HOLLYWOOD GOSSIP | EFM ทอล์คอารมณ์ดี เพลงดีทุกแนว

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Wicked’ หนังมิวสิคัลที่เต็มเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์และพลังความสุข

21 พ.ย. 2024

[REVIEW] ‘Wicked’ หนังมิวสิคัลที่เต็มเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์และพลังความสุข

การหยิบเอาละครเวทีระดับตำนานจากบรอดเวย์ มาดัดแปลงขึ้นจอใหญ่ ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป สตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ได้เผชิญกับผลลัพธ์ทั้ง 2 แบบมาแล้ว ทั้งกวาดเงินและกวาดรางวัลจาก Les Miserables รวมถึงกวาดคำด่าและขาดทุนยับไปกับ Cats ดังนั้นการหยิบเอา ‘Wicked’ มาขึ้นจอใหญ่ในคราวนี้ ใช่ว่าจะการันตีความสำเร็จเสมอไป แม้ว่าเวอร์ชั่นบรอดเวย์จะเปิดการแสดงมาอย่างยาวนานถึง 20 กว่าปีแล้ว จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในละครเวทีที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ก็ใช่ว่าหนังจะกวาดเงินบน Box Office แต่ทางยูนิเวอร์แซลดูเหมือนจะมั่นใจเป็นพิเศษ หลังมอบโปรเจกต์นี้ให้ จอน เอ็ม.ชู ผู้กำกับจาก Crazy Rich Asians และ In The Heights มาคุมโปรเจกต์ ทางสตูดิโอตัดสินใจอนุมัติสร้างทีเดียว 2 ภาครวด (องก์แรกของละครอยู่ในพาร์ทแรก องก์ที่ 2 ก็จะอยู่ในพาร์ทที่2 เช่นกัน) ซึ่งข่าวดีล็อตแรกก่อนออกฉายนั้น คือรีวิวหนังออกมาในแง่บวกมาก ทั้งคะแนนนักวิจารณ์จาก Rotten Tomatoes และคะแนนผู้ชมจาก Audience Score อยู่ในระดับที่สูงมาก‘Wicked’ เล่าเรื่องราวในโลกแฟนตาซีใบเดียวกับหนังคลาสสิกอย่าง ‘The Wizard of Oz’ ในช่วงเหตุการณ์ก่อนที่โดโรธีจะเดินทางมาสู่โลกของอ๊อซ ในโลกใบนี้มีแม่มดร้ายที่ผู้คนรู้จักในนาม ‘Wicked Witch of the West’ ซึ่งมีรูปโฉมเป็นสีเขียวน่าอัปลักษณ์ สร้างความเกลียดกลัวให้กับประชาชนชาวอ๊อซไปทั่ว แต่อันที่จริงแล้ว น้อยคนจะรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแม่มดชั่วร้ายแต่อย่างดี เรื่องราวใน ‘Wicked’ จึงพาย้อนกลับไป สมัยที่เธอยังเป็น เอลฟาบา เด็กสาวที่เกิดมาสุดรันทด พ่อแม่รังเกียจเพราะเธอตัวสีเขียว จนกระทั่งได้เข้าเรียนในสถาบันเวทมนตร์ ก็ยังถูกรังเกียจจากเพื่อนๆ จนได้มาเจอกับ กลินดา สาวป็อปสุดไฮโซ ที่แม้ตอนแรกทั้งสองจะต่างกันสุดขั้ว แต่เหตุการณ์ก็ทำให้ทั้งคู่สนิทกัน และนำพาให้ เอลฟาบาได้ไปเจอกับพ่อมดอ๊อซ ในขณะเดียวกัน อาณาจักรแห่งนี้ก็กำลังเผชิญเรื่องราวสุดเลวร้าย เพราะเหล่าสัตว์พูดได้ที่อาศัยอยู่ร่วมกันมนุษย์ ต่างถูกจับตัวไป ทำให้เอลฟาบาต้องทำทุกทางเพื่อตามล่าหาความจริงและช่วยเหลือพวกเขาข่าวดีสำหรับแฟนๆของ ‘Wicked’ คือ ผลลัพธ์ของหนังออกมาอย่างน่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นหนังมิวสิคัลที่ลงตัวที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ หลักๆต้องขอบคุณการกำกับอารมณ์ที่ค่อนข้างแม่นยำของผู้กำกับ จอน เอ็ม.ชู ที่ทำให้ผู้ชมสามารถอินกับตัวละครและตกหลุมรักตัวละครได้ทั้งแต่แรก ทำให้ซีนที่ต้องบีบอารมณ์ก็ขยี้อารมณ์ได้สำเร็จ ฉากไหนที่ควรทรงพลังก็ทำให้ผู้ชมหึกเหิมตามได้ ในแง่ของฉากมิวสิคัลเองก็ ยิ่งใหญ่ตื่นตา คุ้มค่าแก่การรอคอย หากเวอร์ชั่นละครเวทีทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินได้แค่ไหน ผู้กำกับก็ใช้ศาสตร์ของภาพยนตร์เติมความอลังการเข้าไปอย่างเหมาะสม จนทำให้การเล่าของหนังค่อนข้างไหลลื่นมาก แม้ว่าภาคแรกจะมีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที แต่กลับไม่รู้สึกว่ามันยาวหรือยืดเกินไปตอนไหนเลย จังหวะกำลังดีทีเดียวแน่นอนว่า สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนัง คงหนีไม่พ้นสองนักแสดงนำ เริ่มจาก ซินเทีย อารีโว่ ในบทของ เอลฟาบา ที่คงไม่รู้จะติอะไรนอกจากชม เพราะเธอคือตัวแม่ของสายมิวสิคัลอยู่แล้ว การันตีจากการชนะรางวัลทั้ง Tony Awards, Emmy Awards และ Grammy Awards มาแล้ว (ขาดเพียง Oscars เธอก็จะชนะ EGOT แล้ว) ซินเทีย กลายเป็น Wicked Witch ได้อย่างกลมกลืน ทำให้เราตกหลุมรักเธอได้ เอาใจช่วยเธอได้ บวกกับน้ำเสียงอันทรงพลังอย่างไร้ข้อกังขา เธอคือแสดงนำที่ยอดเยี่ยมตัวจริง แต่ที่ชวนเซอร์ไพรสคือ อารีอาน่า กรานเด ที่ทุกคนรู้จักเธอในฐานะป็อปสตาร์ อาจไม่เคยผ่านตางานแสดงเท่าไหร่นัก อารีอาน่า เหมือนเกิดมาเพื่อรับบท กลินดาเลย ในแง่ของการสวมคาแรคเตอร์ จริตของตัวละครคือใช่แบบ 100% จริงๆตัวละครนี้ ถ้าเล่นไม่ดีคนจะเกลียดเธอได้ไม่ยาก แต่อารีอาน่าสามารถเล่นคนดูตกหลุมรัก เอ็นจอย และเข้าอกเข้าใจตัวละครได้ ส่วนในแง่เสียง ก็สามารถเอาสไตล์การร้องแบบตัวเองมาผสมในหนังได้อย่างไม่ขัดเขินเลย เชื่อว่าเธอจะสามารถตกแฟนคลับเพิ่มได้อีกจาก Wicked อีกกลุ่มใหญ่ จากฐานแฟนเดิมที่มหาศาลอยู่แล้ว‘Wicked’ คือหนังที่เพอร์เฟคมากสำหรับช่วงเทศกาลฮอดิเดย์ปลายปีแบบนี้ ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข ผู้คนต่างเฉลิมฉลอง นี่คือหนังที่เหมาะจะพาคนรัก พาเพื่อน พาครอบครัวไปดูพร้อมกัน ทั้งวิชวลของหนังที่สดใสสดชื่นตลอดเวลา และแม้แต่ตัว Key Message ของหนังเองที่ พยายามสื่อสารตลอดว่า เราไม่ควรมองคนแต่ที่ภายนอก หนังสอดแทรกประเด็นการเหยียดผิวอย่างกำลังพอเหมาะ จากภาพรวมของหนัง สามารถการันตีได้เลยว่า ช่วงวันหยุดใกล้จะปลายปีแบบนี้ ตัวหนังเองมีโอกาสอย่างมากที่จะกวาดรายได้อย่างงดงาม ใครที่อยากดูหนังแล้วมีความสุขมากๆ ลองพิสูจน์กับ ‘Wicked’ นอกจากระบบปกติแล้ว ดูบนจอยักษ์ระดับ IMAX ก็ยิ่งเพิ่มความตื่นตาของอาณาจักรอ๊อซ และฉากมิวสิคัลได้อย่างดีเยี่ยมเลยชมตัวอย่างเสียงไทยของ Wicked เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘ธี่หยด 2’ ที่สุดแห่งความมันส์ ซัดหนัก-ด่าผีฉ่ำ อัดแน่นเอเนอร์จี้แบบภาคแรก

