[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Spider-Man : No Way Home” นี่คือสไปเดอร์แมนภาคที่เต็มเปี่ยมในทุกอารมณ์ | GOSSIP GUN

20 ธ.ค. 2021

(บทความนี้ ไม่มีสปอยล์ จะพยายามเขียนเพื่อรักษาอรรถรสของทุกคนให้มากที่สุด)

มอบตำแหน่งภาพยนตร์ที่ไฮป์์หรือกระแสความอยากดูมากที่สุดนับตั้งแต่ Avengers : Endgame ไปครองเลยสำหรับ Spider-Man : No Way Home ซึ่งหลายคนมองว่าน่าจะเป็นหนังที่ปลุกให้บ็อกซ์ออฟฟิศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังซบเซาเกือบ 2 ปีเต็มเพราะโควิด-19 ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เมื่อหนังเปิดตัวแรงด้วยการทำรายได้วันแรกในอเมริกาสูงสุดตลอดกาลเป็นรองเพียงEndgame บวกกับกระแสคำวิจารณ์ในแง่บวกที่เปิดมาล็อตแรกก็กวาดคำชมไปแบบ 100% (ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 94% ใน Rotten Tomatoes) ยิ่งทวีกระแสความน่าดูเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก ด้วยความเป็นหนังปิดไตรภาคของ Spider-Man ในฉบับ ทอม ฮอลแลนด์ และเป็นหนังสำคัญที่จะเชื่อมจักรวาลมาร์เวลจากเฟสก่อนหน้า ไปดูเฟสใหม่หลังจากนี้ ที่จะเล่นในธีมมัลติเวิร์สอย่างจริงจัง !

No Way Home เริ่มต้นเรื่องราวทันทีที่ภาคก่อนหน้าอย่าง Far For Home จบลง เมื่อมิสเตอริโอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่า สไปเดอร์แมนก็คือ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ทำให้ชีวิตของเขายุ่งยากและพาทำให้คนรอบข้างทั้ง เอ็มเจ เน็ด และป้าเมย์ เดือดร้อนกันไปหมด และเพราะอยากจะแก้ไขปัญหานี้ เขาจึงหันไปพึ่งพา ด็อกเตอร์สเตรนจ์ ในการร่ายมนต์เพื่อทำให้ทุกคนลืมซะ ว่าเขาคือสไปเดอร์แมน แต่ระหว่างการร่ายมนต์เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อปีเตอร์พยายามจะแก้ไขไม่ให้คนรักและเพื่อนสนิทลืมว่าเขาคือสไปเดอร์แมน นำไปสู่การเปิดมิติระหว่างจักรวาล จึงให้เหล่าตัวร้ายจากสไปเดอร์ใน มัลติเวิร์สอื่น โผล่มายังมิติของเขา ประกอบด้วย กรีน ก็อบลิน, ด็อกเตอร์อ็อกโตพุส และแซนด์แมน จาก Spider-Man ในฉบับของผู้กำกับ แซม ไรมี่ และ อีเล็กโตร กับ ลิซาร์ด จาก The Amazing Spider-Man ในฉบับของ มาร์ก เว็บบ์

ไม่แปลกใจเลยที่หลายเสียงบอกว่า นี่อาจจะเป็น Spider-Man ภาคที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เฉพาะในฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับหนังทั้ง 8 เรื่องที่เคยสร้างมาก นี่คือ Spider-Man ภาคที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ทางด้านอารมณ์มากที่สุด และไม่แปลกใจเลยที่มันจะไฮป์ในระดับน้องๆของ Avengers : Endgame เพราะมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ชมส่งเสียงเชียร์หรือเสียงน้ำตาระหว่างชม เป็นหนังที่สนุกครบรส และครบเครื่องเรื่ององค์ประกอบจริงๆ จนสามารถไปเทียบความยิ่งใหญ่กับหนังมาร์เวลระดับบนๆอย่าง Avengers : Endgame, Captain America : Civil War หรือแม้แต่ Black Panther ได้สบายๆ

สิ่งหลักสำคัญที่ส่งให้ Spider-Man : No Way Home ยอดเยี่ยม คือเส้นเรื่องของตัว ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ เอง หลังจากเขาเริ่มต้นเรื่องราวใน Homecoming และ Far From Home ในภาคนี้จะได้เห็นปีเตอร์ เติบโตอย่างแท้จริง จากเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นสไปเดอร์แมน ยังถูกหลายคนเรียกว่าเด็กน้อย แต่สถานการณ์ในหนังภาคนี้ ส่งให้เขาเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างเต็มตัว เราจะได้เห็นเขาตัดสินใจแบบคนที่โตแล้ว ระหว่างดูความรู้สึกมันตื้นตัน เหมือนกับลูกชายที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้เรียนจบและมีความเป็นผู้ใหญ่เสียที นี่คือแกนหลักที่ทำให้ Spider-Man ในภาคนี้กินใจผู้ชมได้อย่างไม่ยาก

