เรื่องเล่าจาก 'ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม' "เด็กที่ชวนไปเล่นซ่อนแอบ" I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก 'ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม' "เด็กที่ชวนไปเล่นซ่อนแอบ" I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

13 พ.ย. 2024

       เรื่องหลอนจากแดนอาทิตย์อุทัยกลับมาพร้อมกับ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ‘เด็กชวนไปเล่นซอนแอบ’ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ฟัง จัดหนักจัดเต็มหลอนสุดกำลังจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกซู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปอ่านกันเลย!

       ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แต่ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมากกว่าจึงไม่คุ้นเคยกับระบบการจัดงานศพในไทยสักเท่าไหร่ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้น หากมีคนเสียชีวิต ก็จะมีบริษัทหรืออาชีพที่คอยให้คำปรึกษาและช่วยวางแผนงานศพให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เช่น ควรใช้ขนาดรูปถ่ายเท่าไหร่ ต้องการจักงานศพแบบศาสนาใด เรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ

       ส่วนเรื่องหลอนที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องของ ‘เรียวตะ’ (นามสมมติ) เขาทำอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานศพในตำแหน่งผู้ช่วย แต่ยังอ่อนประสบการณ์ หัวหน้าจึงพาเรียวตะไปทำงานด้วยที่บ้านลูกค้าหลังหนึ่ง

       บ้านลูกค้าหลังนี้ เป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณ พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีสวนหิน ตกแต่งด้วยต้นบอนไซตามสไตล์ญี่ปุ่น เรียวตะมองดูและคิดในใจว่า ‘เจ้าของบ้านหลังนี้ต้องรวยมากแน่ ๆ’ ไม่นานก็ได้พบเจ้าของบ้าน ขอเรียกแทนว่า ‘คุณป้า’ เมื่อทักทายกันเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าก็ขอไปไหว้ผู้เสียชีวิตเป็นอันดับแรกตามธรรมเนียม คุณป้าไม่ได้ว่าอะไร และกล่าวเชื้อเชิญไปตามทางเดิน

       เมื่อถึงที่เคารพศพผู้เสียชีวิต ก็พบว่าคุณป้าได้จัดเตรียมหิ้งและรูปไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ยังไม่ได้จัดการกับศพที่จะเป็นแท่นตั้งเอาไว้ เรียวตะเดินเข้าไปปักธูปเพื่อเคารพศพ จากนั้นหัวหน้าก็บอกว่า

       “ดูแลพวกน้ำ พวกของต่าง ๆ ที่ใช้เตรียมไหว้ตรงนี้นะ ส่วนผมจะไปคุยรายละเอียดกับคุณป้าก่อน”

       เรียวตะคิดทึกทักเอาเองว่า ศพตรงหน้านี้น่าจะเป็นคุณลุงที่อาจจะเป็นสามีของคุณป้า หลังจากคุณลุงเสียชีวิต คุณป้าจึงเข้ามาดูแลบ้านหลังนี้แทน

       หลังจากที่หัวหน้าบอก เรียวตะก็จัดเตรียมเปลี่ยนน้ำ และหยิบผลไม้มาวางจัดให้ผู้เสียชีวิตจนเสร็จ เมื่อลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อที่จะไปตามหาหัวหน้าที่กำลังคุยกับคุณป้าอยู่นั้น พอเดินออกจากห้อง เรียวตะก็มองซ้ายมองขวา อยู่ ๆ ก็เอะใจขึ้นมาว่า ‘บ้านหลังใหญ่จัง ห้องไหนนะ อ่า..หลงทางเสียแล้ว’ เรียวตะพยายามเดินตามหาเสียงพูดคุยตามห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียง กุกกักๆๆ  ในห้องหนึ่ง เรียวตะคิดว่าอาจจะเป็นห้องนี้ จึงเลื่อนเปิดประตูปรากฏว่า เป็นห้องสี่เหลี่ยมมีของเล่นเด็กวางไว้อยู่ทั่วห้อง เป็นของเล่นเด็กที่เก่ามาก มีฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด สภาพห้องเหมือนกับไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ส่วนเสียงที่ดัง กุกกักๆๆ ก็มาจากตู้ในห้องนี้ เรียวตะคิดว่าตนเข้าห้องผิด พอหันหลังกลับไป ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายพูดขึ้นมาว่า

       “คุณเป็นใครครับ”

       เรียวตะหันหลังกลับทันทีที่ได้ยิน ก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุราวประมาณ 3 ขวบ ยืนอยู่กลางห้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็นใครสักคน!

       เรียวตะ : ขอโทษทีนะหนู พี่มาคุยธุระเรื่องจัดการเรื่องงานศพ หนูพาพี่ไปหรือพอจะบอกทางพี่ไปห้องรับรองได้ไหม

       เด็กชาย : เรื่องงานศพอะไร มีคนเสียชีวิตเหรอครับ ผมไม่รู้เรื่องผู้ใหญ่ ถ้าพี่ว่าง พี่มาเล่นกับผมได้ไหม เล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยผมเหงา

       เรียวตะ : พี่ก็อยากเล่นด้วยนะ หนูเล่นอะไร

       เด็กชาย : เล่นซ่อนแอบครับพี่ มาเล่นกับผมไหม

       เรียวตะ : ตอนนี้ยังไม่ได้ เดี๋ยวพี่ต้องไปประชุมต่อ หัวหน้าจะบ่น งั้นถ้าบอกพี่ว่าห้องอยู่ตรงไหน เดี๋ยวเสร็จธุระ พี่จะมาเล่นด้วยนะ

       เด็กชาย : โอเคได้ งั้นสัญญามาเล่นกับผมนะ

       จากนั้นเรียวตะก็เดินไปตามทางที่เด็กผู้ชายคนนั้นบอก จนไปเจอหัวหน้าและได้นั่งคุยธุระวางแผนกันจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก ทั้งคู่เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะกลับ คุณป้าก็พูดคุยด้วยความยิ้มแย้มว่า

       “ขอบคุณมากนะคะ ที่มาดูแลจัดการให้”

       เรียวตะตอบกลับไปว่า “ครับ ขอบคุณมากนะครับ อีกเรื่องนึงน่ะครับ ผมฝากบอกขอบคุณเด็กผู้ชายคนหนึ่งด้วยครับ คือผมเดินหลงทางในบ้าน มีน้องผู้ชายพามาที่ห้องนี้”

       หลังจากนั้น คุณป้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่กลับหุบยิ้มแล้วพูดเสียงแข็งว่า

       “เด็กผู้ชายหรอ?! บ้านนี้ไม่มีเด็ก เธอพูดอะไรเลอะเทอะ กลับบ้านไปได้แล้ว!”

