ซินแสเอ็กซ์เล่าเรื่อง 'เดือนต้องห้าม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 17 ก.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

ซินแสเอ็กซ์เล่าเรื่อง 'เดือนต้องห้าม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 17 ก.ย. 2567]

21 ก.ย. 2024

      ‘ซินแสเอ็กซ์’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เดือนต้องห้าม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

      ซินแสเอ็กซ์เล่าว่า ได้มีข้อความส่งมาหาซินแสเอ็กซ์เพื่อมาขอคำปรึกษาการเข้าบ้านใหม่ โดยเจ้าของบ้านที่ต้องการปรึกษาก็ได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีการย้ายเข้าบ้านใหม่ และได้มีการเชิญคนมาตั้งศาลตี่จู้เอี๊ยะให้ในวันนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคล พอตั้งเสร็จเจ้าของบ้านก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาว่าฤกษ์ตรงนี้ไม่ได้ จึงต้องโทรมาหาซินแสเอ็กซ์ เพราะหลังจากเจ้าของบ้านตั้งศาลนี้ก็รู้สึกว่ามีสิ่งแปลก ๆ ในบ้านเยอะมาก

      ในคืนนั้น ขณะที่เจ้าของบ้านทำงานอยู่หน้าห้องนอน ส่วนในห้องมีภรรยาและลูกเล็กนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันที่ชั้นล่าง เจ้าของบ้านจึงตั้งใจจะลงไปดู ขณะที่จะก้าวลงไปถึงห้องนั่งเล่น เสียงนั้นก็หายไป เจ้าของบ้านจึงคิดว่าเป็นเสียงจากข้างนอกจึงเดินกลับขึ้นห้องไป แต่ในระหว่างที่เดินกลับขึ้นไปก็ได้ยินเสียงอีก เจ้าของบ้านก็เดินกลับลงไปดูอีก หันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่มีใคร จึงเดินไปที่ตี่จู้เอี๊ยะแล้วจุดธูปพร้อมบอกกล่าวว่า

      ‘ขอให้อยู่บ้านนี้แล้วเฮง’

      จากนั้นก็เดินกลับขึ้นชั้นบน ในขณะที่เดินกลับขึ้นไปนั้น เจ้าของบ้านก็ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิด เมื่อชะโงกหน้าไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ดับไปต่อหน้าต่อตา! เจ้าของบ้านตกใจและรีบขึ้นไปเพื่อเข้าห้องนอน และกลั้นใจนอนหลับไป..

      เมื่อเจ้าของบ้านหลับไปก็ได้ฝันเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ คล้ายเงาอยู่ปลายเตียง พร้อมพูดว่า

      “ไอที่จุดธูปไหว้ไปเมื่อกี้เนี่ย มึงจุดธูปไหว้กูนะ มึงอยากให้กูอยู่ด้วยหรอ”

      เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นและคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาก็พบว่าเป็นเวลาตี 3 ยังไม่เช้า จึงพยายามข่มตานอนอีกรอบ แต่ก็ดันฝันอีกรอบ โดยฝันว่าตนนั้นกำลังนั่งในห้องรับแขก แต่ด้านนอกห้องรับแขกเห็นเป็นคนแก่ 2 คนหน้าตาใจดี แต่ดูกังวล เมื่อตนและคนแก่หันมาสบตากัน คนแก่ก็กวักมือเรียก ตนจึงเปิดประตูออกไปแล้วถามว่า

      “มาหาใครครับ มีอะไรครับ?”

      คนแก่ 2 คนจึงบอกว่า “มาหาลื้อนั่นแหละ”

      และยังบอกอีกว่า “ลื้อลองมองหันกลับเข้าไปในบ้านลื้อสิ ผีเต็มบ้านเลยนะ”

      เมื่อเจ้าของบ้านหันไปก็เห็นเป็นคนแต่งตัวมอมแมมอยู่ในบ้านเต็มไปหมด! เจ้าของบ้านกำลังจะหันกลับไปถาม แต่ทั้ง 2 ก็หายไปแล้ว

      เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาแต่ก็ยังไม่เช้า และไม่อยากฝันอีกจึงเลือกที่จะไม่นอนต่อ แล้วไปนั่งในห้องน้ำเพราะกลัวภรรยากับลูกตื่น คิดว่าตอนเช้าจะพาภรรยาไปทำบุญ

      พอเริ่มเช้า ภรรยาตื่นและเปิดประตูออกมาก็ถามเจ้าของบ้านว่า

      “ไปทำบุญกันไหม?”

      ทั้งครอบครัวจึงออกไปทำบุญ ในระหว่างที่ขับรถไปนั้น เจ้าของบ้านอัดอั้นตันใจมาก เพราะอยากที่จะเล่าเรื่องราวให้กับภรรยาฟัง จึงตัดสินใจจะเล่า แต่เมื่อเกริ่นไปแค่คำว่า “เมื่อคืน..” ภรรยาก็บอกให้หยุดและบอกว่าขอเล่าก่อน โดยภรรยาได้เล่าว่าเมื่อคืนได้ฝันเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ มีเงาอยู่ปลายเท้าพูดว่า

      “ผัวมึงไหว้กูอยู่นะ กูจะมาอยู่กับมึง”

      พอเจ้าของบ้านฟังจบก็เล่าเรื่องราวฝั่งตัวเองให้ฟัง ทั้ง 2 คนคิดว่าท่าทางเริ่มไม่ดีแล้ว จึงรีบไปวัด และเอาลูกไปฝากไว้กับพ่อแม่ก่อน เมื่อไปถึงที่วัดก็เล่าเรื่องราวให้พระฟัง พระท่านก็เสกน้ำมนต์และให้เครื่องรางของขลังมาเพื่อจะเอากลับไปไว้ที่บ้าน

      หลังจากได้ของจากพระ สามีภรรยาก็กลับไปที่บ้านและใช้ชีวิตตามปกติแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ตัวสามีก็ไปนั่งทำงานอยู่ที่เดิม ภรรยาก็อยู่ในห้องนอน และจู่ ๆ ไฟก็ดับทั้งบ้าน ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเพราะบ้านพึ่งทำใหม่และดับอยู่บ้านเดียว ทันใดนั้น สามีก็ได้ยินเสียงภรรยาร้องออกมาจากห้องนอน! สามีจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องนอน พอเปิดเข้าไปก็ได้รู้ว่าเสียงภรรยาออกมาจากห้องน้ำ สามีพยายามบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูแต่บิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก ตัวภรรยาเองก็บอกว่าไม่สามารถเปิดจากข้างในได้เหมือนกัน!

