ชายคนหนึ่งอยากได้รถคันใหม่ป้ายแดง จึงไปดูฤกษ์ในการรับรถต้องส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในคืนเดือนดับ!

อังคารคลุมโปง RECAP

ชายคนหนึ่งอยากได้รถคันใหม่ป้ายแดง จึงไปดูฤกษ์ในการรับรถต้องส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในคืนเดือนดับ!

15 เม.ย. 2024

           คนขับรถสไลด์ส่งรถป้ายแดงถึงหน้าบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของไม่อยู่แล้ว เซลล์ไม่บอกความจริงจนตอนนี้ผ่านไป 4 ปี ยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าของรถคันนั้นตาย! เรื่องนี้ ‘ตั้ม The Shock’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ป้ายแดง’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณเอ’ (นามสมมติ) ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณตั้มได้ฟัง โดยคุณเอเล่าว่า คุณเออยู่ในวงการขายรถ และมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง มีอาชีพเป็นเซลล์ขายรถ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว โดยมีพี่ผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘คุณโจ้’ สนใจรถป้ายแดง คุณโจ้จึงคุยกับทางเซลล์เพราะอยากได้รถคันนี้ แต่มีข้อแม้ว่าชื่อของตัวเองไม่สามารถที่จะนำไปซื้อรถได้ เพราะเครดิตไม่ดี จึงขออนุญาตใช้ชื่อญาติแทน แล้วจะมาเคลียร์ให้

           หลังจากคุณโจ้คุยกับเซลล์เสร็จเรียบร้อย ก็นำเอกสารมาให้ตรวจสอบ เมื่อเอกสารผ่านก็ได้โอนเงินส่วนหนึ่งจ่ายดาวน์ให้กับทางเซลล์ จากนั้นเซลล์ก็บอกว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวยังไงผมจะจัดส่งรถให้ พี่อยู่ที่ไหน?”

           คุณโจ้ก็บอกว่า “อยู่ที่จังหวัดตาก”

           เซลล์ก็บอกว่า “โอเค พร้อมเมื่อไหร่ เดี๋ยวผมจะนำรถไปส่งให้ แล้วพี่สะดวกช่วงไหน?”

           คุณโจ้บอกว่า “เดี๋ยวผมขออนุญาตไปดูฤกษ์ก่อน”

           คุณเอเล่าว่า คุณโจ้เป็นคนที่มีครูบาอาจารย์ ถือฤกษ์ และนับถือเทพ

           จากนั้นไม่นาน คุณโจ้บอกกับเซลล์ว่า “วันที่ส่งรถ ขอให้ส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ในคืนเดือนดับ”

           เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าว ทางเซลล์ก็คุยกับคุณโจ้ หลังจากคุณโจ้ดูฤกษ์เสร็จ 1-2 วันก็โทรกลับมาบอกว่า “เอาเป็นว่าอีกสัก 2 อาทิตย์ คุณส่งรถมาได้เลยที่จังหวัดตาก”

           หลังจากช่วงเวลานี้ผ่านไป เซลล์ก็ได้มีการติดต่อกับทีมรถสไลด์ว่า “เดี๋ยวจะให้รถสไลด์ เอารถไปส่งที่จังหวัดตากหน่อยละกัน” ทางเซลล์ก็ส่งโลเคชันให้กับคนขับรถสไลด์

           ผ่านไปได้สักพักประมาณอีก 3 วันจะถึงวันส่งรถ เซลล์ก็โทรไปหาคุณโจ้แล้วแจ้งว่า “พี่ครับ เดี๋ยวผมจะให้ทีมของรถสไลด์เนี่ย ไปส่งยังพื้นที่ที่พี่อยู่นะ แต่ว่าในวันนั้น ยังไงให้พี่สแตนบายสักนิดนึง เพราะว่าไปถึงที่นั่นน่าจะดึก แล้วก็น้องที่ขับรถสไลด์ไม่คุ้นทาง ยังไงพี่รอรับโทรศัพท์ด้วย”

           เวลาผ่านไปจนถึงวันที่มอบรถ ทางเซลล์ก็ส่งรถให้กับคนขับรถสไลด์ เพื่อขับไปส่งให้กับลูกค้า ซึ่งเส้นทางจะค่อนข้างไกล ระยะเวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงกว่า คนขับรถสไลด์ก็ขับรถไปคนเดียว จังหวะที่ขับไปนั้น จะมีเส้นทางที่ขึ้นเขา ปรากฏว่าใกล้จะถึงจุดนัดหมายในโลเคชัน คนขับรถสไลด์ก็โทรไปหาคุณโจ้ สายแรกโทรไม่ติด เขาจึงขับรถต่อไปเรื่อย ๆ และโทรครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพราะอยู่บนเขา จึงขับรถไปจอดพักข้างทาง เมื่อดูจากเวลาประมาณตี 3 กว่า คนขับรถสไลด์คิดว่าจะส่งรถให้คุณโจ้ไม่เกินตี 4 สักพักก็คิดว่า “ขับไปใกล้ ๆ ละกัน แล้วไว้โทรไปอีกที” คนขับรถสไลด์ก็ขับรถต่อและโทรไปเป็นครั้งที่ 4 ครั้งนี้มีคนรับสาย ทางคนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “พี่ครับ พี่อยู่ตรงจุดโลเคชันนี้ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะขับรถขึ้นไปส่งให้แล้วนะครับ” ปลายสายบอกว่า “ครับ ๆ” พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ และตอบแต่คำว่าครับ จนกระทั่งวางสายไป คนขับรถสไลด์ก็ขับรถจนไปถึงบ้านของคุณโจ้

           เมื่อไปถึงจุดนี้คนขับรถสไลด์ก็มองไปรอบ ๆ เพราะว่าบ้านของคุณโจ้มืดสนิท ทุกอย่างดูแปลกตรงที่ว่า ถ้าเป็นบ้านของคนที่สั่งรถต้องเปิดไฟ แต่ที่นี่กลับมืดหมด คนขับรถสไลด์ขับเข้าไปบริเวณหน้าบ้าน ลักษณะของบ้านเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านข้างจะมีโรงรถ คนขับรถสไลด์ก็เดินไปสำรวจซึ่งมืดมาก ในขณะที่เอาไฟฉายส่องอยู่ ๆ ก็ไปเจอกับคุณโจ้เดินออกมาจากชั้น 2 แล้วกวักมือเรียก คนขับรถสไลด์ก็คิดว่าถูกบ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทักเรื่องของไฟในบ้าน เมื่อจอดรถเสร็จคุณโจ้ก็เดินลงมา คนขับรถสไลด์ก็เอาเอกสารให้เซ็น และถามคุณโจ้ว่า “พี่ครับ เอาลงตรงนี้เลยไหม ถ้าลงตรงนี้ พี่มีถือเคล็ดไหม เอามะนาวให้ล้อรถเหยียบก่อนไหม?” ซึ่งการออกรถป้ายแดงทริคอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเกิดคนที่ถือเคล็ด เอามะนาวไปให้ล้อเหยียบ จะทำให้ล้อของรถคันนั้นยึดเหนี่ยวกับถนนได้เป็นอย่างดี จะไม่ทำให้ก่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งทางคนขับรถสไลด์ก็แนะนำไป แต่คุณโจ้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ เอาลงเลย” พูดด้วยเสียงช้า ๆ

           หลังจากที่นำรถลงมาเสร็จแล้ว คุณโจ้ก็กวักมือให้คนขับรถสไลด์ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ คนขับรถสไลด์ก็สงสัยว่า “ทำไมสั่งรถมาทั้งที ถ้าเป็นเจ้าของก็น่าจะขับรถเข้าไปเอง” คนขับรถสไลด์ก็เลยตัดสินใจเปิดไฟหน้ารถขับเข้าโรงไป แต่สังเกตว่าตอนที่ขับรถเข้าไปนั้น เจ้าของรถไม่มาอยู่ข้างหน้า จะยืนอยู่ข้าง ๆ ตรงมุมมืดตลอด หลังจากที่ขับเข้าไปจอดเสร็จแล้ว คนขับรถสไลด์ก็มีการแนะนำเรื่องรถ พี่เจ้าของรถก็มาเดินดู ลูบ ๆ คลำ ๆ แต่ด้วยความที่ยังสงสัยว่าทำไมไม่เปิดไฟ คนขับรถสไลด์ก็คิดว่า “หรือว่าพี่เขาถือเคล็ด เห็นบอกว่ามีครูบาอาจารย์ หรือต้องรับรถแบบมืด ๆ ก็แปลกดีนะ”

          หลังจากที่ส่งมอบรถเสร็จ คนขับรถสไลด์กำลังจะกลับ ก็เดินไปบอกคุณโจ้ว่า “พี่ครับ ผมขออนุญาตกลับก่อนนะครับ เพราะว่าอีกไกลกว่าจะถึงกรุงเทพ มันจะสายเดี๋ยวแสงแยงตา ผมไม่ได้นอนด้วย”

คุณโจ้ก็พูดว่า “น้องพักที่นี่ก่อนก็ได้นะ เพราะว่าบ้านพี่อยู่บนเขา ถ้าเกิดขับออกไปใกล้ ๆ เช้า หมอกมันเยอะ ถ้าไปบดบังการมองเห็นมันอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ พักก่อนไหมนอนอยู่ที่นี่สักพัก แล้วเช้า ๆ สาย ๆ ค่อยไป เดี๋ยวตอนเช้าพี่จะไปทำบุญ”

           หลังพูดจบคุณโจ้ก็เดินขึ้นไปบนบ้าน คนขับรถสไลด์ก็คิดในใจว่า ปกติแล้วจะขับแต่ตอนกลางวัน เวลาขับก็จะเผื่อเวลาไว้เพื่อที่จะไปนอนพักข้างทาง 1-2 ชั่วโมง แต่ตอนกลางคืนถ้าเกิดออกไป แล้วจอดนอนข้างทางมันอันตราย เลยตัดสินใจนอนที่นั่น

          ขณะที่ปรับเอนเบาะนอนในรถ คุณโจ้ก็มาเคาะกระจกแล้วบอกว่า “น้องมากินข้าวกินปลาก่อน กินน้ำก่อนไหม?” คนขับรถสไลด์บอกว่า “ก็ได้ครับ” จากนั้นก็นั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านแบบมืด ๆ เมื่อกินไปสักพักจนอิ่มท้อง ก็กลับมานั่งในรถแล้วเคลิ้มหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 7 โมงก็เห็นว่าบ้านล็อก แต่เห็นรถที่มาส่งยังจอดอยู่ คนขับรถสไลด์ก็สงสัยว่าเขาอาจจะอยู่บนบ้านเลยลงจากรถไปเคาะประตูบ้านเพื่อไปร่ำลา ปรากฏว่าไม่มีใครเปิดประตู จึงคิดว่าคุณโจ้คงออกไปทำบุญเลยตัดสินใจขับรถออกมา

          ตอนที่ส่งรถเสร็จ การส่งรถตอนเซ็นเอกสารจะต้องมีการถ่ายรูป แต่แปลกที่คุณโจ้ไม่อยากถ่ายรูป พยายามยืนเลี่ยงและไม่สนใจ คนขับรถสไลด์ก็ถ่ายรูปส่งไปทางไลน์ให้กับเซลล์ แต่ด้วยความที่บ้านของลูกค้าไม่มีสัญญาณ รูปที่อยู่ในไลน์เลยค้างส่งไม่สำเร็จ คนขับรถสไลด์ก็คิดว่าออกไปข้างนอกตอนเช้าคงส่งเอง

         เช้าวันถัดมา เมื่อขับรถออกมาได้สักพักไปถึงจุดที่มีสัญญาณ ปรากฏว่า Message ดังขึ้นถี่มาก คนขับรถสไลด์ก็เลยจอดรถข้างทางแล้วเปิดโทรศัพท์ดู กลายเป็นว่ามีคนโทรมาเป็นเบอร์โทรของเซลล์ คนขับรถสไลด์ก็โทรกลับไปแล้วพูดว่า

           “ฮัลโหลครับ ผมรถสไลด์ครับพี่ พี่เซลล์มีอะไรครับ?”

           เซลล์ก็ถามว่า “น้องส่งรถไปหรือยัง?”

           คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ส่งแล้วครับพี่”

           เซลล์ก็บอกว่า “ส่งไปแล้วหรอ? แน่ใจนะว่าส่งไปแล้ว แล้วคนมารับเป็นคนเดียวกันไหมที่ส่งรูปไป”

           คนขับรถสไลด์บอกว่า “ใช่ครับ คนเดียวกัน ทำไมครับพี่มีอะไร?”

           เซลล์ตอบกลับมาว่า “เนี่ย เหมือนญาติเขาบอกว่ายังไม่ได้รับรถ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ญาติเขายืนยันว่ายังไม่ได้รับรถนะ น้องส่งแล้วใช่ไหม?”

           คนขับรถสไลด์ก็ตอบว่า “ส่งแล้วครับพี่ ผมถ่ายรูปไว้ด้วย”

           จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู ณ ตอนนั้นระบบไลน์ที่ค้างอยู่ เมื่อมีสัญญาณรูปที่จะส่ง ก็ถูกส่งกลับไป พอได้รูปก็ส่งไปให้เซลล์ เซลล์ก็บอกว่า “ก็ส่งแล้วนี่หว่า โอเค ๆ เดี๋ยวสักพักพี่โทรกลับไป”

           เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เซลล์โทรกลับมาว่า “เออน้อง พี่คุยกับทางด้านญาติแล้วนะ เขาโอเค เขารับรู้แล้วว่ามีคนรับรถ อาจจะคลาดเคลื่อนกันนิดหน่อย ไม่เป็นไร ยังไงเรากลับมาที่โชว์รูมก่อนนะ จะได้มาเคลียร์เอกสาร ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราใช้ไป”

           คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ได้ครับพี่ ๆ”

           คนขับรถสไลด์ก็ขับรถกลับโชว์รูม

           ทางด้านเซลล์หลังจากที่วางสายจากคนขับรถสไลด์ครั้งแรก ก็โทรหาทางญาติแล้วบอกว่า

           “คุณลูกค้าครับ เป็นญาติกับคนที่รับรถใช่ไหมครับ ทางทีมรถสไลด์ส่งไปแล้วครับ”

           ญาติก็ถามว่า “ส่งไปที่ไหน?”

           เซลล์ก็บอกว่า “ส่งไปตามโลเคชันที่ลูกค้าส่งมาที่จังหวัดตาก”

           เซลล์ก็เลยส่งรูปให้ดูว่าส่งรถถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าญาตินิ่งไปสักพักแล้วถามว่า “มีคนมารับไหม?”

           เซลล์ก็บอกว่า “น้องบอกมีคนลงมารับครับ คนเดียวกันกับที่สั่ง”

           ญาติก็พูดว่า “เฮ้ย เป็นไปได้หรอ เพราะว่าคนที่เขารับรถ เขาตายไปแล้ว! ใครลงมารับ มั่นใจหรอ?”

           เซลล์เองก็อึ้งไม่แพ้กัน แต่ก็ยังยืนยันรูปถ่ายที่คนขับรถสไลด์ส่งมาให้ดู เซลล์ก็ถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นครับพี่?”

