HOLLYWOOD GOSSIP | EFM ทอล์คอารมณ์ดี เพลงดีทุกแนว

HOLLYWOOD GOSSIP

[Rewiew] ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ หนังรักสุดตรึงอารมณ์ที่ดันกราฟซีนดราม่าขึ้นไปขีดสุด!

22 เม.ย. 2024

[Rewiew] ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ หนังรักสุดตรึงอารมณ์ที่ดันกราฟซีนดราม่าขึ้นไปขีดสุด!

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับโปรเจกต์หนังไทยที่ถูกจับตามองสุด ๆ อย่าง ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ (ที่เคยเปิดตัวไปในชื่อ The Interest) เพราะเป็นการเจอกันครั้งแรกของสองนักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง ไบร์ท วชิรวิชญ์ และ ญาญ่า อุรัสยา ที่สร้างความฮือฮาตั้งแต่ประกาศสร้าง ถือเป็นโปรเจกต์ลุยธุรกิจหนังแบบเต็มตัวของทาง GMMTV ด้วย หลังปีที่แล้วชิมลางไปกับ ‘My Precious รักแรกโคตรลืมยาก’ ที่กวาดกระแสปากต่อปากดีเยี่ยม จนล่าสุดต่อยอดความสำเร็จด้วยเวอร์ชันซีรีส์ไปแล้ว และอีกประเด็นที่ทำให้ ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ ถูกจับตาเยอะมาก คือการที่หยิบเอาหนังเกาหลีอย่าง ‘Man In Love’ ที่นำแสดงโดยพระเอกเบอร์ใหญ่อย่าง ฮวางจองมิน มารีเมก โดยก่อนหน้านี้หนังเคยถูกรีเมกเป็นเวอร์ชันไต้หวัน และกวาดรางวัลมากมายมาแล้ว ยิ่งทำให้เวอร์ชั่นไทย ถูกจับตามองว่าจะออกมาเข้มข้น ไม่แพ้เวอร์ชั่นอื่น ๆ หรือไม่ ?‘เธอฟอร์แคช’ เล่าเรื่องราวของ นักทวงหนี้สุดเท่ (ไบร์ท วชิรวิชญ์) ที่ต้องตระเวนไปทั่วเมืองพัทยาเพื่อทวงหนี้ให้กับนายทุนที่เป็นเจ้านายของเขา เจอกระทั่งไปเจอกับลูกหนี้คนล่าสุด (ญาญ่า อุรัสยา) สาวแบงค์ที่ต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อหาเงินมารักษาพ่อของเธอที่ป่วยเรื้อรัง แต่แม้เธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถดิ้นรนออกจากวังวนความลำบากนี้ได้ แถมชีวิตยังแย่ไม่พอ ดันมาเจอนักทวงหนี้สุดกวนคนนี้ มาตามราวีอีก แต่เพราะเขาหลงเสน่ห์เธอตั้งแต่แรกที่เจอ ทำให้พระเอกของเราเสนอให้ลูกหนี้คนนี้ ออกเดตกับเขา เพื่อแลกกับการไม่ต้องจ่ายเงินดอก แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครนี้จะไปจบลงที่ไหน ความรักจะสามารถเกิดขึ้นระหว่าง นักทวงหนี้ และลูกหนี้ ได้หรือไม่ ต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์เรื่องนี้แน่นอนว่า ‘เธอฟอร์แคช’ คือหนังไทยที่สมการรอคอย สามารถตรึงผู้ชมได้ตั้งแต่ซีนแรก ๆ ยาวไปจนจบ หนังใช้เวลาช่วงแรกในการพาผู้ชมไปรู้จัก ‘นักทวงหนี้’ ในฉบับของ ไบร์ท ซึ่งดูจะต่างจากนักทวงหนี้ทั่วไป เพราะเขาเองก็พยายามทำทุกทางเพื่อให้เจ้าหนี้มีเงินมาจ่ายได้ แม้แต่การช่วยเหลือคนเหล่านั้น ค่อย ๆ เห็นแง่มุม ความอยากเป็นคนที่ดีกว่านี้ของพระเอก จนกระทั่งได้มาเจอนางเอก คนที่ทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจุดที่โดดเด่นมากของ ‘เธอฟอร์แคช’ คือจังหวะของหนังในช่วงแรก ที่ค่อย ๆ ทำให้คนดูอินไปกับสองตัวละครหลัก เริ่มค่อย ๆ ตกหลุมรักและพยายามจะเอาใจช่วย แม้ว่าตัวละครเหล่านี้จะดูเป็นคนสีเทาแค่ไหนก็ตาม แต่หนังก็สามารถทำให้คนดูเชื่อว่า พวกเขาคือมนุษย์ ที่ทำผิดพลาดได้ แต่เจตนาคือ พวกเขาอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แม้มันจะยากแค่ไหนก็ตาม หรือบางครั้งอาจเลือกหนทางที่ผิดพลาดหัวใจสำคัญที่ทำให้ ‘เธอฟอร์แคช’ ค่อนข้างพิเศษมาก ๆ คือ เคมีอันเหลือเชื่อของ ไบร์ท และ ญาญ่า คู่พระนางที่ก่อนจะมีการประกาศโปรเจกต์นี้ ดูเหมือนจะโคจรมาเจอกันค่อนข้างยาก แต่มันกลับเกิดขึ้นได้ และเคมีที่ปรากฏขึ้นบนเจอ มันช่างดีเหลือเกิน ทั้งพาร์ทของฉากโรแมนติก ที่มีอารมณ์แบบหนังรอมคอมที่น่ารักสุด ๆ เวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันและยิ้มให้กัน พลังความสุขเหล่านั้น มันถูกส่งออกมาอย่างล้นจอ ส่งมาถึงคนดู จนรู้สึกว่าอยากดูอีก อยากให้มีฉากน่ารัก ๆ เยอะกว่านี้ มาจนถึงพาร์ทดราม่า ที่ทั้ง ไบร์ท และ ญาญ่า ก็สามารถรับส่งอารมณ์ ปล่อยพลังกันแบบสุด ๆ ยิ่งทำให้คนดูอินไปกับตัวละครของทั้งคู่ เคมีและการแสดงของทั้งสอง ถือเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ ‘เธอฟอร์แคช’ เป็นหนังที่เวิร์กสุด ๆอีกจุดที่ต้องชื่นชมมาก ๆ คือแง่ของโปรดักชัน นี่คือหนังที่มาตรฐานงานสร้าง องค์ประกอบต่าง ๆ สมชื่อของ GMMTV และ ภาพดีทวีสุข ทั้งการบันทึกภาพที่สามารถสื่ออารมณ์ให้กับหนังได้อย่างดี จังหวะการตัดต่อก็ถือว่าสมูธและลงตัว อาจจะมีในช่วงขององก์สุดท้าย ที่มีจังหวะเหมือนจะจบหลายรอบ อาจจะยาวเกินไป และน่าจะสามารถเล่าให้กระชับกว่านี้ได้ (ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่า ต้นฉบับ เล่าในรูปแบบนี้หรือเปล่า เลยจำเป็นต้องยาวในช่วงท้าย) แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ส่งผลให้ ‘เธอฟอร์แคช’ เป็นหนังที่สามารถสร้างความ ‘เต็มอิ่ม’ ในอารมณ์ได้อย่างดีจริง ๆ พร้อมกับการเดินออกจากโรงด้วยการจดจำหนังได้ค่อนข้างมาก และหลายประโยคในหนังที่สามารถตรึงใจเรา แม้ว่าหนังจะจบไปแล้วก็ตาม รวมถึงเพลง ‘นะหน้าทอง’ ในเวอร์ชั่นของ ไบร์ท วชิรวิชญ์ ที่เพราะกระแทกใจ จนเชื่อว่าดูจบแล้ว หลายคนน่าจะหาฟังตามอีกหลาย ๆ รอบแน่นอนชมตัวอย่าง ‘เธอฟอร์แคช’ เข้าฉาย 25 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GMMTV / ภาพดีทวีสุข

