เรื่องเล่าจากคุณเวฟ ‘บ้านเลือกคน’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio [ 21 ต.ค.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเวฟ ‘บ้านเลือกคน’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio [ 21 ต.ค.2568 ]

04 พ.ย. 2025

       ‘คุณเวฟ’ กำลังมองหาบ้านหลังใหม่เพื่อที่จะเปิดเป็นบ้านพักผู้สูงอายุ จนได้มาเจอกับบ้านร้างอายุราว 40 ปี เมื่อไปดูสถานที่ก็ถูกใจ คุยกับเจ้าของบ้านก็ถูกคอ จึงคิดที่จะซื้อบ้านหลังนี้ แต่เมื่อไปสืบประวัติบ้านกลับพบว่าที่นี่เคยเป็นโบสถ์และสถานพยาบาลยุติการตั้งครรภ์มาก่อน นอกจากนี้ชาวบ้านยังเล่ากันปากต่อปากว่าที่นี่ผีดุมาก!

       คุณเวฟจะติดสินใจซื้อบ้านหลังนี้หรือไม่?

       เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อนั้น ติดตามได้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 ตุลาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน – ดีเจเจ็ม - ดีเจมดดำ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘บ้านเลือกคน’

       เรื่องนี้มาจาก ‘คุณเวฟ’ ซึ่งมีอาชีพเป็นบุคลากรทางการแพทย์ โดยเปิดบ้านพักผู้สูงอายุและคลินิกพยาบาลอยู่แห่งหนึ่ง แต่ต้องการหาสถานที่เพื่อเปิดเพิ่มอีก

       ขณะนั้นก็หาพื้นที่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ขับรถไปเจอบ้านหลังหนึ่ง หลังนี้เป็นบ้านร้างราว 40 ปี ตั้งแต่สร้างมาไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ได้มีคริสตจักรได้มาทำการเปิดเป็นโบสถ์เป็นเวลา 10 ปี ก่อนที่จะย้ายออกไป เวฟรู้สึกถูกชะตาและชอบบ้านหลังนี้มาก อยากที่จะเข้ามาเปิดเป็นบ้านพักและคลินิก

       เวฟเริ่มออกตามหาเจ้าของบ้าน และได้ไปพบกับเจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้าของบ้านรุ่นแรก หลังจากที่ได้พูดคุยกัน กลับพบว่าเป็นคนที่รู้จักกัน เจ้าของจึงตัดสินใจขายบ้านในราคาที่ถูกมาก เวฟครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ แต่ก็เริ่มเกิดคำถามในใจว่า ‘ก่อนหน้า 40 กว่าปีมานี้ ทำไมบ้านหลังนี้ถึงไม่มีคนอาศัยอยู่เลย’ เวฟจึงได้เริ่มสืบประวัติของบ้านหลังนี้ จากนั้นก็ได้ทราบว่าบ้านหลังนี้ในอดีตเมื่อ 40 ที่แล้ว ได้เป็นคลินิกพยาบาลมาก่อน

       ในอดีตสถานที่แห่งนี้ เคยเป็นสถานพยาบาลยุติการตั้งครรภ์มาก่อน ชาวบ้านบริเวณโดยรอบก็มาเล่ากันปากต่อปากว่า ‘ที่นี่ ผีดุ ไม่มีใครสามารถอยู่ได้’ แต่ด้วยความที่เวฟชอบบ้านหลังนี้มาก ทั้งบรรยากาศ สถานที่ เวฟจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะซื้อบ้านหลังนี้

       หลังจากได้ไปดูบ้านและคุยปรึกษากับครอบครัว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่อยากให้ซื้อ เวฟจึงต้องยุติการซื้อบ้านหลังนี้ แต่ไม่นาน เวฟก็เริ่มมีอาการป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีไข้ หนาวสั่น กินอะไรก็ไม่ลง เมื่อไปตรวจกลับไม่พบถึงสาเหตุของอาการ จึงตัดสินใจเริ่มหันมาสวดมนต์ให้กับวิญญาณที่บ้านหลังนั้น

       เวลาผ่านไป เวฟเริ่มได้ยินเสียงแว่วลอยมาคล้ายเสียงเด็ก และเสียงเหมือนคนคุยกันอยู่ตลอดเวลา พอตกดึกก็มักจะฝันถึงบ้านหลังนั้นบ่อย ๆ โดยฝันว่าเจ้าของบ้านรุ่นแรกได้มาบอกให้เวฟเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น ให้เป็นทายาทสืบต่อในรุ่นถัดไป

       จนกระทั่งตอนนี้ เวฟก็ยังคงมีอาการป่วยอยู่เรื่อยมา และก็ยังตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ไม่ได้เสียที..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'ปริศนาเส้นทางเดินป่าไมล์ 58' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