      สามีจึงรีบวิ่งไปเอาค้อนที่ชั้นล่าง และในระหว่างที่ขึ้นไปหาภรรยา สามีรู้สึกเหมือนมีคนมาขัดขาจึงล้มลงไปจนฟันหน้าหักเลือดท่วมปาก แต่ด้วยความที่เป็นห่วงภรรยาจึงรีบวิ่งขึ้นไป ในตอนที่กำลังจะเอาค้อนทุบประตูภรรยาดันเปิดประตูออกมาได้ปกติ เมื่อทั้งคู่เจอหน้ากันก็รีบเอากุญแจรถขับออกไปทันที และไปตั้งสติที่บ้านแม่

      สามีถามภรรยาว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวภรรยาจึงเล่าให้ฟังว่าในตอนที่เจ้าของบ้านนั่งทำงานอยู่ ภรรยาได้เข้าไปอาบน้ำ โดยลักษณะห้องน้ำจะมีกระจกกั้นระหว่างโซนเปียกกับโซนแห้ง ภรรยารู้สึกว่าหางตาเห็นเหมือนมีคนเอาหน้ามาอังตรงกระจก เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจจึงตั้งใจจะหันไปมอง แต่ในขณะที่หันไปมอง ไฟดันดับและภรรยาเห็นร่างคนตัวดำ ๆ ยืนอยู่ในห้องน้ำกับภรรยา! ภรรยาตกใจร้องกรี๊ดเสียงดัง หลังจากนั้นก็เล่าแม่ฟังอีกรอบ แม่บอกว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่ตั้งศาลกันในเดือนเจ็ดของจีน ซึ่งก็คือเดือนสิงหาคม ทางเจ้าของบ้านจึงโทรมาหาทางซินแสเอ็กซ์เพื่อขอคำปรึกษา และซินแสเอ็กซ์ก็ได้ให้คำปรึกษาไป..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ 'ยายสา' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

02 ธ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ 'ยายสา' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

