[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

26 พ.ย. 2021

ใครจะคิดว่าแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่อายุมากกว่า 40 ปีอย่าง Halloween จะกลับมาได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้ง ต้องขอบคุณการชุบชีวิตในหนังฉบับปี 2018 ที่นอกจากจะดึง เจมีี่ ลี เคอร์ติส นางเอกจากหนังภาคแรกกลับมาคืนจอแล้ว ต้องขอบคุณองค์ประกอบต่างๆที่นอกจากจะชวนให้นึกถึงหนังต้นกำเนิดแล้ว ยังชวนระทึกในยุคสมัยนี้ ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจทำภาคต่ออีกพร้อมๆกันถึง 2 ภาคอย่าง Halloween Kills และ Halloween Ends เพื่อเล่าถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ ลอรี่ นางเอกของเรื่องที่แค้นจากการถูกไล่ฆ่าโดย ไมเคิล เมเยอร์ ฆาตกรโรคจิตในหน้ากากฮอกกี้ในตำนาน ซึ่งหนังภาคต่อเรื่องแรก อันที่จริงต้องเข้าฉายตั้งแต่ฮาโลวีนปีก่อน แต่ก็เลื่อนมาฮาโลวีนปีนี้เพราะโควิด-19

Halloween Kills คือภาคต่อที่เล่าเรื่องราวต่อทันทีหลังจากที่ Halloween ฉบับปี 2018 ดำเนินเรื่องจบ (ดังนั้นอาจจำเป็นที่ต้องดูภาคที่แล้วมาก่อน) เหตุการณ์ภาคนี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ ลอรี่ รวมถึงลูกสาวและหลานสาวของเธอ ได้เผาบ้านและขัง ไมเคิล เมเยอร์ ไว้ในห้องใต้ดิน เพื่อหวังจะจบฝันร้ายเรื่องนี้เสียที แต่แล้ว ไมเคิล ก็กลับหลุดรอดก็มาได้ (เช่นเดียวกับทุกครั้ง) แต่ฝันร้ายครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของ 3 สาวจากรุ่นต่างๆในตระกูลสโตรดอีกต่อไป เมื่อเหยื่อหลายคนในอดีต พากันลุกฮือ ปลุกปั่นให้ชาวเมืองลุกขึ้นสู้กับไมเคิล ในขณะที่เขากำลังออกไล่ล่าเหยื่อรายใหม่ ในค่ำคืนเดียวกัน ชาวเมืองก็ออกไล่ล่าไมเคิลเช่นกัน แล้วการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างไร ?

ความน่าสนใจในหนัง Halloween Kills นอกจากจะสานต่อความสยองจากภาคที่แล้วแล้ว สิ่งที่ชอบมากๆคือการพาเราย้อนกลับไปยังปี 1978 อีกครั้ง หลายฉากที่พาผู้ชมกลับไปเล่าถึงต้นกำเนิดของเหตุการณ์สยอง พาผู้ชมกลับไปเยือนฝันแรกช่วงแรกๆของชาวเมือง ซึ่งเพื่อให้แตกต่างจากเวลาปัจจุบัน ตัวภาพในหนังเองก็มีสีหม่นๆ มีความเก่าแบบเดียวกับหนังปลายยุค70s ซึ่งดูมีเสน่ห์มาก แล้วพอเชื่อมมายังฉากในปัจจุบัน แต่ตัวเพลงธีม บรรยากาศยังคงเดิม ก็เหมือนการเล่าว่า ความสะพรึงตลอดเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ยังคงไม่ไปไหน มันยังคงวนเวียนเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนอยู่ รวมถึงฉากไล่ฆ่าของ ไมเคิล เมเยอร์ ในภาคนี้ก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น และโหดถึงใจผู้ชมเช่นเดิม

มาถึงปัญหาหลักของ Halloween ในภาคนี้ ซึ่งประการแรกอาจเป็นปัญหาด้านโครงสร้าง เพราะเมื่อผู้สร้างตัดสินใจจะมี 2 ภาคไปพร้อมๆกัน มันจึงถูกวางโครงเรื่องไว้แล้วว่าจะมีภาคต่อไป ดังนัน้ เราจึงรู้บทสรุปว่า อย่างไรก็ตามทั้งลอรี่ นางเอกตัวหลัก และไมเคิล เมเยอร์ สองตัวละครนี้ไม่มีวันตายในภาคนี้อย่างแน่นอน ความลุ้นในหลายๆฉากมันก็ลดลงไปโดยปริยาย รวมถึงตัวละครลอรี่ ในภาคนี้แทบจะถอยหลังไปเป็นตัวประกอบ เพราะต้องรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บในภาคก่อน แม้จะเปิดทางให้หลายตัวละครแวดล้อมได้มีบทบาทขึ้น แต่เอกลักษณ์ของความเป็น Halloween ที่ทำให้ภาคก่อนประสบความสำเร็จก็หายไป เพราะสิ่งที่แฟนๆต้องการจริงๆ ก็คือการปะทะกันของ ลอรี่ และไมเคิล นั่นเอง

