HOLLYWOOD GOSSIP | EFM ทอล์คอารมณ์ดี เพลงดีทุกแนว

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Twisters’ หนังทอร์นาโดสุดกลมกล่อม กลิ่นอายแบบต้นฉบับมาครบ

11 ก.ค. 2024

[REVIEW] ‘Twisters’ หนังทอร์นาโดสุดกลมกล่อม กลิ่นอายแบบต้นฉบับมาครบ

ใครที่อายุ 30 ขึ้นไป น่าจะโตมากับหนังภัยพิบัติระดับตำนานอย่าง Twister อย่างแน่นอน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 นี่คือหนังทำเงินลำดับต้นๆของปี มีเพียง Independence Day หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ ID4 เท่านั้นที่ทำเงินเหนือกว่า ยุคสมัยนั้นถือว่าแท็กทีมตัวท็อปของวงการพอสมควร ทั้ง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่นั่งแท่นโปรดิวเซอร์ จาน เดอ บองต์ ผู้กำกับที่กำลังฮ็อตสุดๆจาก Speed นั่งแท่นกำกับ พร้อมหยิบเอานิยายของ ไมเคิล ไครชตัน ผู้เขียนเดียวกับ Jurassic Park มาสร้าง ด้วยความตื่นตาของหนัง ความสมจริงในฉากไล่ล่าพายุ ทำให้หนังสามารถกวาดรายได้สูงถึง 495 ล้านเหรียญฯ และกลายเป็นหนังพายุที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา จนกระทั่งล่าสุด หนังถูกกลับมาปัดฝุ่น นำมาสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ใช่การรีเมก เพราะมันคือภาคใหม่ ที่หยิบเอาคอนเซปต์การ ‘ไล่ล่าพายุ’ มาเป็นแกนหลัก พร้อมกับสวมด้วยเส้นเรื่องและคาแรกเตอร์ใหม่ที่เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นเดซีย์ เอ็ดการ์-โจนส์ นางเอกมากฝีมือจาก Where The Crawdads Sing รับบท เคต คูเปอร์ หญิงสาวที่หมกมุ่นกับเรื่องทอร์นาโด โปรเจกต์ทดลองของเธอคือการทำให้พายุอ่อนตัวลงและช่วยผู้คนนับล้าน แต่โปรเจกต์ของเธอต้องพับไปเพราะความผิดพลาด จนกระทั่งเพื่อนสนิทอย่าง จาวี (รับบทโดย แอนโธนี่ รามอส จาก Transformers : Rise of the Beasts) ชักชวนให้เธอกลับมาไล่ล่าพายุอีกครั้ง เพราะเขากำลังพัฒนาอุปกรณ์สุดไฮเทคในการสแกน และเมื่อเธอลงสนามอีกครั้ง เธอก็ได้พบเจอกับ ไทเลอร์ โอเว่น ยูทูปเบอร์พลังเกินร้อย ที่คอนเทนต์บุกฝ่าใจกลางพายุได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แม้คาแรกเตอร์ของ เคตกับไทเลอร์ จะแตกต่างสุดขั้ว แต่แพชชั่นที่มีต่อทอร์นาโด ก็ทำให้ทั้งคู่เริ่มแท็กทีมกันในการไล่ล่าพายุ เป้าหมายคือ เพื่อป้องกันภัย ก่อนที่มันจะพลัดพรากชีวิตผู้คน และถล่มเมืองที่ขวางหน้าเป็นราบคาบสำหรับใครที่เกิดทัน Twister ในฉบับ 1996 ต้องบอกว่าเวอร์ชั่นใหม่นี้ มีกลิ่นอายและเสน่ห์แบบต้นฉบับอย่างครบถ้วน ทำให้หวนนึกถึงอดีตพอสมควร แต่สำหรับผู้ชมที่อาจจะไม่เคยดูมาก่อน Twisters ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ ได้บรรยากาศหนังหายนะแบบยุค 90s เน้นความสมจริงมากกว่าฉากทำลายล้างสุดเว่อร์วัง เน้นการขับเคลื่อนของตัวละคร มากกว่าฉากพยายามเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ แน่นอนว่า ฉากทำลายล้างสุดตื่นเต้นยังมีอยู่ครบ ทั้งฉากไล่ล่าพายุ ฉากเอาตัวรอดต่างๆ ยังคงทำออกมาได้อย่างถึงมาตรฐาน ชวนตื่นตาพอสมควร แต่ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน คือ การสร้างตัวละคร หนังถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนของตัวละครต่างๆออกมาได้อย่างเด่นชัด ผู้ชมจะสัมผัสได้ทันทีถึงแพชชั่นของ พระเอก-นางเอก ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเสี่ยงตายเอาชีวิตเข้าไปแขวนไว้กับพายุ ตัวละครต่างๆค่อนข้างเนิร์ดพายุมากๆ ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับ ยิ่งทำให้หนังดูน่าเชื่อถือโดย ‘Twisters’ ภาคใหม่นี้ สามารถเล่าพาร์ตชีวิตของตัวละครได้อย่างดี ต้องขอบคุณ ลี ไอแซค ชุง ผู้กำกับจาก Minari หนังดราม่าระดับออสการ์ ที่หยิบกลิ่นอายจากผลงานชิ้นก่อน มาใส่ไว้ในหนังได้อย่างพอเหมาะ ทำให้ Twisters ไม่ใช่หนังภัยพิบัติแบบดาดๆทั่วไป แต่สัมผัสได้ถึง ‘ชีวิต’ และ ‘ผลกระทบ’ ต่อชีวิตที่พายุมีต่อมนุษย์ และไฮไลต์สำคัญของ Twisters ฉบับนี้ ก็คือสองนักแสดงนำ จาก เฮเลน ฮันต์ และ บิล แพ็กซ์ตัน ในฉบับก่อน ส่งไม้ต่อให้กับ เกลน พาเวลล์ และ เดซีย์ เอ็ดการ์ โจนส์ ที่ผสานเคมีของสองตัวละครได้อย่างลงตัว มีความกรุ้มกริ่มแบบพอเหมาะ ทำให้ Twisters ขึ้นแท่นหนังป็อปคอร์นซัมเมอร์ที่มอบความบันเทิงอย่างลงตัว และถ้าใครอยากอินกับความยิ่งใหญ่ของพายุเป็นพิเศษ ขอแนะนำระบบ IMAX ที่เสริมความสะพรึงทั้งภาพและเสียงได้อย่างพอพึงพอใจชมตัวอย่าง Twisters วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