ในทุกความมืดมิด และความสว่างยังคงมีการรอคอยจากยายสา คำพูดของเด็กสาวที่พูดเล่นในวันนั้นว่า จะไปอยู่ด้วย ทำให้มีวิญญาณของยายแก่มาคอยตามติดชีวิต และจนกว่าจะอายุ 25 ปี เธอจะต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้ไม่งั้นความตาย ที่รอเธออยู่ก็จะคลืบคลานมาพร้อมกับยายสา เรื่องเล่าของการรอคอยในความมืดที่ “คุณออโต้” ได้ฟังมาจากน้องน้ำ เป็นเรื่องราวที่ทำให้อุณหภูมิจากอากาศหนาว ๆ กลายเป็นร้อนทันที สามารถติดตามไปพร้อมกับ “ดีเจเจ็ม และ ดีเจแนน” ในรายการคลุมโปง ( 25 พฤศจิกายน 2568) ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว... ในช่วงเวลานั้น น้ำอาศัยอยู่ที่ภาคอีสาน บ้านของเธอค่อนข้างที่จะชนบทมากทุก ๆ วันน้ำจะต้องออกไปที่สวนกับพ่อ และน้องสาว แต่ในอาทิตย์นั้นไม่เหมือนที่ผ่านมาเพราะเธอไม่สบาย แต่พอน้ำอาการดีขึ้น ก็เลยเดินลงมาข้างล่าง เพื่อที่จะสูดอากาศยามเย็นช่วงโพล้เพล้ในตอนนั้นคุณแม่ ของเธอกำลังทำกับข้าว น้ำเลยเดินไปนั่งแถว ๆ ชานบ้านหางตาของเธอเหลือบไปเห็นยายคนนึง กำลังจะเดินผ่านหน้าบ้าน แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นยายสา คนที่อยู่ระแวกแถวบ้าน น้ำก็ไม่ได้คิดอะไรนั่งทำนู่นทำนี่ของตนเองไปแต่ยายสา กับมายืนอยู่ตรงบ้าน พร้อมพูดว่า ‘หลานเอ้ย ขอน้ำกินหน่อย’ น้ำก็เลยรีบวิ่งไปเอาน้ำให้คุณยาย แต่ยายมีท่าทีที่ยิ้มแปลก ๆ เมื่อเธอยื่นน้ำไปให้มือสาก ๆ เหี่ยวย่นของคนแก่ก็ลูบมาที่เนื้อตัวเธอ พร้อมกับชมว่า ‘เป็นคนดีจัง อยากเอาไปอยู่ด้วย’น้ำคิดแค่ว่า... ยายคงแค่พูดหยอก จึงตอบกลับไปด้วยความไม่ประสีประสาว่า...“จ้า จะให้ไปไหนล่ะ เดี๋ยวหนูไปด้วย” เป็นการพูดหยอกล้อกันตามประสาเด็ก กับผู้ใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ตะโกนเรียกให้เธอเข้าบ้านมากินข้าว ยายสาเลยค่อย ๆ ยื่นแก้วน้ำส่งคืนชั่วเวลาไม่กี่วิที่น้ำ หันไปมองแม่ และหันกลับมาหายาย ตรงหน้าของเธอก็เหลือแต่ความว่างเปล่า ยายสาได้หายไปแล้วน้ำเลยเดินกลับไปหาแม่ที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเย็น แม่ถามเธอว่า...‘เมื่อกี้้คุยกับใคร ทำไมเสียงดังจัง’ แต่พอน้ำบอกว่า เธอคุยกับยายสา สีหน้าของแม่ก็ตกใจแล้วรีบบอกให้น้ำ รีบกินข้าว และรีบกลับขึ้นไปนอน ตัวเธอเองก็ทำตามที่แม่บอกในคืนนั้นช่วงเวลาสี่ทุ่ม น้ำสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงคนเปิดประตูดังแอ๊ด… ดวงตาของเธอมองผ่านไปตรงประตู ช่วงจังหวะนั้นเอง ร่างที่เดินเข้ามาเป็นเงาเหมือนกับแม่ ของตนเองเธอเลยคิดว่า แม่คงมาดูอาการไข้ตามปกติ จึงจะหลับตาต่อ แต่ความรู้สึกที่น้ำ ได้รับคล้ายกับว่ามีน้ำอะไรเหนียว ๆ หยดลงมาบนหน้าจนเธอต้องลืมตาตื่นขึ้นมาดู สิ่งที่ได้เห็นผ่านความมืดที่เงียบงัน คือร่างของแม่เธอที่กำลังเอาลิ้นเลียหน้า น้ำตกใจมากด้วยความกลัวแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ร่างที่อยู่ในความมืดดำพูดออกมาเบา ๆ ว่า “เป็นตาแซ่บน้อ” จนเธอต้องรวบรวมความกล้า กรีดร้องออกมาจนลั่นบ้านเพื่อเรียกพ่อกับแม่ หางตาของน้ำ มองร่างของผู้หญิงที่เป็นแม่ แต่กลายเป็นว่า มันคือยายสา พ่อกับแม่รีบวิ่งขึ้นมาดูเธอ แต่ยายสารีบกระโดดจากหน้าต่างลงไป และเป็นเสียง สวบ สาบ ของร่างคนที่วิ่งลัดเลาะทุ่งนา เธอเลยรีบวิ่งไปกอดแม่ พร้อมกับเล่าทุกอย่างให้ฟังแม่รีบไปตามยายหมอธรรมข้างบ้าน มาผูกข้อแขนพร้อมกับเรียกขวัญให้ แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดีจนเวลาผ่านเลยไปสองวัน เธอก็หายไข้แล้ว แม่ก็ถามไถ่อาการตามปกติ แต่น้องสาวก็บอกว่าตอนกลางคืน น้ำชอบออกมานั่งยอง ๆ มองเธอแบบแปลก ๆ แต่น้ำกับไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำลักษณะท่าทางแบบนี้ และเวลาก็ผ่านพ้นไป ด้วยความที่ข้างบ้านมีคนทำพิธีไล่ผีกัน น้ำเลยชวนน้องสาวออกไปดูข้างหน้าที่เธอเห็นก็จะมีหมอธรรมที่กำลังทำพิธี แต่ข้างในสุดของบ้านหลังนี้เป็นยายสาที่กำลังนั่งกินอะไรสักอย่างอยู่ น้ำตกใจกับสิ่งที่เห็นเลยรีบเล่าให้น้องฟัง แต่กลายเป็นว่ามีแค่เธอคนเดียวที่เห็น พวกเธอเลยจะรีบวิ่งออกไป แต่ยายแก่ก็วิ่งเข้ามาจับแขนบอกให้เธอไปอยู่กับยาย น้ำจึงสลบลงไปด้วยความกลัวรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็อยู่ที่วัด กับพ่อแม่ และตอนนั้นเอง น้ำเลยได้รู้ว่า ยายสาเป็นหมอธรรมที่เล่นวิชาจนของเข้าตัว คนในหมู่บ้านเชื่อว่า แกโดนผีปอบสิงตอนที่เธอเห็นยายสาเดินผ่านหน้าบ้านจริง ๆ แล้วแกนอนป่วยติดเตียงอยู่ แต่มีคนหลายคนเห็นยายสา เดินไปเดินมายายแกเหมือนจะถูกใจน้ำ จึงมาทำพิธีจองตัวไว้พระท่านจึงทำพิธีแก้ให้กับน้ำไว้ ให้พกท้าวเวสสุวรรณติดตัวหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น น้ำก็ยังคงเห็นยายสา แต่แกเข้ามาหาเธอไม่ได้ และทุกวันพระวันโกน ยายสาจะชอบมานั่งยอง ๆ บนหลังคา คอยมอง วันที่น้ำได้ของจากพระมา ก็เป็นวันเดียวกับที่ยายสาเสีย หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าครบ 25 ปี ทุกอย่างจะคลี่คลายลง….(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เรื่องเล่าจากหมอบี ‘หนูน้อยชอบกินขนมหวาน’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