อีกหนึ่งปัญหาที่เห็นชัดมากๆใน Halloween Kills คืออารมณ์ร่วมที่ผู้ชมจะได้มีต่อ ถ้าคนดูจะอิน พวกเราจะต้องเอาใจช่วยตัวละครต่างๆ แต่หนังกลับเขียนบทให้ตัวละครส่วนใหญ่ไม่เสียสติและก็ทำอะไรขาดสติอยู่ประจำ เหมือนสร้างคนที่อ่อนแอมากๆมา เพื่อให้ ไมเคิลดูแข็งแรงมากๆ ซึ่งมันดูจงใจเกินไป เหยื่อแวดล้อมตายอย่างง่ายตายตลอดทั้งเรื่อง จนระหว่างทางแทบจะไม่อยากเชียร์ตัวละครไหนเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะตาย และไม่ได้ตายแบบยากเย็นด้วย เป็นการตายที่ไมเคิล น่าจะสังหารตัวละครเหล่านี้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งพอรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ก็พาลให้หนังหมดสนุกไปด้วย ต่อจากการสู้กันของ ลอรี่และไมเคิล ที่คนดูรู้สึกเสมอว่า คู่นี้สูสี ทำให้ทุกครั้งที่ดู Halloween มันถึงลุ้น ถึงมันขึ้นมาได้

โดยรวม Halloween Kills ถือเป็นหนังภาคบังคับสำหรับแฟนๆหนังสยองขวัญ ที่อย่างไรก็ตามก็น่าจะต้องดู แต่ผลลัพภ์กลับออกมาได้ถูกใจแบบภาคก่อน ซึ่งน่าเสียดายเบาๆ เพราะหนังฉบับปี 2018 เป็นการคืนชีพแฟรนไชส์ได้อย่างงดงามมากๆ แต่กลับมากราฟตกในภาคนี้ เหลือเพียงแค่ภาคจบอย่าง Halloween Ends ที่เราจะได้ชมกันฮาโลวีนปีหน้าเท่านั้นแล้ว ที่คงต้องรอลุ้นกันว่า มันจะอวสานได้อย่างงดงามหรือไม่ หรือเป็นการจบของ Halloween ตลอด 40 กว่าปีที่น่าผิดหวัง


