[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Halloween Kills” ภาคขัดตาทัพของแฟรนไชส์หนังสยองคลาสสิก | GOSSIP GUN

26 พ.ย. 2021

ใครจะคิดว่าแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่อายุมากกว่า 40 ปีอย่าง Halloween จะกลับมาได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้ง ต้องขอบคุณการชุบชีวิตในหนังฉบับปี 2018 ที่นอกจากจะดึง เจมีี่ ลี เคอร์ติส นางเอกจากหนังภาคแรกกลับมาคืนจอแล้ว ต้องขอบคุณองค์ประกอบต่างๆที่นอกจากจะชวนให้นึกถึงหนังต้นกำเนิดแล้ว ยังชวนระทึกในยุคสมัยนี้ ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจทำภาคต่ออีกพร้อมๆกันถึง 2 ภาคอย่าง Halloween Kills และ Halloween Ends เพื่อเล่าถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ ลอรี่ นางเอกของเรื่องที่แค้นจากการถูกไล่ฆ่าโดย ไมเคิล เมเยอร์ ฆาตกรโรคจิตในหน้ากากฮอกกี้ในตำนาน ซึ่งหนังภาคต่อเรื่องแรก อันที่จริงต้องเข้าฉายตั้งแต่ฮาโลวีนปีก่อน แต่ก็เลื่อนมาฮาโลวีนปีนี้เพราะโควิด-19

Halloween Kills คือภาคต่อที่เล่าเรื่องราวต่อทันทีหลังจากที่ Halloween ฉบับปี 2018 ดำเนินเรื่องจบ (ดังนั้นอาจจำเป็นที่ต้องดูภาคที่แล้วมาก่อน) เหตุการณ์ภาคนี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ ลอรี่ รวมถึงลูกสาวและหลานสาวของเธอ ได้เผาบ้านและขัง ไมเคิล เมเยอร์ ไว้ในห้องใต้ดิน เพื่อหวังจะจบฝันร้ายเรื่องนี้เสียที แต่แล้ว ไมเคิล ก็กลับหลุดรอดก็มาได้ (เช่นเดียวกับทุกครั้ง) แต่ฝันร้ายครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของ 3 สาวจากรุ่นต่างๆในตระกูลสโตรดอีกต่อไป เมื่อเหยื่อหลายคนในอดีต พากันลุกฮือ ปลุกปั่นให้ชาวเมืองลุกขึ้นสู้กับไมเคิล ในขณะที่เขากำลังออกไล่ล่าเหยื่อรายใหม่ ในค่ำคืนเดียวกัน ชาวเมืองก็ออกไล่ล่าไมเคิลเช่นกัน แล้วการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างไร ?

ความน่าสนใจในหนัง Halloween Kills นอกจากจะสานต่อความสยองจากภาคที่แล้วแล้ว สิ่งที่ชอบมากๆคือการพาเราย้อนกลับไปยังปี 1978 อีกครั้ง หลายฉากที่พาผู้ชมกลับไปเล่าถึงต้นกำเนิดของเหตุการณ์สยอง พาผู้ชมกลับไปเยือนฝันแรกช่วงแรกๆของชาวเมือง ซึ่งเพื่อให้แตกต่างจากเวลาปัจจุบัน ตัวภาพในหนังเองก็มีสีหม่นๆ มีความเก่าแบบเดียวกับหนังปลายยุค70s ซึ่งดูมีเสน่ห์มาก แล้วพอเชื่อมมายังฉากในปัจจุบัน แต่ตัวเพลงธีม บรรยากาศยังคงเดิม ก็เหมือนการเล่าว่า ความสะพรึงตลอดเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ยังคงไม่ไปไหน มันยังคงวนเวียนเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนอยู่ รวมถึงฉากไล่ฆ่าของ ไมเคิล เมเยอร์ ในภาคนี้ก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น และโหดถึงใจผู้ชมเช่นเดิม

