เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

07 ก.ย. 2024

     ‘คุณหมอพิพิม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เก้าอี้ข้างเตียง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

     ‘คุณหมอพิพิม’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของลูกดวง ดูไปดูมาลูกดวงของคุณหมอพิพิมก็ได้บอกว่า

     “แม่นมาก ในเมื่อดูแม่นขนาดนี้ผมขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม”

     ซึ่งคุณหมอพิพิมก็ยินดี ลูกดวงจึงบอกว่าเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับ และเล่าให้คุณหมอพิพิมฟังว่า ลูกดวงทำงานที่ต่างตังหวัดเพราะได้งานใหม่ ซึ่งงานใหม่ที่ได้นี้มีสวัสดิการให้เป็นบ้านพัก 2 ชั้นที่ต้องอาศัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง โดยลูกดวงคนนี้จะอยู่ชั้น 2 เพื่อนร่วมงานจะอยู่ชั้นล่าง บรรยากาศของบ้านไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่ลูกดวงคนนี้จะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าไปในบ้านหลังนี้ ลูกดวงมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวที่ชั้น 2 รู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา และรู้สึกไม่ปลอดภัย

     โดยลักษณะชั้น 2 นี้ ห้องนอนจะอยู่ซ้ายมือ มีเตียงไม้ มีโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง และจะมีเก้าอี้อยู่ด้วยหนึ่งตัว พอลูกดวงนอนช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาช่วงวันที่ 4-5 ลูกดวงคนนี้ได้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างดึกและเกิดอาการง่วง จึงเก็บเอกสารและเอาเก้าอี้วางชิดใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเดินมานอนที่เตียง แต่เมื่อตื่นเช้ามาสิ่งที่ลูกดวงเห็นคือเก้าอี้มาอยู่ข้างเตียงในลักษณะที่หันเข้าหาเตียง ลูกดวงก็คิดไปว่าตัวเองอาจจะลืมเก็บเก้าอี้ไม่ได้คิดอะไร

     วันต่อมาเมื่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งทำงานที่ค้างตามปกติ แต่ขณะทำงานก็รู้สึกว่ามีคนจ้องและมองอยู่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จึงเก็บเอกสารเก็บเก้าอี้แล้วไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมาเก้าอี้ดันมาอยู่ข้างเตียงในลักษณะเดิมอีกแล้ว และคืนถัดไปก็ยังเป็นแบบนี้อีก

     เมื่อเป็นบ่อยเข้าก็รู้สึกไม่ไหวจึงสวดมนต์ก่อนนอน ในคืนนั้นลูกดวงได้บอกว่า ณ ตอนนั้นไม่มั่นใจว่ากำลังฝันหรือว่าเห็นเป็นภาพจริง คืนนั้นลูกดวงนอนแล้วหันตะแคงข้างออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา และหันไปเห็นผู้หญิงนั่งขดตัวอยู่ในเงามืดเหมือนร้องไห้ ในขณะนั้นลูกดวงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนผู้หญิงที่นั่งขดตัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง จนลูกดวงช็อคหลับไป เมื่อตื่นมาก็เห็นเก้าอี้มาอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว

     ลูกดวงถามคุณหมอพิพิมว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คุณหมอพิพิมจึงเปิดไพ่ และได้ความว่ามีจริง ๆ  แต่วิญญาณไม่ได้มาทำอันตราย แต่เหมือนวิญญาณเขาเหงา เขาไปไหนไม่ได้ นาน ๆ ทีมีคนมาอยู่เขาก็คงอยากจะสื่อสาร และเก้าอี้ปลายเตียงเป็นเก้าอี้ที่เค้าใช้นั่งประจำ ซึ่งเขาต้องการขอบุญ อยากให้คนทำบุญให้ ลูกดวงจึงทำบุญให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณโอ 'ความลับเเม่ชี' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

08 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณโอ 'ความลับเเม่ชี' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

