[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

02 มี.ค. 2023

จะว่าไปแล้วในระยะหลัง การสร้างหนังไทยให้เป็นแฟรนไชส์ใหญ่ก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ระบาดหนักทำให้หนังไทยฟอร์มใหญ่ๆ หายไปจากการเข้าฉายในโรงมานานพอสมควร การกลับมาของหนังตระกูล 'ขุนพันธ์' ที่เดินทางมาถึงภาคที่3 แล้ว ดูจะเป็นการปักธงรบครั้งสำคัญ ที่ประกาศกร้าวว่า หนังไทยพร้อมที่จะคัมแบ็คแล้ว ด้วยฟอร์มที่จัดใหญ่จัดเต็มยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทุ่มทุนสร้างเนรมิตฉากแอ็กชันสุดอลังการ การันตีความเอพิคด้วยความยาวที่เฉียดๆ 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้ 'ขุนพันธ์ ๓' เป็นหนังไทยโปรแกรมใหญ่ ที่มาเพื่อเติบเต็มอุตสาหกรรมหนังไทยอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่านี่ีคือความพยายามที่ไม่เสียเปล่า เพราะคำวิจารณ์ล็อตแรก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนังที่โคตรสนุก นี่คือหนังแอ็กชันของคนไทยที่ดูแล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆ

อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม กลับมาสวมบท ขุนพันธ์ ตำรวจยอดมือปราบที่วิชาอาคมแกร่งกล้าอีกครั้ง แต่เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างต่างมีอายุ มีเวลาเสื่อมของมัน ทำให้วิชาคงกระพันของเขาเริ่มอ่อนล้าลง โดยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจของย้ายตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อดูแลเมียและลูกในท้องของเธอ แต่แล้วกลับมีภารกิจใหญ่ ที่ทางกรมตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากขุนพันธ์อีกครั้ง เมื่อโจรผู้ร้ายในเชิ้ตดำ นำทีมโดย เสือมเหศวร และเสือดำ (รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ ภาคิน)ออกปล้นสดมภ์ พร้อมกับลักพาตัว นักการเมืองคนสำคัญไป ขุนพันธ์จึงต้องนำทีมตำรวจรุ่นใหม่ บุกไปกลางป่าลึก เพื่อไล่ล่ากลุ่มโจรแก๊งนี้ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไม่แพ้กัน กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต่างเดิมพันด้วยชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางทางการเมือง

ถ้าให้เทียบกับหนังไตรภาคฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูด อย่าง Spider-Man ก็อาจจะขนานนามว่าภาคนี้ว่าเป็นภาค No Way Home ของไตรภาคขุนพันธ์ก็ว่าได้ ด้วยความเล่นใหญ่ทั้งในด้านพล็อตและสเกลหนังมากกว่าภาคก่อนๆ รวมถึงมีการรวมตัวละครในจักรวาลขุนพันธ์มากกว่าภาคไหนๆ จนได้บรรยากาศความหึกเหิมในสไตล์นั้น โดยรวมถือว่าภาคนี้ค่อนข้างจัดใหญ่จัดเต็มมาก เริ่มตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผู้ชมจะสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าหนังภาคนี้ มีความเอพิกอย่างแน่นอน และเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทกับฉากแอ็กชัน ผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊ที่ค่อยๆไต่ระดับความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไต่ระดับความตู้มต้ามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอะไรที่แปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่เราไม่คาดคิด หรือไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังตระกูลขุนพันธ์

ความสนุกของการดู ขุนพันธ์ ๓ คือการได้เห็นการผสมผสานหนังหลากหลายสไตล์อยู่ในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการเป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ด้วยอภินิหารที่ตัวละครมี ความแฟนตาซีที่ไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายครั้งได้ฟีลเหมือนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบไทยๆ และด้วยฉากหลังที่เป็นบรรยากาศย้อนยุค ตัวร้ายที่มาในรูปแบบกองโจร ทำให้หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแก๊งสเตอร์สุดเท่ อัดแน่นอยู่ในหนังเช่นกัน และหลังจากลองชิมลางใส่กลิ่นอายความเหนือธรรมชาติเข้ามาในสองภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะเร่งเกียร์เข้าสู่โหมดแฟนตาซีแบบจัดเต็ม เรียกว่าเทกระจาดของที่อยากใส่มาก็ว่าได้ หลายซีนชวนให้นึกถึงหนังแนวสัตว์สยอง หลายซีนพาผู้ชมเหมือนไปดูหนังผีดิบ และอีกหลายซีนที่เข้าขั้นหนังสยองขวัญสุดผวา แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันเกิน หรือหลุดพวกไปจากหนังเลย ยิ่งทำให้จักรวาลของ ขุนพันธ์ ใหญ่โตขึ้น และเป็นการเปิดทางสู่แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขึ้นอีกหลังจากนี้

อีกจุดที่แอบโดนใจมากๆในหนังภาคนี้ คือการให้ฉากหลังของเรื่องราว เป็นบ้านเมืองในยุคที่ทรราชย์ปกครอง เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิด กรมตำรวจเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ มีเพียงขุนพันธ์ ที่อาจเป็นความหวังเดียวของชาวบ้าน ในขณะที่กลุ่มปัญหาชนคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านรัฐบาล กลับต้องหนีตายไปเข้าป่า กลายเป็นผู้ต้องหาจากหมายจับของรัฐ ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ที่เป็นฉากหลังของหนัง ขุนพันธ์ ๓ กลับคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนถึงการย่ำอยู่กับที่ บรรยากาศการเมืองการปกครองที่แทบจะไม่เดินหน้าไปไหน นอกจากฉากแอ็กชันที่จัดใหญ่จัดเต็ม พล็อตหนังสุดเข้มข้นแล้ว แบ็คกราวน์เรื่องเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ ขุนพันธ์ ๓ เป็นหนังย้อนยุคที่ไม่ตกยุคเลยสักนิด มีคุณค่าในตัวมัน ทั้งในแง่ของงานสร้าง การก้าวหน้าของหนังไทย และคุณค่าในแง่สังคม ที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ให้ผู้ชมได้เห็น ได้ฉุกคิดกัน

ขุนพันธ์ ๓ เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์


ภาพ : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Evil Dead Rise’ โคตรเฮี้ยน ! นี่คือหนังผีที่ฮาร์ดคอร์สุดในรอบหลายปี | GOSSIP GUN

