เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

ENTERTAINMENT NEWS

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

22 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรีแอคชั่นที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในชั่วข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่เคยมีมาก่อน

เรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มขึ้น หลังจากสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เอิร์ธ อติรุจ” เจ้าของคลิปรีแอ็คชั่นสุดไวรัลที่ได้รีแอ็คถึงซีรีส์ The Interns ในแง่มุมการแพทย์แบบถึงพริกถึงขิง จนกลายเป็นคลิปล้านวิวในชั่วข้ามคืน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายแรงบันดาลใจ ที่ เอิร์ธ ได้เอามาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

เผยที่มา กว่าจะเป็นคลิปรีแอคสุดปังจากช่อง “Aertha Channel”

เรียกว่าเป็นคลิปดัง ที่ทำให้ชื่อ เอิร์ธฐา กลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ หลังจากที่ได้ปล่อยคลิป รีแอ็คชั่นซีรีส์ The Interns หมอมือใหม่ ที่มีลีลาการรีแอคแบบใหม่แบบสับ จนจับใจแฟน ๆ โดย เอิร์ธ ได้เล่าที่มา กว่าจะเป็นคลิปดังกล่าวให้ฟังว่า “มันเกิดจาการที่เราไปเห็นป้ายปิดของละครเรื่องนึง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับหมอนี่แหละที่พูดว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าอยู่เวรติดกันหลายวัน จุดนั้นเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อย

คือมันขัดกับความเป็นจริงหลายอย่างมาก เพราะไม่มีหมอคนไหนที่อยากที่จะอยู่เวรติดกันหลายวัน หนึ่งเลยคือด้วยตัวของเราเองไม่สามารถที่จะ Active ในการใช้ชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานเต็มที่ 8 ชั่วโมงคนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตร่วมกับการตัดสินใจที่เครียด กดดัน กับการที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับชีวิตคน 8 ชั่วโมงเนี่ยถือว่าเยอะมากแล้วพี่ ถ้าเกิดว่าเราลืมตาใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหลือเราคงน็อค

ความเป็นจริงเราเลยไม่มีใครอยากที่จะทำงานฝืนขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ ความเป็นตัวเอง คือเข้าใจเจตนาเขาคงต้องการจะสื่อว่า ความเป็นจริงมีหมอที่จะอยู่เวรติดกันหลายวันนะ เพราะปริมาณหมอไม่พอ แต่ว่าป้ายปิดอาจจะทำให้คนเข้าใจว่าหมออยากที่จะอยู่เวรหลายวัน เพราะว่าอยากได้เงินรึเปล่า อยากนั่นนี่รึเปล่า เลยต้องออกมาพูดนิดนึง

การรีแอคนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย เมื่อก่อนก็ทำเกี่ยวกับรีแอคเล่น ๆ กับเพื่อน เกี่ยวกับละครเก่า ๆ ที่เราโตมาด้วยกับมันอยู่แล้ว มันเลยอินกับสิ่งที่รีแอค และตัดสินใจทำรีแอคซีรีส์ในวันนั้น”

 

เลือกเรียนหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคนไข้

ย้อนกลับไป เอิร์ธ เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ และเคยทำงานเป็นหมอมาก่อน ซึ่งเอิร์ธ ได้เล่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ ให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้เป็นคุณหมอ จนถึงต้นเดือนมกราปีนี้ (พ.ศ. 2566) เป็นหมออยู่สองปีกว่าเกือบสามปีครับ ก็ต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้เป็นหมอมันลำบาก มันเป็นยาก แล้วก็ด้วยบริบทของสังคมเองด้วย ภาระงานด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานด้วย ไม่ได้เอื้อให้เราอยากที่จะเป็นหมอในระบบ จริง ๆ แล้วเราชอบอาชีพหมอมาก ๆ เลย

ต้องย้อนกลับไปก่อน 10 ปีที่แล้ว อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เด็กเก่งต้องเรียน เป็นค่านิยม เพื่อน ๆ ในห้องก็พูด เธอเรียนเก่งเธอไปเป็นหมอสิ ใครเรียนหมอโรงเรียนก็จะขึ้นป้ายให้ ได้รับความนิยมชมชอบได้รับการยอมรับจากสังคมก็เลยสอบกับเขา

การเรียนหมอ 6 ปี จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนะครับ ตอนนั้นรู้สึกกลาง ๆ แต่ที่คณะเขาจะปลูกฝังให้เรามีความชอบความรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ตอนปี 1 เลย ซึ่งเอิร์ธเพิ่งรู้สึกอิน รู้สึกชอบตอนประมาณปี 5 หรือ ปี 6 ที่ได้มาดูแลคนไข้จริง ๆ สภาพแวดล้อมจะปลูกฝังให้เรารักในอาชีพนี้เอง เราก็เลยรู้สึกภูมิใจกับอาชีพ พอเรียนจบต้องไปใช้ทุนก่อน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้ทุน เพราะว่าหมอขาดแคลน เลยมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก็คือหมอต้องไปอยู่ในชุมชนที่ตัวเองเกิดมา ตอนนั้นจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด และพอจบมาแล้วไม่ได้อยู่ในโควตา ก็ต้องจับฉลากไปลงว่าจะไปลงที่ไหน

ในการเรียนต้องใช้คำว่าเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ ๆ พอเราเรียนไป เชื่อว่าสุดท้าย ปี 3 ปี 4 การตัดสินใจมันยาก เราก็เลยเปิดใจยอมรับแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าทางเลือกของเราไม่ได้มีเยอะ ก็เปิดใจเปิดรับแล้วก็ชอบ จริง ๆ แล้วก็ชอบอาชีพหมอเหมือนกัน จะตอบให้โลกสวยก็ได้ เพราะว่าได้ช่วยเหลือคนไข้ และภูมิใจเวลาเห็นคนไข้อาการดีขึ้น คือถ้าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เราจะรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าถึงการรักษาได้ยาก

เอิร์ธเรียนจบรุ่นโควิดพอดี จบมาก็เจอโควิดเลย อินเทิร์นหนึ่งยังไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัดมีคนดูแล พอช่วงระลอกสองช่วงที่มันพีคเนี่ย ต้องไปอยู่ในชุมชนที่อยู่หน้างานดูแลเลย ไม่มีอายุรแพทย์ อยู่ที่นู่นคนไข้เยอะมากนะครับ โดยเฉพาะคนไข้โควิดวันละสองสามร้อยคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือว่าโรงพยาบาลสนามอีก มันต้องดูหมด ทั้งที่อาการหนัก และก็ไม่หนัก เพราะว่าอุปกรณ์เราก็ไม่พร้อม บุคลากรเราก็ไม่พอ เรื่องการส่งต่อคนไข้ก็ยาก ตอนนั้นเห็นปัญหาหลายอย่างจริง ๆ ทั้งโครงสร้างทางสังคมแล้วก็คนไข้หนักโควิด ก็ต้องสู้สุดชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน มีทั้งแบบได้ไปต่อ แล้วก็มีทั้งยอมที่จะไม่ได้ไปต่อเพราะว่าการส่งต่อก็ลำบากโรงพยาบาลจังหวัดเองก็ไม่มีที่ให้อยู่”

 

 

เหตุผลที่ไม่ก้าวต่อกับอาชีพหมอ

เมื่อเรียนจบ เอิร์ธ ได้ทำอาชีพหมออยู่เกือบ 3 ปี และตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ โดยได้เล่าเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “อย่างที่บอกไปว่าหมอในทุกวันนี้มันยากนะ ทั้งเรื่องของภาระงานเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คนไข้เยอะกว่า ความซับซ้อนเยอะกว่า และการฟ้องร้องก็เยอะกว่า แล้วก็ด้วยความที่คนไข้เยอะขึ้นภาระงานก็เยอะขึ้น แล้วค่าตอบแทนก็น้อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อที่ทำให้เราอยากเป็นหมอเยอะขึ้น

จริง ๆ เสียดายนะ แต่ว่าความชอบความรักมันไม่พอ ก็เหมือนเรารักในวิชา แต่เหมือนเรารักเขาข้างเดียว เหมือนเราทำงานอย่างเดียวแต่สิ่งที่ตอบแทนมาคือเขาไม่ได้เห็นเราเป็นคนรัก เขาไม่ได้ตอบแทนเราเหมือนเราเป็นคนรักของเขา

ด่านแรกเลยที่จะออกจากราชการ ต้องเรียกว่าของทุกคนแหละไม่ใช่กับเราอย่างเดียว ที่มักจะเจอคำถามว่า พ่อแม่มีสิทธิ์ข้าราชการรึเปล่า แล้วก็อาชีพหมอเนี่ยไม่เสียดายเหรอ พ่อกับแม่จะว่ายังไง สำหรับเราโชคดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา คือที่ตัดสินใจลาออกเนี่ยคิดหลายอย่างนะครับ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเราลาออกเลย มันผ่านการต่อสู้ด้วย ผ่านการพูดคุยกับทั้งผู้บริหารเอง เรื่องขององค์กรเอง เราไปมาหมด แล้วไม่มีคำตอบที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เราก็เลยเดินออกมา ถามว่าหมอคนหนึ่งทำงาน 24 ชั่วโมงไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมวันต่อมาไม่หยุดล่ะ ต้องบอกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะว่าโรงพยาบาลก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดคือไม่มีคนอยู่โรงพยาบาล แล้วก็ด้วยสังคมเรา เราอยู่กันแบบ seniority อะครับ เรามีชนชั้นของหมออยู่ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ Comfort กับการอยู่ในองค์กร แล้วก็เคย feedback ไปแล้วมันไม่ได้รับสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยเดินออกมา”

 

สิ่งที่เอิร์ธอยากเห็น ในแวดวงของการแพทย์

มีหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่อยากเห็นในแวดวงของการแพทย์คืออะไร? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “เราอยากเห็นสังคม หรือหัวหน้างานมองเราเป็นคนที่ทำงาน เราอยากเห็นสังคมการทำงานที่มองเราเป็นมนุษย์ คือมนุษย์เราทำงาน อาจจะต้องทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ซึ่งต้องอยู่ในระยะเวลางานที่เหมาะสม แล้วก็คนเรามันต้องกินต้องใช้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ในวงการหมอเอง ก็มองเราไม่เท่ากัน อย่างเช่นฉันเป็นหมอไปเรียนต่อเป็นเฉพาะทางแล้วฉันก็จะอยู่สูงกว่า อยู่สูงกว่าเธอ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นด้วยสังคมของเรา

แต่ถ้าใครรัก ถ้าใครชอบ แล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใน Work Life Balance ที่ดี อาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีเลยครับ”

 

 

มุมมองของการเป็น LGBTQ+ กับอาชีพหมอ

มีอีกหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ เป็นหนึ่งปัญหาของการเป็นหมอไหม? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “จริง ๆ ไม่เป็นปัญหาเลย LGBTQ+ เนี่ยอยู่ได้ เรียกว่าหมอเป็นอาชีพที่ privileges อย่างหนึ่งที่คนให้การยอมรับ ก็ต้องขอบคุณสังคมที่ยอมรับในอาชีพ เดี๋ยวนี้หมอผู้หญิง, ผู้ชาย หรือว่า LGBTQ+ เนี่ยถือว่าเท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดคนไข้ให้เกียรติมาก เรียกคุณหมอได้เลย

คำว่า LGBTQ+ เมื่อก่อนสมัยที่เอิร์ธเรียน หลักสูตรเอิร์ธนะ LGBTQ+ คือความผิดปกติทางเพศเป็น Gender Identity Disorder เป็นโรค แต่ว่าเดี๋ยวนี้ WHO หรือว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการศึกษาที่เยอะขึ้น LGBTQ+ เขาให้คำนิยามว่าคือ ความหลากหลาย เป็นเหมือนความแตกต่างที่สมองเราโปรแกรมมา เหมือนเรามีนิ้วยาวกว่าคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์นิยาม LGBTQ+ ในปัจจุบัน มันไม่ใช่โรค แต่มันคือความแตกต่าง ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่าเราคือความแตกต่างซึ่งดีมาก ๆ เลย

อีกอย่างหนึ่งเรื่องการยอมรับของ LGBTQ+ เด็ก ๆ เราจะรู้ว่าเราเป็นเพศอะไร รู้จักเรื่องเพศตอนประมาณ 3 ถึง 5 ขวบ แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสดงเรื่องของเพศสภาพการแสดงออกของเรา ก็ตอนเราเข้าสู่วัยรุ่น เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ไม่เกี่ยวกับว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่าขาดความอบอุ่นหรือเปล่าลูกถึงเป็น อันนี้ไม่ใช่ มันคือโปรแกรมในสมองเรา มันกำหนดมาแล้วว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ จริงๆ เขาไม่รู้จะแสดงออกยังไงมากกว่า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วแหละ orientation เขาคืออะไร แต่ด้วยสังคมบางอย่างทำให้เราไม่สามารถแสดงออกสิ่ง ๆ นี้ได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ LGBTQ+ อยู่ในสังคมได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายครับ ก็คิดว่าปีนี้จะได้เห็นสมรสเท่าเทียม เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ LGBTQ+ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมยอมรับเราแน่ ๆ เลยก็คือกฎหมาย ถ้ากฎหมายยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เท่ากัน LGBTQ+ ก็จะเท่ากันในประเทศไทย”

 

 

ดารา พิธีกร อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเอิร์ธ

อีกหนึ่งความฝันที่เป็นแพชชั่นในการทำคลิปรีแอคสุดปังของเอิร์ธ คือการเป็น ดารา พิธีกร โดยเอิร์ธ ได้แบ่งปันแรงบันดาลใจเรื่องนี้ว่า “วันนี้เอิร์ธเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เป็นดาราด้วย ซึ่งก็พูดไม่เกินไปเพราะว่าเดี๋ยวจะลงจอแก้ว มันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กของ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ซึ่งก็ก็ต้องบอกเลยว่าเริ่มจากการรีแอ็คซีรีส์เรื่องนั้นแหละ ก็คือแจ้งเกิดเลย

วงการบันเทิงเป็นวงการที่สนุก และสามารถเป็นกระบอกเสียงให้อะไรกับสังคมได้เยอะ ถ้าเรามีแพชชั่น อย่างที่เห็นในรีแอ็คก็พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องของการแพทย์บ้าง แล้วก็เรื่องของการขับเคลื่อนสังคมบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด เรื่องของการให้ข้อมูลความรู้กับสังคมที่มันยังขาดหายไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นพื้นฐานหมดเลยครับ

เรื่องข้อมูลทางการแพทย์เนี่ย ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทำมาเป็นสื่อ ก็ควรที่จะถูกต้อง 100% เลย เพราะว่าเราเป็นสื่อที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม อย่างอื่นสามารถตัดแต่งเติมสีได้เพราะหมอก็เป็นคนปกติทั่วไป

หลังจากที่รีแอ็คออกไปก็มีติดต่อมาเยอะ มีทางรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ชื่อดังติดต่อให้ไปออกรายการ ก็ไปร่วมพูดคุยกับเขาว่ามันเป็นยังไง สามารถพัฒนาแนวทางของซีรีส์ได้ไหมแล้วก็อนาคตจะปรับปรุงยังไง คือเขารับฟังความคิดเห็น เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทยสำหรับเรื่องแบบนี้”

 

มุมมองความแตกต่างของซีรี่ส์ไทย และ ต่างประเทศ

จากที่ได้ทำคลิปรีแอคชั่นชีรีส์มาเยอะ และได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานผู้ผลิตซีรีส์มาหลายครั้ง ทำให้ เอิร์ธ ได้เห็นความแตกต่างของการทำซีรีส์ระหว่างของไทยกับต่างประเทศ โดยเอิร์ธ ได้แชร์ให้ฟังว่า “สำหรับซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับหมอที่เอิร์ธเคยรีแอคก็มี Hospital Playlist กับ Doctor Cha ต้องบอกว่าหมอส่วนใหญ่ที่อยู่ในเฉพาะทางนั้น ๆ เขาแคสเหมือนนะ คาแรคเตอร์เขาตรงกับอาชีพ ตรงกับเฉพาะทางเลย เขา research มาอย่างดี ว่าหมอที่เรียนเฉพาะทางอันนี้ หมอนิวโรศัลย์จะต้องมีลักษณะยังไง การพูดจายังไง แล้วก็หมอศัลยกรรมทรวงอกลักษณะการพูดเป็นยังไง การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะบอกได้เพราะว่าไลฟ์สไตล์มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ซึ่งเนื้อหาเขาย่อยมาดีมาก การทำซีรี่ส์หมอส่วนใหญ่ก็คืออาจจะชี้ให้เห็นว่า วงการสาธารณสุขเรามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง แล้วก็อยากที่จะสนับสนุนอะไรผ่านสื่อ เพราะว่าเป็นหลายอย่างที่ส่วนกลางไม่สามารถให้เราได้ มันสร้างแรงบันดาลใจมาก

ส่วนในไทย หลังจากที่ไปคุยกับคนเขียนบทต่าง ๆ มา พบว่าเวลาเค้าน้อยมากในการ research ครับ ด้วยเวลาเขาน้อยมันก็จะยากหน่อย แล้วก็มันก็จะมีคนเขียนที่เป็นหมอด้วยนะมาเขียนซีรี่ส์ก็จะมีความแบบสมจริงขึ้นมาหน่อย แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมันต้องผ่านหลายกลไกที่ทำให้ละครสนุก ซึ่งต้องปรับเป็นบทละครอีกบทมันก็จะแปลกบ้าง”

 

 

