั้งแต่เด็ก เราไม่รู้ว่าอันนี้คือผีรึเปล่า แล้วพอเราเริ่มดูละคร เริ่มดูหนัง เราก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราเจอมาตลอด นั่นเค้าคือเรียกว่าผี แล้วเราถึงเริ่มกลัว ทีแรกไม่กลัวเพราะเราเล่นกับเค้า อยู่กับเค้า จนมันเป็นเรื่องปกติไปเลย แต่พอวันนึงที่เรารู้ว่าสิ่งที่เราเจอตลอดเวลา พอเราสังเกตดี ๆ เค้าก็เหมือนคนปกตินี่แหละ แต่บางครั้งเค้าดูบางดูมีสีจางกว่าคนปกติ เราก็เลยรู้แล้วว่า นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดแล้วนะ มันต้องเป็นผีแน่ ๆ เหมือนเราก็ได้เรียนรู้นิยามคำว่าผีแล้ว หลังจากนั้นเราก็กลัวเลย มาจนทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่นะคะ ซึ่งต้องใช้คำว่าทุกวันนี้เราพยายามยอมรับดีกว่า แต่บางครั้งมาให้เห็นแบบเละ ๆ น้ำเหลืองไหล มันก็ทำใจลำบากเหมือนกันนะคะ”ทำไมผี ถึงมีหลากหลายรูปแบบ?“หนูเชื่อเรื่องน้ำหนักของบุญที่เค้ามี บางคนมีบุญมาก และตอนที่กำลังจะเสียชีวิตเค้ากำหนดจิตทัน เค้าก็จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี แต่บางคนเค้าไม่ได้เรียนรู้การกำหนดจิตมาเลย เค้ายังยึดติดทั้งความสัมพันธ์ สิ่งของ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เค้าเจอในชีวิต แล้วเค้ายึดติดมาก ๆ มันก็เลยทำให้เค้าไม่สามารถหลุดไปอยู่ในอีกวงจร ที่จะต้องไปผุดไปเกิดได้ เราถึงเห็นว่า ทำไมวิญญาณดวงนี้เสียชีวิตอยู่ที่ถนนแล้วยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็เพราะว่าจิตของเค้าโดนชนปั้ง แล้วจิตมันแตกสลายเลย บวกกับเค้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อน เค้าก็ไม่รู้จะไปรวบรวมยังไง เค้าก็จะวนเวียนอยู่ตรงนั้น มันก็เลยมีการที่ต้องนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ ไปเชิญวิญญาณกลับบ้าน ไปเชิญวิญญาณให้กลับไปสู่สุคติอย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุบนถนน บางคนเชื่อว่าเป็นเรื่องตัวตายตัวแทนรึเปล่า แต่ทั้งนี้เราต้องมองสองด้านนะคะ อย่างแรกด้านวิทยาศาสตร์ การสร้างถนน มันอาจจะมีผลทำให้แบบเป็นจุดบอดสายตา จนเกิดอุบัติเหตุได้ กับอย่างที่สอง คือดวงวิญญาณเหล่านั้นเค้าก็อยู่ตรงนี้อยู่แล้ว บังเอิญวันนั้นกลับเป็นวันที่เราไม่แข็งแรง จิตใจอ่อนแอ อาจจะอกหักมา หรือเครียดจากงานมา แล้วจิตเราตก จนเราไปเห็นเค้ายืนอยู่ตรงนั้น ด้วยความไม่มีสติ เราก็ต้องตกใจ แล้วเราก็หักหลบ ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ มันก็เลยต้องมองทั้งสองด้าน”ถ้าไม่อยากจิตตก ต้องทำยังไง?“อย่างแรกเลยต้องฝึกค่ะ ไม่ฝึกไม่ได้ ร่างกายต้องรับรู้ทุกอย่าง รู้ที่จะเสียใจ รู้ที่จะมีความสุข รู้ที่จะทุกข์ พอรู้เสร็จ เราก็ต้องถามตัวเองว่า เวลาสุขมันจะสุขไปแค่ไหน แล้วถ้าทุกข์มันจะทุกข์ไปแค่ไหน มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ไหม ถ้ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ก็ต้องยอมรับและเราก็ต้องปล่อยวางจิดตก กับ ดวงตก มันใกล้เคียงกันมาก ๆ เพราะว่าการที่เราจิตตก มันจะนำพาดวงเราให้ตกไปด้วย หมายความว่า จิตมันเป็นตัวกำหนด เวลาที่เรารู้สึกแย่มาก ฉันเสียใจ ฉันไม่อยากไปไหน ฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับใคร เราจะอยู่แต่ในที่ที่เดียว หรือบางคนอาจจะแบบทำร้ายตัวเองก็ได้ หรือถ้าไปก็อาจจะไปในที่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองหรือผู้อื่นได้ สิ่งเหล่านั้นมันก็จะทำให้เราเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี บางคนจิตตกมาก ก็อยากจะไปทำอะไรที่ผิดศีล มันก็เลยทำให้ดวงเราตกลงไปด้วย แต่ถ้ากลับกัน ถ้าเราบอกว่าช่วงนี้เราจิตตกนะ แล้วมีเพื่อนบอกเราว่า ไปทำบุญกันมั้ย ไปไหว้พระกันมั้ย ไปเที่ยวทะเลกันมั้ย ไปห้องสมุดกันมั้ย มันทำให้เค้าไปอยู่ในที่ ๆ ดี ดวงเค้ามันก็จะไม่เจอสิ่งที่ไม่ดี ดวงเค้าก็จะต้องดีขึ้น เพราะฉะนั้นมันมีผลมาก ๆ การที่เราจิตตก มันจะดึงดวงให้ตกไปด้วย เราต้องมีวิธีจัดการกับมัน”อุ๋มอิ๋ม กับการพิสูจน์ตัวเองกับคนรอบตัว“ต้องบอกว่าครอบครัวควรรู้เป็นลำดับแรกว่าเราเป็นอะไร แต่เค้าไม่เชื่อเรา คุณพ่อคุณแม่ไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อเลย จนเราพิสูจน์ให้เค้าเห็นว่าสิ่งที่เราเจอ อย่างสมมติเราเจอดวงวิญญาณของคุณยาย เราก็อธิบายว่าคุณยายชอบกินอะไร คุณยายบอกว่าคุณยายอยากกินอันนี้มาก ๆ เลย แม่ต้องทำอันนี้ให้นะ ซึ่งด้วยความที่เราเกิดไม่ทันคุณยาย แล้วอยู่ดี ๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยายชอบกินอะไร แล้วคำพูดที่คุณยายใช้พูดกับแม่ อย่างสมมติว่ามีคำว่า หมวยเล็ก ซึ่งเราไม่มีทางรู้แน่ ๆ แต่แม่ก็ประหลาดใจว่าเรารู้ได้ยังไง เรารู้แม้กระทั่งเอาของที่คุณยายให้แม่ไปเก็บไว้ที่ไหน เหมือนเราพิสูจน์ให้เห็น แล้วมันไม่ใช่การพิสูจน์แค่ครั้งเดียว คุณพ่อคุณแม่ หรือครอบครัว เค้าพิสูจน์เราตลอด แต่เค้าไม่ได้อยู่ ๆ มาถามลองเชิงเรานะคะ แต่สถานการณ์มันพาไป อย่างเรื่องพี่สาวตอนนั้นเรากับพี่สาวไปเดินานหนังสือ แล้วในขณะที่กำลังแวะไปกินขนมปังกัน อุ๋มอิ๋มเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างหลังพี่สาว เราก็ตกใจบอกพี่สาวว่า มีผู้หญิงอยู่หลังเธอ เค้าก็ถามว่า ใครเหรอ อุ๋มอิ๋มก็บอกลักษณะเลยว่า ตาโต ผมยาว เค้าพูดไม่ค่อยได้ แต่เค้าส่งภาพได้ เค้าบอกว่าเค้าไม่อยู่แล้วนะ เธอลองเช็คหน่อยไหมว่าเพื่อนคนนี้ของเธอยังอยู่มั้ย แล้วเค้าก็เช็คเดี๋ยวนั้นเลย ปรากฏว่าเพื่อนคนนี้เพิ่งเสียชีวิต แล้วพี่สาวของอุ๋มอิ๋มก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดเลยของเค้า พี่สาวก็เลยบอกว่า ถามเค้าหน่อยได้มั้ยว่าเค้าต้องการอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า ช่วยบอกพี่สาวหน่อยว่า สร้อยคอที่อยู่ข้างเตียงนอน ที่อยู่ในกล่อง มันเป็นของคนรักเก่าของเค้า ช่วยเอาสิ่งนี้ใส่ไปกับเค้าได้ไหม อย่าบอกใครนะ เพราะเค้าก็ไม่อยากให้คนใหม่รู้ พี่สาวเราก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ แล้วเค้าก็พยายามติดต่อให้พี่สาวของอุ๋มอิ๋มทำตามที่บอก พอพี่สาวกลับไปค้นก็เจอทุกอย่าง