12 มิ.ย. 2024

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

คุ้มค่าแก่การรอคอยนาน 9 ปีเต็ม สำหรับภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดประทับใจที่มาพร้อมไอเดียสุดล้ำอย่าง ‘Inside Out’ ของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชั่น ที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์ทั้งกวาดเงินมากถึง 850 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก กวาดคะแนนบวกจากนักวิจารณ์มากถึง 98% และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นในดวงใจคนดูไปเต็ม ๆด้วยพล็อตสุดครีเอท ที่เล่าถึงเหล่าอารมณ์ในหัวของ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังว้าวุ่นกับการเติบโต โดยในหัวของเธอมีอารมณ์ต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน นำโดย จอย ตัวละครสุดอารมณ์ดี แน่นอนว่ากว่าที่ ‘Inside Out’ ภาคแรกจะเกิดขึ้นได้ ใช้เวลาพัฒนาโปรเจกต์อยู่นาน ขั้นตอนสำหรับภาคต่อก็เช่นกัน ทำให้หนังถูกทิ้งช่วงนานถึง 9 ปีเต็ม โดยพิกซาร์มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับภาคนี้ให้ เคลซี มานน์ หัวเรือใหญ่ของทีมครีเอทีฟพิกซาร์ ที่มีส่วนร่วมในหนังของค่ายยุคหลัง ๆ อย่าง Soul, Luca และ Elemental มาทำหน้าที่กำกับเป็นครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะรับไม้ต่อมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียด้วยสำหรับใน ‘Inside Out 2’ ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเธอกำลังต้องขึ้นสู่ชั้นเรียนใหม่ ต้องพบกับเพื่อนใหม่ ๆ และความฝันในการเข้าทีมเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ทำให้การเข้าค่ายในช่วงไม่กี่วันจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของไรลี่ย์ นอกจาก 5 อารมณ์เดิมจากภาคแรกแล้ว คือการเข้ามาของ 4 อารมณ์ใหม่ ที่นำทีมโดย ว้าวุ่น อารมณ์ที่เริ่มเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น พวกเขากำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เริ่มมีอารมณ์ดีที่น้อยลง และเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จอยและแก๊งอารมณ์เดิมจะรับมืออย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเธอจะสามารถควบคุมไรลี่ย์ให้หน้าด้านไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่ ต้องมาติดตามกันแน่นอนว่าหนังภาคนี้ เติบโตในเนื้อหามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับตัวละครไรลีย์ที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของหนัง จึงเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ การก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในพาร์ทนี้ของหนังถือว่า สามารถถ่ายทอดความซับซ้อนด้านอารมณ์ของคนเรา ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ยังคงมีความลึกซึ้งทางด้านเนื้อหา ตามแบบฉบับที่ Inside Out นั้นควรจะเป็น และมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้นยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้เนื้อหาในภาคนี้ น่าจะทัชใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่สร้างความบันเทิง สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังดิสนีย์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ตัว Message ของหนังจะโตขึ้นก็ตาม แต่ ‘ Inside Out 2’ ยังคงรักษามาตรฐานความบันเทิงแบบดิสนีย์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหล่ามุกที่สร้างสรรค์ขึ้นจากครีเอทีฟไอเดีย ภาคนี้ถือว่าไม่เสียเวลารอคอยจริง ๆ ยิ่งการสร้างตัวละครใหม่ ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้กับ 5 ตัวละครแรก ทุกตัวยังคงมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน และเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ยังมีเหล่าตัวละครที่อาจจะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งอารมณ์ แต่มาขโมยซีนแบบเต็ม ๆ (แต่พวกเขาคืออะไรนั้น ไม่สามารถสปอยล์ได้ตรงนี้) นอกจากนี้หนังยังสามารถรักษาพาร์ทของการเป็นหนังผจญภัยได้อย่างสนุกสนาน กับการเดินทางของ จอย และแก๊งอารมณ์ออริจินัลของพวกเธอ ที่ต้องออกเดินทางด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสร้างสรรค์มุมต่าง ๆ ในหัวของไรลีย์ ได้เหมือนสวนสนุก เหมือนจำลองดิสนีย์แลนด์ ในเวอร์ชั่นสมองไรลีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งเสริมให้ ‘Inside Out 2’ ครบถ้วนในทุกแง่มุมทั้งความสนุก ความลึกซึ้ง และความประทับใจของธีมเรื่องโดยรวม ‘Inside Out 2’ ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพิกซาร์อยู่ไม่น้อย เพราะว่าภาคแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แต่ผลลัพภ์ที่ออกมา ก็ถือว่าน่าพอใจมาก คุ้มค่าแก่การรอคอยสำหรับแฟนหนังพิกซาร์ ซึ่งหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ทางค่ายไม่สามารถรักษามาตรฐานที่ทัดเทียมภาคแรกไว้ได้สำหรับภาคต่อ แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าทำได้ เป็นการกลับคู่ระดับความพีกของพิกซาร์อีกครั้ง และน่าจะส่งให้ ‘Inside Out 2’ เป็นความสำเร็จเรื่องแรก ๆ ของซัมเมอร์นี้ในอเมริกาได้อย่างไม่ยาก หลังจากที่ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่หนังที่ทำรายได้น่าผิดหวัง และเพิ่งมามีหนังที่ทำเงินเหนือความคาดหมายคือ ‘Bad Boys : Ride or Die’ ในสัปดาห์ก่อน แอนิเมชั่นจากพิกซาร์เรื่องนี้ น่าจะมีปลุกผี Box Office ในอเมริกาได้ต่ออีกเรื่องภาพ : Walt Disney Studios

[REVIEW] ‘The Roundup Punishment’ ทุบหนักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสนุกที่ลงตัวขึ้นมาก

29 พ.ค. 2024

[REVIEW] ‘The Roundup Punishment’ ทุบหนักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสนุกที่ลงตัวขึ้นมาก