09 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอบี ‘หนูน้อยชอบกินขนมหวาน’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เคยได้ยินหรือไม่ว่าการที่คนคนหนึ่งมีนิสัยที่ต่างออกไปจากเดิมมาก ๆ นั้น มีสาเหตุมาจากการที่วิญญาณของคนเป็นกับวิญญาณของคนตาย อาจจะสลับกันได้ เรื่องราวนี้ ’หมอบี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘หนูน้อยชอบกินขนมหวาน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! หมอบีเล่าว่า มีครอบครัวหนึ่งแจ้งหมอบีเข้ามาว่า มีลูกสาวคนหนึ่งมีพฤติกรรมเกรี้ยวกราดขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้น้องคนนี้เป็นเด็กดีมาก ว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กที่กินอาหารไม่ยาก ผักก็กินหมด และพ่อกับแม่ก็เคร่งมาก ควบคุมให้น้องไม่กินขนมหวานตอนกลางคืน มีอยู่วันหนึ่ง น้องอยากกินขนมมาก แต่พ่อกับแม่ไม่ให้กิน น้องจึงตื่นมากลางดึก แอบลงมาหาขนมกิน แต่เห็นพ่อกับแม่กำลังกินขนมอยู่ น้องโกรธมาก น้องคิดว่า ‘ทำไมไม่ให้หนูกิน ทั้งที่หนูอยากกิน แต่พ่อกับแม่แอบมากินขนมได้’ น้องจึงคว้ามีดที่ตัดขนมมาแทงพ่อกับแม่ด้วยความโกรธ แทงไปหลายครั้ง แต่พ่อกับแม่ไม่ตาย จึงแจ้งหมอบีเข้ามา ตอนที่หมอบีมาถึง คือหลังจากที่เกิดเหตุการณ์มาแล้ว หมอบีจึงไปสืบที่ไปที่มาของเรื่องนี้ซึ่งได้ความมาว่า บ้านหลังนี้พ่อแม่มีอาชีพถ่ายภาพศพ ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ไม่กี่วัน มีศพเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อเล่นเดียวกัน อายุเท่ากันกับลูกสาว ทั้งสองก็ทำศพตามปกติ แต่งหน้าให้สวยเพื่อจะถ่ายรูป ระหว่างทำงานก็มีความคิดว่า อยากให้ศพเด็กผู้หญิงคนนี้ดูยิ้ม จึงยัดลูกอมและขนมหวานเข้าไปในปากศพ จากนั้นก็ดันแก้มขึ้นมาเพื่อให้ศพดูยิ้ม ส่วนลูกสาวก็มาเล่นและคลุกคลีอยู่บริเวณศพเป็นปกติ ระหว่างที่กำลังทำงานกันอยู่ น้องก็วิ่งเขามาบอกวพ่อกับแม่ว่า “ศพยิ้มได้เอง บางทีก็ไม่ยิ้ม บางทีก็หายตัวไป” พ่อกับแม่ไม่เชื่อ แต่ก็คาใจ เพราะปกติน้องไม่เคยมาพูดอะไรแบบนี้ เมื่อพ่อกับแม่ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน หลังจากนั้นไม่กี่วันน้องก็มีอาการหงุดหงิด โวยวาย ไม่ยอมกินข้าว อยากกินแต่ขนมอย่างเดียว ซึ่งขนมที่น้องอยากกินคือขนมชนิดเดียวกันที่ใช้ยัดปากศพ และก็เกิดเหตุการณ์ที่เล่าไว้ข้างต้น หลังเกิดเรื่อง เจ้าหน้าที่ได้นำตัวน้องไปสอบสวน ระหว่างที่ถามคำถาม น้องก็จะตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่พอถามเยอะมากเกินไป น้องก็ไม่ตอบ และอยู่ ๆ น้องก็คายขนมที่อยู่ในกระพุ้งแก้มออกมา ซึ่งเป็นขนมที่อยู่ในปากศพ หลังจากนั้นไม่กี่วัน น้องก็เสียชีวิตไป หมอบีได้บอกว่า มีความเชื่อหนึ่งว่า น้องผู้หญิงกับศพผู้หญิง อายุเท่ากัน ชื่อเดียวกัน แล้วเหมือนน้องจะไปทำอะไรบางอย่างกับศพ จึงสลับตัวกัน ซึ่งแปลว่า น้องตัวจริงอาจจะกลายเป็นศพ และเด็กที่มาอยู่กับพ่อแม่ อาจจะเป็นวิญญาณของศพเด็กผู้หญิงคนนั้น..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

