เรื่องเล่าจากฟิล์ม ธนภัทร์ 'หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากฟิล์ม ธนภัทร์ 'หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

09 ก.พ. 2025

     ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 กุมภาพันธ์ 2568) ‘คุณฟิล์ม ธนภัทร’ ได้นำเรื่องราวหลอน ‘หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต’ ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ลี้ลับ จนทำให้ต้องย้ายออก! เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร? มาฟังไปพร้อมกันกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งความหลอนอาจหลบอยู่ในที่ที่เราไม่เคยคิด!

     เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 13 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องเล่าจากเพื่อนของคุณฟิลม์ ซึ่งในขณะนั้นเพื่อนของคุณฟิลม์อาศัยอยู่ที่หอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิตพร้อมกับรูมเมทของเขา ตอนแรกทุกอย่างดูปกติ ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในห้อง..

     สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตคือ มีลมพัดในห้อง แต่หน้าต่างและประตูถูกปิดอยู่ และไม่ได้เปิดพัดลมหรือแอร์ จากนั้นไม่นาน พวกเขาเริ่มได้ยิน เสียงแปลกประหลาด บ้างก็เป็นเสียงเคาะโต๊ะหนังสือที่ปลายเตียง บ้างก็เป็นเสียงเก้าอี้โยกคล้ายมีใครบางคนนั่งอยู่

     เมื่อเวลาผ่านไป ความผิดปกติเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น อาหารในห้องหายไป อย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ในห้องไม่มีหนูหรือแมลงสาบแต่อย่างใด ด้วยความสงสัย เพื่อนของคุณฟิลม์จึงลองนำคุกกี้ไปวางไว้ที่มุมห้อง ปรากฏว่าคุกกี้ที่วางไว้กลับแตกออกเอง และบางส่วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

     จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนอีกคนมาค้างที่ห้องด้วย และเพื่อนคนนั้นเป็นคนที่มีเซนส์สัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้ ก่อนจะเข้าห้อง เพื่อนคนนั้นทักว่า “ห้องนี้เจ้าที่แรงนะ” จนกระทั่งรุ่งเช้า เพื่อนคนนั้นเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนเขาเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือปลายเตียง ทว่ามีเพียงเขาที่มองเห็น ขณะที่เพื่อนของคุณฟิลม์กลับไม่เห็นอะไรเลย

     หลังจากนั้น เหตุการณ์แปลก ๆ เริ่มเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่ง ขณะที่เพื่อนของคุณฟิลม์กำลังรีดผ้า เขารู้สึกได้ถึง ลมหายใจมาเป่าที่ข้างหู ราวกับมีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ นั่นทำให้เขารู้สึกหวาดระแวง จิตใจเริ่มไม่อยู่กับตัว จนนอนไม่หลับ

     ท้ายที่สุด เพื่อนของคุณฟิลม์จึงตัดสินใจโทรปรึกษาที่บ้าน และย้ายออกไปอยู่หอนอก แม้ในตอนแรกจะเลือกหอในเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เขาไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีก

     ในช่วงเวลากลางวัน ขณะที่กำลังเก็บของอยู่นั้น เสียงหัวเราะของชายปริศนาก็ดังขึ้น! ด้วยความตกใจ เขาจึงรีบสวดมนต์ แต่สิ่งที่เขาได้ยินคือเสียงที่ตอบกลับมาว่า

     “กูเป็นอิสลาม กูไม่กลัว!!”

     แต่เสียงไม่หยุดเพียงแค่นั้น แต่กลับหัวเราะดังลั่นทั่วห้อง ราวกับพอใจที่ได้เห็นเขาหวาดกลัว เพื่อนของคุณฟิลม์จึงพยายามรีบออกจากห้องและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาย่างก้าวเข้าไปในห้องนี้..

     หลังจากนั้น ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจสืบประวัติของหอพักแห่งนี้ จนกระทั่งพบว่า ผังของหอพักถูกสร้างขึ้นเป็นรูปยันต์ และที่น่าสะพรึงไปกว่านั้นคือ หอที่เขาอยู่เคยถูกใช้เป็นสถานที่เก็บศพในช่วงที่เกิดสึนามิ..  

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

นอนอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเย็น ๆ ที่นิ้ว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีผีดูดนิ้วอยู่! โดนดูดอยู่ 2 วัน ต้องทำบุญให้ถึงจะยอมไป พอมาคิดดูอีกที ก็จำได้ว่าเก็บนางกวักใส่กระเป๋าเดินทาง ทุกวันนี้ยังเก็บไว้แล้วบอกผีตนนั้นว่า “อยู่ด้วยกันไปเลยนะ ช่วยทำมาหากินกันไปเลย”

14 มิ.ย. 2023

นอนอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเย็น ๆ ที่นิ้ว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีผีดูดนิ้วอยู่! โดนดูดอยู่ 2 วัน ต้องทำบุญให้ถึงจะยอมไป พอมาคิดดูอีกที ก็จำได้ว่าเก็บนางกวักใส่กระเป๋าเดินทาง ทุกวันนี้ยังเก็บไว้แล้วบอกผีตนนั้นว่า “อยู่ด้วยกันไปเลยนะ ช่วยทำมาหากินกันไปเลย”