13 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'ปริศนาเส้นทางเดินป่าไมล์ 58' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

นี่คือเรื่องราวปริศนาของนักเดินเทรล เมื่อเขาได้เข้าไปเดินป่าในเส้นทางเดินเท้าที่ยาวที่สุดในโลก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวของเขาอีกเลย เจ้าหน้าที่อุทยานได้ปูพรมค้นหา แต่กลับพบเพียงเต็นท์และข้าวของเครื่องใช้ในสภาพปกติ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หรือแม่กระทั่งรอยเท้าของสิ่งใด เขาหายตัวไปได้อย่างไร? มีเบาแสอะไรที่จะช่วยตามหาตัวชายผู้นี้ และ ‘อะไร’ ทำให้เขาหายไป.. หาคำตอบได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ปริศนาเส้นทางเดินป่าไมล์ 58’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘เดวิด บาโร’ เขาเป็นนักเดินเทรล ชอบเดินป่า ตั้งแคมป์คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 เขาตัดสินใจที่จะไปเดินในเส้นทาง Appalachian Trail ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเท้าที่ยาวที่สุดในโลก คืนก่อนที่จะเดินทาง เขาได้มีการโพสต์ผ่านโซเชียลไว้ว่า “คืนนี้ตั้งใจจะไปตั้งแคมป์ใกล้ไมล์ 58 ก่อนถึงวันพรุ่งนี้ถ้ามีสัญญาณจะไลฟ์ให้ดู” แต่หลังจากโพสต์นี้ก็ไม่มีโพสต์อื่นอัปเดตอีกเลย หลังจากเขาหายตัวไปสักพัก ทางบ้านก็เริ่มเป็นกังวลและเป็นห่วง จึงทำการประสานงานกับ NPS (National Park Service) หรือ หน่วยงานอุทยานแห่งชาติ ให้ส่งกำลังคนเข้าตามหา วันถัดไปในเวลาเช้าตรู่ หน่วยพิทักษ์พันธุ์ป่าได้ออกสำรวจเส้นทางบริเวณไมล์ 58 เพื่อตามหาพิกัดที่เดวิดได้ไปตั้งแคมป์ ผ่านไป 3-4 ชั่วโมงก็พบกับแคมป์ของเขา แต่สิ่งที่แปลกคือสภาพของแคมป์ยังสมบูรณ์ เต็นท์ถูกกางไว้อย่างดี เสื้อผ้าพับเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีใครหยิบมาใช้งาน อาหารไฟเบอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะยังไม่มีการถูกเปิดออก รวมถึงวิทยุสื่อสารของเขามีการกดค้างเหมือนต้องการส่งสัญญาณสื่อสารกับใครบางคน เมื่อเจ้าหน้าที่เดินสำรวจรอบเต็นท์ก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ จึงทำการนำวิทยุสื่อสารของเขาไปย้อนฟังว่าเหตุการณ์ก่อนที่จะหายตัวไป เขาได้ติดต่อหรือสื่อสารกับใครบ้าง แต่ก็พบกับความแปลกอีกครั้งนั่นก็คือเสียงในวิทยุสื่อสารเป็นเสียงฝนตกกระหน่ำซ่าสลับกับเสียงหอบหายใจ เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่าเป็นเสียงของเดวิดที่กำลังกลัวบางอย่างอยู่ ต่อมา มีเจ้าหน้าที่พบสมุดจดบันทึกของเขาอยู่ในกระเป๋าด้านข้างเต็นท์จึงหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วพบว่าสมุดบันทึกนี้มีทั้งหมด 4 หน้า หน้าที่ 1 คือ รายละเอียดเส้นทางที่จะเดินทางต่อหลังจากตั้งแคมป์ตรงนี้ หน้าที่ 2 คือ รายการอาหารที่จะต้องจัดสรรให้เพียงพอกับการเดินป่าครั้งนี้ แต่สิ่งที่แปลกและแตกต่างออกไปคือหน้าที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่เขาจะหายตัวไป หน้าที่ 3 ย่อหน้าแรก เขียนไว้ว่า “คืนนี้ฝนตกหนักมาก รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเดินรอบเต็นท์ แต่จากประสบการณ์ที่เดินเทรลมาเยอะ สามารถบอกได้ว่านี่ไม่ใช่เสียงของกวาง ไม่ใช่หมาและไม่ใช่สัตว์ป่า แต่เป็นเสียงเหมือนคนเดินลากขาอยู่รอบเต็นท์” ย่อหน้าที่สอง เขียนไว้ว่า “ผมไม่เปิดไฟ เพราะผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมอยู่ในนี้” ส่วนหน้าที่ 4 เป็นหน้าที่ตกใจที่สุด ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่า “มันปลอมเสียงฝนได้” เขาเขียนประโยคนี้ซ้ำถึง 7 ครั้ง ราวกับกำลังหวาดกลัว จริง ๆ แล้วแม้ในวิทยุสื่อสารจะมีเสียงฝนตกหนัก แต่ตั้งแต่วันที่เขาหายตัวไปจนถึงวันที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ไม่มีรายงานว่าบริเวณนั้นมีฝนตกแต่อย่างใด อากาศปลอดโปร่ง ใบไม้แห้ง พื้นดินไม่เปียกชุ่ม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังคนเพื่อค้นหาเพิ่มอีก 35 คนไปตามแนวพื้นที่ ใช้ทั้งสุนัขดมกลิ่น โดรน และอุปกรณ์จับความร้อน แต่ก็ไม่พบตัวเดวิด ทั้งนี้ บริเวณโดยรอบก็ไม่มีรอยเท้าที่แสดงให้เห็นถึงการวิ่งหลบหนี การที่เดวิดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ ทำให้การตามหาตัวยากขึ้นไปอีก นอกจากนี้พื้นที่ตรงนั้นยังเป็นพื้นที่เงียบสงัด ถึงขั้นที่ว่าเหยียบอะไรก็มีเสียงดังขึ้นจนได้ยินไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่ปูพรมค้นหาผ่านไปอีก 1 วัน ก็พบกับกล้องโกโปรที่ถูกใบไม้ทับเอาไว้และฝังอยู่ใต้ต้นไม้อีกที ซึ่งห่างออกไปจากพื้นที่ตั้งแคมป์ประมาณ 300 เมตร เนื้อหาภายในกล้องมีคลิปความยาว 2.48 นาที เมื่อเปิดดูก็ได้ยินเสียงฝนซ่าดังวนลูปไป เจ้าหน้าที่ได้นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เสียงฟัง ก็ได้รู้ว่ามีความผิดปกติเหมือนมีคนจงใจส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเพื่อหลอกและก่อกวนให้คุณเดวิดนั้นสับสน เสียงซ่าดังยาวนานถึง 2 นาทีแล้วหยุด หลังจากนั้นเป็นเสียงซู่ซ่าที่ฟังไม่ออก หากต้องการถอดความต้องใช้วิธีสโคปเส้นความคมชัดของเสียงเพื่อให้ออกมาเป็นรูปประโยค จึงจะจับใจความได้ และประโยคนั้นก็คือคำว่า.. “เราเห็นนายแล้ว นายคิดว่าจะมุดในถุงนอนได้ตลอดหรอ” หลังจากนั้นคลิปก็ตัดและเสียงก็หายไป เจ้าหน้าที่กระจายตัวค้นหานับเดือนก็หาไม่เจอ จึงประกาศเป็นบุคคลหายสาปสูญเพราะไม่เจอเบาะแสอะไรที่จะตามต่อได้ เรื่องราวผ่านไปเป็นเวลา 3 ปี มีนักเดินป่า 2 คนพบกระดูกมนุษย์ส่วนท่อนแขนในเส้นทางไมล์ 58 จึงนำลงมาให้เจ้าหน้าที่ได้พิสูจน์ DNA เพื่อระบุตัวตน เมื่อทำการตรวจสอบก็พบว่าตรงกับ DNA ของเดวิด แต่เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนดูแล้วกลับพบว่า กระดูกชิ้นนี้ไม่เหมือนกระดูกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 3 ปี เนื่องจากไม่มีร่องรอยการย่อยสลายตามธรรมชาติ ไม่มีตะไคร่และหินปูน แต่เหมือนกระดูกชิ้นใหม่ที่ถูกนำมาวางไว้ไม่เกิน 1 สัปดาห์ และมีการค้นพบกระดูกเพียงแค่ชิ้นส่วนแขนเท่านั้น จึงไม่สามารถระบุว่าเป็นผู้เสียชีวิตได้ ทำให้ปัจจุบันเดวิดยังคงเป็นผู้สูญหายต่อไป นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสันนิษฐานเพิ่มเติมว่าจากหลักฐานคลิปเสียงและสมุดโน้ตของเขานั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น สัตว์นักล่าที่พยายามเลียนแบบปล่อยเสียงคลื่นความถี่เพื่อให้เหยื่อสับสนและหลอกล่อเหยื่อ แต่จนถึงตอนนี้ คดีนี้ก็ยังคงเป็นคดีที่ยังปิดไม่ได้ต่อไป..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณแทค 'ดงปอบ' l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [11 มี.ค. 2568 ]