สิ่งที่ทำให้ Spider-Man : No Way Home ไฮป์ขั้นสุด คงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของ 5 ตัวร้ายหลักจาก Spider-Man ในฉบับก่อนๆ การที่ได้เห็น วิลเล็ม ดาโฟ ปรากฏตัวอีกครั้งในลุคของ กรีน ก็อบลิน คือชวนขนลุกสุด ย้อนกลับไปนึกถึง 19 ปีก่อนที่เราได้ดู Spider-Man (2002) ในโรงภาพยนตร์ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหวนคืนกลับมา แล้วได้เห็น อัลเฟรด โมลีน่า, เจมี่ ฟ็อกซ์, โทมัส เฮย์เดน เชิร์ช และ ไรส์ ไอฟานส์ มันเหมืิอนภาพเก่าๆตลอดเกือบ 20 ปีค่อยๆย้อนกลับมาหมด แล้วหนังหาเส้นเรื่องที่น่าสนใจให้กับตัวละครเหล่านี้ด้วย ไม่ได้แค่กลับมาแล้วก็ปราบๆพวกเขา ทำให้ Spider-Man : No Way Home ดูจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยหัวใจ ซึ่งผู้ชมน่าจะสัมผัสได้

จริงๆ Spider-Man : No Way Home มีรายละเอียดอีกมากมายที่ขอจะไม่กล่าวถึง เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการชม สำหรับแฟนๆของ Spider-Man และคอซูเปอร์ฮีโร่ นี่คือหนังที่เซอร์วิสแฟนขั้นสุด เป็นหนังที่ควรดูบนจอใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางคนจำนวนมาก คุณจะได้ส่งเสียงเชียร์ ฮือฮา ไปพร้อมกับทุกคนซึ่งเพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างดีเยี่ยม (เหมือนดูคอนเสิร์ต ที่ต้องดูกับคนเยอะๆเพื่อเพิ่มอารมณ์) แต่สำหรับผู้ชมทั่วไป นี่คือหนังที่สนุกลงตัว ครบรส มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะหาได้ มันทั้งมันส์ ทั้งตื่นเต้น ทั้งทำให้คุณหัวใจพองโต ทำให้คุณเสียน้ำตา ทุกจังหวะในหนังเล่าเรื่องได้อย่างกลมกล่อมมากๆ แม้สถานการณ์โควิดจะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เงียบเหงาไปนาน แต่เมื่อมีหนังใหญ่สักเรื่องที่พร้อมจะดึงผู้ชม ทุกคนก็ยังกลับมาเจอกันในโรงหนัง และ Spider-Man : No Way Home คือภาพยนตร์เรื่องนั้น