มาถึงปัญหาหลักของ Halloween ในภาคนี้ ซึ่งประการแรกอาจเป็นปัญหาด้านโครงสร้าง เพราะเมื่อผู้สร้างตัดสินใจจะมี 2 ภาคไปพร้อมๆกัน มันจึงถูกวางโครงเรื่องไว้แล้วว่าจะมีภาคต่อไป ดังนัน้ เราจึงรู้บทสรุปว่า อย่างไรก็ตามทั้งลอรี่ นางเอกตัวหลัก และไมเคิล เมเยอร์ สองตัวละครนี้ไม่มีวันตายในภาคนี้อย่างแน่นอน ความลุ้นในหลายๆฉากมันก็ลดลงไปโดยปริยาย รวมถึงตัวละครลอรี่ ในภาคนี้แทบจะถอยหลังไปเป็นตัวประกอบ เพราะต้องรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บในภาคก่อน แม้จะเปิดทางให้หลายตัวละครแวดล้อมได้มีบทบาทขึ้น แต่เอกลักษณ์ของความเป็น Halloween ที่ทำให้ภาคก่อนประสบความสำเร็จก็หายไป เพราะสิ่งที่แฟนๆต้องการจริงๆ ก็คือการปะทะกันของ ลอรี่ และไมเคิล นั่นเอง

อีกหนึ่งปัญหาที่เห็นชัดมากๆใน Halloween Kills คืออารมณ์ร่วมที่ผู้ชมจะได้มีต่อ ถ้าคนดูจะอิน พวกเราจะต้องเอาใจช่วยตัวละครต่างๆ แต่หนังกลับเขียนบทให้ตัวละครส่วนใหญ่ไม่เสียสติและก็ทำอะไรขาดสติอยู่ประจำ เหมือนสร้างคนที่อ่อนแอมากๆมา เพื่อให้ ไมเคิลดูแข็งแรงมากๆ ซึ่งมันดูจงใจเกินไป เหยื่อแวดล้อมตายอย่างง่ายตายตลอดทั้งเรื่อง จนระหว่างทางแทบจะไม่อยากเชียร์ตัวละครไหนเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะตาย และไม่ได้ตายแบบยากเย็นด้วย เป็นการตายที่ไมเคิล น่าจะสังหารตัวละครเหล่านี้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งพอรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ก็พาลให้หนังหมดสนุกไปด้วย ต่อจากการสู้กันของ ลอรี่และไมเคิล ที่คนดูรู้สึกเสมอว่า คู่นี้สูสี ทำให้ทุกครั้งที่ดู Halloween มันถึงลุ้น ถึงมันขึ้นมาได้

โดยรวม Halloween Kills ถือเป็นหนังภาคบังคับสำหรับแฟนๆหนังสยองขวัญ ที่อย่างไรก็ตามก็น่าจะต้องดู แต่ผลลัพภ์กลับออกมาได้ถูกใจแบบภาคก่อน ซึ่งน่าเสียดายเบาๆ เพราะหนังฉบับปี 2018 เป็นการคืนชีพแฟรนไชส์ได้อย่างงดงามมากๆ แต่กลับมากราฟตกในภาคนี้ เหลือเพียงแค่ภาคจบอย่าง Halloween Ends ที่เราจะได้ชมกันฮาโลวีนปีหน้าเท่านั้นแล้ว ที่คงต้องรอลุ้นกันว่า มันจะอวสานได้อย่างงดงามหรือไม่ หรือเป็นการจบของ Halloween ตลอด 40 กว่าปีที่น่าผิดหวัง


(ให้ 5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves’ จากเกมคลาสสิกสู่หนังโจรปล้นโจร ที่โคตรมันส์และเถิดเทิง | GOSSIP GUN

29 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves’ จากเกมคลาสสิกสู่หนังโจรปล้นโจร ที่โคตรมันส์และเถิดเทิง | GOSSIP GUN