[Review] Godzilla x Kong : The New Empire ใหญ่บิ๊กบึ้ม! ถาโถมทุกความต้องการของแฟนหนังมอนสเตอร์

28 มี.ค. 2024

[Review] Godzilla x Kong : The New Empire ใหญ่บิ๊กบึ้ม! ถาโถมทุกความต้องการของแฟนหนังมอนสเตอร์

นี่คือหนังสัตว์ประหลาดที่สร้างมาแบบเอาใจแฟนหนังมอนสเตอร์โดยเฉพาะ สำหรับ ‘Godzilla x Kong : The Empire’ หนังลำดับที่ 5 ในจักรวาล Monsterverse ของวอร์เนอร์ หลังความสำเร็จของหนังเดี่ยว Godzilla ทั้งสองภาคในปี 2014 และ 2019 และหนังเดี่ยวของคองอย่าง Kong : Skull Island ในปี 2017 ทำให้สองยักษ์ใหญ่มาเจอกันใน ‘Godzilla vs Kong’ เมื่อสามปีก่อน แม้จะออกฉายท่ามกลางช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก แต่ด้วยความกระหายหนังฟอร์มยักษ์ของแฟนหนังทั่วโลก ทำให้มันทำเงินไปมากถึง 470 ล้านเหรียญฯ (จากทุนสร้างราว 200 ล้าน) วอร์เนอร์จึงตัดสินใจไฟเขียวภาคต่อ โดยดึง อดัม วินการ์ด ที่กำกับภาคก่อนกลับมาทำหน้าที่เดิมอีกครั้ง‘Godzilla x Kong : The Empire’ เล่าถึงสองมอนสเตอร์ที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่พวกมันจะสู้กัน กลับต้องแท็กทีมเพื่อปกป้องโลก จากอสูรตัวใหม่ที่ถือกำเนิดใน Hollow Earth หรือโลกใต้โลก ดินแดนลึกลับที่เหล่าไททั่นใช้ชีวิตอยู่ในนั้น แต่หนึ่งในมอนสเตอร์กลับจะขึ้นมายังโลกมนุษย์ กลายเป็นหน้าที่ของ โมนาร์ค องค์กรที่ควบคุมก็อดซิลล่าและเหล่าไททั่นมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตหายนะครั้งนี้ สำหรับหนังภาคนี้ได้ รีเบ็คก้า ฮอลล์ จาก Iron Man 3 กลับมารับบท ดร.ไอลีน นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ สังกัดองค์กรโมนาร์คอีกครั้ง ร่วมด้วย ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ ที่กลับมาจากภาคก่อนเช่นกัน ประกบสมาชิกใหม่อย่าง แดน สตีเว่น (พระเอก Beauty and the Beast) ร่วมทีมนักวิทยาศาสตร์ เพื่อไปตะลุยในฮอลโลว์เอิร์ธโดยรวม ‘Godzilla x Kong : The Empire’ คือหนังที่สร้างมาเพื่อเอาใจแฟนหนังมอนสเตอร์โดยเฉพาะ เรียกว่าเป็น แฟนเซอร์วิส เต็มๆเลยก็ว่าได้ เพราะจัดเต็มฉากสัตว์ประหลาดแบบเต็มสูบ และแทบจะลดเส้นเรื่องของมนุษย์ให้ลดลงมากที่สุด แน่นอนว่าสิ่งที่โดดเด่นสุดของหนัง คือ ฉากแอ็กชันของเหล่ามอนสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการ ก็อดซิลล่ากับคองที่ต้องปะทะกัน หรือฉากที่ต้องสู้กับมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ หนังให้เวลากับฉากเหล่านี้เยอะมาก ซึ่งน่าจะสะใจสำหรับแฟนหนังสัตว์ประหลาดที่อยากมาดูฉากบู๊แบบเต็มที่ หนังแทบจะไม่เสียเวลาเล่าเรื่องอะไรมากนัก จุดดีคือ ทำให้หนังค่อนข้างเดินเรื่องไว แทบจะเร่งสปีดการเล่าเพื่อข้ามไปฉากต่อสู้เลย แต่ข้อเสียคือ เมื่อหนังไม่ได้เน้นการเล่าเรื่อง ผู้ชมบางส่วนก็อาจจะอินกับหนังน้อยลง เพราะแทบจะไม่ให้เวลาในการปูตัวเรื่องใด ๆ เลยสิ่งที่เซอร์ไพรสในหนังภาคนี้ คือเส้นเรื่องของ คอง หนังใช้เวลาพอสมควร ในการเล่าพาร์ทที่ตัวละครคอง ต้องย้ายจากเกาะกระโหลก เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกใต้โลก หรือ ฮอลโลว์เอิร์ธ ซึ่งเป็นพาร์ทไร้ตัวละครมนุษย์ จนแทบจะเป็นหนังใบ้ด้วยซ้ำ แต่กลับทำออกมาได้น่าติดตาม และน่าประทับใจมาก ๆ แต่พาร์ทที่แม้จะลดความสำคัญลงแล้ว แต่ยังคงแอบน่าเบื่อ คือ เส้นเรื่องฝั่งมนุษย์ หนังไม่สามารถสร้างตัวละครที่น่าติดตามได้เลย มีเพียงตัวละครแทรปเปอร์ ตัวละครใหม่ของ แดน สตีเว่น ที่ดูน่าติดตามอยู่บ้าง ตัวบทพูดก็ยังคงดูเป็นหนังการ์ตูน แทบจะไม่มีความสมจริงใดๆด้วยซ้ำ ส่วนพาร์ทที่น่าเสียดาย น่าจะเป็น ก็อดซิลล่า ที่แอร์ไทม์ซึ่งปรากฏตัวบนจอ น้อยกว่า คองแบบเห็น ๆ ซึ่งกว่าจะได้เห็นทั้งสองตัวแท็กทีมกัน ก็ปาไปช่วงท้ายแล้วสรุป ‘Godzilla x Kong : The Empire’ คือหนังแฟนเซอร์วิส เพื่อเอาใจแฟนหนังแอ็กชันสัตว์ประหลาดโดยเฉพาะ เหมาะกับการเป็นหนังป็อปคอร์นที่ดูง่ายฆ่าเวลา แต่ถ้าใครมีโอกาสขอแนะนำระบบ IMAX3D ที่เสริมอารมณ์ร่วมให้หนังได้ดีมาก เพื่อความตระการตาแบบสุด ๆ โดยเฉพาะฉากในฮอลโลว์เอิร์ธที่เหมือนทำให้เราหลุดไปอยู่ในโลกใต้โลกกับตัวละครจริงๆ ทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตาของสถานที่แห่งนี้ รวมถึงฉากต่อสู้ของเหล่ามอนสเตอร์ ที่บวกกับมุมกล้อง ทำให้ผู้ชมเหมือนนั่งเฮลิคอปเตอร์ บินอยู่ข้างๆพวกมันระหว่างไฟต์กัน เหมือนดูนั่งขอบสนามเลยก็ว่าได้ ถ้ามีโอกาส ลองเลือกระบบนี้ในการรับชมภาพ : Warner Bros. Thailand

[Review] EXHUMA ขุดมันขึ้นมาจากหลุม : สยองสะพรึงสมมงหนังอันดับ 1 เกาหลีทำเงินถล่มทลาย !