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

15 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Escape Room 2” เกมหนีตายจากห้องปริศนาที่ระทึกเช่นเดิม | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อ2ปีก่อน โซนี่ พิคเจอร์ ได้หนังระทึกขวัญเซอร์ไพรสฮิตเรื่องใหม่มาไว้ในมือ เมื่อEscape Roomที่ทุนสร้างเพียบแค่9ล้านเหรียญฯ กลับถูกใจผู้ชมและกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง155ล้านเหรียญฯ ภาคต่อจึงถูกออร์เดอร์ให้สร้างทันที และเกือบจะได้ฉายเมื่อปีก่อน จนกระทั่งโควิด-19ทำให้ถูกขยับมาฉายในปีนี้ โดยหนังได้สองนักแสดงจากภาคแรกอย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล และโลแกน มิลเลอร์ กลับมารับบทนำอีกครั้ง ทั้งคู่คือสองผู้รอดตายจากตอนจบภาคแรก และกำลังจะเจอสิ่งที่สะพรึงยิ่งกว่าเดิมในภาคใหม่นี้ หนังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าEscape Room : Tournament of Champion (หรือในบางประเทศ เช่นในไทย ใช้ชื่อโปรโมตว่าEscape Room : No Way Out)ไฮไลต์ของมันก็คือการ เอาผู้ชนะจากเกมEscape Roomในปีก่อนๆมาเจอกัน โดยนางเอก โซอี้ ยังค้างคาใจว่าใครอยู่เบื้องหลังเกมห้องนรกนี้กันแน่ เธอจึงตัดสินใจขับรถมายังนิวยอร์กพร้อมกับ เบน ที่รอดตายมากด้วยกันและคบหากัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า การมีนิวยอร์กในครั้งนี้ มันคือการเดินเข้าสู่ เกมห้องนรกอีกครั้ง ที่ถูกดีไซน์มาให้โหดและระทึกยิ่งกว่าเดิม เพราะผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน เคยผ่านการเล่นเกมนี้มาแล้วโดยรวมEscape Room 2ยังคงระดับความสนุกและความระทึกได้ดีไม่แพ้ภาคแรก ฉากห้องนรก อาทิ ฉากในตู้ขบวนรถไฟ หรือฉากห้องริมหาด(ตามที่เผยในตัวอย่าง)ถูกออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาและน่าติดตาม กลไกของเกมในห้องต่างๆก็ยังสนุกและชวนตื่นเต้นเช่นเดิม หลายห้องหวาดเสียวจนกระทั่งไม่กล้ามองจอเลยก็มี ดังนั้น คะแนนความครีเอทีฟในการออกแบบห้องต่างๆ ยังคงให้คะแนนสูงเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการเป็นหนังภาคต่อEscape Room 2มีโครงเรื่องที่คล้ายกับภาคแรก เหมือนแค่ก็อปปี้วาง เปลี่ยนแค่การออกแบบห้อง เหมือนเส้นเรื่องไม่ได้ขยับไปไหนมากนัก ซึ่งน่าเสียดายที่มันกลายเป็นภาคต่อที่แค่ต่อเวลาความสนุก แต่ไม่่ได้ขยายปมหรือคลี่คลายปมไปมากกว่าเดิมสิ่งที่อาจจะต้องนำมากล่าวถึงในการรีวิวนี้ คือการที่หนังEscape Room 2มีหลายเวอร์ชั่น โดยที่รีวิวไปนั้นเป็นTheatrical Versionที่ฉายโรงโดยมีความยาวที่88นาที แต่หนังยังมีExtended Versionเป็นเหมือนเวอร์ช่ันแรกก่อนที่ค่ายหนังจะตัดสินใจตัดต่อใหม่ให้สั้นลง ซึ่งเวอร์ชั่นที่ยาวกว่าคือ95นาที มีอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา คือ ตัวละครผู้สร้างเกมห้องนรกนี้ ซึ่งมีทั้งฉากเปิดที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงบทสรุปที่ต่างจากเวอร์ชั่นโรงด้วย ซึ่งในBlu-RayและDVDของเมืองนอกที่วางขายแล้ว มีให้เลือกชมฉบับนี้ จึงน่าสนใจเมื่อหยิบมาเปรียบเทียบกัน แล้วพบว่าฉบับที่ยาวกว่า ดูจะทำหน้าที่ภาคต่อที่ขยายปมเรื่องที่มาของEscape Roomได้ชัดเจนมากขึ้น จึงน่าสนใจว่าทำไมโซนี่จึงตัดสินใจไม่เล่าถึงปมนี้แล้ว ในฉบับโรงท้ายที่สุดEscape Room 2ก็ยังคงเป็นหนังระทึกขวัญที่สนุกและดูเพลินแบบภาคแรก ใครที่เคยเอ็นจอยกับการหนีตายจากห้องปริศนาในภาคแรก ก็ยังคงน่าจะเพลิดเพลินไปกับหนังในภาคนี้ เพราะห้องต่างๆยังคงถูกออกแบบมาได้ตื่นเต้นและชวนติดตาม เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้เดินหน้าในฐานะภาคต่อเท่าไหร่นัก ต้องมารอลุ้นกันว่า ถ้าภาค3ตามออกมา ผู้สร้างจะพาหนังไปในทิศทางไหน เพราะเหมือนไอเดียการเฉลยถึงผู้สร้างห้องนั้น คงจะถูกเก็บไว้ในภาคใหม่ ซึ่งอาจจะมีไอเดียที่ต่างจากตอนนี้ก็เป็นอันได้ (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2021

