[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

17 ธ.ค. 2021

การกลับมาของ The Matrix น่าจะเป็นโปรเจกต์ที่หลายคนลุ้นผลลัพธ์มากที่สุด ย้อนกลับไปสมัยภาคแรก The Matrix คือหนังระดับนวัตกรรมก็ว่าได้ มันสร้างมาตรฐานใหม่ๆให้กับหนังฮอลลีวูด ด้วยเส้นเรื่องที่มีชั้นเชิงและคมคาย ฉากแอ็กชั่นที่แปลกใหม่ จนกลายเป็นภาพจำที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังแอ็กชั่นไซไฟยุคต่อมา แม้ว่าภาคต่ออย่าง The Matrix Reloaded และ The Matrix Revolutions จะไม่ได้เล่าเรื่องกลมกล่อมเท่าภาคแรก มีความยุ่งเหยิงในเส้นเรื่อง จังหวะแปลกๆในบางอารมณ์ แต่ต้องยอมรับว่า ฉากแอ็กชั่นก็ยังเป็นที่จดจำ สร้างมาตรฐานใหม่ๆเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น การตัดสินใจกลับมาทำ The Matrix ภาคใหม่ในรอบ 18 ปี จึงเป็นเรื่องท้าทาย เพราะถ้ามันไม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ๆ มันจะเป็นการถอยหลังลงคลอง ซึ่งน่าเสียดายเอามากๆ

จากตัวอย่างจะเผยให้เห็น นีโอ (รับบทโดย คีอานู รีฟส์) ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา มีชีวิตปกติทั่วไป และได้เจอกับ ทรินิตี้ (รับบทโดย แคร์รี่ แอนน์-มอส) แต่เขาทั้งสองคนจำกันไม่ได้ ก่อให้เกิดคำถามจากผู้ชมว่า เกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันเอง เพราะนีโอน่าจะตายไปแล้วในตอนจบของภาคก่อน ไม่นานก็เป็นการปรากฏตัวของ มอร์เฟียส (รับบทโดย ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3) ในวัยหนุ่ม พร้อมกับสมาชิกยานกลุ่มใหม่ ที่จะพานีโอเข้าสู่โลกของเดอะเมทริกซ์อีกครั้ง นั่นก่อให้เกิดคำถามมากมายว่า ภาคนี้มาพร้อมกับพล็อตอะไรกันแน่ และปริศนาที่ซ่อนอยู่คืออะไร ซึ่งคงต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์

เมื่อภาพยนตร์เริ่มดำเนิน ตลอด 1 ชั่วโมงแรก นอกจากหน้าตาของ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส แล้ว เหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่ The Matrix อยู่ มันมีความแปร่งไปค่อนข้างมาก ทั้งอารมณ์ระหว่างดู สไตล์ในการเล่าเรื่อง สิ่งที่ยังทิ้งไว้คล้าย The Matrix คือการเล่าเรื่องแบบเอื่อยๆและยืดยาวเกินจำเป็น แบบที่ภาค 2-3 ทำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก กว่าที่หนังจะได้อารมณ์แบบ The Matrix จริงๆก็ปาเข้าไปชั่วโมงที่ 2 แล้ว ที่ค่อยให้อารมณ์ที่คุ้นเคย จังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่ว่าหนังจะต้องเหมือนกับไตรภาคแรกก็ได้ แต่เมื่อพยายามจะไปทิศทางใหม่ แต่มันไม่ได้ดีกว่า อย่างน้อยพยายามยึดโยงกับอารมณ์แบบเดิมก็ยังดี องค์แรกของภาคนี้ ดูยุ่งเหยิงและหลงทาง กว่าจะเริ่มเข้าที่ก็เข้าสู่องค์ถัดมา

นอกจากการเล่าเรื่องที่แปร่งและมีจังหวะประหลาดๆหลายรอบ สิ่งที่ขาดหายไปอย่างชัดเจนในการกลับมาของ The Matrix ในครั้งนี้คือฉากแอ็กชั่นระดับนวัตกรรม หรือเป็นที่จดจำระดับ Iconic ถ้าย้อนกลับไปภาคแรก เราล้วนตื่นตากับฉากหลบกระสุน ฉากนีโอกระโจนเข้ามาสมิธ ฉากบู๊ห้องโถงชั้นล่าง หรือแม้แต่ฉากประลองฝีมือของ นีโอกับมอร์เฟียส แต่ละฉากคือเป็นที่จดจำ สดใหม่ และตรึงอารมณ์ ในขณะที่ภาคสองยังมี ฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ที่พีกมาก และภาคสามก็มีฉากปะทะกลางสายฝน แต่พอตัดภาพมาที่ภาคนี้ แทบจะไม่เจอฉากอย่างว่า ทุกซีนบู๊ใน The Matrix Resurrections พร้อมจะเลือนหายไปจากหัวเมื่อหนังจบ ไม่มีอะไรติดออกมาเลยอย่างน่าเสียดาย

