ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระซิบว่า “ช่วยด้วย..” ไม่กี่วันคนร้ายมอบตัว เพราะลุงมาบอกว่าจะเอาชีวิต!

อังคารคลุมโปง RECAP

ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระซิบว่า “ช่วยด้วย..” ไม่กี่วันคนร้ายมอบตัว เพราะลุงมาบอกว่าจะเอาชีวิต!

13 มี.ค. 2023

(WARNING : เนื้อหานี้มีความรุนแรง, การทำร้ายร่างกาย และเป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

     เรื่องราวฆาตกรรมสุดโหดที่เกิดขึ้นนี้คือประสบการณ์หลอนที่ “คุณบี” ได้พบเจอกับตัวเอง และได้โทร.เข้ามาเล่าในรายการ “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ที่ผ่านมา เป็นเรื่องของ “ลุงแถวบ้าน” ที่เสียชีวิตด้วยเหตุฆาตกรรมสุดโหดโชกไปด้วยเลือด..!

     คุณบีเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว คุณลุงแถวบ้านท่านนี้ ทำอาชีพดักจับหนู โดยปกติเมื่อตกเย็นก็มักจะล้อมวงสังสรรค์กับคนละแวกนั้นอยู่เสมอ คืนหนึ่งในวงสังสรรค์นั้น ก็มี “คู่อริเก่า” นั่งรวมอยู่ด้วย เรื่องของเรื่องก็คือคุณลุงท่านนี้เคยไปต่อว่าแม่ของคู่อริเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พอน้ำเมาเริ่มทำงาน การสังสรรค์ก็เริ่มจะสังเสีย ทั้งคู่มีปากเสียงกัน ทันใดนั้นฝ่ายคู่อริก็กลับบ้าน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า คุณลุงคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วก็เลยจะออกไปดักหนูตอนกลางคืนตามปกติ จึงปั่นจักรยานออกไปห่างจากบ้านประมาณ 200 เมตร ไม่นานนัก ก็เจอเข้ากับคนร้ายดักฟันเข้าไปที่คอจากด้านหลัง! เท่านั้นยังไม่พอ คนร้ายยังจับเงยหน้าแล้วฟันที่คอ จนคอเกือบขาด! เหลือแค่ตรงกระดูกเพียงนิดเดียวเท่านั้น..

     เช้าวันต่อมา เวลาประมาณตี 4 คนแถวนั้นที่ออกไปทำงานแต่เช้าก็พบศพของคุณลุงและรีบโทรแจ้งตำรวจ สภาพที่เกิดเหตุจะเห็นคราบเลือดเป็นวงกลม แสดงให้เห็นว่าก่อนสิ้นลม คุณลุงเจ็บปวดและทรมานเพียงใด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็ได้สอบถามคนละแวกใกล้เคียง แต่ก็ยังไม่เจอบุคคลน่าสงสัย แต่ทางด้านตำรวจก็ยังคงทำหน้าที่สืบคดีอย่างต่อเนื่อง

     ผ่านไปไม่กี่วัน ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนอยู่นั้น ทางด้านคุณบีเอง ก็ได้ขับรถมาที่บ้านแฟนซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่หลังจากที่เกิดเหตุ คุณบีเล่าว่า “หนูขี่ไป แล้วเห็นผู้ชายคนนึง ลักษณะคือผมขาวแต่ไม่ทั้งหัวนะคะ ใส่เสื้อสีเหลือง ใส่กางเกงขาม้า แล้วก็..ยืนยิ้มอยู่ตรงต้นขนุน” คุณบีบอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็เลยขับรถผ่านแล้วเข้าบ้านแฟนไป และเล่าให้แฟนฟังว่า “เนี่ย เห็นเขายืนยิ้มอยู่ ทำไมเขาไม่เข้าบ้าน มันดึกแล้วนะ” ทั้งสองคนไม่ได้คิดอะไร และปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป..