เชื่อว่าเด็กอเมริกันจำนวนไม่น้อย ต้องเติบโตมากับเกมกระดาน Dungeons Dragons เกมสุดคลาสสิกที่อายุเก่าแก่เกือบ 50 ปี ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมป็อปที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีกลุ่มแฟนเกมที่เหนียวแน่น จนกระทั่งมีนิตยสารที่เกี่ยวกับเกมนี้โดยเฉพาะ และถูกต่อยอดไปเป็นทั้งซีรีส์ และวีดีโอเกมคอมพิวเตอร์มากมาย สำหรับการดัดแปลงเป็นหนังใหญ่นั้นDungeons Dragons ก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความนิยมมากนัก จนล่าสุดพาราเมาต์ขอคว้าสิทธิ์เกมดังกล่าว มาขึ้นจอใหญ่อีกครั้ง ผ่านฝีมือการกำกับของสองผู้กำกับ โจนาธาน โกลด์สตีน และ จอห์น ฟรานซิส เดลีย์ ที่เคยฝากผลงานเขียนบท Spider-Man : Homecoming มาแล้ว และทั้งคู่ยังโด่งดังจากการกำกับหนังตลกสุดอลหม่านอย่าง Vacation และ Game NightDungeons Dragons : Honor Among Thieves พาผู้ชมเข้าสู่โลกแฟนตาซีที่มนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมาย โลกที่เวทมนตร์นั้นมีอยู่จริง โดยโฟกัสเรื่องราวที่คู่หูคู่โจร เอดจิ้น และโฮลก้า (รับบทโดย คริส ไพน์ และมิเชลล์ โรดริเกซ) ที่หลังจากออกคุก พวกเขาก็เดินทางไปตามหาคีร่า ลูกสาวของเอดจิ้นที่ฝากเพื่อนไว้ จนกระทั่งเขาได้พบว่า ฟอร์จ (รับบทโดย ฮิวจ์ แกรนต์) เพื่อนคนดังกล่าว บัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าเมืองที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไปแล้ว โดยทั้งเอดจิ้นและโฮลก้าได้พบว่า ฟอร์จนั้นมีแผนการลับสุดอันตรายซ่อนเร้นอยู่ ทั้งคู่จึงต้องรวบรวมเหล่าบรรดาโจรที่พวกเขาเคยรู้จัก กลายเป็นทีมเฉพาะกิจเพื่อบุกไปยังปราสาท ช่วยเหลือคีร่าออกมา พร้อมกับปราบฟอร์จ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปในบรรดาหนังจากเกมส์ ที่สนุกบ้างแป้กบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่จะออกไปทางคว่ำ) Dungeons Dragons : Honor Among Thieves สามารถจัดเข้าสู่กลุ่มหนังเกมส์ที่สนุกมากได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ HBO ส่ง The Last of Us กลายเป็นซีรีส์จากเกมส์ที่ฮิตติดลมบนและกวาดคำชมไปมากมายแล้ว ถึงคิวของหนังเรื่องนี้บ้าง ที่จะต่อยอดความนิยมของคอนเทนต์จากเกมที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง นี่คือหนังแฟนตาซีที่ทำออกมาได้สนุกแบบครบสูตร ทำถึงอารมณ์แบบครบรส ตามที่หนังบล็อกบัสเตอร์ หรือหนังป็อปคอร์นที่ควรจะเป็น มาพร้อมกับเส้นเรื่องที่สนุกน่าติดตาม ฉากแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่อลังการชวนลุ้น