ทุบหนัก ฮาหนัก สนุกหนัก สมศักดิ์ศรีหนังเกาหลีทำเงินลำดับต้น ๆ ของปีจริง ๆ สำหรับ ‘The Round up: Punishment | บู๊ระห่ำล่าล้างนรก: นรกลงทัณฑ์’ ภาคที่ 4 แล้วของหนังแอ็กชันตระกูล The Outlaw / The Roundup ที่ขายตั๋วได้ถล่มทลายทุกภาค เช่นเดียวกับภาคล่าสุดนี้ ที่เกาหลีสามารถขายตั๋วไปได้มากถึง 11 ล้านใบแล้ว จากการเข้าฉายเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ที่น่าลุ้นคือ หนังกำลังจะแซง ‘Exhuma’ หนังสยองขวัญระดับปรากฏการณ์ที่ขายตั๋วมากถึง 11.9 ล้านใบ และขึ้นแท่นเป็นหนังเกาหลีทำเงินอันดับ 1 ของปีอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับภาคที่ 2 อย่าง ‘The Roundup’ ที่ทำเงินอันดับ 1 ในเกาหลีเมื่อปี 2022 และภาคที่ 3 อย่าง ‘The Roundup : No Way Out’ ที่ทำเงินอันดับ 1 ของเกาหลีเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน ทำให้พระเอกอย่าง มาดงซอก เป็นเจ้าของผลงานหนังที่สามารถขายตั๋วได้มากกว่า 10 ล้านใบได้มากถึง 3 ปีติดต่อกัน ถือว่าไม่ธรรมดามาก ๆโดยในภาคนี้ มาซอกโด (รับบทโดย มาดงซอก) และทีมของเขาต้องเผชิญกับแก๊งพนันออนไลน์ข้ามชาติ หลังมีชาวเกาหลีตายอย่างเป็นปริศนาในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้พวกเขาค่อยๆสืบขยายผล ผ่านการช่วยเหลือของ ตำรวจไซเบอร์ จีซู (รับบทโดย อีจูบิน ที่เพิ่งโด่งดังจากซีรีส์ Queen of Tears) โดยการสืบของพวกเขา ขยายผลไปถึง จางกี (รับบทโดย คิมมูยอล จากซีรีส์ Juvenile Justice) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษเกาหลี ที่ตอนนี้เขากลายเป็นหัวหน้าทีมคุมองค์กรพนันออนไลน์ ที่เกี่ยวโยงไปถึง ดงชอล (รับบทโดย อีดงฮวี จากซีรีส์ Reply 1988) มหาเศรษฐียักษ์ใหญ่ในวงการไอทีที่อยู่เบื้องหลังองค์กรอาชญากรรมออนไลน์ทั้งหมดสำหรับ ‘The Roundup : Punishment’ ถือเป็นอีกภาคในแฟรนไชส์นี้ที่ทำออกมาได้สนุกลงตัวมาก เหมือนผู้สร้างจะสามารถจับทางได้ถูกต้องหมดแล้ว ว่าผู้ชมกว่า 10 ล้านคนในเกาหลีที่เป็นแฟนคลับของแฟรนไชส์นี้ ต้องการอะไร พวกเขาจึงได้ปรุงออกมาในสูตรเดิม แต่เพิ่มเติมเล่าเรื่องได้ลงตัวขึ้น Mood Tone รวมของหนังจึงค่อนข้างคล้ายๆเดิม ผสมผสานระหว่างหนังตำรวจสืบคดี ที่มีทั้งความจริงจังและมีความผ่อนคลายไปพร้อมๆกัน หนังสามารถบาลานซ์ ฉากแอ็กชันที่ดุดัน เน้นการทุบ ทุบ ทุบ ของตัวละคร มาซอกโด สลับกับฉากเบาสมองต่างๆ ซึ่งจังหวะมุกในภาคนี้ ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคก่อนๆ ทำให้ขำปอดโยกหลายฉากมากเลย ถือว่าสเต็ปในการเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัวเกือบทั้งหมดแน่นอนว่า มาดงซอก ยังคงสร้างความชื่นชอบของแฟนๆได้เหมือนเดิม กับตัวละครที่หมัดหนัก ในจิตใจโอบอ้อมอารี สำหรับตัวร้ายของ คิมมูยอล ก็ถือว่าถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ค่อนข้างอำมหิต และอันตราย (ส่วนตัวให้เป็นรองแค่ ซนซกกู ที่รับบทร้ายในภาค 2 ที่ค่อนข้างร้ายได้สุดกว่า) ในขณะที่ อีดงฮวี มาก็ในบทที่ค่อนข้างสไตล์เดิม ถ้าติดตามมาตั้งแต่ซีรีส์ Reply 1988 เขามักจะได้บทคาแรคเตอร์ที่มีความผ่อนคลาย สบายๆหน่อย ไม่ว่าตัวหนังหรือซีรีส์จะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม แต่ที่ขโมยซีนไปหมดคือ พัคจีฮวาน ที่มากี่ทีก็เรียกเสียงฮาได้ตลอดและอีจูบิน ตัวละครหญิงคนเดียวในเรื่อง เป็นความสวยงามเดียวในหนังที่ทั้งสดใสและเท่ไปพร้อมๆกัน โดยรวมภาคนี้ถือว่า ทั้งสนุกและลงตัวเลย ใครที่ติดตามมาตลอดห้ามพลาด ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู มาลองที่ภาคนี้ได้ เพราะแต่ละภาคจะเป็นคนละคดี สามารถแยกดูกันได้ทั้งหมดชมตัวอย่าง The Roundup : Punishment เข้าโรง 30 พฤษภาคมนี้

[Review] ‘The Garfield Movie’ เอ็นจอยมากกกก การ์ฟิลด์ฉบับนี้ดีเทลมุกเยอะจัด!

21 พ.ค. 2024

[Review] ‘The Garfield Movie’ เอ็นจอยมากกกก การ์ฟิลด์ฉบับนี้ดีเทลมุกเยอะจัด!

เป็นการคัมแบ็คขึ้นจอใหญ่ของการ์ฟิลด์ที่ทั้งสนุกสนานและเพลิดเพลินมาก สำหรับ ‘The Garfield Movie’ ที่เอาเข้าจริง เจ้าแมวอ้วนสีส้มสุดขี้เกียจนี้ ห่างหายจากหนังใหญ่ไปนานถึง 18 ปีแล้ว หลังจากหนังฉบับ Live-Action ของค่ายฟ็อกซ์ ทั้งสองภาคเมื่อปี 2004 และ 2006 จนกระทั่งล่าสุดทางโซนี่คว้าสิทธิ์มาสร้าง แต่คราวนี้ขอเลือกทำในแบบหนังแอนิเมชั่นเต็มตัว ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้ใส่ฉากที่ดูจะออกแนวการ์ตูนได้มากกว่า และพอไม่มีคนแสดง หนังก็ถูกโฟกัสมาที่ตัวการ์ฟิลด์แบบเต็ม ๆ แทนที่จะต้องแบ่งช่วงเวลาบนหน้าจอให้กับ จอน เจ้าของของมันเหมือนในฉบับก่อน ๆโดย ‘The Garfield Movie’ เล่าถึง การ์ฟิลด์ (พากย์เสียงโดย คริส แพรตต์ จาก Guardians of the Galaxy) และโอลดี้ สุนัขเพื่อนซี้ของมัน ที่ถูกลักพาตัวออกจากบ้าน ไปเจอกับ วิค (พากย์เสียงโดย แซมมวล แอล.แจ็คสัน จาก The Avengers) พ่อของการ์ฟิลด์ที่พลัดพรากกันไปนาน ตั้งแต่ก่อนที่การ์ฟิลด์จะถูกรับเลี้ยงโดย จอน (พากย์เสียงโดย นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men : First Class) และด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ การ์ฟิลด์ และวิค ต้องแท็กทีมกัน เพื่อทำภารกิจลับในการบุกไปจารกรรมในโรงงานแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะมีการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่น การกลับมาเจอกันครั้งนี้ของ การ์ฟิลด์และวิค นอกจากภารกิจที่ต้องทำด้วยกันแล้ว ยังทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง แม้จะห่างหายกันไปนานก่อนดู ‘The Garfield Movie’ ทางผู้เขียนคาดหวังความสนุกแบบเต็มที่มาก่อนแล้ว เพราะเครดิตของผู้กำกับ มาร์ก ดินดัล ที่เคยฝากผลงานกำกับหนังแอนิเมชั่นสายรั่วอย่าง The Emperor’s New Groove และ Chicken Little ไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะหนังใหญ่เวอร์ชั่นจัดมุกตลกมาแบบรัว ๆ ในแต่ละฉากผู้กำกับใส่ดีเทลของมุกไว้เยอะมาก ถ้าใครเก็บทัน ก็อาจจะได้เห็นมุกฮา ๆ เพียบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุกที่ค่อนข้างคลีน เพราะหนังฉบับนี้ ออกตัวในฐานะหนังแอนิเมชั่นสำหรับทุกคนในครอบครัว ดังนั้นมุกตลกต่าง ๆ เลยถูกดีไซน์มาทั้งแบบที่เด็กก็ดูได้ และผู้ใหญ่ก็ขำไปด้วย แต่ที่คอหนังน่าจะปลื้มเป็นพิเศษ คือ พวกมุกตลกแซวหนังซึ่งจัดมาพอสมควร โดยเพราะแซวหนังของ ทอม ครูซ ที่มีทั้ง Mission: Impossible และ Top Gun : Maverick ถ้าใครเป็นแฟนหนังครูซ น่าจะอมยิ้มชุดใหญ่อย่างแน่นอนความน่าสนใจของหนังฉบับนี้ คือความพยายามที่จะฉีกจากภาพจำเดิม ๆ หลายอย่าง ทั้งคาแรคเตอร์ของ การ์ฟิลด์เอง ที่ก็ไม่ได้ดูขี้เกียจหนัก ๆ เท่าฉบับก่อน (แต่ยังกินจุเหมือนเดิม) ทำให้หนังดูแอคทีฟขึ้น มีเอนเนอร์จี้ขึ้น และการเลือกเส้นเรื่อง ให้เล่าคล้ายกับหนังสายลับ จับการ์ฟิลด์ไปทำภารกิจต่าง ๆ เปลี่ยนภาพจากแฟนรุ่นเดอะที่เคยอ่านการ์ตูน Garfield แบบ 3-5 ช่อง ที่เหตุการณ์ส่วนใหญ่มักวนเวียนอยู่ในบ้านหรือร้านอาหาร รวมถึงการย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดของการ์ฟิลด์ ทำให้เห็นภาพน่ารัก ๆ สุดคิ้วต์ซึ่งโดยปกติแล้ว เรามักจะไม่ได้เห็นจากการ์ตูนตัวนี้ และท้ายที่สุดคือความประทับใจ จากปมพ่อ-ลูก ซึ่งน่าจะเป็นมุมใหม่ที่แฟน ๆ ไม่เคยสัมผัสจากแฟรนไชส์นี้มาก่อนโดยรวม การกลับมาของ ‘The Garfield Movie’ ในฉบับนี้ ถือว่าสนุกเพลิดเพลิน และลงตัวเลยทีเดียว และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับแฟรนไชส์หนังชุดใหม่ให้กับโซนี่ได้ไม่ยาก สำหรับ คริส แพรตต์ ในการพากย์เสียงก็ถือว่าลงตัว แม้แกจะพากย์ทั้ง The Lego Movie และ The Super Mario Bros. Movie มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรว่ามันซ้ำ กลับรู้สึกเนียนไปกับการ์ฟิลด์ด้วยซ้ำ ส่วนใครที่เป็นทาสแมวนั้น รับประกันความฟินแบบคูณร้อย โดยเฉพาะช่วง End-Credit นั้น ทาสแมวตายตาหลับคาโรงอย่างแน่นอน ดังนั้น คุณไม่ควรพลาด อีกหนึ่งแอนิเมชั่นสายฮาที่บันเทิงทั้งครอบครัว สามารถหัวเราะลั่นโรงไว้ทุกวัยชมตัวอย่าง ‘The Garfield Movie’ เข้าโรง 22 พฤษภาคมนี้ภาพ : Sony Pictures Thailand