มันก็เลยเหมือนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ที่เราเติบโตมากับครอบครัว สิ่งที่เราเห็น มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะ”จากความกลัว สู่การเยียวยาตัวเอง“ช่วงแรก ๆ ต้องบอกว่าเยียวยาไม่ได้ บางครั้งเวลาเจอผีก็สติแตกไปเลย กลัวแล้วกลัวอีก จนร่างกายมันถามตัวเองว่ามันจะกลัวไปถึงไหน แล้วเราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้แล้ว ถ้าเราเป็นแบบนี้เราจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ เราก็บเลยหาที่ยึดเหนี่ยวโดยการหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มแรกเราก็ไหว้พระพุทธเจ้าก่อนเลย เข้าร่วมชมรมสวดมนต์กับโรงเรียน แล้วเรารู้สึกว่า การสวดมนต์มันทำให้เรามีเกราะป้องกัน ทำให้ผีเริ่มอยู่ห่างเราขึ้น เลือกที่จะไม่มายุ่งกับเรา ไม่แสดงให้เราเห็นแบบหน้าเละ จนอุ๋มอิ๋มรู้สึกว่า ความถี่ในการเจอผีมันบางลง แล้วมันเริ่มควบคุมเหมือนประตูที่สามารถเลือกเปิดปิดได้ถ้าดวงวิญญาณเค้าไม่ได้อยากจะให้เราเห็น เราก็จะมองเห็นเหมือนเค้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าดวงวิญญาณดวงนั้นอยากจะสื่อสารจริง ๆ เค้าจะให้เห็นแบบย้ำ ๆ เห็นซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราควบคุมด้ ก็ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้นและเราไม่จำเป็นจะต้องเจอทุกดวงวิญญาณ เราก็ใช้ชีวิตของเราปกติ ไม่ได้ไปสนใจอะไรเค้า แต่ถ้ามีดวงวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ แล้วเราสามารถช่วยได้ เราถึงจะเลือกคุยเลือกช่วย ไม่อย่างนั้นเราจะสติหลุด”ข้อดี และข้อเสีย ของการเป็นคนเห็นผี“ข้อดีคือ อุ๋มอิ๋มเชื่อนะว่า เราคือหนึ่งคนที่จะเป็นหลักฐานได้ว่า การเวียนว่ายตายเกิด ดวงวิญญาณอีกภพภูมิ มันยังมีอยู่จริง ถ้ามันไม่มีอยู่จริง มันจะเป็นไปไม่ได้ที่คนเห็นผีแบบพวกเราจะเห็นหรือสื่อสารได้ และคนเห็นผีจะมีคุณค่าที่สุดก็ในวันที่เค้าได้สื่อสารให้กับคนที่ยังอยู่ ถึงคนที่เค้าเสียชีวิตไปแล้ว วันนั้นแหละคนเห็นผีคือทูตที่ดีที่สุด และบางครั้งมันก็ปลดเปลื้องความยึดติดได้ เช่น เค้าอยากจะบอกลูกเค้าว่าพ่อรักหนูมากนะ หนูไม่ต้องห่วงนะ แล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเอง พอลูกได้รับรู้ เค้าก็ปลดปล่อยเลยข้อเสียคือ ทุกคนจะคาดหวังกับเรามาก ๆ เลย คาดหวังว่าเราจะต้องสื่อได้ เราจะต้องคุยได้สิ แต่ในบางครั้งมันมีข้อจำกัดที่เราก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เราจะสื่อสารได้ทุกคนทุกดวงวิญญาณรึเปล่า มันก็ต้องมีเรื่องของบุญวาสนามาเกี่ยวข้องด้วย และมีเรื่องของเวลา อุ๋มอิ๋มเชื่อเรื่องลิขิต ทุกอย่างถูกขีดมา เค้าได้มาเจอเรา แล้วเราสามารถสื่อ นั่นแปลว่าวันนี้เราเป็นสะพานให้เค้าได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อุ๋มอิ๋มจะช่วยได้ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่อุ๋มอิ๋มจะปลดล็อคให้ได้ ความคาดหวังนี่แหละน่ากลัวที่สุดถ้ามีเคสไหนที่เราช่วยไม่ได้จริง ๆ เราก็ต้องบอกเค้าตรง ๆ อย่างเรื่องเกี่ยวกับมรดก เราช่วยไม่ได้จริง ๆ มันเป็นเรื่องทางกฎหมายที่คุณต้องคุยกันเอง ต่อให้วันนี้เราพูดแทนดวงวิญญาณอากงอาม่าว่า อั๊วะให้บ้านคนนี้นะ อั๊วะให้ที่ดินคนนี้นะ ทำไมลื้อปลอมแปลงล่ะ เค้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าศาลก็ต้องมองที่เอกสาร แล้วก็ความเป็นจริง ดังนั้น อุ๋มอิ๋มก็จะบอกเค้าตรง ๆ เลยว่า ถ้าให้อุ๋มอิ๋มพูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์กับลูกหลานเอง แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์กับดวงวิญญาณด้วย สุดท้ายเค้าก็แค้นที่ทำไมลูกหลานคนนี้มาโกงเค้า วิญญาณไปเกิดไม่ได้เพราะว่ายังยึดติดกับมรดกเหล่านั้นอยู่ดี เราต้องพูดกับเค้าไปตรง ๆ เลยว่า อุ๋มอิ๋มช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ค่ะส่วนมากคนจะเลือกฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากฟัง และจะไม่ฟังถ้าเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อย่างสมมติ คนหนึ่งสูญเสียพ่อ แล้วเค้าก็จะเชื่อแต่คำพูดทำนองว่า ป๊ายังรักเธออยู่นะ ป๊ายังไม่อยากจากไปไหน ถ้าอุ๋มอิ๋มพูดว่า ป๊าไปแล้วค่ะ ป๊าไม่กลับมาแล้ว เค้าก็มักจะบอกว่าไม่จริง พี่ยังรู้สึกว่าป๊ายังอยู่ อุ๋มอิ๋มเลยเลือกที่จะไม่ยุ่งเลยดีกว่า แต่ถ้าสมมติว่าวิญญาณดวงนี้ยังยึดติดจริง ๆ แล้วเค้ามีคำพูดที่อยากจะบอกกับลูกสาวของเค้า อุ๋มอิ๋มจะตอบเลยว่าคำพูดที่คุณพ่อคุณอยากจะสื่อมีแค่นี้นะคะ ลูกสาวเค้าจะฟังและไม่มีคำถามต่อ เพราะมันเป็นคำพูดที่เค้าต้องการ แล้วทั้งดวงวิญญาณกับคนที่อยู่ เค้าต้องการแค่ประโยคนี้ แล้วจบเลย เค้าไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว และไม่มีอะไรติดค้างกันอีกเลย ดวงวิญญาณก็สามารถไปเริ่มต้นใหม่ได้”ผีกับคน รักกันได้ไหม?“โดยส่วนตัวไม่เห็นว่าคนรักผี แต่จะเห็นว่าผีรักคน อาจเพราะเวลาคนจะรักผี อย่างถ้าเป็นดวงวิญญาณของคนที่รักเสียชีวิตไป อันนี้เกิดขึ้นได้ แต่ว่าถ้าเป็นผีตนอื่น จากที่คนเค้าไม่เห็นแน่ ๆ ว่าผีหน้าตาเป็นยังไง รูปร่างเป็นยังไง แต่ว่าผี สามารถเห็นคน 24 ชั่วโมงเลย แล้วก็เฝ้ารอ เฝ้าหา ไม่ยอมไปไหน อยากจะอยู่กับคนนี้ตลอดเวลาถ้าอุ๋มอิ๋มมาเจออะไรแบบนี้ เราช่วยนะคะ ก็จะบอกเลยคนว่า พี่ไปขออโหสิกรรมเลยค่ะ วัดไหนก็ได้ เข้าไปในโบสถ์ ขออโหสิกรรม ขอถอนคำอธิษฐาน ขอถอนคำสัญญาทุกอย่างที่เราตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพราะบางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจ แต่ดันพูดว่าขอให้ฉันเป็นคู่กับเธอทุกภพทุกชาติไป เราเลยต้องไปถอน สุดท้ายเค้าก็ไม่สามารถมาผูกกับเราได้ แล้วเค้าก็จะหายไปเองเรื่องวัดที่จะไปสวดมนต์ อธิษฐาน หรือถอนคำสาบาน ขออธิบายแบบนี้ จริง ๆ วัดใหญ่ หรือวัดเล็ก ทำได้หมดเลย แต่เวลาที่เราเจอวัดใหญ่ แรงอธิษฐานของคนที่ไปสร้าง หรือคนที่ไปดูแล มันเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น วัดพระแก้ว วันนึงมีคนเข้าเป็นหมื่นคน แล้วยิ่งแรงอธิษฐานเยอะ ก็ยิ่งมีพลังมาก เพราะถ้ามองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือความเชื่อก็ต้องเกิดจากแรงศรัทธาก่อน แรงอธิษฐานก่อน ถึงทำให้ท่านมีพลัง และที่ที่คนเป็นหมื่นคนไป กับที่ที่คนเป็นพันคนไป พลังงานก็ต้องต่างกันอยู่แล้วค่ะ”เวลาเราอุทิศส่วนบุญ วิญญาณได้รับไหม?