ต้องไปนอนค้างคืนที่วัดป่า เพราะได้ไปทำงานจิตกรรมฝาพนังที่วัดแห่งหนึ่ง ก่อนไปจึงได้ถามเพื่อนว่า มีที่พักให้ไหม? เพื่อนก็ตอบว่า ‘ให้ไปนอนกับแม่ชีในวัดเลย’ พอไปถึงวัดก็แวะเข้าไปล้างหน้าล้างตา ก็ได้เหลือบไปเห็นขันใบหนึ่งที่มีว่านแช่อยู่ เลยคิดเล่น ๆ ว่า “แม่ชีเล่นของเหรอวะ” และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดแปลกที่ได้เจอ! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ความลับแม่ชี’ ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว “คุณโอ” ได้มีโอกาสไปทำงานที่วัดเเห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด ตำแหน่งที่ตั้งของวัดจะอยู่ที่ติดบริเวณเชิงเขา ลักษณะงานของเธอเป็น “งานจิตรกรรมฝาผนัง” ก่อนจะเดินทาง โอจึงได้สอบถามเพื่อนร่วมงานไปว่า“มีที่พักให้ไหม?”เพื่อนเลยบอกว่า “มีที่พักให้ในวัดเลย นอนกับแม่ชี” โอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสบายใจ เพราะเป็นการทำงานในสถานที่ที่ไม่คุ้นชิน การได้พักอยู่ในวัดกับแม่ชี อาจทำให้เธอทำงานได้สะดวกมากขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานในแต่ละวันหลังจากพูดคุยถามไถ่รายละเอียดงาน เพื่อนของโอก็ได้ถามขึ้นมาว่า“แกกลัวหมาไหม?”“ไม่กลัวนะ ที่บ้านก็เลี้ยงอยู่” โอตอบไปตามตรงโดยไม่ได้คิดอะไร“ดีแล้ว เพราะหมาที่นั่นดุมาก” เพื่อนสาวกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เมื่อโอเดินทางไปถึงวัดแห่งนั้น เธอก็นำสัมภาระทั้งหมดของตนเอง ขึ้นไปเก็บไว้บนกุฏิวัด หลังจากที่โอขึ้นไปเก็บข้าวของต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย เธอก็ไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำข้าง ๆ กุฏิ โอเลือกเข้าห้องน้ำในห้องที่บานประตูถูกเปิดอยู่ พอเข้าไปเธอก็เจอกะละมังใบหนึ่ง ภายในนั้นมีสมุนไพรลักษณะคล้ายกับว่าน หรือรากไม้อยู่ ทันใดนั้นความสงสัยพลันแล่นขึ้นมาในหัวอย่างไม่จริงจังว่า “แม่ชีเล่นของเหรอ? ทำไมแช่ว่านด้วย” แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น อยู่มาวันหนึ่ง... ในระหว่างทางที่โอ ต้องเดินออกเพื่อไปทำงานภายในวัด หมาที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นจะเห่า และพยายามเข้ามากัดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปตามคำที่เพื่อนของตนพูดเตือนไว้ในตอนแรกว่า... หมาที่วัดนี้มีนิสัยดุร้าย แต่ในวันนั้นมันดุมากกว่าปกติ พลันสายตาก็ดันเหลือบไปสังเกตเห็นแม่ชีนั่งอยู่ที่บริเวณนั้นพอดี จึงได้เอ่ยถามขอความช่วยเหลือไป“แม่ชีคะ หมาดุมากเลย แม่ชีช่วยเรียกมันไปให้หน่อยได้ไหมคะ?” ไร้เสียงตอบกลับจากแม่ชี เธอจึงพยายามตะโกนเรียกหลาย ๆ ครั้งแต่มันก็ไม่เป็นผล โอจึงตัดสินใจหยิบไม้แถวนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันตัว แต่ในจังหวะนั้นเองที่แม่ชีได้ยินเสียงคนกำลังหยิบจับสิ่งของ ก็ได้หันมาพูดกับโอว่า“แม่ชีเดินไม่ได้หรอก มันหวง ถ้าเดินไปมันจะยิ่งกัด”“แล้วต้องทำยังไงคะ?”