ท้องไม่พร้อม อีกหนึ่งปัญหาที่เอิร์ธฐา อยากเป็นกระบอกเสียง

มีหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เอิร์ธ ได้ให้ความสำคัญ และพยายามเป็นกระบอกเสียงเกี่ยวกับเรื่องของเคส teenage pregnancy หรือการตั้งท้องไม่พร้อมในเยาวชน โดยเอิรธ์ ได้แชร์มุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เราสนับสนุนในสิทธิขั้นพื้นฐานของคน เราเห็นเรื่องนี้เป็น Pain Point ของสังคมไทยมานานเพราะเราอยู่ในวงการ เราเห็นการท้องไม่พร้อมเยอะมาก แล้วก็ท้องไม่พร้อมถึงขนาดกำลังจะคลอด วันนั้นคือวันที่เขาท้องไม่พร้อมแล้วเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอว่าเขาจะสามารถจะจัดการท้องที่ไม่พร้อมยังไง มีคุณแม่วัยใสเยอะมากที่โรงพยาบาลชุมชน เดินมาสมมติมีร้อยคน ห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าเรามีกฎหมายเรื่องของการทำแท้งแล้ว ก็คือผู้หญิงทุกคนที่ท้องไม่พร้อม สามารถเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล โดยกระบวนการคือต้องผ่านการพูดคุยกับหมอหลายขั้นตอนครับ เอิร์ธมองว่าอาจจะเป็นสิทธิของผู้หญิงคนหนึ่ง หากอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม แล้วเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลท้องนี้ให้ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในสังคมแล้ว เราสามารถเข้ามารับการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยครับ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ

เราอยากสนับสนุนให้เรื่องการป้องกันเป็นที่พูดถึงกันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงกันเลย ยิ่งการคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้สำหรับเยาวชนเนี่ยฟรี ยาคุมกำเนิด หรือง่าย ๆ เลย ถุงยางอนามัยป้องกันได้ที่สุด แล้วไม่ใช่กันท้องแต่กันโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ด้วย  อันที่สองสำหรับผู้หญิงก็จะมีการฝังยาคุม ฝังครั้งนึงอยู่ได้ 3 - 5 ปี แล้วก็ยาคุมฉุกเฉิน คือหลังจากที่เราไปประกอบกิจกรรมไปพลาดอะไรมา ร้านยาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเข้าไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเนอะ ก็เป็นอุปสรรคนึงที่ทำให้เราเข้าถึงยาคุมฉุกเฉินยาก แต่เราต้องกล้า ดังนั้นด่านแรกที่เราต้องไปเจอก็คือเป็นคุณเภสัชกรที่ร้านขายยา ภายใน 48 – 72 ชั่วโมงแรกจะได้ผลดีที่สุดในการกินยาคุมฉุกเฉินจะช่วยคุมกำเนิด

เดี๋ยวนี้มันต้องพูดกันได้แล้วว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องให้ความรู้กับเยาวชนที่ถูกต้องเพราะเขาก็ไม่ได้รับความข้อมูลได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราก็มีหน้าที่ให้ความรู้แล้วก็ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สถาบันแรกเลยคือครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ยังขาดการให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง”

 

 

ห้องฉุกเฉิน ที่อยากให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับสิทธิ์ก่อน

มีอีกหนึ่ง Pain point ที่เอิ์รธเคยเจอเมื่อตอนที่ยังเป็นหมอ ก็คือเรื่องของ ห้องฉุกเฉิน โดยเอิร์ธ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็น Pain point อีกเรื่องคือเรื่องห้องฉุกเฉินกับหมอ เพราะว่าห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนอกเวลาราชการ ซึ่งก็จะมีคนไข้หลายรูปแบบมาเลย ถ้าฉุกเฉินจริงก็โอเคไม่เป็นไรเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ส่วนใหญ่มันเป็นในเรื่องของการที่ไม่ฉุกเฉิน หมายถึงว่า คนไข้เป็นไข้มาแล้ววันหนึ่งอยากมาหาหมอจังเลยตอน 2-3 ทุ่ม อะไรแบบนี้ครับ 
ซึ่งในช่วงนอกเวลาราชการจะมีแต่ห้องฉุกเฉินอย่างเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็จะมีหมอแค่คนเดียวที่ดูแลทั้งหมด ซึ่งหมอก็น้อยอยู่แล้ว บุคลากรทางการแพทย์อย่างอื่นก็น้อยด้วย พยาบาลก็ไม่พอ แล้วเทคนิคการแพทย์ หรือว่าเภสัชกรก็ไม่พอด้วย เขาก็จะรับไม่ไหว

อยากให้คนไทยรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเบื้องต้นก่อนครับ เช่นเรื่องของไข้เนี่ยมันก็ไม่ได้มีสอนในสุขศึกษาว่า ไข้มันคืออะไร ไข้มันมาจากไหน ส่วนใหญ่มันเกิดจากไวรัสเกิดจากหวัดหรือเปล่า แล้วการดูแลตัวเองเบื้องต้นยังไง สามารถซื้อยากินเองได้มั้ย สามารถมาเจอหมอในวันถัดไปได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นไข้ เป็นหวัด มาหาหมอหรือไปร้านยา ก็ได้ยาเหมือนกัน

จริง ๆ โครงการ 30 บาทดีมั้ย มันดีนะครับเพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะเข้ามาโรงพยาบาลมาได้ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็เป็น Pain point อย่างนึงเหมือนกัน เพราะเหมือนโยนภาระทุกอย่างเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหมดเลย ไม่ว่าคนจะเป็นยังไงก็มาโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เหมือนเป็นการผลักภาระเข้ามาที่บุคลากรการแพทย์ ซึ่งมันต้องแก้ที่อะไรหลายๆ อย่างระบบการศึกษาด้วย แล้วก็ให้ความรู้ทั่วไปกับประชากรและสังคมด้วย” - เอิร์ธ อติรุจ

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related ENTERTAINMENT NEWS

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

23 ธ.ค. 2024

เปิดสีสันชีวิต รับข้อคิดบนความภูมิใจ ของ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูอินดี้ พร้อมเช็คดวงท้ายปีด้วยไพ่ออราเคิล

“ดวงชะตามันเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ สำหรับวั้งมองว่า การดูดวงมันคือการให้คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วตัวเราเองเป็นคนเลือก เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอวั้ง วรางคณา” หมอดูชื่อดัง ในเรื่องการดูดวงด้วยไพ่ออราเคิล ที่คนในวงการบันเทิงต่อคิวดูดวงกันมากมาย จากไสตล์การดูดวงที่เป็นกันเองมาก ๆ จนเกิดเป็นฉายา หมอดูอินดี้ ซึ่งกว่าจะมาเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงในวันนี้ ชีวิตของเขาเริ่มจากความไม่เชื่อมาก่อน และชีวิตของเขาต้องผ่านบททดสอบมามากมาย และนอกจากการเป็นหมอดู เขายังมีอีกหลายบทบาท เช่น การถ่ายภาพ และการเป็นครีเอเตอร์ด้วย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการไพ่ออราเคิล คืออะไร? ใช้ทำนายอย่างไร?“ไพ่ออราเคิล คือ ไพ่ที่เป็นรูปภาพ ซึ่งถูกเรียกว่า ไพ่ภาพพยากรณ์ ซึ่งสิ่งที่วั้งชอบในการใช้ไพ่นี้คือ มันเป็นการใช้โดยที่ไม่มีขีดจำกัดในการพยากรณ์ แล้วก็จริง ๆ แล้วในการดูดวงด้วยไพ่ ถ้าพูดแบบตรง ๆ เลย มันคือการเสี่ยงทาย เหมือนบางครั้งที่เราต้องการความมั่นใจสักอย่าง แล้วเราโยนเหรียญ เพื่อดูว่าออกหัวหรือก้อย มันเหมือนกันเลย แต่ว่าข้อดีของไพ่ คือมันมีความเป็น Storytelling คือมันต้องเล่าเรื่องราวได้ ในสิ่งที่เราถามแล้ววั้ง เป็นคนที่เชื่อเรื่องที่ว่าไม่มีอะไรบังเอิญ สมมติมาดูดวง เราบอกว่าสับไพ่ให้วั้งหน่อยค่ะ 9 ครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความจดจ่อ เพื่อให้คนเกิดสมาธิ แล้วพอสับไพ่เสร็จ วั้งก็จะหยิบไพ่โดยเรียงตามลำดับที่ได้สับไว้แล้วเท่านั้น จะไม่สุ่มไพ่ จะไม่กรีดไพ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นสถิติ หรือมันจะเป็นความไม่บังเอิญก็ไม่รู้ ที่เวลาที่เค้าถามในเรื่องราวนั้น ภาพของไพ่ก็จะเป็นสตอรี่ในเรื่องนั้น ๆ เช่นกันซึ่งคนที่ทำไพ่ออราเคิลนี้ ชื่ออาจารย์สมบูรณ์สุข ท่านเป็นช่างศิลป์ แล้วก็เรียนโหราศาสตร์ จากนั้นก็มาวาดทำไพ่นี้ขึ้น ตอนนี้น่าจะทำไพ่ประมาณ 3-4 ชุด แต่ชุดที่วั้งใช้ เป็นชุดที่สองของเค้า ที่เลือกใช้ชุดนี้เพราะว่า ในไพ่ชุดนี้ มีไพ่ที่มีวั้งเป็นต้นแบบ คือเค้าถ่ายรูปเรา แล้ววาดออกมาเป็นไพ่นั่นเองค่ะ”เปิดไพ่ทำนายดวง 2568 ปีนักษัตรไหนปัง ปีไหนต้องระวัง!“คนเกิดปีชวด ปีหน้าคนปีชวดมีโอกาสที่จะได้เริ่มอะไรใหม่ ๆ เหมาะกับช่วงของการที่จะต้องเริ่มต้นจริงจัง ต้องลงมือทุ่มเทตั้งใจ แล้วประคับประคองทุกสิ่งอย่างให้มันดี ให้มันผ่านพ้นไปได้แล้วจะเป็นปีที่ดีของคุณเลยคนเกิดปีฉลู ปีหน้าเป็นช่วงที่จะมีความโดดเด่นในเรื่องของการเดินทาง การสัญจร ทุกการเดินทางมีความสุขมากขึ้น เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายให้กับตัวเองมากขึ้น เป็นการเดินทางกับกลุ่มคนสนิทรักใคร่ คนคุ้นเคย คนใกล้ตัว ถ้าเป็นเรื่องงาน ก็จะเป็นคนที่ต้องทำงานที่มีการเดินทางไปโน่นมานี่ ติดต่อประสานงาน มันต้องมีการไป Walk-in บ้าง ไม่ใช่แค่อินเตอร์เน็ต หรือทางออนไลน์อย่างเดียว เราจะทำให้มันเป็นเชิงรุกมากขึ้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิถี สำหรับคนปีฉลูคนเกิดปีขาล ปีหน้าถือว่าเป็นปีแห่งชัยชนะ ปีแห่งความสำเร็จ เพราะฉะนั้นคนปีขาล ถ้าเกิดว่าในปี 2567 มันโหดร้ายกับคุณ ในปี 2568 มันเป็นปีที่คุณจะทำสำเร็จ มันเป็นปีที่คุณรู้สึกว่าได้รางวัลจากสิ่งที่คุณทุ่มเทตั้งใจ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อ รางวัลรออยู่ รางวัลแห่งชีวิต รางวัลแห่งผลงาน หรือแม้กระทั่งความชื่นชมจากคนรอบตัวของคุณ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ดีของคนปีขาลเช่นกันคนเกิดปีเถาะ ปีหน้าเป็นปีแห่งการต้องเรียนรู้วิธีการ ฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น สิ่งไหนที่เราคิดว่าเรายังทำไม่ดี เรายังทำไม่ได้ การฝึกฝนจะไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราพยายามทำมันอย่างสม่ำเสมอจนกว่าเราจะบอกได้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะ ในปีหน้ามันอาจจะมีเรื่องให้คุณมีความรู้สึกท้อบ้างในบางช่วงของปี แต่อย่างที่บอกไปว่า การเรียนมากมันไม่สู้การเรียนรู้นะ คือเรียนมามาก แต่ถ้าไม่เคยเรียนรู้ คือเรียนแล้วไม่ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนปีเถาะเรียนรู้เท่านั้นที่จะช่วยทำให้คุณเติบโตและก้าวหน้าได้คนเกิดปีมะโรง ในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่มีจุดเลือก มีทางเลือกให้เราต้องตัดสินใจค่อนข้างเยอะ ซึ่งทุกการตัดสินใจของคนปีมะโรง มีผลในระยะยาว 1-2 ปีจากนี้ ถ้าคุณใช้เหตุและผล ใช้สติ แล้วก็ใช้ความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มันจะทำให้การตัดสินใจของคุณเกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด และจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนปีมะโรงตลอดทั้งปีเลยคนเกิดปีมะเส็ง ปีหน้าเป็นปีชงด้วยนะ ซึ่งในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่อาจจะทำให้คุณเจอปัญหาหรือความรู้สึกที่ทำให้หมดไฟได้ มีความขี้เกียจ มีความรู้สึกเหนื่อยหน่าย เบื่อ เซ็ง ไม่มีแพชชั่น ไม่มีการผลักดันให้ตัวเองอยากจะทำ อยากจะสู้ อยากจะลุยต่อ แต่ไพ่บอกว่า คุณเหนื่อยนะ แต่มันคือการพักผ่อน เพราะฉะนั้นคนปีมะเส็งพักได้แต่อย่านาน เพราะเวลามันเดินเร็วมาก คนปีมะเส็ง ปีหน้าเหนื่อยได้ท้อได้ไม่ว่ากัน แต่ขออย่างเดียว อย่าทิ้งโอกาส อย่ารอเวลา ลุกขึ้นได้เมื่อไหร่ ทำให้สำเร็จเร็วได้มากเท่านั้นคนเกิดปีมะเมีย ในปีหน้าเป็นช่วงปีที่คุณอาจจะเจอเรื่องราวดราม่าจากคนอื่น ๆ รอบตัวได้ง่าย เช่นถูกจับตามองเป็นพิเศษ ถูกติฉินนินทา กล่าวร้ายให้โทษ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เรากีดกั้นคนอื่นให้คิดหรือพูดถึงเราไม่ได้ แต่ให้รู้ไว้เลยว่าในปีหน้า คุณควรที่จะต้องสตรองมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเจออะไร ให้นึกเอาไว้เลยว่า สิ่งไหนสบายใจ ทำแล้วฮีลใจได้ ให้ทำสิ่งนั้น เจอเรื่องกระทบกระทั่งบ้าง เจอดราม่าบ้าง แล้วจะเจอบ่อยตลอดทั้งปีเลยสำหรับคนที่เกิดปีนี้ แต่ไม่ต้องไปสนใจ บางทีสิ่งเหล่านี้มันทำร้ายใจเราได้ แต่เราไม่ควรทำร้ายใจตัวเองคนเกิดปีมะแม ในปีหน้า ที่พึ่งทางใจของคุณที่ดีที่สุดก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เคารพ สิ่งไหนที่รู้สึกว่าคุณได้ทำดี คิดดี ปฏิบัติดี จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ กับคนปีมะแม เพราะฉะนั้นคนไหนที่รู้สึกว่า ปีที่ผ่านมาฉันมีเรื่องที่ฉันผิดพลาด ฉันมีการเกเร รีบ ๆ ปรับตัว เพราะดวงชะตาของคุณส่งผลกับการกระทำของคุณจากปี 2567 ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นในปี 2568 คนปีมะแม ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องก่อนถูกใจ แล้วชีวิตคุณราบรื่นตลอดปี 2568 แน่นอนคนเกิดปีวอก ในปี 2567 ที่ผ่านมา คุณจะเจอความชอกช้ำจิตใจ คุณจะเหน็ดเหนื่อย จะท้อแท้มาแค่ไหนก็ตาม ปี 2568 ถึงเวลาที่เป็นปีของคุณแล้ว มันเป็นปีของหัวใจนักสู้ ความโลดโผนในชีวิตที่บางทีก็ไม่ได้คิดไว้ว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรขนาดนี้ ปีหน้ามันกำลังจะดีขึ้น หัวใจของคุณมันกำลังจะแข็งแกร่ง ร่างกายซ่อมแซมมาแล้วอย่างดี มันแกร่งขึ้น มันดีขึ้น มันอดทนได้มากขึ้นและมันต้านทานต่ออุปสรรค และปัญหาชีวิตได้ดีกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดหวังไว้ มันมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ง่าย และมากขึ้นเช่นกันคนเกิดปีระกา ในปีหน้าสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคนปีระกาคือ ความว้าวุ่นเรื่องความรัก อย่างเดียวเลย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีอยู่แล้ว หรือความรักที่กำลังอยากจะมี อยากจะหามาใหม่ หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องเดียวที่รบกวนจิตใจ เพราะจริง ๆ แล้วคนปีระกา เป็นคนที่รักคนยากอยู่แล้วโดยพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเวลาที่เค้าจะต้องรักใคร มันหมายถึงการทุ่มไปทั้งตัวเลย แต่นอกนั้น ในปีหน้าอะไรก็ตามที่มีการเรียนเพิ่ม เรียนมาเพื่อเสริมอาชีพ หรือมีรายได้เสริม ลุยเลย คนปีระกาเงินรออยู่ จากการเรียนรู้ของคุณคนเกิดปีจอ ปีหน้าต้องระวังมากที่สุดในเรื่องของสุขภาพ บางครั้งการไม่ตรวจ ก็คือไม่รู้ แต่ฝากย้ำไว้เลยว่า สำหรับในช่วงของปีหน้า สิ่งที่คนปีจอต้องให้ความสำคัญคือเรื่องสุขภาพร่างกายตัวเอง และมันเป็นช่วงปีที่อาจจะเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยนตัวตนไป ซึ่งมันจะส่งผลในด้านบวก มากกว่าในด้านลบ และสิ่งที่คุณคาดหวัง มันจะสำเร็จได้ ถ้าคุณกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงคนเกิดปีกุน ไพ่อาจจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะว่ามันหมายถึง คนปีกุน อาจจะต้องเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจ ปัญหาสุขภาพ เจอเรื่องที่ทำให้เสียอกเสียใจ เพราะปีหน้า ปีกุน ชงเต็ม แต่ใจเย็น ๆ คุณอาจจะเสพคอนเทนต์มากเกินไป ว่าฉันชง 100% แล้วจะเจอแต่เรื่องไม่ดี จะบอกให้เลยว่า ส่วนตัววั้ง เรื่องเปอร์เซ็นต์ของปีชงไม่มีผลเลย จากการพิสูจน์มาแล้วทั้งชีวิต ดวงมันมาจากการกระทำของเราล้วน ๆ บางคนบอกว่าชง 100% ไม่ดี แต่ปีนั้นชีวิตวั้งดีมากเลยนะ เพราะฉะนั้น คนปีกุนอาจจะให้ระวังหน่อย ถ้าคุณรู้สึกว่ามันกังวลมาก ไม่สบายใจ อยากไปทำบุญ อยากไปทำทาน อยากจะเข้าวัด เข้าศาลเจ้า อยากไปช่วยเหลือบริจาคอะไร ทำเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าฉันได้ทำสิ่งดี ๆ แล้ว สิ่งดี ๆ จะเกิดกับฉัน แต่ว่าเรื่องสุขภาพอันนี้ย้ำเลย เรื่องของความเสียอกเสียใจ ความแตกสลายทางความรู้สึก ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรีบรักษามันให้เร็ว แค่นั้นเองส่วนไพ่ของปีหน้า 2568 ทำนายว่า ปีหน้าผู้หญิงมีอำนาจเยอะ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงอาจจะมีการลุกขึ้นมามีความเป็นผู้นำมากกว่าคุณผู้ชาย หรือเป็นเพศที่หาเงินได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นผู้หญิงอย่านิ่งดูดาย ถึงแม้เราจะเป็นมนุษย์แม่ ดูแลลูกอยู่บ้าน ทุกวันนี้มันมีอาชีพออนไลน์นะหลายคนมองข้าม แต่มันทำให้เรามีรายได้นะ แต่ถ้าเป็นภาพโดยรวม วั้งมองว่า ปีหน้าเราต้องจับตามองมาก ๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจบ้านเรา ว่ามันจะเติบโตได้จริงไหมต้องตีความว่าเป็นของช่วงระหว่างปี 2568 กับ 2569 สองปีนี้มันมีผลมาก ๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ การเงิน การค้าขาย ในบ้านเรา ที่มันพร้อมจะดีเลยก็ได้ แต่ในช่วงสั้น ๆ และเป็นช่วงที่สามารถจะพลิกให้แย่ลงไปเลยก็ได้ในช่วงสั้น ๆ เช่นกัน เพราะฉะนั้น การเงินในปีหน้า ควรวางแผนชีวิตให้ดี มันมีความไม่แน่นอนสูง เวลามันดีมันอาจจะเหมือนพลุมี่ขึ้นไปสวย แล้วร่วงมาเร็ว เพราะฉะนั้นก็ให้ระวังเรื่องการใช้จ่าย ไตร่ตรองให้รอบคอบ ปีหน้าทุกการใช้เงินมีผลกับคุณในระยะยาว”ทริคจัดบ้านรับปีใหม่ บ้านแบบไหนถึงจะปัง?“โล่ง โปร่ง สะอาด ไม่มีกลิ่น มันเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมาก ๆ คือสะอาดตา อยู่แล้วสบายใจ ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มันทำให้คุณไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และทำให้คุณ หรือคนอื่นที่แวะมาเยี่ยมเยียนก็จะรู้สึกดีกับบ้านหลังนี้ ยังไงก็เป็นบ้านที่รู้สึกว่า เราสามารถดูแลตรวจตรา การที่มันไม่รกไม่ร้าง มันทำให้เกิดการปลอดภัย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นฮวงจุ้ยดี ๆ ที่ทำให้บ้านเรามันคือเซฟโซน แล้วจากประสบการณ์ที่วั้งทำ วั้งรู้สึกว่า บ้านที่ดีมันต้องปลอดภัยถูกใจคนอยู่ ต้องมีระเบียบ ข้าวของวางเป็นที่ ไม่เกิดอุบัติเหตุ เตะ เกี่ยว เฉี่ยว ชน คนในบ้านไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่อยู่ได้ และคุณก็ไม่ควรเก็บของให้มันเน่าเสียคาตู้เย็น เพราะมันจะเหม็นอับ ถ้าอับก็ต้องเปิดหน้าต่าง ให้มันมีวินัยของคนในบ้านในการทำความสะอาด และใส่ใจบ้านด้วย ทุกอย่างมันจะต้องกลมกลืน นี่คือฮวงจุ้ยที่ดี และลงทุนน้อยที่สุด ไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะมาตั้ง มาจัด มาวาง มาทุบ เราเลือกไม่ได้ว่าจะต้องเป็นที่อยู่ที่ดี และดวงชะตามันบอกเป็นไกด์ไลน์ เป็นแนวทางได้ บางคนอาจจะบอกว่า การดูดวงคือแผนที่ สำหรับวั้ง เมื่อก่อนเคยเห็นด้วย แต่พอเราเติบโตขึ้น เราจะรู้ว่าการดูดวงมันไม่ใช่แผนที่ มันคือการที่คนมาช่วยเปรียบเทียบ แล้วให้คุณเป็นคนเลือก เราต้องเชื่อว่ามันมีหลายอย่างมากในชีวิตมนุษย์ที่มันเอาชนะโชคชะตาได้เสมอ”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู ของ หมอวั้ง วรางคณา“วั้งเริ่มดูดวงมาตั้งแต่ 9 ขวบ ตอนนั้นวั้งไปอยู่กับคุณพ่อที่อเมริกา ซึ่งคุณพ่อได้รับเชิญให้ไปเปิดสำนักสอนนั่งปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ที่อเมริกา แล้วคุณพ่อก็รักเรามาก เราเป็นลูกคนเดียวที่คุณพ่อเลี้ยง ไปไหนคุณพ่อก็หนีบไปด้วย พอไปอยู่ที่นั่นคุณพ่อก็จะรับแขก รับลูกศิษย์ ที่จะมาดูดวงบ้าง มานั่งสมาธิบ้าง แล้วอยู่ ๆ ก็มีอยู่เคสหนึ่ง ที่เค้าอยากจะขายที่ดิน แล้วคุณพ่อก็บอกว่าลองตอบให้พี่เค้าหน่อยสิว่าพี่เค้าจะขายที่ดินผืนนี้ได้ไหม จากเซ้นส์ของวั้ง คือมนุษย์เรามันมีเซ้นส์ทุกคนอยู่แล้ว แต่เราฝึกใช้มันได้ไม่เท่ากัน แล้ววิธีที่จะฝึกใช้เซ้นส์ ก็คือการคาดเดา แล้วตอนนั้นเรารู้สึกว่าที่ดินขายได้ แต่ว่ามันจะช้าหน่อย แต่มันจะขายได้แน่ ๆ แล้วภายใน 3 อาทิตย์ อยู่ ๆ เค้าก็ขายที่ดินตรงนั้นได้จริง ๆ วั้งก็เลยได้ค่าดูหมอมา 1 ดอลล่าร์ ณ วันนั้น ก็ประมาณ 40 กว่าบาท ก็ถือว่าเยอะนะ นั่นคือจุดแรก แล้วก็ไม่เคยสนใจดูดวงเลย เพราะว่าวั้งไม่เคยภูมิใจในอาชีพพ่อมาตั้งแต่เด็กย้อนไป 40 กว่าปีที่แล้ว เมื่อเราต้องตอบใคร ๆ ที่โรงเรียน ว่าคุณพ่อทำอาชีพอะไรมันน่าอายมากนะ คือเราจะรู้สึกว่าเพื่อนในห้อง คุณพ่อจะเป็นทหาร คุณแม่เป็นพยาบาล เป็นตำรวจ แต่พอเป็นเรา ต้องบอกว่าคุณพ่อเป็นหมอดู คุณแม่เป็นนางพยาบาล ณ วันนั้นเรารับไม่ได้ เราไม่เคยภูมิใจเลยว่าฉันมีพ่อทำอาชีพหมอดูแต่เมื่อไม่นานมานี้ ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา วั้งมาค้นเจอจดหมายที่พ่อเค้าเขียนถึงเรา ซึ่งคุณพ่อวั้งเสียชีวิตเร็ว เสียตั้งแต่เราอายุ 11 แล้วคุณแม่ก็เสียตั้งแต่เราอายุ 13 เสียตามกัน 2 ปีเลย แต่ปรากฏว่าเค้าก็บันทึกหลายอย่างว่า พ่อไปแจ้งเกิดวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ ลูกเกิดวันนี้ เพราะลูกจะดวงดีกว่า ลูกยิงปืนลมครั้งแรกตอน 9 ขวบ แล้วนี่ก็คือเป้าที่ลูกยิงเอาไว้ คือคุณพ่อเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ ชอบเขียนบันทึก ชอบเก็บรูปถ่าย แล้ววั้งก็เพิ่งมาเมื่อ 2 ปีแล้วนี่เอง มันก็รู้สึกได้ว่าพ่อรักเรามาก จนวันพ่อที่ผ่าน วั้งอยากจะบอกให้รู้ว่า ภูมิใจมากที่มีพ่อเป็นหมอดู”จุดพลิกชีวิตของ หมอวั้ง วรางคณา“จุดลำบากของวั้งเลยคือ ช่วงอายุประมาณ 14 ด้วยความที่คุณพ่อเสียเร็ว คุณแม่ก็เสียเร็ว เพราะฉะนั้นชีวิตเราเติบโตมากับการต้องไปอยู่บ้านอาก่อน จากบ้านอาก็หนีออกจากบ้านเพราะเราจะไปหาคุณแม่ สุดท้ายก็ต้องมาอยู่บ้านพี่สาวคนละแม่ ช่วงที่มาอยู่ตรงนี้ ก็เหมือนพจมานเลย ทำทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เป็นงานคนใช้ วั้งทำหมด ดูแลทุกคนในบ้าน ทำทุกอย่าง จะไปเรียนหนังสือ ต้องตื่นตี 4 คือต้องทำงานบ้านก่อนทุกสิ่งอย่างถึงจะไปโรงเรียนโด้ ณ วันนั้นวั้งรู้สึกว่าโรงเรียนคือสวรรค์ บ้านมันคือนรก อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน แล้วเรารู้สึกว่าอุ่นใจ เราได้ไปโรงเรียน ได้ไปเจอเพื่อน แล้วก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่วั้งตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แล้วก็ไปอาศัยตามบ้านเพื่อน หาเงินกินข้าวโดยการไปนั่งดูดวงตรงใกล้ ๆ เสาชิงช้า คือตรงศาลพระวิษณุ อยู่ตรงเกาะกลางถนนหน้าโรงเรียน นั่นคือออฟฟิศแรกที่ไปนั่งดูดวงตอนนั้นวั้งไม่รู้สึกว่าทุกข์นะ เรารู้สึกว่าตัวเองมีอะไรให้ทำ และสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่เป็นอาชีพที่ฉันจะเลือก ฉันแค่ต้องการหาเงินโดยที่ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้เงินมา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปขโมยของ ดีกว่าไปหลอกเงิน การดูดวงมันเป็นความพึงพอใจที่เค้าจะให้เงินเรา บางคนเค้าให้เกินก็มี ถ้าถามว่าทุกข์ทรมานไหม เรามองว่า นี่ยังไม่ใช่จุดทุกข์ทรมาน เพราะจุดที่ทุกข์ทรมานจริง ๆ คือในวันที่เราพยายามทำหลาย ๆ อาชีพเหมือนคนอื่น ๆ เราก็อยากจะเหมือนคนอื่นที่เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงิน แต่เราเป็นคนเรียนหนังสือน้อย วั้งเรียนถึง ปวช. ปี 3 และก็เรียนออกแบบตกแต่งภายใน แต่ไม่ได้สอบไฟนอล แล้วต้องดร็อปเรียน แล้วเวลาที่เราจะต้องไปสมัครงาน มันจะต้องใช้วุฒิ วั้งได้แค่วุฒิ ม.3 ก็เอาไปสมัครงาน ซึ่งตามหลักมันหางานไม่ได้หรอก แต่เราก็ได้งานมาตลอดนะ”หมอวั้ง วรางคณา กับความสามารถ และบทบาทที่หลากหลาย“งานแรกเลยที่วั้งไปสมัครแล้วเค้ารับ คือนิตยสารปลื้ม ไปสมัครตำแหน่งตำแหน่งนักข่าว และวาดรูปล้อดารา เพราะเป็นนิตยสารภาพล้อการ์ตูนดารา เป็นเจ้าเดียวเลย เราก็ไปทำเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง ตอนนั้นเงินเดือนน่าจะ 4,000 บาท ก็ไปทำแบบงง ๆ ทำอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน ก็ได้ไปทำอยู่ที่ มีเดียออฟมีเดีย เป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง แล้วก็ไปเป็นตากล้อง ซึ่งเป็นตากล้องที่ถ่ายรูปไม่เป็น แต่ในยุคนั้นเวลาที่เราจะไปถ่ายภาพข่าว มันจะต้องใช้ฟิล์มสไลด์ ซึ่งมันถ่ายยากมาก เราก็ต้องไปฝึกเอา เราไม่เคยเรียน แล้วสมัยก่อนถ้าจะถ่ายลงนิตยสาร อาร์ทเวิร์คมันจะต้องเป็นฟิล์มสไลด์ ไม่ใช่ฟิล์มทั่วไปเหมือนที่เราใช้กล้องฟิล์มนะ ซึ่งมันยากก็ต้องไปฝึกเอาเองหลังจากนั้นเราก็อยากมีรายได้ ก็ทำหมดเลย ไปเรียนเสริมสวย เป็นช่างเสริมสวย ก่อนหน้านั้นก็มีไปรับจ้างร้านยาดอง อยู่ที่เชียงใหม่ ไปขายพวกไส้ย่าง ไปรับจ้างขนถังแก๊ส ขับรถขนผัก จากนครปฐมมาคลองขวาง อะไรก็ได้ที่ได้เงินเราทำหมดเลยส่วนสิ่งที่ชอบจริง ๆ คือ ชอบถ่ายรูป อาจจะเป็นเพราะว่าเราเห็นคนที่บ้านเรา คือคุณพ่อ เป็นคนชอบถ่ายรูป ที่บ้านเราก็จะมีรูปภาพที่คุณพ่อชอบถ่ายเอาไว้เยอะมาก แล้วมันทำให้เรารู้ว่าในวันที่มันมีภาพถ่าย มันทำให้เรามีความทรงจำ มันดีมากเลยนะ อาจจะไม่เหมือนยุคนี้ เรามีมือถือกดถ่ายได้เลย แต่ในยุคนั้นมันต้องตั้งใจ มันต้องเอาฟิล์มไปล้าง ไปอัดภาพออกมา เรารู้สึกว่าตัวเองชอบถ่ายภาพ ตอนที่เรียนปวช. วั้งอยากเรียนถ่ายภาพมากเลย แต่ไม่ได้เรียน วั้งเลือกเรียนคณะศิลปประยุกต์ เป็นศิลปกรรมออกแบบตกแต่งภายใน ก็ไปเรียนแบบไม่ได้อยากเรียน แต่ดันสอบผ่านเลยต้องไปเรียน ก็เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ เขียนแบบ ทำดิสเพลย์ ออกแบบผลิตภัณฑ์”หมอวั้ง กับการยอมรับตัวตน จากคนในครอบครัว“เรื่องการยอมรับตัวตน จะมีแค่ช่วงตอนอยู่กับพี่สาว ที่เค้าแบบรับได้ หรือรับไม่ได้ ตาวั้งเป็นคนที่บุคลิกชัดมากตั้งแต่ 5-6 ขวบ เพราะว่าเราโตมากับคุณพ่อ ก็เติบโตมาแบบลูกชายคนหนึ่ง แต่คุณแม่ทำงานโรงพยาบาล เค้าก็ไปเช้าเย็นกลับ ชีวิตและบุคลิกส่วนใหญ่เราก็ได้มาจากคุณพ่อทั้งหมด เช่น ไม่ค่อยอยากจะใส่เสื้อ ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว ใส่ผ้าโสร่ง จนทุกวันนี้วั้งก็เป็นคนชอบนุ่งโสร่งอยู่บ้าน ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ๆ ก็เลยเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว และติดนิสัยพูดเร็ว เพราะเราเป็นคนอ่านออกเสียงมาตลอด วั้งโชคดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยโดนบูลลี่ หรือโดนกดดันมาก ๆ จากครอบครัว อาจจะเป็นเพราะว่า เราหนีออกจากบ้าน เราก็เลยเหมือนคนที่มาเติบโตอยู่ข้างนอก ดังนั้นคนในครอบครัวไม่ค่อยมีผลกับตัวตนวั้งเลย ในตอนที่โตมาการที่เราเป็นทอมบอย มันมีปัญหาอยู่สองเรื่องที่ทุกวันนี้วั้งก็ยังเป็นอยู่ เรื่องแรกคือการเข้าห้องน้ำ แต่ความโชคดีคือ คนยุคก่อนกับคนยุคนี้ การใช้สายตาแบบไม่มีมารยาทมันลดลง สมัยก่อนสายตาไม่มีมารยาทมากนะ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราคือตัวประหลาด การที่เราไปเข้าห้องน้ำผู้หญิงแล้วคนหันมามอง หรือโดนแม่บ้านไล่ มันเหมือนเราเป็นตัวประหลาด จนบางทีถ้าทนไม่ไหว วั้งก็เดินออก แล้วเดินเข้าห้องน้ำผู้ชายเลย โชคดีที่ยุคนี้คนที่เค้าไม่มีมารยาททางสายตามันลดลงไปมาก อาจจะด้วยสังคมที่เข้าใจพวกเรามากขึ้น สังคมที่มันเปิดกว้างมากขึ้น คนเรามันควรจะมาดูกันในเรื่องของนิสัยใจคอ ความคิด การกระทำ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่เรื่องของบุคลิกทางเพศ กับอีกเรื่องที่วั้งมีปัญหา คือเรื่องของการใช้หางเสียง ไม่รู้จะใช้ครับ หรือค่ะ เพราะเราเคยโดนคอมเมนต์ว่าเป็นผู้หญิงอย่าพูดครับ แต่ก็ไม่ได้ให้ค่า ไม่สนใจ ถ้าคิดว่าตัวเองใจบางทนไม่ได้ ก็แค่ลบ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราตอบ เดี๋ยวเค้าก็อาจจะกลับมาอีก แล้วคนที่เจ็บช้ำใจไม่ใช่เค้า แต่เป็นเรา ก็เลยเลือกด่าในใจ บางทีวั้งก็แก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องใส่หางเสียง ซึ่งมันเป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน”เรื่องความรัก อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจ“สมมติว่าใครอยากจะมาดูดวงกับวั้งเรื่องความรัก ถ้าคุณมีแฟน แนะนำว่าให้มาทั้งคู่ แล้วดูไปพร้อม ๆ กัน อะไรดีไม่ดีจะได้ช่วยกัน วั้งไม่ชอบการดูดวงความรักที่แยกกันดู มันจะกลายเป็นว่าเราคือคนกลางที่ไปทำให้เค้าตีกัน หรือรักกันได้ และมันจะกลายเป็นรักกันเพราะหมอดูบอก เลิกกันเพราะหมอดูทัก เรื่องของความรัก เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ใช้ดวงในการตัดสิน มันเป็นเรื่องคนสองคน ความรักมันสวยงามได้ และมันก็คือทำลายเราได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องความรัก ไม่อยากให้ตัดสินด้วยดวง อยากให้ตัดสินด้วยหัวใจมากกว่าวั้งก็มีความรักที่ดี ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วค่ะที่คบกัน เราผ่านอะไรมาเยอะ เราหนักหนาสาหัสมาเยอะ จริง ๆ แล้ว ความรักแบบนี้มันค่อนข้างต้องเป็นรักที่สตรอง กว่ามันจะเป็นรักที่สังคมยอมรับ กว่ามันจะเปิดเผย มันก็ต้องมีอุปสรรค แต่ว่าโชคดีที่เราเป็นคนที่ไม่เคยจะต้องไปเจอความรักที่คู่เราจะต้องบอกไม่ได้ว่าเราคือทอม เพราะเราเป็นคนชัด จึงไม่ได้โดนปิดกั้นเรื่องผู้ใหญ่เวลาจะเข้าหาใครการดูแลความรัก อย่างแรกเลยคือ ความเข้าใจ ความรักเนี่ยนะ สมมติเราเจอคนสวย เก่ง รวย แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วท็อกซิก ก็ไม่ไหว วั้งจะบอกคนอื่นเสมอว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าคุณรักใครสักคน แล้วถ้าความสุขกับความทุกข์มันใกล้กันมาก แสดงว่ามันไม่สุข เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักมันสุข ความทุกข์มันต้องน้อยที่สุด”ดูดวงอย่างไรถึงจะมีประโยชน์กับชีวิต“ดูดวงแบบฟังหูไว้หู การดูดวงที่ดี ได้ประโยชน์จากการดูดวง แล้วไม่ทำให้ชีวิตคุณพัง หรือว่างมงายจนเกินไป คือฟังหมอดู แล้วคิดดูบนความเป็นจริงในสิ่งที่เราเจออยู่ แบบนี้คุณจะได้ประโยชน์จากหมอดู และการเลือกหมอดูที่คุณรู้สึกว่าถูกจริต อันนี้ก็สำคัญ คือบางครั้งถ้าหมอดูแนะนำให้คุณทำอะไรที่มันจะทำให้คุณคลายทุกข์ หรือสบายใจขึ้น แต่ถ้ามันจะต้องเสียเงินทองมากมาย ต้องคิดดี ๆ ว่ามันใช่รึเปล่า หรือสมมติคุณมีเงิน 1,000 บาท คุณอยากจะทำบุญแล้วหมอดูบอกว่าให้ไปทำบุญนี้ไปเลย 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นวั้ง วั้งจะรู้สึกว่า ถ้าคุณทำบุญได้แค่ 1,000 บาท คุณแบ่งไปทำบุญที่ละ 100 บาท คุณก็ทำบุญได้ตั้ง 10 ที่นะ เพราะฉะนั้นการดูดวงมันไม่ใช่เรื่องงมงายหรอก แต่ว่าการดูดวงเราต้องมีเหตุและผล อย่าเชื่อจนไม่เหลือเหตุผลที่เป็นตัวเอง แล้วการดูดวงจะไม่ทำร้ายคุณเลย” – หมอวั้ง วรางคณาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง

12 เม.ย. 2024

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง

“หนูภูมิใจตัวเองที่ เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”ยังคงเป็น Club ที่รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง สู่ตัวตึงแห่งแก๊งหิ้วหวี ผู้สร้างตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง! กว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านมาหลากหลายบททดสอบของชีวิต และมีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ พั้มกิ้น ได้แชร์ไว้ในรายการด้วยพั้มกิ้น ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยตั้งให้ค่ะ ตอนนั้นเรื่อง เกอิชา ดังมาก บวกกับตอนนั้นหนูชอบดื่มแอลกอฮอล์มาก รุ่นพี่ก็เลยตั้งชื่อให้เราว่า พั้มกิ้น ซึ่งชื่อจริง ๆ ของหนูคือ มอส เพราะแม่ชอบ พี่มอส ปฏิภาณ มาก ๆ ตอนนั้นเหมือนแม่จะดูจักรยานสีแดงมากเกิน หนูก็เลยได้ชื่อมอสแล้วหนูก็มีรายการชื่อว่า พั้มกิน ด้วยนะคะ เป็นรายการที่หนูพาไปกินของที่มันน่ากินจริง ๆ ที่กินอันแรกเลยก็คือกินข้าวขาหมู ตาม พี่มาวิน แล้วหนูกินทั้งขาเลย คนถ่ายบอกว่าไม่ได้นะ เธอจะต้องเข้าโรงพยาบาลเลยนะหลังจากกินเสร็จ เธอต้องหยุดกินได้แล้ว แต่หนูก็กินต่อ คลิปนั้นลงวันแรกคนดูล้านคนเลย หนูเลยรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จ”กางเกงเอวสูง เอกลักษณสุดจึ้ง ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“หนูชอบใส่กางเกงเอวสูงมาก เน้นแฟชั่นไปเลย เป็นกางเกงจากร้านของรุ่นพี่ เค้าส่งมาให้ใส่ เราก็ใส่เพลิน ๆ หนูเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรหนูจะใส่ยาว ๆ ใส่จนคนแซว มันก็เลยเป็นไวรัล ตอนนี้มี 21 ตัว แบบนี้สีนี้เลย หนูจะเอาออกมาใส่ทีละ 10 ตัวแล้วซัก มีคนถามหนูเยอะมากว่าซื้อที่ไหน หนูไม่บอกค่ะ กลัวมันหมด หนูไม่รู้ว่าหนูเอวเท่าไหร่ แต่ว่าหนูใส่กางเกงไซส์ 52 ครั้งแรกที่ใส่ มันจะหายใจไม่ออกหน่อย แต่พอใส่ไปสักพักมันจะเข้าทรงสวย และเพื่อความสวยเราทนได้”ตำนานสุดสะพรึง กินจนแพ้กุ้ง!“ในรายการหนูกินเยอะมาก กินหมูกระทะ กินอาหารตามสั่ง ที่มันน่ากิน แต่ที่หนักสุดคือ หนูแพ้กุ้งแบบขั้นวิกฤต มันเพิ่งจะมาแพ้ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียง มีเงินมีทองแล้ว เมื่อก่อนหนูจนมาก หนูก็เก็บเงินแล้วคุยกับ เอแคลร์ ว่าอาทิตย์นี้เรามียอด ไปหาร้านบุฟเฟต์กุ้งกินกันเถอะ แล้วก็ไปกันเมื่อก่อนหนูชอบกินกุ้งมาก หนูกินกุ้งได้ 4-5 กิโลกรัมเลย พอเริ่มมีงานมีชื่อเสียง มีเงินก็ไปซื้อกุ้งกิน จนแพ้แบบตาบวม แล้วก็หายใจไม่ได้ ก็เลยโทรหา พี่มิกซ์ เฉลิมศรี พอโทรติดสิ่งแรกที่เค้าทำคือนั่งหัวเราะประมาณ 2 นาที ซึ่งหนูหายใจไม่ออกนะ แล้วพี่มิกซ์ก็อัดคลิปลงโซเชียล แล้วกลายเป็นไวรัล ทำให้คนรู้จักหนูเยอะขึ้นเพราะคลิปนั้น พอหัวเราะกันเสร็จก็ไปหาหมอ ไปฉีดยา แล้วคุณหมอบอกว่าแพ้กุ้งแล้วนะแต่หนูก็ยังกินกุ้งค่ะ ตอนนั้นหนูพยายามต่อสู้กับมันมาโดยตลอด คือจะมียาแก้แพ้พกไว้เลย มื้อไหนเราทำงานมาเหนื่อยมาก ก็จะขอกินกุ้งสักวันนึง ปรากฏว่าก็แพ้ค่ะ หลัง ๆ หนูกินเป็นกิโลกรัมไม่ได้แล้ว กินได้แค่ตัวเดียว แล้วก็แพ้มาตลอด ปากบวมมาตลอด หลังจากกินกุ้งก็ต้องกินยาค่ะหนูทำ IF ค่ะ คือหนูกิน 20 หยุด 4 หนูนอนทานได้เลย หนูสามารถหลับ ๆ อยู่ แล้วฝันว่าหิวมาก พอตี 2 หนูตื่นหนูก็กดสั่งข้าวเลย ซึ่งในยุคสมัยนี้มันง่ายด้วย เราก็กินแบบปล่อยใจไปเลย หนูเข้าใจแฟนคลับที่คอยเป็นห่วงและเตือนหนูตลอด แต่ว่าหนูเคยทุกข์มาแล้ว ช่วงนี้หนูขอมีความสุขก่อน แล้วหนูมีความสุขกับการกินมาก”ย้อนวันวาน กับความเป็นตัวเอง ที่ต้องถูกปิดกั้น“เมื่อก่อนที่บ้านค่อนข้างจะเซนซิทีฟเรื่องการเป็น LGBTQ+ แล้วเค้าก็พยายามจะปิดกั้นทุกอย่าง เค้าห้ามเราหลาย ๆ อย่าง ไม่ให้ไปเล่นกับผู้หญิง ส่งเราไปเรียนโรงเรียนชายล้วน ตอนแรกหนูอึดอัด ครั้งแรกที่ไปเรียน คือ โรงเรียนปทุมคงคา ซึ่งพอเข้าไปเรียนหนูก็รู้ว่ามันไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราคิด แล้วได้เจอเพื่อนที่เป็นเหมือนเราประมาณเกือบร้อยคน จนรู้สึกว่าตรงนี้แหละคือความสุขของเรา เราอยากจะมาโรงเรียนทุกวัน ไม่อยากอยู่บ้านแล้วหนูพยายามจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แล้วที่โรงเรียนมีกิจกรรมเยอะ วันภาษาไทย วันวาเลนไทน์ หนูก็จะแต่งหญิง พอคุณป้ารู้ก็เห็นว่าไม่ได้การแล้วต้องย้ายออก ก็เลยพาหนูมาเรียนที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก เป็นโรงเรียนช่างไปเลย ตอนแรกหนูทำใจไม่ได้ แล้วหนูคือ LGBTQ+ คนเดียวในรุ่นและในโรงเรียน แต่หนูมองทุกอย่างให้เป็นมุมบวก มาที่นี่ฉันจะต้องเป็นดาว ฉันสวยที่สุดในโรงเรียน ฉันอยู่ได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โชคดีที่หนูได้เพื่อนที่ดี แล้วก็เข้ากับวัฒนธรรมของโรงเรียนช่างได้ง่าย หนูทำหมดทุกกิจกรรม รับรุ่น รับน้อง จนหนูกลายเป็นเจ๊ไปเลย ในเมื่อเราไปไหนไม่ได้แล้ว ก็ต้องปรับตัวเองให้มันเข้ากับสถานการณ์ จนที่แห่งนั้นกลายเป็นความสุขครั้งใหม่ของเราจริง ๆ หนูรู้ตัวเองตั้งแต่อนุบาลค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าเราเหมือนจะชอบผู้หญิงบ้าง เรามองว่าเค้าผมยาวจัง เค้าสวยจัง พอขึ้น ป.1 หนูเริ่มไม่ชอบแล้ว เริ่มจะชอบ พี่เคน ธีรเดช ชอบดูดาราชาย ว่าคนนี้น่ารักจังเลย ด้วยความที่เมื่อก่อนบ้านหนูอยู่การท่าเรือ ตรงกรมสรรพสามิต ที่บ้านก็จะมีความคิดที่ว่า การที่เราทำงานประจำ มันจะมีสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งหนูมองว่า หนูอยากจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์มากกว่า อยากจะมาเป็นคนสอนเชียร์ลีดเดอร์ มันหาเงินได้นะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่ามันหาเงินได้ยังไงพอที่บ้านเค้ากดดันเรา เราก็เลยต่อต้าน แปลกมากเลยหนูปรับกับที่อื่นได้ แต่ที่บ้านหนูไม่ปรับ เหมือนเรายิ่งโดนกด เราก็ยิ่งสู้ เหมือนที่เค้าบอกว่า คนเราจะใส่ใจคนรอบข้างน้อยกว่าคนไกล ๆ อย่างเวลามีการประกวดมิสทิฟฟานี่ หรือมิสยูนิเวิร์ส ที่บ้านก็จะจับเรามาขังไว้ในห้อง เพื่อที่จะไม่ให้ดู แต่ยิ่งขังเราก็ยิ่งสู้ ต่อสู้แบบมันอัตโนมัติเลยค่ะจนหนูเริ่มโตขึ้น หนูก็เริ่มต้องไปแล้ว หนูอยู่ที่บ้านไม่ได้ มันไม่มีทางที่จะมีความสุขได้เลย หนูเลยบอกแม่ว่า ขอออกไปอยู่เองนะแม่ ไม่ต้องห่วง แล้ววันแรกที่เราออกมาไม่มีเงินเลย แต่รู้สึกว่ามีความสุขมาก ไปอยู่หอกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าไม่มีไม่เป็นไร อยู่ไปก่อนเดี๋ยวทำงานแล้วก็ค่อยมาช่วยกันจ่ายค่าห้อง จากนั้นหนูก็ไปสอนเชียร์ลีดเดอร์บ้าง ไปอยู่ร้านเช่าชุดบ้าง เริ่มรู้จักพี่ ๆ เริ่มรู้จักลู่ทางต่าง ๆ”ครั้งหนึ่ง บนเส้นทางนางงาม“หนูเคยประกวดนางงาม เป็นเวทีนางงามธิดาช้างต่าง ตอนนั้นหนูมีพี่เลี้ยง แล้วพี่เลี้ยงก็พาไปประกวด ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเราสวย เราไปเรียกเสียงหัวเราะ เวทีแรกได้ที่ 2 แล้วก็ไปประกวดต่อที่ อนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เวทีใหญ่มาก คนที่ประกวดมีประมาณ 50 คน ปรากฏว่า เวทีนั้นหนูได้ที่ 1 หนูดีใจมากที่ได้มง หลังจากนั้นหนูก็ไม่ประกวดแล้วเพราะว่าเหนื่อย เวทีคนอ้วนจะไม่ค่อยมีตอบคำถาม เวลาประกวดก็จะเน้นเดิน แล้วบนเวทีมันร้อน หนูต้องยืนบนส้นสูงนานมาก พอใส่รองเท้าแล้วต้องเอาสก็อตเทปพันไม่ให้มันหลุด ซึ่งมันเจ็บและทรมาน มันร้อนมาก เหงื่อท่วมเลย หนูก็เลยไม่ประกวดแล้วดีกว่า”ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง“อาชีพแรกในวงการบันเทิงของหนูคือแต่งตัวให้ศิลปิน ได้เงินวันละพัน วันละห้าร้อย ตอนนั้นเราดีใจมากเลยที่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่หนูก็ไม่ได้ชอบตรงนั้น ก็เลยมาเป็นช่างทำผม หนูมองว่าหนูมีความสุขวันต่อวัน พอได้อยู่ในที่ที่เรารัก มันก็เลยมีความสุขไปเรื่อย ๆ การได้เงินพันบาท หนูถือว่าหนูรวยแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว หนูมีเงินซื้อข้าวกินด้วยแรงที่หนูเอาไปแลกมาด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของหนูแล้วเดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ชอบเสพสื่อ ก็จะเจอคอนเทนต์แบบฉันมีบ้าน 800 ล้าน หมา 10 ตัวอยู่หน้าบ้าน รถ 7-8 คันอยู่ในนั้น ซึ่งมันเกิดขึ้นได้กับบางคนเท่านั้น ไปเชื่อแบบนั้น 100% ไม่ได้ เราเอาแรงของเราทำงาน แลกเงินมาได้ 500 บาทก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีเงินซื้อของที่เราอยากได้ด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของคน ณ ปัจจุบันที่ต้องคิดให้ได้ พอมีรายได้หนูก็ส่งให้แม่ตลอด เพราะหนูรักแม่มาก น้อยบ้าง เยอะบ้าง งานไหนได้เงินเยอะก็จะพาแม่ไปกินข้าวบ้าง และหนูดีใจแล้วที่ได้พาแม่ไปกินข้าว”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางช่างทำผม“ตอนนี้หนูเป็นช่างทำผมให้ศิลปิน หนูอยากจะเป็นช่างทำผมอันดับ 1 หนูไม่ได้เรียนทำผมค่ะ มันเริ่มจากตอนนั้นหนูไม่มีงานทำ ก็เลยมาเป็นผู้ช่วยช่างแต่งหน้าตามพี่ ๆ ไปทำงาน แล้วชอบไปนั่งดูพี่ ๆ ช่างทำผม มันตลบแบบนี้ ม้วนแบบนี้ มันสวยจังเลย จนพี่ ๆ ถามเราว่า จริง ๆ แล้วอยากทำอะไร หนูบอกว่าอยากเป็นช่างทำผม พี่ ๆ ในวงการก็สนับสนุนแล้วหาโอกาสให้หนูไปเป็นผู้ช่วยช่างทำผมคนแรกที่หนูทำผมให้คือ น้ำตาล ชลิตา ก็ได้ความใจดีของน้ำตาลด้วยที่ไว้ใจและมอบโอกาสให้หนู จนเริ่มมีคนรู้จักหนูมากขึ้น จนหนูมาอยู่กับ เอแคลร์ หิ้วหวี เป็นช่างทำผมประจำของเอแคลร์ แล้วก็ได้ทำผม พี่นัท สะบัดแปรง พอมาอยู่ตรงนี้ เหมือนพี่ ๆ เค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว พอมาทำงาน เอแคลร์ ก็บอกหนูตลอดว่า พั้มกิ้น ต้องทำช่อง ทำคลิปนะ หนูก็บอกว่าไม่เอา ฉันอยากจะเป็นช่างผมอันดับ 1 แต่ เอแคลร์ ก็ย้ำว่าหล่อนต้องทำ หนูก็เลยค่อย ๆ เข้ามาในกล้องทีละนิด ๆ จนคนเริ่มแซว คนเริ่มรู้จัก แล้วก็มีวันนี้ที่กลายเป็น พั้มกิ้น หิ้วหวี”เรื่องนี้ ที่ทำให้ พั้มกิ้น เสียน้ำตา“ในช่วงโควิด ตอนนั้นหนูไม่มีงาน แล้วหนูก็เที่ยวเล่นเสเพลจนเงินหมด จนต้องหยุดเที่ยว หยุดปาร์ตี้ หยุดทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่ทำให้หนูร้องไห้ หนูไม่มีเงินกินข้าวแล้ว และหนักถึงขั้นที่ว่าหนูต้องกินน้ำก๊อก มันหนักจนคิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า ด้วยสถานการณ์มันห่อเหี่ยวไปหมดเลย หนูเลยเอาเงินที่เหลืออยู่ไปซื้อยาแก้แพ้กระปุกเล็กมากระปุกหนึ่ง แล้วกินเข้าไปหมดเลย ปรากฏว่า 8 โมง หนูหิวข้าวแล้วสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้วตัวมันชาไปหมดเลย แล้วก็รู้สึกเวียนหัว ก็เลยเดินลงมาซื้อข้าวกิน ในเมื่อไม่ตาย ชีวิตก็ต้องไปต่อ เมื่อเรามีชีวิตเดียวเดินหน้าต่อดีกว่า ฝืนอีกสักหน่อยเผื่อจะมีโอกาสที่ดี จนเริ่มมีงานเข้ามา หนูขอบคุณตัวเองมากที่ไม่คิดสั้นตั้งแต่ตอนนั้น”กลับมาสู้ต่อ จนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์“พอตัดสินใจสู้ต่อ หนูก็มาทำผมให้ เอแคลร์ เหมือนเดิม แล้วนางก็เริ่มปั้นหนู ดันจนมาเจอ พี่ทราย มาดามฟิน ที่ให้หนูไปทำผม ทำไปทำมาพี่ทรายก็เอ็นดูเรา พาเราไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปเที่ยวหลากหลายที่ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งเราจะไปทำผมให้เหมือนเดิม แล้วเค้าก็เดินมาจับมือเราบอกว่า พรุ่งนี้พั้มกิ้นไม่ต้องมาทำผมพี่แล้ว แต่มาช่วยพี่ไลฟ์สด แล้วหนูก็มาช่วยไลฟ์สดจนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้องบอกว่ามันไปเรื่อยเลยชีวิตหนู”พั้มกิ้น กับชีวิตที่เคยหลงผิด“บทเรียนครั้งนั้นมันหนักมากสำหรับหนู ตอนนั้นหนูคิดว่าไปลองซักหน่อย อาจจะไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่าตอนนั้นหนูเจอเรื่องราววิกฤติที่มันแย่มาก ๆ มันเกิดก่อนช่วงโควิดอีกค่ะ และคิดว่ายาเสพติดคงจะช่วยเราได้ มันเหมือนไปยืมความสุขมาใช้ พอเราลองสัมผัสมันแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องวันวานเลย จนหนูถลำลึกไปเรื่อย ๆ จนเงินหมด เงินเก็บที่มีหลายแสนหมดเพราะยาเสพติดหนูติดแล้วก็ถลำลึกจนเราไม่รู้ตัว งานเริ่มหาย เพื่อนเริ่มไม่มี หนูไม่ฟังใครเลย ไม่อยากไปทำงาน อยากจะอยู่แต่บ้าน อยากจะอยู่แต่ห้อง อยากจะใช้แต่ยาเสพติด เรากลายเป็นใครก็ไม่รู้ไปเลย ซึ่งมันอันตรายมาก จนถึงขั้นหนูมีภาวะซึมเศร้า เลยพยายามสู้มาด้วยตัวเอง แล้วก็หาวิธีการเลิกในวิธีต่าง ๆ ฟังแล้วก็ดูสื่อให้มันหลอน พออยากจะใช้ยาก็หาอะไรดูให้รู้สึกว่าไม่ได้นะ ถ้าใช้ต่อไปเราจะเละเทะไปแค่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หนูจะต้องไปนอนข้างถนนแน่ ๆ ก็หักดิบได้เองเลยหนูกลับตัวมาได้ เพราะเพื่อน ๆ ช่วงนั้นมันมีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เพื่อน ๆ รู้ว่าหนูเป็นหนักแล้ว เพราะหนูชอบโพสต์ว่าอยากตาย อยากฆ่าตัวตาย ทำให้คนที่ติดตามเราเลิกติดตามไปเรื่อย ๆ เพื่อนหลายคนก็แซว แต่ เอแคลร์ ไม่แซวอะไรเลย นางเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ คอยเรียกไปทำผม เพื่อที่จะเรียกให้ไปหา แล้วสังเกตว่าหนูเลิกแล้วแน่นะจากนั้นหนูก็อยู่เบื้องหลัง คอยทำผมมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มขยับขึ้นมาเป็นไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์ รับงานลูกค้าเอาเราไปถ่ายคลิป โชคดีที่พี่ ๆ หิ้วหวี เป็นเหมือนแสงสว่างของหนูเลย คือถ้าไม่มีพวกเค้าเหล่านี้ ทุกคนก็คงจะไม่รู้จักหนู ต้องขอบคุณมาก ๆ เลย”ความในใจจาก พั้มกิ้น ที่อยากจะบอกกับคนสำคัญคนนี้“เอแคลร์ เป็นคนที่ไม่ได้ชมให้รู้ พวกหนูจะไม่ได้ชอบชมกัน แต่จะให้กำลังใจทางอ้อม ซึ่ง เอแคลร์ เป็นเพื่อนที่หนูรักที่สุดตอนนี้ เพราะนางดันหนูทุกทาง ให้หนูได้มีวันนี้ จะบอกว่าขอบคุณเอแคลร์ มาก ๆ ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ หนูรักเพื่อนคนนี้มาก มันรักโดยอัตโนมัติ สมมติถ้าเราไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วมีคนที่จะมาทำอะไรไม่ดีใส่เอแคลร์ หนูสามารถพุ่งไปหาคนนั้นได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ และสามารถตายแทนได้เลย”คอมเมนต์เชิงลบ ที่ไม่กระทบจิตใจแล้ว“แรก ๆ หนูจะโดนคอมเมนต์ว่าเบาหน่อยได้ไหม เสียงดังทำไม ซึ่งหนูก็คุมตัวเองไม่ได้เรื่องการเสียงดังเวลาไปรายการ แต่พอหนูเข้ามาย้อนคิด ก็เห็นว่าคนที่มาคอมเมนต์เป็นแอ็คเคาท์หลุม เราไม่เจอเค้าอยู่แล้ว หนูก็เลยคอมเมนต์กลับว่า ขอบคุณค่ะ น่ารักมาก ฝากผลงานด้วยนะ คอมเมนต์มาก็คอมเมนต์กลับ หนูไม่ได้สนใจอยู่แล้วแล้วก็จะมีหลายคนที่คอมเมนต์เพื่อปรึกษา เช่น ที่บ้านหนูไม่ยอมรับเลยทำยังไงดี หนูก็จะบอกว่า สู้ ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ ลองเปลี่ยนความคิดตัวเองดูไหม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะไปเอาก้อนตรงนั้นมาไว้ที่หัวเรามากน้อยแค่ไหน ทำให้ตัวเองมีความสุขไปวันต่อวันนะคนดี ซึ่งหนูให้คำปรึกษาได้ และในอนาคต หนูอยากทำรายการทอล์ค หนูอยากฟังอยากคุยกับคน อย่าง พี่อ้อย พี่ก็อตจิ พี่สุทธินาถ ทองชื่น อย่างพี่อ้อย เวลาจัดรายการ เวลาคนมีเรื่องเศร้า ๆ เข้ามาปรึกษา พอหลังจบรายการเค้าจัดการกับตัวเองยังไง หนูก็เลยอยากมีรายการทอล์ค อยากคุยกับผู้คนอื่น ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“ตอนนี้มีคนคุยเป็นคนนอกวงการ ตอนนี้ชอบเพื่อนอยู่ชื่อเก้า จีบเก้าอยู่ แต่เก้าบอกว่ารออีก 2 ปี ถ้าไม่มีใครเดี๋ยวมาเป็นแฟนกัน ซึ่งเก้าคืออยู่ในกลุ่มหิ้วหวีเหมือนกัน น้องเก้าน่ารัก หนูชอบคนที่เด็กกว่า แล้วหน้าตาน่ารัก ก่อนหน้านี้หนูมีแฟนค่ะ เป็น LGBTQ+ เหมือนกัน เค้าเป็นทอม ที่อยู่ด้วยกันแล้วเข้าใจกัน แต่สุดท้ายก็เลิกกัน หนูก็เสียใจวันเดียวเลย ไม่มีล้มค่ะเรื่องนี้ ไม่มีอะไรล้มหนูได้ นอกจากหนูหิว ไม่มีผู้ชายไม่เป็นไร ไม่มีความรักไม่เป็นไรเลย ให้หนูอิ่มให้หนูได้กิน หนูไม่ซีเรียสเลยค่ะเรื่องความรัก”ความภูมิใจ ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“หนูภูมิใจที่เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ และหนูภูมิใจตรงที่ว่า หนูเคยทำผิดพลาดกับหลาย ๆ คน แล้วพอมาอยู่ตรงนี้ หนูก็ไม่ต้องไปป่าวประกาศว่าหนูเป็นคนดีแล้ว หนูทำตัวเองให้คนอื่นได้เห็นว่า เรามีวันนี้ได้แล้วนะ เรามีลูกค้าที่รักเรา แสดงว่าเราเป็นคนดีแล้วจริง ๆ นี่คือสิ่งที่หนูภาคภูมิใจในตัวเองที่สุด”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก พั้มกิ้น หิ้วหวี“คนที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากให้ลองตั้งสติ คิดให้มาก คิดถึงคนรอบข้างให้เยอะ ๆ และคิดถึงตัวเองในอนาคตด้วย และใครที่กำลังจะไปยุ่ง อย่าไปยุ่งเลยนะคะ มันอันตรายมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเคยลองครั้งสองครั้งแล้วบอกว่าไม่ติด มันไม่จริง มันคือยาเสพติด มันจะทำลายทุกอย่างในชีวิตเรา ไม่เคยมีใครได้ดีจากยาเสพติดเลยแม้แต่คนเดียว มันคือการยืมความสุขในอนาคตมาใช้ วันนี้เรามีความสุข แต่พอมันหมดตรงนั้นไป เราจะทุกข์มาก ๆ เลยนะคะ” - พั้มกิ้น หิ้วหวีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