“ได้รับจริงค่ะ อันนี้เห็นกับตา แต่ว่าอุ๋มอิ๋มมองสองแบบนะคะ บางคนจิตนิ่งมาก แล้วเวลาที่อุทิศส่วนบุญสามารถทำได้เลย แต่บางคนจิตเค้าไม่ถึง การสื่อสารมันยากขึ้น อุ๋มอิ๋มก็เลยแนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องกรวดแห้งนะ เรากรวดน้ำไปเลย เพราะเราจะขอพลังของพระแม่ธรณีและพระแม่คงคาช่วยส่งบุญให้เราหน่อย เหมือนมีคนช่วยนำบุญไปส่ง มันจะเร็วขึ้น แต่ท้ายที่สุดเอาที่เราถนัดเลย อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วเวลากรวดน้ำให้ญาติผู้ใหญ่ ถ้าท่านยังอยู่ท่านรับได้ แต่ถ้าท่านกลับมาเกิดแล้ว ก็จะไม่ได้รับละ หรือว่าถ้าท่านเป็นดวงจิตที่หายไปแล้ว ก็ไม่มีแล้วจริง ๆ ต้องบอกว่า การทำบุญ 50% คือทำเพื่อคนที่ยังอยู่ เพราะทำแล้วเราสบายใจ และการที่เราส่งต่อสิ่งเหล่านี้ เราได้สร้างความดี ก็เป็นกำลังใจให้กับตัวเราเอง และมันจะเป็นบุญได้หรือไม่ได้ ถือเป็นผลพลอยได้มากกว่า แต่เจตนาที่เราทำบุญ ไปทำความดี เจตนาแรกสำคัญที่สุด ทำอะไรที่เราทำแล้วเราต้องสบายใจ ถ้าเราทำแล้วเรารู้สึกไม่สบายใจ อย่าทำค่ะ”เหรียญมีสองด้าน มีทั้งคนชอบและไม่ชอบเรา เป็นเรื่องธรรมดา“เหรียญมันมีสองด้าน แน่นอนว่าก็จะมีทั้งคนที่ชอบ และคนที่เกลียดเรา แต่ว่าอุ๋มอิ๋มเลือกที่จะอยู่กับคนที่เค้าเชื่อเรา และพร้อมที่จะเปิดใจ วันนี้ถ้าเราจะต้องมาอธิบายให้กับคนที่เค้าไม่เปิดใจ หรือเกลียดเรา เราจะไม่มีวันอธิบายได้สำเร็จเลย แต่เราก็วางเค้าไว้ในจุดที่เหมาะสม เราไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเค้า เราอยู่ในโลกของเรา อยู่ในพื้นที่ของเรา ไม่ไปเบียดเบียนใคร ทำร้ายใคร ต่างคนต่างอยู่ สบายใจดีกว่าเคยเจอคำคอมเมนต์เยอะมาก ทั้งด่าว่าบ้า ทั้งบอกว่าเลอะเลือน แต่เราเชื่อว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เราไม่ได้โกหกใคร เราเห็นแบบนั้นเราก็บอกแบบนั้น ให้เราพูดอีกกี่ครั้งก็เห็นแบบนั้น เราก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าอยากจะพูดแบบนั้นก็พูดไป แต่เราต้องให้คุณค่าน้อยที่สุด เพราะถ้าเราให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้นมาก เราจะไม่เชื่อในตัวเอง และการที่เราไม่เชื่อตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง มันจะทำให้คุณอยู่บนโลกนี้ไม่ได้การที่คนอื่นเค้าจะเชื่อเราได้ มันต้องเริ่มจากที่เราเชื่อตัวเราเองก่อน เราต้องไม่หลอกตัวเองก่อน การเห็นผีในแต่ละครั้งของอุ๋มอิ๋ม ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วบอกเลย เราจะดูแล้วหันข้าง หันกลับไปใหม่ หันมองอย่างอื่นไม่สนใจแล้วก็หันกลับไปอีก 3 ครั้ง พอมั่นใจแล้วว่าใช่แน่ อุ๋มอิ๋มถึงจะคุยจะบอก หรือสื่อสารกับเค้า”ทำไม ตุลาคม ถึงเป็นเดือนที่อุ๋มอิ๋มงานเยอะเป็นพิเศษ“จริง ๆ ต้องบอกว่า ทฤษฎีเดือนตุลา มันมีนะคะ เพราะมันเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง แล้วมันเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี เหลืออีกแค่สามเดือน ถ้าอยากทำอะไรฉันต้องทำตอนนี้ แล้วมันก็มีเรื่องของการย้ายตำแหน่งของดวงดาว ตามหลักดาราศาสตร์ และพ่วงกับหลักโหราศาสตร์ ที่ดวงมันมีการเปลี่ยนแปลงแล้วตุลาคม ก็เป็น เดือนฮาโลวีน ในวันฮาโลวีน ผีมีเยอะกว่าปกติ เรื่องอุบัติเหตุที่มักเกิดในคืนวันฮาโลวีน ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่ามันมีหลาย ๆ คดีเลย ที่เกิดในคืนวันฮาโลวีน ซึ่งถ้ามองทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นเพราะประมาทก็ได้ แต่ถ้าให้มองในมุมมองของคนเห็นผี เรามองว่าสิ่งลี้ลับเค้าจะไปอยู่ตามที่อโคจร ที่ที่เป็นแหล่งรวมสิ่งไม่ดี แล้วเค้าก็พยายามไปกระตุ้นเวลาที่เราเผลอ เราประมาท เค้าพร้อมเล่นหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องมีสติ จะไปเที่ยวหรือสังสรรค์ก็ต้องมีสติ จะเมาก็ต้องมีสติ พอถึงเวลาถ้ามันเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นเราก็รอด แต่ถ้าเรามาทิ้งตัวเลย หมายความว่าเราใช้ชีวิตประมาท ต่อให้เราอยู่บ้านมันก็เกิดอุบัติเหตุได้ แล้วในคืนฮาโลวีน เป็นคืนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังงานลดน้อยครึ่งหนึ่ง ดังนั้นต้องมีสติอยู่กับตัวเรา และ วิถีทางที่เราฝึกมาตลอดเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา มันจะมีประโยชน์ การที่เราฝึกสวดมนต์นั่งสมาธิมา มันจะมีประโยชน์แล้ว เพราะจิตเราถูกฝึกมา ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะมาทำให้จิตหลุด จิตที่ได้รับการฝึกมันจะนิ่งด้วยตัวมันเอง”เพศของคน มีส่วนเกี่ยวกับกรรมที่เคยกระทำไหม?“อุ๋มอิ๋มเชื่อว่ามีส่วนนิดหน่อย หนูเคยได้ยินเรื่องราวที่ว่า การเกิดเป็นเพศนี้เพราะมีกรรมแบบนี้ แต่ส่วนตัวหนูไม่เชื่อนะ หนูแค่รู้สึกว่ามันมีมากกว่านั้น มันไม่น่าจะมีแค่นี้หนูว่ามันยังมีเรื่องของบุพกรรม หรือกรรมที่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่ที่ดึงดูดให้ลูกมาเกิด แล้วก็เรื่องดวงจิตมีเพศหนูเชื่อมาก ๆ เลย เพราะอย่างคนที่เป็น LGBTQ+ มีหลายแบบ บางคนเป็นผู้ชายแต่เค้ามีดวงจิตผู้หญิง มันคือจิตวิญญาณเค้าตั้งแต่เกิด ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เพราะว่าจะให้คุณทำเทสกี่เทส ผลมันก็จะมีแนวโน้มไปทางผู้หญิง แล้วจิตวิญญาณแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางทีเราเห็นเด็กน้อยเดินมาแล้วคุณพ่อคุณแม่จะชอบถามว่า เค้าจะเป็นไหมคะ เราก็บอกว่า ไม่ว่าเป็นอะไรเค้าก็เป็นคนดีนะคะ คุณแม่ไม่ต้องคิดมาก เรามองก่อนว่าอันไหนมันเป็นความสุขของลูกเราคุณแม่ก็ปล่อยไป เด็กเค้าจะรู้ได้ตั้งแต่เกิดเลยเพราะจิตวิญญาณเค้ามันมาตั้งแต่เกิด แล้วเค้าจะรู้ว่าเค้าอยากทำอะไร อย่างเพื่อนของอุ๋มอิ๋มนี่คือใส่ผมตั้งแต่เด็กอนุบาล แล้วคุณแม่ของเค้าก็รักเค้ามาก เติบโตมาเค้าก็เป็นคนดีมาก ๆ แล้วก็มีอนาคตที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ”แก้ได้ไหม ถ้าทำยังไงก็ไม่มีแฟนสักที?