19 มี.ค. 2024

[Review] EXHUMA ขุดมันขึ้นมาจากหลุม : สยองสะพรึงสมมงหนังอันดับ 1 เกาหลีทำเงินถล่มทลาย !

ขึ้นแท่นหนังสยองขวัญที่ถูกจับตามองมากที่สุดไตรมาสแรกของปี สำหรับ Exhuma (ชื่อไทย : ขุดมันขึ้นมาจากหลุม) หนังเกาหลีที่สร้างปรากฏการณ์ทำลายสถิติมากมาย ทำยอดขายตั๋วมากกว่า 10 ล้านใบเรียบร้อย นอกจากจะขึ้นแท่นหนังทำเงินอันดับ 1 ของปีที่นั่น (ชนะ Dune : Part Two) ยังกลายเป็นหนังสยองขวัญที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลที่เกาหลีอีกด้วย นอกจากกระแสรีวิวในแง่บวกแล้ว ด้วยพลังของ 4 นักแสดงนำที่เบอร์ใหญ่หมด ทั้ง ชเวมินซิก (จาก The Admiral : Roaring Current), ยูแฮจิน (จาก Confidential Assignment), คิมโกอึน (จาก Guardians : The Lonely and Great God) และ อีโดฮยอน (จาก The Glory) ยิ่งส่งให้ Exhuma คือหนังโปรแกรมยักษ์ที่ทั้งวงการจับตามอง จนในที่สุดสัปดาห์นี้ ถึงคิว Exhuma เข้าฉายในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งอเมริกา รวมถึงประเทศไทย ที่วางโปรแกรมในสัปดาห์นี้หนังเล่าถึง ฮวาริม และ บองกิล (รับบทโดย คิมโกอึน และอีโดฮยอน) สองร่างทรงที่รับงานจากมหาเศรษฐีชาวเกาหลีในแอลเอ หลังเกิดเหตุประหลาดในตระกูลของพวกเขา เมื่ออาถรรพ์บางอย่างเกิดขึ้นกับหลานชายที่เพิ่งเกิดใหม่ แบบเดียวกับที่รุ่นพ่อและรุ่นปู่เป็นอยู่ ฮวาริม รู้ทันทีว่า ทั้งหมดเกิดจากคำสาปแช่งของบรรพบุรุษ และทางเดียวที่แก้ได้คือการขุดหลุมศพของทวดขึ้นมาทำพิธี กลายเป็นหน้าที่ของ ซังดอก (รับบทโดย ชเวมินซิก) ผู้เชี่ยวชาญหน้าฮวงจุ้ย และยองกึน (รับบทโดย ยูแฮจิน) สัปเหร่อ ที่เข้ามาทำหน้าที่ขุดหลุม และเมื่อมาถึงวันพิธี ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะง่ายดาย กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อหลุมศพตั้งอยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่ ฝังในแบบที่ไม่ควรฝัง และบางอย่างที่ไม่ควรถูกขุดขึ้นมา กำลังจะโผล่ขึ้นมาจากหลุมอีกครั้ง..โดยรวม Exhuma คือหนังสยองขวัญที่สามารถตรึงผู้ชมตั้งแต่ฉากแรกๆได้อย่างอยู่หมัด ด้วยบรรยากาศที่เหมือนถูกปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือกตลอดทั้งเรื่อง หนังสามารถสร้างความรู้สึกวังเวให้กับผู้ชม แล้วค่อย ๆ ไต่ระดับความสยอง ไปจนถึงขีดสุดในช่วงท้าย นี่ไม่ใช่หนังที่สร้างความน่ากลัวในแบบตุ้งแช่ แต่เน้นบิวต์บรรยากาศโดยรวมให้รู้สึกสะพรึงมากกว่า และมีกลิ่นอายแบบหนังสืบสวนสอบสวนผสมผสานเข้ามา นอกจากนี้ หนังยังเก่งกาจในการเล่าเรื่อง ด้วยการแบ่งออกเป็น 6 องก์ แต่ละส่วนของหนังล้วนมีไฮไลต์ในส่วนของตัวเอง เล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และที่สำคัญคือคาดเดาไม่ได้ เพราะหนังจะพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คิด และนำไปสู่จุดที่ ไม่ใช่หนังสยองขวัญแบบเดิม ๆ ที่เคยดูนอกจากฝีมือของผู้กำกับ จางแจฮยอน (จาก The Priests) ที่สามารถคุมโทนหนังได้อย่างอยู่หมัดแล้ว หนังยังได้พลังของ 4 นักแสดงนำ มาตรึงผู้ชมได้ไว้ตลอด และที่สำคัญคือ ไม่มีใครกลบใครเลย แน่นอนว่า ชเวมินซิก และ คิมโกอึน มีซีนใหญ่กว่าทุกคน แต่ ยูแฮจิน กับ อีโดฮยอน ก็ต่างมีบทบาทสำคัญ และมีซีนของตัวเองเช่นกัน และเมื่อทั้ง 4 คนรวมพลังกัน ยิ่งส่งให้ Exhuma เป็นหนังที่อัดแน่นด้วยพลังการแสดงมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีนทำพิธีต่าง ๆ ที่ทั้งการแสดง ทั้งดนตรีประกอบ สร้างบรรยากาศสุดไม่น่าไว้วางใจ ชวนหลอนได้อย่างดีเยี่ยม นี่คืออีกครั้ง ที่หนังสยองขวัญจากเกาหลี ถูกสร้างออกมาอย่างทำถึงในเกือบทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังเกาหลี หรือแฟนหนังสยองขวัญ ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ชมตัวอย่าง Exhuma ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 21 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์

[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!

27 ก.พ. 2024

[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!

เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงกระแสคุณภาพของหนังภาคต่อ ‘Dune : Part Two’ ที่กำลังถาโถมไปทั่วโลกในขณะนี้ รวมถึงสามารถคว้าคะแนนบวกจาก Rotten Tomatoes ได้ถึง 98% ไม่ใช่เรื่องเกินจริง นี่คือหนังที่พิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับที่เก่งกาจในการตรึงอารมณ์ผู้ชมอย่างแท้จริง และค่อย ๆพัฒนาตัวเองด้วยหนังในสเกลที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หนัง Dune ภาคใหม่นี้ เหนือว่าภาคแรกในแทบทุกประการ ทั้งการเล่าเรื่องที่ไต่ระดับความเข้มข้นตรึงผู้ชมต่อเนื่องขึ้นไปจากภาคแรก ระดับของงานโปรดักชั่นที่ชวนอ้าปากค้างขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปีก่อน คือปีของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่แสดงความเป็น ‘เสด็จพ่อ’ จาก Oppenheimer ปีนี้ต้องเป็นปีของ วิลเนิร์ฟ อย่างแท้จริง หนังเรื่องคือพิสูจน์ว่าเขาคือ ‘ตัวพ่อ’ ในการปั้นหนังบล็อกบัสเตอร์ด้วยศาสตร์การทำหนังที่แทบจะสมบูรณ์แบบทุกประการ‘Dune’ คือมหากาพย์หนังไซไฟอวกาศ ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ที่ขึ้นชื่อว่าซับซ้อนและดัดแปลงยากที่สุด ความพยายามเพื่อขึ้นจอใหญ่หลายครั้งล้มเหลว จนกระทั่งมาถึงมือของ เดอนี วิลเนิร์ฟ ทำให้ Dune ภาคแรกประสบความสำเร็จ ทั้งคำวิจารณ์และรายรับ แม้จะฉายในช่วงโควิด-19 ยังระบาดหนักก็ตาม โดยในภาคสองนี้ สร้างจากครึ่งหลังของนิยายเล่มแรก เล่าถึงภารกิจของ พอล อะเทรดิส (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเม่ต์) ในการล้างแค้นศัตรูที่เคยสังหารและทำลายตระกูลของเขา โดยพอลต้องร่วมมือกับ ชานี (รับบทโดย เซนดาย่า) หญิงสาวชาวเฟรเมน เพื่อวางแผนโค่นล้มบารอน นำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ ที่กำหนดชะตากรรมของจักรวาล โดยหนังภาคนี้นอกจากนักแสดงเซ็ตเดิมจากภาคแรกแล้ว ยังมีนักแสดงใหม่น่าจับตาอย่าง ออสติน บัตเลอร์ จาก Elvis ในบท เฟย์ด-รอธา ตัวร้ายสุดอำมหิต หลานของบารอน และ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ในบท เจ้าหญิงอีรูลาน ลูกสาวของจักรพรรดิผู้ครองอำนาจในจักรวาลอย่างที่เกริ่นไป ‘Dune : Part Two’ คือหนังที่พัฒนาขึ้นจากภาคแรกในแทบทุกประการ และสามารถสะกดวิญญาณผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยศาสตร์ในการทำหนัง เริ่มจากการเล่าเรื่อง ที่เหตุการณ์ในภาคนี้ แทบจะตรึงผู้ชมให้อยู่กับเส้นเรื่องได้ตลอดเวลา และยิ่งในชั่วโมงหลังที่ทั้งเข้มข้นขึ้น ปมต่างๆยิ่งผูกแน่นขึ้น และความซับซ้อนในความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะพอลและซานี กลายเป็นสองขั้วตัวละครที่ มีมิติและมีความลึกด้านอารมณ์แบบสุดๆ ปมขัดแย้งที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ นำไปสู่ครึ่งหลังที่พีกยิ่งกว่าภาคก่อน และทั้งหมด ถูกเล่าผ่านงานโปรดักชั่น ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีแนวทางชัดเจน ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอ การออกแบบงานสร้างและการดีไซน์เสียง ล้วนมีส่วนสำคัญที่ช่วยตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังเรื่องนี้ได้ตลอด จนทำให้ ‘Dune : Part Two’ น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนังบล็อกบัสเตอร์ ที่เป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเราถึงยังต้องดูหนังในโรงในยุคนี้ หนังเรื่องนี้ จะขาดอรรถรสอย่างยิ่ง ถ้าไม่รับชมในจอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดจากการเนรมิตหนังที่เหมือนจะเข้ามือขึ้นเรื่อยๆของ เดอนี สู่การแสดงที่ยอดเยี่ยมครบองค์ของทีมนักแสดงชุดใหญ่ ที่ทุกคนล้วนมีซีนให้ฉายแสง เริ่มจาก ทิโมธี ที่บทซับซ้อนขึ้น ผู้ชมสามารถเห็นพัฒนาการของตัวละครได้อย่างชัดเจน, เซนดาย่า ที่ภาคแรกถูกแซวว่าเป็นนางเอกรับเชิญ เพราะบทน้อยเหลือเกิน ภาคนี้โผล่มาเต็ม และเห็นถึงความรู้สึกทุกแง่มุมของตัวละครเต็มๆเช่นกัน แต่ไฮไลต์สำคัญของภาคนี้ ขอยกให้ทีมนักแสดงใหม่ เริ่มจาก ออสติน บัตเลอร์ ที่คงไม่มีใครติดภาพ Elvis อีกแล้ว เพราะบทในภาคนี้เขาสามารถถ่ายทอดความอำมหิตออกมาได้อย่างเต็มสูบ ผ่านสีหน้าและแววตาที่ดูน่าเกรงขามในทุกวินาทีบนจอ ในขณะที่ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ก็ค่อยๆฉายแสงขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ คริสโตเฟอร์ วอลเค่น เป็นจักรพรรดิ ที่แสดงความทรงพลังและแสดงอำนาจออกมาผ่านสีหน้าได้หนักแน่นสุดอีกพาร์ทที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นชัดเจนใน Dune : Part Two คือฉากแอ็กชัน ที่นอกจากจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความระทึกขึ้นไปอีก ตั้งแต่ซีนแรกในทะเลทรายเลยด้วยซ้ำ ที่ทำเอาผู้ชมลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจ ทั้งหมดนี้ คือบทพิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับระดับมาสเตอร์ของจริง หนังที่เขากำกับ แม้ว่าจะสเกลใหญ่มากขึ้นแค่ไหน เขาก็สามารถเอาอยู่ได้เสมอ ทั้งด้านการเล่าเรื่อง ด้านงานโปรดักชั่น เขาเหมือนกำกับอารมณ์ผู้ชมได้ตลอด ด้วยทุกสิ่งที่ปรากฏบนจอ และทุกเสียงต่างยืนยันว่าทันทีที่ดูหนังจบ แทบอยากจะดู Dune : Part Three ในทันที ถ้าใครมีโอกาส ห้ามพลาดระบบ IMAX โดยเด็ดขาด ความจอยักษ์ของระบบ เสริมความยิ่งใหญ่ และคุมอารมณ์คนดูได้อย่างดีเยี่ยมชมตัวอย่าง Dune : Part Two เข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[Review] Mean Girls (2024) แสบซ่าส์ในแบบมิวสิคัล สดใหม่แต่ก็ยังคงไวป์เดิม