ล้วงเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดมุมมองธุรกิจ ของ “นาตาเลีย เพลียแคม” Drag Queen ตัวแม่ที่พร้อมดูแล ให้คุณไปสบายแบบครบวงจร

09 ก.พ. 2024

ล้วงเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดมุมมองธุรกิจ ของ “นาตาเลีย เพลียแคม” Drag Queen ตัวแม่ที่พร้อมดูแล ให้คุณไปสบายแบบครบวงจร

หายใจไม่ออก บอกนาตาเลีย!...เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “นาตาเลีย เพลียแคม” จากเจ้าของธุรกิจหลังความตาย สู่การเป็นผู้ชนะรายการ Drag Race คนแรกของไทย ยกระดับผู้มีความหลายหลายให้ทั่วโลกได้รู้จัก ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต หลากหลายอุปสรรค ที่ได้นำมาแชร์ในรายการไว้ด้วยเปิดที่มาของชื่อสุดปัง “นาตาเลีย เพลียแคม”“ชื่อ นาตาเลีย เพลียแคม เป็นชื่อที่ใช้ในการเป็น Drag Queen ซึ่งต้องเล่าอย่างก่อนว่า แต่เดิมธุรกิจของครอบครัวนาตาเลีย เป็นธุรกิจการขายโลงศพ ซึ่งเราเป็นคนที่ชอบเรื่อง Marketing ชอบ Branding ก็เลยสร้างแบรนด์ขึ้นมา พอเราต้องมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เลยคิดว่ามันต้องมีกิมมิก มันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คนจดจำ ประกอบกับว่าเราประกวด Drag Race Thailand ก็เลยต้องสร้างมีมและแฮชแท็กขึ้นมา แต่เดิมเราเป็นอาเฮียขายโลงศพ ก็เลยตั้งเป็นแฮชแท็ก #หายใจไม่ออกบอกนาตาเลีย ต่อมาเราทำน้ำดื่มด้วย แต่ไม่ได้เอามาเพื่อขาย เราเอามาไว้บริการให้กับทางลูกค้า เพราะบางทีในงานศพมันก็ต้องมีน้ำดื่ม เราก็เอาไปน้ำดื่มของเราไปร่วมสนับสนุน จากนั้นก็เลยมีแฮชแท็กเพิ่มมาอีกก็คือ #น้ำดื่มมังกรเขียวใช้กินใช้กรวดในขวดเดียวกัน กลายเป็นแฮชแท็กประจำตัวที่เราใช้ตั้งแต่นั้นมาค่ะ”ลูกชายคนโต กับความคาดหวังจากครอบครัว“นาตาเลีย โชคดีในเรื่องของครอบครัวตรงที่ว่า เค้ามีความคาดหวังแต่เค้าก็ไม่ได้มาจี้ ซึ่งคนที่มีการพูดถึงและทำให้รู้สึกในใจ ก็คือคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัว เช่นบางทีเพื่อนป๊ามาที่บ้านก็ชอบถามว่า ลูกลื้อมีเมียรึยัง เราก็ตอบในใจว่ามีแล้วแต่เป็นผู้ชาย แต่ความจริงคือก็ต้องบอกว่ายังไม่มีครับ เดี๋ยวเรียนก่อน หรือขอทำงานก่อน ซึ่งเรามองว่าครอบครัวเราคาดหวังแต่เค้าไม่ได้พูดออกมา มันกลายเป็นชาเล้นจ์สำหรับเราที่จะต้องแข่งขันกับตัวเอง ทะเยอทะยานที่จะชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา เพราะเราคิดว่าเราอาจจะทำตามมวลความคาดหวังของคนที่เป็นบุพการีไม่ได้ แต่เราก็ต้องมีอะไรบางอย่าง เพื่อให้รู้สึกว่ามันฟูลฟีลหัวใจ มันทำให้นาตาเลียพยายามหาเงินใช้เองตั้งแต่อายุ 18 ปี ใช้ความสามารถทางด้าน Cheerleading สมัครทุนเพื่อเรียนฟรีตั้งแต่ ปวช. จนถึงปริญญาโท ซึ่งเราสนุกกับชาเล้นจ์ในชีวิตที่ตัวเองตั้งขึ้น และการแข่งขัน หรือการประกวดต่าง ๆ มันตรงจริตของตัวเราด้วย มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรามองข้ามบางอย่างได้ความทะเยอทะยานของเราคือ สมมติว่าเราเห็นก็อตจิ ในรายการเทยเที่ยวไทย เราก็รู้สึกว่าทำไมคนหนึ่งคน ถึงเป็นพิธีกรในเทยเที่ยวไทยได้สนุกขนาดนี้ แล้วเค้าเป็นลูกคนจีนเหมือนกัน หรืออย่างเราเห็นพี่อ้อยจัดรายการวิทยุมานาน และเราก็รู้สึกว่าทำไมผู้หญิงหนึ่งคนสามารถที่จะลุกตื่นขึ้นมาตอนเช้า หรืออยู่ตอนดึกได้ และพร้อมที่จะมารับฟังปัญหาทุกคน ซึ่งนาตาเลียเองก็รู้สึกว่า ฉันก็ต้องทำได้สิ เพียงแต่ว่ามันอยู่บนความคาดหวังของใคร วันนี้มันอยู่บนความคาดหวังของนาตาเลียว่า นาตาเลียไปประกวด นาตาเลียมีความสุข เราได้พื้นที่ เราชอบความบันเทิง เราชอบการแสดง เราต้องการอยู่หน้าไมค์ เราต้องการพูดให้ทุกคนรู้ ซึ่งมันอาจจะมีคนไม่ชอบบ้าง แต่สุดท้ายพื้นที่ส่วนใหญ่คือคนที่ชอบเรา เราต้องคิดให้เป็นวัฏจักรแห่งความเป็นมนุษย์ ว่ามันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราจะเอาความสุขส่วนใหญ่บนมาตรฐานของเรา ให้มาเป็นแรงขับเคลื่อนแล้วก็ก้าวข้ามผ่านปัญหา ไม่ใช่ว่านาตาเลียไม่เคยมีความทุกข์ เราเคยแบบทุกข์หนักมาก บ้านล้มละลาย ป๊าเป็นสโตรก ไม่มีเงินเลย เราผ่านมาหมดแล้ว แต่เรายังเชื่อว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ นอนคืนนี้ พรุ่งนี้ก็เริ่มเรื่องใหม่แล้ว”ก้าวแรก ของเฮียเจ้าของธุรกิจโลงศพ“มันเริ่มจากที่เราต้องเข้าไปช่วยงานธุรกิจของคุณพ่อ ซึ่งจะเน้นหนักในเรื่องของการทำ Branding แล้วก็สร้างการรับรู้ เพราะโลกธุรกิจมันเปลี่ยนไป ตอนนั้นป๊าขายแต่แบบออฟไลน์ เค้าไม่ได้สนใจช่องทางการขายออนไลน์เลย เราก็เลยเห็นโอกาสตรงนี้เลยไปสร้างมันขึ้นมา ซึ่งจากใจจริง นาตาเลียรู้สึกว่านี่เป็นธุรกิจที่มันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของเราเลย แล้วพอเราเป็นลูกคนโต มันจะตามมาด้วยความคาดหวัง แต่ในยุคก่อนมันไม่มีเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นการขายแบบปากต่อปากมันยังคงใช้ได้อยู่ แต่พอวันหนึ่งมาเจออะไรหลาย ๆ อย่าง ป๊าก็เริ่มเรียกให้กลับมาทำธุรกิจไหม บวกกับที่เราประกวดรายการ Drag Race Thailand พอดี ช่วงนั้นหนูเลยตกลงกลับมาช่วยงานป๊า ทำมาสักพักก็มารู้ว่าป๊าป่วยเป็นสโตรก แล้วเราก็ไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้ในชีวิตเลย พอมาเหตุการณ์นี้ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรหมดเลย มันก็เลยเหมือนไม่อยากทำ แต่สุดท้ายเราก็ทิ้งไม่ได้ เพราะธุรกิจนี้ ก็คือ DNA ของเรา แล้วพอต้องมาทำธุรกิจเรารู้สึกว่ามันสามารถบูรณาการให้เป็นการทำธุรกิจในแบบของนาตาเลียได้ โดยเฉพาะในเรื่องของงานศพ และเชื่อว่าสินค้าของนาตาเลีย เป็นสินค้าหนึ่งที่ลูกค้าไม่เคยคอมเพลนเลย”“ความตาย” สามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้ ถ้าเรารู้จักจัดการมัน“เรื่องการบริหารจัดการ หรือการเตรียมการความตาย มันมีอยู่ในวัฒนธรรมอยู่แล้ว โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีน ที่จะมีการซื้อฮวงซุ้ยหรือโลงศพ และคนจีนเชื่อว่าเป็นการต่ออายุต่อดวงชะตา แต่ถ้าเป็นคนไทยก็จะมองว่าเตรียมไว้ทำไม แช่งหรือเปล่า ส่วนที่เมืองนอกหรือประเทศอื่น มันจะมีธุรกิจที่เรียกว่า Funeral Planner เป็นธุรกิจในการจัดการงานศพ ซึ่งจะคล้ายกับ Wedding Planner ที่จะบริหารจัดการงานแต่งงานความฝันของนาตาเลีย คือต้องการทำร้านโลงศพธรรมดา หรือตอนนี้ผู้คนรู้จักในออนไลน์ เพราะ นาตาเลียขายในออนไลน์เป็นหลัก นาตาเลียต้องการทำให้เห็นว่า เราสามารถบริหารจัดการ และดีไซน์ความตายได้ตามต้องการ นาตาเลียเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ความตาย มันสามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้ ถ้าเรารู้จักที่จะจัดการหรือบริหารมัน นาตาเลียยังคิดถึงงานศพของตัวเองเลยว่า โลงศพฉันควรเป็นยังไง อาหารขอเป็นเบนโตะเซ็ทได้ไหม บรรยากาศของพื้นที่เราทำให้เป็นกลิ่นอโรมาดีไหม แล้วผู้คนไม่จำเป็นจะต้องใส่สีดำอย่างเดียวดีไหม ของชำร่วยในงานขอเป็น Flash drive ที่พอเอาไปเสียบเข้าคอมพิวเตอร์จะเห็นบทพูดเรื่องการเตรียมตัวตายของนาตาเลีย พร้อมกับแต่งตัวเป็น Drag Queen แล้วโชว์ให้ดูก่อนตาย ให้ดูว่าความสุขตอนที่ฉันมีชีวิต รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่ฉันสร้างมันยังคงอยู่กับเธอตลอดไป แล้ววันใดที่เธอลบความทรงจำจาก Flash drive มันแค่ลบความทรงจำแต่ฉันยังคงเป็นประโยชน์ต่อเธอ เพราะเธอจะเอา Flash drive นั้นไปทำอย่างอื่นได้ต่อแล้วเราไม่ได้พูดเองเออเอง จากการวิจัยซึ่งเป็นตัวจบปริญญาโทของเรา พบว่า จำนวนประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิง ให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนการตายมากกว่าผู้ชาย ในขณะเดียวกันมีสิ่งที่เค้าต้องการคือ 1.บริหารดีไซน์ในแบบที่เค้าต้องการได้ 2.อยู่ในงบประมาณที่เค้าจัดการได้ และ 3.ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นต้องอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมประเพณีที่ถูกต้อง”ส่องเทรนด์ธุรกิจคอนโดความตาย“ถ้าเราดูหนังฮ่องกงสมัยก่อน เราจะเห็นว่าเวลาเค้าไปงานศพ มันจะมีเป็นบล็อกเป็นชั้น ๆ ซึ่งเมืองไทยก็มีเหมือนกันในสมัยก่อน แต่มันไม่ได้ถูกพูดถึง แต่พอเรามาทำธุรกิจด้านนี้ ก็ได้ไปเจอพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทขายสุสานที่มาเลเซีย แล้วก็กระจายไป Southeast Asia ไปสู่ต่างประเทศ แล้วเค้าก็มาสร้างฮวงซุ้ย กับคอนโดสำหรับเก็บกระดูกที่เมืองไทย ทำแบบสวยงามเลย เราก็เลยมาผลักดันเรื่องนี้ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าคุณอยากจะได้ช่องเก็บกระดูกที่สวยงาม เค้าก็มีการจัดการนะ แล้วเราก็คิดไปถึงว่า ถ้าเป็นฮวงซุ้ย เวลาเราซื้อเสร็จ เราจะต้องเอาดวงชะตาใส่ลงไปในหลุมศพ สมมติว่านาตาเลียซื้อฮวงซุ้ยให้บิดามารดา นาตาเลียก็ต้องเอาทำพิธีกรรมที่เรียกว่า แซกี ทิ้งไว้ในหลุมศพเพื่อต่อดวงชะตาของบิดามารดา วันนึงนาตาเลียมองเห็นโอกาสว่า ช่องเก็บกระดูกมันเอาไว้ใส่ศพคนตายแบบเผา ฮวงซุ้ยใช้ใส่ศพคนตายแบบไม่เผา ผู้คนกำลังนิยมชมชอบที่อยากจะมีอายุยืนนานแล้วก็สนใจเรื่องมู ก็เลยคิดว่าฉันต้องทำแซกีในฮวงซุ้ย ให้ไปอยู่ในช่องเก็บกระดูกได้อีก ซึ่งซินแสหลายท่านก็บอกว่าลื้อจะบ้าเหรอ มันผิดธรรมเนียมประเพณี นาตาเลียก็บอกซินแสว่า อั๊วะถามหน่อย สมมติลื้อต้องทำแซกีเพื่อดวงชะตาโดยมีเงิน 1 ล้านบาท ลื้อต้องทำ 1 ล้านบาทเลย หรือ 1 ล้านบาทบวก ๆ เพื่อทำหลุมศพ แล้วมันก็ยังไม่มีใครอยากตาย ลื้อใส่ได้เมื่อไหร่ แต่วันนี้นาตาเลียจะมาขายแซกีในช่องเก็บกระดูกซึ่งเสียเงินไม่ถึง 2 แสนบาท แล้วแต่ว่าชั้นมันจะอยู่ตรงไหน ลองคิดนะว่าระหว่างคนมีเงิน 1 ล้านบาทแล้วหมดไป กับคนมี 1 ล้านบาทแล้วเหลือ 8 แสน ใครมีความสุขมากกว่ากัน จากนั้นก็มีซินแสบางคนที่สนับสนุนความคิดเรา นาตาเลียเชื่อว่า วัฒนธรรมรากเหง้าบางอย่างมันสูญเสียไป เพราะผู้คนไม่ปรับเปลี่ยน แล้วไม่ยอมหาจุดเชื่อมให้เข้าหากัน สุดท้ายมันก็จะหายไป แต่นาตาเลียไม่ได้คิดแบบนั้น นาตาเลียคิดว่าโลกมันเปลี่ยนไป คนเราก็ต้องเปลี่ยนตาม บางคนก็ต้องพัฒนา หรืออย่างน้อยคือเรามีฟังก์ชั่นให้เค้าเลือก ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เค้าได้มีโอกาสเลือก สุดท้ายถ้าเค้าจะไม่เอา มันก็อยู่ที่เค้า ไม่ได้อยู่ที่เรา”จุดเริ่มต้น บนเส้นทาง Drag Queen“ก่อนที่จะมาเป็น Drag Queen นาตาเลียได้ตำแหน่ง Miss ACDC ปี 2006 มาก่อน สมัยนั้นโซเชียล และโลกออนไลน์ยังไม่เหมือนทุกวันนี้ พอมาปี 2018 ก็มีคนมาชักชวนว่า จะมีรายการจากเมืองนอกชื่อรายการ Drag Race ซึ่งเรารู้จักรายการ แต่เราไม่เคยดู ด้วยความที่เราอยู่กับการประกวดอยู่แล้ว ทั้งประกวด Cheerleading ประกวดเต้น เป็นนางโชว์ เราก็รู้สึกว่าโอเคฉันจะทำ แต่การทำครั้งนี้ 1.ฉันต้องชนะ เพราะว่าถ้าไม่ชนะมันเป็นการแข่งขันที่เสียเปล่า 2.