21 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Evil Dead Rise’ โคตรเฮี้ยน ! นี่คือหนังผีที่ฮาร์ดคอร์สุดในรอบหลายปี | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปช่วงต้นยุค 80s หนังตระกูล Evil Dead ได้ถือกำเนิดขึ้น เดิมทีมันเป็นเพียงหนังสยองทุนต่ำ จากผู้กำกับที่ไม่มีใครรู้จักมากนัก แต่ด้วยกระแสปากต่อปากที่บอกต่อ ว่านี่คือหนังสยองที่ไม่ประนีประนอมคนดู จัดหนักจัดเต็มแบบไม่เหมืิอนใคร ทำให้ Evil Dead กลายเป็นหนังที่ค่อยๆ ฮิต จนท้้ายที่สุดทำรายได้มากกว่าต้นทุนถึง 8 เท่า และส่งให้ แซม ไรมี่ ผู้กำกับกลายเป็นที่รู้จัก (และกลายเป็นตัวพ่อแห่งหนังสยองจนถึงปัจจุบัน) จากความสำเร็จของภาคแรก ทำให้ Evil Dead ของแซม ไรมี่ ถูกสร้างต่อจนครบไตรภาค ถูกนำมาสร้างกึ่งๆ รีเมกอีกครั้งในปี 2013 ถูกต่อยอดออกมาเป็นฉบับซีรีส์ใน Ash VS Evil Dead จนกระทั่งล่าสุด แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 40 ปีแล้ว แต่ชื่อชั้นของหนังยังไม่สิ้นสุด จนล่าสุด แซม ไรมี่ และพระเอกต้นฉบับ บรู๊ซ แคมป์เบล ขอจับมือกันมาสร้างหนังภาคใหม่อย่าง Evil Dead Rise ที่แม้เส้นเรื่องจะแยกจากภาคก่อนๆอย่างชัดเจน แต่จิตวิญญาณอันอำมหิตแบบ Evil Dead ยังอยู่ครบ ! Evil Dead Rise เล่าเรื่องราวของ เบธ หญิงสาวที่เดินทางมาเยี่ยมพี่สาวในตึกอพาร์ทเมนต์ในลอสแองเจลิส ณ ที่แห่งนี้ พี่สาวของเธอ แอลลี่ อาศัยอยู่กับลูกๆอีก 3 คนเพียงลำพัง หลังจากเธอแยกทางกับสามีไป แต่ไม่นานนักวันอันแสนสุขก็ถูกรบกวน เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ชั้นใต้ดินยุบลงไป และปรากฏห้องลึกลับที่ซ่อนอยู่ โดยในที่แห่งนี้ ลูกชายคนโตของแอลลี่ ได้เจอหนังสือลึกลับที่เต็มไปด้วยความสยอง ซึ่งวิญญาณอันชั่วร้ายที่เคยถูกกักขังไว้ ได้ถูกปล่อยออกมา และตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา ทุกชีวิตในตึกแห่งนี้ได้ตกอยู่ในอันตราย เพราะปีศาจที่อัดแน่นด้วยความโกรธแค้นกำลังจะฆ่าทุกชีวิต ด้วยระดับความโหดที่ไม่มีใครคาดคิด นี่อาจจะเป็นหนังผีที่ Hardcoreที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ซีนเปิดหนัง Evil Dead Rise ไม่เกรงใจคนดูในแง่ความโหดเลย ด้วยซีนสยองในกระท่อมกลางป่าที่มีกลิ่นอายแบบหนังต้นฉบับ กับฉากเลือดสาดที่จะทำให้คนดูอ้าปากค้างตั้งแต่แรก ก่อนจะปรับโหมดเข้าสู่ความสยองขวัญที่เกิดขึ้นในตึกอพาร์ตเมนต์ ซึ่งถือว่าเป็นบรรยากาศค่อนข้างใหม่สำหรับหนังตระกูลนี้ กลายเป็นมีอารมณ์คล้ายกับหนังตระกูล [REC] ผสมผสานกันไป เพิ่มความสดใหม่ให้กับแฟรนไชส์ หนังใช้เวลาในการปูเรื่องไม่นานนัก ก่อนจะเข้าโหมดสยองโหดแบบ Non-Stop โดยเฉพาะในชั่วโมงที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มแบบไม่ให้คนดูพักกันเลยทีเดียว เชื่อว่าผู้ชมจำนวนไม่น้อยน่าจะดูไปเหนื่อยไปกับหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่าข้อดีที่ชัดเจนที่สุดของ Evil Dead Rise คือความจัดหนักจัดเต็มที่เทความสะพรึงเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ขึ้นโลโก้ค่ายหนัง Warner Bros. ซึ่งเลือกใช้ซาวน์ได้ชวนขนลุก ต่อเนื่องด้วยซีนที่ขึ้นชื่อหนังที่ใช้ซาวน์ได้สยองขั้นสุด ในการดำเนินเรื่อง ความสยองที่ผู้สร้างเลือกใส่เข้ามามีหลากหลายแบบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสไตล์ที่จัดจ้านแบบ Evil Dead ไม่ว่าจะเป็นความโหดแบบไม่เกรงใจใคร หนังเลือกใช้ฉากเฉือนอวัยวะ ฉากใช้อาวุธต่างๆแทงเข้าไปในจุดที่หวาดเสียว เล่นเอาผู้ชมจำนวนไม่น้อยต้องละสายตาจากจอ บวกกับการดีไซน์ตัวละครที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ที่ออกแบบมาได้สุดแสนจะประหลาด แค่มองนิ่งๆก็ชวนผวาแล้ว และเมื่อเริ่มขยับร่างกาย ความหลอนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ด้วยท่าทางสุดพิศดารที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ บวกกับความคาดเดาไม่ได้ของผี ยิ่งทำให้หนังชวนหวาดผวามากขึ้นหลายเท่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่กวนใจผู้ชมของ Evil Dead Rise อยู่ไม่น้อยคือความงี่เง่าของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 พี่น้องที่มักจะทำอะไรที่ไม่ควรทำอยู่เสมอ ทำให้หลายคนอดดูไปสาปแช่งไปไม่ได้ จำใจต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ถ้าตัวละครไม่ทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ เส้นเรื่องคงไม่เดินไปไหน ก็ต้องยอมหงุดหงิดไป เพื่อให้หนังมันไปต่อได้ในที่สุด แต่สำหรับใครที่ไม่ติดใจเรื่องจุกจิกตรงนี้ น่าจะสามารถเอ็นจอยกับหนังได้แบบเต็มๆ คอหนังสยองสายโหดน่าจะฟินกันพอสมควร โดยนอกจากฉากสยองโหดแบบจัดหนักแล้ว หนังยังมีกลิ่นอายของตระกูล Evil Dead อย่างชัดเจนอีกด้วย ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ให้อารมณ์คล้ายกับไปเข้าบ้านผีในสวนสนุกอยู่ไม่น้อย เพียงแค่โหดกว่า เลือดสาดกว่า ใครที่จะพาเด็กๆไปดู ขอเตือนว่าไม่ควร เพราะเรื่องนี้เรียกว่าได้เรต Rแบบปริ่มๆกันเลยทีเดียวภาพ : Warner Bros. Thailandชมตัวอย่าง Evil Dead Rise วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