15 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณแทค 'ดงปอบ' l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [11 มี.ค. 2568 ]

ไปหานักเรียนที่ขาดเรียนไปถึง 10 วัน มีคนมาเตือนว่าอย่าไปเลย แต่ก็ไม่เชื่อ จนเจอดีถึงในที่นอน! เรื่องราวสุดหลอนนี้จะจบลงอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ดงปอบ’ จาก ‘คุณแทค’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(11 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีีเจเจ็ม’ ที่จะเป็นเพื่อนหลอนไปกับคุณ!! ‘คุณแทค’ ได้นำเรื่องเล่าของ ‘ครูเอ’ (นามสมมติ) มาเล่าให้ฟัง เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วโดยในช่วงนั้น ครูเออายุเพียง 20 ต้น ๆ เพิ่งได้บรรจุเป็นข้าราชการใหม่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด หลังจากที่ได้เข้าไปสอนในโรงเรียนนี้ มีนักเรียนในห้องที่ครูเอได้ประจำชั้นอยู่ไม่มาโรงเรียนนานถึง 10 วัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องไปหาที่บ้าน เพื่อตรวจดูว่านักเรียนคนนี้เกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านของนักเรียนคนนี้อยู่ถัดไปอีกหนึ่งหมู่บ้าน โดยอยู่ท้ายหมู่บ้านและเป็นหลังเดียวที่อยู่ตรงนั้น พอไปถึงครูเอจึงไปสังเกตดูว่าใช่หลังนี้หรือไม่ เมื่อสังเกตอยู่นานก็คิดจะกลับ แต่ตาก็ไปเห็นนักเรียนของตัวเองที่เดินอยู่ในบ้าน จึงมั่นใจว่าเป็นบ้านหลังนี้ และเมื่อเข้าไปในบ้านสิ่งที่ครูเอเห็นก็คือ แมวประมาณ 100 ตัวที่อยู่ภายในบ้าน ซึ่งนักเรียนคนนี้อยู่กับคุณยาย 2 คน คุณยายนุ่งขาวห่มขาว ผมหงอกทั้งหัว ครูเอจึงเข้าไปคุยกับคุณยายถึงสาเหตุที่หลานไม่ไปโรงเรียน พอคุยกับคุณยายเสร็จ ครูเอก็เห็นว่านักเรียนกำลังให้นมแมวอยู่ เป็นนมโรงเรียน ซึ่งแมวก็ไม่กิน ครูเอคิดไปว่า แมวน่าจะชอบรสหวาน ครูเอจึงอาสาจะไปซื้อน้ำตาลเพื่อมาใส่ในนม จากนั้นก็ขับรถไปซื้อน้ำตาลจากร้านค้าที่อยู่ในหมู่บ้าน ด้วยความที่คนในชนบทจะรู้จักกันทุกบ้าน แม่ค้าจึงถามกับครูเอว่า “น้าครูจะซื้อไปไหน ซื้อไปทำอะไร มาหมู่บ้านนี้ทำไม” ครูเอเล่าเหตุผลที่ตนต้องมาหมู่บ้านนี้ให้แม่ค้าฟัง เมื่อเล่าจบแม่ค้าก็บอกต่อว่า “อย่าไปบ้านหลังนั้นได้ไหม กลับบ้านเลยเถอะ นี้มันก็มืดแล้ว” ครูเอนึกสงสัย จึงถามไปว่า “ทำไมครับ” แม่ค้าตอบว่า “บ้านหลังนั้นเขาเลี้ยงปอบ ไม่อยากให้ไป” ครูเอตอบกลับเชิงตลกไปว่า “ผมไม่กลัวหรอก ปอบอะ ให้มันมากินผมเลย” หลังจากนั้นครูเอก็กลับหมู่บ้านของตนเอง และด้วยความที่เป็นบ้านสมัยก่อน บันไดที่จะขึ้นไปชั้น 2 จึงเป็นแบบพับเก็บได้ด้วยการดึง ซึ่งครูเอก็นอนอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน ช่วงกลางดึกที่ครูเอเข้านอนแล้ว ครูเอก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่รอบบ้าน แต่ครูเอก็คิดว่าคงเป็นคู่อริเก่าหรือโจรขึ้นบ้าน จึงจะไปหยิบปืนมาป้องกันตัว แต่จู่ ๆ ครูเอก็ตกใจ ที่แขนและขาของตัวเองไม่สามารถขยับได้ ขยับได้เพียงแค่ส่วนหัวและตาเท่านั้น และเสียงเดินก็ไปหยุดอยู่ที่บันไดบ้าน แต่เพราะครูเอดึงบันไดเก็บเรียบร้อยแล้ว จึงคิดว่าคงขึ้นมาไม่ได้ แต่ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนปีนเสาบ้านขึ้นมา คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ถึงแม้ไม่ได้เปิดไฟก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน และครูเอก็ได้เห็นเงาตะคุ้ม ๆ ที่กำลังปีนเสาบ้านขึ้นมา ในใจของครูเอตอนนั้นคิดว่า คงตายแน่ ๆ เพราะไม่สามารถขยับตัวได้เลย พอเงานั้นปีนขึ้นมาได้สำเร็จ มันก็เริ่มคลานเข้ามาใกล้ครูเอ จนมาถึงหน้ามุ้งที่ครูเอนอนอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ต้องตกใจมากขึ้นไปอีก คือ สิ่งที่ครูเอเห็น เป็นคุณยายแก่ ๆ คนหนึ่ง ผมขาวทั้งหัว ใส่ชุดสีขาวทั้งชุด และยายคนนี้ก็เปิดมุ้งขึ้น เมื่อมุ้งเปิด ครูเอก็เห็นใบหน้าของคุณยายคนนั้น แต่บนหน้ากลับไม่มีจมูก ไม่มีปาก ไม่มีตา ไม่มีคิ้ว เป็นแค่หน้าโล้น ๆ และมีเสียงพูดขึ้นมาว่า “กูมาแล้ว เดี๋ยวกูจะกินมึงให้หมดเลย” ครูเอช็อคไป และไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะแขนขาก็ไม่สามารถขยับได้ บทสวดก็ท่องไม่ได้เพราะไม่ได้นับถือศาสนาอะไร และเป็นคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ ในจังหวะเดียวกันที่ยายคนนั้นเริ่มใกล้เข้ามา ขาข้างหนึ่งของครูเอก็ขยับได้ จึงถีบเข้าไปที่ตรงกลางอกจนร่างยายกระเด็นตกลงไปข้างล่าง จากนั้นครูเอก็ขยับตัวได้ จึงรีบไปเปิดไฟให้ทั่วบ้าน ครูเอไม่กล้าลงไปดูเพราะยังช็อกอยู่ จึงเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงทางขึ้นชั้น 2 จนเกือบจะสว่าง ระหว่างนั้นก็เดินไปที่หน้ากระจก เห็นว่ามีเลือดไหลออกจากจมูก ปาก และทั้งตัวก็เต็มไปด้วยเลือดของตัวเอง และเมื่อใกล้เช้าก็มีคนมาเรียกครูเอ ซึ่งเป็นเสียงของผู้ใหญ่บ้านที่ครูเอจำได้ แต่ครูเอก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ หรือเปล่า จึงไม่ยอมลงไปข้างล่าง เพราะข้างนอกยังไม่สว่างมาก ครูเอเลือกที่จะอยู่บนบ้านและถือปืนไว้เผื่อเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ข้างล่างบอกให้ครูดึงบันได้ลงมาเพื่อจะขึ้นไปดู ครูเอตัดสินใจให้ขึ้นมา แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านครูเอก็จะยิงทันที และก็เป็นผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ ที่ขึ้นมา ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามว่า “ทำไมเปิดไฟไว้ทั้งคืน เป็นอะไรลูก เลือดเต็มตัวเลย“ ครูเอที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ร้องไห้ออกมา และเข้าไปกอดผู้ใหญ่บ้าน เมื่อได้สติจึงเล่าทุกอย่างให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง จากนั้นในตอนเช้าผู้ใหญ่บ้านจึงพาครูเอไปรดน้ำมนต์ และชาวบ้านในหมู่บ้านก็มาผูกแขนเพื่อรับขวัญให้ครูเอ รวมถึงแม่ค้าที่เคยเจอกันในตอนนั้น ซึ่งแม่ค้าคนนั้นก็บอกกับครูเอว่า “หนูบอกน้าครูแล้ว ว่าอย่าไปพูดแบบนั้น” หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ทำให้ครูเอกลายเป็นคนที่มีเซ้นส์ จากที่ไม่เคยเห็นผี ครูเอก็รู้ได้ในทันทีว่าใครคือคนหรือไม่ใช่คน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณโบนัส เดอะโกสท์ ‘เเหวนหางช้าง’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