[Rewiew] ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ หนังรักสุดตรึงอารมณ์ที่ดันกราฟซีนดราม่าขึ้นไปขีดสุด!

22 เม.ย. 2024

[Rewiew] ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ หนังรักสุดตรึงอารมณ์ที่ดันกราฟซีนดราม่าขึ้นไปขีดสุด!

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับโปรเจกต์หนังไทยที่ถูกจับตามองสุด ๆ อย่าง ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ (ที่เคยเปิดตัวไปในชื่อ The Interest) เพราะเป็นการเจอกันครั้งแรกของสองนักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง ไบร์ท วชิรวิชญ์ และ ญาญ่า อุรัสยา ที่สร้างความฮือฮาตั้งแต่ประกาศสร้าง ถือเป็นโปรเจกต์ลุยธุรกิจหนังแบบเต็มตัวของทาง GMMTV ด้วย หลังปีที่แล้วชิมลางไปกับ ‘My Precious รักแรกโคตรลืมยาก’ ที่กวาดกระแสปากต่อปากดีเยี่ยม จนล่าสุดต่อยอดความสำเร็จด้วยเวอร์ชันซีรีส์ไปแล้ว และอีกประเด็นที่ทำให้ ‘เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน’ ถูกจับตาเยอะมาก คือการที่หยิบเอาหนังเกาหลีอย่าง ‘Man In Love’ ที่นำแสดงโดยพระเอกเบอร์ใหญ่อย่าง ฮวางจองมิน มารีเมก โดยก่อนหน้านี้หนังเคยถูกรีเมกเป็นเวอร์ชันไต้หวัน และกวาดรางวัลมากมายมาแล้ว ยิ่งทำให้เวอร์ชั่นไทย ถูกจับตามองว่าจะออกมาเข้มข้น ไม่แพ้เวอร์ชั่นอื่น ๆ หรือไม่ ?‘เธอฟอร์แคช’ เล่าเรื่องราวของ นักทวงหนี้สุดเท่ (ไบร์ท วชิรวิชญ์) ที่ต้องตระเวนไปทั่วเมืองพัทยาเพื่อทวงหนี้ให้กับนายทุนที่เป็นเจ้านายของเขา เจอกระทั่งไปเจอกับลูกหนี้คนล่าสุด (ญาญ่า อุรัสยา) สาวแบงค์ที่ต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อหาเงินมารักษาพ่อของเธอที่ป่วยเรื้อรัง แต่แม้เธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถดิ้นรนออกจากวังวนความลำบากนี้ได้ แถมชีวิตยังแย่ไม่พอ ดันมาเจอนักทวงหนี้สุดกวนคนนี้ มาตามราวีอีก แต่เพราะเขาหลงเสน่ห์เธอตั้งแต่แรกที่เจอ ทำให้พระเอกของเราเสนอให้ลูกหนี้คนนี้ ออกเดตกับเขา เพื่อแลกกับการไม่ต้องจ่ายเงินดอก แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครนี้จะไปจบลงที่ไหน ความรักจะสามารถเกิดขึ้นระหว่าง นักทวงหนี้ และลูกหนี้ ได้หรือไม่ ต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์เรื่องนี้แน่นอนว่า ‘เธอฟอร์แคช’ คือหนังไทยที่สมการรอคอย สามารถตรึงผู้ชมได้ตั้งแต่ซีนแรก ๆ ยาวไปจนจบ หนังใช้เวลาช่วงแรกในการพาผู้ชมไปรู้จัก ‘นักทวงหนี้’ ในฉบับของ ไบร์ท ซึ่งดูจะต่างจากนักทวงหนี้ทั่วไป เพราะเขาเองก็พยายามทำทุกทางเพื่อให้เจ้าหนี้มีเงินมาจ่ายได้ แม้แต่การช่วยเหลือคนเหล่านั้น ค่อย ๆ เห็นแง่มุม ความอยากเป็นคนที่ดีกว่านี้ของพระเอก จนกระทั่งได้มาเจอนางเอก คนที่ทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจุดที่โดดเด่นมากของ ‘เธอฟอร์แคช’ คือจังหวะของหนังในช่วงแรก ที่ค่อย ๆ ทำให้คนดูอินไปกับสองตัวละครหลัก เริ่มค่อย ๆ ตกหลุมรักและพยายามจะเอาใจช่วย แม้ว่าตัวละครเหล่านี้จะดูเป็นคนสีเทาแค่ไหนก็ตาม แต่หนังก็สามารถทำให้คนดูเชื่อว่า พวกเขาคือมนุษย์ ที่ทำผิดพลาดได้ แต่เจตนาคือ พวกเขาอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แม้มันจะยากแค่ไหนก็ตาม หรือบางครั้งอาจเลือกหนทางที่ผิดพลาดหัวใจสำคัญที่ทำให้ ‘เธอฟอร์แคช’ ค่อนข้างพิเศษมาก ๆ คือ เคมีอันเหลือเชื่อของ ไบร์ท และ ญาญ่า คู่พระนางที่ก่อนจะมีการประกาศโปรเจกต์นี้ ดูเหมือนจะโคจรมาเจอกันค่อนข้างยาก แต่มันกลับเกิดขึ้นได้ และเคมีที่ปรากฏขึ้นบนเจอ มันช่างดีเหลือเกิน ทั้งพาร์ทของฉากโรแมนติก ที่มีอารมณ์แบบหนังรอมคอมที่น่ารักสุด ๆ เวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันและยิ้มให้กัน พลังความสุขเหล่านั้น มันถูกส่งออกมาอย่างล้นจอ ส่งมาถึงคนดู จนรู้สึกว่าอยากดูอีก อยากให้มีฉากน่ารัก ๆ เยอะกว่านี้ มาจนถึงพาร์ทดราม่า ที่ทั้ง ไบร์ท และ ญาญ่า ก็สามารถรับส่งอารมณ์ ปล่อยพลังกันแบบสุด ๆ ยิ่งทำให้คนดูอินไปกับตัวละครของทั้งคู่ เคมีและการแสดงของทั้งสอง ถือเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ ‘เธอฟอร์แคช’ เป็นหนังที่เวิร์กสุด ๆอีกจุดที่ต้องชื่นชมมาก ๆ คือแง่ของโปรดักชัน นี่คือหนังที่มาตรฐานงานสร้าง องค์ประกอบต่าง ๆ สมชื่อของ GMMTV และ ภาพดีทวีสุข ทั้งการบันทึกภาพที่สามารถสื่ออารมณ์ให้กับหนังได้อย่างดี จังหวะการตัดต่อก็ถือว่าสมูธและลงตัว อาจจะมีในช่วงขององก์สุดท้าย ที่มีจังหวะเหมือนจะจบหลายรอบ อาจจะยาวเกินไป และน่าจะสามารถเล่าให้กระชับกว่านี้ได้ (ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่า ต้นฉบับ เล่าในรูปแบบนี้หรือเปล่า เลยจำเป็นต้องยาวในช่วงท้าย) แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ส่งผลให้ ‘เธอฟอร์แคช’ เป็นหนังที่สามารถสร้างความ ‘เต็มอิ่ม’ ในอารมณ์ได้อย่างดีจริง ๆ พร้อมกับการเดินออกจากโรงด้วยการจดจำหนังได้ค่อนข้างมาก และหลายประโยคในหนังที่สามารถตรึงใจเรา แม้ว่าหนังจะจบไปแล้วก็ตาม รวมถึงเพลง ‘นะหน้าทอง’ ในเวอร์ชั่นของ ไบร์ท วชิรวิชญ์ ที่เพราะกระแทกใจ จนเชื่อว่าดูจบแล้ว หลายคนน่าจะหาฟังตามอีกหลาย ๆ รอบแน่นอนชมตัวอย่าง ‘เธอฟอร์แคช’ เข้าฉาย 25 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GMMTV / ภาพดีทวีสุข