“ใช้ไม้ไล่มันไปสิ” ได้ยินดังนั้น ราวกับเป็นคำอนุญาต โอจึงใช้ไม้ยาวในมือขับไล่สัตว์สี่ขาตรงหน้าไป ในจังหวะที่เธอกำลังง้างมือ แม่ชีก็เดินปรี่เข้ามาด้วยความไม่พอใจ คล้ายกับหวั่นเกรงว่าเธอจะทำร้ายหมาตัวนั้นจริง ๆ และมาไล่หมาตัวนั้นด้วยตัวของแม่ชีเอง.. ทำให้โอสามารถขึ้นไปทำงานต่อได้ ตกกลางคืน... โอเดินกลับที่พักของตน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น โดยพื้นฐานเธอเป็นคนที่สวดมนต์ก่อนนอนเป็นกิจวัตรประจำวันทุกคืนอยู่เเล้ว ซึ่งภายในกุฏิไม่ได้มีเพียงแค่เธอแต่มีรุ่นน้องผู้หญิงอีกคนนอนกับเธอด้วย ตัวของรุ่นน้องคนนี้เป็นคนที่กลัวผีมาก ทำให้ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ทั่วทั้งที่นอน และรอบระเบียง ในระหว่างที่สวดมนต์ โอสังเกตเห็นแสงไฟที่ดับลงหน้าห้องน้ำ และค่อย ๆ ไล่ดับมาทีละดวงจนถึงหน้าห้องของตน ทันใดนั้นเอง... เธอก็ได้ยินเสียงกระซิบปริศนาดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ จากเสียงแผ่วเบาที่จับใจความได้ยาก ก็เริ่มดังชัดขึ้นในโสตประสาทว่า“เงยหน้ามามองกูสิ เงยหน้ามามองกูสิ...” เสียงกระซิบชวนขนหัวลุกดังซ้ำไปซ้ำมาข้างหู ทำให้โอตัดสินใจลุกพรวดขึ้นมาเปิดหน้าต่าง แต่กลับมีเพียงความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งวัด ความรู้สึกไม่ปลอดภัย และหวาดกลัวค่อย ๆ เกาะกินภายในใจ สถานการณ์ตอนนั้นมันบอกกับเธอว่ามีบางอย่างผิดปกติ และที่แห่งนี้ไม่น่าอยู่อีกต่อไปเมื่อรุ่นน้องเดินเข้ามา โอจึงบอกให้หญิงสาวเก็บของ และย้ายไปนอนที่อื่น ในวัดยังคงมีกุฏิหลายแห่งที่สามารถไปพักพิงได้ เพียงแต่ผู้คนจะค่อนข้างแออัด โอเลยตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่พักอยู่อีกกุฏิ และขอไปนอนด้วยก่อนจะออกไป ทั้งสองคนก็ตั้งใจจะไปบอกกล่าวให้แม่ชีได้รับรู้ ตัวของแม่ชีนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง จากมุมของโอจะเห็นแค่เพียงขาของแม่ชีที่โผล่พ้นออกมา แต่ไม่เห็นลำตัว และบนตักของแม่ชีมีแมว 1 ตัวนอนอยู่“แม่ชีคะ แม่ชีขา” แม้ว่าเธอจะส่งเสียงเรียกแม่ชีไปกี่ครั้ง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา แม่ชียังคงนั่งนิ่ง แต่กลายเป็นว่าแมวที่นอนอยู่บนตักนั้นกลับขยับกาย และหันหน้ามามองเธอ โอได้แต่ครุ่นคิดในใจว่าแม่ชีคงใส่หูฟัง หรือกำลังสวดมนต์อยู่ เลยเลือกที่จะเดินลงมาจากกุฏิ และตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาบอกใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่สองเท้าจะก้าวออกจากเขตกุฏิ ความรู้สึกประหลาดบางอย่างมันก็แล่นขึ้นมา คล้ายกับว่ากำลังบอกให้เธอนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบน ความรู้สึกก็ตีตื้นขึ้นมาว่า แม่ชีจะกำลังมองเราอยู่ตรงหน้าต่างรึเปล่า? และในวินาทีที่เธอหันหลังกลับไป มันก็เป็นไปตามที่เธอคิดเพราะแม่ชีกำลังมองดูเธอจากตรงหน้าต่าง! และค่อย ๆ เดินเข้าไปข้างใน..หลังจากที่ทั้งสองคนเดินมาถึงที่พักหลังใหม่ โอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันกับเธอว่าแม่ชีคนนั้นดูแปลก ๆ แต่ในตอนนั้นก็คิดว่าตนเองอาจจะคิดไปเองคนเดียว บางครั้งที่คุยกับแม่ชี เขาก็เหมือนมีหลากหลายอารมณ์ คุยดีบ้าง ไม่คุยบ้าง หรือทำเหมือนเราไม่มีตัวตนไปเลย พอตื่นเช้ามา จู่ ๆ โอก็เกิดอาการบ้านหมุนถึงขั้นที่ไม่สามารถทำงานต่อได้ จะลุกจะนั่งก็มีอาการคลื่นไส้อาเจียนตลอด เลยจำเป็นต้องกลับไปหาหมอที่กรุงเทพฯเมื่อกลับมาถึงบ้าน ด้วยความไม่สบายใจ โอจึงไปเอาผ้าถุงของแม่มาครอบหัวตนเอง ตามความเชื่อของคนโบราณว่าการลอดผ้าถุงของแม่สามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และใช้เป็นวิธีแก้คุณไสยได้ วันถัดมาโอก็ไปหาหมอ หลังจากตรวจร่างกายก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ คุณหมอได้ให้คำแนะนำว่าสาเหตุของอาการป่วยอาจเกิดจากการพักผ่อนน้อย โหมงานหนัก และได้จ่ายยากลับมาให้ทานที่บ้าน หลังจากอาการของเธอเริ่มดีขึ้น โอก็กลับไปทำงานที่วัดเหมือนเดิม ในช่วงที่กลับไปที่วัด และทำงานอยู่ หากวันใดเป็นวันพระ ตัวของโอจะพยายามเคลียร์งานต่าง ๆ ให้เสร็จเพื่อที่จะไปทำวัดกับแม่ชีท่านอื่น ๆ จนรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนม เลยมีโอกาสได้พูดคุยกัน ด้วยความสงสัย โอจึงได้ถามเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวแม่ชีคนนั้นไป“แม่ชีคนที่หนูนอนด้วย เขามาจากไหนเหรอคะ?”“แม่ชีคนนั้น ไม่ค่อยมีใครยุ่งกับเขานะ กุฏินั้นเขาก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่กับเขาได้”คำตอบที่ไม่ได้คลายความสงสัยแต่กลับทำให้เธออยากรู้มากขึ้นไปอีก“แต่อย่าไปสุงสิงกับเขามากเพราะ เขาเป็นคนมีของ!” ประโยคตักเตือนด้วยความหวังดีส่งตรงมาถึงโอ หลังจากเธอครุ่นคิดต่อเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในวัด ทุกอย่างก็ค่อย ๆ เชื่อมโยงกันอย่างน่าขนลุก และสุดท้ายเธอก็ได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือ ความลับของแม่ชี(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