       เมื่อหัวหน้าเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของคุณป้าจึงพูดไปว่า

       “เด็กใหม่ครับ มันพูดไปเรื่อย ผมขอโทษด้วยนะครับ” แล้วทั้งคู่ก็รีบออกจากบ้านไปทันที

       เช้าวันต่อมา เรียวตะและหัวหน้าต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก หัวหน้าจึงบอกให้เขาขอโทษคุณป้าอีกครั้ง พอถึงบ้านคุณป้า เรียวตะก็รีบไปขอโทษคุณป้าอย่างจริงใจ แต่คุณป้ากลับตอบกลับมาว่า

       “ไม่เป็นไรหรอก มันก็อาจจะมีจริงก็ได้นะ เด็กที่เธอพูดถึง แต่แค่ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง ช่างมันเถอะ เชิญขึ้นบ้าน”

       พอเข้าไปในบ้านก็คุยธุระกันไป จนกระทั่งถึงเรื่องสำคัญ หัวหน้าบอกให้เรียวตะออกไปรอข้างนอกก่อน เนื่องจากเขายังอยู่ในช่วงฝึกงาน เรียวตะจึงเดินออกไปนอกห้องแล้วก็คิดในใจถามกลับตัวเองว่า ‘เมื่อวานที่เจอเด็กผู้ชายคนนั้นมันชัดมาก เด็กมีตัวจริงใช่ไหม’ เรียวตะเดินเพลินแล้วก็หยุดนั่งบริเวณสวนในบ้าน ในหัวยังคงเหม่อคิดถึงเรื่องเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ จากนั้นก็มีเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาว่า “พี่มาทำอะไรเนี่ย”

       เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเด็กผู้ชายคนนั้นจากข้างหลัง เรียวตะเคลิ้มเผลอพูดตอบกลับไปว่า

       เรียวตะ : พี่เหรอ อืม.. พี่ก็มา.. เอ้า! แล้วหนูอยู่ไหน?!

       เด็กชาย : อ๋อ พี่หาผมไม่เจอหรอก ผมเล่นซ่อนแอบอยู่ พี่.. วันนี้พี่จะมาหาใช่ไหม พี่จะมาเล่นกับผมใช่ไหม?

       เรียวตะ : อืม แต่พี่จะหาหนูเจอได้ไง แล้วงานก็ต้องทำ อีกอย่างนะ คุณป้าบอกว่าที่นี่ไม่มีเด็ก..

       เรียวตะนึกถึงอาการของคุณป้าที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง แต่เขาก็อยากรู้อยากเห็นจึงถามไปว่า

       เรียวตะ : แล้วตอนนี้หนูแอบอยู่ไหนเหรอ?

       เด็กชาย : ไม่ได้ ถ้าผมบอกพี่ มันก็ไม่ได้เป็นการเล่นสิ แต่ผมก็ต้องเล่นซ่อนแอบอยู่อย่างงี้ตลอด เพราะว่าคุณป้าบอกว่าให้ผมเล่นซ่อนแอบ แล้วก็เป็นซ่อนแอบที่ไม่มียักษ์

       (การเล่นซ่อนแอบที่ไม่มียักษ์ เป็นการเล่นซ่อนแอบที่ให้เด็กแอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วขังเด็กไว้ ยักษ์ที่หมายถึงคือคนหา เท่ากับว่าคุณป้าบอกให้เด็กคนนั้นแอบแต่คุณป้าไม่มาหา เรียวตะจึงตีความได้ว่าคุณป้าน่าจะขังเด็กคนหนึ่งเอาไว้ในบ้านหลังนี้)

       เด็กชาย : ผมไปไหนไม่ได้เพราะว่ายังไม่มีใครหาผมเจอ ยังไม่มียักษ์มาหา

       เรียวตะ : งั้นเดี๋ยวพี่เป็นยักษ์ให้ บอกมาว่าหนูอยู่ไหน?

       เด็กชาย : หนูอยู่ข้างหลังพี่!!!

       พอเรียวตะหันหลังกลับไปก็พบว่าข้างหลังเป็นแค่ห้องโล่งห้องหนึ่ง จากนั้นเขาคิดว่าบ้านหลังนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองได้ยินเสียงเด็กผู้ชายเต็มสองหู

       และแล้วก็มาถึงวันจัดงานศพ หน้าที่ของเรียวตะคือดูแลแขกที่มาร่วมงาน เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยและแขกกลับจนหมด เรียวตะจึงไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำรวม เพราะสถานที่จัดงานไม่ได้แบ่งโซนชายหญิง ขณะที่กำลังล้างมืออยู่นั้น เรียวตะก็หวนนึกถึงคำพูดของตนที่บอกเด็กผู้ชายว่า ตนจะเป็นยักษ์ให้ เมื่อไหร่จะได้หา แล้วจะได้กลับไปบ้านหลังนั้นอีกหรือเปล่าตนก็ไม่แน่ใจ หรือ เด็กคนนั้นจะเป็นผี ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วตนจะทำอย่างไรดี

       เมื่อล้างมือจนสะอาดเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นมา เรียวตะเห็นว่า ตรงกระจกมีเด็กผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ แต่ไม่มีลูกตา ปากขยับเหมือนกำลังตะโกนบอกบางอย่างอยู่! ตอนแรกเขาก็ตกใจแต่ไม่ได้กลัว แค่รู้สึกเหมือนเด็กกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่าง พอตั้งใจดูปาก ก็พอจะอ่านปากได้ว่า “พี่ ข้างหลัง หลังไงพี่ ข้างหลัง ๆๆ”

       หลังจากนั้น เรียวตะก็เห็นคุณป้ายืนอยู่ข้างหลัง กำลังเอาเชือกรัดคอตัวเขาอยู่! และคุณป้ายังพูดอีกว่า

       มึงรู้เรื่องกูเยอะเกินไปแล้ว”

       เรียวตะพยายามสู้ เสียงโวยวายของเขาดังมาก จนมีคนเข้ามาแล้วพูดว่า

       “คุณทำอะไรเนี่ย ใจเย็น ๆ คุณพยายามจะฆ่าพนักงานเรานะ”

       เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรียวตะมั่นใจว่ามีเรื่องราวบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อเขานำเรื่องทั้งหมดมาปะติดปะต่อกันก็คิดได้ว่า เป็นไปได้ที่คุณป้าจะต้องทำร้ายเด็กคนนั้นแน่นอน