(ให้ 5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN

20 ธ.ค. 2021

[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN

(บทความนี้ ไม่มีสปอยล์ จะพยายามเขียนเพื่อรักษาอรรถรสของทุกคนให้มากที่สุด)มอบตำแหน่งภาพยนตร์ที่ไฮป์์หรือกระแสความอยากดูมากที่สุดนับตั้งแต่Avengers : EndgameไปครองเลยสำหรับSpider-Man : No Way Homeซึ่งหลายคนมองว่าน่าจะเป็นหนังที่ปลุกให้บ็อกซ์ออฟฟิศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังซบเซาเกือบ2ปีเต็มเพราะโควิด-19ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เมื่อหนังเปิดตัวแรงด้วยการทำรายได้วันแรกในอเมริกาสูงสุดตลอดกาลเป็นรองเพียงEndgameบวกกับกระแสคำวิจารณ์ในแง่บวกที่เปิดมาล็อตแรกก็กวาดคำชมไปแบบ100% (ตอนนี้ลดลงมาเหลือ94%ในRotten Tomatoes)ยิ่งทวีกระแสความน่าดูเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก ด้วยความเป็นหนังปิดไตรภาคของSpider-Manในฉบับ ทอม ฮอลแลนด์ และเป็นหนังสำคัญที่จะเชื่อมจักรวาลมาร์เวลจากเฟสก่อนหน้า ไปดูเฟสใหม่หลังจากนี้ ที่จะเล่นในธีมมัลติเวิร์สอย่างจริงจัง!No Way Homeเริ่มต้นเรื่องราวทันทีที่ภาคก่อนหน้าอย่างFar For Homeจบลง เมื่อมิสเตอริโอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่า สไปเดอร์แมนก็คือ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ทำให้ชีวิตของเขายุ่งยากและพาทำให้คนรอบข้างทั้ง เอ็มเจ เน็ด และป้าเมย์ เดือดร้อนกันไปหมด และเพราะอยากจะแก้ไขปัญหานี้ เขาจึงหันไปพึ่งพา ด็อกเตอร์สเตรนจ์ ในการร่ายมนต์เพื่อทำให้ทุกคนลืมซะ ว่าเขาคือสไปเดอร์แมน แต่ระหว่างการร่ายมนต์เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อปีเตอร์พยายามจะแก้ไขไม่ให้คนรักและเพื่อนสนิทลืมว่าเขาคือสไปเดอร์แมน นำไปสู่การเปิดมิติระหว่างจักรวาล จึงให้เหล่าตัวร้ายจากสไปเดอร์ใน มัลติเวิร์สอื่น โผล่มายังมิติของเขา ประกอบด้วย กรีน ก็อบลิน,ด็อกเตอร์อ็อกโตพุส และแซนด์แมน จากSpider-Manในฉบับของผู้กำกับ แซม ไรมี่ และ อีเล็กโตร กับ ลิซาร์ด จากThe Amazing Spider-Manในฉบับของ มาร์ก เว็บบ์ไม่แปลกใจเลยที่หลายเสียงบอกว่า นี่อาจจะเป็นSpider-Manภาคที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เฉพาะในฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับหนังทั้ง8เรื่องที่เคยสร้างมาก นี่คือSpider-Manภาคที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ทางด้านอารมณ์มากที่สุด และไม่แปลกใจเลยที่มันจะไฮป์ในระดับน้องๆของAvengers : Endgameเพราะมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ชมส่งเสียงเชียร์หรือเสียงน้ำตาระหว่างชม เป็นหนังที่สนุกครบรส และครบเครื่องเรื่ององค์ประกอบจริงๆ จนสามารถไปเทียบความยิ่งใหญ่กับหนังมาร์เวลระดับบนๆอย่างAvengers : Endgame, Captain America : Civil Warหรือแม้แต่Black Pantherได้สบายๆสิ่งหลักสำคัญที่ส่งให้Spider-Man : No Way Homeยอดเยี่ยม คือเส้นเรื่องของตัว ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ เอง หลังจากเขาเริ่มต้นเรื่องราวในHomecomingและFar From Homeในภาคนี้จะได้เห็นปีเตอร์ เติบโตอย่างแท้จริง จากเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นสไปเดอร์แมน ยังถูกหลายคนเรียกว่าเด็กน้อย แต่สถานการณ์ในหนังภาคนี้ ส่งให้เขาเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างเต็มตัว เราจะได้เห็นเขาตัดสินใจแบบคนที่โตแล้ว ระหว่างดูความรู้สึกมันตื้นตัน เหมือนกับลูกชายที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้เรียนจบและมีความเป็นผู้ใหญ่เสียที นี่คือแกนหลักที่ทำให้Spider-Manในภาคนี้กินใจผู้ชมได้อย่างไม่ยากสิ่งที่ทำให้Spider-Man : No Way Homeไฮป์ขั้นสุด คงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของ5ตัวร้ายหลักจากSpider-Manในฉบับก่อนๆ การที่ได้เห็น วิลเล็ม ดาโฟ ปรากฏตัวอีกครั้งในลุคของ กรีน ก็อบลิน คือชวนขนลุกสุด ย้อนกลับไปนึกถึง19ปีก่อนที่เราได้ดูSpider-Man (2002)ในโรงภาพยนตร์ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหวนคืนกลับมา แล้วได้เห็น อัลเฟรด โมลีน่า,เจมี่ ฟ็อกซ์,โทมัส เฮย์เดน เชิร์ช และ ไรส์ ไอฟานส์ มันเหมืิอนภาพเก่าๆตลอดเกือบ20ปีค่อยๆย้อนกลับมาหมด แล้วหนังหาเส้นเรื่องที่น่าสนใจให้กับตัวละครเหล่านี้ด้วย ไม่ได้แค่กลับมาแล้วก็ปราบๆพวกเขา ทำให้Spider-Man : No Way Homeดูจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยหัวใจ ซึ่งผู้ชมน่าจะสัมผัสได้จริงๆSpider-Man : No Way Homeมีรายละเอียดอีกมากมายที่ขอจะไม่กล่าวถึง เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการชม สำหรับแฟนๆของSpider-Manและคอซูเปอร์ฮีโร่ นี่คือหนังที่เซอร์วิสแฟนขั้นสุด เป็นหนังที่ควรดูบนจอใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางคนจำนวนมาก คุณจะได้ส่งเสียงเชียร์ ฮือฮา ไปพร้อมกับทุกคนซึ่งเพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างดีเยี่ยม(เหมือนดูคอนเสิร์ต ที่ต้องดูกับคนเยอะๆเพื่อเพิ่มอารมณ์)แต่สำหรับผู้ชมทั่วไป นี่คือหนังที่สนุกลงตัว ครบรส มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะหาได้ มันทั้งมันส์ ทั้งตื่นเต้น ทั้งทำให้คุณหัวใจพองโต ทำให้คุณเสียน้ำตา ทุกจังหวะในหนังเล่าเรื่องได้อย่างกลมกล่อมมากๆ แม้สถานการณ์โควิดจะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เงียบเหงาไปนาน แต่เมื่อมีหนังใหญ่สักเรื่องที่พร้อมจะดึงผู้ชม ทุกคนก็ยังกลับมาเจอกันในโรงหนัง และSpider-Man : No Way Homeคือภาพยนตร์เรื่องนั้น