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิถุนายน 2566) ครั้งนี้มีสายจาก ‘คุณอั้บ’ นักร้องนำวง WHAT’S UP มาส่งต่อประสบการณ์ชวนขนหัวลุกให้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ ได้ฟังกัน เรื่องราวครั้งนี้เกี่ยวกับหญิงปริศนาที่มาดูดนิ้วคุณอั้บตอนกลางคืน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปตามอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณอั้บพึ่งเริ่มเดินสายเล่นดนตรีกลางคืนได้ใหม่ ๆ มีวันหนึ่งเขาเหนื่อยมากหลังจากไปเที่ยวเกาะกูดและแสดงคอนเสิร์ตที่ระยองมา พอกลับมาที่ห้อง คืนนั้นเขาก็หลับเป็นตาย ทว่าขณะที่นอนหงายอยู่ คุณอั้บก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเย็น ๆ อยู่ที่นิ้วกลางกับนิ้วนางข้างขวา พอลืมตาขึ้นมาก็ปรากฎให้เห็น ผู้หญิงผมยาว ตัวดำทั้งตัว เห็นแต่เพียงดวงตาสีขาว กำลังก้มดูดนิ้วของเขาอยู่! คุณอั้บเป็นคนไม่กลัวผี (ถึงขั้นที่ว่าสามารถกล่าวทักทายผีได้เลย) เขาจึงสบถด่าใส่ผีตนนั้นไปว่า “เห้ย มึงหื่นหรอ!” คุณอั้บเหนื่อยมากและไม่ต้องการให้ผีตนนี้มารบกวนเวลานอน จึงบอกกับผีตนนั้นไปว่าว่าเขาไม่กลัวเธอหรอก เมื่อผีเงยหน้ามองคุณอั้บ สีหน้าของเธอไม่ได้ดูดุร้ายแต่กลับดูเป็นมิตร เขาใช้เวลายื้อยุดอยู่กับเธอประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้เลิกดูดนิ้ว ตอนนั้นคุณอั้บไม่สามารถขยับตัวซีกขวาได้เลย และผีตนนี้ก็ยังดูดนิ้วเขาต่อไป สุดท้ายคุณอั้บก็พูดกับเธอไปว่า “ถ้าขยับตัวได้ จุดธูปแช่งจริง ๆ ด้วย แต่ถ้าเกิดเอาจนตาย ไปเจอกันตอนเป็นผี” พอพูดเช่นนี้ผีตนนั้นก็หายตัวไป และลำตัวด้านขวาก็เริ่มขยับได้อีกครั้ง คุณอั้บจึงนอนต่อ เช้าวันถัดมา คุณอั้บแทบจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปแล้ว กระทั่งถึงเย็นวันนั้น ขณะที่กำลังจะต้องออกไปทำงานข้างนอก คุณอั้บก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้... คุณอั้บเริ่มสงสัยกับตัวเองว่าเขาฝันไปหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ จากนั้นก็ลองพูดลอย ๆ ขณะยืนแต่งตัวในห้องว่า “เห้ย ตัวเมื่อคืนน่ะ ถ้ามีจริง ๆ คืนนี้มาอีก เดี๋ยวจะรอ” และพูดต่อด้วยว่าจะยังไม่ทำบุญไปให้ เพราะไม่แน่ใจว่าผีที่เขาเจอมามีจริงรึเปล่า จากนั้นก็ออกไปทำงานตามปกติ ในคืนนั้นเอง คุณอั้บก็ลืมเรื่องที่ตัวเองได้พูดไปตอนเย็นเสียสนิท เขากลับมานอนอนที่ห้องเช่นเคย หลังจากที่ได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนเล็กน้อย แต่เมื่อนอนไปได้สักพัก เขาก็รู้สึกแน่นที่ท้องมาก ๆ เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นผีผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เธอมองหน้าของเขาอยู่ สองมือประสานใต้คาง และเอาเท้ากดไปที่ท้องของคุณอั้บ เรียกได้ว่าแทบจะนั่งอยู่บนตัวคุณอั้บเลยก็ว่าได้! เมื่อเห็นดังนั้นจึงรับรู้ได้ว่าผีที่เห็นน่าจะมีตัวตนจริง เขาจึงพูดกับเธอว่า “โอเค เดี๋ยวทำบุญไปให้ ไปนะ” จากนั้นผีตนนั้นก็ยิ้มแล้วหายไป วันต่อมาคุณอั้บก็ได้ไปทำบุญให้เธอตามสัญญา และคิดว่า ที่ผ่านมาเขาก็อยู่ห้องนี้มานาน ยังไม่เคยเจออะไร ตอนไปเที่ยวก็ไม่เคยทำตัวลบหลู่สถานที่ แล้วผีตนนี้มาจากไหนกัน? จนคุณอั้บมาเก็บกระเป๋าเดินทาง เขาก็ถึงบางอ้อว่า มีนางกวักรูปหนึ่งอยู่ในกระเป๋าตัวเอง จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เคยไปเที่ยวแล้วได้สิ่งนี้กลับมา ก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋าวางไว้ใต้เบาะ แล้วนั่งทับเธอมาตลอดทาง! “อยู่ด้วยกันไปเลยนะ ช่วยทำมาหากินกันไปเลย” คุณอั้บบอกกับนางกวักตนนี้ จนทุกวันนี้คุณอั้บก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย และที่น่าแปลกส่งท้ายคือ ห้องของคุณอั้บซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้น ไม่เคยมีใครมาอยู่อีกเลย นับแต่เขาย้ายออกไป พอเขาย้ายกลับมาเจ้าของตึกก็บอกกับเขาว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่มา 5 ปีแล้ว…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มกระตุกทั้งคืน! เมื่อไปนอนรีสอร์ทใกล้วัด คืนนั้นเห็นคนมาป้วนเปี้ยนที่หน้าห้อง แต่พอลุกไปดู ร่างนั้นก็หายวับไป! ซ้ำยังโดนกระตุกข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่ได้! ตื่นเช้ามาก็เจอรอยมือปริศนาอีก!!