04 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณโบนัส เดอะโกสท์ ‘เเหวนหางช้าง’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

ในรายการ “อังคารคลุมโปง X’ (25 มีนาคม 2568) มีเรื่องราวสุดหลอนจาก “คุณโบนัส” ที่ได้รับแหวนหางช้างจากเพื่อนร่วมงาน ก่อนเกิดเหตุการณ์ลึกลับจนทำให้เธอหายตัวไป แต่ทำไมเธอยังคงกลับมาปรากฏตัวในสถานที่ทำงานอยู่? มาฟังเรื่องราวเต็มๆ กับ “ดีเจแนน”, “ดีเจเจ็ม”, และ “ดีเจมดดำ” แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้ง คนที่เราคุยอยู่ด้วยทุกวัน อาจจะไม่ใช่คนก็เป็นได้! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน คุณโบนัสเคยทำงานเป็นดีเจประจำสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง โดยจำเป็นต้องโยกย้ายสถานที่ทำงานทุก ๆ 5-6 เดือน จนกระทั่งได้รับสัญญาทำงานที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในภาคใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ที่นั่น คุณโบนัสได้ทำความรู้จักกับพนักงานหลายคน รวมถึง “คุณแนน” พนักงานต้อนรับ (PR) สาวที่ย้ายมาจากต่างจังหวัด เมื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ต้องมาทำงานไกลบ้าน เธอเล่าว่าตามเพื่อนมา เนื่องจากที่บ้านไม่มีอะไรให้ทำ ทั้งสองคนจึงสนิทกันจากการที่ต่างเป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน เมื่อระยะเวลาสัญญาของคุณโบนัสใกล้จะสิ้นสุดลง คุณแนนได้กล่าวขึ้นว่า “พี่จะย้ายงานแล้วใช่ไหม?” เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ เธอจึงถอดแหวนหางช้างออกจากนิ้วของตนและยื่นให้ พร้อมกล่าวว่า “พี่เดินทางบ่อย หนูอยากให้แหวนนี้คุ้มครองพี่ หนูใส่มาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ให้มา” คุณโบนัสตกใจและถามว่า “ทำไมถึงไม่เก็บไว้ใส่เอง มันคงมีค่าสำหรับเธอมาก” แต่ คุณแนน ตอบกลับว่า “หนูไม่ได้เดินทางไกลเหมือนพี่ หนูคงไม่ได้ใช้มันแล้ว” แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่คุณโบนัสก็นำแหวนมาเก็บไว้โดยไม่ได้สวมใส่ ในวันถัดมา มีการแสดงคอนเสิร์ตจากวงดนตรีชื่อดัง คุณโบนัสเดินทางไปซาวด์เช็กตั้งแต่ช่วงบ่าย ระหว่างนั้น ทีมงานของวงได้เดินเข้าไปในห้องพักศิลปิน ทันใดนั้น หนึ่งในทีมงานก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนรีบเดินออกจากห้อง เมื่อ คุณโบนัสสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติจึงเข้าไปสอบถาม ทีมงานคนดังกล่าวอธิบายด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “ผมเห็นผู้หญิงนั่งอยู่มุมห้อง เปียกโชกไปทั้งตัว” ในช่วงค่ำ ขณะที่คอนเสิร์ตดำเนินไป ลูกค้ากลุ่มหนึ่งโวยวายว่าสั่งเครื่องดื่มไปนานแล้วแต่ยังไม่ได้รับ กัปตันของร้าน จึงเข้ามาสอบถามว่าลูกค้าสั่งเครื่องดื่มกับใคร เมื่อได้รับคำตอบว่าสั่งกับ “ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น” กัปตันจึงเรียกพนักงานหญิงทุกคนมาให้ลูกค้าดู