           ญาติก็เล่าให้ฟังว่า จำวันนั้นได้ใช่ไหมที่คุณไปนัดกับคนที่จังหวัดตากว่าอีก 3 วัน จะส่งรถสไลด์ไป 1 วันหลังจากนั้น พี่คนนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเกิดอุบัติเหตุแหกโค้งเสียชีวิต! ด้วยความที่ญาติจัดเรื่องงานศพอยู่ก็เกิดความสับสนคิดว่าได้คุยกับเซลล์แล้ว ถ้าไม่ส่งที่จังหวัดตาก ก็ให้มาส่งที่บ้านญาติ แต่กลายเป็นว่าญาติยังไม่ได้คุยกัน

           ณ คืนนั้นวันที่ส่งรถ ญาติที่โทรหาเซลล์ฝันว่า คุณโจ้มาอยู่ในฝัน แล้วชอบรถป้ายแดงลูบ ๆ คลำ ๆ เดินวนอยู่รอบรถ อย่างมีความสุข ญาติก็เอะใจถึงได้โทรถามเซลล์ เซลล์ก็พูดว่า “จริงหรอครับ แต่ส่งรถไปแล้วนะครับ”

           ญาติก็บอกว่า โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้วันหน้าค่อยแจ้งย้ายรถมาให้ที่ญาติละกัน”

           หลังจากวางสายไป ทีนี้มาถึงที่โชว์รูม น้องขับรถสไลด์ก็มาคุยกับเซลล์ เซลล์ถามว่า “เป็นไงไปส่งรถ ไปเจออะไรมาบ้าง?”

           คนขับรถสไลด์ก็พูดว่า “ก็ดีพี่ พี่เขาใจดีมากเลย ให้ผมนอนที่บ้านให้ข้าวให้น้ำกิน แต่เขาแปลกนะพี่ อย่างที่พี่เคยบอกผมว่าเขานับถือเทพ ครูบาอาจารย์อะไรไม่รู้ บ้านเขามืดหมดเลยนะพี่ ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่เปิดไฟ ถ่ายรูปเขาก็ไม่เอานะพี่”

           เซลล์ก็พูดว่า “เออเขาเป็นอย่างนั้นแหละ”

           แต่ความจริงแล้วเซลล์รู้แต่ไม่บอกคนขับรถสไลด์ว่าเกิดอะไรขึ้น เซลล์ก็บอกว่า “เอาล่ะ ก็ถือว่าพี่เขาใจดีหาข้าวหาน้ำให้กิน ก็ดีแล้ว วันหน้าถ้าเกิดมีงานดี๋ยวพี่ส่งให้อีกนะ”

           คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ขอบคุณมากครับพี่”

           จากนั้นก็เคลียร์เอกสาร เคลียร์เงิน และคนขับรถสไลด์ก็กลับไป ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้คนขับรถสไลด์ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าของรถคันนั้นตาย!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเป้ 'ความรักจากยาย(ทายาท)' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568]

03 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเป้ 'ความรักจากยาย(ทายาท)' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568]