“แก้ได้ค่ะ แต่ต้องยอมรับความจริงด้วยนะ เวลาที่มีหมอดูทักว่าดวงไม่มีแฟนแน่นอน ให้ถามเค้ากลับค่ะว่า แล้วทำยังไงให้หนูมี เพราะการที่เราจะเป็นหมอดูได้ เราต้องแก้ให้เค้าด้วย แล้วถ้าหมอดูบอกว่าต้องไปแก้แบบนี้ ๆ ให้ถามเค้าต่อด้วยว่า แล้วถ้ามี มันจะไปส่งผลกับกรรมอะไรไหม มันจะทำให้เราต้องเจอเรื่องแย่รึเปล่า เราก็ต้องถามแบบละเอียดนิดนึง แล้วเราต้องกลับมาพิจารณาว่า วิธีการเลือกคนที่เข้ามาในชีวิต คุณจะเลือกยังไง ถ้าวันนี้เราคบกันไปแล้ว เรารู้สึกว่ามีแต่เราที่อดทน อันนี้เราโทษดวงไม่ได้ ต้องโทษตัวเราเองเวลามีคนมาถามว่าคุณอุ๋มอิ๋มคะ ทำยังไงให้หนูมีแฟน เราก็จะสแกนก่อนว่า สเป็กสูงรึเปล่าถึงไม่มี หรือว่าโลกส่วนตัวสูงรึเปล่า แล้วเราก็ถามก่อนว่าเคยมีคนมาชอบบ้างไหม ถ้าเคยมีแล้วทำไมถึงหยุดคุยกันไป ต้องดูว่าเป็นพฤติกรรมของเค้ารึเปล่า ถ้าเป็นพฤติกรรมก็ต้องแก้ที่ตัวเค้า แต่ถ้ามีอีกคนสวยมากแต่ไม่มีใครมาจีบเลย เคสนี้ก็อาจจะมีวิญญาณอะไรรึเปล่า เราก็จะบอกให้เค้าลองไปขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูไหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เค้าเชื่อ ซึ่งแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน แต่พอได้ไปขอพรมันจะทำให้จิตเปิด และจิตสั่งกาย เปิดให้ตัวเองพร้อมรับคนที่จะเข้ามาใหม่ แล้วเราก็จะทำให้ตัวเองสวยขึ้น ดูดีขึ้น ที่เหลืออยู่ที่การกระทำของเราแล้วค่ะ ว่าเราจะเจอคนแบบไหน เราไปในที่ที่ดีเราก็จะเจอคนที่ดี เราไปในที่ที่ไม่โอเคมันก็ไม่โอเค แล้วสุดท้ายแล้ว ต่อให้เราไปในที่ที่ดี แต่เราเลือกไม่ดีมันก็เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนกำหนดต่อจากนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความโชคดีของเทพยาดาฟ้าดินทั้งหลายที่เค้าให้ได้คือ โอกาส แต่ถ้าเราทิ้งโอกาสเหล่านั้น มันก็อยู่ที่ตัวเราแล้ว เราต้องพิจารณาให้ดี อย่าเลือกสิ่งที่ชอบอย่างเดียว แต่บางครั้งเราต้องเลือกสิ่งที่ใช่บ้าง”ถ้าต้องไปพักต่างที่ ทำยังไงไม่ให้เจอผี?“สมมติเป็นโรงแรม ซึ่งโรงแรมเราเลือกไม่ได้ ห้องก็เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไปถึงให้เปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดทุกอย่างที่มันจะทำให้อากาศถ่ายเทสะดวกก่อน เพราะถ้าห้องชื้น รู้สึกอึดอัด มีกลิ่นเหม็น บอกเลยว่าดวงวิญญาณชอบอะไรแบบนี้มาก และถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งเสียในห้อง เช่น แอร์ น้ำร้อน หลอดไฟ ให้รู้ไว้เลยว่ามีแน่ ๆ แล้วเวลาเข้าไปในห้องเราจะรู้สึกว่าอันตราย ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ดังนั้นให้เปิดทุกอย่างเลย จนกว่าเราจะรู้สึกว่าห้องโปร่งแล้ว ถ้ามีน้ำหอมฉีดได้เลย พออากาศถ่ายเทเราจะสบายใจ จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มี เอาออกมาให้หมด แต่อย่าใส่ไว้ที่คอให้วางไว้ที่หัวนอน จุดที่สามารถมองเห็นได้ทุกบริเวณ 180 องศา เพื่อที่เราจะได้นอนกันแบบสันติ แล้วเราก็พนมมือสวดมนต์หน่อย สร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองหน่อย แล้วก็บอกว่าขอนอน 1 คืนนะ บางคนถามว่าต้องเอาเงินไปซื้อที่ไหม จริง ๆ ไม่ต้อง แค่อธิษฐานจิตบอกเค้าตรง ๆ ว่าขอนอนแค่หนึ่งคืนนะ แล้วก็ต่างคนต่างอยู่เราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แล้วถ้าบางคนโอเคกับการที่จะเปิดทีวีทิ้งไว้ เปิดได้เลยเพราะว่าคลื่นของทีวี มันจะไปแทรกทำให้เค้าปรากฎตัวไม่ได้ เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วปิดเสียงเอา แล้วก็หรี่แสงสว่าง แล้วเราก็นอน แต่ถ้าปลอดภัยที่สุดก็คือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยแล้วสวดมนต์ด้วยก็โอเคแล้วค่ะ”ชีวิตที่ถูกเลือก สู่การเป็นร่างทรงเห้งเจีย“หนูไหว้ทั่วประเทศไทยเลย หนูชอบทุกศาลที่เป็นศาลอากง เพราะหนูถือว่าอากงนี่เป็นไอดอลเลย แล้วหนูต้องบอกก่อนว่า หนูไม่ได้บอกให้ทุกคนมาเชื่อเหมือนหนู แล้วก็ไม่อยากให้ใครมาบอกเราว่าเราต้องเชื่ออะไร อย่าไปถามคนเห็นผี หรืออย่าไปถามหมอดูว่า เรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรอยู่กับตัว ใครคุ้มครองเรา อย่าไปตามหาค่ะ คุณต้องรู้ด้วยตัวเอง เพราะว่าเค้าคือคนที่จะมาเป็นความเชื่อของคุณ มันต้องมีสิ่งพิสูจน์ใจกัน เหมือนที่อากงพิสูจน์กับอุ๋มอิ๋ม ไม่ว่าเราจะขออะไร ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่ากรรมของเราแล้วอากงช่วยได้ อากงจะช่วยเสมอ แล้วเค้าจะช่วยด้วยหลักเหตุผลว่าสมควรที่จะได้ในเวลานี้ไหมความศรัทธาในอากงเห้งเจีย เริ่มต้นมาจากเราไม่รู้เลยว่ามีไซอิ๋วอยู่ในโลกนี้ แล้วคุณพ่อคุณแม่เวลาพาไปไหว้ศาลเจ้าก็จะมีแค่เจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู ประมาณนี้ แล้ววันที่อากงมา เค้าก็เป็นลิงเลย แล้วเค้าก็มาตีลังกาอยู่บนตัวเรา แล้วก็เอากระบองชี้หน้าแล้วก็บอกว่า เดี๋ยวจะมาอยู่ด้วยแล้วนะ เราก็อึ้งว่าเพราะช่วงนี้ดูไซอิ๋วรึเปล่า ก็ไม่ได้ดูนะ เราก็ถามตัวเองว่าแล้วเค้าจะมาทำไม รอบแรกเราก็บอกว่าเราไม่เชื่อหรอกนะ ถ้าอากงมีจริงต้องมาอีกรอบสิ แล้วอากงก็กลับมาบ่อยมาก จนเราเชื่อว่าอากงมีจริง แต่ก็สงสัยว่าอากงมาทำไม มาเพื่ออะไร ซึ่งอากงก็บอกชัดเจนว่า เค้ามาเพื่อสร้างสรรค์ เพื่อสร้างศรัทธา ทำให้คนที่กำลังจะหลงผิดให้กลับมาเป็นคนดี แล้วก็ให้เค้าเดินไปในทางที่ แล้วสิ่งที่อุ๋มอิ๋มได้พิสูจน์ต่อมาก็คือ อะไรที่อากงเตือนหรือบอกต้องพิสูจน์ได้ และมันมักจะเกิดตามวันเวลานั้นเลย ตั้งแต่อยู่กับอากงมา เราก็เห็นทุกอย่างที่อากงพยายามพิสูจน์ให้เราเห็น แล้ววิธีการสอนของอากงนี่คือฮาร์ทคอร์มาก คือเค้าจะบอกเลยว่าอันนี้มันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แล้วจะไปทนทำไม แต่ถ้าเลือกแบบนั้นมันก็เป็นกรรมที่ลื้อเลือก ลื้อก็ทนต่อไป ลื้อก็ต้องยอมรับ ต่อให้เราจะอกหักผิดหวังร้องไห้เสียใจ แต่พอมันผ่านมาปุ๊บ อากงก็จะบอกว่าเป็นไงล่ะ เจ็บมั้ย จะเลือกเค้าอยู่ไหม อากงจะสอนให้เราคิดเป็นค่ะ”มุมมองจากคนเห็นผี ที่อยากบอกคนที่ยังมีชีวิตอยู่“อุ๋มอิ๋มอยากให้ทุกคนเชื่อในเรื่องของจิตสุดท้ายของชีวิต อยากให้ฝึกกำหนดจิตกันตั้งแต่วันนี้เลย จะเป็นการท่องนะโมก็ได้ หรือจะเป็นการกำหนดลมหายใจก็ได้ ให้เรามองเห็นอะไรที่เป็นแสงสว่าง ให้เรานึกแต่สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้น ที่เราเคยทำไว้ แล้วเมื่อวันหนึ่งที่เราจะจากโลกนี้ไป จิตเราจะไปอยู่ในที่ ๆ ดีเอง เลิกที่จะยึดติด ยึดติดความสัมพันธ์ ยึดติดสิ่งของ ยึดติดทุกอย่างที่เป็นความโลภ ทุกอย่างที่เป็นราคะ ทุกอย่างที่เป็นโมหะ ทุกอย่างที่มันจะทำให้จิตของเราต่ำลง แล้วก็พยายามฝึกให้เราเป็นกลางให้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องแบบสุดโต่งไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราต้องเป็นมนุษย์ที่อยู่ในทางสายกลางให้ได้ เพราะว่าการที่เราสุดโต่งไปอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็เป็นกรรมได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเราอยู่ตรงกลาง เราจะมีโอกาสที่เราจะหลุดไปในจุดที่ดีง่ายกว่า เพราะว่าเรามีเหตุและผล เราคิดเป็น เรามีสติแล้วเราก็รู้ว่าจะพิจารณาสิ่งนั้นยังไง โดยที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเราและผู้อื่น เพราะฉะนั้นต้องฝึกค่ะ และเราต้องมีสติมาก ๆ ชั่งใจชั่งการกระทำของเราอย่าคิดแต่จะทำอะไรด้วยอารมณ์ อย่าคิดว่าเราเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่ถูกที่สุด เราผิดได้ ทุกคนก็ผิดได้เช่นกัน ดังนั้นต้องฝึกนะคะ” - อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวสุดต๊าซ ด้วยความอาร์ตแบบไม่ซ้ำใคร ของ “อาร์ต อารยา” จากเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย

27 มิ.ย. 2024

เปิดเรื่องราวสุดต๊าซ ด้วยความอาร์ตแบบไม่ซ้ำใคร ของ “อาร์ต อารยา” จากเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านเรื่องราวชีวิตของเหล่าตัวแม่ กันในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “อาร์ต อารยา” สไตลิสต์ตัวแม่ความสามารถไม่ธรรมดาที่อยู่ในวงการมากว่า 30 ปี โดดเด่นด้วยสไตล์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับคาแรกเตอร์ที่มั่นใจ แต่ใครจะรู้ว่าก่อนหน้าที่เธอจะมีวันนี้ กลายเป็นตัวแม่ที่หลาย ๆ คนรู้จัก เธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้ในรายการครั้งนี้ด้วยย้อนวัยเด็ก กับการเติบโตที่ต้องพยายาม“วัยเด็กสำหรับเรา เรามองว่าอยู่ในฐานะปานกลางถึงลำบากก็แล้วกัน คืออาร์ตมองว่า เวลาคนอื่นเค้ามีกัน เราก็ไม่ได้มีแบบนั้น แล้วที่บ้านจะมีช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นที่จะได้กินโอวัลตินกับขนมปัง จะไม่ได้กินทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันขาดนะ แค่รู้สึกว่าทำไมความพิเศษมันมาเฉพาะแค่ช่วงสุดสัปดาห์ แต่เราเข้าใจพ่อแม่เรานะ ที่เราต้องกินผัดผักบุ้ง หรือต้องกินผัดถั่วงอกกับเต้าหู้ทุกสัปดาห์ เพราะมันคือของที่ถูกที่สุดในตลาด แต่อาจจะด้วยความที่พ่อแม่มีลูกเยอะ 4 คนพี่น้อง ก็เลยคิดว่าเราโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่ก็ต้องพยายาม ที่สำคัญคือทั้งพ่อทั้งแม่ ก็มีญาติเยอะ คุณแม่มีพี่น้อง 7 คน คุณแม่เป็นพี่สาวคนโต ที่เก่งมาก เป็นที่ 1 ประจำตำบล อำเภอ จังหวัด ทุกคนยกย่องแต่ว่าเงินไม่มี เพราะคุณยายกับคุณตาเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ต่างจังหวัด ทำให้ไม่สามารถเรียนสูงได้ แม่ก็เลยต้องออกมาสอบชิงทุนครู แล้วก็ทำงานเป็นคุณครู ซึ่งก็ต้องส่งเสียเลี้ยงน้อง ส่วนคุณพ่อเองก็ไม่แพ้กัน คุณพ่อเป็นลูกคนที่ 2 ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 7 คนเหมือนกัน คุณพ่อทำงานเป็นหัวหน้ากองช่างเทศบาล แล้วทั้งพ่อกับแม่ก็จะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่เป็นข้าราชการ เราก็มีหน้าที่ตามไป อย่างเช่นอาร์ตเอง เราเกิดที่พิษณุโลก แล้วก็ถูกย้ายไปโตที่เพชรบูรณ์ จน 5 ขวบ ก็ต้องมาอยู่ที่บางบัวทอง นนทบุรี จนพ่อแม่ตัดสินใจว่าซื้อบ้านเถอะไม่ไหวแล้ว เอาลูกกระเด็นกระดอนต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะพ่อต้องย้ายทุก ๆ 2 ปี แล้วแม่ก็ต้องย้ายตาม พวกเค้าก็เลยตัดสินใจเก็บหอมรอมริบผ่อนบ้านที่ปากเกร็ด พวกเราก็เลยลงหลักปักฐานที่ปากเกร็ด และที่เราไม่เคยรู้สึกว่าเราขาด ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มาก เราอยากกินก็ได้กิน อยากไปก็ได้ไป ยกเว้นว่าอยากไปเที่ยวทะเล ก็นาน ๆ ต้องรอวันเกิดใครสักคนคุณแม่ถึงจะจัดให้ เราคิดว่าครอบครัวเราอบอุ่น แล้วตัวอาร์ตเองเป็นเด็กกล้าแสดงออก เวลาเค้ามีดนตรีขึ้น ดิฉันก็จะเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นเต้นในลูก 4 คน กลายเป็นชอบแสดงออกอย่างไม่เคอะเขิน ฉะนั้นคุณครูก็จะให้เราทำกิจกรรมตั้งแต่จำความได้เลยความรักของคุณพ่อคุณแม่ เป็นเรื่องที่เราภูมิใจมากจากที่ได้ฟังเรื่องของทั้งสองท่าน ย้อนกลับไปคุณพ่อด้วยความที่เป็นหัวหน้ากองช่างประจำเทศบาลแล้วท่านก็มีเสน่ห์ ผู้หญิงที่สวย ๆ ก็ผ่านคุณพ่อมาเยอะ จนอยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อก็โดนที่บ้านบังคับว่าจะต้องแต่งงาน ต้องเลือกเอาสักคน พ่อบอกว่าถ้าจะแต่งงานจะต้องเลือกผู้หญิงที่เก่งเท่านั้น เพราะอยากมีลูกฉลาด ส่วนคุณแม่ของเราก็คือ ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงดูน้อง ตั้งใจเล่าเรียน เป็นคุณครูสอนหนังสือ แล้วคุณแม่เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างตัวสูง มีความหมวยแบบคนจีน ซึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาพ่อ แล้วแม่เองก็ไม่ได้สนใจพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อเจ้าชู้ จนมาถึงวันที่แม่จะต้องเลือก ตอนนั้นมีคนมาจีบแม่แล้วก็บอกว่าจะต้องให้แม่ไปอยู่ที่ร้านขายทองที่กรุงเทพ แม่ก็เลยต้องเลือกระหว่างจะพ่อหนุ่มร้านขายทองแล้วไปนั่งขายทองที่กรุงเทพ หรือพ่อหนุ่มเจ้าชู้หัวหน้ากองช่างคนนี้ แล้วสุดท้ายคุณพ่อก็ถึงเวลาที่ถูกครอบครัวบังคับแต่งงาน คุณพ่อก็เลยบอกว่าถ้าจะแต่งงาน ก็ให้ปู่กับย่าไปขอแม่ เพราะว่าทั้งจังหวัด ทั้งตำบล และอำเภอ คุณแม่ของดิฉันฉลาดเบอร์ 1 ขึ้นชื่อว่าไปสอบที่ไหนชนะหมด แม่ก็เลยยืน 1 ด้านความฉลาด คุณพ่อก็เลยบังคับให้คุณปู่คุณย่ามาขอแม่ ซึ่งที่คุณแม่เลือกคุณพ่อ อาจเพราะคุณแม่คิดว่ามันเท่าเทียมกัน มันบรรจบเหมาะกันตรงที่คุณแม่คิดว่าคุณพ่อเค้าก็ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนกัน ก็คงจะไม่ดูถูก เพราะถ้าเกิดไปอยู่บ้านคนรวย แม่อาจจะโดนดูถูกว่าเก่งแต่จน แม่ไม่อยากเป็นพจมานที่อาร์ตมีพี่น้อง 4 คน มันเกิดมาจากตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เค้าแพลนว่า จะมีลูกแค่ 2 คน แต่พี่ชายคนโตดันเสียชีวิต เพราะด้วยความที่คุณแม่เป็นคนเก่ง คุณแม่ก็คิดว่าตัวเองแข็งแรง ก็เลยตัดสินใจคลอดเองได้ ซึ่งคุณแม่ก็ได้พยายามแล้วมันไม่ออก พี่เค้าตัวใหญ่เกินไปเค้าออกไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นคลอดมาได้ 7 ชม.