ไม่ใช่หนังแฟนตาซีที่ดูถูกคนดู ฉากตลกที่สอดแทรกได้อย่างลงตัว จังหวะการปล่อยมุกต่างๆที่ค่อนข้างแม่นยำ และหนังยังสามารถสร้างแก๊งตัวละครที่ีผู้ชมอยากจะเอาใจช่วย ไม่มีตัวไหนเลยที่ดูหลุดออกไปจากโลกของ Dungeons Dragonsแม้ว่าลุคภายนอกของDungeons Dragons อาจจะดูคล้ายหนังแฟนตาซีหลายต่อหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้หนังโดดเด่นออกมาจากหนังแฟนตาซีทั่วไป คือ Mood Tone แบบเถิดเทิงของหนัง ด้วยสไตล์ของผู้กำกับที่ถนัดหนังตลกมาก่อน พวกเขาจึงหยิบอารมณ์ขันไปจัดวางในเส้นเรื่องได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับแต่งแต้มตัวละครให้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทพระเอกของ คริส ไพน์ ที่ความอารมณ์ดีของเขายิ่งชวนให้หนังน่าติดตาม แพ็คคู่กับตัวละครของ มิเชลล์ โรดริเกซ ที่เธอเหมือนขั้วตรงข้าม เธอจะเป็นสไตล์ตลกหน้าตาย ทำให้จังหวะรับส่งมุกยิ่งดูแตกต่างและลงตัวไปเสียงอีก แต่นักแสดงที่เหมาะกับบทและเข้ากับหนังได้อย่างมากคือ ฮิวจ์ แกรนต์ เนื่องจากตัวละครของเขามีลักษณะเป็นคนพล่าม พูดไปเรื่อยแบบไร้จุดหมาย คล้ายคลึงกับคาแรคเตอร์ที่ ฮิวจ์ เคยแสดงมาแล้วในหลายต่อหลายเรื่อง ยิ่งเพิ่มความสนุกให้กับหนังยิ่งขึ้นไปอีกชื่อของ Dungeons Dragons : Honor Among Thieves แม้ต้นฉบับจะเป็นเกมที่อายุเก่าแก่เกือบครึ่งศตวรรษ แต่มันกลับกลายเป็นหนังแฟนตาซีที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า โบราณ เลยแม้แต่น้อย มันเป็นหนังแอ็กชันแฟนตาซีที่อัดแน่นไปด้วยความสนุก ผสมผสานกับความโบ๊ะบ๊ะของตัวละครได้อย่างลงตัว มุกและอารมณ์ขันถูกจับวางไว้อย่างดี ทำให้หนังยิ่งดูมีลูกล่อลูกชน เพิ่มเสน่ห์ของหนังให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และที่เซอร์ไพรสยิ่งกว่าคือ นอกจากซีนบู๊และซีนตลกแล้ว หนังยังสามารถเข้าโหมดดราม่าได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ ผู้ชมจะสนุกและอินกับหนังไปอย่างไม่รู้ตัว นี่คือหนังสนุกที่เชียร์ให้กวาดรายได้มากๆ เพราะโลกของ Dungeons Dragons มันช่างบันเทิงจนแอบเสียดายถ้ามันไม่ได้ไปต่อ เพราะฉะนั้นไปดูกันเยอะๆ รับประกันว่า จะเต็มไปด้วยความเอ็นจอย และคุณอาจจะตกหลุมรักเหล่าตัวละครได้อย่างง่ายดายชมตัวอย่าง Dungeons Dragons : Honor Among Thievesเปิดรอบพิเศษ 24 มีนาคมหลัง 1 ทุ่ม / ฉายจริง 29 มีนาคมภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] “Ambulance” แอ็กชันแบบนันสต็อป มันส์ระห่ำสไตล์ ไมเคิล เบย์ | GOSSIP GUN