‘คุณเป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ เล่าเรื่องสุดหลอนจากประสบการณ์ของ ‘คุณปอย’ ที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านเช่ากับ ‘ยายแก้ว’ ผู้มีความลับสุดสยอง! เมื่อคุณปอยตัดสินใจย้ายมาเช่าบ้านหลังนี้ อะไรบางอย่างเริ่มไม่ปกติ จนถึงคืนหนึ่งที่เธอเห็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด! ยายแก้วจริง ๆ แล้วคือใคร? อย่าพลาดเรื่องราวสุดหลอนที่ทำให้คุณปอยถึงกับหนีออกจากบ้านหลังนี้! ฟังเรื่องนี้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กุมภาพันธ์ 2568) พร้อม ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ร่างที่นอนข้างคุณปอยคือใครกันแน่? บางที “ความจริง” อาจน่ากลัวกว่าที่คุณคิด! ‘คุณเป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณปอย’ ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเคยเล่าให้คุณเป้ฟังถึงช่วงเวลาที่สอบชิงทุนและได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ในอดีตการสอบชิงทุนครอบคลุมเพียงค่าเล่าเรียน แต่ไม่ได้รวมค่าที่พัก ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้ ด้วยเหตุนี้ คุณปอยจึงต้องทำงานเกษตรในโรงเรียนเพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่าย คุณปอยมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดีซึ่งเคยอยู่หอพักด้วยกัน แต่เพื่อนคนนั้นมีแฟนและเริ่มออกไปเที่ยวกับแฟนบ่อย ๆ ทำให้ไม่ค่อยได้กลับห้อง คุณปอยจึงต้องอยู่หอพักคนเดียว โดยส่วนตัวแล้ว คุณปอยเป็นคนที่กลัวผีมาก จึงเริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่ในห้องนี้แล้ว และอยากหาที่พักข้างนอกแทน แต่เนื่องจากคุณปอยมีเงินไม่พอ ทำให้ต้องหางานพิเศษทำเพิ่ม หลังจากทำงานพิเศษและเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็เพียงพอที่จะสามารถเช่าบ้านได้แล้ว เมื่อเริ่มหาบ้าน คุณปอยได้ไปเจอบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านทรงไทยเก่า ๆ ที่ไม่ได้หรูหราอะไร เมื่อได้ไปเจอและพูดคุยกับ ‘ยายแก้ว’ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านคนเดียว คุณปอยพูดสอบถามไปว่า “ยาย พอดีหนูจะมาสอบถามเรื่องค่าเช่าบ้าน” “อ้าวเหรอ หนูจะมาหาบ้านเหรอ มา ๆ คุยกับยายก่อน” ยายแก้วพูดตอบกลับ ยายแก้วเป็นหญิงชราที่มีอายุมาก แต่กลับไม่ได้ดูแก่เลย แม้จะมีเส้นผมหงอกแซมอยู่บ้าง ทว่าใบหน้ายังคงแลดูอ่อนเยาว์ ราวกับหญิงสาว หลังจากได้พูดคุยกัน คุณปอยรู้สึกถูกชะตากับยายแก้ว จึงตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ อีกทั้งค่าเช่ายังถูกมาก ทำให้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจอยู่ ภายในบ้านมีสองห้อง ได้แก่ ห้องส่วนตัวของยายแก้ว และห้องโถงขนาดใหญ่ คุณปอยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อต้องอยู่ในห้องโถงนั้น เพราะภายในมีเสาตกน้ำมันตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงขออนุญาตย้ายไปนอนที่ห้องครัวแทน ภายในห้องครัวมีซี่ไม้ไผ่รวกกั้นเป็นแนวเป็นระเบียบ บางครั้งลมก็พัดผ่านเข้ามาให้ได้ยินเสียง ส่วนด้านหลังครัวมีบันไดลงไปยังห้องน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัด หลังจากที่คุณปอยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้สักพัก ในตอนที่คุณปอยกำลังซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่ตลาด ทว่ากลับสังเกตเห็นสายตาของผู้คนในตลาดที่มองมาอย่างแปลก ๆ ตอนนั้นคุณปอยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ว่าอาจเป็นเพราะตนเองเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ คนในละแวกนั้นจึงเกิดความสงสัย หลังจากซื้อของเสร็จ ก็กลับไปที่บ้านพักตามปกติ วันนั้นเป็นวันที่คุณปอยย้ายมาอยู่ครบหนึ่งเดือนพอดี คุณปอยก็ได้นำเงินค่าเช่าไปจ่ายกับยายแก้ว หลังจากที่ยายแก้วรับเงินก็นำเงินของคุณปอยไปซื้อกับข้าวกลับมา และพูดกับคุณปอยว่า “หนู หนูชอบบ้านหลังนี้ไหม ถ้าชอบยายยกให้เอาไหม หนูมาเป็นลูกยายไหม ยายมีสมบัติด้วยนะ แล้วก็ยายไม่มีลูกหลานที่ไหน ยายถูกชะตากับหนูมาก มาเป็นลูกยายนะ” ยายแก้วพูดออกไปแบบนั้น ทางคุณปอยไม่ได้รู้สึกดีใจแต่อย่างใด ตอบกลับไปแค่ว่า “ไม่ได้หรอกยาย ยายเก็บไว้เถอะ” หลังจากที่คุณปอยปฏิเสธยายแก้ว เวลาก็ผ่านไป วันหนึ่งเริ่มมีเพื่อน ๆ ที่มหาลัยทั้งชายและหญิง มาที่บ้านมาเพื่อทำรายงาน หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว ยายแก้วเดินมาพร้อมพูดตำหนิคุณปอยว่า “ปอยเอ้ย ถ้าเป็นไปได้อย่าพาเพื่อนมาอีกนะ โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชาย แล้วว่ายังไงหล่ะเรื่องที่จะมาเป็นลูกยาย ยายยกบ้านให้เลย ยกสมบัติให้หมดเลย แต่ขออย่างเดียว อย่ามีแฟนนะ” ยายแก้วยังคงไม่ยอมลดความตั้งใจที่อยากให้คุณปอยมาเป็นลูกของตน คุณปอยรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของยายแก้ว แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร หลังจากนั้น ยายแก้วเริ่มมาขอคุณปอยนอนด้วย คุณปอยก็ตอบรับ เนื่องจากตนเองเป็นคนที่กลัวผีมากอยู่แล้ว จึงรู้สึกสบายใจที่มียายแก้วมานอนเป็นเพื่อน จากนั้นยายแก้วก็มานอนด้วยบ่อยขึ้น ในทุกเช้า ยายแก้วจะเป็นคนทำอาหารให้ และไม่เคยเก็บค่าเช่าบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่ออยู่ไปนานวันเข้า คุณปอยเริ่มรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้ และค่อย ๆ ปรับตัวจนรู้สึกเหมือนเป็นบ้านของตนเอง จึงเริ่มช่วยดูแล ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูให้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณปอยตัดสินใจเข้าไปทำความสะอาดในห้องของยายแก้ว ภายในห้องมืดสนิทเพราะหน้าต่างถูกปิดไว้ทั้งหมด คุณปอยจึงเปิดหน้าต่างเหล่านั้น และเริ่มทำความสะอาดพื้นโดยนั่งคุกเข่าถูระหว่างที่กำลังถอยหลังไปข้างหลัง จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีมือมาจับที่ก้นของตนเอง คุณปอยสะดุ้งขึ้นมาทันทีแล้วหันไปมอง แต่กลับไม่เห็นใครอยู่เลย ในขณะนั้น หน้าต่างที่เปิดอยู่ก่อนหน้านี้ก็ปิดลงทันทีพร้อมเสียงดัง ปัง!! ปัง!! ปัง!! คุณปอยเริ่มรู้สึกกลัวมาก จึงรีบเข้าไปปิดหน้าต่างและล็อคมันไว้ ก่อนจะรีบออกมาข้างนอกทันที แล้วหลังจากนั้นคุณปอยก็ไม่กล้าเข้าไปที่ห้องยายแก้วอีกเลย คืนที่ทำให้คุณปอยตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่อยู่ในบ้านหลังนี้อีกต่อไปเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ตอนที่ยายแก้วและคุณปอยนอนด้วยกัน ระหว่างที่กำลังนอน คุณปอยเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยมาในอากาศ กลิ่นนั้นไม่ได้เป็นกลิ่นเหม็นสาบทั่วไป แต่กลับเป็นกลิ่นเหม็นของอุจจาระ ในตอนแรก คุณปอยคิดว่ากลิ่นดังกล่าวอาจมาจากห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของบ้าน และเป็นไปได้ว่าลมพัดพากลิ่นโชยเข้ามาในห้อง และจากที่คุณปอยนอนอยู่ ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหมาหอนดังมาก หลังจากที่ลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่คุณปอยเห็นคือ ตรงส่วนของซี่ไม้ไผ่รวกที่กั้นเป็นแนว เขาเห็นแสงไฟสีเหลือง ๆ เขียว ๆ สว่างแบบวูบวาบ ๆ แถมยังมีเสียงดังพรึบ ๆ พรึบ ๆ ด้วยความสงสัย คุณปอยจึงค่อย ๆ ก้มลงไปมองผ่านช่องว่างระหว่างไม้ไผ่ที่กั้นอยู่ ทันทีที่สายตาสอดผ่านช่องนั้น สิ่งที่เห็นทำให้คุณปอยตกใจจนเผลอถอยหลังล้มลงไปกระแทกพื้น เพราะภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ ใบหน้าของยายแก้วที่มีเพียงศีรษะลอยอยู่! ขณะที่คุณปอยกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าแล้วร่างที่นอนอยู่ข้างตนเองคือใคร? ด้วยความหวาดกลัว คุณปอยรีบหันไปมองที่ฟูกนอน แล้วสิ่งที่เห็นกลับทำให้ขนลุกไปทั้งตัวยายแก้วยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม แต่ศีรษะของเธอกลับหายไปแล้ว! เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณปอยก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก ด้านนอกมีศีรษะของยายแก้วลอยอยู่ ส่วนร่างที่นอนอยู่ข้างในกลับไร้ศีรษะ หากจะวิ่งออกไป เวลานั้นก็ดึกมากแล้ว อีกทั้งข้างนอกก็เป็นวัด ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัดและมืดสนิท สุดท้าย คุณปอยตัดสินใจดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง พยายามข่มตาหลับ และนอนหันหลังให้ร่างไร้ศีรษะของยายแก้วด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณปอยลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่ายายแก้วที่นอนอยู่เมื่อคืนได้หายไปแล้ว ด้วยความหวาดกลัว คุณปอยจึงพยายามเก็บเสื้อผ้าอย่างเงียบ ๆ และรอจังหวะที่ยายแก้วไม่อยู่บ้าน ก่อนจะรีบหนีออกมา หลังจากนั้น คุณปอยได้นำเรื่องที่พบเจอไปเล่าให้เพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง เรื่องราวของคุณปอยถูกเล่าต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปถึงหูของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ เพื่อนคนนั้นจึงแนะนำให้คุณปอยลองไปถามแม่ของตน เผื่อว่าเธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นบ้าง หลังจากที่สอบถาม จนกระทั่งได้รู้ว่าความจริงแล้วว่า ยายแก้วคือกระสือ! อย่างไรก็ตาม ยายแก้วเป็นกระสือที่ไม่เคยหลอกหลอนหรือทำร้ายใคร ชาวบ้านต่างรู้เรื่องนี้กันดี ส่วนลูกหลานที่ยายแก้วเคยมีต่างก็ทิ้งหายกันไปหมด ยายแก้วจึงเฝ้าหาทายาทสืบทอดอยู่เสมอ และดูเหมือนว่าคุณปอยอาจเป็น “คนโชคดี” ที่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นพอดี… เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด คุณปอยอดคิดไม่ได้ว่าหากตอนนั้นตนเองเกิดความโลภ อยากได้สมบัติของยายแก้ว และเลือกที่จะรับบ้านหลังนั้นไว้ บางที… ตอนนี้ตนอาจจะกลายเป็นกระสือไปแล้วก็ได้!!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระซิบว่า “ช่วยด้วย..” ไม่กี่วันคนร้ายมอบตัว เพราะลุงมาบอกว่าจะเอาชีวิต!

13 มี.ค. 2023

ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระซิบว่า “ช่วยด้วย..” ไม่กี่วันคนร้ายมอบตัว เพราะลุงมาบอกว่าจะเอาชีวิต!