15 ก.พ. 2024

[Review] Mean Girls (2024) แสบซ่าส์ในแบบมิวสิคัล สดใหม่แต่ก็ยังคงไวป์เดิม

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน หนังวัยรุ่นสุดแซ่บเรื่องหนึ่งค่อยๆกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 130 ล้านเหรียญฯ แม้ ณ เวลานั้นหนังจะดังพอประมาณ แต่เมื่อเวลาผ่านไป Mean Girls ค่อยๆกลายเป็นหนังคลาสสิกย่อมๆในกลุ่มแฟนหนัง ด้วยการถูกหยิบมาดูซ้ำ นำมาดัดแปลงใหม่ หรือถูกพูดถึงใน Pop Culture รูปแบบต่างๆ แม้แต่ศิลปินรุ่นหลังอย่าง Ariana Grande ยังเอาฉากจำใน Mean Girls มาล้อเลียนใน Music Video แต่แรงกระเพื่อมรอบใหม่ที่ปังจริงๆสำหรับ Mean Girls คือการที่หนังถูกนำไปดัดแปลงเป็นละครเวทีมิวสิคัลในปี 2017 และจากความสำเร็จนั้นเอง ทำให้ พาราเมาต์ตัดสินใจ หยิบเวอร์ชั่นมิวสิคัลนี้ มาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์อีกครั้ง ทำให้เกิด Mean Girls ในฉบับปี 2024 ขึ้น ที่ไม่ได้รีเมกจากเวอร์ชั่นหนัง 2004 โดยตรง แต่ยึดเส้นเรื่องและบทเพลงจากเวอร์ชั่นละครเวทีนั่นเองMeans Girls ในยุคนี้ยังคงเล่าเรื่องราวของ เคดี้ เด็กสาวจากเคนย่าที่แอฟริกา ที่ย้ายตามแม่กลับมาที่สหรัฐฯ และได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายนอร์ธชอร์ สถานที่ซึ่งเธอต้องเผชิญกับรูปแบบสังคมและชนชั้นแบบที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน จากในเวอร์ชั่น 2004 ที่บทนี้เป็นของ ลินด์เซย์ โลแฮน ฉบับใหม่ได้ แองกัวรี่ ไรซ์ จาก Spider-Man : Homecoming มารับบทนำ ปะทะกับ เรเน่ แรปป์ จากซีรีส์ The Sex Live of College Girls มาในบทเรจิน่า จอร์จ ตัวแม่ตัวมัมหัวหน้าแก๊งพลาสติก ที่เดิมทีบทนี้แจ้งเกิดให้กับ ราเชล แมคอดัมส์ ซึ่ง เรเน่เอง เคยแสดงบทนี้มาก่อนในเวอร์ชั่นละครเวทีด้วย พร้อมกับนักแสดงอีกหลายคนที่เคยแสดงในฉบับมิวสิคัลมาแล้ว ก็กลับมาขึ้นจอภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นนี้ ร่วมด้วย ทีน่า เฟย์ นักแสดงตลกเบอร์ใหญ่ที่นอกจากจะกลับมาเขียนบทหนัง Mean Girls อีกครั้ง เธอยังคงกลับมารับบทอาจารย์ในเวอร์ชั่นมิวสิคัลปี 2024 นี้อีกด้วยความพิเศษมากๆของ Mean Girls ในฉบับใหม่นี้ คือการที่หนังสามารถบาลานซ์ระหว่าง Mood Tone แบบเดิม และความเป็น Musical ซึ่งเพิ่มความสดใหม่ให้กับหนังได้สำเร็จ โดยรวมผู้ชมยังรู้สึกเหมือนดูหนัง Mean Girls ในฉบับที่คุ้นเคย มีความแสบซ่า มีความตลกร้ายกาจ จิกกัดสังคม ในแบบที่ 20 ปีก่อนเป็นเช่นไร เวอร์ชั่นใหม่นี้ก็เป็นอย่างนั้น อาจจะด้วยการที่ ทิน่า เฟย์ กลับมาเขียนบทเหมือนเดิม ทำให้ไวป์ของหนัง ยังคงมีอารมณ์ในแบบที่ชื่นชอบเหมือนเดิมไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน พอหนังปรับรูปแบบเป็น มิวสิคัลอย่างเต็มตัว ทุกครั้งที่เป็นฉากร้องเพลงเข้ามา ก็ทำให้ผู้ชมเหมือนดูหนังเรื่องใหม่ แต่ละเพลง แต่ฉากมิวสิคัล สามารถเพิ่มระดับความจัดจ้านให้กับหนังได้อย่างดี เหมือนยิ่งเสริมให้หนังทั้งเฟรชขึ้น ซ่าขึ้น และสดใหม่ขึ้นไปพร้อมๆกันไฮไลต์สำคัญคงหนีไม่พ้น ทีมนักแสดงนำ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี เริ่มจาก เรเน่ แรปป์ ที่สามารถเป็น เรจิน่า ในเวอร์ชั่นของตัวเองได้ มีความแตกต่างจนรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปเปรียบเทียบกับฉบับของ ราเชล แมคอดัมส์ เลย ในขณะที่ แองกัวรี่ ไรซ์ แม้พลังดาราของเธอจะไม่เทียบเท่า ลินด์เซย์ ในเวลานั้น แต่ เคดี้ในแบบของเธอ ก็ดูเรียบง่ายในแบบที่ควรจะเป็น จนหลายคนอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า เคดี้ ในฉบับนี้ ดูจะโดน เรจิน่า กลบมิด ต่างจากตอนปี 2004 ที่ทั้ง ลินด์เซย์ และราเชล มีพลังค่อนข้างสูสีกัน ในขณะที่ทีมนักแสดงสมทบรอบนี้ กูดูมีสีสันแทบทุกตัว และแต่ละคนก็มีซีนมิวสิคัลให้ได้ฉายแสงด้วย ซึ่งจุดนี้ ยิ่งทำให้หนังดูครบรอบด้านมากยิ่งขึ้นโดยรวม Mean Girls ฉบับหนังมิวสิคัลในปี 2024 ถือว่าออกมาค่อนข้างน่าพอใจ เป็นหนังในเวอร์ชั่นที่สดใหม่ขึ้น ทันสมัยขึ้น สามารถรักษาอารมณ์ความแสบสันของต้นฉบับไว้ได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ในแง่ของมิวสิคัลก็ค่อนข้างลงตัวทั้งในแง่ของเพลงและการดีไซน์ฉาก พอจะทราบมาว่า ในฉบับหนังมีการตัดเพลง ออกไปหลายเพลงเพื่อให้กระชับขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะ Mean Girls ฉบับนี้ มีจังหวะการเล่าค่อนข้างดี แทบจะไม่มีฉากไหนที่รู้สึกว่าน่าเบื่อหรือควรตัดทิ้งเลย ใครที่เป็นแฟนคลับ Mean Girls อยู่แล้ว ก็ไม่ควรพลาด มาร่วมฉลองการครบรอบ 20 ปีของหนังด้วยเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันMean Girls เข้าฉาย 15 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียทีThanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำThanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้นสรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจThanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้

[Review] The Hunger Games – The Ballad of Songbirds and Snakes : ต้นกำเนิดความอำมหิต หนังภาคก่อนหน้าที่ทั้งขนลุกและทรงพลัง

14 พ.ย. 2023

[Review] The Hunger Games – The Ballad of Songbirds and Snakes : ต้นกำเนิดความอำมหิต หนังภาคก่อนหน้าที่ทั้งขนลุกและทรงพลัง