     วันถัดมา คุณบีก็ขับรถมาทางเดิมอีกครั้ง รอบนี้คุณบีได้ยินชาวบ้านคุยกันถึงเรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น คุณบีที่อยากรู้จึงเข้าไปร่วมวงสนทนา และขอดูรูป พอเห็นรูปคุณบีถึงกับตกใจ! เธอบอกว่าคนในรูปคือคนเดียวกับที่เห็น! พอเล่าให้คนในครอบครัวของแฟนฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ คุณบีจึงเงียบไป

     2 วันถัดมา คุณบีขับรถมาทางเดิมอีกครั้ง แต่รอบนี้มีเพื่อนมาด้วยหนึ่งคน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน พอขับผ่านบ้านของคุณลุงที่เสียชีวิตไปประมาณ 3-400 เมตร เพื่อนของคุณบีก็สะกิดบอกคุณบีว่า “มึง.. ลุงเขาบอกให้ช่วย” คุณบีเล่าเสริมอีกว่าอยู่ ๆ เพื่อนก็พูดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คุยอะไรกัน และไม่มีเสียงอะไรด้วย! เพื่อนคุณบีบอกว่า “ลุงเขาบอกว่า ไปบอกลูกสาวเขาหน่อย ว่าคนคนเนี้ย เป็นคนฆ่า แล้วเขาหนีไปที่ไหน” คุณบีได้ยินดังนั้นก็ขนลุกไปทั้งแขน แล้วก็รีบพากันขับรถกลับบ้านทันที!

     ทั้งสองคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ได้บอกใคร ผ่านไปไม่กี่วันคนร้ายก็เข้ามามอบตัวกับตำรวจ แล้วก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้ ลุงเขาไปกวน ลุงเขาจะเอาชีวิตให้ได้เลย” ทางด้านลูกสาวของผู้เสียชีวิตก็ถามว่าทำไมต้องฆ่าคุณลุง คนร้ายก็บอกว่า โมโหที่คุณลุงเคยต่อว่าแม่ของเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งคนร้ายคนนั้นก็คือ “คู่อริ” ที่ทะเลาะกันในคืนนั้นนั่นเอง คุณบียังเล่าเสริมอีกว่า คนร้ายคนนั้นก็คือคนที่คุณลุงบอกกับเพื่อนของคุณบีจริง ๆ แล้วคุณบีก็พึ่งมารู้ทีหลังว่าวันที่เจอคุณลุงพร้อมกับเพื่อนนั้น คุณลุงเขาวิ่งตามรถจนเกือบไปถึงวัด ด้วยสภาพที่เหมือนกับวันที่ถูกฆาตกรรม! ในตอนนั้นเพื่อนคุณบียังบอกให้รีบขับเร็ว ๆ แต่คุณบีไม่คิดว่าจะมีอะไรจึงไม่ได้ใส่ใจ

     ดีเจเจ็มถามย้อนกลับไปในวันแรกที่คุณบีเห็นคุณลุงสวมเสื้อสีเหลือง ตอนนั้นคุณลุงยังอยู่ในสภาพปกติ คุณบีจึงบอกว่า “อาจจะตอนนั้นเขายังไม่รู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่จำหน้าคุณลุงได้ชัดเลย”

ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

 