09 ต.ค. 2024

[REVIEW] ‘ธี่หยด 2’ ที่สุดแห่งความมันส์ ซัดหนัก-ด่าผีฉ่ำ อัดแน่นเอเนอร์จี้แบบภาคแรก

ปรากฏการณ์ความสำเร็จของหนังผีแบบ ‘ธี่หยด’ ไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก จากเรื่องสยองขวัญบนเว็บไซด์พันทิป ที่ผู้เขียนเผยว่า เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ กลายมาเป็นนวนิยายที่มียอดผู้อ่านถล่มทลาย สู่เรื่องสยองบนรายการวิทยุที่มียอดผู้ฟังระดับหลายล้าน ทั้งหมดนี้ ส่งต่อให้ภาพยนตร์เรื่อง ‘ธี่หยด’ กลายเป็นหนังสยองขวัญที่กวาดรายได้ถล่มทลายทั่วประเทศระดับ 500 ล้านบาท (เฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล ซัดไปถึง 197 ล้านบาท) แน่นอนว่าเจ้าของโปรเจกต์อย่าง ช่อง 3 และเอ็ม สตูดิโอ ไม่รอช้า เข็นภาคต่อออกมาอย่างรวดเร็ว และสามารถเข้าฉายภายในเวลาไม่ถึง 1 ปีหลังจากภาคแรกด้วยซ้ำ โดยในภาคใหม่นี้ อะไรที่ทำให้คนดูคลั่งไคล้ ‘ธี่หยด’ ภาคแรก องค์ประกอบที่ทำให้แฟนหนังชาวไทยชื่นชอบ ดูเหมือนผู้สร้างจะทำการบ้านมาอย่างดี แล้วจัดเต็ม ทำให้ ‘ธี่หยด 2’ คือหนังที่ทำได้ดียิ่งกว่าภาคแรกในแทบทุกองค์ประกอบณเดชน์ คูกิมิยะ กลับมารับบท ยักษ์ พี่ชายคนโตสายลุย ที่พร้อมซัดแหลกกับเหล่าบรรดาผีชั่วอีกครั้ง โดยในภาคนี้จะเล่าเหตุการณ์ 3 ปีหลังจากภาคแรก ครอบครัวของยักษ์ยังคงหวาดกลัวและฝันร้ายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ยักษ์ลุยดะ หาทางปราบผีชุดดำให้ได้ หลักฐานต่างๆ พาเขาเข้าไปยังดงโขนด สถานที่ผีชุกกลางป่าลึก โดยว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของปอปตาพวง ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับผีชุดดำ ในขณะที่ฝั่งบ้านของยักษ์นั้น หยาดกำลังหมั้นหมายกับแฟนหนุ่มที่ชื่อประดิษฐ์ และมีแผนกำลังจะแต่งงานกัน แต่ในคืนวันก่อนแต่งงาน ผีชุดดำก็ได้ปรากฏกายมาหลอกหลอนครอบครัวนี้อีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้ว ยักษ์จะสามารถปราบผีชั่วได้หรือไม่ ต้องไปลุ้นเชื่อว่าหลายคนไปดูภาคแรกแบบคาดหวังความสยอง แต่ปรากฏว่านอกจากความหลอนแล้ว สิ่งที่เซอร์ไพรสมาก คือความเดือดของหนัง ที่อัดแน่นไวป์แบบหนังแอ็กชัน ด้วยซีนยักษ์แบกปืนยิงปราบผีแบบสนั่นลั่นทุ่ง ซึ่งจากเสียงปากต่อปากที่คนดูชอบมาก ทำให้ภาคนี้ ผู้กำกับเดินหน้าด้วยเอนเนอร์จี้แบบนั้นแทบตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ ‘ธี่หยด 2’ ไม่ใช่หนังผีแบบเพียวๆอีกต่อไป ต้องเรียกว่าเป็นหนังแบบ Action-Horror ซึ่งยังคงทำออกมาได้สนุกมาก และเนื่องจากหนังไม่ต้องเสียเวลาในการปูเรื่องใดๆแล้ว ทำให้หนังภาคนี้สามารถลุยได้ทันทีตั้งแต่ฉากแรก มาถึงก็ซัดกับผี จัดหนักด้วยซีนบู๊ปนสยองแบบทันที แล้วจัดเต็มด้วยพลังความมันส์แบบนั้นตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบแน่นอนว่า ณเดชน์ คูกิมิยะ ยังคงเป็น MVP สำหรับภาคนี้ เขาทำให้ยักษ์กลายเป็นแอ็กชันฮีโร่ที่ทั้งเท่ ทั้งกวนตีน และเป็นที่รักของคนดู ด้วยพลังความรักที่เขายอมทุ่มทั้งชีวิตเพื่อปกป้องครอบครัว และที่สำคัญคือ ฉากด่าผีแบบไม่เกรงกลัวที่ถูกใจคนดูยิ่งนัก ซึ่งในภาคนี้ ตัวละครยักษ์ ด่าผีฉ่ำยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้ความสนุกของ ธี่หยด 2 นอกจากการประชันพลังกันของคนกับผีแล้ว การประชันฝีปากก็สนุกไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าหนังภาคนี้ เดือดทั้งผี เดือดทั้งคน จนแทบจะตอบไม่ได้ว่าอะไรเดือดกว่ากัน ใครที่เคยสนุกกับ ‘ธี่หยด’ ภาคแรก ขอคอนเฟิร์มว่าหนังภาคนี้ สนุกไม่แพ้กัน จัดหนักไม่แพ้ และถ้ามีโอกาสดูในระบบ IMAX รับประกันความเต็มตา ทั้งผีชุดดำ และซิกซ์แพคของณเดชน์ เต็มตาสมศักดิ์ศรีจอสูงเท่าตึก 7 ชั้นจริง ๆชมตัวอย่าง ‘ธี่หยด 2’ วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Joker : Folie a Deux’ โลกแห่งมิวสิคัลของโจ๊กเกอร์ ที่ไม่เกรงใจคนดู