       สุดท้ายก็ได้มีการแจ้งตำรวจ และทำการไกล่เกลี่ยกัน คุณป้าและเรียวตะถูกสั่งห้ามเจอกัน ทำให้เรียวตะไม่มีโอกาสกลับไปบ้านหลังนั้นเพื่อตามหาเด็กผู้ชายคนนั้นอีก เขาจึงตัดสินใจพยายามบอกเรื่องนี้กับทางตำรวจ แต่ตำรวจก็ไม่เชื่อ

       หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมา 5 ปี โชคชะตาก็พาเรียวตะกลับมาไปบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เหตุผลคือ เรียวตะได้กลับมาจัดงานศพของคุณป้าคนนั้น เรียวตะได้จัดงานศพตามความประสงค์ของคุณป้าที่เขียนไว้ก่อนตาย คุณป้าไม่มีลูกหลาน เรียวตะจึงต้องจัดแจงมรดกและดูรายละเอียดในใบนั้นให้ดี เขาเห็นว่ามีรายชื่อที่ถูกลบไป แต่หากเพ่งดูให้ชัดก็จะเห็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ทากิลุคุง’ เรียวตะอนุมานในใจว่า ‘หรือนี่คือชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้น?’

       แต่เนื่องจากชื่อนั้นถูกลบออกไปแล้ว ทำให้ไม่มีใครได้รับมรดก มรดกนี้จึงตกไปอยู่ที่ธนาคาร ในวันนั้นเอง เรียวตะตัดสินใจเดินไปรอบบ้าน เพื่อตามหาความจริง จนกระทั่งไปถึงตู้ในห้องที่เคยเจอเด็กคนนั้นครั้งแรก เรียวตะพยายามงัดเปิดตู้จนเจอเข้าอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ พองัดอีกทีก็เห็นศพของทากิลุคุงที่ถูกหมกอยู่ตรงนั้น! สภาพน้องเหมือนผ่านมานานหลายปี หลังจากนั้น เรียวตะก็แจ้งตำรวจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตำรวจก็ไม่สามารถสืบสวนอะไรได้ เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ว่าใครคือฆาตกรที่ฆ่าหมกศพเด็กน้อย ‘ทากิลุคุง’ และคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดอย่างคุณป้าที่เป็นเจ้าของบ้านก็เสียชีวิตไปแล้ว..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