17 มี.ค. 2022

[REVIEW] “Ambulance” แอ็กชันแบบนันสต็อป มันส์ระห่ำสไตล์ ไมเคิล เบย์ | GOSSIP GUN

ในสายหนังแอ็กชันหนึ่งในผู้กำกับที่สไตล์ลายเซ็นต์ชัดเจนสุด คงหนีไม่พ้น ไมเคิล เบย์ ถึงขั้นมีคำเรียกเฉพาะนิยามสไตล์ของเขาว่า"Bayhem"ที่เทกระจาดความวินาศสันตะโรเข้าไปในหนัง จัดหนักระเบิด รถชน ทุกองค์ประกอบให้ฉากแอ็กชันมันระเบิดภูเขาเผากระท่อมได้มากที่สุด ผนวกกับสไตล์การตัดต่อที่ฉึบฉับ ตัดยับแทบทุกช็อต เสริมด้วยมุมกล้องที่ไม่เคยหยุดนิ่ง หมุนไปมาฉวัดเฉวียนจนเกือบเวียนหัวแต่โคตรเท่ห์ นี่คือสไตล์ที่ทำให้หนังอย่างTransformers, Armageddon, The RockและBad Boysกลายเป็นตำนาน ใครมาทำภาคต่อหนังเหล่านี้ก็เลียนแบบไม่ได้ หนังจากหลายปีก่อน แกไปทำ6 Undergroundหนังฟอร์มยักษ์ให้กับNetflixล่าสุด ไมเคิล เบย์ กลับมาพร้อมกับหนังโรงแล้ว! Ambulanceเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่ายแก่ๆของวันหนึ่งในลอสแองเจลลิส วิลเลี่ยม(รับบทโดย ยาย่าห์ อับดุล-มาทีน ที่2จากThe Matrix Resurrections)อดีตทหารผ่านศึกที่ต้องการหาเงินด่วนเพื่อรักษาลูกที่ป่วยหนัก เขาไม่มีทางเลือก ยกเว้นขอความช่วยเหลือจากพี่ชายบุญธรรม อย่าง แดนนี่(รับบทโดย เจค จิลเลนฮาล จากSpider-Man : Far From Home)อาชญากรที่กำลังวางแผนปล้นธนาคารครั้งใหญ่ในวันนั้นพอดี ทำให้วิลตกกระไดพลอยโจนต้องไปร่วมปล้นด้วย แต่แล้วแผนการกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อจนท.รัฐวางแผนจะสกัดพวกเขาไว้แล้ว แดนนี่ และวิล จึงต้องยึดรถฉุกเฉินเพื่อใช้หนี ซึ่งมี แคม(รับบทโดย ไอซา กอนซาเลซ จากBaby Driver)จนท.กู้ภัยสาวเป็นตัวประกัน พร้อมกับตำรวจหนึ่งนายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อกองกำลังทั้งแอลเอกำลังไล่ล่าพวกเขา การหนีตายครั้งนี้จะจบลงอย่างไร? หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา งานของ ไมเคิล เบย์ พังบ้างแป้กบ้าง(โดยเฉพาะTransformersภาคสุดท้ายที่กำกับ ย่ำแย่ทั้งคำวิจารณ์และรายได้) Ambulanceถือว่าเป็นการกลับมาคืนฟอร์มในรอบทศวรรษของเขาก็ว่าได้ มันเป็นเหมืิอนงานที่ ไมเคิล เบย์ มันมือในการทำ สนุกในการสร้าง เมื่อตัวผู้กำกับจัดเต็มแบบนี้แล้ว สิ่งที่ออกมาหน้าจอ ผู้ชมสัมผัสได้หมด หนังใช้เวลาไม่นานในการSet Upเรื่องราว ว่าตัวละครไหนเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมาเจอกันในสถานการณ์ปล้น และเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ความมันส์ระห่ำก็เริ่มขึ้นแบบไม่หยุด หนังเหมือนรถแข่งที่เมื่อออกสตาร์ทแล้ว แอ็กชันNon-Stopแบบไม่หยุดจริงๆ แล้วค่อยๆไต่ระดับความระทึก เหมือนเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเรื่อยๆ คำว่าลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ไม่เกินจริงเลยสำหรับเรื่องนี้ เพราะหลายซีนทำเอาเราหลังไม่ติดเบาะ กว่าจะค่อยๆผ่อนลงคือช่วงท้ายสุด ซึ่งกำลังจะจบแล้ว ตลอดเกือบ2ชม.