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

17 ธ.ค. 2021

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

การกลับมาของThe Matrixน่าจะเป็นโปรเจกต์ที่หลายคนลุ้นผลลัพธ์มากที่สุด ย้อนกลับไปสมัยภาคแรกThe Matrixคือหนังระดับนวัตกรรมก็ว่าได้ มันสร้างมาตรฐานใหม่ๆให้กับหนังฮอลลีวูด ด้วยเส้นเรื่องที่มีชั้นเชิงและคมคาย ฉากแอ็กชั่นที่แปลกใหม่ จนกลายเป็นภาพจำที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังแอ็กชั่นไซไฟยุคต่อมา แม้ว่าภาคต่ออย่างThe Matrix ReloadedและThe Matrix Revolutionsจะไม่ได้เล่าเรื่องกลมกล่อมเท่าภาคแรก มีความยุ่งเหยิงในเส้นเรื่อง จังหวะแปลกๆในบางอารมณ์ แต่ต้องยอมรับว่า ฉากแอ็กชั่นก็ยังเป็นที่จดจำ สร้างมาตรฐานใหม่ๆเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น การตัดสินใจกลับมาทำThe Matrixภาคใหม่ในรอบ18ปี จึงเป็นเรื่องท้าทาย เพราะถ้ามันไม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ๆ มันจะเป็นการถอยหลังลงคลอง ซึ่งน่าเสียดายเอามากๆจากตัวอย่างจะเผยให้เห็น นีโอ(รับบทโดย คีอานู รีฟส์)ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา มีชีวิตปกติทั่วไป และได้เจอกับ ทรินิตี้(รับบทโดย แคร์รี่ แอนน์-มอส)แต่เขาทั้งสองคนจำกันไม่ได้ ก่อให้เกิดคำถามจากผู้ชมว่า เกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันเอง เพราะนีโอน่าจะตายไปแล้วในตอนจบของภาคก่อน ไม่นานก็เป็นการปรากฏตัวของ มอร์เฟียส(รับบทโดย ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3)ในวัยหนุ่ม พร้อมกับสมาชิกยานกลุ่มใหม่ ที่จะพานีโอเข้าสู่โลกของเดอะเมทริกซ์อีกครั้ง นั่นก่อให้เกิดคำถามมากมายว่า ภาคนี้มาพร้อมกับพล็อตอะไรกันแน่ และปริศนาที่ซ่อนอยู่คืออะไร ซึ่งคงต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์เมื่อภาพยนตร์เริ่มดำเนิน ตลอด1ชั่วโมงแรก นอกจากหน้าตาของ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส แล้ว เหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่The Matrixอยู่ มันมีความแปร่งไปค่อนข้างมาก ทั้งอารมณ์ระหว่างดู สไตล์ในการเล่าเรื่อง สิ่งที่ยังทิ้งไว้คล้ายThe Matrixคือการเล่าเรื่องแบบเอื่อยๆและยืดยาวเกินจำเป็น แบบที่ภาค2-3ทำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก กว่าที่หนังจะได้อารมณ์แบบThe Matrixจริงๆก็ปาเข้าไปชั่วโมงที่2แล้ว ที่ค่อยให้อารมณ์ที่คุ้นเคย จังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่ว่าหนังจะต้องเหมือนกับไตรภาคแรกก็ได้ แต่เมื่อพยายามจะไปทิศทางใหม่ แต่มันไม่ได้ดีกว่า อย่างน้อยพยายามยึดโยงกับอารมณ์แบบเดิมก็ยังดี องค์แรกของภาคนี้ ดูยุ่งเหยิงและหลงทาง กว่าจะเริ่มเข้าที่ก็เข้าสู่องค์ถัดมานอกจากการเล่าเรื่องที่แปร่งและมีจังหวะประหลาดๆหลายรอบ สิ่งที่ขาดหายไปอย่างชัดเจนในการกลับมาของThe Matrixในครั้งนี้คือฉากแอ็กชั่นระดับนวัตกรรม หรือเป็นที่จดจำระดับIconicถ้าย้อนกลับไปภาคแรก เราล้วนตื่นตากับฉากหลบกระสุน ฉากนีโอกระโจนเข้ามาสมิธ ฉากบู๊ห้องโถงชั้นล่าง หรือแม้แต่ฉากประลองฝีมือของ นีโอกับมอร์เฟียส แต่ละฉากคือเป็นที่จดจำ สดใหม่ และตรึงอารมณ์ ในขณะที่ภาคสองยังมี ฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ที่พีกมาก และภาคสามก็มีฉากปะทะกลางสายฝน แต่พอตัดภาพมาที่ภาคนี้ แทบจะไม่เจอฉากอย่างว่า ทุกซีนบู๊ในThe Matrix Resurrectionsพร้อมจะเลือนหายไปจากหัวเมื่อหนังจบ ไม่มีอะไรติดออกมาเลยอย่างน่าเสียดายอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่รู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบคือ สไตล์ที่หายไปอย่างชัดเจน ภาคแรกเราจะเห็นโทนสีฟ้าดำที่พยายามคุมธีม ไม่ว่าจะแคปภาพฉากไหนมา เราก็จะรู้ทันทีว่าคือThe Matrixในขณะที่ภาค2-3จะเล่นกับสีเขียวเยอะขึ้น ก็ยังจำได้ว่ามาจากภาคไหน แต่สำหรับภาคล่าสุด เหมือนหนังทั่วไปอย่างน่าตกใจ บางทีแคปมานึกว่าJohn Wickด้วยซ้ำ กลายเป็นงานโปรดักชันที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทุกภาค กลับถอยหลังลงไปอย่างน่าตกใจ ยิ่งเสริมอย่างชัดเจนว่า เสน่ห์ของThe Matrixมันขาดหายและเบาบางไปหมด ไม่ว่าจะในมิติใด ทั้งเนื้อเรื่อง โปรดักชั่น รวมถึงฉากแอ็กชั่นเองสิ่งที่แบกหนังไว้ทั้งหมด กลับเป็นทีมนักแสดง แน่นอนว่าคือ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส ที่ยังคงตรึงผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยมทุกฉาก เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองคือนีโอและทรินิตี้ เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองรักกันจริง จนนี่อาจจะเป็นThe Matrixภาคที่โรแมนติกสุดแล้วก็ว่าได้ ในขณะที่สมาชิกใหม่ก็มีเสน่ห์มากน้อยต่างกันไป ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3ค่อนข้างก้ำกึ่งในบทมอร์เฟียส ที่ดูน่าเกรงขามน้อยกว่าต้นฉบับ ในขณะที่ นีล แพทริก แฮร์ริส ดูผิดที่ผิดทางไปนิด(หรือผู้เขียนอาจจะติดภาพเขาจากบท บาร์นี่ ในHow I Met Your Motherมาเกินไปจนเขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก)มีเพียง โจนาธาน กรอฟฟ์ จากซีรีส์Mindhunterในบทสมิธเวอร์ชั่นใหม่ ที่น่าเกรงขาม และทัดเทียมกับ คีอานู รีฟส์ ได้อย่างดีเวลาเข้าฉากด้วยกันโดยรวมThe Matrix Resurrectionsคือความน่าเสียดาย ไม่แน่ใจว่าไอเดียของโปรเจกต์นี้เริ่มต้นจาก วอร์เนอร์ หรือผู้กำกับ ลาน่า วาชอว์สกี้กันแน่ แต่ภาพรวมถือว่า ลดเกรดลงจากไตรภาคต้นฉบับอย่างชัดเจนไม่ว่าจะแง่มุมไหน แม้แต่อารมณ์ขันที่พยายามใส่เข้ามาก็ดูขัดไปเสียหมด ไม่ได้กลืนไปกับอารมณ์หนังอย่างที่ควรจะเป็น เสียชื่อของThe Matrixหนังที่เคยเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญของฮอลลีวูด นี่กลับกลายเป็นก้าวถอยหลังที่ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำ(ให้5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