01 ธ.ค. 2023

หนุ่มกระตุกทั้งคืน! เมื่อไปนอนรีสอร์ทใกล้วัด คืนนั้นเห็นคนมาป้วนเปี้ยนที่หน้าห้อง แต่พอลุกไปดู ร่างนั้นก็หายวับไป! ซ้ำยังโดนกระตุกข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่ได้! ตื่นเช้ามาก็เจอรอยมือปริศนาอีก!!

หลอนตั้งแต่ทางเข้า เมื่อเข้าพักในรีสอร์ท แต่กว่าจะเจอต้องผ่านเข้าไปในวัดก่อน! เรื่องหลอนนี้มาจาก ‘คุณโจ’ สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤศจิกายน 2566) บอกเลยว่าหลอนจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนหัวลุก! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปลายเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณโจจะต้องไปแข่งกีฬาในจังหวัดนครนายก จึงตัดสินใจขับรถไปกับแฟน และจองรีสอร์ทแห่งหนึ่งไว้ พอได้เวลาออกเดินทางก็ตั้งค่า GPS ไปรีสอร์ทนี้ จนประมาณ 6 โมงเย็น บน GPS ก็ขึ้นว่า อีกประมาณ 200 เมตร จะถึงรีสอร์ทให้เลี้ยวซ้าย แต่ในเส้นทางที่ไป รอบ ๆ ข้างนั้น ก็ไม่มีวี่แววที่จะเป็นซอยให้เข้าไปเจอรีสอร์ทได้เลย คุณโจก็ขับไปเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าเส้นทางนี้ไม่ได้เปลี่ยวอะไรมาก พอถึงจุดที่ต้องเลี้ยวซ้ายก็ต้องทำให้คุณโจแปลกใจ เพราะว่ามันเป็นทางเข้าวัด! ซึ่งมันเป็นเส้นทางร่วม ก่อนจะถึงรีสอร์ทต้องผ่านวัดนี้เข้าไปก่อน คุณโจจึงเลี้ยวเข้าไป เมื่อเลี้ยวเข้าซุ้มประตูวัดไปแล้ว ก็เจอต้นไทรต้นใหญ่ อยู่ด้านหน้า ถัดไปมีโบสถ์ แล้วทางนี้จะต้องค่อย ๆ เลาะขอบข้างทางวัดไป ก็ต้องผ่านโบสถ์ ที่ไว้โกศกระดูกตั้งเรียงรายอยู่ คุณโจก็ลองขับเลาะไป ได้แต่ภาวนาในใจว่ามันอาจจะไม่ใช่ แต่สุดท้ายก็ขับไปเจอรีสอร์ทจริง ๆ รีสอร์ทนี้ตั้งอยู่ด้านหลังวัด เป็นตึกเป็น 2 ชั้น และเป็นบ้านพักทั้งหลังให้เลือก คุณโจเลือกบ้านพักที่เป็นหลัง เพราะว่าสะดวกกว่า หลังจากรับกุญแจเรียบร้อยแล้ว คุณโจก็ขับรถเข้าไปที่บ้านพัก ลักษณะของบ้านหลังนี้คือ เป็นบ้านชั้นเดียว มีที่จอดรถอยู่ด้านหน้า เมื่อลงจากรถก็ไขกุญแจเข้าบ้านได้เลย เวลาจอดรถก็จะบังบ้านจนมิด คนข้างนอกก็จะมองไม่เห็นบ้านเรา เราก็มองไม่เห็นคนข้างนอก และ 3 ด้านของบ้านหลังนี้จะเป็นสไตล์ก่อปูนเปลือย ด้านหน้าจะเป็นกระจกบานใหญ่ใส แล้วก็มีม่าน มีประตูไขเข้าไป ระหว่างที่คุณโจกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน คุณโจก็เห็นพวงมาลัยแห้งวางอยู่ 3 - 4 พวง และธูปที่เคยถูกจุดไปแล้ว ด้วยความที่คุณโจกลัวว่าแฟนจะกังวล จึงหยิบทั้งหมดและโยนไปด้านข้างทันที ก่อนที่แฟนจะมาเห็น หลังจากนั้นก็ไขประตูเข้าบ้านไป ลักษณะด้านในของบ้านหลังนี้คือ เป็นบ้าน Studio ห้องน้ำอยู่ด้านใน เข้าไปแล้วจะเจอเตียงด้านซ้ายมือ 2 เตียง ตัวของคุณโจกับแฟนจะนอนคนละเตียงกัน คุณโจเลือกเตียงที่ติดกับริมกระจก ส่วนเตียงของแฟนจะอยู่ใกล้กับห้องน้ำ หลังจากจัดของกันเสร็จแล้ว คุณโจกับแฟนก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอก จนคุณโจได้ลืมเรื่องของพวงมาลัยไป ประมาณ 3 - 4 ทุ่ม คุณโจและแฟนก็ได้เตรียมตัวเข้านอน เมื่อปิดม่านและปิดไฟเรียบร้อยแล้ว แต่คุณโจรู้สึกว่ามันมืดเกินไป มืดจนมองอะไรไม่เห็นจึงลุกขึ้นไปเปิดม่านเล็กน้อยเพื่อให้แสงเข้ามาได้ จากนั้นคุณโจก็กลับมาเล่นมือถือต่อ ส่วนแฟนของคุณโจหลับไปเรียบร้อย.. คุณโจเล่นมือถือไปได้สักพักก็รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่นอกบ้าน จึงเหลือบตาไปมองช่องผ้าม่านที่เปิดแง้มเอาไว้ สิ่งที่คุณโจเห็นก็คือเป็นลักษณะเหมือนเงาคน คุณโจจึงพยายามมองให้ชัดว่ามันคืออะไร แต่ว่าภายในห้องนั้นมืดและข้างนอกเองก็มีเพียงแสงเล็กน้อย และได้เห็นเงาที่ว่านั่น เป็นเงาของคน และเป็นผู้หญิงแน่ ๆ เพราะว่า ช่วงผมที่มันฟูๆ จะเห็นได้ว่าเป็นผม ในระหว่างที่คุณโจกำลังพยายามจะมอง เหมือนกับว่าเขาคนนั้นกำลังหันหน้าจากขวาค่อย ๆ มาด้านซ้ายตรงที่คุณโจนอน แล้วมาหยุดตรงกันพอดี! คุณโจรู้สึกได้ว่าเขาชะงักเมื่อเห็นหน้าคุณโจ ตอนนั้นคุณโจไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นนอกกลัวว่าคนนั้นจะเป็นโจรมางัดรถงัดบ้าน จึงรีบพุ่งตัวไปเปิดม่าน แต่จังหวะที่คุณโจพุ่งเข้าไปก่อนจะถึงม่าน เงานั้นก็ขยับตัวไปทางขวา คุณโจก็รีบเปิดม่านจนสุด แต่ปรากฏว่ามันไม่มีอะไรเลย! คุณโจคิดว่ามันเร็วมาก ไม่น่าจะหลบได้เร็วขนาดนั้น ทางด้านแฟนก็รู้สึกตัวตื่นจึงถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า” คุณโจก็ตอบกลับไปว่า “อ๋อ ไม่มีอะไร แค่จะมาดูว่ารถจอดดีไหม” คุณโจไม่กล้าเล่าว่าเจออะไร จึงรีบกลับไปนอนและครั้งนี้ปิดม่านทึบไปเลย สักพักนึงคุณโจก็ผล็อยหลับไป.. คุณโจสะดุ้งตื่นเพราะว่ารู้สึกว่าถูกกระตุกที่ข้อเท้าแรงมากจนหัวตกจากหมอน ตอนนั้นคุณโจก็ยังมึนงงอยู่ และรู้สึกได้ว่าข้อเท้าทั้ง 2 ข้างนั้นเหมือนมีคนกำอยู่ เมื่อเหลือบตาไปมองปลายเท้า คราวนี้ห้องไม่ได้มืดเหมือนครั้งแรก ทำให้คุณโจเห็นว่ามีเงาอยู่ที่ปลายเท้า ซึ่งมือทั้ง 2 ข้างของเงานั้นกำลังกำข้อเท้าของคุณโจอยู่แน่นมาก! คุณโจพยายามจะขยับตัวหรือจะร้องออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตา จึงพยายามเพ่งมองว่ามันคืออะไร ในระหว่างที่คุณโจกำลังเพ่งมอง เงานั้นก็ค่อย ๆ สูงขึ้น แต่ว่ามือที่จับข้อเท้ายังอยู่ที่เดิม จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาข้างหน้า คุณโจเริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่าคือผู้หญิงที่เห็นอยู่นอกบ้าน ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามา โดยที่คุณโจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้กระทั่งหลับตา ภาพนั้นมันใกล้มาก ๆ จนผมฟู ๆ ของผู้หญิงคนนั้นมาโดนใบหน้าของคุณโจ แต่หน้าของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้กับหน้าของคุณโจ ในระหว่างที่คุณโจกำลังคิด ก็ได้ยินเสียงพูดจากผู้หญิงคนนี้ว่า “ดูสิ ดูสิ อยากเห็นไม่ใช่หรอ” พูดซ้ำอย่างนี้อยู่ 2 รอบแล้วก็หัวเราะ! คุณโจก็พยายามที่จะสวดมนต์ แต่ด้วยความกลัวในตอนนั้นทำให้คุณโจสวดได้แค่ “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” วนอยู่แค่นี้ และขณะที่คุณโจพยายามสวด ผู้หญิงคนนั้นก็พูดมาเหมือนกันว่า “มองสิ มองสิ” แต่ ณ ตอนนั้นคุณโจก็หลับตาไม่ได้ เห็นตลอดแต่ว่ามองหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ไม่ชัด แต่ยังมีความรู้สึกว่าก้อนผมนั้นยังมาคลอเคลียอยู่ที่หน้าเขาตลอด สักพักความรู้สึกทั้งหมดก็หายไป จึงลุกขึ้นมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าเปิดไฟก็กลัวว่าแฟนจะตื่น