[REVIEW] “Red Notice” เมื่อสามซูเปอร์สตาร์ขนเสน่ห์มาประชันล้นจอ | GOSSIP GUN

คงไม่มีอะไรเรียกแขกสำหรับหนังRed Noticeมากเท่าการที่ได้3นักแสดงแถวหน้ายุคนี้ อย่าง ดเวย์น จอห์นสัน,ไรอัน เรย์โนลด์ และกัล กาด็อต มาเจอกัน ซึ่งนั่นส่งผลให้หนังใช้ทุนสร้างไปเกือบ200ล้านเหรียญฯ และลือกันว่าเกือบ60ล้านเหรียญฯ คือการจ้าง3นักแสดงนำ ส่งผลให้Red Noticeกลายเป็นหนังทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลของสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่Netflixไปโดยปริยาย(จากเดิมโปรเจกต์นี้ ก่อร่างสร้างตัวที่ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ และมีแพลนจะฉายโรง ก่อนย้ายค่ายมาอยู่ที่Netflix)หนังเป็นผลงานล่าสุดของ รอว์สัน มาร์แชลล์ เทอร์เบอร์ ผู้กำกับที่ร่วมงานกับ ดเวย์น จอห์นสัน มาแล้วในCentral IntelligenceและSkyscraperจนเข้าขากันดี และชักชวนกันมาจับโปรเจกต์ใหม่นี้ดเวย์น จอห์นสัน รับบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่ชำนาญด้านอาชญากรรมผลงานศิลปะเป็นพิเศษ คนร้ายที่เขากำลังไล่จับเป็นหลักคือ โนแลน อาชญากรสุดพริ้วที่รับบทโดย ไรอัน เรย์โนลด์ แต่ด้วยความผิดพลาดบางประการ พระเอกของเราถูกเข้าใจผิดว่าร่วมมือกับคนร้าย เขาจึงถูกจับติดคุกไปพร้อมกับ โนแลน และทางเดียวที่จะล้างมลทินให้กับเขาได้ คือการจับ เดอะบิชชอป(รับบทโดย กัล กาด็อต)อาชญากรมือหนึ่งของโลก ที่เป็นคนป้ายสีเขา และทางเดียวที่เขาจะแหกคุกและไปจับเธอได้นั้น ก็คือการต้องขอร้องให้ โนแลน ช่วยเหลือเขาRed Noticeเลยกลายเป็นเหมือนหนังคู่หู ตำรวจกับโจร ที่ต้องร่วมมือกันไปจับคนร้ายที่ถูกหมายหัวเบอร์หนึ่งของโลกRed Noticeถือเป็นหนังบันเทิงที่ดูสนุกระหว่างทาง แต่ความน่าเสียดายของมันคือ จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำอะไร อาจจะเพราะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือภาพจำที่ชัดเจนนัก แม้แต่นักแสดงนำอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน และไรอัน เรย์โนลด์ เขาก็เล่นเหมือนบทเดิมที่เล่นมาทุกเรื่อง จอห์นสันก็เหมือนตัวเองในJumanji (แถมหนังมีฉากเขาใส่เสื้อลุยป่า ดูยิ่งเหมือนเข้าไปอีก)ส่วน เรย์โนลด์ ก็เหมือนหลุดออกมาจากDeadpoolหรือThe Hitman's Bodyguardที่พ่นมุกกวนประสาทตลอดเวลา ถามว่า หนังสนุกหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่าสนุก เคมีระหว่าง ดเวย์นและไรอัน รับส่งบทกันได้ดี ลงตัวมาก แต่ปัญหาคือ มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปมากกว่านั้น ท้ายที่สุดทั้งสองก็เล่นบทที่เหมือนเล่นกันมาทุกเรื่องคนที่อาจจะดูแตกต่างสุดคือ กัล กาด็อต ที่พลิกมารับบทกึ่งร้ายนิดๆ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากเลยทีเดียว เธอดูผ่อนคลายมากกว่าบทบาทในหนังอย่างWonder WomanหรือในตระกูลFast Furiousและเมื่อทั้ง3คนมารวมกัน ต้องยอมรับเลยว่าพลังดารา ส่งผลดีกับหนังเรื่องนี้จริงๆ ด้วยพล็อตที่อาจจะไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชันที่เห็นได้ทั่วไปในหนังหลายๆเรื่อง กลายเป็นเสน่ห์ของทั้ง3นักแสดงนำ คือสิ่งที่ดึงดูดจริงๆ ให้เราอยากดู ให้เราอยากติดตามจนจบ เพราะตัวบทเองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่นัก มันมีกลิ่นอายเหมือนหนังแนวตำรวจคู่หู ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาร่วมมือกันมากกว่าเมื่อกล่าวถึงความไม่สดใหม่ เชื่อว่าหลายๆฉาก อาจทำให้ผู้ชมนึกถึงหนังหลายๆเรื่องRed Noticeมีกลิ่นอายความเป็นหนังBuddy Copผสมผสานกับหนังปล้นมากมายที่ดูได้ทั่วไป แถมช่วงหลังๆแอบคล้ายไปทางIndiana Joneเสียอีก(แถมไรอัน เรย์โนลด์ ยังฮัมเพลงธีมของอินเดียน่า โจนส์ ซะอย่างงั้น เหมือนแซวตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว)จึงน่าเสียดายที่หนังแอบหาเอกลักษณ์จากโครงเรื่อง จากธีม หรือจากพล็อตไม่ได้เท่าไหร่ กลายเป็นภาพจำ คือหนังที่3นักแสดงนำมาเจอกันแค่นั้นเองอย่างไรก็ตามRed Noticeก็ถือว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดูได้เพลินๆในวันหยุด มันคือหนังแอ็กชั่นเบาสมอง ที่มาพร้อมฉากแอ็กชันที่สนุกหลายฉาก มุกตลกที่ค่อนข้างเวิร์กใช้ได้ เคมีนักแสดงที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ใครที่เคยชอบหนังบันเทิงสไตล์ เดอะร็อก หนังเบาสมองแอ็กชั่นนิดๆตามสไตล์ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่เป็นการผสมผสานของหนังอารมณ์ประมาณนั้น ถ้าไม่คาดหวังอะไรมาก ก็สามารถเปิดดูได้เลยทางNetflixแต่ถ้าต้องไปซื้อตั๋วดู ก็อาจจะแอบผิดหวังนิดๆ ที่มันไม่ได้ทำให้เราจดจำอะไรเมื่อออกจากโรง (ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “The Green Knight” หนังผจญภัยที่งดงามดั่งภาพวาดและบทกวี | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2021