02 ต.ค. 2024

[REVIEW] ‘Joker : Folie a Deux’ โลกแห่งมิวสิคัลของโจ๊กเกอร์ ที่ไม่เกรงใจคนดู

สิ่งที่บ้าบิ่นยิ่งกว่าตัวละคร ‘โจ๊กเกอร์’ ในหนัง เห็นจะเป็นไอเดียของผู้กำกับ Todd Phillips และพระเอกอย่าง Joaquin Pheonix ที่อยากให้ภาคต่อของ Joker เป็นหนังในแนว ‘มิวสิคัล’ แต่คนที่บ้ายิ่งกว่าเห็นจะเป็นสตูดิโอเจ้าของหนังอย่าง Warner Bros. ที่ตัดสินใจอนุมัติ แม้ว่า ‘มิวสิคัล’ จะกลายเป็นของขายยากในยุคหลัง เพราะความล้มเหลวติดต่อกันของหนังแนวนี้ อย่าง West Side Story, In The Height และ Cats ที่ทำรายได้ไม่ถึงเป้า ทำให้แม้แต่Universal ที่กำลังจะมี Wicked ฉายในเดือนหน้า ตัดสินใจโปรโมตเอนไปทางหนังแฟนตาซีมากกว่าหนังขายเสียงเพลง แต่เพราะฐานแฟนของหนัง Joker ภาคแรกที่กวาดรายได้เกินคาดจนทะลุหลัก 1 พันล้านเหรียญฯ ทำให้ Warner Bros. ยอมเสี่ยงกับไอเดียนี้ และปล่อยให้ วาคีนและทอดด์ พาภาคต่อของ Joker ไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ และการที่ได้ Lady Gaga มารับบทนักแสดงทำฝ่ายหญิง ยิ่งทำให้ ‘Joker : Folie a Deux’ ดูแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าไอเดียตั้งต้นจะเสี่ยงแค่ไหนก็ตามภาคต่อของ Joker เน้นพาผู้ชมไปสำรวจสภาพจิตใจของ Arthur Fleck ที่ในตอนนี้เขากลายเป็นนักโทษประหารในเรือนจำ Arkham แม้ความหวังในการรอดชีวิตจะริบหลี่ แต่ก็มีทนายความที่พยายามจะหาแง่มุมเพื่อช่วยให้การอุทธรณ์เกิดขึ้น โดยอ้างว่า โจ๊กเกอร์ เป็นอีกบุคลิกที่เกิดจากอาการป่วย ในขณะที่อาเธอร์​กำลังเตรียมตัวเพื่อขึ้นศาล เขาก็ไปพบรักของ ‘ลี’ หรือชื่อเต็มๆคือ Harley Quinn ตัวละครที่แฟนคอมมิครู้จักกันดีในฐานะคู่รักตลอดกาลของโจ๊กเกอร์ ซึ่งในเรื่องนี้ ถ่ายทอดโดย เลดี้กาก้า เธอคือผู้หญิงที่รักและเข้าใจอาเธอร์ในแบบที่เขาเป็น และพยายามทำทุกทางเพื่อให้ทั้งคู่ออกจากเรือนจำ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่กดดัน พวกเขาต่างมีความสุขในจินตนาการ จนกลายมาเป็นฉากมิวสิคัลอันมากมายในหนังเรื่องนี้อย่างที่เกริ่นไปว่า ต้องยกย่องวอร์เนอร์ ผู้กำกับทอดด์ และวาคีน ที่บ้าบิ่นพอจะพาหนังมาทางนี้ หลังจากภาคแรกที่ค่อนข้างไม่ประนีประนอมกับคนดูอยู่แล้ว ด้วยจังหวะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า บวกกับบรรยากาศสุดตึงเครียดของหนัง มาภาคนี้ พวกเขายิ่งใส่องค์ประกอบที่ยากขึ้นเข้าไปอีก ด้วยฉากมิวสิคัลที่ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแฟนละครเพลง และฉากสไตล์คอร์ตรูมดราม่า (หรือหนังที่เล่าถึงการไต่สวนในศาล) ที่ต้องอาศัยสมาธิในการโฟกัสกับเรื่องราวอย่างมาก พอทั้งหมดผสมรวมกัน ‘Joker : Folie a Deux’ จึงกลายเป็นหนังจากคอมมิคที่แทบไม่ง้อคนดูเลย เพราะผู้สร้างต้องการจะสร้างออกมาแบบนี้ ไม่ว่ามันจะเฟรนด์ลี่กับคนดูหรือไม่ โดยเฉพาะแฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่หลายครั้งต้องการเสพอะไรที่ย่อยง่าย ในสไตล์ที่หนังมาร์เวลชอบทำ สิ่งที่ผู้เขียนชอบในหนังเรื่องนี้ จึงเป็นการชอบในความกล้าของผู้สร้าง แต่ต้องยอมรับว่า ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น ค่อนข้างมีพาร์ทที่ทั้งชอบและไม่ชอบอย่างชัดเจนแน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนน่าจะเห็นตรงกัน คือ รสนิยมในงานโปรดักชั่นที่ Joker : Folie a Deux เป็นหนังที่ออกแบบงานสร้างสวยและดูแพง การถ่ายทำดูเป็นหนังมีเกรด ยิ่งเวลาดูบนจอใหญ่ๆอย่าง IMAX ยิ่งทำให้หนังดูอลังการ และอีกอย่างที่ดีงามเช่นเดิมคือการแสดงของ วาคีน ที่ยังคงลึกล้ำ แปลกประหลาดจนคาดเดาไม่ได้ ซึ่งเขาสามารถเข้าคู่กับ Lady Gaga ได้อย่างดี กาก้าคือตัวเลือกสำหรับบท ฮาร์ลี่ ควินน์ ในแบบมิวสิคัลที่เพอร์เฟคมากๆ ด้วยอิมเมจของเธอในฐานะนักร้องที่แตกต่างอยู่แล้ว พอมารับบทนี้ยิ่งเสริมให้เข้ากับบทไปอีก แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ เวลาบนจอของกาก้า ค่อนข้างน้อยไปนิดในฐานะนักแสดงนำ เชื่อว่าเมื่อดูจบหลายคนจะกระหายกาก้ามากขึ้น เพราะเธอทำได้ดีจริงๆในบทนี้ และฉากมิวสิคัลที่สามารถสะกดอารมณ์ได้ทุกรอบ ไม่มีซีนไหนที่สามารถกังขาเธอได้ปัญหาอย่างชัดเจนของ ‘Joker : Folie a Deux’ คืออารมณ์ร่วมสำหรับฉากมิวสิคัล และจำนวนที่อาจมากเกินไป จนหลายคนบ่นตรงกันว่ากระทบกับเนื้อเรื่อง หลายฉากมิวสิคัลนั้น คือ ฉากที่พยายามให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงตัวละครโจ๊กเกอร์มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่มันไม่บรรลุผลเท่าไรนัก แม้ว่าทอดด์และวาคีนจะกระหายอยากทำสิ่งนี้ แต่ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ถนัดด้านนี้เอาเสียเลย แม้องค์ประกอบความเป็นมิวสิคัลมันจะครบถ้วน แต่กลับสร้างอารมณ์ร่วมได้ไม่ดีนัก ขาดความแม่นยำในการเล่นกับอารมณ์คนดู แล้วพอหนังใช้การเล่าแบบมิวสิคัลเยอะเข้า ทำให้เส้นเรื่องของหนังภาคนี้ ก็ไม่ค่อยไปไหนเสียที ซึ่งปกติหนังก็แทบจะเดินเรื่องช้าอยู่แล้ว กลายเป็นเพซซิ่งสำหรับภาคนี้ที่ยาวถึง 2:20 ชั่วโมง เข้าขั้นยาวจนต้องหันมาดูนาฬิกาหลายรอบ ซึ่งผู้เขียนคงไม่สามารถตัดสินแทนทุกคนได้ ว่าคุณจะเอ็นจอยกับ Joker ภาคนี้หรือไม่ มันคือความท้าทาย ที่อาจจะต้องหาเวลาไปลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง

[REVIEW] ‘Transformers One’ นี่คือภาค Prequel ที่ติ๊กถูกแทบทุกข้อ ปลุกชีพทรานส์ฟอร์มเมอร์อย่างดีงาม

17 ก.ย. 2024

[REVIEW] ‘Transformers One’ นี่คือภาค Prequel ที่ติ๊กถูกแทบทุกข้อ ปลุกชีพทรานส์ฟอร์มเมอร์อย่างดีงาม

ถ้าพูดถึงสถานะของแฟรนไชส์ตระกูล Transformers แล้ว ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า อยู่ในลักษณะลุ่มๆดอนๆ เพราะหลังจาก ไมเคิล เบย์ ปั้นหนังตระกูลนี้มากับมือ จนกวาดเงินระดับพันล้าน ในภาคที่ 3-4 แต่เขาเองก็ทำให้แฟรนไชส์นี้มาอยู่ในขาลง ด้วยคุณภาพของภาคสุดท้ายที่เขากำกับอย่าง Transformers : The Last Knight ที่ยุ่งเหยิงจนน่าตกใจ ส่งผลให้รายได้และความนิยมหล่นฮวบไปด้วย แต่ทางพาราเมาต์และฮาสโบร (เจ้าของสิทธิ ผู้ผลิตของเล่นชุดนี้) ก็ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ ด้วยการเริ่มสร้าง Bubblebee หนัง Spin-Off ตัวละครที่แฟนๆรัก ต่อด้วย Transformers : Rise of the Beasts ที่ทำหน้าที่เป็น Prequel ทั้งสองภาคได้รับคำชมพอสมควร แม้รายได้จะกระเตื้องขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก จนมาถึงความพยายามครั้งล่าสุดกับ ‘Transformers One’ ครั้งแรกที่ทรานส์ฟอร์มเมอร์ ถูกสร้างเป็นหนังใหญ่ด้วยการเป็นหนังแอนิเมชั่น พร้อมย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดของสองตัวละครหลักอย่าง ออพติมัส ไพรม์ และ เมกะตรอนก่อนที่ทั้งสองจะกลายเป็นศัตรู ทั้งคู่คือมิตรสหายกันมาก่อน นี่คือธีมหลักของ ‘Transformers One’ ที่เล่าเหตุการณ์ก่อน Transformers ทุกภาค และเป็นภาคแรกที่ไม่ได้เล่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์ และไม่มีตัวละครมนุษย์แม้แต่คนเดียว เพราะหนังได้พาผู้ชมไปยังดาวต้นกำเนิดของ ทรานส์ฟอร์มเมอร์ ในยุคสมัยที่ ออพติมัส ไพรม์ และ เมกะตรอน ยังเป็นเพียงหุ่นยนต์ใช้แรงงานในเหมือง พวกเขาไม่มีพลังในการแปลงกายด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตไปวันๆในฐานะกรรมกร แต่แล้วสถานการณ์กลับพลิกพัน ทำให้พวกเขาต้องออกผจญภัยไปยังพื้นผิวของดาว พื้นที่รกร้างที่ไม่มีหุ่นยนต์ตัวไหนอาศัยอยู่ได้ เพื่อค้นหาขุมพลัง ที่หายไปนานถึง 500 ปี จนกระทั่งเจอกับความลับบางอย่าง ที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ของพวกเขาไปตลอดกาล จากมิตรเริ่มกลายเป็นศัตรู นำไปสู่สงครามจักรกลข้ามจักรวาล ในแบบที่พวกเราได้ชมกันใน Transformers ทุกภาคก่อนหน้านี้แม้หน้าหนังของ ‘Transformers One’ จะเป็นหนังแอนิเมชั่น แต่ตัวหนังเองกลับไม่ได้ทำตัวเป็นหนังเด็กด้วยซ้ำ องค์ประกอบทั้งหมดเหมือนเราดู Transformers ภาคปกติเลย เพียงแค่ผู้สร้างเลือกเล่าในแบบแอนิเมชั่น เพราะหนังไม่ได้มีตัวละครมนุษย์ เส้นเรื่องของ ‘Transformers One’ ยิ่งใหญ่และไปไกลกว่าที่ทุกคนคาดคิด อัดแน่นไปด้วยประเด็นที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าตัวละครใดตัวละครหนึ่ง แล้วหนังก็ประกอบด้วยฉากต่างๆ ที่ทำให้สนุกครบรส ไม่แพ้กับ Transformers ภาคอื่นๆ ทั้งฉากแอ็กชันสุดตื่นตา มาพร้อมกับสเกลที่ใหญ่มากๆ สอดแทรกด้วยซีนตลกอารมณ์ขัน ที่มีจังหวะมุกแบบพอดิบพอดี และปิดท้ายด้วยฉากชวนหึกเหิมและประทับใจ ที่ได้ค่อนข้างดีเลย กลายเป็นว่า ‘Transformers One’ คือหนังบันเทิงที่สนุกลงตัวมากที่สุดเรื่องหนึ่งในแฟรนไชส์นี้ทั้งหมด ในแง่ของพล็อตก็เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่เป็นเชื่อมต่อกับภาคหลักอย่างพอดิบพอดี ในขณะที่ตัวหนังเอง ก็มีเอกลักษณ์ในแบบของมัน สามารถดูได้ในฐานะหนัง Stand Alone เช่นกันอย่างที่เกริ่นไปในหัวข้อ ‘Transformers One’ มีคุณภาพในฐานะหนัง Prequel (หนังที่เล่าเหตุการณ์ก่อนภาคหลัก) ที่ครบถ้วน ทำให้ผู้ชมที่ดูภาคหลักแล้ว รู้สึกสมบูรณ์กับเรื่องราวมากขึ้น ในขณะเดียวกันใครที่ไม่เคยดู Transformers มาเลย หนังก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ในการชักชวนให้อยากไปชมภาคอื่นๆในแฟรนไชส์นี้ต่อ ระหว่างดู ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่องอื่นอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ X-Men : First Class ทั้งในแง่คุณภาพ และในแง่โครงหลักของเรื่อง ซึ่งเล่าถึงสองตัวละครที่ผู้ชมรู้จักพวกเขาในฐานะศัตรู แต่ในภาคนี้พาย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นมิตร อะไรคือจุดแตกหักที่ทำให้ทั้งสองต้องไปคนละทิศคนละทาง อีกหนึ่งคือ Spider-Man Into The Spider-Verse ในฐานะหนังภาคแยกที่วางตัวเป็นแอนิเมชั่น แต่กลับกินคาดในแง่คุณภาพ ความลงตัว จนเป็นที่โปรดปรานในกลุ่มแฟนประจำของแฟรนไชส์ สำหรับ ‘Transformers One’ มีสถานะเช่นนั้นอยู่ ใครที่อาจจะเบื่อหน่ายกับทรานส์ฟอร์มเมอร์แล้ว ขอเชียร์ว่าอย่าเพิ่งรีบหมดใจและมองข้ามภาคนี้ นี่เป็นเหมือนภาคที่พา Transformers เข้าใกล้จุดพีกอีกครั้ง ส่วนใครที่ไม่เคยชมมาก่อน ก็สามารถมาเปิดตัวกับภาคนี้ได้เช่นกัน เป็นหนัง Transformers ภาคที่มีหัวใจมากที่สุด ครบเครื่องสุดภาคะนึงเท่าที่มีมาเลยทีเดียวชมตัวอย่าง Transformers One เข้าฉาย 26 กันยายนในโรงภาพยนตร์(เปิดรอบพิเศษ 20-22 กันยายนนี้ ช่วงบ่ายถึงค่ำ)