คุณโจจึงพยายามนอนห่มผ้าหดขาดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาจนถึงคอและก็หลับไปอีกรอบ.. แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอีกเหมือนเดิม ขาที่คุณโจคิดว่าหดเข้าไปแล้วก็ถูกกระตุกจนหัวตกจากหมอนอีกรอบ ทุกอย่างเหมือนถูกรีรัน ตั้งแต่โดนจับข้อเท้า โน้มตัวเข้ามาแล้วสักพักก็หลุดไป ตัวคุณโจก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการมาแกล้งหรือว่าต้องการมาบอกว่าคุณโจทำอะไรผิด แต่คุณโจก็นึกคิดได้ว่าอาจจะเกี่ยวกับที่คุณโจโยนพวงมาลัยกับธูปทิ้งไป และในรอบ 2 นี้ ทันทีที่คุณโตเริ่มขยับตัวได้ก็รีบเปิดไฟและดูนาฬิกา ปรากฏว่าตอนนี้เป็นเวลา ตี 5 ครึ่ง แฟนของคุณโจพลิกตัวหันมาถามคุณโจว่า “นอนไม่หลับหรอ” คุณโจก็ยังไม่กล้าเล่าให้แฟนฟัง จึงตอบกลับไปว่า “เออใช่ นอนไม่หลับ” แฟนของคุณโจก็หันหลังกลับไป คุณโจตัดสินใจว่าไม่นอนต่อแล้ว จนเวลาเกือบ 6 โมงเช้า คุณโจก็ลุกไปเปิดม่าน แต่ก็ต้องทำให้คุณโตตกใจผงะถอยหลังออกมา เพราะว่าตำแหน่งที่คุณโจเห็นเงาผู้หญิงจากข้างนอกเมื่อคืนนี้ มีรอยมือที่ใหญ่และนิ้ว 4 นิ้วที่เรียวยาวมาก คุณโจก็ตัดสินใจเล่าให้แฟนฟัง หลังจากที่แฟนได้ฟังแล้ว แฟนก็เล่าในมุมมองของตัวเองบ้างว่า “นอนไม่หลับเหมือนกัน รู้สึกเหมือนมีแมลงหรือยุงมาไต่หน้าไต่แขน” หลังจากคุณโจได้ฟังก็คิดว่าว่าไม่น่าจะใช่ยุง จึงถามแฟนไปว่า “มันเหมือนผมหรือเปล่า ที่มันมาไรโดนหน้า” แฟนก็บอกว่า “ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้ รู้สึกเหมือนมีคนมาชะโงก แต่ว่าไม่กล้าลืมตา อาจจะเป็นผมก็ได้” ตัวแฟนก็ไม่กล้าพลิกตัวเพราะว่ากลัวคุณโจจะตื่น หลังจากคุยกันเสร็จ คุณโจก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปเพื่อที่จะไปดูรอยมือนั้นเพื่อหาเหตุผลว่ามันคือรอยอะไร พอเปิดประตูออกไป ตำแหน่งที่มีรอยมือนั้น ต้องเป็นคนที่สูงประมาณ 180 – 190 เซนติเมตร มือถึงจะอยู่ระดับนั้นได้ เพราะว่าพื้นห้องพักจะสูงกว่าลานจอดรถ ซึ่งรอยมือนี้เหมือนเป็นรอยมือจากไอร้อนอยู่ด้านนอก แล้วเป็นนิ้วที่ดูน่ากลัวมาก คุณโตก็คิดว่าอยู่อีกคืนไม่ได้แล้ว จะต้องย้ายที่พัก หลังจากนั้นคุณโตก็ไปแข่งกีฬา และไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ถามว่า “ไปนอนที่นี่ใช่ไหม” คุณโจจึงบอกว่า “ใช่” เพื่อนคุณโจจึงบอกว่า “โห ส่วนใหญ่แล้ว นักกีฬาที่ไปพักที่นี่หรือคนที่ไปพักที่นี่ ก็จะมีประสบการณ์แบบนี้หมด” ในระหว่างที่คุณโจและเพื่อนกำลังคุยกันอยู่นักกีฬาอีกกลุ่มหนึ่งที่นอนบนตึกก็มาบ่นกันว่า “นอนไม่หลับ” คุณโจจึงเข้าไปถามว่าทำไมนอนไม่หลับ สรุปแล้วหลายคนก็เจอคล้ายกันกับคุณโจ แต่เขาไม่ได้เล่าละเอียด เล่ามาแค่ว่า “เขาโดนกวน นอนกันไม่ได้” เพื่อนก็บอกว่า “ก็เป็นไปได้ว่าถ้ามาที่นี่ก็มีโอกาสที่จะเจอ” แต่คุณโจก็ไม่ได้ไปถามผู้ดูแลต่อ เพราะว่าถ้าถามไปเขาก็คงไม่เล่าให้ฟัง จึงคิดเองว่า ที่พักนี้อยู่ใกล้กับวัด ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ นี้ แต่สุดท้ายแล้วคุณโจก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คุณโจเจอเกี่ยวอะไรกับห้องที่เขาพักหรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