จากความสำเร็จของหนังตระกูล The Hunger Games ทำให้ซูซาน คอลลินส์ ผู้เขียนหนังสือต้นฉบับ จรดปากกาเขียนนิยายเล่มใหม่อีกครั้ง แต่แทนที่จะเล่าเหตุการณ์ต่อจากเล่ม Mockingjay เธอตัดสินใจพาผู้อ่านย้อนกลับไป 64 ปีก่อนเล่มแรก และเล่าถึงต้นกำเนิดของชายที่ชื่อว่า “คอริโอเลนัส สโนว์” จากเด็กบ้านนอก เขากลายมาเป็นประธานาธิบดีผู้โหดเหี้ยมได้อย่างไร ในหนังสือเล่มที่ชื่อว่า “The Hunger Games – The Ballad of Songbirds and Snakes” และแน่นอนว่าทางไลอ้อนเกตส์ ก็ไม่พลาดที่จะหยิบหนังมาดัดแปลงสู่จอใหญ่อีกครั้ง และคงไม่มีใครคุมโปรเจกต์นี้ได้ดีเท่า ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ผู้กำกับที่ทำThe Hunger Games ภาค Catching Fire และ Mockingjay Part 1-2 มาแล้ว (สรุปคือ กำกับทุกภาคยกเว้นภาคแรก)The Ballad of Songbirds and Snakes นำแสดงโดย ทอม ไบลท์ นักแสดงหน้าใหม่ในบทสโนว์ เล่าเหตุการณ์ในการแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 10 สมัยที่ สโนว์ยังเป็นวัยหนุ่ม และเขาถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็น เมนเทอร์ ให้กับผู้บรรณาการหญิงจากเขต 12 ซึ่งคือ ลูซี่ เกรย์ (รับบทโดย ราเชล เซกเกลอร์ จาก West Side Story) สาวน้อยหัวขบถที่หลงรักในเสียงเพลง สโนว์ต้องทำทุกทางเพื่อให้เด็กสาวของเขาชนะการแข่งขันรวมถึงชนะใจผู้ชมจากการถ่ายทอดสด เพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันไปด้วย แต่เกมครั้งนี้กติกาแตกต่างจากเดิม เมื่อ ดร.กอล (รับบทโดย ไวโอล่า เดวิส) ศาสตราจารย์ผู้เป็น เกมเมกเกอร์ พยายามสร้างกติกาใหม่ขึ้นมา เพื่อให้เกมทั้งเข้มข้นและอำมหิตมากขึ้น และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันครั้งนี้ ได้หล่อหลอมให้ สโนว์ จากชายที่เป็นเด็กจิตใจดี คะแนนในห้องเรียนนำทุกคน กลายเป็นปีศาจ กลายเป็นผู้นำเผด็จการ อย่างที่ผู้ชมได้เคยสัมผัสตัวตนเขาไปแล้วในหนัง The Hunger Games ภาคก่อน ๆโดยรวม The Ballad of Songbirds and Snakes ยอดเยี่ยมในแง่ของการเล่าเรื่อง ตลอดทั้ง 2 ชั่วโมง เกือบ 40 นาทีของหนัง หนังสามารถตรึงอารมณ์ของคนดูได้อย่างอยู่หมัด แล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขนลุกตลอดเวลา หนังแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 3 พาร์ทอย่างชัดเจน และค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ดีมาก ๆ ซึ่งผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ทำได้ คือการยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของ The Hunger Games ภาคก่อน ๆ แม้บรรยากาศจะเปลี่ยนไป ตัวละครจะไม่เหมือนเดิม แต่มันยังได้ฟีลความเป็น The Hunger Games อยู่ แม้ว่าจุดโฟกัสของหนังจะไม่เหมือนเดิม ภาคนี้แอร์ไทม์ในสนามแข่งขันอาจจะน้อยกว่าภาคก่อน ๆ เพราะไม่ได้โฟกัสที่ตัวละครซึ่งเป็นบรรณาการ แต่โฟกัสที่ สโนว์ ซึ่งเป็น เมนเทอร์ หนังจึงใช้เวลากับตรงนี้ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการของตัวละครนี้อย่างชัดเจน กับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ การที่ชายคนนึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ มันเป็นเพราะอะไรนอกจากการเล่าเรื่องที่สามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด สิ่งที่ทำให้ The Hunger Games ภาคใหม่นี้ สร้างอารมณ์ร่วมได้ตลอด คือการแสดงที่ไม่ธรรมดาแบบยกแผง ไล่ตั้งแต่ ทอม ไบลท์ ที่สอบผ่านเต็ม ๆ กับบทสโนว์ โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่สีหน้าและแววตา ทำให้ผู้ชมเชื่อแบบหมดใจว่านี่คือ ว่าที่ ปธน.สโนว์ ที่เราเคยรู้จัก ในขณะที่ ราเชล เซกเกลอร์ ในบทลูซี่ เธอสามารถถ่ายทอดตัวละครที่มีมิติออกมาได้อย่างน่าค้นหา และเป็นอีกขั้วของสโนว์ได้อย่างพอเหมาะ ไฮไลต์มากๆคือการแสดงฉากร้องเพลงต่าง ๆ ซึ่งถ้าใครเคยดู West Side Story มาคงไม่สงสัยในความสามารถ ซึ่งเรื่องนี้ราเชลแสดงพลังนั้นออกมาอีกครั้ง และตรึงคนดูได้ทุกรอบ ส่วนที่เดือดสุด ๆ คือสองนักแสดงฝีมืออย่าง ไวโอล่า เดวิส ในบทเกมเมกเกอร์ และปีเตอร์ ดิงลาจ (จากGame of Thrones) ในบทผู้คิดค้นเกมล่าชีวิต สองคนนี้ตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดในทุกวินาทีที่ปรากฏตัวบนจอ โดยเฉพาะไวโอล่าที่แสดงแบบ เหมือนเธอเอ็นจอยกับบทนี้มากๆ แต่ที่ผู้เขียนเซอร์ไพรสและชื่นชอบสุดคือ เจสัน ชวาร์ตแมน (นักแสดงขาประจำในหนัง เวส แอนเดอร์สัน) ในบทพิธีกร เดอะ ฮังเกอร์ เกมส์ ครั้งที่ 10 ที่ขโมยซีนได้ทุกรอบที่แกปรากฏตัว เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด ไม่มีจังหวะที่แกปล่อยมุกแล้วผู้เขียนไม่ฮาเลยสรุปแล้ว The Hunger Games - The Ballad of Songbirds and Snakes ถือเป็นหนังในตระกูลนี้อีกภาคที่ทรงพลังมาก ๆ แม้จะมีความแตกต่างจาก 4 ภาคก่อน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายแบบที่คุ้นเคย แต่ก็สร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในแง่ออกแบบงานสร้าง ซึ่งพอหนังเล่า 64 ปีก่อนภาคแรก เลยออกแบบฉาก เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ดูย้อนยุค มีความเรโทร ในขณะเดียวกันก็ต้องผสมผสานความเป็นโลกดิสโทเปียเข้าไป ทำให้ดูแปลกตาแต่น่าดึงดูดยิ่งนัก แล้วหนังเอาดีเทลเหล่านี้ เสริมเข้าไปในฉากต่าง ๆ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากขึ้นไปอีก นี่คือหนัง The Hunger Games อีกภาคที่ไม่ควรพลาด หรือแม้คุณจะไม่เคยดูภาคก่อน ๆมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอย หรือเริ่มต้นที่ภาคนี้ได้ และถ้ามีโอกาสดูระบบ IMAX ขนาดยักษ์ของจอ ยิ่งเสริมอารมณ์ทั้งฉากแอ็กชั่นและฉากดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม

[Review] The Marvels : ผนึกพลังสามสาวมาร์เวล หนังสั้นกระชับและสนุกกว่าภาคแรก

08 พ.ย. 2023

[Review] The Marvels : ผนึกพลังสามสาวมาร์เวล หนังสั้นกระชับและสนุกกว่าภาคแรก

นี่คือปีที่ไม่ง่ายนักสำหรับ Marvel Studio หลังไต่ระดับไปถึงจุดพีกสุดมาแล้วกับ Avengers : Endgame ดูเหมือนการสร้าง Saga ใหม่จะเจอทางขรุขระพอสมควร ผลงานต้นปีอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania แม้จะไม่ได้เจ๊ง แต่ก็เผชิญกับรายได้ที่น้อยกว่าที่คิด โดนถล่มเรื่อง CG ที่ไม่สมบูรณ์นัก และนักแสดงอย่าง โจนาธาน เมเจอร์ส ที่ถูกวางให้เป็นวายร้ายหลักเทียบเท่าธานอสหลังจากนี้ ก็เผชิญกับคดีฉาวในขณะที่ Guardians of the Galaxy Vol.3 แม้จะกวาดทั้งคำชมและรายได้ แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ นี่คือผลงานของ เจมส์ กันน์ ผู้กำกับที่หลังจากนี้เขาคือหัวเรือใหญ่ของ DC ค่ายคู่แข่งตลอดกาล นำมาสู่ The Marvels ที่กำลังจะเข้าฉาย ซึ่งได้รับแรงกระทบไปเต็ม ๆ ทั้งประเด็นการถ่ายซ่อม การเลื่อนฉาย ไปจนถึงยอดขายล่วงหน้าที่ไม่เข้าเป้า นั่นทำให้หลายฝ่ายต่างกังวลใจว่า The Marvels จะออกหัวหรือก้อย ซึ่งวันนี้เรายินดีที่จะแจ้งให้แฟน ๆ ทราบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่แย่เลยแม้แต่น้อย..แต่ก็ไม่ใช่หนังที่จะมากู้สถานการณ์ลบของมาร์เวลแต่อย่างไรThe Marvels คือหนังที่ถูกวางให้เป็นภาคต่อของ Captain Marvel ในขณะที่ก็เหมือนจะเป็นภาคต่อของซีรีส์ Ms.Marvelเช่นกัน รวมถึงมีตัวละครสำคัญจากซีรีส์ WandaVision เล่าเรื่องราวของ คารอล หรือกัปตันมาร์เวล (รับบทโดย บรี ลาห์สัน)ที่ต้องปวดหัวกับการที่อยู่ดีๆ เธอก็วาร์ปสลับที่อยู่กับ โมนิก้า แรบโบ้ และ กมลา ข่าน หรือมิสมาร์เวล ทุกครั้งที่เธอทั้ง 3 คนปล่อยพลังพร้อมกัน พวกเธอจะสลับโลเคชั่นกันทันที ทำให้ต้องรวมตัวกันเพื่อไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกันแน่ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ ดาร์เบน ผู้นำของ ครี ที่พยายามตามหากำไลวิเศษที่มีพลังมหาศาล หลังเธอค้นพบข้างนึงแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าอีกข้างอยู่ที่ กมลา หรือมิสมาร์เวลนั่นเอง ซึ่งตามหากำไลดังกล่าวเพื่อใช้พลังในการทำลายล้างหลายพิภพเพื่อดึงทรัพยากรไปยังอาณาจักรของเธอ กลายเป็นภารกิจหลักของ คารอล, โมนิก้า และกมลา ที่ต้องร่วมทีมกันเป็น เดอะมาร์เวล เพื่อปกป้องจักรวาลโดยรวม The Marvels อาจจะไม่ใช่หนังจุดเปลี่ยนสำคัญของ MCU แต่ก็ไม่ใช่งานที่จะดึงหนังจักรวาลนี้กลายเป็นขาลงอย่างที่หลายคนกล่าวถึง ข้อดีที่ชัดเจนมากๆของหนังเรื่องนี้ ลำดับแรกคือ สนุกกว่าภาคแรก ใครที่เคยผิดหวังกับหนังเดี่ยวของCaptain Marvel หนังภาคนี้สามารถให้ความบันเทิงได้มากกว่า และส่วนสำคัญมาจากการเดินเรื่องที่กระชับฉับไว ด้วยความยาว 1.45 ชั่วโมง ซึ่งสั้นที่สุดแล้วในบรรดาหนัง MCU ทำให้หนังไม่เสียเวลากับการเล่าเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็น กระโดดเข้าฉากสำคัญแบบทันที ไม่มีจุดไหนที่ทำให้หนังดูย้วยหรือยืดยาวเกินจำเป็นเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็อาจกลายเป็นข้อเสียสำคัญขาจร เมื่อหนังไม่ได้ใช้เวลาในการปูแบ็คกราวน์ตัวละคร กมลาหรือโมนิก้าเลย สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้ตามซีรีส์Ms.Marvel หรือ WandaVision มา ก็อาจต้องจูนในหัวเล็กน้อยว่าสองตัวละครนี้คือใคร มาจากไหน แล้วอยู่ดีๆมาแท็กทีมเป็น The Marvels ได้อย่างไรสิ่งที่โอบอุ้มให้ The Marvels กลายเป็นหนังที่เดินเรื่องน่าติดตาม ต้องยกเครดิตให้สองตัวละครหลักที่มาใหม่อย่าง 'โมนิก้า แรมโบ้' กับ 'กมลา ข่าน' ซึ่งตัวละครแรกมอบหัวใจให้กับหนัง ทำให้แบ็คกราวน์สตอรี่ของ คารอลดูน่าสนใจมากขึ้นด้วย ในขณะที่กมลา คือตัวละครที่มาเพื่อมอบรอยยิ้มให้กับหนังอย่างแท้จริง ถ้าตัดตัวละครนี้และครอบครัวเธอออกไป The Marvels จะกลายเป็นหนังที่จืดชืดมาก นี่คือครอบครัวที่เพิ่มเข้ามาสร้างเสียงหัวเราะและความสุข ทำให้หนังดูมีชีวิตชีวามากกว่าภาคแรกอย่างชัดเจน ในขณะที่ตัว กัปตันมาร์เวล เอง ภาคนี้ยังถือว่าทรงๆ ไม่ได้มีอะไรทำให้ชอบตัวละครนี้มากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้ไม่ชอบเธอได้ ในขณะที่ พัคซอจุน แม้บทจะไม่เยอะมากนัก แต่เชื่อว่าแฟนคลับจะจำไม่ลืมกับบทของเขาแน่ๆ เพราะมีอะไรให้จำเยอะมาก ในแง่ตัวละครจุดบอดเดียวของหนังคือ ดาร์เบน ตัวร้ายที่ไม่ได้น่าจดจำอะไร อาจจะกลายเป็นหนึ่งใน Villian ของมาร์เวลที่คนลืมไวที่สุดโดยรวม 'The Marvels' ถือเป็นหนังป็อปคอร์นที่ดูสนุก ดูเพลิน สอบผ่านในแง่โปรดักชั่นซึ่งค่อนข้างดูดี แม้จะไม่ใช่หนังกู้สถานการณ์ให้กับมาร์เวลสตูดิโอ แต่หนังก็ไม่ได้ฉุดให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้ พูดง่ายๆคือ The Marvels ก็เหมือนกับหนังมาร์เวลทั่วๆไป และตัวหนังเองก็ไม่ได้มีหมุดหมายสำคัญอะไรมากนักด้วยใน MCU เหมือนเป็นหนังที่เชื่อมหนังกับซีรีส์ ต่อไปยังเรื่องราวต่อไป ซึ่งถ้าพลาดไป ก็อาจจะไม่ได้พลาดอะไรด้วยซ้ำ คงต้องไปลุ้นกันต่อกับ Deadpool 3 และCaptain America 4 ที่จะพาจักรวาล MCU เข้าสู่โหมดกราฟขึ้นได้หรือไม่ แฟนมาร์เวลคงต้องเอาใจช่วยกันต่อไปแบบยาว ๆ