[Review] Godzilla x Kong : The New Empire ใหญ่บิ๊กบึ้ม! ถาโถมทุกความต้องการของแฟนหนังมอนสเตอร์

28 มี.ค. 2024

[Review] Godzilla x Kong : The New Empire ใหญ่บิ๊กบึ้ม! ถาโถมทุกความต้องการของแฟนหนังมอนสเตอร์

นี่คือหนังสัตว์ประหลาดที่สร้างมาแบบเอาใจแฟนหนังมอนสเตอร์โดยเฉพาะ สำหรับ ‘Godzilla x Kong : The Empire’ หนังลำดับที่ 5 ในจักรวาล Monsterverse ของวอร์เนอร์ หลังความสำเร็จของหนังเดี่ยว Godzilla ทั้งสองภาคในปี 2014 และ 2019 และหนังเดี่ยวของคองอย่าง Kong : Skull Island ในปี 2017 ทำให้สองยักษ์ใหญ่มาเจอกันใน ‘Godzilla vs Kong’ เมื่อสามปีก่อน แม้จะออกฉายท่ามกลางช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก แต่ด้วยความกระหายหนังฟอร์มยักษ์ของแฟนหนังทั่วโลก ทำให้มันทำเงินไปมากถึง 470 ล้านเหรียญฯ (จากทุนสร้างราว 200 ล้าน) วอร์เนอร์จึงตัดสินใจไฟเขียวภาคต่อ โดยดึง อดัม วินการ์ด ที่กำกับภาคก่อนกลับมาทำหน้าที่เดิมอีกครั้ง‘Godzilla x Kong : The Empire’ เล่าถึงสองมอนสเตอร์ที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่พวกมันจะสู้กัน กลับต้องแท็กทีมเพื่อปกป้องโลก จากอสูรตัวใหม่ที่ถือกำเนิดใน Hollow Earth หรือโลกใต้โลก ดินแดนลึกลับที่เหล่าไททั่นใช้ชีวิตอยู่ในนั้น แต่หนึ่งในมอนสเตอร์กลับจะขึ้นมายังโลกมนุษย์ กลายเป็นหน้าที่ของ โมนาร์ค องค์กรที่ควบคุมก็อดซิลล่าและเหล่าไททั่นมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตหายนะครั้งนี้ สำหรับหนังภาคนี้ได้ รีเบ็คก้า ฮอลล์ จาก Iron Man 3 กลับมารับบท ดร.ไอลีน นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ สังกัดองค์กรโมนาร์คอีกครั้ง ร่วมด้วย ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ ที่กลับมาจากภาคก่อนเช่นกัน ประกบสมาชิกใหม่อย่าง แดน สตีเว่น (พระเอก Beauty and the Beast) ร่วมทีมนักวิทยาศาสตร์ เพื่อไปตะลุยในฮอลโลว์เอิร์ธโดยรวม ‘Godzilla x Kong : The Empire’ คือหนังที่สร้างมาเพื่อเอาใจแฟนหนังมอนสเตอร์โดยเฉพาะ เรียกว่าเป็น แฟนเซอร์วิส เต็มๆเลยก็ว่าได้ เพราะจัดเต็มฉากสัตว์ประหลาดแบบเต็มสูบ และแทบจะลดเส้นเรื่องของมนุษย์ให้ลดลงมากที่สุด แน่นอนว่าสิ่งที่โดดเด่นสุดของหนัง คือ ฉากแอ็กชันของเหล่ามอนสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการ ก็อดซิลล่ากับคองที่ต้องปะทะกัน หรือฉากที่ต้องสู้กับมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ หนังให้เวลากับฉากเหล่านี้เยอะมาก ซึ่งน่าจะสะใจสำหรับแฟนหนังสัตว์ประหลาดที่อยากมาดูฉากบู๊แบบเต็มที่ หนังแทบจะไม่เสียเวลาเล่าเรื่องอะไรมากนัก จุดดีคือ ทำให้หนังค่อนข้างเดินเรื่องไว แทบจะเร่งสปีดการเล่าเพื่อข้ามไปฉากต่อสู้เลย แต่ข้อเสียคือ เมื่อหนังไม่ได้เน้นการเล่าเรื่อง ผู้ชมบางส่วนก็อาจจะอินกับหนังน้อยลง เพราะแทบจะไม่ให้เวลาในการปูตัวเรื่องใด ๆ เลยสิ่งที่เซอร์ไพรสในหนังภาคนี้ คือเส้นเรื่องของ คอง หนังใช้เวลาพอสมควร ในการเล่าพาร์ทที่ตัวละครคอง ต้องย้ายจากเกาะกระโหลก เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกใต้โลก หรือ ฮอลโลว์เอิร์ธ ซึ่งเป็นพาร์ทไร้ตัวละครมนุษย์ จนแทบจะเป็นหนังใบ้ด้วยซ้ำ แต่กลับทำออกมาได้น่าติดตาม และน่าประทับใจมาก ๆ แต่พาร์ทที่แม้จะลดความสำคัญลงแล้ว แต่ยังคงแอบน่าเบื่อ คือ เส้นเรื่องฝั่งมนุษย์ หนังไม่สามารถสร้างตัวละครที่น่าติดตามได้เลย มีเพียงตัวละครแทรปเปอร์ ตัวละครใหม่ของ แดน สตีเว่น ที่ดูน่าติดตามอยู่บ้าง ตัวบทพูดก็ยังคงดูเป็นหนังการ์ตูน แทบจะไม่มีความสมจริงใดๆด้วยซ้ำ ส่วนพาร์ทที่น่าเสียดาย น่าจะเป็น ก็อดซิลล่า ที่แอร์ไทม์ซึ่งปรากฏตัวบนจอ น้อยกว่า คองแบบเห็น ๆ ซึ่งกว่าจะได้เห็นทั้งสองตัวแท็กทีมกัน ก็ปาไปช่วงท้ายแล้วสรุป ‘Godzilla x Kong : The Empire’ คือหนังแฟนเซอร์วิส เพื่อเอาใจแฟนหนังแอ็กชันสัตว์ประหลาดโดยเฉพาะ เหมาะกับการเป็นหนังป็อปคอร์นที่ดูง่ายฆ่าเวลา แต่ถ้าใครมีโอกาสขอแนะนำระบบ IMAX3D ที่เสริมอารมณ์ร่วมให้หนังได้ดีมาก เพื่อความตระการตาแบบสุด ๆ โดยเฉพาะฉากในฮอลโลว์เอิร์ธที่เหมือนทำให้เราหลุดไปอยู่ในโลกใต้โลกกับตัวละครจริงๆ ทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตาของสถานที่แห่งนี้ รวมถึงฉากต่อสู้ของเหล่ามอนสเตอร์ ที่บวกกับมุมกล้อง ทำให้ผู้ชมเหมือนนั่งเฮลิคอปเตอร์ บินอยู่ข้างๆพวกมันระหว่างไฟต์กัน เหมือนดูนั่งขอบสนามเลยก็ว่าได้ ถ้ามีโอกาส ลองเลือกระบบนี้ในการรับชมภาพ : Warner Bros. Thailand