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

28 ส.ค. 2024

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

จากความสำเร็จของ ‘Train To Busan’ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งให้แวดวงหนังเกาหลีก็ขยันสร้างสรรค์ไอเดียหนังหายนะ ให้ออกมามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ ครีเอตสถานการณ์อันบีบคั้นด้วยข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับหนังแอ็กชันโปรเจกต์ยักษ์ล่าสุดอย่าง ‘Project Silence’ ที่ใส่ข้อแม้เพื่อให้ตัวละครเอาตัวรอด เปลี่ยนจากซอมบี้ที่เริ่มซ้ำซากในยุคหลัง เป็น ‘สุนัขชีวะ’ ที่ผ่านการทดลองทางการทหารให้สังหารมนุษย์อย่างอำมหิต โอกาสที่มนุษย์หน้าไหนจะรอดไปนั้น โอกาสคือศูนย์ จะเปลี่ยนเซ็ตติ้ง จากพื้นที่จำกัดทั้งบนรถไฟหรือเครื่องบิน ให้เป็นสะพานสูงที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และใส่อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเพิ่มเข้ามาอีก คือหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของทุกตัวละคร ทำให้อาจกล่าวได้ว่า ‘Project Silence’ คือหนังที่จัดองค์ประกอบความหายนะ เสิร์ฟมาให้แบบเต็ม ๆ เข้าขั้นมะรุมมะตุ้มอย่างที่เกริ่นไปเลยทีเดียวศูนย์กลางของ ‘Project Silence’ คือ จองวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับจาก ‘Parasite’) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง ที่กำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่สนามบินเพื่อเรียนต่อ แต่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นบนสะพานเชื่อมระหว่างกรุงโซล กับ สนามบินอินชอน เมื่อหมอกหนาเริ่มปกคลุม ทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ และหนึ่งในนั้น คือรถบรรทุกลึกลับของกองทัพ ที่กำลังขนอาวุธลับร้ายแรง ไม่นานผู้ประสบภัยบนสะพานก็ค่อย ๆ รู้ชะตากรรมว่าอาวุธดังกล่าว คือ สุนัขที่ผ่านการทดลอง ให้เป็น อาวุธสังหาร มีความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทุกชีวิต ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด สะพานก็เริ่มพังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลั่ง และความตายที่รอพวกเขาอยู่เชื่อว่าหลายคนรอคอย ‘Project Silence’ เพราะนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับที่ฝากผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยรวมซอนคยุนยังคงฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างน่าจดจำ กับตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ โดยเฉพาะซีนท้าย ๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกบีบหัวใจ และยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ดูฝีมือการแสดงของนักแสดงมากฝีมือคนนี้อีกแล้ว และที่โดดเด่นไม่แพ้กัน จนไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ จูจีฮุน ที่คาแรกเตอร์ในหนังรับบทเป็นคนขับรถสิบล้อ ที่มีมาดกวนและเรียกเสียงฮาได้ตลอด ต่างจากมาดนิ่ง ๆ แบบในซีรีส์ ‘Kingdom’ หรือหนังอย่าง ‘Along with The Gods’ กลายเป็นตัวละครของ จูจีฮุน ที่สร้างความบันเทิงและเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขโมยซีนอยู่เสมอ สามารถบาลานซ์จากความจริงจังของตัวละคร อีซอนคยุน ให้หนังมีความครบรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งมุมจริงจังมาก ๆ และมุมผ่อนคลายเรื่อย ๆและ ‘Project Silence’ คืออีกครั้งที่เกาหลีสามารถทำหนังหายนะได้อย่างถึงรสชาติ แน่นอนว่าเรื่องของงานโปรดักชั่นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง เพราะงานสร้างดูยิ่งใหญ่ สมจริง และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดี ที่เอ่ยว่าทำถึง คือหนังสามารถใส่สถานการณ์ชวนตื่นเต้น เสิร์ฟความระทึกมาให้แบบไม่หยุดหย่อน แค่คนดูติดตามเชียร์ตัวละคร ให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามเส้นเรื่องก็สนุกมากพอแล้ว หนังใส่อุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาอย่างไม่สนใจว่ามันจะเว่อร์ หรือเกินจริง เน้นให้คนดูได้เอ็นจอยกับหายนะที่ถาโถมไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่ถูกวางไว้สูงโดย ‘Train To Busan’ ตัวหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้แตะสแตนดาร์ดนั้น ในแง่ของความบีบคั้นของเรื่องราว และแง่มุมสะท้อนสังคมที่เรื่องดังกล่าวทำได้เหนือกว่า แต่โดยรวม ‘Project Silence’ ก็ยังเป็นหนังหายนะที่สนุก แปลกใหม่ น่าสนใจทั้งฉากต่าง ๆ และตัวละคร สามารถดูแบบบันเทิงและเอ็นจอยได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Project Silence เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 29 สิงหาคมในโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘วิมานหนาม’ หนังกำหมัดแห่งปี ที่มาพร้อมกับงานสร้างระดับเวิลด์คลาส