14 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ครูเอก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังมาจาก ‘พี่เอก’ ซึ่งเรื่องนี้ย้อนกลับไปประมาณ 20 - 30 ปีก่อน เป็นช่วงที่พี่เอกกำลังบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พี่เอกนั้นจะมีรถส่วนตัวคันเก่า จึงใช้รถคันนั้นขับไปรายงานตัวที่โรงเรียน โดยเดินทางออกจากจังหวัดกาญจนบุรี สมัยนั้นยังไม่มี GPS จึงเกิดการหลง ทำให้เสียเวลาพอสมควร พี่เอกถามคนข้างทางไปเรื่อย แต่ละคนต่างบอกไม่เหมือนกันสักคน ทำให้ถึงโรงเรียนประมาณ 6 โมงเย็น เมื่อขับไปถึง ลักษณะประตูโรงเรียนจะเป็นประตูเลื่อนบานเดียว พี่เอกก็สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงเงียบผิดปกติ จึงไปยืนดูหน้าประตู และเห็นว่าประตูสามารถเลื่อนได้ พี่เอกจึงเลื่อนประตูแล้วขับรถเข้าไป เมื่อขับเข้าไป ก็เห็นสนามบอลอยู่ตรงกลางของโรงเรียน พี่เอกขับเข้าไปอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอล และหลังสนามฟุตบอลจะมีอาคารไม้สูงสองชั้น มีบันไดอยู่ 3 ขั้นเพื่อขึ้นชั้น 1 และมีทางเข้าออกซ้ายขวา ซึ่งพี่เอกไปจอดอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอลที่มีโรงอาหารเก่า ๆ อยู่ด้านข้าง เมื่อจอดรถเสร็จ พี่เอกก็รู้สึกสงสัย เพราะปกติแล้วโรงเรียนประถมควรจะคึกครื้นกว่านี้ แต่โรงเรียนนี้กลับเงียบผิดปกติ พี่เอกมองหาคนเพื่อสอบถาม แต่มองไปมองมาก็เห็นอาคารเล็ก ๆ เหมือนบ้านชั้นเดียวที่อยู่ข้างตึกเรียน จู่ ๆ บ้านหลังนั้นก็เปิดประตูมา แล้วก็มีคนเดินอกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมลากของออกมาหน้าบ้าน พี่เอกจึงเดินผ่านตึกเรียนไปที่บ้านหลังนั้น ก็เห็นว่าเป็นคุณลุงใส่เสื้อเก่า ๆ พี่เอกจึงตะโกนเรียกคุณลุง คุณลุงหยุดการกระทำแล้วหันมามองพี่เอก แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร” พี่เอกจึงตอบว่า “ผมเป็นครูใหม่ที่จะมารายงานตัวครับ” คุณลุงถามว่า “ทำไมมาเวลานี้ ผอ.ก็รอจนกลับไปแล้ว” พี่เอกรีบอธิบายว่าตนหลงทาง คุณลุงจึงให้กุญแจบ้านพักครูที่อยู่บริเวณหลังที่พี่เอกจอดรถ และให้ไปห้องที่ไม่ได้ล็อกกุญแจ เมื่อพี่เอกไปถึง ก็เห็นว่าทั้ง 2 ห้องดันล็อคกุญแจอยู่ พี่เอกจึงลองไขดูถึงได้รู้ว่าเป็นห้องไหน จากนั้นก็เอาของเข้าไปเก็บ เมื่อเก็บของเสร็จ พี่เอกก็คิดจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาของกิน ในตอนที่ออกจากห้องก็ยังเห็นคุณลุงขนของอยู่ พี่เอกจึงทักทายทำความรู้จักกับคุณลุง ได้ความมาว่าคุณลุงชื่อ ‘สังเวียน’ และคุณลุงยังบอกให้พี่เอกรีบไปรีบกลับอย่ากลับดึกมาก หลังจากทักทายกันเสร็จ พี่เอกก็ขอตัวออกไปหาอะไรกินในหมู่บ้านตามแผน คนในละแวกนั้นไม่เคยเห็นหน้าจึงถามว่าเป็นใคร พี่เอกก็บอกว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียน เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนพี่เอกก็แปลกใจว่า ‘ทำไมไม่มีไฟสักดวง’ แต่ก็กลับไปที่ห้องพักแล้วกินข้าวที่ซื้อมา จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอน แต่พี่เอกรู้สึกไม่คุ้นที่จึงออกมาเดินเล่น ในขณะที่เดินเล่นก็มีเสียง โครม! ดังมาจากอีกฝั่งของสนามบอล ก็คือหน้าห้องของลุงสังเวียน และก็เห็นว่าลุงสังเวียนเปิดประตูออกมาพร้อมถือไม้กวาดกับถังใส่ของ เมื่อเห็นว่าลุงสังเวียนไม่ได้เป็นอะไร พี่เอกก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ และมองไปที่อาคารไม้พร้อมกับชื่นชมตัวอาคารเพราะมันสวยดี แต่เมื่อแหงนมองไปชั้น 2 ก็แปลกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเห็นนักเรียนยืนเอามือท้าวขอบระเบียงอยู่บนระเบียง พี่เอกจึงตะโกนถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นหันมามองพี่เอกแล้วยิ้มให้แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วก็วิ่งหายไปในความมืด