20 ม.ค. 2024

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

เมื่อไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านเเฟนส่งท้ายปี เเต่ก่อนเข้าบ้านไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ จนเจอดี นอนไม่ได้ทั้งคืน! เรื่องนี้ ‘คุณแฟร้ง’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 ธันวาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ต้อนรับปีใหม่’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เริ่มเรื่องจากที่คุณแฟร้งไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านแฟนในจังหวัดพิษณุโลก คุณแฟร้งได้เตรียมตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ต้นทางคือจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางนั้นได้ผ่านอำเภอหนึ่ง ซึ่งอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 100 กิโลเมตร พอเข้าเขตนั้นก็ต้องข้ามเขาไปอีก 1-2 ลูกกว่าจะถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ตามร่องเขา คุณแฟร้งบอกว่า บรรยากาศน่ากลัวใช้ได้ แฟนของคุณแฟร้งให้นามสมมุติว่า ‘คุณบี’ ซึ่งคุณบีรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อเดินทางไปถึงทางขึ้นเขา อยู่ ๆ คุณบีก็บีบแตร และคุณแฟร้งก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางขวามือ คุณแฟร้งจึงห้ามคุณบีและพูดว่า “ไปบีบแตรใส่ป้าเขาทำไม ป้าเขาไม่ได้ขวางทางอะไรเรา” จากนั้นคุณแฟร้งก็บ่นอุบไปเรื่อย จนคุณบีตะโกนด่าคุณแฟร้งและบอกว่า “ไม่ได้บีบแตรใส่ป้า แต่บีบแตรให้ศาล” แต่คุณแฟร้งกลับมองไม่เห็นศาลตรงนั้น เมื่อขึ้นเขาจนลงมาสุดแล้วเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่หมู่บ้านจะอยู่ติดกัน และอยู่เขตใต้ตีนเขา เมื่อถึงที่นั่น คุณแฟร้งก็ได้พบกับครอบครัวของคุณบี ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายของคุณบี เมื่อถึงช่วงเย็นก็นั่งสังสรรค์กับเหล่าญาติ จนเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง คุณแฟร้งก็เตรียมเข้านอนพร้อมกับคุณบี เพราะช่วงเวลานั้นคนในพื้นที่จะเริ่มเข้านอนกันหมด และทุกบ้านไม่มีใครฉลองปีใหม่ คุณแฟร้งก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะในวันสิ้นปีแบบนี้ หลายคนจะต้องสังสรรค์ถึงเที่ยงคืนไม่ก็เช้าตรู่ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครเคาท์ดาวน์เลย หลังจากนั้นคุณบีก็บอกให้คุณแฟร้งเข้านอนห้ามเกิน 4-5 ทุ่ม คุณแฟร้งจึงเข้านอนแต่กว่าจะหลับเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณแฟร้งได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน และเสียงประทัดดังขึ้น ในระหว่างนั้นคุณแฟร้งก็ตื่นและได้ยินเสียงพระสวดมนต์ข้ามปีออกลำโพงกระจายเสียงของหมู่บ้าน คุณแฟร้งไม่คิดอะไรจึงนั่งฟังเพลิน ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และในขณะที่พระสวดอยู่นั้นก็ได้ยินเหมือนไม่ใช่เสียงสวดมนต์ทั่วไป แต่เสียงสวดมนต์นั้นมีภาษาอื่นมาด้วย ตอนนั้นคุณแฟร้งเริ่มเคลิ้ม กึ่งหลับกึ่งตื่น และอยู่ดี ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาคุณแฟร้ง ซึ่งตอนนั้นคุณแฟร้งคิดว่าตัวเองฝันแต่ก็รู้สึกตัว แล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาเรียกและพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากันเถอะ มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่ มากินเหล้าเถอะมา”ชายคนนั้นพยายามจะเรียกคุณแฟร้ง ความรู้สึกของคุณแฟร้งตอนนั้นไม่ได้ฝันและรู้สึกตัวทุกอย่าง เขาเดินมาหาและพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่า “มา มากินเหล้าเถอะ อยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” และก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา คุณแฟร้งจึงตอบไปว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมกินมาแล้ว” แต่ชายคนนั้นก็พูดอยู่แต่คำเดิม ๆ จนกระทั่งคุณแฟร้งนึกขึ้นได้ในหัวว่า ‘อ้าว นี่ใครวะ??’ หลังจากนั้นคุณแฟร้งกำลังจะหันไปเรียกคุณบี สรุปว่าตัวแข็งทื่อ พอจะพูดก็ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พูดได้แค่ในลำคอ คุณแฟร้งรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนผีอำเข้าแล้ว! คราวนี้คุณแฟร้งตัดสินใจสวดมนต์ ระหว่างที่สวดอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็สวดตามคุณแฟร้ง! และก็พูดว่า “มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่มา” คุณแฟร้งตกใจ รีบตั้งสตินึกถึงบารมีพญาครุฑ บารมีท้าวเวสสุวรรณ บารมีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อกวย และหลวงปู่ชิน ขณะที่คุณแฟร้งท่องอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองลืมตาขึ้นมา ขณะที่ลืมตาก็เหมือนมีแสงขาว ๆ แว๊บมาแป๊ปนึง แล้วคุณแฟร้งก็สะดุ้งหลุดออกมาได้! เมื่อขยับตัวได้ก็เข้าไปกอดคุณบี แล้วคุณบีก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค รู้แล้ว ๆ” หลังจากนั้นคุณบีก็ลุกขึ้นไปจุดธูปไหว้พระ และบอกว่า “วันนี้พาแฟนมานอนด้วย ลูกลืมบอก” คุณแฟร้งเล่าเสริมว่า ปกติแล้วหากไปนอนต่างถิ่น ตนจะไม่ไหว้พระก่อนนอน ไม่บอกกล่าวอะไร เพราะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เวลาผ่านไปจนกระทั่งตี 3 คุณแฟร้งก็นอนไม่หลับยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคาใจอยู่ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึกคือรู้สึกตัวทุกอย่าง คราวนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินบนหลังคาบ้าน ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็ได้ยินคำเดิม “ไป ไปกินเหล้ากัน มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” คุณแฟร้งรู้สึกขนลุกและเข้าไปกอดแฟนแน่น และนอนไม่หลับจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเล่าให้แม่ของคุณบีฟัง ท่านก็จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกับคุณแฟร้งว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแฟร้งขึ้นเขามาแล้วไม่ได้ไหว้ศาลตรงที่ผ่านมา เพราะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ต้องข้ามเขาออกเขาทางนั้นและต้องเจอศาลนั้น และนอกจากนี้ศาลนั้นยังเป็นศาลที่ชาวบ้านนับถือกราบไหว้กันทุกวันหรือทุกปี ถือเป็นศาลประจำเขานี้เลยก็ว่าได้ ในวันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 คุณแม่และคุณพ่อของคุณบีก็ให้คุณแฟร้งไปหว่านแหที่ตีนเขา ระหว่างหว่านแหและจับปลา คุณแฟร้งก็ต้องดำน้ำ พอดำลงไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในน้ำและมองมาทางคุณแฟร้ง คุณแฟร้งสะดุ้งพุ่งจากน้ำขึ้นมาทันที! ตัดสินใจเลิกหว่านแหแล้วกลับบ้านเข้าสู่คืนที่สอง คุณแฟร้งก็คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเจออีกหรือไม่ เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ทุ่ม คุณแฟร้งก็นอนเวลาเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีคนมาเรียกว่า “มา ออกมาข้างนอกเถอะ ไปกินเหล้ากัน” นาทีนั้นคุณแฟร้งขนลุกซู่ และลุกมาเปิดโทรศัพท์ ค้นหาคาถาต่าง ๆ จากนั้นก็ท่องบอกกล่าวเจ้าที่ ผ่านไปสักพักประมาณตี 3-4 ก็ได้ยินเสียงบนหลังคาเหมือนเดิม ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากัน” คุณแฟร้งตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงนอนอย่างหวาดผวายันเช้า เช้าวันนั้นคุณแฟร้งเตรียมตัวกลับอยุธยา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 ระหว่างขับรถก็ต้องขึ้นเขาเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก่อนจะลงเขา รถของคุณแฟร้งดับไป ซึ่งดับระหว่างทางลงเขา คุณบีจึงจอดรถ คุณแฟร้งเช็คสภาพรถต่าง ๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ปรากฏว่ารถก็ปกติดี ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง คุณแฟร้งจะให้ญาติมารับ แต่อยู่ดี ๆ คุณบีก็ลองสตาร์ทรถจนติด เมื่อขับรถผ่านศาลก็จอดรถ เพราะคุณบีเตรียมเหล้ารวมทั้งสำรับคาวหวานมาไว้แล้ว และเข้าไปไหว้ที่ศาลนั้น ขอขมาว่า “ถ้าทำอะไรผิด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ” หลังจากนั้นคุณแฟร้งกับคุณบีก็เดินทางกลับได้ปกติ…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