[REVIEW] “The Green Knight” หนังผจญภัยที่งดงามดั่งภาพวาดและบทกวี | GOSSIP GUN

ขึ้นแท่นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปีไปแล้วสำหรับThe Green Knightผลงานล่าสุดของค่ายหนังA24ที่ยังคงสานต่อสร้างหนังคุณภาพและท้าทายผู้ชมออกมาอย่างไม่หยุด ล่าสุดคือการหยิบเอาบทกวีโบราณ(ซึ่งไม่ทราบด้วยว่าใครแต่ง)นำมาตีความใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์ โดยได้ผู้กำกับคนคุ้นเคยของทางค่ายอย่าง เดวิด โลวอรี่ จากA Ghost Storyมาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์รวมถึงกำกับ เล่าเรื่องราววีรกรรมความหาญกล้าของกาเวน หลานชายของกษัตริย์อาเธอร์ผู้ยังไม่เคยมีตำนานใด เฉกเช่นคุณอาหรือเหล่าอัศวินโต๊ะกลม นี่จึงเป็นตำนานบทแรกของชายผู้นี้ในฐานะอัศวิน ที่กำลังจะถูกเล่าขานในรูปแบบภาพยนตร์The Green Knightเปิดเรื่องราวในยุคสมัยของคิงอาเธอร์ ในวันคริสต์มาส โดยมีตัวละครศูนย์กลางเรื่องคือ กาเวน(รับบทโดย เดฟ พาเทล)ชายผู้ใช้ชีวิตอย่างเสเพลและยังไม่เคยมีบทพิสูจน์ความหาญกล้าของตัวเขาเอง แต่โอกาสดังกล่าวก็ได้มาถึง เมื่อในค่ำคืนดังกล่าว"อัศวินมรกต"นักรบปริศนาในร่างสีเขียวยักษ์คล้ายอสูรได้ปรากฏตัวขึ้นในพระราชวังของคิงอาเธอร์ พร้อมเอ่ยคำท้า ให้ผู้กล้าคนใดก็ได้ ใช้ดาบบั่นคอเขาเสีย ปรากฏว่า กาเวน ขออาสารับคำท้า เขาได้บั่นคออัศวินมรกต แต่กลับเป็นที่ตกใจเพราะแม้คอจะขาด แต่อัศวินมรกตก็ไม่ได้เสียชีวิต พร้อมกับเอ่ยคำว่า อีก1ปีหลังจากนี้ ให้กาเวนเดินทางไปยังวิหารมรกต เพื่อเป็นฝ่ายถูกบั่นคอบ้าง และเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญ กาเวนจึงรักษาสัญญาต้องออกเดินทาง เผชิญกับทั้งโจร ภูติวิญญาณ และยักษ์ เพื่อมุ่งหน้าสู่วิหารมรกต โดยมีชีวิตของเขาเป็นเดิมพันแม้จะมีชื่อของ คิงอาเธอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง และหน้าหนังจะเป็นหนังอัศวิน แต่The Green Knightคือหนังอัศวินที่ไม่เหมือนใคร(และไม่ค่อยมีใครเหมือน)ด้วยแบรนด์ดิ้งปะหน้าอย่างA24จึงไม่แปลกใจเลยที่หนังจะมีความประณีตใตแง่ของงานสร้าง และแฝงไปด้วยแง่คิด รวมถึงการตีความในเส้นเรื่อง อารมณ์โดยรวมระหว่างดูThe Green Knightเป็นความรู้สึกที่หลากหลาย แน่นอนว่าหนังเต็มไปด้วยความงดงาม ทั้งงานวิชวลที่แสดงออกมา ภาพที่ปรากฏบนจอ แต่ในขณะเดียวกันกลับชวนหลอนด้วยบรรยากาศของหนังที่ใส่ความดาร์กเข้ามาในโลกแฟนตาซีที่กาเวนต้องเผชิญ ทำให้The Green Knightเป็นหนังที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างมาก(และไปในทางที่ดีมากๆด้วย)แน่นอนว่าด้วยชื่อของ เดวิด โลเวอรี่ และค่ายA24อาจจะทำให้ผู้ชมวงกว้างสะดุดว่าThe Green Knightจะเล่าเรื่องชวนเหวอคล้ายผลงานชิ้นก่อนๆของพวกเขาหรือไม่ แต่กลับพบว่าThe Green Knightร้อยเรียงการเล่าเรื่องราวได้อย่างงดงาม ไหลลื่น และไม่ได้ต้องพยายามปีนบันไดดูมากเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าหลายฉากอาจทำให้ผู้ชมต้องครุ่นคิดตามถึงความหมายที่ผู้สร้างพยายามจะสื่อ แต่ในแง่เส้นเรื่องหลัก ขอใช้คำง่ายๆว่า ดูรู้เรื่องอย่างแน่นอน และผู้สร้างได้แฝงMessageไว้ในหลายระดับด้วยกัน เริ่มจากระดับบนสุดที่ไม่ต้องตีความก็เข้าใจได้ว่าThe