[Review] Killers of the Flower Moon : มหากาพย์อาชญากรรมในหนังเอพิกตัวเต็งออสการ์

17 ต.ค. 2023

[Review] Killers of the Flower Moon : มหากาพย์อาชญากรรมในหนังเอพิกตัวเต็งออสการ์

ดูเหมือนไม่มีอะไรจะหยุดลุงมาร์ตี้ได้ง่าย ๆ ผู้กำกับชั้นครู มาร์ติน สกอร์เซซี (จาก Taxi Driver, Goodfellas) ในวัย 80 ปี กลับมาพร้อมกับผลงานที่อาจเรียกได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีซอีกครั้ง หลังตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนมีผลงานที่ได้รับการยกย่องมาตลอด ผลงานล่าสุดคือ Killers of the Flower Moon หนังเอพิกอาชญากรรมที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับแฟนหนังมาตั้งแต่ช่วงกลางปี หลังเปิดตัวไปในเทศกาลหนังเมืองคานส์และกวาดคะแนนนักวิจารณ์ด้านบวกไปอย่างท่วมท้น มากถึง 98% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes รวมถึงสร้างความตื่นตะลึงกับแฟนหนังอีกครั้งในความบ้าพลัง ด้วยความยาวหนังมากถึง 3 ชั่วโมง 26 นาที แทบจะยาวเท่ากับ The Irishman ผลงานชิ้นก่อนเลย แต่ความแตกต่างคือ แฟนหนังทั่วโลกต้องดู The Irishman ใน Netflix สามารถมีเวลาพักไปเข้าห้องน้ำได้ แต่กับ Killers of the Flower Moon แม้จะสร้างโดยบริษัทสตรีมมิ่งอีกเครืออย่าง Apple TV+ แต่ได้จับมือกับพันธมิตรอย่าง Paramount Pictures ทำให้หนังเรื่องนี้ ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ผู้ชมได้ดูในจอใหญ่ในแบบที่ควรจะเป็น ดังนั้น เตรียมวางแผนการเข้าห้องน้ำก่อนดูกันให้ดีKillers of the Flower Moon สร้างจากหนังสือของ เดวิด แกรนน์ ที่หยิบเอาเรื่องจริงอันอัปยศมาถ่ายทอด เล่าเรื่องราวของ ออเซจ อินเดียนแดงชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอเมริกา จากการที่พวกเขาขุดเจาะจนพบน้ำมัน ทำให้พวกเขาร่ำรวยมหาศาล และดึงดูดให้คนขาวเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อตักตวงผลประโยชน์ และเมื่อสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีชาวอินเดียนล้มตายอย่างเป็นปริศนา เอฟบีไอจึงเข้ามา เพื่อเริ่มสะสางคดีสุดอำมหิตเหล่านี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป โดยหนังเป็นผลงานการร่วมงานกันครั้งที่ 6 แล้วของ มาร์ติน กับพระเอกคู่บุญอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ในบทออเนสต์ ทหารผ่านศึกที่เข้ามาอาศัยในเมืองนี้ และตกหลุมรักกับ มอลลี่ สาวชาวอินเดียนผู้มีฐานะ โดยโศกนาฏกรรมเริ่มเกิดขึ้นรอบๆตัวเธอ เมื่อสมาชิกในครอบครัวของเธอ เริ่มเสียชีวิตทีละคน โดยนอกจาก ลีโอนาร์โด แล้ว หนังยังเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ มาร์ติน กับ โรเบิร์ต เดอนีโร หลังเคยร่วมงานกันมาแล้วถึง 9 ครั้ง นับตั้งแต่ Mean Street ในปี 1973 และนี่คือครั้งที่ 10 !นี่คือหนังดราม่าอาชญากรรม ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังระดับเอพิก จากหลายๆปัจจัย ทั้งความยิ่งใหญ่ของงานสร้างที่ Apple TV+ ทุ่มไปมากถึง 200 ล้านเหรียญฯ, ความยาวของหนังที่ยาวมากถึง 206 นาที และสเกลการเล่าเรื่องที่กินเวลายาวนานหลายปี เกี่ยวพันกับชีวิตคนมากมาย Killers of the Flower Moon จึงกลายเป็นหนัง Epic Crime ซึ่งดูจะเข้ามือ มาร์ติน สกอร์เซซี มากเป็นพิเศษ เพราะหนังประเภทที่สร้างชื่อให้กับแกมาตลอด คือหนังแนวอาชญากรรม โดยมาร์ติน ใช้เวลา 3.30ชั่วโมงในการเล่าอย่างคุ้มค่า ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของชนเผ่าออเซจ ที่มีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ค่อยๆพาไปรู้จักกับสังคมของคนขาวที่เข้ามาในพื้นที่นี้เพราะหวังผลประโยชน์ ค่อยๆ ทำความรู้จักตัวละคร ออเนสต์, มอลลี่ และที่สำคัญอีกตัวคือ วิลเลี่ยม เฮล ของ โรเบิร์ต เดอนีโร ลุงของออเนสต์ คนขาวผู้มีอิทธิพลเหนือทุกคนในพื้นที่แห่งนี้ หนังใช้เวลาช่วงแรกในการ Set Up เรื่อง ก่อนที่จะค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งความโลภ ความเลวร้าย อันน่าขยะแขยง จนนำไปสู่ชั่วโมงสุดท้าย ที่บีบหัวใจผู้ชมแทบทุกวินาที จนแทบไม่มีนาทีไหนที่หนังดูจะน่าเบื่อเลย มาร์ตินสามารถรักษา Pacing ในการเล่าที่แม้จะดูเหมือนนิ่ง แต่ชวนระทึกได้ตลอดนอกจากฝีมือการกำกับชั้นครูของ มาร์ติน สกอร์เซซี แล้ว องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Killers of the Flower Moon เป็นหนังอาชญากรรมระดับมหากาพย์ ยังมีทั้งงานโปรดักชั่น ที่ดูยิ่งใหญ่ เนรมิตเมืองเล็กๆเมืองนึงให้ออกมาสมจริงเท่าที่สุดที่จะเป็นได้ และใช้มุมกล้องช่วยถ่ายทอดความรู้สึกให้สัมผัสได้ถึงความเอพิกมากที่สุด เสริมด้วยดนตรีประกอบ ที่เหมือนจะนิ่งแต่เร้าใจลึกๆในแทบทุกฉาก ผู้ชมจะกลิ่นอายของความเป็นชนเผ่าตลอดทั้งเรื่อง และหัวใจสำคัญของหนัง อยู่ที่การแสดงของ 3 นักแสดงนำ เริ่มจาก ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่ถ่ายทอดบทของออเนสต์ออกมาได้อย่างซับซ้อน สำหรับตัวละครนี้ อาจจะยังบอกไม่ได้ว่าเล่นยากอย่างไร แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในบทที่ยากที่สุดบทนึงเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังที่มีความซับซ้อนและสับสนในอารมณ์ค่อนข้างสูง ค่อนข้างแน่นอนว่าแล้ว ลีโอนาร์โด อาจกลับไปชิงออสการ์อีกครั้งในต้นปีหน้า ส่วน โรเบิร์ต เดอนีโร สามารถถ่ายทอดบทอันน่าเกรงขามได้อย่างทรงพลังแบบที่เขาทำได้ดีมาโดยตลอด แต่ที่ชวนตื่นตะลึงที่สุดคือ ลิลี่ แกลดสโตน นักแสดงหญิงในวัย 37 ปีในบทหญิงชาวอินเดียนคนรักของพระเอก เธอสามารถถ่ายทอดบทนี้ได้อย่างถึงอารมณ์ โดยเฉพาะเคมีกับลีโอนาร์โด ในช่วงหลังๆคือพลังทำลายล้างสูงมากKillers of the Flower Moon คือหนังที่พูดถึงความรักและความโลภได้อย่างชวนขนลุก สามารถถ่ายทอดถึงความน่ารังเกียจของคนที่เก็บซ่อนอยู่ได้อย่างถึงขั้ว ระหว่างชมเหมือนผู้ชมจะค่อยๆถูกดูดเข้าไปในโลกของอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความโสมม จากองค์ประกอบทั้งหมดส่งให้นี่คือหนังมหากาพย์อาชญากรรมอีกเรื่องที่ค่อนข้างลงตัวและทรงพลังสุดของ มาร์ติน สกอร์เซซี สมคำร่ำลือ ซึ่งต้องไปลุ้นกันต่อบนเวทีออสการ์ต้นปีหน้า เพราะนาทีนี้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า สองตัวเต็งสำคัญในรางวัลใหญ่ๆคือ Oppenheimer ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน และหนังเรื่องนี้ของ Martin Scorsese แต่ใครจะคว้าชัยไป คงต้องติดตามกันแบบยาวๆชมตัวอย่าง Killers of the Flower Moon เข้าฉาย 19 ตุลาคมในโรงภาพยนตร์ขอบคุณภาพจาก : UIP Thailand

album

0
0.8
1