สมองช้ำหมดเลยแล้วก็เสียชีวิต จากนั้นคุณพ่อก็เสียใจพร้อมกับแค้นฝังหุ่น ก็เลยผลิตลูกมาเลย 4 จาก 2 คนที่แพลนไว้”ตัวตน ที่รับรู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็ก“ตั้งแต่ตัวเองจำความได้ คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นบ้า เหมือนมันต้องมีต่อมอะไรบางอย่างในหัวที่มันทำงานผิดปกติ เพราะไปดูรูปเราตอนยังเป็นเด็ก จะเกิดคำถามตลอดว่าทำไมมันต้องเอียงคอ แล้วไปจับดอกไม้มาทัดหู เวลาไปโรงเรียนที่บางบัวทอง จำได้เลยทุกคนถือกระเป๋า แล้วแต่งชุดนักเรียนใหม่กันหมด แต่เราปะแป้งหน้าขาววอก แล้วก็สะพายย่ามพระเฉียงข้างอยู่คนเดียว อาร์ตคิดว่าเราเป็นลูกคนที่ 3 แล้วเหมือนเราไม่ได้เป็นคนโต เราก็จะรับสมบัติจากคนอื่นตลอดเวลา แล้วน้องชายจะได้ของใหม่ตลอด พอเป็นลูกคนที่ 3 เราเลยจะพยายามเรียกร้องความสนใจว่าในเมื่อเราโดดเด่นทางอื่นไม่ได้ ก็ขอโดดเด่นทางนี้แล้วกันพอไปโรงเรียน มันมีการแสดงที่บางบัวทองนี่แหละ ด้วยความที่เราชอบแสดงออก ครูก็ให้เราเต้น มีแถวผู้ชาย 1 แถว ผู้หญิง 1 แถว ตอนนั้นเราเต้นเป็นเด็กผู้ชายนะ เราก็ไปดูก็สงสัยว่าทำไมผู้หญิงถึงได้ผ้าต่วนสีดำมัน แล้วทำไมผู้ชายได้ผ้าด้าน เราไม่ยอม ก็ไปบอกแม่ว่าถ้าไม่ได้ผ้าสีดำมันเราไม่เต้น จนคุณครูก็ต้องยอม แม่ก็ต้องยอม แล้วพอเห็นผู้หญิงแต่งหน้า เราก็บอกแม่ว่าหนูต้องแต่งหน้า ถ้าหนูไม่แต่งหน้าหนูไม่เต้น แล้วเราดันสูงที่สุด ซึ่งมีข้อแม้อีกว่า ถ้าไม่ได้รำหัวแถว เราไม่รำ สำหรับอาร์ต ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเพศใดเพศหนึ่งที่ชัดเจน เพราะเราไม่รู้จักคำว่าเพศ ต่อให้เราเรียนสุขศึกษา เราก็จะรู้แค่ว่าสิ่งนี้เอาไว้ปัสสาวะ รู้ประมาณนั้น เราไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น แล้วเราก็เล่นกับเพื่อนผู้หญิงแบบสนิทสนม แล้วก็ไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายเราก็เตะบอลได้ เล่นตุ๊กตา โดดหนังยาง วิ่งเปรี้ยว ตีวอลเล่ย์บอล ให้ทำอะไรทำหมดเลย แล้วไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเลือกเพศ เพราะมันไม่เคยมีตอนยุคเรา มันไม่เคยมีใครมากำหนดว่า เธอช่วยเลือกเพศด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ปล่อยตัวเอง ปล่อยใจฝัน แล้วพอเราต้องแสดง มันก็เลยกลายเป็นว่า เราไม่มีกรอบอยู่ในตัวว่าตัวเองต้องเป็นผู้ชาย เรามีความรู้สึกว่าผู้หญิงสวย ฉันก็อยากสวย แม่ก็ต้องพาไปแต่งหน้า แล้วก็ไม่กินข้าวเพราะว่ากลัวลิปสติกเลอะ ซึ่งแม่ไม่เคยสอนด้วย แม่ก็จะบอกว่าไปเอามาจากไหนชุดความคิดนี้อยู่ในหัวได้ยังไงว่า ไม่ยอมกินข้าวเพราะกลัวลิปสติกเลอะ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน”ก้าวข้ามคำบูลลี่ เพราะครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดีมาก ๆ“เราจำได้ว่าสมัยก่อน อาร์ตเป็นเด็กที่ผอมบาง แล้วก็เหมือนคนจีน ผิวขาวมาก ก็จะโดนล้อตลอดว่าเจ๊กหัวแดง เพราะว่าผมเราสีอ่อน มันเส้นเล็กบาง แล้วเวลาโดนแดดมันก็จะออกเป็นสีน้ำตาลแดง ๆ ก็จะโดนล้อเป็นเจ๊กหัวแดง เพื่อนก็แต่งเพลงล้อว่า พี่เจ๊กหัวแดง เป็นเด็กขายแกงอยู่หลังตลาด เราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมดิฉันต้องโดนล้อ ดิฉันก็บอกแม่ แต่แม่บอกเราว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นลูก ไม่ต้องไปสนใจ เราก็ออกไปเล่นเหมือนเดิม ต่อมาก็มีคำว่าตุ๊ดซี่ เราก็โดนล้อเป็นตุ๊ดซี่ เราก็วิ่งไปบอกแม่ แม่ก็บอกเราว่าไม่ได้เป็นลูก ทำไรก็ไปทำ เราก็ไปเล่นเหมือนเดิม แล้วต่อมาก็เป็นตุ๊ดฟันเหล็กอีก เพราะตอนนั้นจัดฟันเหล็ก แต่ครอบครัวก็จะบอกว่า ก็เราไม่ได้เป็นจะไปรับคำเหล่านั้นทำไม ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ เราก็ไปเล่นเหมือนเดิม เพราะเรารู้สึกว่าพอแม่พูดแบบนั้นมันกลายเป็นเกราะป้องกันอย่างดี เราทำทุกอย่างปกติ โดยที่ไม่ได้รู้ว่าเรากำลังแบกคำบูลลี่เหล่านั้นอยู่บนบ่าเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบันเรามองย้อนกลับไปเราคงยืนท้าวสะเอวแล้วก็บอกหนูน้อยอาร์ตวันนั้นว่า หล่อนเบา ๆ หน่อยก็ได้ ไม่ต้องโดดเด่นขนาดนั้นก็ได้ แต่สำหรับเราถือว่าครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดีมาก แล้วเราก็โชคดีที่เกิดในครอบครัวซึ่งเรามีพี่ชาย เรามีพี่สาว เรามีน้องชาย แล้วแม่กับพ่อก็คงไม่ได้คาดหวัง เราอยากจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องการโดนเขียนรายงานในสมุดพกนี่คือเรารับไปเต็ม ๆ ตั้งแต่จำความได้เลยว่า ในสมุดพกต้องมีประโยคเขียนว่าอุปนิสัยคล้ายหญิง ชอบเล่นกับผู้หญิง ช่วยเหลืองานดี ตั้งใจเรียนดี ทำกิจกรรมเกี่ยวกับหัตถกรรมเก่ง แล้วเรื่องอุปนิสัยคล้ายหญิงโดนเขียนยัน ม.3 สมุดพกที่มีอยู่ก็จะมีเขียนหมดเลยทุกฉบับ แล้วแม่ก็เอาให้พ่อดูแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับประโยคเหล่านั้น ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า การที่มีอุปนิสัยคล้ายหญิงเป็นเรื่องดี เพราะเราก็คิดว่าเราเป็นผู้หญิง ตอนนั้นรู้ตัวเองแล้วว่าข้างในเราคือผู้หญิงที่มาอยู่ในร่างทรานส์เจนเดอร์ เพราะรูปร่างก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ แต่มันดันมีอวัยวะสำหรับขับถ่ายที่หน้าตาไม่เหมือนคนอื่นตอนอายุ 17 ปี ด้วยควาทที่เราชอบแต่งตัว แล้วก็บ้าบอตั้งแต่เด็ก ชอบคว้าโน่นคว้านี่มาใส่ตลอด พอเข้าเรียน ม.