(WARNING : เนื้อหานี้มีความรุนแรง, การทำร้ายร่างกาย และเป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) เรื่องราวฆาตกรรมสุดโหดที่เกิดขึ้นนี้คือประสบการณ์หลอนที่ “คุณบี” ได้พบเจอกับตัวเอง และได้โทร.เข้ามาเล่าในรายการ “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ที่ผ่านมา เป็นเรื่องของ “ลุงแถวบ้าน” ที่เสียชีวิตด้วยเหตุฆาตกรรมสุดโหดโชกไปด้วยเลือด..! คุณบีเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว คุณลุงแถวบ้านท่านนี้ ทำอาชีพดักจับหนู โดยปกติเมื่อตกเย็นก็มักจะล้อมวงสังสรรค์กับคนละแวกนั้นอยู่เสมอ คืนหนึ่งในวงสังสรรค์นั้น ก็มี “คู่อริเก่า” นั่งรวมอยู่ด้วย เรื่องของเรื่องก็คือคุณลุงท่านนี้เคยไปต่อว่าแม่ของคู่อริเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พอน้ำเมาเริ่มทำงาน การสังสรรค์ก็เริ่มจะสังเสีย ทั้งคู่มีปากเสียงกัน ทันใดนั้นฝ่ายคู่อริก็กลับบ้าน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า คุณลุงคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วก็เลยจะออกไปดักหนูตอนกลางคืนตามปกติ จึงปั่นจักรยานออกไปห่างจากบ้านประมาณ 200 เมตร ไม่นานนัก ก็เจอเข้ากับคนร้ายดักฟันเข้าไปที่คอจากด้านหลัง! เท่านั้นยังไม่พอ คนร้ายยังจับเงยหน้าแล้วฟันที่คอ จนคอเกือบขาด! เหลือแค่ตรงกระดูกเพียงนิดเดียวเท่านั้น.. เช้าวันต่อมา เวลาประมาณตี 4 คนแถวนั้นที่ออกไปทำงานแต่เช้าก็พบศพของคุณลุงและรีบโทรแจ้งตำรวจ สภาพที่เกิดเหตุจะเห็นคราบเลือดเป็นวงกลม แสดงให้เห็นว่าก่อนสิ้นลม คุณลุงเจ็บปวดและทรมานเพียงใด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็ได้สอบถามคนละแวกใกล้เคียง แต่ก็ยังไม่เจอบุคคลน่าสงสัย แต่ทางด้านตำรวจก็ยังคงทำหน้าที่สืบคดีอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปไม่กี่วัน ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนอยู่นั้น ทางด้านคุณบีเอง ก็ได้ขับรถมาที่บ้านแฟนซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่หลังจากที่เกิดเหตุ คุณบีเล่าว่า “หนูขี่ไป แล้วเห็นผู้ชายคนนึง ลักษณะคือผมขาวแต่ไม่ทั้งหัวนะคะ ใส่เสื้อสีเหลือง ใส่กางเกงขาม้า แล้วก็..ยืนยิ้มอยู่ตรงต้นขนุน” คุณบีบอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็เลยขับรถผ่านแล้วเข้าบ้านแฟนไป และเล่าให้แฟนฟังว่า “เนี่ย เห็นเขายืนยิ้มอยู่ ทำไมเขาไม่เข้าบ้าน มันดึกแล้วนะ” ทั้งสองคนไม่ได้คิดอะไร และปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป.. วันถัดมา คุณบีก็ขับรถมาทางเดิมอีกครั้ง รอบนี้คุณบีได้ยินชาวบ้านคุยกันถึงเรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น คุณบีที่อยากรู้จึงเข้าไปร่วมวงสนทนา และขอดูรูป พอเห็นรูปคุณบีถึงกับตกใจ! เธอบอกว่าคนในรูปคือคนเดียวกับที่เห็น! พอเล่าให้คนในครอบครัวของแฟนฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ คุณบีจึงเงียบไป 2 วันถัดมา คุณบีขับรถมาทางเดิมอีกครั้ง แต่รอบนี้มีเพื่อนมาด้วยหนึ่งคน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน พอขับผ่านบ้านของคุณลุงที่เสียชีวิตไปประมาณ 3-400 เมตร เพื่อนของคุณบีก็สะกิดบอกคุณบีว่า “มึง.. ลุงเขาบอกให้ช่วย” คุณบีเล่าเสริมอีกว่าอยู่ ๆ เพื่อนก็พูดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คุยอะไรกัน และไม่มีเสียงอะไรด้วย! เพื่อนคุณบีบอกว่า “ลุงเขาบอกว่า ไปบอกลูกสาวเขาหน่อย ว่าคนคนเนี้ย เป็นคนฆ่า แล้วเขาหนีไปที่ไหน” คุณบีได้ยินดังนั้นก็ขนลุกไปทั้งแขน แล้วก็รีบพากันขับรถกลับบ้านทันที! ทั้งสองคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ได้บอกใคร ผ่านไปไม่กี่วันคนร้ายก็เข้ามามอบตัวกับตำรวจ แล้วก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้ ลุงเขาไปกวน ลุงเขาจะเอาชีวิตให้ได้เลย” ทางด้านลูกสาวของผู้เสียชีวิตก็ถามว่าทำไมต้องฆ่าคุณลุง คนร้ายก็บอกว่า โมโหที่คุณลุงเคยต่อว่าแม่ของเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งคนร้ายคนนั้นก็คือ “คู่อริ” ที่ทะเลาะกันในคืนนั้นนั่นเอง คุณบียังเล่าเสริมอีกว่า คนร้ายคนนั้นก็คือคนที่คุณลุงบอกกับเพื่อนของคุณบีจริง ๆ แล้วคุณบีก็พึ่งมารู้ทีหลังว่าวันที่เจอคุณลุงพร้อมกับเพื่อนนั้น คุณลุงเขาวิ่งตามรถจนเกือบไปถึงวัด ด้วยสภาพที่เหมือนกับวันที่ถูกฆาตกรรม! ในตอนนั้นเพื่อนคุณบียังบอกให้รีบขับเร็ว ๆ แต่คุณบีไม่คิดว่าจะมีอะไรจึงไม่ได้ใส่ใจ ดีเจเจ็มถามย้อนกลับไปในวันแรกที่คุณบีเห็นคุณลุงสวมเสื้อสีเหลือง ตอนนั้นคุณลุงยังอยู่ในสภาพปกติ คุณบีจึงบอกว่า “อาจจะตอนนั้นเขายังไม่รู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่จำหน้าคุณลุงได้ชัดเลย”ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ไรเดอร์หนุ่มรับออเดอร์ส่งพัสดุ เจอป้อมใหญ่จึงขออนุญาตผ่านทาง แต่ทหารประจำป้อมไม่ตอบ จึงคิดว่าเข้าไปได้ ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงกระแอม เมื่อหยุดรถก็พบว่าข้างหน้าเป็นหน้าผา! พอหันกลับมาก็เจอผู้หญิงกวักมือเรียก! จะหนีก็ดันสตาร์ทรถไม่ติด!

21 เม.ย. 2023

ไรเดอร์หนุ่มรับออเดอร์ส่งพัสดุ เจอป้อมใหญ่จึงขออนุญาตผ่านทาง แต่ทหารประจำป้อมไม่ตอบ จึงคิดว่าเข้าไปได้ ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงกระแอม เมื่อหยุดรถก็พบว่าข้างหน้าเป็นหน้าผา! พอหันกลับมาก็เจอผู้หญิงกวักมือเรียก! จะหนีก็ดันสตาร์ทรถไม่ติด!