20 ส.ค. 2024

[REVIEW] ‘วิมานหนาม’ หนังกำหมัดแห่งปี ที่มาพร้อมกับงานสร้างระดับเวิลด์คลาส

ถ้าผลงานชิ้นก่อนจากค่าย GDH อย่าง ‘หลานม่า’ คือหนังฟีลกู้ดสร้างความประทับใจแห่งปี ผลงานชิ้นใหม่อย่าง ‘วิมานหนาม’ ย่อมเป็นหนังขั้วตรงข้าม มันคือ ‘หลานม่า’ ฉบับฟีลแองกรี้ แม้โครงพล็อตจะเกี่ยวกับวัยรุ่น ที่ต้องการครอบครองเคหะสถานของผู้สูงอายุเหมือนกัน แต่รสชาติในการเล่า ข้อแม้ของเรื่องราว และองค์ประกอบของหนังช่างต่างกันลิบลับ แต่ที่เหมือนกันอย่างแน่ชัดคือ ‘คุณภาพ’ ที่ล้นจอ ถ้า หลานม่า ได้รับตำแหน่งหนังเสียน้ำตาแห่งปี ภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานหนาม’ ก็ขอมอบตำแหน่งหนังกำหมัดแห่งปีเช่นกัน‘วิมานหนาม’ คือผลงานล่าสุดของ บอส-นฤเบศ จากซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ เล่าถึงโชคชะตาที่แปรผันของ ‘ทองคำ’ (รับบทโดย เจฟ ซาเตอร์) หนุ่มชาวไร่ที่ใช้ชีวิตในสวนทุเรียนกับ เสก (รับบทโดย เต้ย พงศกร) พวกเขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้กับสวนนี้ จนเสกสามารถไถ่โฉนดที่ดินจากการจำนอง ออกมาเป็นของตัวเองได้สำเร็จ แต่ชีวิตกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเสกเสียชีวิตกะทันหัน บ้าน ที่ดิน และสวนทุเรียนทั้งหมด จึงตกเป็นชื่อของ ‘แม่แสง’ (รับบทโดย สีดา พัวพิมล) เพราะแม้ ทองคำกับเสก จะแต่งงานกันแล้ว แต่ด้วยกฎหมายไม่รองรับ ทองคำจึงกลายเป็นคนตัวเปล่า เขาพยายามทำทุกทางเพื่อขอสวนทุเรียนในฝันคืนจากแม่ของเสก แต่กลับถูกกีดกันโดย ‘โหม๋’ (รับบทโดย อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวของแม่แสงที่ถูกเก็บมาเลี้ยง สงครามในวิมานหนาม เพื่อแย่งชิงสวนทุเรียนแห่งนี้จึงเกิดขึ้นแน่นอนว่า ‘วิมานหนาม’ คือผลงาน GDH ที่ท้าทายในหลายแง่มุม แต่ก็ยังคงทำถึงแบบไม่เกินคาด หลังจากปล่อยตัวอย่างออกมาสร้างความฮือฮา พร้อมคำโปรยที่ว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากความไม่เท่าเทียม หนังหยิบเอาประเด็นด้านกฏหมายที่ไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมได้ มาเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความฉิบหายทั้งหมด ตอกย้ำว่าหลาย ๆ แง่มุม ข้อกฎหมายก็ยังไม่สามารถคุ้มครองคนทุกกลุ่มอย่างเสมอภาคกันได้ โดยเฉพาะช่วงแรกของหนังที่สร้างบาดแผลในใจให้กับตัวละครของ ‘ทองคำ’ ได้อย่างดี เมื่อความรักที่เขาให้ต่อเสกนั้น กฎหมายมองเพียงแค่ ‘เพื่อน’ เท่านั้น ไม่ใช่ ‘สามีภรรยา’ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะถ้ากฏหมายคุ้มครองชีวิตคู่ของพวกเขาจริง เหตุการณ์ที่กลายเป็นดั่งฝันร้ายหรือวิมานล่มสลาย คงไม่ตามมาเป็นพาเหรดอย่างที่หนังจะค่อยๆเล่าต่อจากนั้นอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า ‘วิมานหนาม’ คือหนังกำหมัดแห่งปี เพราะดีกรีเกรี้ยวกราดของเส้นเรื่องมันค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น จนกระทั่งปรอทแตกในตอนท้าย การเข้ามาของตัวละคร ‘แม่แสง’ และ ‘โหม๋’ คือตัวเร่งปฏิกริยาให้เรื่องราวมันร้อนแรงมากขึ้น คนดูได้ลุ้นในแทบทุกฉาก เริ่มต้นจากคำพูดที่เชือดเฉือน แล้วค่อย ๆ ไต่ระดับเป็นการกระทำที่รุนแรงมากขึ้น จนบางครั้งให้ฟีลลุ้นระทึกยิ่งกว่าฉากแอ็กชันด้วยซ้ำ ว่าหนังมันจะยกระดับความร้อนแรงไปถึงเบอร์ไหน แต่ที่แน่ ๆ คือหนังสามารถตรึงอารมณ์คนดูไว้ได้ตลอด จนหลายคนแอบกำหมัดในโรง อยากจะจัดการตัวละครที่ชวนโมโหเหล่านี้ให้พ้นทางไปไว ๆแน่นอนว่า อารมณ์ร่วมทั้งหมดของ ‘วิมานหมาน’ ต้องขอบคุณบทภาพยนตร์ที่สร้างทุกตัวละครออกมาอย่างมีมิติ ไม่มีใครขาวหรือดำไปทั้งหมด และถูกถ่ายทอดออกมาโดยทีมนักแสดงนำ ที่ทุกคนแอคติ้งได้อย่างไร้กังขา สามารถเป็นตัวละครนั้น จนคนดูเชื่อตั้งแต่แรก และห่อหุ้มด้วยงานโปรดักชั่น โดยเฉพาะโลเคชั่นและออกแบบงานสร้าง ที่ทำสวยแบบคุมโทนและถึงอารมณ์ จนทุกอย่างผสมออกมาอย่างกลมกล่อม ถือเป็นหนังที่รวมงานสร้างไว้ในระดับเวิร์ลคลาส และนำออกไปฉายโชว์ให้คนทั่วโลกดูในฐานะหนังไทยได้อย่างสบาย‘วิมานหนาม’ เข้าฉาย 22 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Twisters’ หนังทอร์นาโดสุดกลมกล่อม กลิ่นอายแบบต้นฉบับมาครบ