ศิลปากร มันเปิดกว้างมาก ๆ เรามีความรู้สึกว่าจะใส่อะไรก็ได้ พอรับน้องเสร็จมันคือสวรรค์ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ร่ำรวย ก็ต้องเริ่มทำงาน ด้วยความที่บ้านไม่ได้สนับสนุนด้านการเงินที่สูงมาก เราก็ทำงานด้วยการที่เป็นพี่ติวเตอร์ เพราะมันมีเด็กที่อยากจะเข้า ม.ศิลปากร เราก็รับหน้าที่เป็นคนติว แล้วก็จะได้เงินเก็บไปซื้อของจุ๊บจิ๊บ เช่น วัดมหาธาตุมีของมือสอง ก็ไปหาซื้อแล้วก็มาประกอบเป็นร่าง ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เราก็เอาเสื้อเชิ้ตตอนเป็นนิสิตมาเพ้นท์ลาย เพื่อจะให้มีเสื้อใหม่ใส่ไปเรียน แล้วก็ด้วยความเก๋ของเรา เราชอบแต่งตัวแบบจันทร์สีเหลือง อังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว รองเท้ามี 7 สี เสื้อมี 7 สี กางเกงในยังมี 7 สีเลย ตอนนั้นเราคิดว่ามันคือการทดลอง แต่คนในหมู่บ้านก็เริ่มเมาท์ว่าอาร์ตเป็นกะเทยแน่ ๆ เค้าก็เมาท์กัน พอคุณยายซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูเราได้ยินก็ร้องไห้ แล้วเราก็สงสารคุณยาย ก็เลยนัดประชุมทั้งบ้านเลยเพื่อจะเคลียร์เรื่องนี้ เราก็พูดเลยว่าพอดีมีคนมาเมาท์อาร์ต แล้วอาม่าก็เสียใจ จะบอกว่าอาร์ตไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ขอให้ทุกคนรับให้ได้นะ จากนั้นพ่อก็ลุกขึ้นบอกว่าก็นึกว่าเรื่องอะไร อยากเป็นอะไรก็เป็น เป็นคนดีก็พอ แล้วพ่อก็เดินไปเลย แม่ก็ลุก ทุกคนก็ลุกหมดเลย ไม่มีใครตื่นเต้นกับเรื่องของดิฉัน สุดท้ายก็บอกเราก็บอกยายว่าให้บอกคนอื่น ๆ เค้าเลยว่า บอกไปเลยก็แล้วกันว่าอาร์ตมันเป็นบ้า เพราะว่าผมยาวรุงรัง ให้ยายบอกไปแบบนั้นเลย”ชีวิตมหาวิทยาลัย กับการค้นหาความชื่นชอบของตัวเอง“อาร์ตเข้ามหาวิทยาลัยโดยการสอบเทียบ คือพอเราออกจากโรงเรียนชลประทาน ที่นนทบุรี แล้วก็ไปสอบรอบสองที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี พอสอบติดปุ๊บก็ไปเจอครูแนะแนวท่านหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณครูแนะแนวมากเลย ที่แนะนำให้เราสอบเทียบ แล้วเราก็เอ็นทรานส์ติดเลย อายุ 17 ปี ก็เข้ามหาวิทยาลัยปี 1 คณะมัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร ซึ่งครูแนะแนวคนนี้แหละเป็นคนบอกว่าเธอน่าจะไปเรียนมัณฑนศิลป์นะ เพราะว่าเธอวาดรูปสวย แล้วเธอได้วิชาสามัญ คณะนี้น่าจะเหมาะกับเธอ เราก็ไปสอบแล้วก็ออกมาร้องไห้ทุกวัน เพราะว่าพอไปเรียนติวแล้วมันไม่ได้ตรงกับที่สอบ เค้าให้วาดโปสเตอร์ เราก็ไปวาดโปสเตอร์แนวนอน ที่ถูกคือเค้าต้องวาดแนวตั้งออกห้องสอบมาเราก็ร้องไห้ ไปสอบโปรดักส์ เค้าให้วาดโปรดักส์ แล้วเราวาดสามมิติไม่เป็น ออกมาก็ร้องไห้ สอบปลายภาคเราร้องไห้ทุกภาค ตอนเรียนสอบประยุกต์ ดันทำสีหกลงไป ซึ่งเค้าให้วงกลมมาแล้วให้วาดรูปไปในวงกลม แล้วสีดันหล่นตุ๊บลงไป เราก็ต้องวาดรูปเกินออกไปจากวงกลม กลายเป็นว่าเราสอบติดภาคประยุกต์ เพราะว่าสีที่หยดทำให้เราติดภาคประยุกต์พอจะต้องเข้าไปเรียน ตอนแรกเราคาดหวังสูงมากว่าพอเราเข้าไปเราจะหลุดพ้นจากทุกอย่าง เพราะตอนอยู่โรงเรียนเก่าเราโดนบูลลี่มาตลอดในเรื่องความกระตุ้งกระติ้งของเรา แล้ววันแรกที่ไปสอบสัมภาษณ์ อาจารย์นั่งเรียงหน้ากระดานกันสี่ห้าท่าน มีคนนึงถามว่าเป็นกะเทยรึเปล่าเนี่ย ซึ่งเป็นประโยคแรกเลยในรั้วมหาลัย ตอนนั้นเราสวมชุดนักเรียนชายมัธยม เลยตอบว่าไม่ได้เป็นครับ ซึ่งคำทักนั้นมันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราอยากเรียน แล้วความคิดเรามันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ พอเค้าทำให้เราหลาย ๆ อย่าง มันปลดล็อคความบ้าบอในตัวเรามันออกมาเรื่อย ๆ มันก็เลยเหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้รังเกียจ เค้าไม่ได้แอนตี้ แต่เค้าแค่พูดในเชิงหยอกล้อกับเด็กที่เข้ามา เพื่อให้เด็กที่เข้ามาลดความเกร็งตอนสอบสัมภาษณ์เท่านั้น พอได้เรียน ม.ศิลปากร เรารู้สึกว่าพื้นฐานทางด้านศิลปะค่อนข้างแข็งแรง แล้วสามารถเอาไปต่อยอดที่เมืองนอก แล้วก็กลายเป็นบรรทัดฐานที่ดีของเราได้”แฟชั่นสุดจี๊ดจ๊าด ในแบบของ อาร์ต อารยา“ตอนเรียนปี 3 จำได้เลยว่าตัวละคร วิศนี ในเรื่องอุบัติเหตุ ดังมาก นางดัดผมหยิกแล้วมันเก๋มาก กลายเป็นกระแสที่ดีมาก เราก็ผมบางด้วยก็เลยดัดตาม แล้วใส่เสื้อยืดแขนกระดิ่ง 70 บาท ซื้อจากตลาดเก่าวัดมหาธาตุ แล้วตัดกางเกงเป็นขากระดิ่ง แพทเทิร์นทำเอง ตอนนั้นเค้าไม่เรียกขากระดิ่ง เค้าเรียกขาระฆัง เราก็จะสวยมาก ลงจากรถ ปอ.6 จากปากเกร็ดจะไปมหาวิทยาลัยตอนนั้นสะพายย่ามพระด้วย จังหวะจะลงรถก็มีคนวิ่งเข้ามาถามว่าไปไหน ทำอะไร แล้วถกแขนเสื้อเพื่อดูว่าเราฉีดยามารึเปล่า เรางงมาก ก็ตอบเค้าไปว่าเรียนอยู่ที่นี่ค่ะ เค้าก็ถามว่า แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ เราก็ตอบว่าเค้าให้แต่งอะไรก็ได้ค่ะ ก็เลยแต่งมาเรียน เค้าบอกว่า คราวหลังอย่าแต่งตัวแบบนี้อีกนะ แล้วก็มีเสียงจากวิทยุสื่อสารว่าผิดคน ๆ หน้าเราคงเหมือนคนค้ายาเพราะเราผอมมาก แล้วผมยาว อาจจะดูโทรม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยแต่งแบบนั้นอีกเลยแต่ก็ยังมีโดนจับอีกครั้งที่ข้าวสาร ก็แต่งตัวเบา ๆ ใส่จีสตริงตัวเดียว ตอนนั้นมันเป็นวันฮาโลวีน ตอนนั้นเราชอบ บียอร์ค ก็เลยถักผมเปีย ใส่ดอกไม้เอาทองคำเปลวแปะ หน้าก็โล้น ๆ ไม่มีคิ้ว แล้วก็เป็นกางเกงในจีสตริงสีทอง รองเท้าส้นสูง แล้วก็เอาผ้าลูกไม้ขาว ๆ บาง ๆ มาห่มตัว พอลงจากรถแท็กซี่ก็โดนตำรวจเรียกเลย ตำรวจบอกว่าอนาจาร เชิญไปโรงพัก พอไปถึงโรงพัก ตำรวจถามว่าแต่งเป็นอะไรเนี่ย เราตอบว่า แต่งเป็นผีอนาจารค่ะ โดนข่มขืนหมู่แล้วตายค่ะ แล้วตำรวจก็ปล่อยไป แต่เค้าก็หัวเราะกันทั้งโรงพักตอนเรียนเราได้ฉายาว่า อาร์ตอวกาศ ด้วยความที่เราชอบแต่งตัวและชอบทดลอง แล้วเราก็ไม่ได้มองว่าตัวเองต้องปิดกั้น ตอนนั้นบ้าหนังสือเมืองนอก แล้วมันก็จะมี เธียร์รี่ มูแกลร์ กำลังมาแรง ยุค 80 ตอนปลาย เข้า 90 โค้ทแนวอวกาศมาแรง เราเลยตัดชุดจั๊มสูทซิบหน้าปิดคอเต่าไปเรียน ก็เลยโดนล้อว่าจอดยานไว้ที่ไหน แล้วฉายา อาร์ตอวกาศ ก็มาสมัยนั้น ความมี Identity สำคัญที่สุด ยุคนั้นเค้าเชียร์ให้คุณไม่เหมือนคนอื่น เพราะฉะนั้น อาร์ตจะแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น ถ้ามาเรียนแล้วเจอคนใส่เสื้อตัวเดียวกับเรา