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่รู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบคือ สไตล์ที่หายไปอย่างชัดเจน ภาคแรกเราจะเห็นโทนสีฟ้าดำที่พยายามคุมธีม ไม่ว่าจะแคปภาพฉากไหนมา เราก็จะรู้ทันทีว่าคือ The Matrix ในขณะที่ภาค 2-3 จะเล่นกับสีเขียวเยอะขึ้น ก็ยังจำได้ว่ามาจากภาคไหน แต่สำหรับภาคล่าสุด เหมือนหนังทั่วไปอย่างน่าตกใจ บางทีแคปมานึกว่า John Wick ด้วยซ้ำ กลายเป็นงานโปรดักชันที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทุกภาค กลับถอยหลังลงไปอย่างน่าตกใจ ยิ่งเสริมอย่างชัดเจนว่า เสน่ห์ของ The Matrix มันขาดหายและเบาบางไปหมด ไม่ว่าจะในมิติใด ทั้งเนื้อเรื่อง โปรดักชั่น รวมถึงฉากแอ็กชั่นเอง

สิ่งที่แบกหนังไว้ทั้งหมด กลับเป็นทีมนักแสดง แน่นอนว่าคือ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส ที่ยังคงตรึงผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยมทุกฉาก เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองคือนีโอและทรินิตี้ เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองรักกันจริง จนนี่อาจจะเป็น The Matrix ภาคที่โรแมนติกสุดแล้วก็ว่าได้ ในขณะที่สมาชิกใหม่ก็มีเสน่ห์มากน้อยต่างกันไป ยาย่า อับดุล มาทีน ที่ 3 ค่อนข้างก้ำกึ่งในบทมอร์เฟียส ที่ดูน่าเกรงขามน้อยกว่าต้นฉบับ ในขณะที่ นีล แพทริก แฮร์ริส ดูผิดที่ผิดทางไปนิด (หรือผู้เขียนอาจจะติดภาพเขาจากบท บาร์นี่ ใน How I Met Your Mother มาเกินไปจนเขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก) มีเพียง โจนาธาน กรอฟฟ์ จากซีรีส์ Mindhunter ในบทสมิธเวอร์ชั่นใหม่ ที่น่าเกรงขาม และทัดเทียมกับ คีอานู รีฟส์ ได้อย่างดีเวลาเข้าฉากด้วยกัน

โดยรวม The Matrix Resurrections คือความน่าเสียดาย ไม่แน่ใจว่าไอเดียของโปรเจกต์นี้เริ่มต้นจาก วอร์เนอร์ หรือผู้กำกับ ลาน่า วาชอว์สกี้กันแน่ แต่ภาพรวมถือว่า ลดเกรดลงจากไตรภาคต้นฉบับอย่างชัดเจนไม่ว่าจะแง่มุมไหน แม้แต่อารมณ์ขันที่พยายามใส่เข้ามาก็ดูขัดไปเสียหมด ไม่ได้กลืนไปกับอารมณ์หนังอย่างที่ควรจะเป็น เสียชื่อของ The Matrix หนังที่เคยเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญของฮอลลีวูด นี่กลับกลายเป็นก้าวถอยหลังที่ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำ

(ให้ 5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

02 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

จะว่าไปแล้วในระยะหลัง การสร้างหนังไทยให้เป็นแฟรนไชส์ใหญ่ก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ระบาดหนักทำให้หนังไทยฟอร์มใหญ่ๆ หายไปจากการเข้าฉายในโรงมานานพอสมควร การกลับมาของหนังตระกูล 'ขุนพันธ์' ที่เดินทางมาถึงภาคที่3 แล้ว ดูจะเป็นการปักธงรบครั้งสำคัญ ที่ประกาศกร้าวว่า หนังไทยพร้อมที่จะคัมแบ็คแล้ว ด้วยฟอร์มที่จัดใหญ่จัดเต็มยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทุ่มทุนสร้างเนรมิตฉากแอ็กชันสุดอลังการ การันตีความเอพิคด้วยความยาวที่เฉียดๆ 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้ 'ขุนพันธ์ ๓' เป็นหนังไทยโปรแกรมใหญ่ ที่มาเพื่อเติบเต็มอุตสาหกรรมหนังไทยอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่านี่ีคือความพยายามที่ไม่เสียเปล่า เพราะคำวิจารณ์ล็อตแรก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนังที่โคตรสนุก นี่คือหนังแอ็กชันของคนไทยที่ดูแล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม กลับมาสวมบท ขุนพันธ์ ตำรวจยอดมือปราบที่วิชาอาคมแกร่งกล้าอีกครั้ง แต่เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างต่างมีอายุ มีเวลาเสื่อมของมัน ทำให้วิชาคงกระพันของเขาเริ่มอ่อนล้าลง โดยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจของย้ายตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อดูแลเมียและลูกในท้องของเธอ แต่แล้วกลับมีภารกิจใหญ่ ที่ทางกรมตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากขุนพันธ์อีกครั้ง เมื่อโจรผู้ร้ายในเชิ้ตดำ นำทีมโดย เสือมเหศวร และเสือดำ (รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ ภาคิน)ออกปล้นสดมภ์ พร้อมกับลักพาตัว นักการเมืองคนสำคัญไป ขุนพันธ์จึงต้องนำทีมตำรวจรุ่นใหม่ บุกไปกลางป่าลึก เพื่อไล่ล่ากลุ่มโจรแก๊งนี้ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไม่แพ้กัน กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต่างเดิมพันด้วยชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางทางการเมืองถ้าให้เทียบกับหนังไตรภาคฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูด อย่าง Spider-Man ก็อาจจะขนานนามว่าภาคนี้ว่าเป็นภาค No Way Home ของไตรภาคขุนพันธ์ก็ว่าได้ ด้วยความเล่นใหญ่ทั้งในด้านพล็อตและสเกลหนังมากกว่าภาคก่อนๆ รวมถึงมีการรวมตัวละครในจักรวาลขุนพันธ์มากกว่าภาคไหนๆ จนได้บรรยากาศความหึกเหิมในสไตล์นั้น โดยรวมถือว่าภาคนี้ค่อนข้างจัดใหญ่จัดเต็มมาก เริ่มตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผู้ชมจะสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าหนังภาคนี้ มีความเอพิกอย่างแน่นอน และเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทกับฉากแอ็กชัน ผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊ที่ค่อยๆไต่ระดับความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไต่ระดับความตู้มต้ามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอะไรที่แปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่เราไม่คาดคิด หรือไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังตระกูลขุนพันธ์ความสนุกของการดู ขุนพันธ์ ๓ คือการได้เห็นการผสมผสานหนังหลากหลายสไตล์อยู่ในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการเป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ด้วยอภินิหารที่ตัวละครมี ความแฟนตาซีที่ไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายครั้งได้ฟีลเหมือนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบไทยๆ และด้วยฉากหลังที่เป็นบรรยากาศย้อนยุค ตัวร้ายที่มาในรูปแบบกองโจร ทำให้หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแก๊งสเตอร์สุดเท่ อัดแน่นอยู่ในหนังเช่นกัน และหลังจากลองชิมลางใส่กลิ่นอายความเหนือธรรมชาติเข้ามาในสองภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะเร่งเกียร์เข้าสู่โหมดแฟนตาซีแบบจัดเต็ม เรียกว่าเทกระจาดของที่อยากใส่มาก็ว่าได้ หลายซีนชวนให้นึกถึงหนังแนวสัตว์สยอง หลายซีนพาผู้ชมเหมือนไปดูหนังผีดิบ และอีกหลายซีนที่เข้าขั้นหนังสยองขวัญสุดผวา แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันเกิน หรือหลุดพวกไปจากหนังเลย ยิ่งทำให้จักรวาลของ ขุนพันธ์ ใหญ่โตขึ้น และเป็นการเปิดทางสู่แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขึ้นอีกหลังจากนี้อีกจุดที่แอบโดนใจมากๆในหนังภาคนี้ คือการให้ฉากหลังของเรื่องราว เป็นบ้านเมืองในยุคที่ทรราชย์ปกครอง เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิด กรมตำรวจเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ มีเพียงขุนพันธ์ ที่อาจเป็นความหวังเดียวของชาวบ้าน ในขณะที่กลุ่มปัญหาชนคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านรัฐบาล กลับต้องหนีตายไปเข้าป่า กลายเป็นผู้ต้องหาจากหมายจับของรัฐ ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ที่เป็นฉากหลังของหนัง ขุนพันธ์ ๓ กลับคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนถึงการย่ำอยู่กับที่ บรรยากาศการเมืองการปกครองที่แทบจะไม่เดินหน้าไปไหน นอกจากฉากแอ็กชันที่จัดใหญ่จัดเต็ม พล็อตหนังสุดเข้มข้นแล้ว แบ็คกราวน์เรื่องเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ ขุนพันธ์ ๓ เป็นหนังย้อนยุคที่ไม่ตกยุคเลยสักนิด มีคุณค่าในตัวมัน ทั้งในแง่ของงานสร้าง การก้าวหน้าของหนังไทย และคุณค่าในแง่สังคม ที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ให้ผู้ชมได้เห็น ได้ฉุกคิดกันขุนพันธ์ ๓ เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[Review] ‘The Garfield Movie’ เอ็นจอยมากกกก การ์ฟิลด์ฉบับนี้ดีเทลมุกเยอะจัด!