ของการไล่ล่า ทั้งตื่นเต้น ทั้งลุ้น ฝั่งตัวละครหลักและตำรวจ ผลัดกันได้เปรียบเสียเปรียบ บิลด์ความเข้มข้นได้สุดยอดมาก แน่นอนว่าในแง่สไตล์การเล่าเรื่อง งานโปรดักชั่นต่างๆ ลายเซ็นต์ของ ไมเคิล เบย์ ชัดยิ่งกว่าชัด จนอาจจะกล่าวได้ว่า เบย์กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ทั้งฉากแอ็กชันที่วินาศสันตะโรขั้นสุด แบบที่แฟนๆเบย์คิดถึง ประมาณว่า จะทำฉากรถชนกันที ชนแบบสองสามคันไม่ได้ มันต้องหลายสิบ ฉากจะระเบิดที มันจะตู้มเล็กๆไม่ได้ มันต้องระเบิดไปให้สุดๆAmbulanceเป็นเช่นนั้น ประกอบด้วย การเคลื่อนกล้องที่ไม่หยุดนิ่งจริงๆ ขยันออกแบบมุมกล้องมากมาย ตั้งแต่บินลงมาจากดาดฟ้า หมุน360องศาไปสามรอบ แล้วบินลอดใต้รถ ทะลุกระจก แล้วทำอย่างนี้บ่อยๆถี่ ตัดต่อฉับไว ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่หยุดนิ่งตลอดเวลา(แต่ถ้าใครไม่ชอบก็อาจจะเวียนหัวไปเลยก็ได้)กลายเป็นสไตล์ที่แม้จะมีคนลอกเลียนแบบ ก็เด็ดสู้เขาไม่ได้ ไฮไลต์สำคัญคือทีมนักแสดงที่ตรึงผู้ชมได้อยู่หมัด เจค จิลเลนฮาล รับบทนำกึ่งผู้ร้ายได้แบบกำลังดี นึกถึงเขาสมัยNightcrawlerแน่นอนว่าบทแดนนี่ไม่ได้โรคจิตในระดับนั้น แต่ชอบทุกทีเวลาเจครับบทผู้ชายที่เลวนิดๆ เขาทำได้ดีเสมอ ยิ่งฉากระเบิดอารมณ์ยิ่งคลั่งได้สุดๆ ในขณะที่ ยาย่าห์ อับดุล ก็มีเสน่ห์และแข็งแรงพอ ในบทนำประกบเจค ไม่ว่าเจคจะเล่นอะไรมา เขาสามารถรับได้หมด แถมยังมีเคมีเข้ากับ ไอซา กอนซาเลส ตัวละครนำหญิงเดี่ยวในเรื่องนี้ ที่เธอโชว์ทั้งมุมแข็งแกร่ง มุมเท่ห์ และมุมสวยได้ครบ ตรึงสายตาผู้ชมได้ตลอดเวลา เชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้ เธอน่าจะได้แฟนๆเพิ่มอีกเยอะ แบบเดียวกับที่ เมแกน ฟ็อกซ์ โด่งดังจากTransformersเลย โดยรวมAmbulanceคืองานแอ็กชันที่มันส์จัดหนักตามสูตรของ ไมเคิล เบย์ เลย แม้จะไม่ได้มีหุ่นยนต์ยักษ์หรืออุกกาบาตชนโลก แต่ต้องถือว่าแค่ฉากไล่ล่าในแอลเอ ก็ตรึงคนดูได้อยู่หมัด ด้วยเนื้อเรื่องที่คาดเดาไม่ได้และลุ้นแทบทุกนาที คล้ายกับดูหนังSpeedหรือFast Furiousในฉบับของ เบย์ ซึ่งทำออกมาได้ดีมากๆด้วย และด้วยความวินาศสันตะโรในระดับนี้Ambulanceจึงน่าจะกลายเป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่ควรรอดูที่บ้านหรือในมือถือ มันคือหนังที่เหมาะกับรูปแบบการชมในโรงภาพยนตร์ ถึงจะได้อรรถรสมากที่สุด ซึ่งนอกจากระบบปกติยังเข้าฉายในIMAXจอยักษ์และ4DXอีกด้วย(ให้8.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