16 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2020 Extraction คือหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ของ Netflix ที่ได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 ไปแบบเต็มๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆหลังล็อกดาวน์ โรงภาพยนตร์ถูกปิด หนังโปรแกรมยักษ์ทั้งหมดถูกเลื่อนฉายแบบไม่มีกำหนด แต่ Extraction กลายเป็นหนังฟอร์มโตเรื่องเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโปรแกรมฉายนั้นอยู่ใน Netflix ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องอยู่บ้านและต่างกระหายหนังบล็อกบัสเตอร์ Extraction สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มๆ จนหนังสามารถทุบสถิติ กลายเป็นหนังที่มียอดวิวสูงสุดตลอดกาลของ Netflix ในขณะนั้น ด้วยยอดคนดูที่เฉียดระดับร้อยล้านคนภายใน 4 สัปดาห์แรกของการปล่อยฉาย จากความสำเร็จในระดับนี้ ทำให้ Netflix ไม่รอช้าประกาศสร้างภาคต่อ ท่ามกลางความงงของแฟนๆ เพราะว่าตัวละครพระเอกในหนังนั้น เสียชีวิตในตอนจบของภาคแรกไปแล้วExtraction คือผลงานการรีทีมกันอีกครั้งของพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ และสองพี่น้องผู้กำกับจาก Avengers : Endgame อย่าง โจและแอนโทนี รุสโซ ที่ทำหน้าที่อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ โดยโจนั้นยังเขียนบทภาพยนตร์เองด้วย เพราะดันให้ แซม ฮาร์เกรฟ สตันต์แมนตัวพ่อที่เคยร่วมงานกันมาในหนังจักรวาลมาร์เวลหลายต่อหลายเรื่อง ขึ้นแท่นมาเป็นผู้กำกับ โดยในภาค 2 นี้ สมาชิกทั้งหมดก็ยังคงยกทีมกันกลับมาทำหน้าที่เดิม โดย คริส กลับมารับบทเป็น ไทเลอร์ เรค นักฆ่ารับจ้างยอดฝีมือ ซึ่งหลังจากรอดตายจากภาคแรก (แบบดื้อๆ) เขาก็กลับมาพร้อมกับภารกิจใหม่ โดยเปลี่ยนโลเคชั่นจากประเทศร้อนๆอย่าง บังคลาเทศในภาคแรก (ซึ่งถ่ายทำในไทย) ไปเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นอย่าง จอร์เจีย โดยในภาคนี้ เขาต้องบุกเข้าไปในคุกที่ความปลอดภัยแน่นหนา เพื่อช่วยสมาชิกของครอบครัวมาเฟียชาวจอร์เจียออกมาให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไทเลอร์ต้องเผชิญกับอุปสรรคสารพัด ท่ีรอขวางทางเขาอยู่แน่นอนว่าไฮไลต์ของ Extraction 2 ก็ยังคงเป็นฉากแอ็กชันที่เดือดจัดในระดับที่ไม่แพ้ภาคแรก หลังจากในภาคก่อนผู้ชมได้เจอกับฉากแอ็กชันแบบนันสต็อปยาวกว่า 10 นาที ในภาคนี้ผู้สร้างขอดับเบิ้ลไปเลยด้วยฉากแหกคุกที่มีความยาวแบบ 21 นาที ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลองเทคจริงๆ แต่ก็ใช้เทคนิคในการตัดต่อให้ผู้ชมรู้สึกแบบนั้น นี่คือไฮไลต์อย่างแท้จริงของหนังที่ระหว่างดูเล่นเอาอ้าปากค้างไปหลายรอบ อุทานด้วยความอึ้งไปหลายครั้งเช่นกัน ด้วยการดีไซน์ฉากบู๊ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เสียชื่อของ แซม ฮาร์เกรฟที่เป็นอดีตสตันต์แมนมาก่อน บวกกับวิธีการเคลื่อนกล้องที่ลื่นไหล ในอนาคตหนังอย่าง Extraction น่าจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเป็นหนังแอ็กชันที่สะใจแฟนๆ ได้ใกล้เคียงกับหนังอย่าง John Wick อย่างแน่นอน (ซึ่งเรื่องหลังเขานำโด่ง สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบแล้ว)นอกจากฉากบู๊ซีนใหญ่ที่ว่านี้ ระหว่างทาง Extraction 2 ก็ยังคงเสิร์ฟฉากแอ็กชันมันส์ๆไว้ตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากก็เพิ่มดีกรีความมันส์ได้เยอะกว่าภาคแรก เหมือนผู้สร้างเริ่มจับทางได้แล้วว่า ตัวเองถนัดอะไร ผู้ชมต้องการอะไรจากหนังเรื่องนี้ ก็พยายามจัดสิ่งที่ใช้มาให้ผู้ชมตลอด และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามสร้างเรื่องให้ซับซ้อนเกินความจำเป็น พล็อตยังคงง่ายๆ แค่ภารกิจของพระเอกกับการช่วยเหลือคนออกมาเท่านั้น ด้วยความที่หนังที่ต้องเสียเวลากับการปูเรื่องอะไรมากมายนัก ทำให้หนังมีเวลาค่อนข้างมากในการใส่ฉากแอ็กชัน และกระชับความยาวหนังให้ไม่ยาวไม่มากกว่า 2 ชั่วโมงโดยรวม Extraction 2 ยังคงจัดเต็มความมันส์แบบไม่ให้ได้พัก ข้อดีมากๆของหนังคือฉากแอ็กชันที่มันส์แบบถึงอารมณ์ หลายฉากเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ลั่นโรง (จากรอบพรีวิวที่ผู้เขียนได้ไปดูมาในโรง) และที่สำคัญ เริ่มจะเห็นความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเอง ผู้สร้างน่าจะเห็นถึงศักยภาพในการเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ในอนาคตได้ หลายๆฉากในภาคนี้ก็เลยใส่เข้ามาเพื่อปูทางไว้สำหรับในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ หลังจากบทบาทเทพเจ้า Thor ในจักรวาลมาร์เวล เดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว การที่เขามีแฟรนไชส์นี้ น่าจะไปได้อีกไกล ซึ่งดูจะเป็นบทที่เหมาะกับเขาแบบมากๆด้วยชมตัวอย่าง Extraction 2 สตรีม 16 มิถุนายนนี้ใน Netflixภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast Furious : Hobbs Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วยพิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครองสิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้นจุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sony Pictures Thailand

album

0
0.8
1