10 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

หากคุณเป็นทาสแมว อาจจะต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องของ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่อง ‘แอปหลอนสื่อวิญญาณ’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มีทั้งรอยยิ้มและความหลอน จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของรุ่นน้องที่ชื่อว่า ‘คุณลูกนัท’ มีอาชีพเป็นหมอ จะขอเรียกว่า ‘หมอนัท’ ตอนนั้นหมอนัทได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้ทำการเช่าบ้านพักอาศัยอยู่กับแฟนคนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ‘คุณเกนจิ’ โดยหมอนัทเลือกเช่าบ้านบริเวณใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่าของ ‘คุณยายริกะ’ ซึ่งคุณยายริกะปลูกบ้าน 2 หลังไว้ติดกันเพื่อปล่อยเช่า หมอนัทสนิทกับคุณยายริกะมาก เนื่องจากหมอนัทกับคุณเกนจิเป็นทาสแมว และคุณยายริกะเองก็เลี้ยงแมวเยอะมาก แต่จะมีอยู่หนึ่งตัวเป็นตัวแสบประจำบ้าน ชื่อว่า ‘ชิโร่’ เป็นแมวเปอร์เซียอ้วนปุกปุย หน้ามึน ขนสีขาว ชิโร่มักจะชอบปีนข้ามมาที่บ้านหมอนัทเป็นประจำ ทำให้ทุก ๆ วัน คุณยายริกะต้องมาตามชิโร่กลับบ้าน วันหนึ่ง หลังจากที่หมอนัทเรียนเสร็จ หมอนัทได้รับข่าวร้ายว่า แมวที่บ้านของคุณยายริกะเสียชีวิตทั้งหมดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือแต่ชิโร่แมวตัวแสบเพียงตัวเดียว เนื่องจากชิโร่ชอบแอบไปอยู่ที่บ้านของหมอนัท คุณยายริกะนั้นไม่มีญาติทำให้ผูกพันกับแมวมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณยายริกะรู้สึกเสียใจมาก ทั้งยังมีอายุค่อนข้างมากแล้ว จึงทำให้คุณยายริกะเริ่มมีอาการป่วย จากนั้นไม่นาน คุณยายริกะก็เสียชีวิตลง.. หลังคุณยายเสียชีวิตประมาณหนึ่งอาทิตย์ เจ้าเหมียวชิโร่ก็ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู ตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เหล่าแมวจรจัดจะต้องถูกการุณยฆาต คุณเกนจิจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเจ้าชิโร่ต่อ ส่วนเรื่องบ้านเช่านั้น ทางบริษัทที่คุณยายริกะทำประกันไว้ ก็ได้ทำการยึดบ้านหลังนั้นคืน ทำให้ทั้งคู่ต้องไปหาที่พักใหม่ ด้วยความโชคดีที่ทั้งคู่ได้ที่พักใหม่ใกล้ ๆ กับย่านเดิม จึงไม่ต้องปรับตัวมากและก็ได้นำเจ้าชิโร่ไปอยู่บ้านหลังใหม่ด้วย หลังจากวันแรกที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ เจ้าชิโร่ได้หายออกจากบ้านไป ทั้งคู่พยายามเดินออกตามหา จนสุดท้ายมาเจอเจ้าชิโร่นอนอยู่หน้าบ้านของคุณยายริกะ ซึ่งบ้านของคุณยายริกะกำลังถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร เมื่อทั้งคู่เห็นเจ้าชิโร่ยิ่งทำให้สงสารมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ เนื่องจากเจ้าชิโร่เสียคุณยายริกะไปและกลัวว่าเจ้าชิโร่จะเกิดอันตรายหากเดินไปเดินมาอย่างอิสระ จึงตัดสินใจขังเจ้าชิโร่ให้อยู่ในบ้าน เป็นการเลี้ยงระบบปิด กลายเป็นว่าเจ้าชิโร่ไม่ยอมกินข้าว หมอนัทกลัวว่าน้องจะป่วย จึงพาชิโร่ไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ช่วยตรวจให้ พอตรวจดูจึงรู้ว่าชิโร่มีอาการซึมเศร้า สัตวแพทย์จึงแนะนำให้หมอนัทพาเจ้าชิโร่นั่งรถเข็นออกไปเที่ยวเล่นเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย อาการของชิโร่จึงจะดีขึ้น แต่หมอนัทกลับรู้สึกว่าเหมือนยังติดอะไรบางอย่างอยู่ จึงลองปรึกษากับเพื่อนว่า “จะทำยังไงดี ที่จะได้สื่อสารกับชิโร่ ให้ชิโร่กลับมาแอคทีฟได้เหมือนเดิม” เพื่อนก็แนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยแปลภาษาแมวมาให้ หลังจากกลับมา หมอนัทก็เลยลองใช้ ทำให้รู้ว่ามันสามารถบอกหมอนัทได้เลยว่า ‘ชิโร่หิวข้าว’ / ‘ชิโร่อยากเข้าห้องน้ำ’ ซึ่งมันทำให้หมอนัทสนิทกับเจ้าชิโร่มากขึ้น แต่ด้วยความที่เป็นหมอจึงมีความคิดว่าข้อความที่เกิดขึ้นคือการรวบรวมข้อมูลเสียงแปลออกมาเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะแปลได้ตรงกับความต้องการของชิโร่จริง ๆ ได้ เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากมหาวิทยาลัย หมอนัทเห็นเจ้าชิโร่นั่งเหม่อมองออกนอกหน้าต่างตลอดเวลา เรียกก็ไม่หันมา จึงเปิดแอปแล้วถามชิโร่ว่า “ชิโร่ เป็นอะไร” ชิโร่ก็ร้อง “เหมียว เหมียว” แอปพลิเคชันแปลภาษาก็แปลออกมาว่า “อยากออกไปนั่งรถเล่น” หมอนัทตัดสินใจอุ้มเจ้าชิโร่ใส่รถเข็นออกไปเที่ยวเล่น บริเวณสวนสาธารณะใกล้ ๆ บ้าน พอชิโร่ได้ออกไปนอกบ้านทำให้ชิโร่อาการดีขึ้น สดใสขึ้น พออยู่ไปสักพักหมอนัทก็บอกกับชิโร่ว่า “วันนี้กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นแล้ว” พอกำลังจะกลับ ชิโร่ก็ชะเง้อคอร้องขึ้นเหมือนกับต้องการทำอะไรบางอย่างอย่าง หมอนัทเปิดแอปพลิเคชันแปลภาษา ก็แปลออกมาว่า “ไม่อยากกลับ” หมอนัทเริ่มรู้สึกประหลาดใจกับข้อความเสียงที่ตอบกลับมา หมอนัทจึงตอบกลับชิโร่ไปว่า “เย็นแล้ว กลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พามาใหม่ก็ได้น้า” ชิโร่ก็ร้องออกมา และแสดงท่าทางที่ดูจะไม่พอใจ แอปก็แปลออกมาว่า “ไม่ ไม่ ไม่!!!” สิ่งที่เกิดขึ้นคือหมอนัทเริ่มรู้สึกขนลุกกับความแปลกจากข้อความเสียงที่เกิดขึ้น จึงอยากลองพิสูจน์ดู หมอนัทจึงถามไปว่า “แล้วอยากไปไหน พาหมอไปเลย” ชิโร่ก็ร้องออกมาอีก แอปก็แปลออกมา เป็นการบอกเส้นทางว่า ให้ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หมอนัทเดินตามไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็รู้สึกสนุก แต่พอหมอนัทเดินไปเรื่อย ๆ ระยะทางเริ่มไกลจากบ้านและเป็นทางที่ไม่คุ้นชิน หมอนัทกำลังจะวนกลับ แต่เจ้าชิโร่ก็วิ่งพล่านในรถเข็นแล้วร้องออกมา