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

16 มิ.ย. 2023

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

‘อังคารคลุมโปง X’ (13 มิถุนายน 2566) ได้แขกรับเชิญสุดพิเศษที่เล่าเรื่องหลอนได้ถึงพริกถึงขิงอย่าง ‘คุณตั้น The Shock’ พร้อมกับเรื่องที่ชวนขนหัวลุกของรถตู้ ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ คิ้วขมวดตลอดทั้งเรื่อง! แต่จะหลอนชวนปริศนาแค่ไหน แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ ‘คุณเอ’ (นามสมมุติ) ปัจจุบันเป็นสต๊าฟงานอีเวนต์จึงได้รู้จักกับคุณตั้น แล้ววันนั้นก็ต้องนั่งรถตู้ไปพร้อมกับคุณตั้นพอดี คุณตั้นจึงบอกคุณเอไปว่า “เอนั่งข้างหน้าต่างแล้วกัน พี่รู้ว่าเอชอบนั่งริมหน้าต่าง แล้วพี่จะนั่งเบาะกลางเอง” แต่คุณเอกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่เอาพี่ เราเว้นที่นั่งเบาะกลางไว้ดีกว่า ผมจะนั่งริมหน้าต่าง ส่วนพี่นั่งริมประตูละกัน” ด้วยความสงสัยคุณตั้นก็ถามไปว่า “ทำไมล่ะ?” คุณเอก็บอกว่า “เดี๋ยวขึ้นรถแล้ว ผมจะเล่าให้ฟัง” หลังจากนั้น คุณเอก็เริ่มเล่า..ย้อนกลับไปตอนที่คุณเอยังเป็นนักดนตรีแบคอัพ มีงานเดินสายเล่นดนตรีแทบทุกคืน คืนหนึ่ง คุณเอต้องเดินทางไปเล่นดนตรีที่ภาคอีสาน โดยการนั่งรถตู้ไปพร้อมกับนักดนตรีแบคอัพวงเดียวกัน แต่รถตู้ของน้าคนขับคู่ใจดันเสีย จึงต้องใช้รถตู้คันอื่นโดยสารไปแทน เมื่อรถมาถึง นักดนตรีก็แยกย้ายกันขึ้นไปนั่ง แบ่งเป็นแถวละ 1 คน ส่วนเบาะที่ยังว่างก็ใช้วางอุปกรณ์ดนตรีแทน คุณเอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแถวหลังคนขับ เมื่อจัดแจงที่นั่งกันเรียบร้อย รถตู้ก็ออกเดินทางตามกำหนดเดินทางออกไปได้สักพัก คุณเอก็เริ่มเคลิ้มหลับ แต่เพราะนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้หัวมักจะชนกับหน้าต่างบ่อย ๆ และจะรู้สึกตัวเป็นพัก ๆ กระทั่งเวลา 2 ทุ่ม หัวคุณเอชนเข้ากับหน้าต่างจนสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ข้างทางเป็นต้นไม้ มีแสงไฟสลัวจากเสาไฟถนนเป็นระยะ คุณเอเหลือบหางตาไปทางด้านขวามือ เห็นเป็นหน้าผู้ชายในกระจก! คุณเอตกใจสะดุ้งแล้วขยี้ตา มองไปอีกที สิ่งนั้นก็หายไป! คุณเอคิดว่าคงเป็นเงาของตัวเอง ไม่ก็คิดมากไปเองเพราะยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ จึงไม่ได้คิดอะไรมากและกำลังจะหลับต่อ สักพักก็มีเสียงดังก้องในหูว่า “ตื่น.. มีของจะฝาก” คุณเอลืมตาขึ้นมาและมองไปที่กระจกอีกครั้ง ก็เห็นเป็นหน้าผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนอยู่ คุณเอพยายามตั้งสติและมองว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เป็นเพื่อนจากข้างหลังที่ย้ายมานั่งข้าง ๆ กันหรือเปล่า ระหว่างที่คิดนั้น คุณเอก็พยายามหลบสายตาผู้ชายในกระจก แล้วเบี่ยงหน้าทางซ้าย ปรากฏว่าสิ่งที่คุณเอเห็นคือ เบาะกลางด้านซ้ายมือของคุณเอ มีผู้ชายแปลกหน้านั่งอยู่!คุณเอคิดในใจว่า “มึงใครวะ” หลังจากสติเริ่มเข้าที่ ก็เริ่มประมวลภาพข้างหน้า ลุงคนนี้ใส่เสื้อลายสก็อต มีย่ามสะพายคาด นั่งมองไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “เห็นใช่มั้ย?” คุณเอและคิดในใจว่า “ก็คนน่ะ ก็เห็นสิ” แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป ลุงคนนั้นถามอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นว่า “เห็นใช่มั้ย?” จากนั้นก็หันหน้ามา ทำให้เห็นว่าหน้าอีกฝั่งเละไปทั้งแถบ! ตอนนั้นคุณเอคิดว่าต้องตะโกนแล้ว