“ไรเดอร์” เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เสี่ยงต่อการพบเจอเหตุการณ์แปลก ๆ เพราะต้องไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แถมอาจจะยังได้เจอกับสิ่งลี้ลับที่หลอนจนลืมไม่ลง ดังเช่นกับเรื่องราวในรายการ “อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio” ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ต่างก็ขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปตามอ่านกันได้เลย! พี่แจ็คเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเอิร์ธ’ หนุ่มไรเดอร์ที่วิ่งอยู่ในพัทยา วันหนึ่งช่วงพลบค่ำ เขาตัดสินใจว่าจะกลับบ้านไปพักผ่อน เนื่องจากยอดออเดอร์วันนี้ไม่ได้ตามที่หวังไว้ แต่ขณะที่กำลังจะกลับนั้น ดันมีออเดอร์ใหม่เข้ามา เป็นออเดอร์ส่งพัสดุไม่ใช่อาหาร และจะได้รับค่าส่งสูงถึง 369 บาท ยอดนี้ทำให้คุณเอิร์ธถึงกับตาลุกวาว จึงเปิดดูระยะทางที่ต้องไปส่งของ ก็พบว่าระยะทางไปกลับรวมกว่า 80 กิโลเมตร แถมช่วงเวลาตอนนั้นก็เริ่มดึก รถจึงไม่ติด คุณเอิร์ธมองว่ายังไงก็คุ้ม จึงตัดสินใจกดรับออเดอร์ และออกไปรับพัสดุทันที ซึ่งซองพัสดุนี้คาดว่าจะเป็นเอกสารราชการ (เนื่องจากมีเครื่องหมายตราครุฑ) และต้องนำไปส่งสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง เมื่อรับพัสดุเสร็จ ขณะที่กำลังขับรถออกมานั้น ลูกค้าเจ้าของออเดอร์ก็เดินมาที่หน้ารถและถามว่า “ไฟสูงรถพี่ใช้ได้ไหม” เขาจึงตอบไปว่า “ก็ใช้ได้ปกตินะครับ ทำไมหรอครับ” ลูกค้าก็ตอบกลับมาว่า “อ๋อ ผมเป็นห่วง เพราะถนนที่จะไปมันค่อนข้างมืดนิดหน่อย เลยมาถามก่อนว่าไฟสูงพี่ใช้ได้หรือเปล่า” คุณเอิร์ธจึงถามต่อว่า “แล้วหมุดปลายทางที่ปักให้ถูกต้องมั้ยครับ?” ลูกค้าก็ตอบว่าถูกต้อง เมื่อคุยกันเสร็จสรรพ คุณเอิร์ธก็ขับรถออกไปตามสถานที่ที่ลูกค้าบอกไว้ สถานที่ที่ลูกค้าหมุดไว้ มีลักษณะเป็นเหมือนค่ายทหาร คุณเอิร์ธจึงขับรถเข้าไปและได้เจอกับป้อมเก่าขนาดใหญ่ คุณเอิร์ธจึงจอดรถตรงป้อมเพื่อขออนุญาตผ่านทาง เมื่อมองเข้าไปภายในป้อมก็สังเกตเห็นว่า ภายในป้อมนั้นมีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างครบครัน เช่น กระจก โต๊ะ เก้าอี้ และมีทหารคนหนึ่งที่แต่งตัวเต็มยศนั่งเก้าอี้อยู่ แต่เขากลับมีท่าท่างแปลก ๆ เพราะนั่งแข็งทื่อ ส่วนหน้าก็มองตรงไปข้างหน้า ไม่หันมามองยังถนนที่คุณเอิร์ธจอดรถอยู่เลย คุณเอิร์ธจึงถามว่า “พี่ครับ ผมเข้าไปได้มั้ยครับ?” แต่ทหารคนนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของคุณเอิร์ธเลย คุณเอิร์ธคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน จึงบีบแตรรถไปหนึ่งครั้ง รอบนี้ทหารคนนั้นก็ยังไม่หันมามอง แต่กลอกตามาดูในขณะที่นั่งทื่อหน้าตรงอยู่อย่างนั้น แถมยังไม่พูดอะไร คุณเอิร์ธจึงทำท่าทางใบ้ประมาณว่ามีของมาส่ง ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย ทหารคนนี้เห็นท่าทีดังนั้น ก็กลอกตากลับไปมองตรงเหมือนเดิม คุณเอิร์ธจึงคิดว่า ”เข้าไปได้แหละ ถ้าไม่ได้ เขาคงห้ามแล้ว” คุณเอิร์ธจึงขับรถผ่านป้อมตรงเข้าไปประมาณ 100 เมตร โดยระหว่างทางก็มีไฟจากถนนส่องตลอดทาง จนไปถึงทาง 3 แยก ทางซ้ายมือจะไปยังอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ส่วนทางขวาจะเป็นทางขึ้นเนิน และ GPS ก็บอกให้เลี้ยวขวา คุณเอิร์ธก็เลี้ยวไปตามทาง ซึ่งทางขึ้นเนินค่อนข้างชัน และเส้นทางก็เริ่มขรุขระ แถมบรรยากาศก็ยิ่งมืดลงเรื่อย ๆ จนเจอป้ายที่เขียนว่า “กำลังก่อสร้างห้ามเข้า” แต่หมุดปลายทางให้ตรงไปทางนี้ คุณเอิร์ธคิดว่าลูกค้าน่าจะอยู่ข้างใน จึงขับตรงเข้าไปอีก คุณเอิร์ธยังบอกอีกว่า คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด มองไม่เห็นข้างทางและต้นไม้ใด ๆ เลย มีเพียงแค่ไฟสูงและไฟท้ายของรถตัวเองเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นคุณเอิร์ธก็เกิดอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงหัวเราะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณเอิร์ธพยายามไม่คิดมากจึงขับต่อมาอีกสักพัก จากนั้นก็จอดรถและกดโทร.หาลูกค้าว่า “ผมมาถึงตรงนี้แล้ว ผมมาถูกทางใช่มั้ยครับจะได้ตรงไปต่อ” ลูกค้าคนนั้นตอบมาว่า “อืม” แค่คำเดียว ทำให้คุณเอิร์ธเริ่มโมโห จึงบอกปลายสายไปอีกว่า “พี่ ผมมาส่งของ ผมมาทำงานนะ พี่อย่าแกล้งผมดิ” ปลายสายก็ยังคงตอบมาเพียง “อื้ม!” แล้วกดวางสายไปเลย! คุณเอิร์ธโมโหยิ่งกว่าเดิม จึงเปิดโทรศัพท์ไปที่แอปไรเดอร์ และส่งแชทไปว่า “พี่ครับช่วยแอดไลน์และส่งโลเคชั่นที่แม่นยำกว่านี้มาให้หน่อยครับ” แต่พอกดส่งมันก็ส่งไม่ไป และก็เห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์แสดงรูปสัญลักษณ์กากบาท นั่นหมายความว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ตั้งแต่แรก! แล้วเมื่อกี้.. เขาโทรติดได้ยังไงและโทรคุยกับใคร? เพราะยังไม่ได้ขยับไปไหน คุณเอิร์ธพูดกับตัวเองว่า “เอาไงดีวะ” แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขับต่อไปเพราะหมุดปลายทางอยู่อีกไม่ไกลแล้ว.. คุณเอิร์ธขับรถต่อมาอีกสักพัก ครั้งนี้เขาได้ยินเสียงกระแอมแว่วเข้ามาในหู เป็นเสียงของผู้ชายชัดเจน! ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นเจอแบบนี้ก็คงไม่จอด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้คุณเอิร์ธเหยียบเบรกจอดทันที! และสังเกตรอบ ๆ ว่าเสียงมาจากไหน แต่มองยังไงก็ไม่มีอะไรผิดปกติ สถานการณ์ตอนนั้นทำให้คุณเอิร์ธเริ่มเครียดจึงนำบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ และก็นึกขึ้นได้ว่าทางบ้านมีความเชื่อว่าเอาบุหรี่หรือพวกยาเส้นยาสูบเซ่นไหว้ให้ภูติผีแล้วจะดี จึงเอาบุหรี่อีกมวนจุดวางไว้ให้ในบริเวณนั้น แต่พอคุณเอิร์ธหันไปมองอีกทีกลับเห็นว่าไฟของบุหรี่ที่พึ่งวางมันวาบขึ้นมาเหมือนมีคนกำลังสูบและใกล้จะหมด! ซึ่งตอนนั้นคุณเอิร์ธมั่นใจว่าไม่มีลมพัดอย่างแน่นอน จึงนำโทรศัพท์เปิดไฟฉายขึ้นมาและลองเดินไปข้างหน้าอีกประมาณ 20 เมตร ก็เจอว่าถ้าตรงไปทางนั้นอีกนิดเดียวจะเป็นหน้าผาที่ชันมาก เป็นทางยาวไหลลงไปค่อนข้างลึก คุณเอิร์ธกลับมาคิดกับตัวเองว่า ถ้าขับต่อไปอีกนิดคงศพไม่สวยแน่เพราะเบรกยังไงก็คงไม่อยู่ และคิดว่า หรือเสียงกระแอมนั้นมาเตือนให้ตัวเขาหยุดรถหรือเปล่า..? เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันหลังเดินกลับมาที่รถ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ใจเขาตกไปถึงตาตุ่ม! เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงที่แต่งตัวมอมแมม ผมยาว มีผมหน้าม้าปิดทั้งส่วนของใบหน้าเหลือให้เห็นเพียงแค่ปาก และกำลังเดินออกมาจากป่าข้างทาง แต่ไม่ได้เดินออกมาธรรมดาเพราะเธอเดินแฉลบเฉียงข้างออกมาเป็นลักษณะเหมือนปูไปยังรถมอเตอร์ไซค์!! ความคิดในหัวคุณเอิร์ธตีกันว่าจะวิ่งหนีจากผู้หญิงคนนี้ หรือ จะถามทางเธอดี แต่ความคิดนั้นยังไม่ทันได้ข้อสรุป ปากคุณเอิร์ธกลับลั่นถามไปเองว่า “ผมหลงทาง ผมมาถูกทางใช่มั้ย” แทนที่ผู้หญิงคนนี้จะตอบ เธอกลับยกแขนซ้ายขึ้นมาตรง ๆ และกวักมือแบบเร็ว ๆ พร้อมกับผงกหัวเร็ว ๆ ตามแรงกวักมือ! คุณเอิร์ธบอกว่ามันเร็วมาก (แม้ว่าหลังเกิดเหตุคุณเอิร์ธจะลองกลับมาทำตามที่บ้าน ก็ทำไม่ได้) ทำให้ตอนนั้นสติและจิตหลุดพร้อมกันเลยก็ว่าได้ คุณเอิร์ธไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จึงตัดสินใจวิ่งหนีเลยผู้หญิงคนนั้นไป แต่นึกขึ้นมาได้ว่าลืมมอเตอร์ไซค์และโทรศัพท์ไว้ แถมทางที่เข้ามาก็ไกลมาก จึงวิ่งกลับไปยังที่เดิม และพอไปถึงผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว! จึงมองซ้ายมองขวาก่อนจะควบเบาะนั่งและสตาร์ทรถ แต่รถก็ดันสตาร์ทไม่ติด! แต่ไม่ใช่เพราะสิ่งลี้ลับเป็นเพราะแบตของรถมอเตอร์ไซค์ใกล้จะหมด จึงเอาตัวดันมอเตอร์ไซค์ไถไปเรื่อย ๆ ซึ่งระหว่างนั้น ผู้หญิงคนเดิมก็เดินแฉลบข้างโผล่มาอีกตามต้นไม้ข้างทาง!! คุณเอิร์ธบอกว่าเห็นชัดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคืนเดือนมืด จนจังหวะใกล้ลงเนินจึงลองสตาร์ทรถอีกครั้ง เมื่อเครื่องติดก็ขับออกมา ซึ่งก็ได้ยินเสียงผู้ชายไล่ตามหลังมาพูดประมาณว่า “ไปเลย อย่าหันกลับมา!” หลังจากออกห่างจากสถานที่ตรงนั้นได้จนมาถึงยังป้อมทางเข้า ปรากฏว่าป้อมนั้นกลายเป็นป้อมร้างที่ปิดใช้งาน เพราะล็อกกุญแจไว้ แถมไม่มีเฟอร์นิเจอร์เหมือนที่เห็นในตอนแรกเลย! พอออกมานอกป้อม คุณเอิร์ธก็เห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์กลับมาแล้วจึงโทรไปโวยวายกับลูกค้าว่าโดนผีหลอกไม่กล้ากลับเข้าไปส่งให้แล้ว และจะวางพัสดุไว้ที่นี่ให้ลูกค้ามาเอาพัสดุเอง เงินก็ไม่เอาแล้ว ลูกค้าจึงตอบกลับมาว่า “พี่ใจเย็น ๆ ก่อน ผมดูในแอปและเห็นตำแหน่งพี่อยู่ พี่อยู่ห่างจากจุดที่ผมปักหมุดให้ เลยไป 12 กิโล!” คุณเอิร์ธได้ยินดังนั้นถึงกับตะลึง เพราะเส้นทางที่ปักหมุดมามันไม่น่าเพี้ยนถึงขนาดนั้น ด้วยความที่กลัวมาก จึงถอดใจทิ้งเอกสารไว้ตรงนั้นและกลับบ้านทันที! เมื่อกลับถึงบ้านคุณเอิร์ธก็ไข้ขึ้นและนอนป่วยอยู่ 3 วัน กระทั่งหายดี จึงไปพูดคุยกับเพื่อน ๆ ว่าจุดที่เคยไปมันมีจริงหรือไม่ พร้อมกับเปิดไล่เส้นทางนั้นในแอปให้ดู เพื่อนก็บอกว่า “ป้อมนั้นมันร้างมานานแล้วนะ แถมเนินที่ขึ้นไปจอดรถ ตรงนี้มันก็คือสุสานฮวงซุ้ย” เมื่อคุณเอิร์ธเรียบเรียงความคิดทั้งหมดได้จึงคิดว่าตัวเองโดนพามาหลอกแน่ ๆ และที่ได้ยินเสียงผู้ชายปริศนาคนนั้นช่วยไว้ถึง 2 ครั้ง คงเพราะตัวเองได้เซ่นไหว้บุหรี่ให้นั่นเอง เมื่อคุณแจ็คเล่าเรื่องคุณเอิร์ธจบ ก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า อาชีพไรเดอร์มักเจอประสบการณ์หลอนที่หนักและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากต้องไปยังที่แปลก ๆ ซึ่งอาจจะไม่คุ้นเคย ทำให้เสี่ยงเจอเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแบบนี้ได้ตลอด ดังนั้นควรเช็คและสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ของลูกค้าให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