แอปก็แปลว่า “อย่า ใกล้ถึงแล้ว” หมอนัทพาชิโร่เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเสียงร้องสุดท้ายแอปก็แปลว่า “ถึงแล้ว” กลายเป็นว่าสถานที่ที่ชิโร่พามานั้น ทำให้หมอนัทขนลุกทั้งตัว เพราะมันพามาหยุดเดินตรงหน้าสุสาน หมอนัทพยายามตั้งสติอยู่สักพัก คิดว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญ หมอนัทจอดรถเข็นของชิโร่และบอกกับชิโร่ว่า “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวไปซื้อน้ำ” หมอนัทเดินไปซื้อน้ำที่ตู้กดน้ำใกล้ ๆ ระหว่างที่กดน้ำก็ได้ยินเสียงร้องเหมือนชิโร่กำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ท่าทางของชิโร่มองเข้าไปในสุสาน พอกดน้ำเสร็จก็เดินกลับไป จนถึงระยะที่แอปพลิเคชันเริ่มกลับมาทำงาน แอปก็แปลขึ้นมาว่า “คิดถึงนะยาย.. กลับด้วยกันเถอะ ไม่อยากอยู่บ้านนี้คนเดียวอีกแล้ว” หมอนัทขนลุกรีบตาลีตาเหลือกปิดแอปพลิเคชันทันที และรีบเข็นรถพาชิโร่กลับบ้าน พอกลับถึงบ้าน ชิโร่ก็กระโดดลงจากรถเข็น จากนั้นก็เดินเข้าไปนอน น้องเงียบ ไม่ร้อง ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ หมอนัทเริ่มสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอคุณเกนจิกลับมา จนคุณเกนจิกลับมาถึงบ้าน หมอนัทก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้ฟัง คุณเกนจิทำหน้าเครียดและถามถึงลักษณะสุสานที่ชิโร่พาไป เมื่อทราบลักษณะสุสาน คุณเกนจิก็พูดด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า “สุสานที่ชิโร่พาไป รู้ไหมว่ามันคือสุสานที่ฝังคุณยายริกะ” หมอนัทไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากหมอนัทไม่ได้ไปงานศพของคุณยายริกะ สักพักก็ได้ยินเสียงร้องของเจ้าชิโร่ เหมือนกำลังร้องขู่อะไรบางอย่างก่อนที่จะวิ่งเข้ามาตะกุยขาของทั้งคู่ จากนั้นก็วิ่งไปตะกุยประตูบ้าน เดินร้องทั่วบ้าน เกนจิถามชิโร่ไปว่า “ชิโร่จะเอาอะไร ชิโร่เป็นอะไรลูก” อยู่ ๆ แอปพลิเคชันแปลภาษาในโทรศัพท์ของหมอนัทที่วางอยู่บนโต๊ะกลับเปิดขึ้นเอง แล้วก็แปลเสียงออกมาว่า “เปิดประตู ยายมาแล้ว!!!” หมอนัทได้ยินก็รีบปิดแอปพลิเคชันและลบทิ้งทันที คุณเกนจิก็พยายามจะจับชิโร่แต่ก็จับไม่ได้ วินาทีนั้นหมอนัทยกมือไว้ท่วมหัว คิดในใจบอกยายริกะว่า “ไม่ต้องห่วงน้องนะ พวกเราสองคนจะดูแลชิโร่เท่าที่จะทำได้ จนถึงวาระสุดท้ายของน้องไม่ต้องห่วง” พอสิ้นความคิดของหมอนัท เจ้าชิโร่ก็เลิกดิ้นแล้วก็ค่อย ๆ เดินกลับห้องไป.. เช้าวันถัดมา หมอนัทได้เตรียมอาหารให้ชิโร่ แต่กลับพบว่า เจ้าชิโร่ตัวแสบได้กลับดาวแมวไปแล้ว คุณเกนจิจึงนำร่างของเจ้าชิโร่ไปฝังไว้ข้าง ๆ กับหลุมศพของคุณยายริกะ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เห็นศาลาริมน้ำวิวสวยบรรยากาศดี มองดูดี ๆ ก็เจอคนนั่งห้อยขา ไม่ใส่เสื้อผ้า มีผ้าดิบคลุมผูกหัวผูกเท้า!

23 มี.ค. 2024

เห็นศาลาริมน้ำวิวสวยบรรยากาศดี มองดูดี ๆ ก็เจอคนนั่งห้อยขา ไม่ใส่เสื้อผ้า มีผ้าดิบคลุมผูกหัวผูกเท้า!

ประสบการณ์เจอเรื่องหลอนระหว่างทางกลับบ้าน! เรื่องนี้ ‘คุณนุ้ย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ศาลาริมน้ำ’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณนุ้ย’ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณนุ้ยเล่าว่า วันนั้นเป็นช่วงที่แหล่งท่องเที่ยวจัดงานกลางคืน คุณนุ้ยไปเที่ยวบ้านเพื่อนกลับมาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง เกือบ 3 ทุ่ม ระหว่างทางที่กลับก็นั่งรถคุยกันรับลมชมวิว คืนนั้นอากาศดีมาก กระทั่งขับรถมาถึงสะพานที่อยู่ใกล้กับศาลาริมน้ำจุดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ คุณนุ้ยขี่รถมอเตอร์ไซค์มากับแฟน ซึ่งคุณนุ้ยเป็นคนซ้อน แล้วมองไปที่สะพานนั้น เห็นเงาตะคุ่ม ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเป็นคนนั่งอยู่ จากนั้นคุณนุ้ยก็เอามือชี้ไปตรงนั้น แล้วพูดว่า “เฮ้ย น่าไปเที่ยวเนอะ ตรงนั้นไฟแสงสีดีจังเลย มีเพลงด้วยน่าเข้าไป” เมื่อคุณนุ้ยลดมือลง คุณนุ้ยก็ตกใจ เพราะเห็นเป็นคนลักษณะนั่งห้อยขา ตัวเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่เป็นผ้าดิบคลุมไว้ทั้งตัว ผูกหัวผูกเท้า เหมือนหมอนข้างผูกหัวกับท้าย ระหว่างที่ลดมือลงเขาก็ค่อย ๆ มองหน้าคุณนุ้ย หันมาแต่คอ ตัวไม่หันตาม! คุณนุ้ยจึงถามแฟนว่า “เห็นไหม เธอเห็นไหม?” แฟนของคุณนุ้ยบอกว่า “ไม่เห็น” คุณนุ้ยเห็นแค่เพียงคนเดียว ระหว่างที่คุณนุ้ยอยู่บนสะพานกำลังจะลงจากสะพาน เขาก็มองหันมาแต่คอเหมือนเดิม คุณนุ้ยก็คิดว่าเอาแล้ว จึงถามแฟนอีกครั้งว่า “เห็นไหม ๆ” แฟนบอกว่า “อะไร ไม่เห็น!” คุณนุ้ยเก็บความพิศวงตรงนี้เอาไว้ไม่พูดอะไร เมื่อคุณนุ้ยกลับมาถึงที่บ้าน คุณนุ้ยก็ไม่สบาย อาการของคุณนุ้ยคือขนหัวลุกจนเป็นไข้ ระหว่างที่เป็นไข้อยู่นั้น เขาก็มาหาที่บ้าน มีเสียงหมาหอนอยู่หน้าบ้าน 2-3 วัน คุณนุ้ยรู้ทันทีเลยว่าต้องเป็นเขาแน่ ๆ และพูดว่า “เดี๋ยวหนูหายป่วย หนูจะไปทำบุญให้นะ” หลังจากที่คุณนุ้ยหายป่วยก็ได้ไปวัดแห่งหนึ่ง ไปหาพระอาจารย์แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง คุณนุ้ยก็ซื้อสังฆทานไปให้เขา พระอาจารย์ก็บอกกลับมาว่า “โยมทำแบบนี้นะ ทำเป็นกระทงแล้วนำไปวางไว้” คุณนุ้ยก็เตรียมอุปกรณ์เป็นกระทง แก้วน้ำ นำของคาว ของหวานใส่ไปในกระทงให้เขา พระอาจารย์บอกอีกว่า “ให้ไปตอน 6 โมง แล้วโยมไม่ต้องหันหลังกลับไปมอง จุดธูป 1 ดอกวางไว้บนของที่เราถวายเขา” คุณนุ้ยก็ทำตามที่พระอาจารย์บอกทุกอย่าง คืนนั้นคุณนุ้ยฝันเห็นลุงที่นั่งตรงศาลาริมน้ำ ปรากฏว่าคุณนุ้ยเห็นภาพตัวเองเมื่อตอนเย็น ที่กำลังนำของไปวางให้เขา และในฝันเขานั่งรอเอามือรับของจากคุณนุ้ย หลังจากที่ฝันคุณนุ้ยก็ไม่เจออะไรอีก แต่ด้วยความที่ยังรู้สึกค้างคาใจว่าเขาเป็นใคร จึงไปถามคนแถวนั้นว่า “พี่ รู้ไหมว่าตรงนี้มีเหตุการณ์อะไร ตรงศาลาตรงนี้มีอะไรไหม?” เขาก็บอกว่า “อ๋อ มีลุงคนนึงแกเมา แล้วแกตกน้ำตาย!” เมื่อได้ยินดังนั้น คุณนุ้ยก็ใจชื้นขึ้นและได้รู้แล้วว่าลุงเสียชีวิตตรงนี้ เวลาผ่านไป คุณนุ้ยก็คลายความกลัว ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น จนวันหนึ่งคุณนุ้ยมาเจอรุ่นน้องซึ่งเป็นเพื่อนกับแฟนของตน ทำงานอยู่ที่มูลนิธิ เขาบอกว่า วันนั้นเขาไปเก็บศพลุงคนนี้ เอาผ้าห่อเอาไว้ เขาก็ให้ลุงนอนรอที่ศาลา แล้วเขาถึงไปตามเพื่อนและไปเอารถมูลนิธิ เพื่อมารับร่างของลุงใส่รถกลับไป…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม” แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า.. เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน” โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500 ใช่ไหม” ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน” คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า.. บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน” เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่ พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้! พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า “Don’t smoke” ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1