[Review] EXHUMA ขุดมันขึ้นมาจากหลุม : สยองสะพรึงสมมงหนังอันดับ 1 เกาหลีทำเงินถล่มทลาย !

19 มี.ค. 2024

[Review] EXHUMA ขุดมันขึ้นมาจากหลุม : สยองสะพรึงสมมงหนังอันดับ 1 เกาหลีทำเงินถล่มทลาย !

ขึ้นแท่นหนังสยองขวัญที่ถูกจับตามองมากที่สุดไตรมาสแรกของปี สำหรับ Exhuma (ชื่อไทย : ขุดมันขึ้นมาจากหลุม) หนังเกาหลีที่สร้างปรากฏการณ์ทำลายสถิติมากมาย ทำยอดขายตั๋วมากกว่า 10 ล้านใบเรียบร้อย นอกจากจะขึ้นแท่นหนังทำเงินอันดับ 1 ของปีที่นั่น (ชนะ Dune : Part Two) ยังกลายเป็นหนังสยองขวัญที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลที่เกาหลีอีกด้วย นอกจากกระแสรีวิวในแง่บวกแล้ว ด้วยพลังของ 4 นักแสดงนำที่เบอร์ใหญ่หมด ทั้ง ชเวมินซิก (จาก The Admiral : Roaring Current), ยูแฮจิน (จาก Confidential Assignment), คิมโกอึน (จาก Guardians : The Lonely and Great God) และ อีโดฮยอน (จาก The Glory) ยิ่งส่งให้ Exhuma คือหนังโปรแกรมยักษ์ที่ทั้งวงการจับตามอง จนในที่สุดสัปดาห์นี้ ถึงคิว Exhuma เข้าฉายในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งอเมริกา รวมถึงประเทศไทย ที่วางโปรแกรมในสัปดาห์นี้หนังเล่าถึง ฮวาริม และ บองกิล (รับบทโดย คิมโกอึน และอีโดฮยอน) สองร่างทรงที่รับงานจากมหาเศรษฐีชาวเกาหลีในแอลเอ หลังเกิดเหตุประหลาดในตระกูลของพวกเขา เมื่ออาถรรพ์บางอย่างเกิดขึ้นกับหลานชายที่เพิ่งเกิดใหม่ แบบเดียวกับที่รุ่นพ่อและรุ่นปู่เป็นอยู่ ฮวาริม รู้ทันทีว่า ทั้งหมดเกิดจากคำสาปแช่งของบรรพบุรุษ และทางเดียวที่แก้ได้คือการขุดหลุมศพของทวดขึ้นมาทำพิธี กลายเป็นหน้าที่ของ ซังดอก (รับบทโดย ชเวมินซิก) ผู้เชี่ยวชาญหน้าฮวงจุ้ย และยองกึน (รับบทโดย ยูแฮจิน) สัปเหร่อ ที่เข้ามาทำหน้าที่ขุดหลุม และเมื่อมาถึงวันพิธี ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะง่ายดาย กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อหลุมศพตั้งอยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่ ฝังในแบบที่ไม่ควรฝัง และบางอย่างที่ไม่ควรถูกขุดขึ้นมา กำลังจะโผล่ขึ้นมาจากหลุมอีกครั้ง..โดยรวม Exhuma คือหนังสยองขวัญที่สามารถตรึงผู้ชมตั้งแต่ฉากแรกๆได้อย่างอยู่หมัด ด้วยบรรยากาศที่เหมือนถูกปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือกตลอดทั้งเรื่อง หนังสามารถสร้างความรู้สึกวังเวให้กับผู้ชม แล้วค่อย ๆ ไต่ระดับความสยอง ไปจนถึงขีดสุดในช่วงท้าย นี่ไม่ใช่หนังที่สร้างความน่ากลัวในแบบตุ้งแช่ แต่เน้นบิวต์บรรยากาศโดยรวมให้รู้สึกสะพรึงมากกว่า และมีกลิ่นอายแบบหนังสืบสวนสอบสวนผสมผสานเข้ามา นอกจากนี้ หนังยังเก่งกาจในการเล่าเรื่อง ด้วยการแบ่งออกเป็น 6 องก์ แต่ละส่วนของหนังล้วนมีไฮไลต์ในส่วนของตัวเอง เล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และที่สำคัญคือคาดเดาไม่ได้ เพราะหนังจะพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คิด และนำไปสู่จุดที่ ไม่ใช่หนังสยองขวัญแบบเดิม ๆ ที่เคยดูนอกจากฝีมือของผู้กำกับ จางแจฮยอน (จาก The Priests) ที่สามารถคุมโทนหนังได้อย่างอยู่หมัดแล้ว หนังยังได้พลังของ 4 นักแสดงนำ มาตรึงผู้ชมได้ไว้ตลอด และที่สำคัญคือ ไม่มีใครกลบใครเลย แน่นอนว่า ชเวมินซิก และ คิมโกอึน มีซีนใหญ่กว่าทุกคน แต่ ยูแฮจิน กับ อีโดฮยอน ก็ต่างมีบทบาทสำคัญ และมีซีนของตัวเองเช่นกัน และเมื่อทั้ง 4 คนรวมพลังกัน ยิ่งส่งให้ Exhuma เป็นหนังที่อัดแน่นด้วยพลังการแสดงมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีนทำพิธีต่าง ๆ ที่ทั้งการแสดง ทั้งดนตรีประกอบ สร้างบรรยากาศสุดไม่น่าไว้วางใจ ชวนหลอนได้อย่างดีเยี่ยม นี่คืออีกครั้ง ที่หนังสยองขวัญจากเกาหลี ถูกสร้างออกมาอย่างทำถึงในเกือบทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังเกาหลี หรือแฟนหนังสยองขวัญ ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ชมตัวอย่าง Exhuma ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 21 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์

[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!