20 ม.ค. 2024

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

เมื่อไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านเเฟนส่งท้ายปี เเต่ก่อนเข้าบ้านไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ จนเจอดี นอนไม่ได้ทั้งคืน! เรื่องนี้ ‘คุณแฟร้ง’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 ธันวาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ต้อนรับปีใหม่’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เริ่มเรื่องจากที่คุณแฟร้งไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านแฟนในจังหวัดพิษณุโลก คุณแฟร้งได้เตรียมตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ต้นทางคือจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางนั้นได้ผ่านอำเภอหนึ่ง ซึ่งอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 100 กิโลเมตร พอเข้าเขตนั้นก็ต้องข้ามเขาไปอีก 1-2 ลูกกว่าจะถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ตามร่องเขา คุณแฟร้งบอกว่า บรรยากาศน่ากลัวใช้ได้ แฟนของคุณแฟร้งให้นามสมมุติว่า ‘คุณบี’ ซึ่งคุณบีรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อเดินทางไปถึงทางขึ้นเขา อยู่ ๆ คุณบีก็บีบแตร และคุณแฟร้งก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางขวามือ คุณแฟร้งจึงห้ามคุณบีและพูดว่า “ไปบีบแตรใส่ป้าเขาทำไม ป้าเขาไม่ได้ขวางทางอะไรเรา” จากนั้นคุณแฟร้งก็บ่นอุบไปเรื่อย จนคุณบีตะโกนด่าคุณแฟร้งและบอกว่า “ไม่ได้บีบแตรใส่ป้า แต่บีบแตรให้ศาล” แต่คุณแฟร้งกลับมองไม่เห็นศาลตรงนั้น เมื่อขึ้นเขาจนลงมาสุดแล้วเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่หมู่บ้านจะอยู่ติดกัน และอยู่เขตใต้ตีนเขา เมื่อถึงที่นั่น คุณแฟร้งก็ได้พบกับครอบครัวของคุณบี ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายของคุณบี เมื่อถึงช่วงเย็นก็นั่งสังสรรค์กับเหล่าญาติ จนเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง คุณแฟร้งก็เตรียมเข้านอนพร้อมกับคุณบี เพราะช่วงเวลานั้นคนในพื้นที่จะเริ่มเข้านอนกันหมด และทุกบ้านไม่มีใครฉลองปีใหม่ คุณแฟร้งก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะในวันสิ้นปีแบบนี้ หลายคนจะต้องสังสรรค์ถึงเที่ยงคืนไม่ก็เช้าตรู่ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครเคาท์ดาวน์เลย หลังจากนั้นคุณบีก็บอกให้คุณแฟร้งเข้านอนห้ามเกิน 4-5 ทุ่ม คุณแฟร้งจึงเข้านอนแต่กว่าจะหลับเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณแฟร้งได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน และเสียงประทัดดังขึ้น ในระหว่างนั้นคุณแฟร้งก็ตื่นและได้ยินเสียงพระสวดมนต์ข้ามปีออกลำโพงกระจายเสียงของหมู่บ้าน คุณแฟร้งไม่คิดอะไรจึงนั่งฟังเพลิน ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และในขณะที่พระสวดอยู่นั้นก็ได้ยินเหมือนไม่ใช่เสียงสวดมนต์ทั่วไป แต่เสียงสวดมนต์นั้นมีภาษาอื่นมาด้วย ตอนนั้นคุณแฟร้งเริ่มเคลิ้ม กึ่งหลับกึ่งตื่น และอยู่ดี ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาคุณแฟร้ง ซึ่งตอนนั้นคุณแฟร้งคิดว่าตัวเองฝันแต่ก็รู้สึกตัว แล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาเรียกและพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากันเถอะ มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่ มากินเหล้าเถอะมา”ชายคนนั้นพยายามจะเรียกคุณแฟร้ง ความรู้สึกของคุณแฟร้งตอนนั้นไม่ได้ฝันและรู้สึกตัวทุกอย่าง เขาเดินมาหาและพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่า “มา มากินเหล้าเถอะ อยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” และก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา คุณแฟร้งจึงตอบไปว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมกินมาแล้ว” แต่ชายคนนั้นก็พูดอยู่แต่คำเดิม ๆ จนกระทั่งคุณแฟร้งนึกขึ้นได้ในหัวว่า ‘อ้าว นี่ใครวะ??’ หลังจากนั้นคุณแฟร้งกำลังจะหันไปเรียกคุณบี สรุปว่าตัวแข็งทื่อ พอจะพูดก็ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พูดได้แค่ในลำคอ คุณแฟร้งรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนผีอำเข้าแล้ว! คราวนี้คุณแฟร้งตัดสินใจสวดมนต์ ระหว่างที่สวดอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็สวดตามคุณแฟร้ง! และก็พูดว่า “มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่มา” คุณแฟร้งตกใจ รีบตั้งสตินึกถึงบารมีพญาครุฑ บารมีท้าวเวสสุวรรณ บารมีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อกวย และหลวงปู่ชิน ขณะที่คุณแฟร้งท่องอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองลืมตาขึ้นมา ขณะที่ลืมตาก็เหมือนมีแสงขาว ๆ แว๊บมาแป๊ปนึง แล้วคุณแฟร้งก็สะดุ้งหลุดออกมาได้! เมื่อขยับตัวได้ก็เข้าไปกอดคุณบี แล้วคุณบีก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค รู้แล้ว ๆ” หลังจากนั้นคุณบีก็ลุกขึ้นไปจุดธูปไหว้พระ และบอกว่า “วันนี้พาแฟนมานอนด้วย ลูกลืมบอก” คุณแฟร้งเล่าเสริมว่า ปกติแล้วหากไปนอนต่างถิ่น ตนจะไม่ไหว้พระก่อนนอน ไม่บอกกล่าวอะไร เพราะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เวลาผ่านไปจนกระทั่งตี 3 คุณแฟร้งก็นอนไม่หลับยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคาใจอยู่ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึกคือรู้สึกตัวทุกอย่าง คราวนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินบนหลังคาบ้าน ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็ได้ยินคำเดิม “ไป ไปกินเหล้ากัน มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” คุณแฟร้งรู้สึกขนลุกและเข้าไปกอดแฟนแน่น และนอนไม่หลับจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเล่าให้แม่ของคุณบีฟัง ท่านก็จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกับคุณแฟร้งว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแฟร้งขึ้นเขามาแล้วไม่ได้ไหว้ศาลตรงที่ผ่านมา เพราะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ต้องข้ามเขาออกเขาทางนั้นและต้องเจอศาลนั้น และนอกจากนี้ศาลนั้นยังเป็นศาลที่ชาวบ้านนับถือกราบไหว้กันทุกวันหรือทุกปี ถือเป็นศาลประจำเขานี้เลยก็ว่าได้ ในวันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 คุณแม่และคุณพ่อของคุณบีก็ให้คุณแฟร้งไปหว่านแหที่ตีนเขา ระหว่างหว่านแหและจับปลา คุณแฟร้งก็ต้องดำน้ำ พอดำลงไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในน้ำและมองมาทางคุณแฟร้ง คุณแฟร้งสะดุ้งพุ่งจากน้ำขึ้นมาทันที! ตัดสินใจเลิกหว่านแหแล้วกลับบ้านเข้าสู่คืนที่สอง คุณแฟร้งก็คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเจออีกหรือไม่ เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ทุ่ม คุณแฟร้งก็นอนเวลาเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีคนมาเรียกว่า “มา ออกมาข้างนอกเถอะ ไปกินเหล้ากัน” นาทีนั้นคุณแฟร้งขนลุกซู่ และลุกมาเปิดโทรศัพท์ ค้นหาคาถาต่าง ๆ จากนั้นก็ท่องบอกกล่าวเจ้าที่ ผ่านไปสักพักประมาณตี 3-4 ก็ได้ยินเสียงบนหลังคาเหมือนเดิม ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากัน” คุณแฟร้งตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงนอนอย่างหวาดผวายันเช้า เช้าวันนั้นคุณแฟร้งเตรียมตัวกลับอยุธยา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 ระหว่างขับรถก็ต้องขึ้นเขาเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก่อนจะลงเขา รถของคุณแฟร้งดับไป ซึ่งดับระหว่างทางลงเขา คุณบีจึงจอดรถ คุณแฟร้งเช็คสภาพรถต่าง ๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ปรากฏว่ารถก็ปกติดี ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง คุณแฟร้งจะให้ญาติมารับ แต่อยู่ดี ๆ คุณบีก็ลองสตาร์ทรถจนติด เมื่อขับรถผ่านศาลก็จอดรถ เพราะคุณบีเตรียมเหล้ารวมทั้งสำรับคาวหวานมาไว้แล้ว และเข้าไปไหว้ที่ศาลนั้น ขอขมาว่า “ถ้าทำอะไรผิด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ” หลังจากนั้นคุณแฟร้งกับคุณบีก็เดินทางกลับได้ปกติ…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1