08 ธ.ค. 2023

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

ไปเที่ยวประจำปีกับเพื่อน ๆ ตามปกติ แต่กลับเจอดีจากสถานที่ที่ไปพัก เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ม.3 เทอม1’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็ค The Ghost Radio บอกว่า ‘คุณเอิร์ท’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง โดยต้องเล่าย้อนกลับไปสมัย Hi5 คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนมักจะมีการนัดไปเที่ยวประจำปี กลุ่มนี้สนิทกันมาตั้งแต่ ม.1 เทอมหนึ่ง จนขึ้น ม.2 เทอมหนึ่ง ก็มีการรวมตัวนัดคุย และเก็บเงินรายอาทิตย์ไว้ไปเที่ยวกัน เมื่อเก็บเงินครบจึงไปเที่ยวทะเลด้วยกัน พอมารอบนี้ ม.2 เทอมสอง ก็ไปเที่ยวกันอีก แต่รอบนี้ไปเที่ยวป่าเที่ยวเขา พอขึ้น ม.3 เทอมหนึ่ง ทุกคนก็รวมตัวกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไปเที่ยวทะเล เพราะว่าอยากกลับไปที่พักเดิมที่เคยไปในรอบแรก จึงรวมตัวกันได้ 14 คน เหมารถตู้กันไป และสมัยนั้นยังต้องโทรไปจองโรงแรม เพราะยังไม่แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสบาย เมื่อไปถึงที่พักในจังหวัดเพชรบุรี ปรากฎว่าเข้าพักไม่ได้ เพราะแขกที่พักก่อนหน้านั้นขออยู่ต่ออีกหนึ่งคืน คุณเอิร์ทกับเพื่อนก็รู้สึกเคว้งจึงไปนั่งปรึกษากันอยู่ริมทะเล งานนี้นอกจากจะมีวัยรุ่น 14 คนแล้ว ยังมีคุณ ‘แม่ของคุณเอิร์ท’ ไปด้วย ระหว่างที่นั่งปรึกษากันอยู่นั้น ก็มีวินมอเตอไซค์ขับผ่านมา แล้วถามว่า “นั่งทำอะไรกัน ได้ที่พักกันหรือยังหนุ่ม ๆ ?” เด็ก ๆ จึงบอกไปว่าต้องการที่พัก และโจทย์คือต้องอยู่ด้วยกันทั้ง 14 คน ทางวินมอเตอไซค์จึงขับรถนำรถตู้พาไปดูโรงแรม พอไปถึงที่แรกเป็นบ้านสองหลังติดกัน นอนได้ 14 คน แต่ไม่มีแอร์จึงขอผ่านไปก่อน อีกที่ เป็นบ้านสองหลังเหมือนกันแต่ไม่ตอบโจทย์ เพราะมีหลังอื่นขั้นตรงกลาง กระทั่งมาที่สุดท้าย เป็นบ้านสองหลังติดกัน มีแอร์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นทาวน์เฮ้าส์สองหลัง สองชั้น รวมสองหลังมีประมาณ 4 ห้องนอน รวมห้องโถงอีก ทุกคนโอเค ทางคุณแม่ของคุณเอิร์ทจึงไปติดต่อกับเจ้าของที่พักให้ บ้านทั้งสองหลังจะแบ่งเป็นสายเล่นเกมอยู่หลังที่หนึ่ง ส่วนหลังที่สองมีแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ด้วย แล้วก็มีคุณเอิร์ท รวมถึงเพื่อน ๆ อีกประมาณนึง ระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกอยู่ คุณเอิร์ทก็หันมามองบ้านหลังที่สอง เห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังไขประตูแต่ไขไม่ออก คุณเอิร์ทจึงไปช่วยเพื่อน และนำกุญแจไปไขแทน สรุปก็คือไขไม่ออกจริง ๆ เหมือนติดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน คุณเอิร์ททั้งทุบกลอน ทั้งไข ทั้งเขย่าประตู ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนเลยพูดกับประตูไปว่า “ถ้ามึงไม่เปิด ถ้าเปิดไม่ออก กูจะพังแล้วนะ” สิ้นเสียงคุณเอิร์ท ก็มีเสียงลูกบิดกลอนประตูดังก๊อก! แล้วประตูก็เปิดดังเอี๊ยดดดด! ณ ตอนนั้นคุณเอิร์ทกับเพื่อนยืนมองหน้ากัน แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นจังหวะที่ทุบแล้วมันหลุดมาพอดี ในระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกคุณเอิร์ทรู้สึกว่าร้อน แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะยังไม่ได้เปิดแอร์ แต่พอเป็นบ้านหลังที่สอง เขากลับรู้สึกเย็นเหมือนเปิดแอร์ทิ้งไว้ ขออธิบายภายในบ้านเพิ่มเติมว่า จากประตูที่คุณเอิร์ทยืนอยู่ มองไปข้างหลังจะเป็นเหมือนกับประตูที่ออกไปข้างนอก เป็นลานซักล้างและข้างประตูมีบานเกร็ด คุณเอิร์ทบอกว่าจังหวะที่ประตูเปิดเข้าไป คุณเอิร์ทมองไปที่บานเกร็ดเห็นเป็นเหมือนผ้าขาว ๆ พลิ้ว ๆ เหมือนคนตากผ้าไว้ จึงคิดว่าแขกคนเก่าอาจจะลืม คุณเอิร์ทจึงเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน พอเปิดประตูเสร็จ สิ่งที่คุณเอิร์ทเห็นเป็นผ้าสีขาวกลับไม่มี! คุณเอิร์ทคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงยืนนิ่ง ๆ อยู่สักพักนึง แล้วก็สะดุ้งเพราะเพื่อนทั้งหมดวิ่งกรูขึ้นไปข้างบนเสียงดังเฮฮาโวกเวกโวยวาย ความสนุกของเพื่อน ๆ ก็แผ่กลบบรรยากาศอันน่าสยองนี้ไป.. นอกจากบ้านที่คุณเอิร์ทมาพักแล้ว ฝั่งตรงข้ามก็มีอีกหลัง ซึ่งเป็นของพี่ ๆ น้อง ๆ ชาว LGBTQ พอพวกเขาเห็นกลุ่มคุณเอิร์ธที่เป็นวัยรุ่น จึงแซวข้ามไปข้ามมา สนุกสนานกันไป มีบางเวลาที่บ้านหลังแรกเล่นเกมกันไม่ออกไปไหน ส่วนหลังที่สอง คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนก็ไปเล่นน้ำ ในระหว่างทางเดินไปเล่นน้ำ จะมีเพื่อนคนหนึ่งของคุณเอิร์ทค่อนข้างหน้าตาดี จึงโดนพี่ ๆ ชาว LGBTQ แซวว่ามีแฟนหรือยังตามประสาทั่วไป ในจังหวะที่คุณเอิร์ทกับเพื่อนเล่นน้ำนั้น ตัดภาพมาที่บ้านหลังแรก มีเพื่อนของคุณเอิร์ทคนหนึ่งนอนอยู่ข้างบน ขณะที่คนอื่นกำลังเล่นเกมกันอยู่ เพื่อนที่นอนอยู่ก็ฝันเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีขาว ถักผมเปียคาดหน้าผาก มายืนมองเพื่อนคนนี้อยู่ที่ปลายเตียง แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น จากนั้นก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมอยู่ฟัง เพื่อน ๆ ก็บอกว่าสงสัยเห็นสาวที่ร้านสะดวกซื้อแล้วคิดมาก แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป ตัดภาพที่ฝั่งของคุณเอิร์ท หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จ เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ‘คุณปาร์ค’ ก็เดินไปบ้านหลังที่สอง ซึ่งบ้านหลังนี้ก็มีเพื่อนบางส่วน และมีคุณแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ คุณปาร์คไปเคาะประตูบ้านเพื่อที่จะอาบน้ำ ปรากฏว่ายืนเคาะอยู่ครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีใครมาเปิด จนกระทั่งเพื่อนออกมาเปิดประตู เพื่อนก็งงว่า “ทำไมไม่เคาะประตูทำไมถึงไม่เรียก มายืนค้างหน้าประตูทำไม” คุณปาร์คจึงตอบไปว่า “เรียกตั้งนานแล้ว ทั้งเคาะ ทั้งตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน” จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ขณะที่คุณปาร์คกำลังอาบน้ำ เขาสังเกตเห็นว่าตรงท่อระบายน้ำมีเส้นผมของผู้หญิง เขาคิดว่ามันเป็นของแขกคนก่อน พออาบน้ำเสร็จก็มานอนที่เตียง แล้วก็เคลิ้มหลับ คุณปาร์คก็ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดเดรสสีขาว ทรงผมถักเปียคาดหน้าผาก ยืนอยู่ที่ปลายเตียง แล้วค่อย ๆ เดินมาหาคุณปาร์ค ค่อย ๆ คุกเข่าคลานขึ้นมาบนเตียง แล้วก็เอามือมาจับที่แขนของคุณปาร์ค แต่ว่าจังหวะที่มือจับ คุณปาร์คสะดุ้งตื่น เพราะเพื่อนมาสะกิดพอดี คุณปาร์คไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่เก็บไว้ในใจ ตัดภาพมาที่ข้างล่าง ขณะนี้เป็นเวลาช่วงเย็น ตัวคุณแม่นั่งอยู่ข้างล่าง ส่วนคุณเอิร์ทไปปั่นจักรยานกับเพื่อน คุณแม่จึงโทรสั่งอาหารที่ดีลไว้กับที่พักให้มาส่ง เมื่ออาหารมาส่ง คุณแม่ก็บอกว่าเข้ามาได้เลย แต่คนส่งอาหารก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา จนกระทั่งคุณแม่ต้องให้เพื่อนคนนึงเดินเอาเงินไปให้และไปเอาอาหารเข้ามา หลังจากนั้นแต่ละบ้านก็แยกกันกินข้าว พอกินข้าวเสร็จ กลุ่มเพื่อน ๆ ก็ขึ้นไปข้างบน มีเพื่อนคนหนึ่งจะหาครีมทาตัว ก็ช่วยกันหาครีม ปรากฏว่าหลอดครีมทาตัวที่เขาวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมันไปอยู่ใต้เตียง ก็คิดว่าใครมาแกล้ง หรือผีหลอก จากนั้นก็เล่นปิดไฟหลอกผีกันไปมา โครมครามกันอยู่ข้างบน คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ พอเด็ก ๆ เล่นกันเสร็จก็ลงมานั่งดูทีวีกันข้างล่าง ปรากฏว่าตอนที่เด็ก ๆ ทั้งหมดลงมา คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงบนห้องเป็นเสียงกรี๊ด! เสียงปิดประตูปั๊งงงงง! เสียงเดิน เสียงย่ำเท้า คุณแม่จึงถามเด็ก ๆ ว่า “ได้ยินมั้ย?” เด็ก ๆ ตอบว่า “ไม่ได้ยิน” ต้องบอกก่อนว่าคุณแม่ของคุณเอิร์ทเป็นคนมีจิตสัมผัส คุณแม่จึงบอกว่า “มาลองจับตัวแม่” พอทุกคนจับตัวแม่เสร็จปุ๊ป พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ยิน” ตอนแรกเป็นเสียงเหมือนอยู่ไกล ๆ แต่พอไปๆ มา ๆ ก็แน่ใจว่าเสียงอยู่ชั้นสองของบ้าน พอเป็นเสียงกรี๊ด ก็กรี๊ดดังมาก ทุกคนจึงมานั่งกระจุกตัวอยู่กับคุณแม่ จังหวะนั้นคุณเอิร์ทก็เปิดประตูเข้ามาบ้านพอดี พอเห็นเพื่อนตัวเองนั่งเกาะแม่อยู่ คุณแม่ก็บอกว่าให้เงียบ ๆ แล้วถามว่า “เอิร์ทได้ยินมั้ย?” ด้วยความที่คุณเอิร์ทก็มีจิตสัมผัสเหมือนกัน จึงตอบว่า “ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง แต่ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงมาจากทีวี” พอหันไปมองที่ทีวีแต่ทีวีก็ปิดอยู่ คุณเอิร์ทจึงตั้งใจฟัง ปรากฏว่าได้ยินเป็นเสียงกรี๊ดข้างบน จากนั้นก็ปิดประตูแล้วก็วิ่ง คุณแม่จึงหันขึ้นไปข้างบนแล้วบอกว่า “ถ้ามึงไม่หยุด กูจะแช่ง” พอพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูปั๊งงง! แล้วก็เสียงกรี๊ด แล้วก็เสียงวิ่งดัง ๆ ตอนนั้นทุกคนกลัวมาก คุณแม่จึงบอกว่า “ให้ไปตามเพื่อนหลังแรกมาช่วยขนของที่นี่ แล้วเราไปอยู่หลังแรกกันก่อน” แต่ก็ไม่มีใครกล้าไป คุณเอิร์ทกับคุณปาร์คจึงอาสา พอเปิดประตูออกมาจากบ้านก็เดินผ่านหน้าบ้านชาว LGBTQ ซึ่งตอนนั้นพวกเขากำลังล้างรถกันอยู่ จึงแซวว่า “แหมม..