21 พ.ค. 2024

[Review] ‘The Garfield Movie’ เอ็นจอยมากกกก การ์ฟิลด์ฉบับนี้ดีเทลมุกเยอะจัด!

เป็นการคัมแบ็คขึ้นจอใหญ่ของการ์ฟิลด์ที่ทั้งสนุกสนานและเพลิดเพลินมาก สำหรับ ‘The Garfield Movie’ ที่เอาเข้าจริง เจ้าแมวอ้วนสีส้มสุดขี้เกียจนี้ ห่างหายจากหนังใหญ่ไปนานถึง 18 ปีแล้ว หลังจากหนังฉบับ Live-Action ของค่ายฟ็อกซ์ ทั้งสองภาคเมื่อปี 2004 และ 2006 จนกระทั่งล่าสุดทางโซนี่คว้าสิทธิ์มาสร้าง แต่คราวนี้ขอเลือกทำในแบบหนังแอนิเมชั่นเต็มตัว ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้ใส่ฉากที่ดูจะออกแนวการ์ตูนได้มากกว่า และพอไม่มีคนแสดง หนังก็ถูกโฟกัสมาที่ตัวการ์ฟิลด์แบบเต็ม ๆ แทนที่จะต้องแบ่งช่วงเวลาบนหน้าจอให้กับ จอน เจ้าของของมันเหมือนในฉบับก่อน ๆโดย ‘The Garfield Movie’ เล่าถึง การ์ฟิลด์ (พากย์เสียงโดย คริส แพรตต์ จาก Guardians of the Galaxy) และโอลดี้ สุนัขเพื่อนซี้ของมัน ที่ถูกลักพาตัวออกจากบ้าน ไปเจอกับ วิค (พากย์เสียงโดย แซมมวล แอล.แจ็คสัน จาก The Avengers) พ่อของการ์ฟิลด์ที่พลัดพรากกันไปนาน ตั้งแต่ก่อนที่การ์ฟิลด์จะถูกรับเลี้ยงโดย จอน (พากย์เสียงโดย นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men : First Class) และด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ การ์ฟิลด์ และวิค ต้องแท็กทีมกัน เพื่อทำภารกิจลับในการบุกไปจารกรรมในโรงงานแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะมีการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่น การกลับมาเจอกันครั้งนี้ของ การ์ฟิลด์และวิค นอกจากภารกิจที่ต้องทำด้วยกันแล้ว ยังทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง แม้จะห่างหายกันไปนานก่อนดู ‘The Garfield Movie’ ทางผู้เขียนคาดหวังความสนุกแบบเต็มที่มาก่อนแล้ว เพราะเครดิตของผู้กำกับ มาร์ก ดินดัล ที่เคยฝากผลงานกำกับหนังแอนิเมชั่นสายรั่วอย่าง The Emperor’s New Groove และ Chicken Little ไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะหนังใหญ่เวอร์ชั่นจัดมุกตลกมาแบบรัว ๆ ในแต่ละฉากผู้กำกับใส่ดีเทลของมุกไว้เยอะมาก ถ้าใครเก็บทัน