พี่เอกจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่อเอาไฟฉายแล้ววิ่งตามไป แต่จังหวะที่กำลังขึ้นไปไฟฉายดันดับ สักพักได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ พี่เอกก็หันไปดูพร้อมหันไปฉายไปและไปฉายก็ติดพอดี เห็นหัวเด็กอยู่ตรงพื้นบันไดชั้น 2 ลักษณะเหมือนนอนละเอาหัวโผล่มา แล้วเด็กคนนั้นก็ลุกแล้วก็วิ่งย้อนไปอีกฝั่งนึง! พี่เอกก็วิ่งตามไปแต่ก็หาไม่เจอ จนไปถึงห้องสุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีอะไร ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเท้าพี่เอกจึงหันกลับไปดูแต่ก็ไม่มีอะไร พี่เอกเริ่มกลัวแล้วก็ตัดสินใจกลับห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง พี่เอกเลยหันไปดู สิ่งที่เห็นคือเด็กวิ่งเข้ามาใส่ พี่เอกตกในจนเสียหลัก พอตั้งหลักได้เด็กคนนั้นกลับไปยืนอยู่กลางอาคาร พี่เอกจึงถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องเรียน พี่เอกก็ตามเด็กไปอีก พี่เอกเปิดประตูเข้าไปเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง พี่เอกก็เรียกให้เด็กคนนั้นมาคุย แต่สิ่งที่เห็นคือเด็กกระโดดลงหน้าต่างไป! พี่เอกรีบวิ่งไปดูแต่ก็ว่างเปล่า จากนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าตนโดนผีหลอกจึงตัดสินใจวิ่งลงบันไดจะกลับห้อง ก็ได้ยินเสียง โครม! อีกครั้ง ดังมาจากบ้านลุงสังเวียน แล้วก็เห็นประตูบ้านของลุงสังเวียนเปิด จากนั้นพี่เอกก็เห็นว่ามีมือและหน้าเด็กโผล่ออกมา ซึ่งก็คือเด็กคนนั้นแล้วชี้เข้าไปในบ้าน พี่เอกจึงเดินไปหา แต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินบนอาคารเมื่อหันไปก็ไม่มีใคร พอถึงหน้าบ้านลุงสังเวียน พอเข้าไปบรรยากาศในบ้านมีของวางเต็มไปหมด และมีห้องที่ปิดประตูอยู่ พี่เอกจึงตะโกนถามว่า “ลุงอยู่ไหม เป็นอะไรรึเปล่า” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พี่เอกจึงเดินไปที่ห้องนั้น และเปิดประตูเข้าไปจนเตะเข้ากับขวดเหล้าขาวเต็มไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลุงสังเวียนแขวนคอตายลิ้นจุกปาก พอตั้งสติได้ก็วิ่งออกจากห้องลุงสังเวียน แล้วก็เอากุญแจรถที่ห้อง เมื่อจะขึ้นรถ จู่ ๆ ก็มีรถหลายคันขับเข้ามา แล้วถามพี่เอกว่าเป็นใคร ตนก็รีบอธิบายว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียนนี้ ซึ่งคนที่ถามคือครูเวรที่ไปตามตำรวจมา แล้วตำรวจก็พาเดินไปหน้าห้องลุงสังเวียน เพื่อชันสูตร แต่พี่เอกก็ต้องขนลุกเมื่อมองไปที่รูปภาพข้างเตียงของลุงสังเวียนเป็นเด็กคนนั้นที่มีคำว่าชาตะมรณะ ที่ตายยังไม่ถึง 1 อาทิตย์! และได้ความจากครูเวรว่าลุงสังเวียนเป็นปู่ของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้พ่อแม่ทิ้ง ลุงสังเวียนจึงเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ซึ่งสาเหตุการตายของเด็กคนนี้คือเล่นกับเพื่อนแล้วผลัดตกหน้าต่างไปแปลงผักที่มีไม้ไผ่เสียบอยู่ ซึ่งเด็กคนนี้ตกลงไปแล้วคอเสียบไม่ไผ่ตายคาที่ และวันนี้ครูเวรก็สงสัยว่าทำไมไม่เห็นลุงสังเวียน ก็ได้พบว่าลุงสังเวียนฆ่าตัวตาย เมื่อครูเอกได้รู้เรื่องราวก็เลือกที่จะไปเช่าบ้านอยู่นอกโรงเรียนแทน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บิดรถเสียงดังไม่เกรงใจใคร จนชาวบ้านเอือมสาปแช่งให้ตายอยู่ทุกวัน ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตายเพราะบิดรถแรงเกินไปสมใจชาวบ้าน แต่หลังจากนั้น เสียงแว๊นรถก็ไม่เคยหายไปจากหมู่บ้านอีกเลย!

29 ก.ย. 2023

บิดรถเสียงดังไม่เกรงใจใคร จนชาวบ้านเอือมสาปแช่งให้ตายอยู่ทุกวัน ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตายเพราะบิดรถแรงเกินไปสมใจชาวบ้าน แต่หลังจากนั้น เสียงแว๊นรถก็ไม่เคยหายไปจากหมู่บ้านอีกเลย!

‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ กลับมาเปิดไมค์เล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 กันยายน 2566) พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ พร้อมเรื่องหลอนเอาใจนักบิดของชายคนหนึ่งที่มีใจรักความผาดโผน ขนาดที่ว่าตายไปแล้วก็ยังบิดรถแบบไม่เกรงใจใคร! ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 - 30 ปีที่แล้ว วัยรุ่นคึกคะนองสมัยนั้นจะต้องมี ‘รถจักรยานยนต์’ หรือภาษาบ้าน ๆ อย่าง ‘มอเตอร์ไซค์’ เป็นเครื่องสองจังหวะปรับแต่งให้ท่อดังระดับแสบแก้วหู ถือเป็นของคู่กายคู่ใจในชีวิตเพื่อประดับบารมีของพวกเขา ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง มีนักบิดประจำหมู่บ้านอยู่หนึ่งคน ที่เรียกได้ว่าทุกคนยกให้ชายคนนี้เป็นนักบิดตัวยงที่สร้างความเอือมระอาเป็นอย่างมากให้กับชาวบ้าน ขนาดที่ว่าเพียงแค่เสียงบิดมอเตอร์ไซค์ดังมาไกล ๆ ชาวบ้านทุกคนต้องเอามือปิดหูไปตาม ๆ กัน นักบิดคนนี้ไม่ได้มีความเกรงใจหรือเกรงกลัวใครทั้งนั้น ยิ่งถ้าขี่รถผ่านตัวหมู่บ้าน จะยิ่งเร่งเครื่องให้เสียงดังมากขึ้นไปอีก เพื่อแสดงตัวว่า ‘ข้ามาแล้ว’ พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านทุกคนพากันเกลียดชายคนนี้มาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้ชาวบ้านทุกคนก็ยังคงต้องทนฟังเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ของเขาอยู่ทุกวัน บางคนถึงขั้นสาปแช่ง และตะโกนด่าตามหลังกันเลยทีเดียว วันหนึ่ง ชายคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจมาพร้อมกับเสียง แง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน เช่นเคย และยังยกระดับความเป็นนักบิดตัวยงขึ้นไปอีก ด้วยท่านอนขี่มอเตอร์ไซค์แบบซูเปอร์แมน เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามทางตรงของหมู่บ้านด้วยความพิเรนทร์สนุกสนาน จังหวะนั้น มีชาวบ้านคนหนึ่งกำลังจะถอยรถกระบะออกจากหน้าบ้าน ปรากฏว่าด้วยความคึกคะนอง การที่เขาเอาตัวนอนบนเบาะทำให้ไม่สามารถใช้เบรคเท้าได้ ถึงแม้จะใช้เบรคมืออย่างไรรถก็เสียหลักคว่ำอยู่ดี และแล้ววันที่ชาวบ้านทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อคำสาปแช่งทุกคำกลายเป็นจริง ในเหตุการณ์นั้นจังหวะที่รถกระบะถอยออกมา มอเตอร์ไซค์คู่ใจและตัวนักบิดก็พุ่งชนเข้ากับรถกระบะดัง ตู้ม!!! สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ทำให้นักบิดคอหักพับย้อนไปด้านหลัง ปากฉีกเนื้อเปิดไปถึงตา แต่ภาพที่ชาวบ้านทุกคนเห็นคือ ร่างของนักบิดยังดิ้นด้วยความทุรนทุรายอยู่กับพื้น บรรยากาศในตอนนั้นไม่มีใครตกใจ แต่ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ด่าทอ ซ้ำเติมร่างที่กำลังดิ้นอยู่กับพื้น วันต่อมาบรรยากาศในหมู่บ้านก็เปลี่ยนไป ผู้คนในหมู่บ้านต่างมีความสุข เด็กเล็กเด็กน้อยออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ชาวบ้านรวมตัวนั่งสังสรรค์อย่างกับเป็นการเฉลิมฉลองการตายของชายนักบิดคนนี้ก็ว่าได้ แต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน หลังจากเหตุการณ์นั้นจบลงไปได้ 3 – 4 วัน คืนวันหนึ่ง เสียงมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคยก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงบิดรถดังขึ้นมาแต่ไกล แง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน! บิดผ่านหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นชาวบ้านทุกคนเห็นตรงกันว่า ‘ใช่ นี่คือเสียงของนักบิดตัวยงที่เพิ่งตายไป’ ทำให้ชาวบ้านทุกคนเกิดความสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็พังไปต่อหน้าต่อตา ส่วนคนก็ตายแน่นอน รุ่งเช้า ชาวบ้านจึงนัดรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือถึงเสียงปริศนาที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และทุกคนก็ได้ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์คันนั้นจริง ๆ แต่ก็มีชาวบ้านคนนึงพูดขึ้นมาว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องของผีสางอะไร แต่เป็นเสียงของเพื่อนนักบิดตัวยงคนที่ตายไปมากกว่า ที่พยายามเอามอเตอร์ไซค์ไปแต่งเลียนแบบเสียงท่อเพื่อที่จะมาก่อกวน และมาหลอกคนในหมู่บ้าน’ ในวันนั้นชาวบ้านก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ และหลังจากนั้นทุกคนก็ยังคงทนฟังเสียงนี้ในทุกคืน จนกระทั่งมีเรื่องเล่าจากครอบครัวหนึ่ง ตอนนั้นพวกเขาไปทำงานในเมือง พอตกดึกก็ขับรถกลับเข้ามาในหมู่บ้าน โดยครอบครัวนี้ไม่เคยทราบถึงเรื่องราวของนักบิดคนนี้มาก่อน จังหวะที่กำลังขับเข้ามาในหมู่บ้าน ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่มาจี้บริเวรณท้ายรถของครอบครัวนี้ คนขับก็เริ่มสงสัยว่าทำไมต้องขับตามจี้ท้าย จึงค่อย ๆ ชะลอความเร็วให้ลดลง จนมอเตอร์ไซค์คันนั้นเริ่มบิดเร่งความเร็วขึ้นเสียงดังแง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน! แซงขึ้นประชิดรถของครอบครัวนี้และปาดเข้าบริเวณด้านหน้ารถ ด้วยความตกใจคนขับรีบหักหลบทันที แต่ภรรยาก็ส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “ขับรถอะไรเนี่ยอยู่ ๆ มาหักหลบอะไร ข้างหน้าไม่เห็นจะมีอะไรเลย” คนขับก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ก็เนี่ยมันมีมอเตอร์ไซค์มาปาดหน้าไง เนี่ย” ภรรยาก็ยังคงย้ำคำเดิมว่า “มอเตอร์ไซค์อะไร มันไม่เห็นจะมีสักคันเลย” ครอบครัวนี้ก็มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนในหมู่บ้านฟัง ชาวบ้านแถวนั้นเห็นตรงกันอีกครั้งว่า “ใช่แน่ ๆ เป็นผีนักบิดตัวยงแน่ ๆ” และยังทำให้บรรยากาศในหมู่บ้านกลับมาอึมครึมอีกครั้ง พอฟ้ามืดทุกบ้านก็จะแยกย้ายปิดบ้านสนิท ไม่มีใครกล้าออกมาอีกเลย ได้แต่ทนฟังเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ในทุกคืน วันหนึ่ง ลุงคนหนึ่งในหมู่บ้านเริ่มทนไม่ไหวกับสถานการณ์ในตอนนี้จึงพูดกับชาวบ้านว่า “ถ้ากลัวกันนัก เดี๋ยวคืนนี้จะพิสูจน์ให้ดู ว่าเสียงบิดรถที่ได้ยินมันเป็นเพื่อนของนักบิดที่ตายไปแล้วมันมาแกล้ง” ในทุกคืน ลุงก็จะออกมานั่งเฝ้ารอเพื่อพิสูจน์ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่พบความจริงสักที จนกระทั่งคืนหนึ่ง ความพยายามของลุงก็ได้ประสบความสำเร็จ เพราะเสียงแง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน ดังขึ้นมาแต่ไกลอีกครั้ง! เสียงนั้นกำลังค่อย ๆ ดังขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนเสียงนั้นดังมาทางบริเวณหมู่บ้าน ทันใดนั้นลุงก็รีบกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ทันที แต่จังหวะที่กระโดดออกมาดูนั้น ลุงก็เกิดอาการช็อกขึ้นมาทันที!! เพราะภาพที่เห็นเป็น รถมอเตอร์ไซค์คันที่เกิดอุบัติเหตุ และคนที่ขี่มาคือนักบินตัวยงที่ตายไปแล้ว นักบิดขี่รถมาด้วยท่าหัวพับกลับไปด้านหลัง ปากฉีกอ้ากว้างไปถึงตา แล้วที่ชวนหลอนมากขึ้นไปอีกคือเสียง แง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากเสียงท่อแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงของนักบิดที่ตายกำลังตะโกนกรีดร้องเป็นเสียงแง๊น แง๊น แง๊น แง๊นนน แล้วขี่รถผ่านหมู่บ้านไป! พี่แจ็คเล่าปิดท้ายว่า เรื่องราวนี้อยากจะหยิบยกขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ให้กับเหล่านักบิดทุกคน ให้คำนึงถึงความผาดโผนบนท้องถนน หากวันใดวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกระชั้นชิดนิดเดียวบอกเลยว่าอาจไม่รอด.(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