27 ก.พ. 2024

[Review] Dune : Part Two มหากาพย์หนังเอพิคไซไฟที่เข้มข้นสะกดคนดูแทบทุกวินาที!

เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงกระแสคุณภาพของหนังภาคต่อ ‘Dune : Part Two’ ที่กำลังถาโถมไปทั่วโลกในขณะนี้ รวมถึงสามารถคว้าคะแนนบวกจาก Rotten Tomatoes ได้ถึง 98% ไม่ใช่เรื่องเกินจริง นี่คือหนังที่พิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับที่เก่งกาจในการตรึงอารมณ์ผู้ชมอย่างแท้จริง และค่อย ๆพัฒนาตัวเองด้วยหนังในสเกลที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หนัง Dune ภาคใหม่นี้ เหนือว่าภาคแรกในแทบทุกประการ ทั้งการเล่าเรื่องที่ไต่ระดับความเข้มข้นตรึงผู้ชมต่อเนื่องขึ้นไปจากภาคแรก ระดับของงานโปรดักชั่นที่ชวนอ้าปากค้างขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปีก่อน คือปีของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่แสดงความเป็น ‘เสด็จพ่อ’ จาก Oppenheimer ปีนี้ต้องเป็นปีของ วิลเนิร์ฟ อย่างแท้จริง หนังเรื่องคือพิสูจน์ว่าเขาคือ ‘ตัวพ่อ’ ในการปั้นหนังบล็อกบัสเตอร์ด้วยศาสตร์การทำหนังที่แทบจะสมบูรณ์แบบทุกประการ‘Dune’ คือมหากาพย์หนังไซไฟอวกาศ ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ที่ขึ้นชื่อว่าซับซ้อนและดัดแปลงยากที่สุด ความพยายามเพื่อขึ้นจอใหญ่หลายครั้งล้มเหลว จนกระทั่งมาถึงมือของ เดอนี วิลเนิร์ฟ ทำให้ Dune ภาคแรกประสบความสำเร็จ ทั้งคำวิจารณ์และรายรับ แม้จะฉายในช่วงโควิด-19 ยังระบาดหนักก็ตาม โดยในภาคสองนี้ สร้างจากครึ่งหลังของนิยายเล่มแรก เล่าถึงภารกิจของ พอล อะเทรดิส (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเม่ต์) ในการล้างแค้นศัตรูที่เคยสังหารและทำลายตระกูลของเขา โดยพอลต้องร่วมมือกับ ชานี (รับบทโดย เซนดาย่า) หญิงสาวชาวเฟรเมน เพื่อวางแผนโค่นล้มบารอน นำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ ที่กำหนดชะตากรรมของจักรวาล โดยหนังภาคนี้นอกจากนักแสดงเซ็ตเดิมจากภาคแรกแล้ว ยังมีนักแสดงใหม่น่าจับตาอย่าง ออสติน บัตเลอร์ จาก Elvis ในบท เฟย์ด-รอธา ตัวร้ายสุดอำมหิต หลานของบารอน และ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ในบท เจ้าหญิงอีรูลาน ลูกสาวของจักรพรรดิผู้ครองอำนาจในจักรวาลอย่างที่เกริ่นไป ‘Dune : Part Two’ คือหนังที่พัฒนาขึ้นจากภาคแรกในแทบทุกประการ และสามารถสะกดวิญญาณผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยศาสตร์ในการทำหนัง เริ่มจากการเล่าเรื่อง ที่เหตุการณ์ในภาคนี้ แทบจะตรึงผู้ชมให้อยู่กับเส้นเรื่องได้ตลอดเวลา และยิ่งในชั่วโมงหลังที่ทั้งเข้มข้นขึ้น ปมต่างๆยิ่งผูกแน่นขึ้น และความซับซ้อนในความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะพอลและซานี กลายเป็นสองขั้วตัวละครที่ มีมิติและมีความลึกด้านอารมณ์แบบสุดๆ ปมขัดแย้งที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ นำไปสู่ครึ่งหลังที่พีกยิ่งกว่าภาคก่อน และทั้งหมด ถูกเล่าผ่านงานโปรดักชั่น ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีแนวทางชัดเจน ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอ การออกแบบงานสร้างและการดีไซน์เสียง ล้วนมีส่วนสำคัญที่ช่วยตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังเรื่องนี้ได้ตลอด จนทำให้ ‘Dune : Part Two’ น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนังบล็อกบัสเตอร์ ที่เป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเราถึงยังต้องดูหนังในโรงในยุคนี้ หนังเรื่องนี้ จะขาดอรรถรสอย่างยิ่ง ถ้าไม่รับชมในจอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดจากการเนรมิตหนังที่เหมือนจะเข้ามือขึ้นเรื่อยๆของ เดอนี สู่การแสดงที่ยอดเยี่ยมครบองค์ของทีมนักแสดงชุดใหญ่ ที่ทุกคนล้วนมีซีนให้ฉายแสง เริ่มจาก ทิโมธี ที่บทซับซ้อนขึ้น ผู้ชมสามารถเห็นพัฒนาการของตัวละครได้อย่างชัดเจน, เซนดาย่า ที่ภาคแรกถูกแซวว่าเป็นนางเอกรับเชิญ เพราะบทน้อยเหลือเกิน ภาคนี้โผล่มาเต็ม และเห็นถึงความรู้สึกทุกแง่มุมของตัวละครเต็มๆเช่นกัน แต่ไฮไลต์สำคัญของภาคนี้ ขอยกให้ทีมนักแสดงใหม่ เริ่มจาก ออสติน บัตเลอร์ ที่คงไม่มีใครติดภาพ Elvis อีกแล้ว เพราะบทในภาคนี้เขาสามารถถ่ายทอดความอำมหิตออกมาได้อย่างเต็มสูบ ผ่านสีหน้าและแววตาที่ดูน่าเกรงขามในทุกวินาทีบนจอ ในขณะที่ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ก็ค่อยๆฉายแสงขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ คริสโตเฟอร์ วอลเค่น เป็นจักรพรรดิ ที่แสดงความทรงพลังและแสดงอำนาจออกมาผ่านสีหน้าได้หนักแน่นสุดอีกพาร์ทที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นชัดเจนใน Dune : Part Two คือฉากแอ็กชัน ที่นอกจากจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความระทึกขึ้นไปอีก ตั้งแต่ซีนแรกในทะเลทรายเลยด้วยซ้ำ ที่ทำเอาผู้ชมลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจ ทั้งหมดนี้ คือบทพิสูจน์ว่า เดอนี วิลเนิร์ฟ คือผู้กำกับระดับมาสเตอร์ของจริง หนังที่เขากำกับ แม้ว่าจะสเกลใหญ่มากขึ้นแค่ไหน เขาก็สามารถเอาอยู่ได้เสมอ ทั้งด้านการเล่าเรื่อง ด้านงานโปรดักชั่น เขาเหมือนกำกับอารมณ์ผู้ชมได้ตลอด ด้วยทุกสิ่งที่ปรากฏบนจอ และทุกเสียงต่างยืนยันว่าทันทีที่ดูหนังจบ แทบอยากจะดู Dune : Part Three ในทันที ถ้าใครมีโอกาส ห้ามพลาดระบบ IMAX โดยเด็ดขาด ความจอยักษ์ของระบบ เสริมความยิ่งใหญ่ และคุมอารมณ์คนดูได้อย่างดีเยี่ยมชมตัวอย่าง Dune : Part Two เข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[Review] Mean Girls (2024) แสบซ่าส์ในแบบมิวสิคัล สดใหม่แต่ก็ยังคงไวป์เดิม