11 ส.ค. 2023

ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

งานแต่งงานขึ้นชื่อว่าเป็นงานที่คู่บ่าวสาวและแขกในงานต้องเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ หลายครั้งเราอาจจะต้องเจอรูปแบบงานที่ออกจะแปลกไปซะบ้าง แต่คงจะไม่แปลกเท่ากับเรื่องที่ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ นำมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (8 สิงหาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘งานแต่งสุดเพี้ยน’ เจ้าของเรื่องนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘คุณฮารุ’ เธอได้รับสายจากเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้คุยกันนาน นามสมมุติว่า ‘คุณโนริ’ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ โนริก็บอกว่ากำลังจะแต่งงาน แต่ยังกังวลอยู่เพราะไม่มีแขกมาร่วมงานและไม่รู้จะเชิญใครมา จึงชวนฮารุมาร่วมงานแต่ง ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ฮารุก็ตอบตกลงเพราะเห็นแก่มิตรภาพ โนริกล่าวขอบคุณและบอกว่าจะออกค่าที่พักและค่าเดินทางให้ทั้งหมด ขอแค่มาร่วมงานก็พอ หลังจากวางสาย ฮารุก็รู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ส่วนใหญ่เจ้าภาพมักจะดูแลค่าใช้จ่ายให้เฉพาะญาติสนิทหรือเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ แต่กับเธอนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างห่างเหิน “ทำไมโนริจะต้องออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ด้วย ?” แต่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ กระทั่งถึงวันงาน ฮารุออกเดินทางข้ามจังหวัดไปยังสถานที่จัดงาน เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเป็นอาคารที่เอาไว้ใช้สำหรับจัดเลี้ยงโดยเฉพาะ แต่พอเดินเข้าไปก็หาห้องที่จัดงานแต่งของโนริไม่เจอ เพราะไม่มีป้ายงานแต่งของโนริติดไว้ ฮารุเดินต่อไปจนเห็นฮอล์นึงที่ประตูเปิดแง้มไว้ ฮารุชะเง้อมองเข้าไปก็เห็นภายในงานที่เก้าอี้วางเรียงราย มีคนนั่งอยู่แค่ 2 – 3 คน จากนั้นโนริก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ทั้งสองทักทายกันพอเป็นพิธีโนริก็พาฮารุเดินเข้าไปในงาน ในจังหวะนั้นฮารุก็คิดในใจว่า ปกติเจ้าสาวจะต้องเก็บตัว แต่นี่มารับแขกเองถึงหน้างาน แล้วคนในงานก็ยังนิ่ง ไม่ได้หันมามองเลยว่าเจ้าสาวมาต้อนรับใคร ทุกคนในนั้นนั่งหันมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา ฮารุจึงบอกโนริไปว่า “เธอไปเตรียมตัวเข้าพิธีดีกว่า เราดูแลตัวเองได้” โนริก็ตอบกลับมาว่า “โอเค ๆ งั้นเราไปเตรียมตัวก่อนนะ อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเลยนะ” หลังจากโนริเดินจากไป ฮารุก็เลือกที่นั่งหลังสุดเพื่อความสบายใจของตัวเอง เวลาผ่านไปไม่นาน ประตูฮอล์นั้นก็ปิดลง พิธีกรขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำพิธี (พร้อมทั้งเป็นบาทหลวงไปในตัว) จากนั้นก็เชิญเจ้าสาว ประตูเปิดออกมา โนริที่เป็นเจ้าสาวก็เดินออกมาคนเดียว ตอนนั้นเองฮารุก็สงสัยว่าทำไมไม่มีคนในครอบครัวเดินมาส่งตัวเจ้าสาวเลย แต่ก็เพราะไม่ได้ติดต่อกันนาน ครอบครัวของโนริอาจจะไม่สะดวกมาร่วมพิธีก็เป็นได้ ฮารุคิดไว้เพียงเท่านั้น หลังจากโนริเดินขึ้นไปบนเวที พิธีกรก็กล่าวเชิญเจ้าบ่าว ประตูเปิดอีกครั้ง ฮารุได้ยินเสียงล้อดังเอี๊ยดอ๊าด พอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นเจ้าบ่าวที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่แล้วมีพนักงานเข็น แต่ด้วยความที่เห็นจากที่ไกล ๆ จึงคิดแค่ว่าเจ้าบ่าวอาจจะพิการหรือป่วยอยู่จึงเดินไม่ได้ จนกระทั่งรถเข็นเลื่อนไปถึงข้างหน้า เจ้าสาวก็เดินลงมาจับมือเจ้าบ่าวให้ยืนขึ้น แล้วเจ้าบ่าวก็ยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง! จากนั้นเจ้าสาวก็จับขาให้ยืดตรง จับหลังให้ยืดตรง จนเจ้าบ่าวอยู่ในท่าตรง วินาทีนั้นทำให้ฮารุได้เห็นว่าเจ้าบ่าวคือหุ่น! พิธีกรมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็พอจะมองออกว่าเขาคงจะรู้อยู่แล้ว จึงทำหน้าที่ต่อให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น กระทั่งถึงตอนสุดท้าย เจ้าสาวก็จูบหุ่นที่เป็นเจ้าบ่าว ซึ่งปกติแล้วคนในงานจะต้องพากับปรบมือร่วมยินดี แต่กลายเป็นว่าทั้งฮอล์นี้ มีเพียงฮารุที่ปรบมืออยู่คนเดียว! ฮารุคิดในใจว่า “อย่าบอกนะ ว่าเราเป็นคนคนเดียวที่เป็นแขกในงานนี้” คิดได้ดังนั้นก็เตรียมลุกออกจากงาน พอเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังออกมา เป็นโนริที่วิ่งออกมา เธอบอกว่า “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ ถ้าเป็นไปได้อยู่ปาร์ตี้ต่อคืนนี้ที่โรงแรมด้วยกันนะ” สีหน้าของโนริดูอ้อนวอนสุดขีด แต่ฮารุก็จำต้องปฏิเสธและให้เหตุผลว่าเกรงใจ แต่โนริก็ไม่ยอมแพ้ เธอบอกว่า “นะ ๆ อยู่ต่อเถอะนะ มีเธอเป็นแขกเพียงคนเดียวเลยนะ” นั่นทำให้ฮารุคิดได้ว่าแขกที่นั่งอยู่ในฮอล์ไม่กี่คนนั้น ไม่ใช่คน! หรือมันจะเป็นหุ่น! ฮารุจึงถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงว่า “เธอโอเคใช่มั้ย?” โนริตอบกลับว่าเธอโอเค และขอร้องให้ฮารุอยู่ร่วมงานปาร์ตี้คืนนี้อีกครั้ง ฮารุจึงตอบตกลง ฮารุเปลี่ยนชุดมาร่วมงานปาร์ตี้ที่จะเริ่มประมาณ 2 ทุ่ม สถานที่จัดงานคือโรงแรมริมทะเล ในงานมีเก้าอี้เรียงรายจัดเตรียมไว้แต่ไม่มีใครมาร่วมงาน ฮารุไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เพราะไม่มีพนักงานมาต้อนรับ เธอจึงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนึง แต่ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าสาวก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทักทายฮารุแต่อย่างใด เธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่หันหน้าออกไปทางทะเลด้านหน้าสุด ฮารุเห็นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เพราะบนโต๊ะไม่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่เลย มองซ้ายขวาหาพนักงานก็ยังไม่เจอใคร ฮารุจึงคิดว่าถือซะว่ามาร่วมงานแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วเตรียมจะเดินกลับห้อง ทันใดนั้นเอง เสียงเพลงประจำงานแต่งก็ดังขึ้น จากนั้น เจ้าสาวอย่างโนริก็ลุกขึ้นส่งยิ้มแล้วหันมาโบกมือให้รอบ ๆ ราวกับว่ามีแขกมาร่วมงานอย่างไรอย่างนั้น! ฮารุสังเกตเห็นว่าโนริยิ้มไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย และโนริยังพูดขึ้นมาอีกว่า “ไปก่อนนะทุกคน เรากำลังจะไปมีความสุขแล้ว” สิ้นเสียงโนริ เธอก็ค่อย ๆ เดินลงไปในทะเล! ฮารุตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวไม่ถูก พอมองไปรอบ ๆ จากตอนแรกที่ไม่มีใครก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตามโต๊ะทั่วงาน! เงาดำเหล่านั้นทำท่าปรบมือแสดงความยินดีกับโนริอีกด้วย! พอฮารุหันไปมองโนริอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีเงาคนมาดึงโนริลงไปในทะเล ฮารุตกใจสุดขีดกรี๊ดลั่นและรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองทันที! กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที มีคนมาเคาะประตูห้องของฮารุ “เป็นพนักงานโรงแรมนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า อยากให้เราแจ้งตำรวจมั้ย” ฮารุยอมเปิดประตูและเล่าเรื่องที่เจอให้พนักงานฟัง จากนั้นพนักงานก็ค่อย ๆ เล่าให้ฮารุฟังว่า “ผมก็ไม่ได้รู้จักคุณโนริเป็นการส่วนตัวอะไร แต่เห็นว่าเขาน่าสงสาร เขาบอกว่าขอให้จัดงานให้ตามปกติ ไม่ต้องมีอาหารอะไรเลย พอถึงวันงานก็เห็นว่าไม่มีแขกมาร่วมงานเลย” นอกจากนี้พอเอาชื่อของโนริไปเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูก็พบข่าวที่น่าตกใจว่า โนริเป็นคนเดียวที่ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากการที่โนริและครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน มี (ว่าที่) สามีเป็นคนขับรถ นั่นอาจทำให้โนริรู้สึกเสียใจที่ดันเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เธออาจจะอยากไปอยู่กับครอบครัวและว่าที่สามีในอนาคตก็เป็นได้ ส่วนโรงแรมก็พยายามตามหาโนริที่หายตัวไปในทะเลอยู่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฮารุไม่เข้าไปช่วยหรือห้ามโนริ ดีเจเจ็มก็เสริมว่าถ้าหากเป็นตัวเองที่อยู่ตรงนั้น แล้วเห็นเงาคนที่อยู่รอบ ๆ อาจจะคิดได้ว่าหรือตัวเจ้าสาวก็อาจจะไม่ใช่คนก็เป็นได้ หรือถ้าเป็นคนจริง ๆ เราที่เจอเรื่องราวแบบนั้นก็คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดก็เป็นได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

