20 ธ.ค. 2021
[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN
(บทความนี้ ไม่มีสปอยล์ จะพยายามเขียนเพื่อรักษาอรรถรสของทุกคนให้มากที่สุด)มอบตำแหน่งภาพยนตร์ที่ไฮป์์หรือกระแสความอยากดูมากที่สุดนับตั้งแต่Avengers : EndgameไปครองเลยสำหรับSpider-Man : No Way Homeซึ่งหลายคนมองว่าน่าจะเป็นหนังที่ปลุกให้บ็อกซ์ออฟฟิศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังซบเซาเกือบ2ปีเต็มเพราะโควิด-19ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เมื่อหนังเปิดตัวแรงด้วยการทำรายได้วันแรกในอเมริกาสูงสุดตลอดกาลเป็นรองเพียงEndgameบวกกับกระแสคำวิจารณ์ในแง่บวกที่เปิดมาล็อตแรกก็กวาดคำชมไปแบบ100% (ตอนนี้ลดลงมาเหลือ94%ในRotten Tomatoes)ยิ่งทวีกระแสความน่าดูเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก ด้วยความเป็นหนังปิดไตรภาคของSpider-Manในฉบับ ทอม ฮอลแลนด์ และเป็นหนังสำคัญที่จะเชื่อมจักรวาลมาร์เวลจากเฟสก่อนหน้า ไปดูเฟสใหม่หลังจากนี้ ที่จะเล่นในธีมมัลติเวิร์สอย่างจริงจัง!No Way Homeเริ่มต้นเรื่องราวทันทีที่ภาคก่อนหน้าอย่างFar For Homeจบลง เมื่อมิสเตอริโอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่า สไปเดอร์แมนก็คือ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ทำให้ชีวิตของเขายุ่งยากและพาทำให้คนรอบข้างทั้ง เอ็มเจ เน็ด และป้าเมย์ เดือดร้อนกันไปหมด และเพราะอยากจะแก้ไขปัญหานี้ เขาจึงหันไปพึ่งพา ด็อกเตอร์สเตรนจ์ ในการร่ายมนต์เพื่อทำให้ทุกคนลืมซะ ว่าเขาคือสไปเดอร์แมน แต่ระหว่างการร่ายมนต์เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อปีเตอร์พยายามจะแก้ไขไม่ให้คนรักและเพื่อนสนิทลืมว่าเขาคือสไปเดอร์แมน นำไปสู่การเปิดมิติระหว่างจักรวาล จึงให้เหล่าตัวร้ายจากสไปเดอร์ใน มัลติเวิร์สอื่น โผล่มายังมิติของเขา ประกอบด้วย กรีน ก็อบลิน,ด็อกเตอร์อ็อกโตพุส และแซนด์แมน จากSpider-Manในฉบับของผู้กำกับ แซม ไรมี่ และ อีเล็กโตร กับ ลิซาร์ด จากThe Amazing Spider-Manในฉบับของ มาร์ก เว็บบ์ไม่แปลกใจเลยที่หลายเสียงบอกว่า นี่อาจจะเป็นSpider-Manภาคที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เฉพาะในฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับหนังทั้ง8เรื่องที่เคยสร้างมาก นี่คือSpider-Manภาคที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ทางด้านอารมณ์มากที่สุด และไม่แปลกใจเลยที่มันจะไฮป์ในระดับน้องๆของAvengers : Endgameเพราะมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ชมส่งเสียงเชียร์หรือเสียงน้ำตาระหว่างชม เป็นหนังที่สนุกครบรส และครบเครื่องเรื่ององค์ประกอบจริงๆ จนสามารถไปเทียบความยิ่งใหญ่กับหนังมาร์เวลระดับบนๆอย่างAvengers : Endgame, Captain America : Civil Warหรือแม้แต่Black Pantherได้สบายๆสิ่งหลักสำคัญที่ส่งให้Spider-Man : No Way Homeยอดเยี่ยม คือเส้นเรื่องของตัว ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ เอง หลังจากเขาเริ่มต้นเรื่องราวในHomecomingและFar From Homeในภาคนี้จะได้เห็นปีเตอร์ เติบโตอย่างแท้จริง จากเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นสไปเดอร์แมน ยังถูกหลายคนเรียกว่าเด็กน้อย แต่สถานการณ์ในหนังภาคนี้ ส่งให้เขาเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างเต็มตัว เราจะได้เห็นเขาตัดสินใจแบบคนที่โตแล้ว ระหว่างดูความรู้สึกมันตื้นตัน เหมือนกับลูกชายที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้เรียนจบและมีความเป็นผู้ใหญ่เสียที นี่คือแกนหลักที่ทำให้Spider-Manในภาคนี้กินใจผู้ชมได้อย่างไม่ยากสิ่งที่ทำให้Spider-Man : No Way Homeไฮป์ขั้นสุด คงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของ5ตัวร้ายหลักจากSpider-Manในฉบับก่อนๆ การที่ได้เห็น วิลเล็ม ดาโฟ ปรากฏตัวอีกครั้งในลุคของ กรีน ก็อบลิน คือชวนขนลุกสุด ย้อนกลับไปนึกถึง19ปีก่อนที่เราได้ดูSpider-Man (2002)ในโรงภาพยนตร์ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหวนคืนกลับมา แล้วได้เห็น อัลเฟรด โมลีน่า,เจมี่ ฟ็อกซ์,โทมัส เฮย์เดน เชิร์ช และ ไรส์ ไอฟานส์ มันเหมืิอนภาพเก่าๆตลอดเกือบ20ปีค่อยๆย้อนกลับมาหมด แล้วหนังหาเส้นเรื่องที่น่าสนใจให้กับตัวละครเหล่านี้ด้วย ไม่ได้แค่กลับมาแล้วก็ปราบๆพวกเขา ทำให้Spider-Man : No Way Homeดูจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยหัวใจ ซึ่งผู้ชมน่าจะสัมผัสได้จริงๆSpider-Man : No Way Homeมีรายละเอียดอีกมากมายที่ขอจะไม่กล่าวถึง เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการชม สำหรับแฟนๆของSpider-Manและคอซูเปอร์ฮีโร่ นี่คือหนังที่เซอร์วิสแฟนขั้นสุด เป็นหนังที่ควรดูบนจอใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางคนจำนวนมาก คุณจะได้ส่งเสียงเชียร์ ฮือฮา ไปพร้อมกับทุกคนซึ่งเพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างดีเยี่ยม(เหมือนดูคอนเสิร์ต ที่ต้องดูกับคนเยอะๆเพื่อเพิ่มอารมณ์)แต่สำหรับผู้ชมทั่วไป นี่คือหนังที่สนุกลงตัว ครบรส มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะหาได้ มันทั้งมันส์ ทั้งตื่นเต้น ทั้งทำให้คุณหัวใจพองโต ทำให้คุณเสียน้ำตา ทุกจังหวะในหนังเล่าเรื่องได้อย่างกลมกล่อมมากๆ แม้สถานการณ์โควิดจะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เงียบเหงาไปนาน แต่เมื่อมีหนังใหญ่สักเรื่องที่พร้อมจะดึงผู้ชม ทุกคนก็ยังกลับมาเจอกันในโรงหนัง และSpider-Man : No Way Homeคือภาพยนตร์เรื่องนั้น