นี่เป็นจังหวะที่ดีมาก ถ้าสมมติฉันเอาเงินไปซื้อมีเดีย มันจะแพงกว่าการที่ฉันไปประกวด แล้วการไปประกวดถ้าฉันเอาเงินไปซื้อมีเดียอย่างเดียวฉันแค่ได้หน้า แต่ถ้าฉันไปประกวด เราได้แสงจากคาแรกเตอร์ เราจะได้ความสุข และสนุกไปกับมันด้วย ก็เลยตัดสินใจประกวด Drag Race Thailand Season 1 แล้วการประกวดตลอด 8 ep. จนไปถึงรอบไฟนอล เราจะต้องมีสติอยู่กับมัน ซึ่งสิ่งที่มันไม่ลืมเลยคือ เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังจะสื่อสารให้คนจดจำอะไรในตัวเรา นาตาเลียก็บอกเลยว่า เราเป็นลูกหลานคนจีนมาจากเยาวราช แล้วก็ขายโลงศพ ซึ่งมันคือเรื่องจริงบนเรื่องแต่ง มันก็เลยรู้สึกว่าเราพูดได้อย่างไม่เคอะเขินคำว่า Drag Queen ก็คือการแต่งตัวข้ามไปเป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง หรือไปเป็นอีกเพศหนึ่ง เช่นวันนี้ตามบัตรประชาชนของนาตาเลียเป็นผู้ชาย พอเราแต่งเป็น Drag Queen ก็คือ เราแต่งเป็นผู้หญิง แต่โลกของเราตอนนี้มันหลากหลายมาก มันมีแม้กระทั่งผู้หญิงแต่งเป็น Drag Queen อย่างเช่น Lady Gaga ซึ่งเราก็เรียกว่า Bio Queen พอมันเกิดความหลากหลาย นาตาเลียจึงให้คำจำกัดความในทุกครั้งที่ไปอธิบาย โดยไม่ได้พูดถึงว่ารากเหง้าคำว่า Drag คืออะไร แต่การแต่ง Drag คือการที่เราสร้างคาแรกเตอร์อีกคาแรกเตอร์หนึ่งแล้วแสดงออกมา และต้องนำมาซึ่งแรงบันดาลใจ ความสุข และจะต้องเป็นการแบ่งปันอะไรบางอย่าง แม้กระทั่งความเป็นตัวเราให้กับคนรอบข้างด้วย มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักจะถามว่าทำไมเฮียถึงใส่ชุดนี้อีก ใส่ทุกงานเลย ทำไมไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่นาตาเลียโฟกัสคือ ก็ฉันต้องการให้เธอทักนี่แหละ ให้เธอจำว่านี่มันคือคาแรกเตอร์ แล้วทุกคนก็จะจดจำเราได้”ความพ่ายแพ้ ที่มาพร้อมบทเรียนมากมาย“นาตาเลียประกวดมาเยอะ แล้วเคยได้ตำแหน่ง Miss ACDC 2006 เป็นแชมป์ Drag Race Thailand คนแรกของประเทศไทย เคยได้ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ 2566 แล้วก็กำลังรอว่า ถ้าเวที Miss Universe is you เปิดรับสมัครก็จะลงประกวดอีก แล้วนาตาเลียก็จะปิดตำนานนาตาเลียในเมืองไทยเท่านี้ ปิดตำนานว่าในประเทศไทย ฉันได้เวทีใหญ่ ๆ มาหมดแล้ว แล้วจะรอไปประกวดเมืองนอก ได้ตำแหน่งมาเยอะแต่ไม่ได้หมายความว่านาตาเลียไม่เคยแพ้ นาตาเลียเคยแพ้ บุ๊คโกะ ในการประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจปี 2564 ตอนนั้นนาตาเลียได้รองอันดับ 1 แต่สิ่งที่มันสอนเราอยู่ตลอดเวลาบนความพ่ายแพ้ คือการสอนให้เรารู้ว่าสปิริตของการแข่งขันมันเป็นยังไง ต้องขอบคุณ บุ๊คโกะ ด้วยที่ทำให้นาตาลีเรียนรู้ความมีสปิริต ความมีน้ำใจนักกีฬา แต่ในขณะเดียวกัน การแพ้มันก็ทำให้เราตั้งเป้าใหม่ว่า ฉันจะกลับมาประกวดในปี 2566 เพราะว่าฉันจะเอามง และจะเป็นที่ 1 ให้ได้ แล้วมันก็ได้จริง ๆ”นาตาเลีย เพลียแคม กับการสานฝัน ให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน“นาตาเลีย เป็นคนสอน Cheerleading ให้คนพิการทางหูคนแรกของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน แล้วก็ประกวดชนะมาตลอด ซึ่งการสอนมันจะมีภาษามือก่อน แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ มันจะต้องมีใจที่จะสอนด้วย เราคุยกับเค้าด้วยภาษากายอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องตั้งใจด้วยความรู้สึกที่อยู่ข้างใน แล้วต้องพยายามเปลี่ยนวิธีการคิดของเค้าว่า ไม่ใช่ว่าเป็นคนพิการแล้วจะต้องอยู่กับการรอรับโอกาสอย่างเดียว ซึ่งสิ่งที่มันได้ตามมาแล้วทำให้เรารู้สึกแฮปปี้มากคือคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองของน้อง ๆ เปลี่ยนวิธีคิดที่จะเลี้ยงลูกหลาน พอผู้ปกครองได้มาดูการแสดงของน้อง ๆ ครั้งแรก มีหลายคนร้องไห้ แล้วก็พูดกับเราว่า เดี๋ยวคุณแม่จะเปิดโอกาสให้น้องเล่นกีฬานี้เต็มที่เลย แล้วให้น้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ มันเป็นพลังที่เติมเต็มความรู้สึกให้เรามาก ๆสิ่งหนึ่งที่เรามักจะปลุกพลังให้น้อง ๆ คือ การที่เราเป็นคนพิการ แล้วอยู่ในสังคมที่มีคนปกติมากกว่า การที่จะเปลี่ยนคนปกติจำนวนมากเป็นเรื่องยาก แต่การเปลี่ยนตัวเองในฐานะที่เป็นคนจำนวนน้อย เพื่อให้สังคมขับเคลื่อน และได้โอกาสอะไรบางอย่างเป็นเรื่องง่ายกว่า และเราต้องพยายามมากกว่าคนปกติ 2 เท่า จากปี 2552 จนถึงปัจจุบัน นาตาเลียก็ยังคงสอนอยู่ แต่ในขณะที่สอน Cheerleading เราก็จะสอนประสบการณ์ชีวิต กับวิธีคิดให้กับน้อง ๆ ไปด้วย”เมื่อชีวิตเจอหลากหลายบททดสอบ แต่ต้องผ่านมันไปให้ได้“เริ่มแรกเลยคือป๊าเค้าเป็นเถ้าแก่เร็ว แล้วก็มีความปกครองผู้คนในยุคที่ไม่มีโซเชียล มันเหมือนเค้าประสบความสำเร็จมาก ๆ จนรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองคือเบ็ดเสร็จ กลายเป็นหลงระเริง พอเกิดสิ่งผิดพลาดจนเหนือการควบคุม มันก็ต้องสูญสลายไปเลย แต่ความโชคดีของป๊าคือ เค้าสามารถกลับมาสร้างทุกอย่างใหม่ได้ เมื่อเค้ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่พอมาปี 2019 ป๊าเป็นสโตรก แล้วที่บ้านหนูไม่มีความรู้เรื่องสโตรกเลย พอไปโรงพยาบาลเค้าก็แค่บอกว่าปวดหัว คุณหมอก็จับฉีดยาเฉย ๆ แต่พอมาตอนเช้าหมอประจำตระกูลก็บอกว่าเป็นสโตรกแน่ ๆ เลยเอาเข้าห้อง ICU แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากวันนั้นคือเค้าต้องนอนติดเตียง เจาะคอ ทำอะไรไม่ได้แล้วมันเกินกว่าที่กะเทยคนนึงจะมาสานต่อ มันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสายไฟบนถนนวิทยุ แต่ในวันนั้นหนูบอกกับตัวเองว่า เราก็ต้องทำมันเท่าที่ได้ ให้ร่างกายยังคงพร้อมที่จะสู้ต่อในวันพรุ่งนี้ แล้วถ้าหนูสู้จนสุดทาง แล้วมันไม่ได้อย่างที่หวัง หนูจะไม่เสียใจเลย เพราะหนูสู้จนสุดทางแล้วในวันที่หนูรู้ว่าป๊าเป็นสโตรก แล้วเค้าเรียกไปที่โรงพยาบาลด่วน เค้าก็จับมือเราบอกว่า ป๊าฝากน้องด้วยนะ หนูก็บอกป๊าว่าเดี๋ยวก็หาย นอนฉีดยาพรุ่งนี้ก็หาย ซึ่งก่อนหน้านั้น เพิ่งจะผ่านวันเกิดหนูมา หนูเกิด 7 มกราคม ป๊าก็มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ และเป็นวันที่เปิดตัว Drag Race Thailand Season 2 กลางไอคอนสยาม แล้วพี่อาร์ท อารยา กับ พี่เต้ กันตนา หอบเค้กมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์หนูกลางไอคอนสยาม ผ่านไปไม่ถึง 2 วัน อยู่ดี ๆ ป๊าเป็นสโตรก แล้วหนูต้องมาออกรายการ Lip Sync Battle Thailand กำลังยืนรอสแตนบายจะขึ้นเวที ที่บ้านก็โทรมาบอกว่าป๊าต้องเจาะคอ ถ้าไม่เจาะคือไม่รอด พอพูดเสร็จทีมงานก็บอกว่าขึ้นเวทีค่ะ หนูก็ต้องฮึบ เพราะกับรายการหนูก็ต้องเต็มที่ แฟนรายการเค้าก็ตั้งความหวังว่าอยากจะเห็นนาตาเลียโชว์ ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้ทั้งคนดู และทีมงานจะต้องมารับรู้ว่าภายใต้การยิ้มแย้ม แต่งตัวอลังการของหนู มันคือความดิ่งที่สุดในชีวิต แต่พอเทปรายการนี้ออกอากาศ กลับมีกลุ่มคนที่เป็นเกรียนคีย์บอร์ด มาบอกว่าโชว์ไม่เห็นจะดีเลย ดูไม่ Professional เลย สิ่งนี้ทำให้หนูเรียนรู้ว่า ภายใต้ความวุ่นวายรวดเร็วของเทคโนโลยี มันมีบางคนพร้อมที่จะทิ่มแทงเราเพียงเพราะความไม่ชอบ หนูต้องตั้งสติกับตัวเอง และบอกตัวเองว่าเราสามารถเลือกที่จะทะเลาะ หรือไม่ทะเลาะกับคนได้ เราจงยอมรับ หรือเอาพลังงานดี ๆ จากคนที่เค้าชื่นชมเรามาเป็นประโยชน์ดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะอยู่หรือเราจะไป อย่างน้อยที่สุดมันยังมีสิ่งดี ๆ ให้เราฮีลใจ ให้เราหายเหนื่อย ให้เรารู้สึกว่ามันยังมีคนข้าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะมาเป็นแค่ข้อความก็ตามหนูเป็นคนชอบมูเตลูมาก เพราะมันคือที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไหร่ที่มันไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เรามู หนูไม่เคยโทษฟ้าโทษฝนโทษเทวดาเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าในช่วงที่หนูวิกฤติ มันมีคนที่พร้อมช่วยอย่างเต็มที่ หนูได้เรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ที่หนูให้อะไรใครไปก่อน มันจะได้กลับมาเสมอ หลายคนเห็นหนูบนหน้าจอ ก็จะเห็นว่าเราเฮฮา ดูเรียกเสียงหัวเราะ แต่หนูเคยร้องไห้คนเดียว แต่หนูไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายนะเพราะกลัวเจ็บ แล้วหนูคิดว่าชีวิตนี้ไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะเราเคยเจอเรื่องหนักสุด สบายสุด ดีที่สุด ร้ายที่สุด ในชีวิตหนูผ่านมาหมดแล้ว”ความรักของเพศที่สาม ไม่ได้ฉาบฉวยเสมอไป“หลายคนชอบคิดว่า การเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ เวลามีความรักมักจะเป็นความรักที่ฉาบฉวย แต่สำหรับหนูคิดว่ามันไม่เสมอไปหรอก คุณอย่าเพิ่งตีตราว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเมื่อมีรักเท่ากับ Sex เท่านั้น มันมีอย่างอื่นเป็นองค์ประกอบด้วย แต่หนูก็ไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในความรัก เพราะในชีวิตหนูเรื่องงานมันจะมาก่อนความรักเสมอ แต่ถ้าถามว่าหนูอยากมีรักไหม หนูก็อยากมีรัก อยากมีแฟน อยากมีคู่ชีวิตให้เราได้แอบอิง แต่ในขณะเดียวกัน ความรักที่หนูเจอมามันกลายเป็นการมาเหยียด หรือเป็นการคบเพื่อผลประโยชน์ มันก็กลายเป็นความทุกข์ ซึ่งมันก็ต้องเลือกคนคุยดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะก้าวข้ามผ่านเรื่องนี้ไม่ได้เลย หนูจึงรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตบนความ Proud ฉันมั่นใจ และฉันก็เต็มที่กับทุกอย่างที่ฉันทำ เพื่อให้คนรอบข้างรู้และจดจำว่า นี่คือ นาตาเลีย เพลียแคมหนูอยากเป็นนักการเมือง เพราะคิดว่าการเป็นนักการเมือง มันทำให้เราได้ทำอะไรบางอย่างบนสิทธิ์หรืออำนาจที่เรามี แต่นั่นจะต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วย หนูก็เลยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าหนูเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่ากทม. หรือเป็นหนึ่งในกรม ที่มีอำนาจในการที่จะปรับเปลี่ยนกรุงเทพ ไหน ๆ รถมันก็ติดแล้ว เราก็เปลี่ยนความวุ่นวายให้กลายเป็น Festival เช่นทำเมืองนี้ให้มันเป็นเมืองแห่ง Exhibition ทำเมืองนี้ให้เป็นเมืองแห่ง Event ขับเคลื่อนด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิงมีแต่ความบันเทิง เป็นพื้นที่ศิลปะของทุกคน หนูคิดลึกไปถึงขนาดที่ว่า วันนี้เราจะต้องไปสอนเรื่องการมีทักษะ หรือการพัฒนาอะไรบางอย่างให้กับกลุ่ม LGBTQ หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่มันจะซับซ้อนกว่าถ้าความหลากหลายทางเพศอยู่ในคนพิการ หนูก็อยากไปทำเรื่องนี้เพื่อให้เค้าสามารถใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนปกติได้อย่างไม่เคอะเขิน แล้วการเป็นนักการเมือง สิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องมาปรบมือ หรือมามายอมรับ มันต้องอยู่บนสิ่งที่คุณทำออกไปมากกว่า ไม่ใช่เพียงเพราะว่าวันนี้คุณเป็นเก้ง เป็นกวาง หรือเป็นเพศอะไรก็ตาม”ความภูมิใจ และแรงบันดาลใจ จาก นาตาเลีย เพลียแคม“หนูภูมิใจที่สุด ที่ความสำเร็จของหนู มันได้สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ความเป็นนาตาเลีย เพลียแคม มันไม่ใช่อยู่ที่การเป็นผู้ชนะ แต่มันอยู่ที่สิ่งที่หนูเป็น และหนูสร้างมันขึ้นมา แล้วมันไปต่อยอด แก้ไขหรือไปช่วยคนอื่นได้บ้าง หนูเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว แล้วในฐานะที่หนูเป็นคนขายโลงศพ หนูจะเก็บการอยู่คนเดียวไว้ตอนตายเท่านั้น แต่เมื่อเรามีลมหายใจ เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ และสิ่งที่มันจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้มันอยู่ตลอดรอดฝั่ง คือการที่เราเป็นแรงบันดาลใจของใคร เราเป็นความหวังของใคร และเราทำอะไรให้กับคนอื่นได้บ้าง ถึงแม้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะเหนื่อย แต่ถ้าเราพอใจและเต็มใจที่จะทำ หนูคิดว่ามันสะสมไปได้เรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งหนูก็คงจะตายอย่างมีความสุข” - นาตาเลีย เพลียแคมพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “มิกซ์ เฉลิมศรี” จากยูทูบเบอร์ในแก๊งหิ้วหวี สู่ศิลปินคิวทอง เจ้าของเพลง “ฟ้ารักพ่อ”