20 ม.ค. 2024

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

เมื่อไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านเเฟนส่งท้ายปี เเต่ก่อนเข้าบ้านไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ จนเจอดี นอนไม่ได้ทั้งคืน! เรื่องนี้ ‘คุณแฟร้ง’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 ธันวาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ต้อนรับปีใหม่’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เริ่มเรื่องจากที่คุณแฟร้งไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านแฟนในจังหวัดพิษณุโลก คุณแฟร้งได้เตรียมตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ต้นทางคือจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางนั้นได้ผ่านอำเภอหนึ่ง ซึ่งอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 100 กิโลเมตร พอเข้าเขตนั้นก็ต้องข้ามเขาไปอีก 1-2 ลูกกว่าจะถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ตามร่องเขา คุณแฟร้งบอกว่า บรรยากาศน่ากลัวใช้ได้ แฟนของคุณแฟร้งให้นามสมมุติว่า ‘คุณบี’ ซึ่งคุณบีรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อเดินทางไปถึงทางขึ้นเขา อยู่ ๆ คุณบีก็บีบแตร และคุณแฟร้งก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางขวามือ คุณแฟร้งจึงห้ามคุณบีและพูดว่า “ไปบีบแตรใส่ป้าเขาทำไม ป้าเขาไม่ได้ขวางทางอะไรเรา” จากนั้นคุณแฟร้งก็บ่นอุบไปเรื่อย จนคุณบีตะโกนด่าคุณแฟร้งและบอกว่า “ไม่ได้บีบแตรใส่ป้า แต่บีบแตรให้ศาล” แต่คุณแฟร้งกลับมองไม่เห็นศาลตรงนั้น เมื่อขึ้นเขาจนลงมาสุดแล้วเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่หมู่บ้านจะอยู่ติดกัน และอยู่เขตใต้ตีนเขา เมื่อถึงที่นั่น คุณแฟร้งก็ได้พบกับครอบครัวของคุณบี ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายของคุณบี เมื่อถึงช่วงเย็นก็นั่งสังสรรค์กับเหล่าญาติ จนเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง คุณแฟร้งก็เตรียมเข้านอนพร้อมกับคุณบี เพราะช่วงเวลานั้นคนในพื้นที่จะเริ่มเข้านอนกันหมด และทุกบ้านไม่มีใครฉลองปีใหม่ คุณแฟร้งก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะในวันสิ้นปีแบบนี้ หลายคนจะต้องสังสรรค์ถึงเที่ยงคืนไม่ก็เช้าตรู่ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครเคาท์ดาวน์เลย หลังจากนั้นคุณบีก็บอกให้คุณแฟร้งเข้านอนห้ามเกิน 4-5 ทุ่ม คุณแฟร้งจึงเข้านอนแต่กว่าจะหลับเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณแฟร้งได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน และเสียงประทัดดังขึ้น ในระหว่างนั้นคุณแฟร้งก็ตื่นและได้ยินเสียงพระสวดมนต์ข้ามปีออกลำโพงกระจายเสียงของหมู่บ้าน คุณแฟร้งไม่คิดอะไรจึงนั่งฟังเพลิน ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และในขณะที่พระสวดอยู่นั้นก็ได้ยินเหมือนไม่ใช่เสียงสวดมนต์ทั่วไป แต่เสียงสวดมนต์นั้นมีภาษาอื่นมาด้วย ตอนนั้นคุณแฟร้งเริ่มเคลิ้ม กึ่งหลับกึ่งตื่น และอยู่ดี ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาคุณแฟร้ง ซึ่งตอนนั้นคุณแฟร้งคิดว่าตัวเองฝันแต่ก็รู้สึกตัว แล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาเรียกและพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากันเถอะ มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่ มากินเหล้าเถอะมา”ชายคนนั้นพยายามจะเรียกคุณแฟร้ง ความรู้สึกของคุณแฟร้งตอนนั้นไม่ได้ฝันและรู้สึกตัวทุกอย่าง เขาเดินมาหาและพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่า “มา มากินเหล้าเถอะ อยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” และก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา คุณแฟร้งจึงตอบไปว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมกินมาแล้ว” แต่ชายคนนั้นก็พูดอยู่แต่คำเดิม ๆ จนกระทั่งคุณแฟร้งนึกขึ้นได้ในหัวว่า ‘อ้าว นี่ใครวะ??’ หลังจากนั้นคุณแฟร้งกำลังจะหันไปเรียกคุณบี สรุปว่าตัวแข็งทื่อ พอจะพูดก็ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พูดได้แค่ในลำคอ คุณแฟร้งรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนผีอำเข้าแล้ว! คราวนี้คุณแฟร้งตัดสินใจสวดมนต์ ระหว่างที่สวดอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็สวดตามคุณแฟร้ง! และก็พูดว่า “มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่มา” คุณแฟร้งตกใจ รีบตั้งสตินึกถึงบารมีพญาครุฑ บารมีท้าวเวสสุวรรณ บารมีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อกวย และหลวงปู่ชิน ขณะที่คุณแฟร้งท่องอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองลืมตาขึ้นมา ขณะที่ลืมตาก็เหมือนมีแสงขาว ๆ แว๊บมาแป๊ปนึง แล้วคุณแฟร้งก็สะดุ้งหลุดออกมาได้! เมื่อขยับตัวได้ก็เข้าไปกอดคุณบี แล้วคุณบีก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค รู้แล้ว ๆ” หลังจากนั้นคุณบีก็ลุกขึ้นไปจุดธูปไหว้พระ และบอกว่า “วันนี้พาแฟนมานอนด้วย ลูกลืมบอก” คุณแฟร้งเล่าเสริมว่า ปกติแล้วหากไปนอนต่างถิ่น ตนจะไม่ไหว้พระก่อนนอน ไม่บอกกล่าวอะไร เพราะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เวลาผ่านไปจนกระทั่งตี 3 คุณแฟร้งก็นอนไม่หลับยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคาใจอยู่ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึกคือรู้สึกตัวทุกอย่าง คราวนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินบนหลังคาบ้าน ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็ได้ยินคำเดิม “ไป ไปกินเหล้ากัน มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” คุณแฟร้งรู้สึกขนลุกและเข้าไปกอดแฟนแน่น และนอนไม่หลับจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเล่าให้แม่ของคุณบีฟัง ท่านก็จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกับคุณแฟร้งว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแฟร้งขึ้นเขามาแล้วไม่ได้ไหว้ศาลตรงที่ผ่านมา เพราะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ต้องข้ามเขาออกเขาทางนั้นและต้องเจอศาลนั้น และนอกจากนี้ศาลนั้นยังเป็นศาลที่ชาวบ้านนับถือกราบไหว้กันทุกวันหรือทุกปี ถือเป็นศาลประจำเขานี้เลยก็ว่าได้ ในวันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 คุณแม่และคุณพ่อของคุณบีก็ให้คุณแฟร้งไปหว่านแหที่ตีนเขา ระหว่างหว่านแหและจับปลา คุณแฟร้งก็ต้องดำน้ำ พอดำลงไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในน้ำและมองมาทางคุณแฟร้ง คุณแฟร้งสะดุ้งพุ่งจากน้ำขึ้นมาทันที! ตัดสินใจเลิกหว่านแหแล้วกลับบ้านเข้าสู่คืนที่สอง คุณแฟร้งก็คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเจออีกหรือไม่ เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ทุ่ม คุณแฟร้งก็นอนเวลาเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีคนมาเรียกว่า “มา ออกมาข้างนอกเถอะ ไปกินเหล้ากัน” นาทีนั้นคุณแฟร้งขนลุกซู่ และลุกมาเปิดโทรศัพท์ ค้นหาคาถาต่าง ๆ จากนั้นก็ท่องบอกกล่าวเจ้าที่ ผ่านไปสักพักประมาณตี 3-4 ก็ได้ยินเสียงบนหลังคาเหมือนเดิม ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากัน” คุณแฟร้งตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงนอนอย่างหวาดผวายันเช้า เช้าวันนั้นคุณแฟร้งเตรียมตัวกลับอยุธยา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 ระหว่างขับรถก็ต้องขึ้นเขาเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก่อนจะลงเขา รถของคุณแฟร้งดับไป ซึ่งดับระหว่างทางลงเขา คุณบีจึงจอดรถ คุณแฟร้งเช็คสภาพรถต่าง ๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ปรากฏว่ารถก็ปกติดี ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง คุณแฟร้งจะให้ญาติมารับ แต่อยู่ดี ๆ คุณบีก็ลองสตาร์ทรถจนติด เมื่อขับรถผ่านศาลก็จอดรถ เพราะคุณบีเตรียมเหล้ารวมทั้งสำรับคาวหวานมาไว้แล้ว และเข้าไปไหว้ที่ศาลนั้น ขอขมาว่า “ถ้าทำอะไรผิด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ” หลังจากนั้นคุณแฟร้งกับคุณบีก็เดินทางกลับได้ปกติ…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1