02 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

จะว่าไปแล้วในระยะหลัง การสร้างหนังไทยให้เป็นแฟรนไชส์ใหญ่ก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ระบาดหนักทำให้หนังไทยฟอร์มใหญ่ๆ หายไปจากการเข้าฉายในโรงมานานพอสมควร การกลับมาของหนังตระกูล 'ขุนพันธ์' ที่เดินทางมาถึงภาคที่3 แล้ว ดูจะเป็นการปักธงรบครั้งสำคัญ ที่ประกาศกร้าวว่า หนังไทยพร้อมที่จะคัมแบ็คแล้ว ด้วยฟอร์มที่จัดใหญ่จัดเต็มยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทุ่มทุนสร้างเนรมิตฉากแอ็กชันสุดอลังการ การันตีความเอพิคด้วยความยาวที่เฉียดๆ 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้ 'ขุนพันธ์ ๓' เป็นหนังไทยโปรแกรมใหญ่ ที่มาเพื่อเติบเต็มอุตสาหกรรมหนังไทยอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่านี่ีคือความพยายามที่ไม่เสียเปล่า เพราะคำวิจารณ์ล็อตแรก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนังที่โคตรสนุก นี่คือหนังแอ็กชันของคนไทยที่ดูแล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม กลับมาสวมบท ขุนพันธ์ ตำรวจยอดมือปราบที่วิชาอาคมแกร่งกล้าอีกครั้ง แต่เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างต่างมีอายุ มีเวลาเสื่อมของมัน ทำให้วิชาคงกระพันของเขาเริ่มอ่อนล้าลง โดยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจของย้ายตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อดูแลเมียและลูกในท้องของเธอ แต่แล้วกลับมีภารกิจใหญ่ ที่ทางกรมตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากขุนพันธ์อีกครั้ง เมื่อโจรผู้ร้ายในเชิ้ตดำ นำทีมโดย เสือมเหศวร และเสือดำ (รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ ภาคิน)ออกปล้นสดมภ์ พร้อมกับลักพาตัว นักการเมืองคนสำคัญไป ขุนพันธ์จึงต้องนำทีมตำรวจรุ่นใหม่ บุกไปกลางป่าลึก เพื่อไล่ล่ากลุ่มโจรแก๊งนี้ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไม่แพ้กัน กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต่างเดิมพันด้วยชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางทางการเมืองถ้าให้เทียบกับหนังไตรภาคฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูด อย่าง Spider-Man ก็อาจจะขนานนามว่าภาคนี้ว่าเป็นภาค No Way Home ของไตรภาคขุนพันธ์ก็ว่าได้ ด้วยความเล่นใหญ่ทั้งในด้านพล็อตและสเกลหนังมากกว่าภาคก่อนๆ รวมถึงมีการรวมตัวละครในจักรวาลขุนพันธ์มากกว่าภาคไหนๆ จนได้บรรยากาศความหึกเหิมในสไตล์นั้น โดยรวมถือว่าภาคนี้ค่อนข้างจัดใหญ่จัดเต็มมาก เริ่มตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผู้ชมจะสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าหนังภาคนี้ มีความเอพิกอย่างแน่นอน และเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทกับฉากแอ็กชัน ผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊ที่ค่อยๆไต่ระดับความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไต่ระดับความตู้มต้ามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอะไรที่แปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่เราไม่คาดคิด หรือไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังตระกูลขุนพันธ์ความสนุกของการดู ขุนพันธ์ ๓ คือการได้เห็นการผสมผสานหนังหลากหลายสไตล์อยู่ในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการเป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ด้วยอภินิหารที่ตัวละครมี ความแฟนตาซีที่ไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายครั้งได้ฟีลเหมือนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบไทยๆ และด้วยฉากหลังที่เป็นบรรยากาศย้อนยุค ตัวร้ายที่มาในรูปแบบกองโจร ทำให้หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแก๊งสเตอร์สุดเท่ อัดแน่นอยู่ในหนังเช่นกัน และหลังจากลองชิมลางใส่กลิ่นอายความเหนือธรรมชาติเข้ามาในสองภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะเร่งเกียร์เข้าสู่โหมดแฟนตาซีแบบจัดเต็ม เรียกว่าเทกระจาดของที่อยากใส่มาก็ว่าได้ หลายซีนชวนให้นึกถึงหนังแนวสัตว์สยอง หลายซีนพาผู้ชมเหมือนไปดูหนังผีดิบ และอีกหลายซีนที่เข้าขั้นหนังสยองขวัญสุดผวา แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันเกิน หรือหลุดพวกไปจากหนังเลย ยิ่งทำให้จักรวาลของ ขุนพันธ์ ใหญ่โตขึ้น และเป็นการเปิดทางสู่แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขึ้นอีกหลังจากนี้อีกจุดที่แอบโดนใจมากๆในหนังภาคนี้ คือการให้ฉากหลังของเรื่องราว เป็นบ้านเมืองในยุคที่ทรราชย์ปกครอง เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิด กรมตำรวจเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ มีเพียงขุนพันธ์ ที่อาจเป็นความหวังเดียวของชาวบ้าน ในขณะที่กลุ่มปัญหาชนคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านรัฐบาล กลับต้องหนีตายไปเข้าป่า กลายเป็นผู้ต้องหาจากหมายจับของรัฐ ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ที่เป็นฉากหลังของหนัง ขุนพันธ์ ๓ กลับคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนถึงการย่ำอยู่กับที่ บรรยากาศการเมืองการปกครองที่แทบจะไม่เดินหน้าไปไหน นอกจากฉากแอ็กชันที่จัดใหญ่จัดเต็ม พล็อตหนังสุดเข้มข้นแล้ว แบ็คกราวน์เรื่องเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ ขุนพันธ์ ๓ เป็นหนังย้อนยุคที่ไม่ตกยุคเลยสักนิด มีคุณค่าในตัวมัน ทั้งในแง่ของงานสร้าง การก้าวหน้าของหนังไทย และคุณค่าในแง่สังคม ที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ให้ผู้ชมได้เห็น ได้ฉุกคิดกันขุนพันธ์ ๓ เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd

[REVIEW] “West Side Story” มาสเตอร์พีซเรื่องใหม่ของ สปีลเบิร์ก | GOSSIP GUN

09 ธ.ค. 2021

[REVIEW] “West Side Story” มาสเตอร์พีซเรื่องใหม่ของ สปีลเบิร์ก | GOSSIP GUN

หนังที่ได้ขึ้นชื่อว่า"คลาสสิก"คือสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง เพราะมันถูกยกย่องในฐานะหนังที่ยอดเยี่ยมและมีคุณค่าเหนือกาลเวลา หลายครั้งที่มีคนกล้าหยิบหนังคลาสสิกมาทำไม แล้วเหมือนฆ่าตัวตาย เพราะออกมาพังพินาศ อย่างเคสล่าสุดที่เห็นชัดเจน คือความพยายามรีเมกBen-Hurหนังที่เคยได้ออสการ์มากที่สุดตลอดกาล ผลลัพธ์คือโดนด่ายับ แต่ความท้าทายล่าสุดเกิดขึ้นกับ พ่อมดแห่งฮอลลีวูด อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่เขาเหลือหยิบเอาWest Side Storyมาทำใหม่ ทั้งๆที่หนังต้นฉบับเมื่อปี1961คว้ามาได้ถึง10รางวัลออสการ์ รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กลายเป็นอีกหนึ่งหนังเพลงที่อมตะตลอดกาล การสร้างใหม่ในครั้งนี้ จึงถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไรอันที่จริงแล้ว ต้นกำเนิดของWest Side Storyคือละครเพลงบรอดเวย์เมื่อปี1957ที่ได้รับความนิยมล้นหลาม ก่อนที่จะถูกนำมาดัดแปลงเป็นฉบับหนัง ซึ่งต้นเรื่องของมันก็คือRomeo Julietของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ที่หยิบเอามาปรับให้เข้ากับยุคสมัยนั้น เป็นความรักของหนุ่มสาวที่อยู่ต่างแก๊งกันในนิวยอร์กยุค50พอสปีลเบิร์กเอาเรื่องใหม่มาถ่ายทอดด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ ก็ยังคงเรื่องราวให้เกิดขึ้นในยุคนั้น หนังเล่าถึง โทนี่(รับบทโดย แอนเซล เอวกอร์ต จากThe Fault in Our StarsและBaby Driver)ชายหนุ่มจากแก๊งเจ็ตส์ ที่เพิ่งพ้นโทษจากคุกมาหมาดๆ เขาตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับใคร และได้มาตกหลุมรักกับ มาเรีย(รับบทโดย ราเชล เซคเกอร์ ในผลงานหนังเรื่องแรก)หญิงสาวที่เขาพบว่ามาจากแก๊งศัตรูคู่อริ ที่มีพี่ชายเป็นหัวหน้าแก๊ง เรื่องราวความรักของทั้งสอง จึงได้ดำเนินไป คู่ขนานกับปัญหาความตึงเครียดระหว่างแก๊งที่ค่อยๆยกระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่องๆ รวมถึงพวกเขายังถูกจับตามองโดยตำรวจที่พร้อมจับกุมตลอดเวลา ความรักของ โทนี่และมาเรีย จะสมหวังหรือไม่ ต้องไปติดตามกัน!สำหรับผู้เขียน หนึ่งในคุณสมบัติของหนังดี ที่หนังที่หยุดเวลาของผู้ชมเอาไว้ ทำให้ผู้ชมเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของภาพยนตร์ที่ผู้กำกับสร้างขึ้นมา ซึ่งWest Side Storyทำได้เช่นนั้น เพียงแค่ฉากแรก ก็เหมือนเราเข้าไปยังนิวยอร์กยุค50ในแบบที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เนรมิตไว้ และตรึงเราไว้ได้อย่างดี แม้หนังจะมีความยาวถึง2ชั่วโมง40นาทีก็ตาม แต่ทุกองค์ประกอบของหนัง ทั้งเนื้อเรื่อง บทเพลง ฉากๆ เหมือนสะกดเราเอาไว้ ซึ่งWest Side Storyในฉบับปี2021เหมือนเป็นส่วนผสมที่มีทั้งกลิ่นอายของความอมตะแบบก่อนๆ บวกกับความทันสมัย ที่ดูแล้วลงตัวกลมกล่อม เหมือนหนังเรื่องนี้อยู่เหนือกาลเวลา แม้จะเล่าเรื่องที่ย้อนยุค แต่กลับดูเข้ากับยุคสมัยเป็นอย่างมากหัวใจหลักของWest Side Storyคงหนีไม่พ้น บทเพลง ท้วงทำนอง และการออกแบบท่าเต้น ที่ยังคงหยิบเอาจากต้นฉบับ มาปรับใหม่ให้ลงตัวมากยิ่งขึ้น หนังฉบับนี้ไม่ใช่แค่การรีเมก แต่เป็นเหมือนการปรับเปลี่ยน อะไรที่ไม่ดีก็ปรับให้มันดี อะไรที่ดีแล้วก็ทำให้ดีชัดเจนขึ้นไปอีก บทเพลงต่างๆถูกถ่ายทอดในจังหวะที่เหมาะสม ด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ของนักแสดง(ที่จะกล่าวถึงในย่อหน้าถัดไป)บวกกับการออกแบบท่าเต้น ที่ชวนตื่นตาในทุกจังหวะ เจอมุมกล้องแต่ละกันที่ทั้งสวยและเสริมฉากนั้นๆเข้าไปอีก หลายจังหวะเหมือนเรานั่งอยู่ในโรงละครจริงๆ แทบไม่เหมือนเรานั่งในโรงภาพยนตร์เลยบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของWest Side Storyคงหนีไม่พ้น ราเชล เซคเกอร์ นางเอกของเรื่องในบทมาเรีย ใครจะคิดว่านี่เป็นเพียงผลงานหนังใหญ่เรื่องแรกของเธอเท่านั้น(ซึ่งตอนนี้เธอจะได้เล่นเป็น เจ้าหญิงในSnow Whiteฉบับใหม่ที่ กัล กาด็อต เป็นแม่มดใจร้าย)ตั้งแต่วินาทีแรกที่ปรากฏตัว เธอสะกดสายตามาก และเมื่อยิ่งเปล่งเสียงออกมา มันคมกริบบาดหูบาดใจยิ่งนัก และเมื่อเธอแวดล้อมด้วยทีมนักแสดงสมทบที่ล้วนเป็นตัวจี๊ดของบรอดเวย์ มันยิ่งไปกันใหญ่ อีกคนที่เซอร์ไพรสทีเดียว คือ แอนเซล เอลกอร์ต พระเอกของเรื่องที่เราอาจจะไม่ค่อยเห็นเขาในมุมมิวสิคัล ก็ถ่ายทอดน้ำเสียง สีหน้า แววตา ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แต่ที่สุดจริงๆต้องยกให้ ริต้า โมเรโน่ หนึ่งในนักแสดงจากWest Side Storyฉบับปี1961ที่กลับมาในเวอร์ชั่นนี้ในอีกบทที่สำคัญ และมีซีนเด็ดที่เธอทำได้ยอดเยี่ยมอีกด้วยตลอดชีวิตการทำงานเกือบ50ปี ไม่มีใครกังขาความสามารถของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เขามีผลงานระดับมาสเตอร์พีซมากมายทุกยุคสมัย ทั้งJaws, Raiders of the Lost Ark, Jurassic Park, Schinder's ListและSaving Private Ryanนี่คืออีกครั้งที่ สปีลเบิร์ก สร้างผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นใหม่ และไม่น่าเชื่อว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำหนังมิวสิคัลด้วย สปีลเบิร์กเหมือนทำมันด้วยใจและหยิบเอาทุกศาสตร์ในการสร้างหนังมาใช้ ได้อย่างลงตัว ทำให้ทุกองค์ประกอบกลมกลืนและแทบไม่มีอะไรที่ผิดแปลกเลย คงจะไม่เซอร์ไพรส ถ้าWest Side Storyจะมีบทบาทบนเวทีออสการ์ปีนี้อย่างมาก และถ้ามันชนะรางวัลใหญ่สุด อาจเป็นสถิติครั้งแรก ที่หนังต้นฉบับและหนังรีเมก คว้าBest Pictureก็เป็นอันได้! (ให้9.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1