11 ก.ค. 2024

[REVIEW] ‘Twisters’ หนังทอร์นาโดสุดกลมกล่อม กลิ่นอายแบบต้นฉบับมาครบ

ใครที่อายุ 30 ขึ้นไป น่าจะโตมากับหนังภัยพิบัติระดับตำนานอย่าง Twister อย่างแน่นอน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 นี่คือหนังทำเงินลำดับต้นๆของปี มีเพียง Independence Day หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ ID4 เท่านั้นที่ทำเงินเหนือกว่า ยุคสมัยนั้นถือว่าแท็กทีมตัวท็อปของวงการพอสมควร ทั้ง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่นั่งแท่นโปรดิวเซอร์ จาน เดอ บองต์ ผู้กำกับที่กำลังฮ็อตสุดๆจาก Speed นั่งแท่นกำกับ พร้อมหยิบเอานิยายของ ไมเคิล ไครชตัน ผู้เขียนเดียวกับ Jurassic Park มาสร้าง ด้วยความตื่นตาของหนัง ความสมจริงในฉากไล่ล่าพายุ ทำให้หนังสามารถกวาดรายได้สูงถึง 495 ล้านเหรียญฯ และกลายเป็นหนังพายุที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา จนกระทั่งล่าสุด หนังถูกกลับมาปัดฝุ่น นำมาสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ใช่การรีเมก เพราะมันคือภาคใหม่ ที่หยิบเอาคอนเซปต์การ ‘ไล่ล่าพายุ’ มาเป็นแกนหลัก พร้อมกับสวมด้วยเส้นเรื่องและคาแรกเตอร์ใหม่ที่เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นเดซีย์ เอ็ดการ์-โจนส์ นางเอกมากฝีมือจาก Where The Crawdads Sing รับบท เคต คูเปอร์ หญิงสาวที่หมกมุ่นกับเรื่องทอร์นาโด โปรเจกต์ทดลองของเธอคือการทำให้พายุอ่อนตัวลงและช่วยผู้คนนับล้าน แต่โปรเจกต์ของเธอต้องพับไปเพราะความผิดพลาด จนกระทั่งเพื่อนสนิทอย่าง จาวี (รับบทโดย แอนโธนี่ รามอส จาก Transformers : Rise of the Beasts) ชักชวนให้เธอกลับมาไล่ล่าพายุอีกครั้ง เพราะเขากำลังพัฒนาอุปกรณ์สุดไฮเทคในการสแกน และเมื่อเธอลงสนามอีกครั้ง เธอก็ได้พบเจอกับ ไทเลอร์ โอเว่น ยูทูปเบอร์พลังเกินร้อย ที่คอนเทนต์บุกฝ่าใจกลางพายุได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แม้คาแรกเตอร์ของ เคตกับไทเลอร์ จะแตกต่างสุดขั้ว แต่แพชชั่นที่มีต่อทอร์นาโด ก็ทำให้ทั้งคู่เริ่มแท็กทีมกันในการไล่ล่าพายุ เป้าหมายคือ เพื่อป้องกันภัย ก่อนที่มันจะพลัดพรากชีวิตผู้คน และถล่มเมืองที่ขวางหน้าเป็นราบคาบสำหรับใครที่เกิดทัน Twister ในฉบับ 1996 ต้องบอกว่าเวอร์ชั่นใหม่นี้ มีกลิ่นอายและเสน่ห์แบบต้นฉบับอย่างครบถ้วน ทำให้หวนนึกถึงอดีตพอสมควร แต่สำหรับผู้ชมที่อาจจะไม่เคยดูมาก่อน Twisters ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ ได้บรรยากาศหนังหายนะแบบยุค 90s เน้นความสมจริงมากกว่าฉากทำลายล้างสุดเว่อร์วัง เน้นการขับเคลื่อนของตัวละคร มากกว่าฉากพยายามเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ แน่นอนว่า ฉากทำลายล้างสุดตื่นเต้นยังมีอยู่ครบ ทั้งฉากไล่ล่าพายุ ฉากเอาตัวรอดต่างๆ ยังคงทำออกมาได้อย่างถึงมาตรฐาน ชวนตื่นตาพอสมควร แต่ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน คือ การสร้างตัวละคร หนังถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนของตัวละครต่างๆออกมาได้อย่างเด่นชัด ผู้ชมจะสัมผัสได้ทันทีถึงแพชชั่นของ พระเอก-นางเอก ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเสี่ยงตายเอาชีวิตเข้าไปแขวนไว้กับพายุ ตัวละครต่างๆค่อนข้างเนิร์ดพายุมากๆ ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับ ยิ่งทำให้หนังดูน่าเชื่อถือโดย ‘Twisters’ ภาคใหม่นี้ สามารถเล่าพาร์ตชีวิตของตัวละครได้อย่างดี ต้องขอบคุณ ลี ไอแซค ชุง ผู้กำกับจาก Minari หนังดราม่าระดับออสการ์ ที่หยิบกลิ่นอายจากผลงานชิ้นก่อน มาใส่ไว้ในหนังได้อย่างพอเหมาะ ทำให้ Twisters ไม่ใช่หนังภัยพิบัติแบบดาดๆทั่วไป แต่สัมผัสได้ถึง ‘ชีวิต’ และ ‘ผลกระทบ’ ต่อชีวิตที่พายุมีต่อมนุษย์ และไฮไลต์สำคัญของ Twisters ฉบับนี้ ก็คือสองนักแสดงนำ จาก เฮเลน ฮันต์ และ บิล แพ็กซ์ตัน ในฉบับก่อน ส่งไม้ต่อให้กับ เกลน พาเวลล์ และ เดซีย์ เอ็ดการ์ โจนส์ ที่ผสานเคมีของสองตัวละครได้อย่างลงตัว มีความกรุ้มกริ่มแบบพอเหมาะ ทำให้ Twisters ขึ้นแท่นหนังป็อปคอร์นซัมเมอร์ที่มอบความบันเทิงอย่างลงตัว และถ้าใครอยากอินกับความยิ่งใหญ่ของพายุเป็นพิเศษ ขอแนะนำระบบ IMAX ที่เสริมความสะพรึงทั้งภาพและเสียงได้อย่างพอพึงพอใจชมตัวอย่าง Twisters วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

12 มิ.ย. 2024

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

คุ้มค่าแก่การรอคอยนาน 9 ปีเต็ม สำหรับภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดประทับใจที่มาพร้อมไอเดียสุดล้ำอย่าง ‘Inside Out’ ของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชั่น ที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์ทั้งกวาดเงินมากถึง 850 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก กวาดคะแนนบวกจากนักวิจารณ์มากถึง 98% และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นในดวงใจคนดูไปเต็ม ๆด้วยพล็อตสุดครีเอท ที่เล่าถึงเหล่าอารมณ์ในหัวของ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังว้าวุ่นกับการเติบโต โดยในหัวของเธอมีอารมณ์ต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน นำโดย จอย ตัวละครสุดอารมณ์ดี แน่นอนว่ากว่าที่ ‘Inside Out’ ภาคแรกจะเกิดขึ้นได้ ใช้เวลาพัฒนาโปรเจกต์อยู่นาน ขั้นตอนสำหรับภาคต่อก็เช่นกัน ทำให้หนังถูกทิ้งช่วงนานถึง 9 ปีเต็ม โดยพิกซาร์มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับภาคนี้ให้ เคลซี มานน์ หัวเรือใหญ่ของทีมครีเอทีฟพิกซาร์ ที่มีส่วนร่วมในหนังของค่ายยุคหลัง ๆ อย่าง Soul, Luca และ Elemental มาทำหน้าที่กำกับเป็นครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะรับไม้ต่อมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียด้วยสำหรับใน ‘Inside Out 2’ ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเธอกำลังต้องขึ้นสู่ชั้นเรียนใหม่ ต้องพบกับเพื่อนใหม่ ๆ และความฝันในการเข้าทีมเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ทำให้การเข้าค่ายในช่วงไม่กี่วันจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของไรลี่ย์ นอกจาก 5 อารมณ์เดิมจากภาคแรกแล้ว คือการเข้ามาของ 4 อารมณ์ใหม่ ที่นำทีมโดย ว้าวุ่น อารมณ์ที่เริ่มเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น พวกเขากำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เริ่มมีอารมณ์ดีที่น้อยลง และเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จอยและแก๊งอารมณ์เดิมจะรับมืออย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเธอจะสามารถควบคุมไรลี่ย์ให้หน้าด้านไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่ ต้องมาติดตามกันแน่นอนว่าหนังภาคนี้ เติบโตในเนื้อหามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับตัวละครไรลีย์ที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของหนัง จึงเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ การก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในพาร์ทนี้ของหนังถือว่า สามารถถ่ายทอดความซับซ้อนด้านอารมณ์ของคนเรา ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ยังคงมีความลึกซึ้งทางด้านเนื้อหา ตามแบบฉบับที่ Inside Out นั้นควรจะเป็น และมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้นยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้เนื้อหาในภาคนี้ น่าจะทัชใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่สร้างความบันเทิง สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังดิสนีย์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ตัว Message ของหนังจะโตขึ้นก็ตาม แต่ ‘ Inside Out 2’ ยังคงรักษามาตรฐานความบันเทิงแบบดิสนีย์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหล่ามุกที่สร้างสรรค์ขึ้นจากครีเอทีฟไอเดีย ภาคนี้ถือว่าไม่เสียเวลารอคอยจริง ๆ ยิ่งการสร้างตัวละครใหม่ ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้กับ 5 ตัวละครแรก ทุกตัวยังคงมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน และเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ยังมีเหล่าตัวละครที่อาจจะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งอารมณ์ แต่มาขโมยซีนแบบเต็ม ๆ (แต่พวกเขาคืออะไรนั้น ไม่สามารถสปอยล์ได้ตรงนี้) นอกจากนี้หนังยังสามารถรักษาพาร์ทของการเป็นหนังผจญภัยได้อย่างสนุกสนาน กับการเดินทางของ จอย และแก๊งอารมณ์ออริจินัลของพวกเธอ ที่ต้องออกเดินทางด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสร้างสรรค์มุมต่าง ๆ ในหัวของไรลีย์ ได้เหมือนสวนสนุก เหมือนจำลองดิสนีย์แลนด์ ในเวอร์ชั่นสมองไรลีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งเสริมให้ ‘Inside Out 2’ ครบถ้วนในทุกแง่มุมทั้งความสนุก ความลึกซึ้ง และความประทับใจของธีมเรื่องโดยรวม ‘Inside Out 2’ ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพิกซาร์อยู่ไม่น้อย เพราะว่าภาคแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แต่ผลลัพภ์ที่ออกมา ก็ถือว่าน่าพอใจมาก คุ้มค่าแก่การรอคอยสำหรับแฟนหนังพิกซาร์ ซึ่งหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ทางค่ายไม่สามารถรักษามาตรฐานที่ทัดเทียมภาคแรกไว้ได้สำหรับภาคต่อ แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าทำได้ เป็นการกลับคู่ระดับความพีกของพิกซาร์อีกครั้ง และน่าจะส่งให้ ‘Inside Out 2’ เป็นความสำเร็จเรื่องแรก ๆ ของซัมเมอร์นี้ในอเมริกาได้อย่างไม่ยาก หลังจากที่ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่หนังที่ทำรายได้น่าผิดหวัง และเพิ่งมามีหนังที่ทำเงินเหนือความคาดหมายคือ ‘Bad Boys : Ride or Die’ ในสัปดาห์ก่อน แอนิเมชั่นจากพิกซาร์เรื่องนี้ น่าจะมีปลุกผี Box Office ในอเมริกาได้ต่ออีกเรื่องภาพ : Walt Disney Studios

[REVIEW] ‘The Roundup Punishment’ ทุบหนักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสนุกที่ลงตัวขึ้นมาก

29 พ.ค. 2024

[REVIEW] ‘The Roundup Punishment’ ทุบหนักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสนุกที่ลงตัวขึ้นมาก

ทุบหนัก ฮาหนัก สนุกหนัก สมศักดิ์ศรีหนังเกาหลีทำเงินลำดับต้น ๆ ของปีจริง ๆ สำหรับ ‘The Round up: Punishment | บู๊ระห่ำล่าล้างนรก: นรกลงทัณฑ์’ ภาคที่ 4 แล้วของหนังแอ็กชันตระกูล The Outlaw / The Roundup ที่ขายตั๋วได้ถล่มทลายทุกภาค เช่นเดียวกับภาคล่าสุดนี้ ที่เกาหลีสามารถขายตั๋วไปได้มากถึง 11 ล้านใบแล้ว จากการเข้าฉายเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ที่น่าลุ้นคือ หนังกำลังจะแซง ‘Exhuma’ หนังสยองขวัญระดับปรากฏการณ์ที่ขายตั๋วมากถึง 11.9 ล้านใบ และขึ้นแท่นเป็นหนังเกาหลีทำเงินอันดับ 1 ของปีอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับภาคที่ 2 อย่าง ‘The Roundup’ ที่ทำเงินอันดับ 1 ในเกาหลีเมื่อปี 2022 และภาคที่ 3 อย่าง ‘The Roundup : No Way Out’ ที่ทำเงินอันดับ 1 ของเกาหลีเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน ทำให้พระเอกอย่าง มาดงซอก เป็นเจ้าของผลงานหนังที่สามารถขายตั๋วได้มากกว่า 10 ล้านใบได้มากถึง 3 ปีติดต่อกัน ถือว่าไม่ธรรมดามาก ๆโดยในภาคนี้ มาซอกโด (รับบทโดย มาดงซอก) และทีมของเขาต้องเผชิญกับแก๊งพนันออนไลน์ข้ามชาติ หลังมีชาวเกาหลีตายอย่างเป็นปริศนาในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้พวกเขาค่อยๆสืบขยายผล ผ่านการช่วยเหลือของ ตำรวจไซเบอร์ จีซู (รับบทโดย อีจูบิน ที่เพิ่งโด่งดังจากซีรีส์ Queen of Tears) โดยการสืบของพวกเขา ขยายผลไปถึง จางกี (รับบทโดย คิมมูยอล จากซีรีส์ Juvenile Justice) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษเกาหลี ที่ตอนนี้เขากลายเป็นหัวหน้าทีมคุมองค์กรพนันออนไลน์ ที่เกี่ยวโยงไปถึง ดงชอล (รับบทโดย อีดงฮวี จากซีรีส์ Reply 1988) มหาเศรษฐียักษ์ใหญ่ในวงการไอทีที่อยู่เบื้องหลังองค์กรอาชญากรรมออนไลน์ทั้งหมดสำหรับ ‘The Roundup : Punishment’ ถือเป็นอีกภาคในแฟรนไชส์นี้ที่ทำออกมาได้สนุกลงตัวมาก เหมือนผู้สร้างจะสามารถจับทางได้ถูกต้องหมดแล้ว ว่าผู้ชมกว่า 10 ล้านคนในเกาหลีที่เป็นแฟนคลับของแฟรนไชส์นี้ ต้องการอะไร พวกเขาจึงได้ปรุงออกมาในสูตรเดิม แต่เพิ่มเติมเล่าเรื่องได้ลงตัวขึ้น Mood Tone รวมของหนังจึงค่อนข้างคล้ายๆเดิม ผสมผสานระหว่างหนังตำรวจสืบคดี ที่มีทั้งความจริงจังและมีความผ่อนคลายไปพร้อมๆกัน หนังสามารถบาลานซ์ ฉากแอ็กชันที่ดุดัน เน้นการทุบ ทุบ ทุบ ของตัวละคร มาซอกโด สลับกับฉากเบาสมองต่างๆ ซึ่งจังหวะมุกในภาคนี้ ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคก่อนๆ ทำให้ขำปอดโยกหลายฉากมากเลย ถือว่าสเต็ปในการเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัวเกือบทั้งหมดแน่นอนว่า มาดงซอก ยังคงสร้างความชื่นชอบของแฟนๆได้เหมือนเดิม กับตัวละครที่หมัดหนัก ในจิตใจโอบอ้อมอารี สำหรับตัวร้ายของ คิมมูยอล ก็ถือว่าถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ค่อนข้างอำมหิต และอันตราย (ส่วนตัวให้เป็นรองแค่ ซนซกกู ที่รับบทร้ายในภาค 2 ที่ค่อนข้างร้ายได้สุดกว่า) ในขณะที่ อีดงฮวี มาก็ในบทที่ค่อนข้างสไตล์เดิม ถ้าติดตามมาตั้งแต่ซีรีส์ Reply 1988 เขามักจะได้บทคาแรคเตอร์ที่มีความผ่อนคลาย สบายๆหน่อย ไม่ว่าตัวหนังหรือซีรีส์จะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม แต่ที่ขโมยซีนไปหมดคือ พัคจีฮวาน ที่มากี่ทีก็เรียกเสียงฮาได้ตลอดและอีจูบิน ตัวละครหญิงคนเดียวในเรื่อง เป็นความสวยงามเดียวในหนังที่ทั้งสดใสและเท่ไปพร้อมๆกัน โดยรวมภาคนี้ถือว่า ทั้งสนุกและลงตัวเลย ใครที่ติดตามมาตลอดห้ามพลาด ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู มาลองที่ภาคนี้ได้ เพราะแต่ละภาคจะเป็นคนละคดี สามารถแยกดูกันได้ทั้งหมดชมตัวอย่าง The Roundup : Punishment เข้าโรง 30 พฤษภาคมนี้

album

0
0.8
1