แต่ลูกค้ากลับบอกว่า ไม่มีใครในกลุ่มนี้ที่เป็นคนรับออเดอร์ สุดท้าย ทางร้านจึงชดเชยเครื่องดื่มให้ลูกค้า และเรื่องก็จบลงไป หลังเลิกงาน คุณโบนัสพบคุณแนนนั่งอยู่หน้าร้าน จึงชวนไปทานก๋วยเตี๋ยว แต่เธอตอบกลับว่า “หนูมีปัญหา หนูอยากกลับบ้านแล้ว ไม่อยากทำงานที่นี่ต่อไป” เมื่อสอบถามว่าเกิดปัญหากับครอบครัวหรือไม่ เธอปฏิเสธ และกล่าวเพียงว่า “หนูรู้สึกใจไม่ดีแปลก ๆ อยากกลับบ้าน” วันรุ่งขึ้น คุณโบนัสเห็นคุณแนนมานั่งที่มุมร้านเร็วกว่าปกติ เมื่อเข้าไปสอบถาม เธอบอกว่า “หนูจะลาออกแล้ว หนูไม่อยากทำงานที่นี่ต่อไป” คุณโบนัส เริ่มกังวลว่าอาจเป็นเพราะเรื่องแหวน จึงเสนอจะคืนให้ แต่เธอกลับปฏิเสธ “พี่เก็บไว้เถอะ เก็บไว้ให้ดี ๆ หนูคงไม่ได้ใช้แล้ว” จากนั้น เธอเล่าต่อว่า โทรหาครอบครัวแต่ไม่มีใครรับสาย และเมื่อพ่อแม่รับสายก็ดูเหมือนไม่สนใจเธอ ในช่วงเย็น คุณโบนัสขอให้พนักงานหญิงอีกคนไปดูแลคุณแนน เนื่องจากเธอดูเครียดผิดปกติ แต่พนักงานคนนั้นกลับตอบว่า “พี่… คุณแนนไม่มาทำงานสองวันแล้วนะ” คุณโบนัสตกตะลึง เพราะเมื่อไม่นานมานี้เขายังเห็นเธอนั่งอยู่ที่ร้าน ในขณะเดียวกัน คุณแนนลุกขึ้นและเดินไปทางด้านหลังร้าน พนักงานหญิงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเธอจึงเดินตามไป แต่หลังจากนั้นก็หายตัวไป โดยไม่มีใครเห็นเธอเดินกลับมา ในช่วงดึก หลังจากเสร็จงาน เจ้าของร้านได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งขอให้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึง พวกเขาเห็นรถจักรยานยนต์ของคุณแนนถูกยกขึ้นจากคลอง เมื่อหน่วยกู้ภัยนำร่างของหญิงสาวขึ้นมา เธอสวมเสื้อตัวเดียวกับที่คุณโบนัสเห็นก่อนหน้านี้ แต่ร่างนั้นอยู่ในสภาพบวมอืด และคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณสองวัน พนักงานหญิงที่เดินตามคุณแนนไปหลังร้านในวันนั้น ขี่จักรยานยนต์ตามมาที่จุดเกิดเหตุในสภาพตกใจสุดขีด เธอร้องไห้พลางกล่าวว่า “พี่รู้ไหม ตอนที่หนูเดินตามแนนไป ตัวมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสื้อผ้ามันเริ่มเปียก และน้ำหยดลงพื้น ต่อหน้าต่อตาหนูเลย พอหนูจะเข้าไปแตะตัวมัน น้ำเหลืองติดมือหนูเต็มไปหมด หนูกลัวมากจนต้องวิ่งออกมา” หลังจากเหตุการณ์นั้น มีพนักงานหลายคนยังคงพบเห็นคุณแนนปรากฏตัวอยู่ภายในร้าน เจ้าของร้านจึงตัดสินใจติดต่อครอบครัวของเธอ แต่ปรากฏว่าพ่อของเธอยังไม่ทราบว่าลูกสาวเสียชีวิต คืนก่อนที่ได้รับข่าวร้าย พ่อของคุณแนนฝันเห็นลูกสาวมายืนเรียกหน้าบ้านว่า “พ่อเปิดประตูให้หนูหน่อย” เมื่อทราบว่าเธอยังคงปรากฏตัวในร้าน พ่อของเธอจึงตัดสินใจเดินทางมารับเธอกลับบ้าน พร้อมให้พระมาทำพิธี คุณโบนัสได้นำแหวนหางช้างกลับไปให้พระ และถามว่าควรเก็บไว้หรือไม่ พระตอบว่า “แหวนนี้ไม่ได้เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ชะตาของเธอได้ขาดลงแล้ว..”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