16 ก.พ. 2024

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

เรื่องนี้ ‘แปลน รัฐวิทย์’ และ ‘ไมค์ ภณธฤต’ นักแสดงและผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (13 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นขณะกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องบอกเลยว่ามาพร้อมกับความหลอน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘แปลน รัฐวิทย์’ นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องพี่นาค 4 คุณแปลนเล่าว่า วันนั้นเป็นวันที่ต้องถ่ายภาพยนตร์คนเดียว ซึ่งถ่ายทำที่วัดบางลี่ จังหวัดลพบุรี สถานที่แห่งนี้มีโบสถ์เก่าแก่อายุร้อยกว่าปี คุณแปลนถ่ายทำตั้งแต่เช้าและทุกอย่างก็ราบรื่นปกติ จนถึงซีนหนึ่ง เวลาประมาณตี 2.22 น. เป็นซีนที่ต้องใช้สลิง หลังจากถ่ายเสร็จสิ้น พี่ไมค์ (ผู้กำกับ) ก็อยากจะถ่ายอีกเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามเพิ่ม จากนั้นคุณแปลนก็ไปรอบนนั่งร้าน หลังจากนั้นเมื่อนับ 3 2 1 แอคชัน! คุณแปลนก็วูบหมดสติไปและจำอะไรไม่ได้ นาทีนั้นคุณแปลนยังอยู่บนสลิงแต่ไม่มีใครรู้ว่าคุณแปลนวูบอยู่ ด้วยความที่ทรงตัวไม่ได้ก็ทำให้รัดแน่นจนหายใจไม่ออกและเกิดอาการชัก จากนั้นผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมงานก็เข้ามาช่วยเหลือ เมื่อคุณแปลนรู้สึกตัวสิ่งแรกที่พูดคือ “พี่ครับ ผมขอโทษครับ ผมเผลอหลับหรอ?” เพราะคุณแปลนรู้สึกว่าตัวเองฝันเห็นอะไรเต็มไปหมดและฝันนานมาก แต่เมื่อพอมาดูฟุตเทจปรากฎว่าที่วูบไปนั้นเป็นเวลาเพียงครู่เดียว หลังจากนั้นทีมงานก็ให้ดื่มน้ำแดง และดมยาดมเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ซึ่งหลังจากจบวันนั้นไปคุณแปลนก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เมื่อกลับมาจากสถานที่ถ่ายทำ คุณแปลนก็เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ภายในห้องจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง ซึ่งคุณแปลนพักคนเดียว จึงนำของไปวางให้เต็มแล้วจึงซื้อที่โดยการนำเงินไปวาง แล้วคุณแปลนก็พูดว่า “ผมขอซื้อนะตรงนี้” ซึ่งเตียงที่คุณแปลนซื้อนั้นปลายเตียงจะมีกระจกเงา จึงนอนอีกเตียง คืนนั้นคุณแปลนนอนไม่ค่อยหลับเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่หน้าห้องตลอด แต่คุณแปลนก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปดูว่ามีคนหรือไม่ เพราะคิดว่าตราบใดที่เสียงยังอยู่หน้าห้อง คุณแปลนจะไม่ไปยุ่ง จากนั้นคุณแปลนก็นอนคลุมโปง พยายามสวดมนต์แล้วเผลอหลับไป เช้าวันต่อมา คิวถ่ายวันนี้ยังคงเป็นโบสถ์เดิม และมีอุปสรรคในการถ่ายทำคือฝนตกทั้งวันจนถ่ายทำไม่ได้ จนเวลาผ่านไปถึงวันสุดท้ายที่จะต้องถ่ายทำ คืนนั้นคุณแปลนเดินออกมาจากโบสถ์คนเดียว ด้วยความน่ากลัวจึงดู TikTok เพลิน ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ชายมากระซิบว่า “มึงอยากตายหรอ?” หลังจากนั้นก็วูบไปอีกรอบ แล้วทีมงานก็มาบอกว่า “แปลนไปขอทีมงานถอดเสื้อ ไปนั่งเหม่อแล้วก็ร้องไห้ มองโบสถ์ฝั่งตรงข้าม” ซึ่งตอนนั้นคุณแปลนไม่รู้ตัว พี่ทีมงานก็ถามว่า “แปลนไหวไหม แปลนเป็นลมไหม” คุณแปลนก็ยังไม่กล้าเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เจอ จนหลังจากนั้นก็ตัดสินใจเล่าให้พี่ทีมงานฟัง พี่ทีมงานบอกว่า “แปลนคิดในแง่ดี เขาอาจจะมาเตือนว่าการที่เราไปถ่ายทำคราวที่แล้ว อยากตายหรอ อย่าไปทำอะไรที่มันพิเรนทร์” หลังถ่ายทำเสร็จคุณแปลนบอกกล่าวว่า “ทุกอย่างที่พูดออกไป มันเป็นเรื่องตัวบทไม่ใช่ตัวผม เป็นตัวละคร แปลน รัฐวิทย์ ไม่เกี่ยวข้อง” หลังจากนั้นคุณไมค์ก็ได้เล่าเรื่องลี้ลับในกองถ่าย โดยคุณไมค์เล่าว่า สถานที่ถ่ายทำที่ยากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องพี่นาค ภาค 4 คือ ‘โบสถ์’ เพราะต้องหาโบสถ์ที่มีการตายเกิดขึ้น มีการเผาโบสถ์ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโบสถ์ แต่ไม่รู้ว่าจะหาโบสถ์จากที่ไหนที่จะให้ทำได้ขนาดนี้ จึงใช้เวลาหาประมาณ 3-4 เดือนในการหาโบสถ์ที่จะอนุญาตให้ถ่ายทำ เพราะทุกที่มีโจทย์ว่า ถ้าไปขอแล้ว อย่าให้มีผลกระทบกลับมา จนกระทั่งมาเจอโบสถ์ที่วัดนางลี่ วันที่เดินทางไปถึงวัดแห่งนั้น ก็เห็นว่าสถานที่ตรงตามที่ต้องการ มีป่าล้อมรอบ เดินเข้าไปเป็นโบสถ์เก่า ซึ่งเป็นโบสถ์ร้างที่นำพระประธานออกไปแล้ว คุณไมค์รู้สึกว่าตรงนี้ต้องแรงแน่ ๆ แต่คิดว่าต้องถ่ายที่นี่ เมื่อเดินเข้าไปจะเจอเจดีย์ใส่กระดูกของเจ้าอาวาสรูปเก่า ถัดเข้าไปจะเป็นโกฏิกระดูก 2 โกฏิ ซึ่งเป็นของคนที่บริจาคเงิน แล้วจึงจะถึงตัวโบสถ์ คุณไมค์เชื่อว่าหนังของตนสอนคนดูและคิดว่าตนคิดดีแล้ว แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บจากที่นี่จริง ๆ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเลือกโลเคชันที่แรงชนิดที่ไม่เคยเจอขนาดนี้มาก่อน นักแสดงในกองอย่าง ‘คุณเจมส์ ภูรพรรธน์’ เข้าฉากพายุลมฝน ทำให้ขาพลิกจนต้องส่งโรงพยาบาล ‘คุณเอม วิทวัส’ เดิน ๆ อยู่โดนบุ้งต่อยแพ้ทั้งตัว ส่วน ‘คุณแปลน รัฐวิทย์’ สลบไปกลางอากาศ และ ‘คุณมีน พีรวิชญ์’ แมงป่องไต่ขึ้นขาแต่โชคดีที่มีทีมงานเห็นจึงไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าโรงพยาบาลอีกคน นี่คือเหตุผลที่ต้องต่อธูปตลอด ซึ่งจะมีฝ่ายสวัสดิการมาดูธูปไว้ ถ้าไม่ต่อธูปฝนจะตก จนกระทั่งคุณเจมส์ไปเจอพระรูปหนึ่ง และพระก็ทักว่า “ไปถ่ายหนังอะไรมา ไปสถานที่ที่แรงใช่ไหม รู้ไหมเขาไม่โอเคต้องไปขอขมา” ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระท่านพูดเป็นฉาก ๆ มีโบสถ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็น คุณเจมส์จึงบอกว่า “พี่ไมค์ เราต้องไปขอขมา” หลังจากนั้นอันดับแรกคุณไมค์ก็รดน้ำมนต์ นำนักแสดงทุกคนไปรดน้ำมนต์ด้วย และถือพานบายศรีขอขมา สุดท้ายคุณไมค์พูดว่า “ต่อให้เราจุดธูปให้เราทำอะไรก็ตามแต่ ตราบใดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีเขาไม่รู้หรอกว่าเรามาทำงานหรือเรามาทำอะไร แต่บางครั้งถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันเกินขอบเขตในความรู้สึกเขา มันก็อาจจะมีการลงโทษกันบ้าง ก็เลยไปขอขมาเป็นวันที่เราขอโทษจากใจจริง บางทีเราอาจจะต้องเตรียมเครื่องขอขมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ไป เพราะถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไรไม่ดีต้องไปขอเลย ไม่ใช่ไปทำแล้วค่อยไปขอ อันนี้ก็เป็นการสอนให้เรารู้จากการที่เราถ่ายที่จริงมาเยอะมาก แต่ที่นี่ภาคนี้กับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โดนหนักสุดแล้ว”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณอ้อยใจ ’คืนก่อนวันเเสดง‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

23 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณอ้อยใจ ’คืนก่อนวันเเสดง‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