Green Knightพยายามจะสื่อถึงอะไร ด้วยการที่ตัวละครบอกเล่าประโยคเหล่านั้น ไปจนถึงระดับที่ต้องตีความ และเชิงสัญญะที่แฝงมาตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากและหลายตัวละคร ทำให้หนังสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทั้งกลุ่มที่ดูเอาเส้นเรื่องหลัก และต้องการดูเพื่อวิเคราะห์ก็มีอะไรให้คิดตามนอกจากการเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล สิ่งที่ขับเคลื่อนให้The Green Knightขึ้นแท่นหนังที่สมบูรณ์คืองานโปรดักชั่นเริ่มจากงานภาพ แต่ละซีนที่ปรากฏบนจอหนังสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า"งดงาม"ตลอดการผจญภัย เส้นทางของกาเวน เต็มไปด้วยฉากที่ทั้งสวย ชวนตื่นตา และวิชวลล้ำเลิศ แบบที่เราแทบจะไม่ได้เห็นในหนังแฟนตาซีหรือหนังอัศวินเรื่องไหนๆ เป็นงานศิลปะที่ควรค่าแต่การชมบนจอขนาดใหญ่อย่างแท้จริง หลายฉากที่สามารถพูดได้ว่าสวยจนแทบหยุดหายใจ รวมทั้งยังสื่ออารมณ์ของแต่ละฉากได้ดี ผสานกับดนตรีประกอบที่สื่ออารมณ์ได้อย่างพอเหมาะThe Green Knightคือหนังที่งานสร้างระดับมาสเตอร์พีซสมคำร่ำลืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งให้The Green Knightขึ้นแท่นหนังคุณภาพคือ ฝีมือการแสดงของเหล่านักแสดง แน่นอนว่าไฮไลต์หลักสุดคือ เดฟ พาเทล ที่เขาถ่ายทอดบทบาทกาเวนได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากเด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ รวบรวมความกล้าออกเดินทางเพื่อค้นหาเกียรติแห่งอัศวินในแบบของเขา เราจะค่อยๆเห็นถึงพัฒนาการของตัวละครนี้ ซึ่งเดฟถ่ายทอดออกมาได้ลงตัว เราเชื่ออย่างเต็มอกว่าเขาคือกาเวน ระหว่างดูไม่มีภาพอื่นของเดฟเข้ามาแทรกในหัวได้เลย และที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือ อลิเซีย วิกันเดอร์ ที่โชว์เหนือด้วยการรับบท2ตัวละคร เริ่มจากเอวเซล คนรักของกาเวนที่วัง และเดอะเลดี้ ตัวละครหญิงผู้สูงศักดิ์ที่ปรากฏตัวในช่วงครึ่งหลัง เป็นสองตัวละครที่รูปลักษณ์คล้ายกันแต่คาแร็คเตอร์กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง อลิเซียสร้างความแตกต่างให้ทั้งสองตัวได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่ขโมยซีนไปเต็มๆ คือ โจเอล เอดเจอร์ตัน ในบทท่านลอร์ด นักรบที่ปรากฏตัวช่วงหลัง แม้บทบาทของเขาจะไม่มากนัก แต่กลับเป็นตัวละครที่ทรงพลังและหนักแน่นอย่างไม่น่าเชื่อโดยรวมThe Green Knightคือหนังแฟนตาซีผจญภัยที่ไม่เหมือนใคร ด้วยความเป็นค่ายA24มันจึงไม่ได้เป็นหนังแอ็กชั่นสงครามบู๊ล้างผลาญ แต่มันคือหนังที่พาเราไปดูการเดินทางของกาเวน จากเด็กหนุ่มสู่อัศวินผู้กล้า ซึ่งสามารถตรึงเราได้อย่างดีเยี่ยมจากตั้งแต่จนจบ ด้วยการเล่าเรืิ่องที่ไหลลื่นดั่งบทกวี งานภาพที่ตระการตาดั่งงานศิลปะ การแสดงอันยอดเยี่ยมจากเหล่าทีมนักแสดง ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอเล่าเป็นผลงานในระดับขึ้นหิ้ง แม้หนังพยายามจะสอดแทรกความหมายไว้มากมาย แต่ก็ไม่ทิ้งคนดูกลุ่มทั่วไป ทำให้The Green Knightคือหนังคุณภาพเยี่ยม ที่ไม่ควรพลาดการชมในโรงภาพยนตร์ (ให้9.5คะแนนจากเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