คงไม่มีอะไรเรียกแขกสำหรับหนังRed Noticeมากเท่าการที่ได้3นักแสดงแถวหน้ายุคนี้ อย่าง ดเวย์น จอห์นสัน,ไรอัน เรย์โนลด์ และกัล กาด็อต มาเจอกัน ซึ่งนั่นส่งผลให้หนังใช้ทุนสร้างไปเกือบ200ล้านเหรียญฯ และลือกันว่าเกือบ60ล้านเหรียญฯ คือการจ้าง3นักแสดงนำ ส่งผลให้Red Noticeกลายเป็นหนังทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลของสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่Netflixไปโดยปริยาย(จากเดิมโปรเจกต์นี้ ก่อร่างสร้างตัวที่ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ และมีแพลนจะฉายโรง ก่อนย้ายค่ายมาอยู่ที่Netflix)หนังเป็นผลงานล่าสุดของ รอว์สัน มาร์แชลล์ เทอร์เบอร์ ผู้กำกับที่ร่วมงานกับ ดเวย์น จอห์นสัน มาแล้วในCentral IntelligenceและSkyscraperจนเข้าขากันดี และชักชวนกันมาจับโปรเจกต์ใหม่นี้ดเวย์น จอห์นสัน รับบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่ชำนาญด้านอาชญากรรมผลงานศิลปะเป็นพิเศษ คนร้ายที่เขากำลังไล่จับเป็นหลักคือ โนแลน อาชญากรสุดพริ้วที่รับบทโดย ไรอัน เรย์โนลด์ แต่ด้วยความผิดพลาดบางประการ พระเอกของเราถูกเข้าใจผิดว่าร่วมมือกับคนร้าย เขาจึงถูกจับติดคุกไปพร้อมกับ โนแลน และทางเดียวที่จะล้างมลทินให้กับเขาได้ คือการจับ เดอะบิชชอป(รับบทโดย กัล กาด็อต)อาชญากรมือหนึ่งของโลก ที่เป็นคนป้ายสีเขา และทางเดียวที่เขาจะแหกคุกและไปจับเธอได้นั้น ก็คือการต้องขอร้องให้ โนแลน ช่วยเหลือเขาRed Noticeเลยกลายเป็นเหมือนหนังคู่หู ตำรวจกับโจร ที่ต้องร่วมมือกันไปจับคนร้ายที่ถูกหมายหัวเบอร์หนึ่งของโลกRed Noticeถือเป็นหนังบันเทิงที่ดูสนุกระหว่างทาง แต่ความน่าเสียดายของมันคือ จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำอะไร อาจจะเพราะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือภาพจำที่ชัดเจนนัก แม้แต่นักแสดงนำอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน และไรอัน เรย์โนลด์ เขาก็เล่นเหมือนบทเดิมที่เล่นมาทุกเรื่อง จอห์นสันก็เหมือนตัวเองในJumanji (แถมหนังมีฉากเขาใส่เสื้อลุยป่า ดูยิ่งเหมือนเข้าไปอีก)ส่วน เรย์โนลด์ ก็เหมือนหลุดออกมาจากDeadpoolหรือThe Hitman's Bodyguardที่พ่นมุกกวนประสาทตลอดเวลา ถามว่า หนังสนุกหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่าสนุก เคมีระหว่าง ดเวย์นและไรอัน รับส่งบทกันได้ดี ลงตัวมาก แต่ปัญหาคือ มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปมากกว่านั้น ท้ายที่สุดทั้งสองก็เล่นบทที่เหมือนเล่นกันมาทุกเรื่องคนที่อาจจะดูแตกต่างสุดคือ กัล กาด็อต ที่พลิกมารับบทกึ่งร้ายนิดๆ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากเลยทีเดียว เธอดูผ่อนคลายมากกว่าบทบาทในหนังอย่างWonder WomanหรือในตระกูลFast Furiousและเมื่อทั้ง3คนมารวมกัน ต้องยอมรับเลยว่าพลังดารา ส่งผลดีกับหนังเรื่องนี้จริงๆ ด้วยพล็อตที่อาจจะไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชันที่เห็นได้ทั่วไปในหนังหลายๆเรื่อง กลายเป็นเสน่ห์ของทั้ง3นักแสดงนำ คือสิ่งที่ดึงดูดจริงๆ ให้เราอยากดู ให้เราอยากติดตามจนจบ เพราะตัวบทเองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่นัก มันมีกลิ่นอายเหมือนหนังแนวตำรวจคู่หู ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาร่วมมือกันมากกว่าเมื่อกล่าวถึงความไม่สดใหม่ เชื่อว่าหลายๆฉาก อาจทำให้ผู้ชมนึกถึงหนังหลายๆเรื่องRed Noticeมีกลิ่นอายความเป็นหนังBuddy Copผสมผสานกับหนังปล้นมากมายที่ดูได้ทั่วไป แถมช่วงหลังๆแอบคล้ายไปทางIndiana Joneเสียอีก(แถมไรอัน เรย์โนลด์ ยังฮัมเพลงธีมของอินเดียน่า โจนส์ ซะอย่างงั้น เหมือนแซวตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว)จึงน่าเสียดายที่หนังแอบหาเอกลักษณ์จากโครงเรื่อง จากธีม หรือจากพล็อตไม่ได้เท่าไหร่ กลายเป็นภาพจำ คือหนังที่3นักแสดงนำมาเจอกันแค่นั้นเองอย่างไรก็ตามRed Noticeก็ถือว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดูได้เพลินๆในวันหยุด มันคือหนังแอ็กชั่นเบาสมอง ที่มาพร้อมฉากแอ็กชันที่สนุกหลายฉาก มุกตลกที่ค่อนข้างเวิร์กใช้ได้ เคมีนักแสดงที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ใครที่เคยชอบหนังบันเทิงสไตล์ เดอะร็อก หนังเบาสมองแอ็กชั่นนิดๆตามสไตล์ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่เป็นการผสมผสานของหนังอารมณ์ประมาณนั้น ถ้าไม่คาดหวังอะไรมาก ก็สามารถเปิดดูได้เลยทางNetflixแต่ถ้าต้องไปซื้อตั๋วดู ก็อาจจะแอบผิดหวังนิดๆ ที่มันไม่ได้ทำให้เราจดจำอะไรเมื่อออกจากโรง (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