01 มี.ค. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “มิกซ์ เฉลิมศรี” จากยูทูบเบอร์ในแก๊งหิ้วหวี สู่ศิลปินคิวทอง เจ้าของเพลง “ฟ้ารักพ่อ”

"My sugar daddy หมดใจเลยที่ฟ้าให้พ่อ รักจริงไม่ได้หลอก แค่อยากจะขอให้พ่อช่วยฟ้าหน่อย เงินในบัญชีไม่พอใช้ พ่อโอนให้ฟ้าหน่อยได้ไหม และอยากได้รถคันใหม่นะคะ นะคะ นะ ฟ้ารักพ่อ"รายการ CLUB PRIDE DAY คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดแซ่บ “มิกซ์ เฉลิมศรี” หรือ “Badmixy” จากบิวตี้บล็อกเกอร์สุดปัง สู่ยูทูบเบอร์ชื่อดังหนึ่งในสมาชิกแก๊งหิ้วหวี และในวันนี้เธอกำลังถูกพูดถึงในอีกหนึ่งบทบาท คือการเป็นศิลปินนักแต่งเพลง หลังจากมีผลงานเพลงสุดจึ้ง “ฟ้ารักพ่อ” เพลงฮิตติดชาร์ตยอดวิวสูงทะลุ 20 ล้านวิว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านบททดสอบของชีวิตมากมาย และมีหลากหลายแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้นำมาแชร์ไว้ในรายการด้วย“เฉลิมศรี” “Badmixy” ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“มันเริ่มจากที่หนูอยากจะสร้างตัวตนขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต สมัยก่อนทุกคนก็มีฉายาของตัวเอง แล้วในแก๊งหิ้วหวีทุกคนมีฉายาอย่าง นิสา สะบัดแปรง หรือ เอแคลร์ จือปาก ซึ่งหนูอยู่ในแก๊งเพื่อนมานานมาก แต่ก็ใช้ชื่อแค่ มิกซ์ หิ้วหวี หลังจากนั้นพอหนูมาทำช่องของตัวเอง ก็เลยอยากมีชื่อที่คนจดจำย้อนกลับไปด้วยชื่อจริงหนูชื่อ วันเฉลิม หนูกลัวว่าถ้าเป็น มิกซ์ วันเฉลิม มันจะเป็นชื่อที่ดูธรรมะไป แล้วตอนเรียน เพื่อนหนูเคยถามหนูว่า ถ้ามีชื่อผู้หญิงจะชื่ออะไร เพราะเวลาเล่นนางงามกันเพื่อน ทุกคนจะมีชื่อเหมือนพระตั้งให้ แต่เป็นชื่อที่คิดขึ้นมาเอง ซึ่งหนูคิดไม่ออก เลยบอกเพื่อนว่าลองตั้งให้หน่อย เพื่อนก็บอกว่า เฉลิมศรีส่วน Badmixy มาจากการที่หนูชอบ Rihanna ซึ่งก่อนหน้านั้น Instagram ของหนูโดนแฮ็ค ตอนนั้นหนูใช้ชื่อ มิกซี่บิ๊กเม้าท์ หลังจากโดนแฮ็คหนูก็คิดว่าชื่อต่อไปจะชื่ออะไรดี เพราะหนูไม่อยากเป็น มิกซ์ซี่บิ๊กเม้าท์เวอร์ 2 มันดูเป็นชื่อแอคเคาท์ปลอม ก็เลยใช้ชื่อ Badmixy ก็แล้วกัน”ย้อนวัยใส ของ ด.ช.วันเฉลิม“ตอนเด็กหนูไม่มีความสามารถด้านดนตรีเลย หนูเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และไม่มีความสามารถเรื่องโน้ตเลย ซึ่งที่โรงเรียนก็จะมีสอนเป่าขลุ่ย หรือสอนอ่านโน้ต หนูทำไม่ได้เลย แต่หนูเป็นคนที่ชอบกิจกรรม แล้วก็ไม่ได้เป็นเด็กขี้อาย กล้าแสดงออกมาก หนูมั่นใจว่าหนูเป็นเบอร์ต้น ๆ ของห้อง สมมติว่าใครที่ไม่กล้าออกเสียง สามารถป้อนข้อมูลให้หนู แล้วหนูสามารถพูดแทนได้เลยเชื่อว่ากะเทยทุกคน ความฝันตอนเด็กคืออยากเป็นดารา หนูเป็นหนึ่งในนั้น ชอบดูละคร ชอบแสดงละครกับเพื่อน ชอบนั่งต่อบทกัน เพราะตัวเองอยากเป็นดารา ส่วนการเรียนของหนูอยู่ในระดับปานกลาง แต่หนูเป็นคนชอบไปโรงเรียน ชอบอยู่กับเพื่อน หนูโดดเรียนน้อยมาก หนูเคยโดดเรียนเพื่อไปนอนเล่นกันบ้านเพื่อน แล้วหนูมีความรู้สึกว่าไม่เห็นสนุกเลย แต่พออยู่โรงเรียนได้เห็นรุ่นพี่ ได้พูดคุยแซวคนนั้นคนนี้มันสนุกกว่า หนูเลยชอบไปโรงเรียน”มิกซ์ เฉลิมศรี กับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจากครอบครัว“เรื่องการยอมรับ หนูมั่นใจเลยว่าพ่อยอมรับ 100% พ่อหนูเค้ายังไงก็ได้กับลูกทุกคนเลย เพราะว่าพ่อเค้าไม่ค่อยบังคับ แต่ถ้าแม่จะเป็นแบบคล้อยตามเพื่อน ถ้าสมมติว่าลูกไปทำกิจกรรมอะไรมาแล้วเป็นที่พูดถึง อย่างเต้นแรง เค้าก็จะมาชม พอวันต่อมามีคนมาบอกว่า ลูกตุ้งติ้งเหรอ แม่ก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่แบบวันหลังอย่ามาตุ้งติ้งนะฉันอายคนอื่นเค้า แต่หนูก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้วเพราะพ่อรับได้ แล้วคนอื่นไม่สามารถทำอะไรหนูได้เพราะว่าหนูมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากจากครอบครัว ตอนเด็ก ๆ คนอื่นอาจจะมีปมเวลาเพื่อนล้อว่าเป็นกะเทย แต่หนูมีความรู้สึกว่ากะเทยแล้วมันยังไง หนูไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่หนูเป็นมันผิด เพราะว่าที่บ้านไม่ได้ตีหรือด่าหนู แล้วสิ่งที่หนูเป็นมันไม่ผิดหรือไม่ได้เดือดร้อน ต่อให้ครูเขียนในสมุดพกว่าลูกคุณมีพฤติกรรมตุ้งติ้ง หนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าพ่อไม่ได้มาบังคับตัวหนู ว่าต้องเป็นแบบนั้นนะแบบนี้นะในเรื่องเพื่อน หนูมีเพื่อนหมดเลยทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง ทั้งกะเทย เพราะหนูไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก และหนูเข้าได้กับทุกคน เวลาเพื่อนล้อ หนูก็ล้อกลับเลย เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันว่า วันหลังอย่ามาแหยมกับฉัน”เมื่อต้องหาลู่ทางทำเงินตั้งแต่เด็ก“หนูไม่เคยทราบเลยว่าครอบครัวลำบาก ตอนเด็กหนูกินแบบเต็มที่ จนมีช่วงประสบปัญหาที่แม่ชอบเล่นหวย ก็จะมีการยืมคนโน้นยืมคนนี้แล้วไม่บอกพ่อ แล้วมันประจวบเหมาะกับช่วงที่พ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล มันก็เลยกลายเป็นว่าจากเด็กที่เคยมีเงินใช้ ก็กลายเป็นไม่ได้รวย หนูก็เลยคิดว่าเราจะช่วยตรงนี้ยังไงได้บ้างหนูก็เลยเริ่มจาก ยุคนั้นแถวบ้านเรามันยังไม่มีคนใส่บิ๊กอาย แต่หนูชอบเข้าเว็บที่เวลาคนมาเล่นก็จะมีการโพสต์รูปซึ่งต้องตาโตตาสวย หนูก็เลยไปซื้อโดยหาว่าที่ไหนถูกสุด แล้วก็รับมาขายที่โรงเรียนเลย หนูแอบขายไปเรื่อย ๆ จนถึงฤดูหนาวหนูก็ไปสำเพ็ง ไปเอาเสื้อกันหนาวมาขาย หนูจำได้เลยว่ารับมาตัวละ 20 บาท ซึ่งเป็นผ้าสำลี แต่มันต้องเอามาขายที่โรงเรียน แล้วหนูถือถุงมาใหญ่มาก คิดแค่ว่ามันต้องขายให้หมด พอครูรู้ครูก็บอกว่าห้ามเอาของมาขายที่โรงเรียน ซึ่งหนูก็เลยบอกครูว่า หนูจะไม่เอามาขายถ้ามันขายหมด ปรากฎว่าครูก็เลยช่วยกันซื้อ กับเพื่อนที่โรงเรียนช่วยกันซื้อ เพื่อที่จะไม่ให้หนูเอามาขายอีกแล้วหนูอยากมากรุงเทพเพราะบิ๊กอาย ซึ่งหนูเป็นเด็กต่างจังหวัด เวลามาหาซื้อบิ๊กอายที่กรุงเทพ พี่ที่อยู่ข้างบ้านก็จะพาไปซื้อของ ไปเดินสะพานพุทธ หนูได้กินบุฟเฟต์ที่เป็นอาหารญี่ปุ่น จนหนูมีความรู้สึกว่าทำไมบ้านเราไม่มีอะไรแบบนี้ หนูก็เลยมากรุงเทพทุกอาทิตย์ แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะกับการอยู่กรุงเทพ”โมเมนต์นี้ ที่ทำให้รู้ว่าความลำบากเริ่มจะมาถึง“ตอนนั้นคุณแม่ต้องไปเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาล คุณพ่อความดันสูง แล้วหน้ามืดไปเลย แล้วมีโมเมนต์ที่หนูอยู่กัน 3 พี่น้อง ซึ่งต้องบอกว่าพี่ชายของหนูเค้าทำงานแล้ว เค้าต้องตื่นเช้าไปทำงาน กลายเป็นว่าพอพ่อป่วยพี่ชายต้องตื่นเช้ามากกว่าเดิม ต้องทำกับข้าวให้หนูกินตอนเช้า แล้วไปส่งไปรับหนูที่โรงเรียน แล้วหนูจำได้เลยว่า วันนั้นหนูไปสอบ GAT/PAT พอหนูกลับมา พ่อกำทองยัดใส่มือหนู ซึ่งหนูดูละครเยอะ แล้วรู้สึกว่าการที่ยื่นอะไรให้สักอย่าง มันเหมือนเป็นการสั่งเสีย หนูกลัวว่ามันจะเป็นลางอะไรรึเปล่า ตอนนั้นหนูก็ใจหวิวแล้วเข้าถึงความคิดว่า ถ้าไม่มีพ่อขึ้นมามันคงลำบากน่าดู เพราะตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าจะหาเงินยังไง แล้วเรายังเรียนไม่จบด้วย”มิกซ์ เฉลิมศรี กับวิธีคิดที่ชอบคุยกับตัวเอง“เวลาที่หนูอกหัก หรือเศร้า หนูไม่เคยฮึบไว้แล้วไปต่อเลยนะ หนูจะบิ้วท์ให้ตัวเองเศร้าให้มากที่สุด ร้องไห้ให้เต็มที่ ดูซีรี่ส์ให้มันร้องเพื่อให้ได้ระบายออกมา แล้วทุกเรื่องในชีวิต หนูพูดกับตัวเองหมด ทั้งเรื่องแฟน เรื่องงาน หรือเรื่องต่าง ๆ สมมติว่าพรุ่งนี้มีโปรเจกต์ที่จะต้องทำ หนูก็จะนั่งคุยกับตัวเอง หรือซ้อมไปเรื่อยเลย จะพูดแบบไหน ขนาดมุมหน้าหนูก็ซ้อม แล้วก็พูดกับตัวเองว่า พรุ่งนี้เราต้องทำให้เต็มที่นะเธอ หนูไม่เคยด่าตัวเองเลย แล้วหนูจะขอโทษตัวเองเวลาป่วย ขอโทษนะที่ใช้ชีวิตหนัก จนแฟนหนูเคยคิดว่าหนูเป็นบ้า ถามว่าที่รักคุยกับใครทำปากมุบมิบ หนูก็บอกว่าคุยกับตัวเอง”ย้อนเส้นทาง ก่อนจะมาเป็นศิลปินคิวทอง“หนูเคยทำสไตล์ลิสช่วงสั้นมากเลย เพราะหนูจบสายแฟชั่น จากนั้นก็มูฟตัวเองมาเป็นเน็ตไอดอล แล้วผันตัวสู่การเป็นยูทูบเบอร์ ซึ่งคลิปที่ทำให้คนรู้จักหนู คือคลิปใช้รองเท้าแตะแต่งหน้า เริ่มจากที่เมื่อก่อนมันจะมีบิวตี้บล็อกเกอร์ดังเยอะมาก แล้วส่วนมากจะทำคลิป 15 วินาทีหมดเลย หนูก็เลยลองใช้รองเท้าแตะมาแต่งหน้าบ้าง ซึ่งจริง ๆ มันแต่งไม่ได้ แต่มันก็อยู่ที่การตัดต่อ เพราะว่ายุคนั้นต้องทำยังไงก็ได้ให้คนว้าว แล้วคลิปมันต้องสั้นที่สุด เพื่อให้คนได้แชร์ แต่รองเท้าแตะหนูซื้อใหม่นะ คลิปนั้นมีคนดูประมาณ 2 ล้าน แล้วมีฝรั่งเอาไปคัฟเวอร์ต่อด้วยจากนั้นหนูก็เข้าวงการบิวตี้บล็อกเกอร์ ขายแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสินค้ามันต้องโปรโมทอะไร เพราะว่ายุคนั้นมันเป็นครีมออนไลน์ แต่โจทย์ของเราคือเงิน ดังนั้นทำยังไงก็ได้ให้เราได้เงิน เราต้องทำให้ครีมมันน่าใช้ที่สุด ซึ่งหนูก็รีวิวไปเรื่อยเปื่อยตามที่ลูกค้าอยากได้แล้วก่อนที่จะมาอยู่ในแก๊งหิ้วหวี หนูแอบกลัวว่าจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม เพราะ นิสา เค้าทำอะไรเป็นแพทเทิล แต่หนูไม่เคย หนูเป็นเพื่อนกับทุกคนได้หมด แต่ นิสา เค้าจะเป็นเป็นคนที่ทุกอย่างเป็นแพทเทิล เพราะเค้าโตมากับการทำงาน แล้วพอมาทำรายการหิ้วหวี หนูให้ นิสา ตีลังกา ให้เล่น ให้รำ ซึ่งเค้าก็ทำ พอได้มาทำงาน มาอยู่ด้วยกัน มันเลยกลายเป็นความลงตัวของแก๊งเรา”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางศิลปิน“ตอนที่หนูอยู่กับเพื่อนที่ต่างจังหวัด พวกหนูชอบแปลงเพลง ชอบแต่งกลอนให้กัน แต่งกลอนด่ากันใน Facebook ซึ่งหนูเลยคิดว่าทุกคนทำได้ ทุกคนทำเป็น หนูก็เลยไม่คิดว่านี่คือความสามารถด้วยซ้ำเพลงแรกของหนูคือ เพื่อนไม่ไหว มันมาเป็นเพลงแรกเพราะอยากมีเพลงเป็นของตัวเองตอนนั้นหนูเห็นยูทูบเบอร์คนอื่นมีเพลงหมดแล้ว เสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เราต้องทำอะไรก็ได้ให้มันดีกว่า ซึ่งเวลาแต่งเพลงหนูก็เริ่มจากเนื้อเพลงและเมโลดี้คู่กันไปเลย หนูก็ฮัมเพลง แล้วก็ส่งไปให้คนทำเพลงเลยซึ่งที่เพลงส่วนมากเป็นไวรัล อาจเพราะหนูใช้ภาษาตามยุคด้วย จะเป็นภาษาที่คนเค้าเล่นกันตามคอมเมนต์ ซึ่งภาษาที่หนูใช้บางคนอาจจะมองว่าสวย แต่สำหรับหนู หนูมองว่ามันเป็นภาษาคนที่ใช้สื่อสาร แล้วหนูชอบนั่งมอเตอร์ไซค์ หนูชอบให้ลมโต้ถึงจะนึกคำออก ถ้าอยู่ในห้องอึดอัด น้อยมากที่หนูจะนึกคำออก แล้วถ้าหนูนึกออกก็จะแบบบันทึกเสียงเก็บไว้ จนบางทีพี่ คนขับก็จะคิดว่าหนูแปลก ๆ หนูคุยกับใคร แต่หนูแค่อัดเสียงเก็บไว้ ขนาดแฟนหนูบอกว่าเราไปหาที่พักสบาย ๆ ไหมเผื่อที่รักเขียนเพลง หนูยังบอกว่าคิดไม่ออกหรอกช่วงหลัง ๆ เริ่มมีลูกค้าขอให้แต่งเพลงยอะมาก ซึ่งหนูจะเลือกทำให้ก็ต่อเมื่อถ้าชั่วโมงนั้นหนูคิดออกหนูรับ แต่ถ้าหนูคิดไม่ออกคือไม่รับ อย่างเช่นลูกค้าอยากให้ทำเพลงให้ขนม แล้วบรีฟว่าอยากได้เพลงแบบไหน เราก็จะวางสายหายไปชั่วโมงนึง แล้วก็ส่งให้ลูกค้าเลย ถ้าลูกค้าโอเค หนูถึงจะรับทำต่อ”กว่าจะเป็น เลือดกรุ๊ปบี เพลงแจ้งเกิด “เอิ้ก ชาลิสา”“ยายเอิ๊กเค้าเป็นคนชอบร้องเพลงมาก หนูก็เลยถามว่า เจ๊อยากมีเพลงไหมสนุก ๆ เค้าก็บอกว่ายังไม่อยากสนุก อยากได้เพลงที่หวาน ๆ เศร้า ๆ อยากเป็น อิ้งค์ วรันธร อยากร้องเพลงที่ผู้ชายฟังแล้วรู้สึกว่าเราตัวเล็กน่ารัก คุยกันแค่นั้นเลย แล้วหนูก็บอกว่างั้นเอาเลือดกรุ๊ปบีมาแต่งต่อยอดไหม เพราะว่าใน Tiktok มันกำลังไวรัล เลยถามว่าเลือดกรุ๊ปบี อยากจะให้ตีความเป็นแบบไหน เอิ้ก ก็เลยบอกว่า ที่ไม่มีแฟนอาจจะเป็นเพราะเลือดกรุ๊ปบีรึเปล่า หนูเลยขยายความให้มันกว้างขึ้นโดยการโทษเบอร์ โทษราศี โทษทุกอย่างแต่ไม่โทษตัวเองเลยก่อนจะปล่อยเลือดกรุ๊ปบี หนูคิดว่าเพลงนี้แมส แต่ไม่คิดว่าดังขนาดนี้ หนูคิดว่าหลาย ๆ คนต้องชอบ เพราะว่าหนูตั้งใจให้มันแมสด้วยเมโลดี้ พอปล่อยเพลงออกมา กลายเป็นว่ายอดวิวสูงมาก แล้วคนก็เล่นใน Tiktok เยอะมาก เจอผู้ชายร้องตามผับ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เพลงนี้ใครร้อง หรือว่าใครแต่ง จนได้ไปออกตามรายการสัมภาษณ์ เค้าถึงรู้ว่าเพลงนี้หนูเป็นคนแต่ง ซึ่งหนูแต่งชั่วโมงเดียวหนูรู้สึกดีใจกับเอิ้ก ก่อนหน้านั้นเค้าเป็นคนขี้อายแล้วไม่ทำอะไรเลย เมื่อก่อนกว่าเค้าจะมาออกช่องหนู หนูต้องขอเอาเค้ามาออก จนหนูบังคับเค้าว่า เจ๊ทำช่องตัวเองเถอะ ตัวเองก็เป็นคนพูดสนุก ทำรายการตัวเองได้แล้ว พอเค้าทำรายการตัวเอง เราก็สบายใจแล้ว แต่กว่าจะลุกมาทำรายการตัวเอง กว่าจะอัดแต่ละอาทิตย์ กว่าจะปล่อยเพลงมันนานมาก แต่พอเค้าดังปุ๊บ เค้าจะได้รู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อกับชีวิต ซึ่งหนูก็ดีใจกับเอิ้ก”ฟ้ารักพ่อ เพลงสุดไวรัล จาก มิกซ์ เฉลิมศรี“หนูเป็นคนที่ชอบฟังเพลงดิสโก้ ก็เลยอยากลองทำเพลงเร็ว แล้วด้วยความที่หนูเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ปล่อยหนึ่งเพลงมันเฉยไป เราต้องปล่อยเป็นอัลบั้ม หนูก็ใช้เทคนิคของหนูไปเรื่อย ด้วยการปล่อยท่อนฮุคไปก่อน ปล่อยไปเรื่อย ๆ ทำให้คนอยากฟังเพลงเราหนูปล่อยเพลง ฟ้ารักพ่อตอนตี 2 เพราะคนตัด MV หนูยังไม่เสร็จ แต่พอหลังเที่ยงคืน แฟนคลับทักมาเยอะมากว่าเมื่อไหร่จะปล่อยเพลง แล้วหนูรำคาญมาก เลยโทรบอกคนตัดว่าเอามาปล่อยเลย แล้วไฟล์ที่มาปล่อยลง Youtube ไม่ได้เป็นมาสเตอร์ด้วย ฟังกันไปอย่างงั้น แล้วคนก็ชอบแรงบันดาลใจให้หนูแต่งเพลงฟ้ารักพ่อ เริ่มจากหนูไปนั่งกินข้าวกับเพื่อน ในร้านเปิดเพลงลูกทุ่ง แล้วเพื่อนหนูชอบฟังเพลงลูกทุ่ง หนูก็บอกเพื่อนว่า เพลงแม่ผึ้งสมัยก่อนมันเลิศ ดนตรีจังหวะสนุก แล้วเรื่องราวไม่เห็นเกี่ยวกับความรัก แต่ดังทุกเพลงเลย หนูก็เลยมีไอเดียว่า ฉันจะแต่งฟ้ารักพ่อ หนูพูดแค่นั้น แต่มันยังไม่มีไอเดียเลยว่า ฟ้ารักพ่อ มันจะไปในรูปแบบไหน ซึ่งเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงฟ้ารักพ่อ ก็คือเพลงเงินน่ะมีไหม ของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ฟ้ารักพ่อ หนูจำได้ว่าตัวเองแต่งไว้นานมาก จนหนูก็ไปอัดเพลง น้องเบน วง LUSS บอกว่าไปอัดไว้ก่อนเผื่อหนูได้ยินดนตรีจะได้รู้ว่าอยากใส่อะไรเข้าไปในเพลง แล้วหนูก็ร้องว่า It's me yyy ป๋าสั่งอะไรหรือยัง หนูก็ร้องขึ้นมาแบบนี้ แล้ว พัมกิ้น น้องที่ไปด้วยก็ชอบ เลยให้หนูลองโทรไปชวนพี่ยุ้ย ญาติเยอะ มาฟีทเจอริ่ง หนูก็โทรเลย ซึ่งพี่ยุ้ยก็ตกลง เพราะหนูรู้สึกว่า พี่ยุ้ย เป็นอีกคนที่ชอบร้องเพลงเกี่ยวกับป๋า เกี่ยวกับเสี่ย แล้วหนูอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงที่นักร้องกลางคืนได้เอาไปร้อง เพื่อเล่นกับลูกค้า หนูว่ามันน่ารัก”“ถ้าไม่มีฉัน” อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเธอจะอยู่ได้หรือเปล่า“เพลง ถ้าไม่มีฉัน มันเริ่มจากหนูป่วยเป็นโรคตับอักเสบแบบเฉียบพลัน เพราะว่าหนูเป็นไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน แล้วเป็นช่วงที่หนูภูมิตกก็เลยต้องไปนอนโรงพยาบาล แล้วคุณหมอบอกว่าคนไข้มีสิทธิ์ไตวาย ที่อยู่ ๆ ก็หลับไปเลยได้ พอแฟนหนูรู้เค้าก็โทรไปบอกเพื่อน ๆ หนู แล้วทุกคนมาเยี่ยมหนูเต็มห้อง เค้าก็มาคุยมาเล่น แล้วมันคือช่วงเวลาที่หนูมีความสุขมาก แล้วแอบคิดในใจว่าถ้าสมมติเมื่อกี๊เราตาย เราคงเห็นแก่ตัวมาก เพราะเรามีความสุขแล้วหลับไปเลย แต่ถ้าสมมติว่าเราไม่อยู่แล้ว สงสารเพื่อนนะ มันคงเศร้ากันน่าดู ก็เลยมาเป็นเพลง ถ้าไม่มีฉันส่วนไอเดียการทำ MV เพลงถ้าไม่มีฉัน คือหนูอยากทำ MV เดียว เพราะเปลืองเงิน แล้วก็เกิดไอเดียวว่า ถ้าเอาคนมานั่งรถน่าจะง่าย เล่าว่าชีวิตคนเรานั่งรถมาด้วยกัน ระหว่างทางก็ต้องมีคนลงรถก่อน หนูอยากเล่าแค่นี้ แล้วก็ปรึกษาน้องผู้กำกับ น้องบอกว่าไม่ได้พี่พูดมาเยอะมาก ในทางของผู้กำกับ แล้วก็ลองคิดต่อว่าถ้าเป็นคนจริงมาเล่น คนดูจะต้องรู้สตอรี่ของแต่ละคนอยู่แล้ว อย่าง พี่มิวกี้ กับ พี่แดน ก่อนถ่ายทำหนูแค่บิ้วท์บอกว่า ลองคิดว่าไปเที่ยวด้วยกัน แล้วระหว่างทางจะมีคนหนึ่งลงรถ แล้วพอถ่ายทำเค้าก็ร้องไห้กันเอง หนูซึ่งนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ หนูก็ร้องไห้ทั้งวัน เราอินกับเรื่องราวของคนที่มาเล่น MV มาก”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ มิกซ์ เฉลิมศรี“ความรักกับแฟนคนปัจจุบันดีนะคะ เค้าก็น่าจะชินกับชีวิตหนูแล้ว เพราะหนูเป็นคนแบบไปไหนไปเลย โดยไม่บอก แล้วค่อยมาบอกอีกทีตอนถึงแล้ว เราคบกันมา 3 ปีแล้วค่ะ เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนัดเจอเลย แต่มันเป็นช่วงที่หนูไม่อยากมีแฟนแล้ว คิดว่าตัวเองเหมาะกับการอยู่คนเดียว เพราะไปไหนก็ไม่ต้องพึ่งพาใคร จนหนูมาเจอคนนี้เพลง Next love คือเพลงที่หนูแต่งให้แฟนปัจจุบัน คือต้องบอกว่าหนูมีความสัมพันธ์แบบว่านัดเจอกัน แล้วหนูก็ไม่ได้เจอ แต่เค้าชอบโทรหาหนูบ่อยมาก แต่หนูก็บอกเค้าว่าช่วงนี้ไม่อยากมีแฟน ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่อยากมีเหมือนกัน แต่แค่อยากโทรคุยด้วย เห็นว่าเธอน่ารัก หนูก็คุยรับบ้างไม่รับบ้างตามสไตล์ จนเค้าก็มาหา อยู่ดี ๆ เค้าก็สารภาพมาว่า เค้ามีแฟนนะ แต่ก็เหมือนไม่มีเพราะเค้าไม่ได้อยู่กับแฟน แล้วเป็นช่วงที่เค้ารู้สึกว่าแฟนไม่รักเค้าเหมือนเดิมแล้ว หนูก็เลยบอกว่าถ้าจะทำให้ถูกต้องควรไปบอกเลิกกับแฟน เธอไปเคลียร์ตัวเอง เค้าก็หายไปแล้วเค้าก็กลับมาบอกว่าเค้าเลิกแล้ว แล้วเค้าก็มาอยู่แบบนี้กับหนูไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ เค้าก็บอกว่า ถ้าอยากขอเป็นแฟนต้องทำยังไง หนูก็เลยรับปากส่ง ๆ ว่า ถ้าอยู่ถึงปีก็เป็นแฟน ซึ่งไม่มีการขอเป็นแฟนใดใด แล้วตอนที่หนูป่วยเค้าก็มานอนเฝ้า ตอนนั้นเค้าเป็นวิศวกรสายก่อสร้าง หนูก็จะเหมือนเดิมที่จะบอกว่าไม่ต้องมา ไปทำงาน หนูอยู่ได้ แต่เค้าก็จะมาเฝ้า จน ณ วันนี้เค้าก็ยังอยู่ในชีวิต แล้วก็แฮปปี้ดีค่ะ”แรงบันดาลใจจาก มิกซ์ เฉลิมศรี“หนูอยากบอกน้อง ๆ ทุกคน ที่อยากจะทำอะไรก็ตาม แค่มองเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นผลดีกับตัวเราแค่นั้นพอเลย แล้วก็ลงมือทำเลย เดี๋ยวทุก ๆ ก้าวที่เราลงมือทำ มันจะพาเราเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เอง” – มิกซ์ เฉลิมศรีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1