มีแฟนแล้วก็ไม่บอก พาแฟนมาด้วยสวยเชียวนะ” ทั้งคู่ก็ตกใจเพราะไม่ได้มีผู้หญิงคนไหนมาด้วย จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปบ้านหลังแรก บ้านหลังแรกที่นั่งเล่นเกมกันอยู่ก็ตกใจ จึงแซวว่า “โดนผีหลอกมาเหรอ” แล้วก็ขำกัน ส่วนตัวของคุณปาร์คก็วิ่งขึ้นไปนอนคลุมโปงอยู่ข้างบน คุณเอิร์ทจึงตอบเพื่อนไปว่า “ใช่ กูโดนผีหลอก” แล้วก็เล่ารายละเอียดให้เพื่อนฟัง พร้อมบอกให้เพื่อน ๆ ไปช่วยกันเก็บของที่บ้านหลังที่สอง เมื่อไปถึงบ้านหลังที่สอง ก็รีบเก็บของจากข้างล่างขึ้นไปเก็บข้างบน ซึ่งข้างบนจะมีอยู่สองห้อง ห้องซ้ายกับห้องขวา ห้องหนึ่งเปิดประตูเก็บของเรียบร้อย ในตอนนั้นคุณเอิร์ทยืนอยู่ระหว่างทางห้องหนึ่งกับห้องสอง เขาก็ถามเพื่อนว่า “ของเก็บหมดยัง” เพื่อน ๆ จึงตอบไปว่า “เก็บหมดแล้วมั้ง” คุณเอิร์ทจึงหันไปมองห้องสอง แล้วพูดว่า “แล้วห้องนี้เก็บหรือยัง” พอพูดจบ ประตูก็ปิดเข้าหาหน้าดังปั๊งง! ใส่หน้าคุณเอิร์ท ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่บนนั้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง วิ่งไปขึ้นรถตู้ แต่คุณแม่ไม่อยู่ ทุกคนจึงรอคุณแม่มา เพราะคุณแม่ไปถามเจ้าของบ้านเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พอคุณแม่กลับมา ก็ขึ้นรถตู้เรียบร้อย รถก็ขับออกมา ทางด้านบ้านฝั่ง LGBTQ ก็ยังคงแซวอยู่ว่า “กลับแล้วหรอ” แต่ในระหว่างที่รถออกมา คุณเอิร์ทมองไปที่พี่ ๆ กลุ่มนั้น ก็เห็นว่าเขามองรถและมองบ้านสลับกันไปมา แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านตัวเอง เหมือนมองประมาณว่า ‘มึงลืมใครไว้ที่บ้านหลังนี้หรือเปล่า’ พอรถตู้ออกมาได้สักพัก ภายในรถก็นั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คุณแม่บอกว่า “เจ้าของบ้านแทนที่จะตอบ กลับไม่ตอบแล้วทำท่าอึกอัก แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะลดราคาให้” จนกระทั่งคุณแม่พูดถึงความผิดปกติของบ้าน คือบ้านสองหลังเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นตรงบันได บันไดบ้านหลังแรกเป็นบันไดไม้เวลาเดินขึ้นลงจะเห็นเท้าปกติ แต่บ้านหลังที่สองมีปูนถูกก่อขึ้นมาปิดใต้บันไดเอาไว้ จึงถามว่า “ตรงใต้บันไดมีอะไรหรือเปล่า เพราะมันไม่หมือนหลังหนึ่ง” ปรากฏว่าเจ้าของบ้านเล่าว่า “สมัยก่อน มีผู้หญิงผู้ชายเคยมาเช่าอยู่ แต่ทะเลาะกันยังไงก็ไม่รู้ผู้ชายลงมือฆ่าผู้หญิง เอาศพไปไว้ใต้บันได พยายามให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว แต่มันทำความสะอาดไม่ได้ คราบเลือดคราบน้ำหนองมันไม่หาย จึงโบกปูนขึ้นมาปิดเพื่อที่จะไม่ให้มีใครเห็น ก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไร” หลังจากนั้นระหว่างที่รถแวะจอดกินข้าว เพื่อนของคุณเอิร์ทได้นำไปเล่าให้กับป้า ๆ ที่ทำอาหารฟัง ป้าจึงบอกว่า “ยังไปพักกันอยู่อีกเหรอ ที่นี่ไม่มีใครไปพักนานแล้วนะ” หลังจากนั้นก็ได้แวะวัด ปรากฏว่ามีพระทักว่า “โยมไปเจออะไรกันมา หนักนะเนี่ย” พระท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ คุณเอิร์ทจึงติดใจมาตลอดว่าทำไม่ถึงถูกพระทักแบบนี้ และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนั้นมีคนรู้จักแนะนำให้ไปหาคนทรง คนทรงบอกว่า “เหมือนกับคนนี้ดวงซวยที่ไปเจอไปเห็นอะไร” เขาบอกว่ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ‘คุณเย็น’ ตอนที่จะเข้าไปเก็บของจากบ้านที่สองไปบ้านแรก คุณเย็นเปิดประตูเข้าไปแล้วยืนนิ่ง ๆ น้ำตาไหลร้องไห้ คุณเย็นบอกว่าพอเปิดประตูเข้าไป มองผ่านประตูข้างหลังที่มันทะลุไปพื้นที่ซักล้าง ก็เห็นเป็นผู้หญิงคนนั้น ยืนมองเขาผ่านหน้าช่องบานเกร็ด เขาบอกสิ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่มาเข้าฝัน ซึ่งไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ได้ยังไง เขาก็จึงยืนช็อคอยู่แบบนั้น คนทรงบอกว่า “ที่ไปเจอมาแบบนี้เพราะว่าจิตเราเปิด พอจิตเราเปิดเราจะมองเห็นอะไรอย่างอื่นด้วย” เพื่อนจึงตอบว่า “ใช่” เพราะหลังจากกลับจากไปเที่ยววันนั้น เขาฝันทุกวัน เห็นเป็นผู้ชายจะมาเอาชีวิต ซึ่งผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ พอมาคุยกับคนที่เป็นคนทรงจึงได้รู้ว่าคนนี้คือ เจ้ากรรมนายเวรที่จะมาเอาชีวิตหลังจากที่จิตเปิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือไปบวช เพื่อนคนนี้จึงไปบวชเณร หลังจากที่บวชเสร็จก็ใช้ชีวิตตามปกติ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่เจอที่ที่พักนั้นยังอยู่หรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1