15 ก.พ. 2024

[Review] Mean Girls (2024) แสบซ่าส์ในแบบมิวสิคัล สดใหม่แต่ก็ยังคงไวป์เดิม

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน หนังวัยรุ่นสุดแซ่บเรื่องหนึ่งค่อยๆกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 130 ล้านเหรียญฯ แม้ ณ เวลานั้นหนังจะดังพอประมาณ แต่เมื่อเวลาผ่านไป Mean Girls ค่อยๆกลายเป็นหนังคลาสสิกย่อมๆในกลุ่มแฟนหนัง ด้วยการถูกหยิบมาดูซ้ำ นำมาดัดแปลงใหม่ หรือถูกพูดถึงใน Pop Culture รูปแบบต่างๆ แม้แต่ศิลปินรุ่นหลังอย่าง Ariana Grande ยังเอาฉากจำใน Mean Girls มาล้อเลียนใน Music Video แต่แรงกระเพื่อมรอบใหม่ที่ปังจริงๆสำหรับ Mean Girls คือการที่หนังถูกนำไปดัดแปลงเป็นละครเวทีมิวสิคัลในปี 2017 และจากความสำเร็จนั้นเอง ทำให้ พาราเมาต์ตัดสินใจ หยิบเวอร์ชั่นมิวสิคัลนี้ มาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์อีกครั้ง ทำให้เกิด Mean Girls ในฉบับปี 2024 ขึ้น ที่ไม่ได้รีเมกจากเวอร์ชั่นหนัง 2004 โดยตรง แต่ยึดเส้นเรื่องและบทเพลงจากเวอร์ชั่นละครเวทีนั่นเองMeans Girls ในยุคนี้ยังคงเล่าเรื่องราวของ เคดี้ เด็กสาวจากเคนย่าที่แอฟริกา ที่ย้ายตามแม่กลับมาที่สหรัฐฯ และได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายนอร์ธชอร์ สถานที่ซึ่งเธอต้องเผชิญกับรูปแบบสังคมและชนชั้นแบบที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน จากในเวอร์ชั่น 2004 ที่บทนี้เป็นของ ลินด์เซย์ โลแฮน ฉบับใหม่ได้ แองกัวรี่ ไรซ์ จาก Spider-Man : Homecoming มารับบทนำ ปะทะกับ เรเน่ แรปป์ จากซีรีส์ The Sex Live of College Girls มาในบทเรจิน่า จอร์จ ตัวแม่ตัวมัมหัวหน้าแก๊งพลาสติก ที่เดิมทีบทนี้แจ้งเกิดให้กับ ราเชล แมคอดัมส์ ซึ่ง เรเน่เอง เคยแสดงบทนี้มาก่อนในเวอร์ชั่นละครเวทีด้วย พร้อมกับนักแสดงอีกหลายคนที่เคยแสดงในฉบับมิวสิคัลมาแล้ว ก็กลับมาขึ้นจอภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นนี้ ร่วมด้วย ทีน่า เฟย์ นักแสดงตลกเบอร์ใหญ่ที่นอกจากจะกลับมาเขียนบทหนัง Mean Girls อีกครั้ง เธอยังคงกลับมารับบทอาจารย์ในเวอร์ชั่นมิวสิคัลปี 2024 นี้อีกด้วยความพิเศษมากๆของ Mean Girls ในฉบับใหม่นี้ คือการที่หนังสามารถบาลานซ์ระหว่าง Mood Tone แบบเดิม และความเป็น Musical ซึ่งเพิ่มความสดใหม่ให้กับหนังได้สำเร็จ โดยรวมผู้ชมยังรู้สึกเหมือนดูหนัง Mean Girls ในฉบับที่คุ้นเคย มีความแสบซ่า มีความตลกร้ายกาจ จิกกัดสังคม ในแบบที่ 20 ปีก่อนเป็นเช่นไร เวอร์ชั่นใหม่นี้ก็เป็นอย่างนั้น อาจจะด้วยการที่ ทิน่า เฟย์ กลับมาเขียนบทเหมือนเดิม ทำให้ไวป์ของหนัง ยังคงมีอารมณ์ในแบบที่ชื่นชอบเหมือนเดิมไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน พอหนังปรับรูปแบบเป็น มิวสิคัลอย่างเต็มตัว ทุกครั้งที่เป็นฉากร้องเพลงเข้ามา ก็ทำให้ผู้ชมเหมือนดูหนังเรื่องใหม่ แต่ละเพลง แต่ฉากมิวสิคัล สามารถเพิ่มระดับความจัดจ้านให้กับหนังได้อย่างดี เหมือนยิ่งเสริมให้หนังทั้งเฟรชขึ้น ซ่าขึ้น และสดใหม่ขึ้นไปพร้อมๆกันไฮไลต์สำคัญคงหนีไม่พ้น ทีมนักแสดงนำ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี เริ่มจาก เรเน่ แรปป์ ที่สามารถเป็น เรจิน่า ในเวอร์ชั่นของตัวเองได้ มีความแตกต่างจนรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปเปรียบเทียบกับฉบับของ ราเชล แมคอดัมส์ เลย ในขณะที่ แองกัวรี่ ไรซ์ แม้พลังดาราของเธอจะไม่เทียบเท่า ลินด์เซย์ ในเวลานั้น แต่ เคดี้ในแบบของเธอ ก็ดูเรียบง่ายในแบบที่ควรจะเป็น จนหลายคนอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า เคดี้ ในฉบับนี้ ดูจะโดน เรจิน่า กลบมิด ต่างจากตอนปี 2004 ที่ทั้ง ลินด์เซย์ และราเชล มีพลังค่อนข้างสูสีกัน ในขณะที่ทีมนักแสดงสมทบรอบนี้ กูดูมีสีสันแทบทุกตัว และแต่ละคนก็มีซีนมิวสิคัลให้ได้ฉายแสงด้วย ซึ่งจุดนี้ ยิ่งทำให้หนังดูครบรอบด้านมากยิ่งขึ้นโดยรวม Mean Girls ฉบับหนังมิวสิคัลในปี 2024 ถือว่าออกมาค่อนข้างน่าพอใจ เป็นหนังในเวอร์ชั่นที่สดใหม่ขึ้น ทันสมัยขึ้น สามารถรักษาอารมณ์ความแสบสันของต้นฉบับไว้ได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ในแง่ของมิวสิคัลก็ค่อนข้างลงตัวทั้งในแง่ของเพลงและการดีไซน์ฉาก พอจะทราบมาว่า ในฉบับหนังมีการตัดเพลง ออกไปหลายเพลงเพื่อให้กระชับขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะ Mean Girls ฉบับนี้ มีจังหวะการเล่าค่อนข้างดี แทบจะไม่มีฉากไหนที่รู้สึกว่าน่าเบื่อหรือควรตัดทิ้งเลย ใครที่เป็นแฟนคลับ Mean Girls อยู่แล้ว ก็ไม่ควรพลาด มาร่วมฉลองการครบรอบ 20 ปีของหนังด้วยเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันMean Girls เข้าฉาย 15 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1