17 ธ.ค. 2021

[REVIEW] The Matrix Resurrections ภาคต่อที่พาหนังเมทริกซ์ถอยหลังไปหลายก้าว | GOSSIP GUN

การกลับมาของThe Matrixน่าจะเป็นโปรเจกต์ที่หลายคนลุ้นผลลัพธ์มากที่สุด ย้อนกลับไปสมัยภาคแรกThe Matrixคือหนังระดับนวัตกรรมก็ว่าได้ มันสร้างมาตรฐานใหม่ๆให้กับหนังฮอลลีวูด ด้วยเส้นเรื่องที่มีชั้นเชิงและคมคาย ฉากแอ็กชั่นที่แปลกใหม่ จนกลายเป็นภาพจำที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังแอ็กชั่นไซไฟยุคต่อมา แม้ว่าภาคต่ออย่างThe Matrix ReloadedและThe Matrix Revolutionsจะไม่ได้เล่าเรื่องกลมกล่อมเท่าภาคแรก มีความยุ่งเหยิงในเส้นเรื่อง จังหวะแปลกๆในบางอารมณ์ แต่ต้องยอมรับว่า ฉากแอ็กชั่นก็ยังเป็นที่จดจำ สร้างมาตรฐานใหม่ๆเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น การตัดสินใจกลับมาทำThe Matrixภาคใหม่ในรอบ18ปี จึงเป็นเรื่องท้าทาย เพราะถ้ามันไม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ๆ มันจะเป็นการถอยหลังลงคลอง ซึ่งน่าเสียดายเอามากๆจากตัวอย่างจะเผยให้เห็น นีโอ(รับบทโดย คีอานู รีฟส์)ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา มีชีวิตปกติทั่วไป และได้เจอกับ ทรินิตี้(รับบทโดย แคร์รี่ แอนน์-มอส)แต่เขาทั้งสองคนจำกันไม่ได้ ก่อให้เกิดคำถามจากผู้ชมว่า เกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันเอง เพราะนีโอน่าจะตายไปแล้วในตอนจบของภาคก่อน ไม่นานก็เป็นการปรากฏตัวของ มอร์เฟียส(รับบทโดย ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3)ในวัยหนุ่ม พร้อมกับสมาชิกยานกลุ่มใหม่ ที่จะพานีโอเข้าสู่โลกของเดอะเมทริกซ์อีกครั้ง นั่นก่อให้เกิดคำถามมากมายว่า ภาคนี้มาพร้อมกับพล็อตอะไรกันแน่ และปริศนาที่ซ่อนอยู่คืออะไร ซึ่งคงต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์เมื่อภาพยนตร์เริ่มดำเนิน ตลอด1ชั่วโมงแรก นอกจากหน้าตาของ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส แล้ว เหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่The Matrixอยู่ มันมีความแปร่งไปค่อนข้างมาก ทั้งอารมณ์ระหว่างดู สไตล์ในการเล่าเรื่อง สิ่งที่ยังทิ้งไว้คล้ายThe Matrixคือการเล่าเรื่องแบบเอื่อยๆและยืดยาวเกินจำเป็น แบบที่ภาค2-3ทำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก กว่าที่หนังจะได้อารมณ์แบบThe Matrixจริงๆก็ปาเข้าไปชั่วโมงที่2แล้ว ที่ค่อยให้อารมณ์ที่คุ้นเคย จังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่ว่าหนังจะต้องเหมือนกับไตรภาคแรกก็ได้ แต่เมื่อพยายามจะไปทิศทางใหม่ แต่มันไม่ได้ดีกว่า อย่างน้อยพยายามยึดโยงกับอารมณ์แบบเดิมก็ยังดี องค์แรกของภาคนี้ ดูยุ่งเหยิงและหลงทาง กว่าจะเริ่มเข้าที่ก็เข้าสู่องค์ถัดมานอกจากการเล่าเรื่องที่แปร่งและมีจังหวะประหลาดๆหลายรอบ สิ่งที่ขาดหายไปอย่างชัดเจนในการกลับมาของThe Matrixในครั้งนี้คือฉากแอ็กชั่นระดับนวัตกรรม