ก็อาจจะได้เห็นมุกฮา ๆ เพียบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุกที่ค่อนข้างคลีน เพราะหนังฉบับนี้ ออกตัวในฐานะหนังแอนิเมชั่นสำหรับทุกคนในครอบครัว ดังนั้นมุกตลกต่าง ๆ เลยถูกดีไซน์มาทั้งแบบที่เด็กก็ดูได้ และผู้ใหญ่ก็ขำไปด้วย แต่ที่คอหนังน่าจะปลื้มเป็นพิเศษ คือ พวกมุกตลกแซวหนังซึ่งจัดมาพอสมควร โดยเพราะแซวหนังของ ทอม ครูซ ที่มีทั้ง Mission: Impossible และ Top Gun : Maverick ถ้าใครเป็นแฟนหนังครูซ น่าจะอมยิ้มชุดใหญ่อย่างแน่นอนความน่าสนใจของหนังฉบับนี้ คือความพยายามที่จะฉีกจากภาพจำเดิม ๆ หลายอย่าง ทั้งคาแรคเตอร์ของ การ์ฟิลด์เอง ที่ก็ไม่ได้ดูขี้เกียจหนัก ๆ เท่าฉบับก่อน (แต่ยังกินจุเหมือนเดิม) ทำให้หนังดูแอคทีฟขึ้น มีเอนเนอร์จี้ขึ้น และการเลือกเส้นเรื่อง ให้เล่าคล้ายกับหนังสายลับ จับการ์ฟิลด์ไปทำภารกิจต่าง ๆ เปลี่ยนภาพจากแฟนรุ่นเดอะที่เคยอ่านการ์ตูน Garfield แบบ 3-5 ช่อง ที่เหตุการณ์ส่วนใหญ่มักวนเวียนอยู่ในบ้านหรือร้านอาหาร รวมถึงการย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดของการ์ฟิลด์ ทำให้เห็นภาพน่ารัก ๆ สุดคิ้วต์ซึ่งโดยปกติแล้ว เรามักจะไม่ได้เห็นจากการ์ตูนตัวนี้ และท้ายที่สุดคือความประทับใจ จากปมพ่อ-ลูก ซึ่งน่าจะเป็นมุมใหม่ที่แฟน ๆ ไม่เคยสัมผัสจากแฟรนไชส์นี้มาก่อนโดยรวม การกลับมาของ ‘The Garfield Movie’ ในฉบับนี้ ถือว่าสนุกเพลิดเพลิน และลงตัวเลยทีเดียว และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับแฟรนไชส์หนังชุดใหม่ให้กับโซนี่ได้ไม่ยาก สำหรับ คริส แพรตต์ ในการพากย์เสียงก็ถือว่าลงตัว แม้แกจะพากย์ทั้ง The Lego Movie และ The Super Mario Bros. Movie มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรว่ามันซ้ำ กลับรู้สึกเนียนไปกับการ์ฟิลด์ด้วยซ้ำ ส่วนใครที่เป็นทาสแมวนั้น รับประกันความฟินแบบคูณร้อย โดยเฉพาะช่วง End-Credit นั้น ทาสแมวตายตาหลับคาโรงอย่างแน่นอน ดังนั้น คุณไม่ควรพลาด อีกหนึ่งแอนิเมชั่นสายฮาที่บันเทิงทั้งครอบครัว สามารถหัวเราะลั่นโรงไว้ทุกวัยชมตัวอย่าง ‘The Garfield Movie’ เข้าโรง 22 พฤษภาคมนี้ภาพ : Sony Pictures Thailand