'ตรงทางหนีไฟ' เรื่องเล่าสั้น ๆ จาก 'พี่เเรก' I อังคารคลุมโปง X แรก หลอนสออนผี [ 15 ต.ค. 2567]

19 ต.ค. 2024

'ตรงทางหนีไฟ' เรื่องเล่าสั้น ๆ จาก 'พี่เเรก' I อังคารคลุมโปง X แรก หลอนสออนผี [ 15 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับ ‘เเรก หลอนสออนผี‘ ได้นำเรื่อง ‘ตรงทางหนีไฟ’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (15 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เจอขณะไปเล่นดนตรีที่ต่างจังหวัด เเล้วได้เจอกับน้องคนหนึ่ง เเต่สุดท้ายเเล้วมารู้ความจริงว่าน้องคนนั้นตายไปแล้ว! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเเรก หลอนสออนผีได้เล่าว่า ตอนนั้นตนได้ไปเล่นดนตรีที่จังหวัดหนึ่ง ทางค่ายต้นสังกัดได้เช่าอะพาร์ตเมนต์ให้วงเข้าพักประมาณ 5 ห้อง เมื่อเสร็จจากเล่นดนตรี เพื่อนในวงก็มักจะปาร์ตี้สังสรรค์กัน แต่ตนไม่รู้จะทำอะไร จึงเล่นเกมเพลย์ เเต่เเล้วก็รู้สึกเบื่อ จึงเดินออกไปเปิดประตูทางเดินหนีไฟ ซึ่งทางเดินหนีไฟเชื่อมต่อกันทุกชั้น คุณแรกอยู่ชั้น 7 ตามประสาคนต่างจังหวัดที่ห่างจากบ้านก็รู้สึกเหงา จึงยืนเล่นรับลมอยู่ตรงนั้น สักพักก็มีเสียงเปิดประตูที่มีระยะห่างกัน 1 ชั้น เป็นผู้หญิงกำลังยืนสูบบุหรี่ วันเเรกที่เจอคุณแรกก็คิดว่า ‘เขาสวยจัง หุ่นดี น่ารักดี’ หลังจากนั้นคุณแรกก็ออกมายืนเล่นตรงทางหนีไฟทุกวัน แล้วก็มักจะเจอผู้หญิงคนนี้สูบบุหรี่อยู่ที่เดิมทุกวัน จนมาถึงในวันที่ 4 ผู้หญิงคนนั้นคงรู้สึกว่ามีใครมองอยู่ข้างบน จึงแหงนหน้ามองขึ้นมายิ้มให้เเล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ” หลังจากได้คุยกัน ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำงานเป็นนักร้องคาเฟ่ แล้วก็เริ่มคุยกันจนรู้จักกัน ทั้งคู่ต่อบทสนทนาอย่างลื่นไหล คุยสนุก หายเหงา เมื่อคุณแรกเลิกงานก็รีบกลับมาห้องเเล้วลากเก้าอี้มานั่งรอคุยกับน้องผู้หญิงตรงทางหนีไฟนี้เป็นเวลา 5 วัน จนกระทั่งคุณแรกเริ่มสังเกตว่ามันมีสิ่งผิดปกติก็คือ ช่วงหลัง ๆ ที่คุยกันอยู่ น้องผู้หญิก็ขอตัวกลับห้องเร็วขึ้น เเละทุกครั้งที่น้องเขาดูร้อนรน ก็จะมีรถจิ๊บทหารเลี้ยวเข้ามาจอด ตนก็ได้เเต่คิดในใจว่าคงกลัวแฟนเห็นหรือตนอาจจะแค่เข้าใจผิดไปเอง วันหนึ่งตนได้ไปกินข้าวระแวกอะพาร์ตเมนต์ เมื่อเดินผ่านป้อมยามก็ถามว่า คุณแรก : ลุง จะเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก ผมจะซื้อข้าวมาฝากน้องห้องข้างล่างด้วย ลุงยาม : ห๊ะ! อะไรนะ ห้องไหน? คุณแรก : ห้องข้างล่างผมอะ ห้องตรงกันเลย ลุงยาม : เฮ้ย ไปกินข้าวก่อน ค่อยว่ากัน หลังจากนั้นตนก็ได้ไปกินข้าว เเล้วก็ซื้อกลับมาฝากลุงยามกับน้องห้องข้างล่าง เมื่อมาถึงที่พักลุงยามก็ได้บอกกับตนว่า ลุงยาม : ไม่ต้องขึ้นไปหรอก คุณแรก : ทำไมครับลุง ลุงยาม : ไม่มีใครอยู่หรอกชั้นนั้นน่ะ เหลือไม่กี่ห้อง ตนก็เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทั้ง ๆ คุยกับน้องคนนั้นทุกวัน ได้เเต่คิดว่าลุงกั๊กผู้หญิงคนนี้ไว้หรือเปล่า ตนไม่เชื่อคำที่ลุงพูดจึงขึ้นไปหาห้องน้อง เมื่อขึ้นไปแล้วก็เห็นว่าทั้งชั้นนั้นมีคนพักอยู่เเค่ 2 ห้อง ห้องที่เหลือแปะป้ายว่างไว้ทั้งหมด คุณแรกเดินไล่หาห้องของน้องคนนั้นปรากฏว่าก็มีแปะป้ายว่างอยู่ที่ประตูจริง ๆ ! คุณแรกได้แต่อึ้งเเล้วก็ได้เคาะประตูเเล้วพูดว่า “พี่ซื้อของมาฝากนะ” จากนั้นก็ห้อยของที่ซื้อมาที่ประตู แล้วก็ได้เดินลงมาหาลุงยามอีกครั้ง แล้วก็ถามลุงว่า คุณแรก : ลุง มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ลุงยาม : อยากรู้ใช่มั้ย เเล้วลุงก็ได้ยื่นหนังสือพิมพ์ให้คุณแรกอ่านจนทราบความจริงว่า เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ก่อนที่คุณแรกจะเข้ามาพักที่นี่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งน้องผู้หญิงที่ตนคุยด้วยทุกวันนั้นเป็นเมียน้อยทหาร เปิดห้องเลี้ยงผู้หญิงคนนี้ไว้ เเล้วเกิดอาการหึงหวงจึงทำให้เกิดการทะเลาะกัน ถึงขนาดที่เอาหมอนกดหัวเเล้วเอาปืนจ่อแล้วยิงที่หัว! เสียงดังสะนั่นจนคนทั้งชั้นออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เเล้วคนในชั้นก็เห็นทหารคนนี้แบกร่างผู้หญิง เลือดหยดลงตามทางเดิน ไปเปิดประตูทางหนีไฟ แบกศพขึ้นรถจิ๊บเเล้วก็ขับรถออกไป สุดท้ายทหารคนนั้นเลือกจะจบที่ชีวิตตามผู้หญิงด้วยการยิงตัวเองตายข้างทาง และนี่ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1