หรือเป็นที่จดจำระดับIconicถ้าย้อนกลับไปภาคแรก เราล้วนตื่นตากับฉากหลบกระสุน ฉากนีโอกระโจนเข้ามาสมิธ ฉากบู๊ห้องโถงชั้นล่าง หรือแม้แต่ฉากประลองฝีมือของ นีโอกับมอร์เฟียส แต่ละฉากคือเป็นที่จดจำ สดใหม่ และตรึงอารมณ์ ในขณะที่ภาคสองยังมี ฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ที่พีกมาก และภาคสามก็มีฉากปะทะกลางสายฝน แต่พอตัดภาพมาที่ภาคนี้ แทบจะไม่เจอฉากอย่างว่า ทุกซีนบู๊ในThe Matrix Resurrectionsพร้อมจะเลือนหายไปจากหัวเมื่อหนังจบ ไม่มีอะไรติดออกมาเลยอย่างน่าเสียดายอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่รู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบคือ สไตล์ที่หายไปอย่างชัดเจน ภาคแรกเราจะเห็นโทนสีฟ้าดำที่พยายามคุมธีม ไม่ว่าจะแคปภาพฉากไหนมา เราก็จะรู้ทันทีว่าคือThe Matrixในขณะที่ภาค2-3จะเล่นกับสีเขียวเยอะขึ้น ก็ยังจำได้ว่ามาจากภาคไหน แต่สำหรับภาคล่าสุด เหมือนหนังทั่วไปอย่างน่าตกใจ บางทีแคปมานึกว่าJohn Wickด้วยซ้ำ กลายเป็นงานโปรดักชันที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทุกภาค กลับถอยหลังลงไปอย่างน่าตกใจ ยิ่งเสริมอย่างชัดเจนว่า เสน่ห์ของThe Matrixมันขาดหายและเบาบางไปหมด ไม่ว่าจะในมิติใด ทั้งเนื้อเรื่อง โปรดักชั่น รวมถึงฉากแอ็กชั่นเองสิ่งที่แบกหนังไว้ทั้งหมด กลับเป็นทีมนักแสดง แน่นอนว่าคือ คีอานู รีฟส์ และแคร์รี่ แอนน์-มอส ที่ยังคงตรึงผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยมทุกฉาก เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองคือนีโอและทรินิตี้ เราเชื่ออย่างสุดใจว่าทั้งสองรักกันจริง จนนี่อาจจะเป็นThe Matrixภาคที่โรแมนติกสุดแล้วก็ว่าได้ ในขณะที่สมาชิกใหม่ก็มีเสน่ห์มากน้อยต่างกันไป ยาย่า อับดุล มาทีน ที่3ค่อนข้างก้ำกึ่งในบทมอร์เฟียส ที่ดูน่าเกรงขามน้อยกว่าต้นฉบับ ในขณะที่ นีล แพทริก แฮร์ริส ดูผิดที่ผิดทางไปนิด(หรือผู้เขียนอาจจะติดภาพเขาจากบท บาร์นี่ ในHow I Met Your Motherมาเกินไปจนเขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก)มีเพียง โจนาธาน กรอฟฟ์ จากซีรีส์Mindhunterในบทสมิธเวอร์ชั่นใหม่ ที่น่าเกรงขาม และทัดเทียมกับ คีอานู รีฟส์ ได้อย่างดีเวลาเข้าฉากด้วยกันโดยรวมThe Matrix Resurrectionsคือความน่าเสียดาย ไม่แน่ใจว่าไอเดียของโปรเจกต์นี้เริ่มต้นจาก วอร์เนอร์ หรือผู้กำกับ ลาน่า วาชอว์สกี้กันแน่ แต่ภาพรวมถือว่า ลดเกรดลงจากไตรภาคต้นฉบับอย่างชัดเจนไม่ว่าจะแง่มุมไหน แม้แต่อารมณ์ขันที่พยายามใส่เข้ามาก็ดูขัดไปเสียหมด ไม่ได้กลืนไปกับอารมณ์หนังอย่างที่ควรจะเป็น เสียชื่อของThe Matrixหนังที่เคยเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญของฮอลลีวูด นี่กลับกลายเป็นก้าวถอยหลังที่ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำ(ให้5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1