เรากลับบ้านนะ หรือต้องออกไปวัดมหาธาตุ แล้วซื้อชุดใหม่เดี๋ยวนั้นแล้วเปลี่ยนเลยเพื่อไม่ให้ชนกับคนอื่น สำหรับเรา มองว่ามันคือโอกาสในการที่จะบอกทุกคน การที่เค้าเห็นข้างหลังเราจากร้อยเมตร แล้วเค้าทักถูกว่านั่นแหละอาร์ต มันคือเก๋ แปลว่าเราหาตัวตนของเราเจอ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ อาร์ต อารยา“อาร์ต กับ พี่แมทธิว เราเจอกันผ่านอินเตอร์เน็ต เราสมัครในเว็บไซต์หาคู่ชายหญิง ก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าอย่าปิดกั้นตัวเอง แล้วอาร์ตคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก็เลยไม่แคร์ แล้วตอนนั้นอายุมัน 40 แล้ว มันก็เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าฉันเป็นโสดมานานมาก เราเคยมีแฟนคนแรกคบกันมา 15 ปีแล้วก็เลิกกัน แล้วเราก็เป็นโสดมาอีก 7 ปี แล้วก็มีน้องมาแนะนำว่า พี่อาร์ตสมัครเว็บเถอะ พี่อาร์ตน่าจะเป็นคนที่ต้องมีคู่ เราก็เลยไปลองสมัครเว็บชายหญิงแล้วก็ทิ้งไว้ 1 ปี โดยที่เราไม่ได้ไปดูเลยเพราะว่าเรางานเยอะ จนกระทั่งบ้านเมืองเราไม่สงบช่วงเสื้อแดงเสื้อเหลือง ตอนนั้นงานไม่มี เราก็เลยกลับมานั่งดูเว็บว่ามันเป็นยังไงบ้าง ปรากฎว่ามีคนเข้ามาเยอะมาก แล้วเค้าเป็น 1 คนที่เข้ามาดูแต่ไม่ได้ทักเรา แต่เราไปติดใจเค้าตรงที่รูปโปรไฟล์ของเค้าเป็น Upside Down เราก็เริ่มสนใจ เราก็ 40 แล้ว อยากมีแฟน เลย Text ไปขอบคุณที่เข้ามาดูโปรไฟล์ของเรา แล้วเค้าก็ตอบกลับมาว่า Thank you!แล้วพอเราคุยกันไปกันมาประมาณ 1 เดือน เราก็เปลี่ยนเป็นขอเบอร์เลยแล้วกัน เพราะว่าไม่มีเวลาแล้ว อายุ 40 แล้วอย่ารอ เค้าก็เลยให้เบอร์มา เราก็ชวนเค้าคุยผ่าน WhatsApp เราก็ส่งรูปแรกเลย เป็นรูปเซลฟี่หน้าสด ส่งไปให้เค้าดูแบบอรุณสวัสดิ์นะคะ เค้าก็บอกว่าว้าว ขอบคุณนะที่เราจริงใจกับเค้า ที่เราเอาความจริงมาให้เค้าเห็น เราถือคติว่า การที่จะมีแฟน มันต้องไม่เล่นละคร ไม่ดราม่า คิดอะไรก็พูด มีอะไรก็ตรงไปตรงมา แล้วเราก็บอกเค้าไปตรง ๆ แล้วก็ซื่อตรงกับเค้ามาตลอด แล้วเค้าก็ขอบคุณที่เราจริงใจกับเค้ามาตั้งแต่แรกแล้วตอนเจอ พี่แมทธิว คือตอนที่เรากลับมาไทยแล้ว คือจบ ม.ศิลปากร อาร์ตก็ไปเรียนแฟชั่นที่ฝรั่งเศสปีนั้นเลย ไปถึงปารีสก็เรียนภาษาก่อนปีนึง แล้วก็เรียนดีไซน์ 2 ปี แล้วก็ทำงานอีกปีนึง ถึงกลับไทย ช่วงนั้นเค้าคงใช้ชีวิตของเค้า เพราะตอนที่อยู่ฝรั่งเศส เราไปถึงปีแรกอายุ 21-22 ปีเอง เราก็มีแฟนเป็นคนฝรั่งเศส 15 ปี แล้วเรามาเจอเค้าตอนอายุ 40 ปีแล้ว นั่นแปลว่าช่วงนั้นดิฉันก็มีแฟนคนก่อนหน้านั้นอยู่ 15 ปี แล้วพอเลิกกัน ดิฉันก็เป็นโสดไปอีก 7 ปี ด้วยพื้นฐานเรารู้ว่าเราเป็นคนไม่สวย ไม่ได้มีรูปสมบัติเหมือนคนอื่น ทำให้ยังไม่มีใครจีบ ไม่มีใครเอา ไม่มีใครสนใจ แต่พอไปเมืองนอกปีแรกก็เจอเลย แล้วก็คบกันยาวไปอีก 15 ปี เพราะฉะนั้น ในความที่เรารู้ว่าเราไม่ได้สวย เราก็เลยไม่คาดหวัง และไม่ทำตัวหยิ่ง อารยาจะเป็นคนที่ทำกับข้าวได้ ทำความสะอาดบ้านเก่ง จัดบ้านเก่ง เอาใจแม่สามี เอาใจครอบครัวทั้งหมด คือเป็นภรรยาที่ดี แบบทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ แต่ประโยคแรกที่เจอแม่แฟนเก่า เค้าบอกว่าทำไมเธอเหมือนผู้หญิงจัง ทั้งที่เราเจอกันแบบหน้าสด อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราภูมิใจในตัวเอง ว่าเราไม่ได้แสดง มันเป็นตัวเราจริง ๆ เหมือนตอนเราไปเจอแม่กับพ่อของพี่แมท เค้าก็พูดเหมือนกันเลยว่าเราเหมือนผู้หญิงจัง เราก็โอเคแปลว่าฉันมาสายนี้ถูกแล้ว คือเราเอาใจคนอื่น แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราลำบาก เราก็พยายามจะเอาใจเพื่อให้ความสัมพันธ์มันออกมาเป็นความรักแบบผัวเดียวเมียเดียว อาร์ตเชื่อตรงนั้น เพราะว่าเราเห็นพ่อแม่เรารักกันมานาน เราก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างดูพฤติกรรมภายนอกอาร์ตอาจจะดูพูดแรง พูดจาไม่เกรงใจ เป็นบัวไม่มีเยื่อใย พูดจาขวานผ่าซาก แต่ข้างในคือไม่มีเจตนาร้าย พูดแล้วจบ เป็นคนไม่เอากลับไปคิดค้างคา สมมติว่าเรามีปัญหาเรื่องการทำงานกัน เราเคลียร์กันวันนี้แรงหน่อย แต่พรุ่งนี้เราเจอกันปกติ กินข้าวได้ปกติ คนอื่นเค้าอาจจะเห็นเราจากรายการโทรทัศน์ ที่ก็จะเลือกตัดแต่เฉพาะตอนที่เราเหวี่ยง ตอนที่เราวีน จนมันกลายเป็นภาพจำ แต่เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เพราะเราเป็นมนุษย์แล้วเราก็มีด้านดีด้านแย่เรามีครบพ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม สำหรับอาร์ตมองว่า วันที่ 18 มิ.ย. 2567 ที่กฎหมายผ่าน แล้วอีก 3 เดือนกฎหมายจะถูกบังคับใช้ ตอนนี้ติดต่อชุดเจ้าสาวแล้ว แล้วก็สั่งทอผ้าให้คุณผู้ชายแล้ว แพลนแล้วว่า วันที่กฎหมายใช้ได้ เจอกันที่สถานีดุสิตเพื่อจดทะเบียนค่ะ”สีสัน แรงบันดาลใจจาก อาร์ต อารยา“อาร์ตว่าเวลาที่เรารู้สึกว่าเราต้องรอ ไม่ว่าจะรอโอกาส หรือรออะไรก็ตามแต่ เรารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป มันไม่มีอะไรที่จะมาหาเราง่าย ๆ ไม่มีใครพร้อมที่จะยื่นโอกาสให้เราตลอดเวลา ถ้าเรารอเราก็จะนั่งงอมืองอเท้า แล้วทุกอย่างมันก็จะฝ่อ สิ่งที่อาร์ตจะเชียร์ก็คือ อยากทำไรทำ อยากเป็นไรเป็น โดยเฉพาะคนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน บ้านเมืองมันเปิดโลกมันเปิด ทุกอย่างมันเข้าหากันง่าย คนในประเทศไทยไม่ชอบคุณ ประเทศอื่นก็มี ทำงานในเมืองไทยกลัวว่าไม่มีคนเห็น กลัวไม่มีคนซื้อ กลัวไม่มีคนสนับสนุน เมืองนอกเค้าก็เห็น คือตอนนี้ทุกอย่างมันแคบลงและมันง่ายมาก แล้วอาร์ตมีความรู้สึกว่าอย่ารอในส่วนของความรักก็เช่นเดียวกัน ถ้าเอาอาร์ตเป็นบรรทัดฐาน อาร์ตช้ำรักอยู่กับความผิดหวังมา 15 ปี แต่อาร์ตก็ไม่ย่อท้อ เพราะอาร์ตมีความเชื่อว่าเราต้องมีความรัก จนมาเจอรักตอนอายุ 40 ปี แล้วอาร์ตก็เชื่ออีกอย่างว่า พอเราจริงใจ เราไม่ดราม่า เราไม่โกหก เราเชื่อในความซื่อสัตย์ซื่อตรงของเรา มันก็มีคนที่เข้าใจเรา มันอาจจะต้องมีอุปสรรคบ้าง ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคืออย่าปล่อยมันค้างคา มีปัญหาให้คุยเลยให้มันจบ แล้วมันจะทำให้ความรักของเราไปต่อได้เรื่อย ๆ” - อาร์ต อารยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1