เมื่อต้องขอยืมสถานที่จากทางมหาลัยเพื่อซ้อมทำกิจกรรม แต่อาจจะไม่ได้จุดธูปขอเจ้าของที่จริงๆ จนทำให้เจ้าของที่ต้องมาแสดงตัวให้เห็น! เรื่องราวนี้ ’อ้อยใจ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘คืนก่อนวันแสดง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! อ้อยใจเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2 ที่มีกิจกรรมรับน้องมหาลัย ซึ่งจะให้แต่ละคณะมาแข่งกัน โดยให้เหล่าตัวแม่แต่ละคณะคิดโชว์เพื่อมาแข่งกัน แต่คณะของอ้อยใจมีเวลาซ้อมกัน 2 วัน จึงตกลงกันว่าจะไปซ้อมที่ตึกคณะ ซึ่งตึกคณะเป็นตึกแฝดคู่กัน ตรงกลางจะเป็นที่โล่ง และที่สำคัญ ตึกนี้จะมีข้อห้ามว่าห้ามอยู่ถึงตอนกลางคืน.. ย้อนกลับมาวันที่ซ้อม ทุกคนนัดกันตอน 6 โมงเย็น ซ้อมจนถึง 2 ทุ่ม ตอนนั้นสายตาของอ้อยใจเหลือบขึ้นไปทางฝั่งขวาของตึกคณะ ซึ่งชั้น 2 ตึกนั้นจะเป็นห้องเก็บหุ่นและห้องเก็บโครงกระดูกเป็นงานประติมากรรมของรุ่นพี่ และสิ่งที่อ้อยใจเห็นคือ เหมือนมีคนยืมมองซ้อมเต้นอยู่.. ในใจก็คิดว่าอาจจะเป็นหุ่น แต่คนที่มองอยู่เขาเดินไปและก็เดินกลับ อ้อยใจพยายามไม่คิดอะไร และกลับไปตั้งใจซ้อมการแสดงต่อ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็พักกินข้าว ตอนนั้นอ้อยใจก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเพื่อน และระหว่างที่พัก ก็มีเพื่อนพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวเราจะย้ายตึกซ้อมกันนะ เพราะยุงเยอะ” จากนั้น ทุกคนก็ย้ายตึกซ้อมไปที่ตึกเรียนอีกตึก พอถึงตรงนั้นสิ่งเเรกที่อ้อยใจรู้สึกคือ มีลมพัดปึ้งเข้ามาที่หน้า! อ้อยใจจึงหันไปมองเพื่อนอีกคนที่มีเซนส์ ชื่อว่า ‘ยัยเมาท์’ (นามสมมติ) หลังจากหันไปมองหน้า ยัยเมาท์ก็หันมาพยักหน้าให้อ้อยใจเหมือนจะรู้กันว่ามีอะไรบางอย่าง แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้บอกเพื่อน ซึ่งในเหตุการณ์นั้นมีเหล่าตัวแม่ทั้งหมด 30 กว่าชีวิต ทุกคนโดนลมปะทะหน้ากันหมด แต่ก็คิดว่าเป็นลมธรรมชาติ เย็นสบาย จากนั้นก็ซ้อมกันต่อ ระหว่างนั้นอ้อยใจและยัยเมาท์ก็ถือกระเป๋ามาวางไว้ที่โต๊ะใต้ตึก อยู่ ๆ ยัยเมาท์ก็หันมาทางอ้อยใจแล้วก็นิ่ง พอถามก็ไม่ตอบ จากนั้นก็หันไปทางข้างหลังตึกแล้วก็นิ่งอีก และหันมาทางอ้อยใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มองที่อ้อนใจแล้ว แต่มองผ่านอ้อยใจไป ซึ่งข้างหลังไม่มีอะไรนอกจากร้านถ่ายเอกสาร ตอนนั้นอ้อยใจจึงเอะใจว่าทำไมยัยเมาท์นิ่ง และน้ำตาคลอ แต่เพื่อนก็ไม่เล่าอะไร และบอกว่า “มันไม่มีอะไรหรอก” แล้วก็ซ้อมกันปกติ จนเวลาประมาณตี 3 ระหว่างที่ซ้อมถึงเพลงท่อนที่อ้อยใจต้องเต้น อยู่ ๆ เพลงก็ดับ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะบางทีแบตเตอรี่ของลำโพงอาจจะหมด มารอบสอง เปิดเพลงเดิม ท่อนเดิม เพลงก็ดับอีก ครั้งนี้ก็เอะใจ แต่ก็ซ้อมกันต่อจนมารอบที่ 3 รอบสุดท้าย เพลงก็ยังดับท่อนเดิมที่อ้อยใจต้องเต้น คราวนี้ รุ่นพี่ปี 3 ก็เรียกน้องทุกคน 30 ชีวิตมารวมตัว แล้วยัยเมาท์ก็เฉลยว่า.. ตอนที่หันไปที่ตึกแล้วหยุดนิ่ง คือเห็นผีหลายตน ยืนล้อมเรียงกัน ไม่ใช่แค่สิบ แต่เป็นร้อยตน ส่วนตอนที่หันมาหาอ้อยใจแล้วนิ่งก็เห็นอีกประมาณ 30-40 ตน ตรงร้านถ่ายเอกสารและยืนดูพวกเราอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ ยัยเมาท์ยังเล่าต่อว่า ทุกคครั้งที่หันไปมองและหันกลับมา พวกผีทุกตนจะเดินเข้ามาทีละก้าวเสมอ จนสุดท้ายก็ไม่หันอีก เพราะอยู่ขอบตึกแล้ว ถ้าหันไปคงจะมาถึงแน่ ๆ หลังจากได้ยินที่ยัยเมาท์เล่า รุ่นพี่ปี3 ก็เริ่มนำสวด โดยเอาบทสวดจากทางอินเตอร์เน็ต ทุกคนก็สวดแล้วหลับตา ปกติแล้วถ้าหลับตาเราจะยังเห็นแสงวูบวาบของหน้าจอมือถือได้ สิ่งที่อ้อยใจสัมผัสได้คือ เหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา จึงรีบสวดมนต์ ขอขมา จนสุดท้ายก็หายไปหมด จึงคิดว่าทุกอย่างจบแล้ว และซ้อมกันต่อจนถึง 6 โมงเช้า และไปเรียนตามปกติ มาถึงวันที่ต้องแสดงในโรงยิม วันนี้ดูเหมือนคนดูเยอะมากกว่าปกติ และเสียงก็ดังกระหึ่มมากกว่าที่ควรจะเป็น อยู่ ๆ อ้อยใจที่กำลังเต้นอยู่ พอลืมตาขึ้นไปก็เห็นเป็นเงาคนเยอะมากจนนับไม่ได้ เป็นเงานับ ร้อยกว่าตนลุกขึ้นยืนและส่งเสียงดังมากล้อมรอบพวกเราอยู่ และสุดท้ายก็เต้นจนจบ พอย้อนคิดกลับไปก็คิดออกว่าสิ่งที่ทำผิดพลาดไปในตอนนั้น คือ ที่มหาวิทยาลัยของคุณอ้อยใจมีความเชื่อว่า ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใหญ่หรือเล็ก ก็ควรที่จะจุดธูปไหว้ทุกครั้ง แล้ววันนั้นทุกคนไม่มีใครจุดธูปไหว้กันเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1