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

15 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อ2ปีก่อน โซนี่ พิคเจอร์ ได้หนังระทึกขวัญเซอร์ไพรสฮิตเรื่องใหม่มาไว้ในมือ เมื่อEscape Roomที่ทุนสร้างเพียบแค่9ล้านเหรียญฯ กลับถูกใจผู้ชมและกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง155ล้านเหรียญฯ ภาคต่อจึงถูกออร์เดอร์ให้สร้างทันที และเกือบจะได้ฉายเมื่อปีก่อน จนกระทั่งโควิด-19ทำให้ถูกขยับมาฉายในปีนี้ โดยหนังได้สองนักแสดงจากภาคแรกอย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล และโลแกน มิลเลอร์ กลับมารับบทนำอีกครั้ง ทั้งคู่คือสองผู้รอดตายจากตอนจบภาคแรก และกำลังจะเจอสิ่งที่สะพรึงยิ่งกว่าเดิมในภาคใหม่นี้ หนังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าEscape Room : Tournament of Champion (หรือในบางประเทศ เช่นในไทย ใช้ชื่อโปรโมตว่าEscape Room : No Way Out)ไฮไลต์ของมันก็คือการ เอาผู้ชนะจากเกมEscape Roomในปีก่อนๆมาเจอกัน โดยนางเอก โซอี้ ยังค้างคาใจว่าใครอยู่เบื้องหลังเกมห้องนรกนี้กันแน่ เธอจึงตัดสินใจขับรถมายังนิวยอร์กพร้อมกับ เบน ที่รอดตายมากด้วยกันและคบหากัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า การมีนิวยอร์กในครั้งนี้ มันคือการเดินเข้าสู่ เกมห้องนรกอีกครั้ง ที่ถูกดีไซน์มาให้โหดและระทึกยิ่งกว่าเดิม เพราะผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน เคยผ่านการเล่นเกมนี้มาแล้วโดยรวมEscape Room 2ยังคงระดับความสนุกและความระทึกได้ดีไม่แพ้ภาคแรก ฉากห้องนรก อาทิ ฉากในตู้ขบวนรถไฟ หรือฉากห้องริมหาด(ตามที่เผยในตัวอย่าง)ถูกออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาและน่าติดตาม กลไกของเกมในห้องต่างๆก็ยังสนุกและชวนตื่นเต้นเช่นเดิม หลายห้องหวาดเสียวจนกระทั่งไม่กล้ามองจอเลยก็มี ดังนั้น คะแนนความครีเอทีฟในการออกแบบห้องต่างๆ ยังคงให้คะแนนสูงเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการเป็นหนังภาคต่อEscape Room 2มีโครงเรื่องที่คล้ายกับภาคแรก เหมือนแค่ก็อปปี้วาง เปลี่ยนแค่การออกแบบห้อง เหมือนเส้นเรื่องไม่ได้ขยับไปไหนมากนัก ซึ่งน่าเสียดายที่มันกลายเป็นภาคต่อที่แค่ต่อเวลาความสนุก แต่ไม่่ได้ขยายปมหรือคลี่คลายปมไปมากกว่าเดิมสิ่งที่อาจจะต้องนำมากล่าวถึงในการรีวิวนี้ คือการที่หนังEscape Room 2มีหลายเวอร์ชั่น โดยที่รีวิวไปนั้นเป็นTheatrical Versionที่ฉายโรงโดยมีความยาวที่88นาที แต่หนังยังมีExtended Versionเป็นเหมือนเวอร์ช่ันแรกก่อนที่ค่ายหนังจะตัดสินใจตัดต่อใหม่ให้สั้นลง ซึ่งเวอร์ชั่นที่ยาวกว่าคือ95นาที มีอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา คือ ตัวละครผู้สร้างเกมห้องนรกนี้ ซึ่งมีทั้งฉากเปิดที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงบทสรุปที่ต่างจากเวอร์ชั่นโรงด้วย ซึ่งในBlu-RayและDVDของเมืองนอกที่วางขายแล้ว มีให้เลือกชมฉบับนี้ จึงน่าสนใจเมื่อหยิบมาเปรียบเทียบกัน แล้วพบว่าฉบับที่ยาวกว่า ดูจะทำหน้าที่ภาคต่อที่ขยายปมเรื่องที่มาของEscape Roomได้ชัดเจนมากขึ้น จึงน่าสนใจว่าทำไมโซนี่จึงตัดสินใจไม่เล่าถึงปมนี้แล้ว ในฉบับโรงท้ายที่สุดEscape Room 2ก็ยังคงเป็นหนังระทึกขวัญที่สนุกและดูเพลินแบบภาคแรก ใครที่เคยเอ็นจอยกับการหนีตายจากห้องปริศนาในภาคแรก ก็ยังคงน่าจะเพลิดเพลินไปกับหนังในภาคนี้ เพราะห้องต่างๆยังคงถูกออกแบบมาได้ตื่นเต้นและชวนติดตาม เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้เดินหน้าในฐานะภาคต่อเท่าไหร่นัก ต้องมารอลุ้นกันว่า ถ้าภาค3ตามออกมา ผู้สร้างจะพาหนังไปในทิศทางไหน เพราะเหมือนไอเดียการเฉลยถึงผู้สร้างห้องนั้น คงจะถูกเก็บไว้ในภาคใหม่ ซึ่งอาจจะมีไอเดียที่ต่างจากตอนนี้ก็เป็นอันได้ (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1