15 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อ2ปีก่อน โซนี่ พิคเจอร์ ได้หนังระทึกขวัญเซอร์ไพรสฮิตเรื่องใหม่มาไว้ในมือ เมื่อEscape Roomที่ทุนสร้างเพียบแค่9ล้านเหรียญฯ กลับถูกใจผู้ชมและกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง155ล้านเหรียญฯ ภาคต่อจึงถูกออร์เดอร์ให้สร้างทันที และเกือบจะได้ฉายเมื่อปีก่อน จนกระทั่งโควิด-19ทำให้ถูกขยับมาฉายในปีนี้ โดยหนังได้สองนักแสดงจากภาคแรกอย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล และโลแกน มิลเลอร์ กลับมารับบทนำอีกครั้ง ทั้งคู่คือสองผู้รอดตายจากตอนจบภาคแรก และกำลังจะเจอสิ่งที่สะพรึงยิ่งกว่าเดิมในภาคใหม่นี้ หนังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าEscape Room : Tournament of Champion (หรือในบางประเทศ เช่นในไทย ใช้ชื่อโปรโมตว่าEscape Room : No Way Out)ไฮไลต์ของมันก็คือการ เอาผู้ชนะจากเกมEscape Roomในปีก่อนๆมาเจอกัน โดยนางเอก โซอี้ ยังค้างคาใจว่าใครอยู่เบื้องหลังเกมห้องนรกนี้กันแน่ เธอจึงตัดสินใจขับรถมายังนิวยอร์กพร้อมกับ เบน ที่รอดตายมากด้วยกันและคบหากัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า การมีนิวยอร์กในครั้งนี้ มันคือการเดินเข้าสู่ เกมห้องนรกอีกครั้ง ที่ถูกดีไซน์มาให้โหดและระทึกยิ่งกว่าเดิม เพราะผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน เคยผ่านการเล่นเกมนี้มาแล้วโดยรวมEscape Room 2ยังคงระดับความสนุกและความระทึกได้ดีไม่แพ้ภาคแรก ฉากห้องนรก อาทิ ฉากในตู้ขบวนรถไฟ หรือฉากห้องริมหาด(ตามที่เผยในตัวอย่าง)ถูกออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาและน่าติดตาม กลไกของเกมในห้องต่างๆก็ยังสนุกและชวนตื่นเต้นเช่นเดิม หลายห้องหวาดเสียวจนกระทั่งไม่กล้ามองจอเลยก็มี ดังนั้น คะแนนความครีเอทีฟในการออกแบบห้องต่างๆ ยังคงให้คะแนนสูงเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการเป็นหนังภาคต่อEscape Room 2มีโครงเรื่องที่คล้ายกับภาคแรก เหมือนแค่ก็อปปี้วาง เปลี่ยนแค่การออกแบบห้อง เหมือนเส้นเรื่องไม่ได้ขยับไปไหนมากนัก ซึ่งน่าเสียดายที่มันกลายเป็นภาคต่อที่แค่ต่อเวลาความสนุก แต่ไม่่ได้ขยายปมหรือคลี่คลายปมไปมากกว่าเดิมสิ่งที่อาจจะต้องนำมากล่าวถึงในการรีวิวนี้ คือการที่หนังEscape Room 2มีหลายเวอร์ชั่น โดยที่รีวิวไปนั้นเป็นTheatrical Versionที่ฉายโรงโดยมีความยาวที่88นาที แต่หนังยังมีExtended Versionเป็นเหมือนเวอร์ช่ันแรกก่อนที่ค่ายหนังจะตัดสินใจตัดต่อใหม่ให้สั้นลง ซึ่งเวอร์ชั่นที่ยาวกว่าคือ95นาที มีอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา คือ ตัวละครผู้สร้างเกมห้องนรกนี้ ซึ่งมีทั้งฉากเปิดที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงบทสรุปที่ต่างจากเวอร์ชั่นโรงด้วย ซึ่งในBlu-RayและDVDของเมืองนอกที่วางขายแล้ว มีให้เลือกชมฉบับนี้ จึงน่าสนใจเมื่อหยิบมาเปรียบเทียบกัน แล้วพบว่าฉบับที่ยาวกว่า ดูจะทำหน้าที่ภาคต่อที่ขยายปมเรื่องที่มาของEscape Roomได้ชัดเจนมากขึ้น จึงน่าสนใจว่าทำไมโซนี่จึงตัดสินใจไม่เล่าถึงปมนี้แล้ว ในฉบับโรงท้ายที่สุดEscape Room 2ก็ยังคงเป็นหนังระทึกขวัญที่สนุกและดูเพลินแบบภาคแรก ใครที่เคยเอ็นจอยกับการหนีตายจากห้องปริศนาในภาคแรก ก็ยังคงน่าจะเพลิดเพลินไปกับหนังในภาคนี้ เพราะห้องต่างๆยังคงถูกออกแบบมาได้ตื่นเต้นและชวนติดตาม เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้เดินหน้าในฐานะภาคต่อเท่าไหร่นัก ต้องมารอลุ้นกันว่า ถ้าภาค3ตามออกมา ผู้สร้างจะพาหนังไปในทิศทางไหน เพราะเหมือนไอเดียการเฉลยถึงผู้สร้างห้องนั้น คงจะถูกเก็บไว้ในภาคใหม่ ซึ่งอาจจะมีไอเดียที่ต่างจากตอนนี้ก็เป็นอันได้ (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1