แต่พอกำลังจะอ้าปาก มือของลุงคนนั้นก็มาตบที่ต้นขาของคุณเอดังป๊าบ! แล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องกลัว” คุณเอสับสนในหัว ไม่รู้จะทำยังไงต่อ และคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือหลับดีกว่า! หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมานั่งตรงเพื่อที่จะหลับต่อ แต่ความรู้สึกที่ต้นขายังสัมผัสได้ว่ามือของลุงคนนั้นยังจับอยู่ที่ขา จากนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเห็น จะเล่าให้ฟัง..”เวลาผ่านไปสักพัก คุณเอไม่รู้สึกถึงสัมผัสที่ต้นขาแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอะไร จึงลืมตาขึ้น แต่ก็พบว่าสภาพแวดล้อมในรถมันไม่เหมือนเดิม! รอบข้างกลายเป็นเวลากลางวัน คนขับรถตู้ก็ไม่ใช่คนเดิม คนในรถก็ไม่ใช่เพื่อน ทางด้านซ้ายกลายเป็นลุงคนนั้นนั่งอยู่ตรงเบาะกลาง ถัดไปเป็นผู้หญิง และที่นั่งในรถตู้คันนี้ก็เต็มไปด้วยผู้โดยสารเต็มคัน คล้ายกับรถตู้คันนี้เป็นรถตู้โดยสารข้ามจังหวัด! คุณเอมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามมองว่าลุงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังจะสื่อสารอะไรกับคุณเอกันแน่ ภาพที่เห็นคือ คุณลุงหยิบรูปถ่ายออกมาจากย่าม เป็นรูปถ่ายผู้หญิงใส่ชุดรับปริญญา คุณลุงอมยิ้มให้กับรูปถ่าย แล้วก็หยิบแหวนขึ้นมา คุณเอยังไม่เข้าใจความหมายของภาพตรงหน้า สักพักก็มีเสียง “เอี๊ยดดดดดด!” จากนั้นก็รู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในรถที่เสียการทรงตัว “โคร้มมม!” รถตู้หยุดแน่นิ่ง ภาพตัดมาที่คุณเอกำลังยืนมองดูรถตู้คันนั้นอยู่ข้างทาง เสียงร้องโอดครวญจากคนในรถ และมีหลายคนพยายามตะเกียกตะกายออกมา คุณเอคิดในใจว่าอยากจะเข้าไปช่วย แต่กลายเป็นว่าคุณเอจับแขนใครไม่ได้เลย เหมือนกับตัวเองเป็นอากาศธาตุ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า มีลุงคนนึงที่นั่งมาด้วยกัน ตอนนี้ลุงคนนั้นอยู่ไหน คุณเอขึ้นไปยืนบนรถตู้ที่นอนตะแคงอยู่แล้วมองผ่านกระจกรถที่แตก ก็เห็นว่าคุณลุงยังอยู่ตรงนั้น เศษกระจกบาดใบหน้าจนเละ และมีเสียงหายใจบวกกับกระอักเลือดอยู่ แทนที่คุณลุงจะตะเกียกตะกายเพื่อออกจากรถ กลายเป็นคุณลุงยื่นมือส่งแหวนให้คุณเอกำไว้ในมือ! หลังจากนั้นก็เหมือนอาการวาร์ป คุณเอรู้สึกตัวอีกทีบนรถตู้คันเดิมที่นั่งมา คุณเอหันไปมองข้าง ๆ ก็ไม่เจอคุณลุงคนนั้นแล้ว เมื่อพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่ามือของตัวเองกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ พอคลายมือก็พบว่ามันคือแหวน! คุณเอทั้งตกใจทั้งมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงร้านที่จะต้องไปเล่นดนตรีแล้ว จึงเก็บแหวนใส่กระเป๋า จากนั้นก็ไปทำงาน จนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปจนกระทั่งถึงเวลาเล่นดนตรี ทุกคนก็กำลังสนุกสนานไปกับบรรยากาศในร้าน มีแว๊บนึงที่คุณเอนึกขึ้นได้ว่า “แหวนยังอยู่มั้ยวะ?” แล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกางเกงเพื่อเช็คแหวน จังหวะนั้นก็เห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่หน้าเวทีกำลังสนุกสนาน คุณเอรู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก หรือเธอจะสวยจนเตะตา แต่ก็ไม่ใช่สเปกขนาดนั้น คุณเอรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนสักที่ หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีต่อจนจบ เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ ได้ วงของคุณเอไม่ได้มีงานต่อ ที่ร้านจึงจองโต๊ะไว้ให้นั่งสังสรรค์ต่อ ระหว่างนั้นเรื่องแหวนและผู้หญิงคนนั้นก็ยังติดอยู่ในใจคุณเออยู่ กระทั่งคนในวงเอ่ยทัก เพราะคุณเอดูไม่ร่าเริง แต่คุณเอก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จากนั้นก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้น จึงคิดในใจว่า “หรือผู้หญิงคนนี้ จะเป็นคนที่อยู่ในรูป” และคิดว่าจะเอาแหวนไปให้เธอดู อาจจะคลายปมปริศนาที่สงสัยอยู่ก็เป็นได้จากนั้น คุณเอก็เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ท่ามกลางเพื่อน ๆ ในวงที่ส่งเสียงแซวตามหลัง เมื่อมาถึงที่โต๊ะ คุณเอก็ถามผู้หญิงคนนั้นว่า “น้องครับ พี่ขอเวลาสักครู่ได้มั้ย?” ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกจริงจัง จากนั้นก็หยิบแหวนขึ้นมา แล้วพูดว่า “น้องเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ย?” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ แล้วก็วิ่งออกจากร้านไป! เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะก็เริ่มโวยวาย คิดว่าคุณเอเป็นคนไม่ดี แต่คุณเอก็รีบปฏิเสธว่าตนยังไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็วิ่งตามออกไป พอออกไปข้างนอกก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นร้องไห้อยู่ตรงทางเท้า เพื่อนก็เข้าไปปลอบ เธอร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ หลังจากเธอเริ่มได้สติ คุณเอก็เริ่มเข้าไปคุยด้วยว่า “น้อง.. มันเกิดเรื่องอะไรกับพี่ไม่รู้ แต่มันมีแหวนวงนี้มาอยู่ที่พี่ น้องรู้มั้ยว่ามันคืออะไร?” จากนั้นเธอก็เริ่มตั้งสติ และบอกว่า “แหวนวงนี้ เป็นของพ่อหนู คือตอนนั้นหนูเรียนจบปริญญาตรี แล้วก็ถ่ายรูปใส่ชุดรับปริญญาส่งไปให้พ่อดู พ่อหนูไปทำงานที่กรุงเทพ ส่งเงินให้หนูเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด แล้วพ่อก็บอกว่าพ่อจะกลับไปงานรับปริญญา แล้วก็จะมีของขวัญไปให้ด้วย” แล้วเธอก็เปิดรูปที่พ่อส่งมาให้ในไลน์ เห็นเป็นคุณพ่อถ่ายรูปเซลฟี่คู่กับแหวนส่งมาให้ แต่ระหว่างที่คุณพ่อเดินทางกลับ รถตู้ที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ค้นหาแหวนยังไงก็ไม่เจอ นั่นทำให้คุณเอพอจะเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น จากนั้นก็มอบแหวนคืนน้องผู้หญิงไปแต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจคือ “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วยวะ?” คุณเอจึงไปหาน้าคนขับรถตู้เพื่อถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่น้าคนขับรถก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะรถตู้คันนี้ก็เช่ามาอีกทีเหมือนกัน จึงโทรกลับไปหาเจ้าของรถตู้ ได้เรื่องว่ารถตู้คันนี้พึ่งซ่อมเสร็จ กำลังใหม่เอี่ยม แถมยังให้เช่าราคาถูกอีกด้วย นั่นจึงทำให้รู้ว่ารถตู้คันนี้คือต้นเรื่องราวทั้งหมด เป็นรถคันที่เกิดอุบัติเหตุนั่นเอง!สุดท้ายแล้วคุณตั้นได้มานั่งวิเคราะห์กับคุณเอว่า หรือจริง ๆ แล้ว แหวนวงนี้ มันอยู่ในรถตั้งแต่แรก แต่ไม่มีใครหาเจอ แล้วคุณเออาจจะไปสัมผัสโดนแหวน ทำให้คุณพ่อสามารถสื่อสารกับคุณเอได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณเอมีความคิดว่า ถ้ารักใคร จะไม่ให้คนนั้นนั่งเบาะกลาง.. แล้วคุณล่ะ ชอบนั่งตรงไหน แต่เพื่อความปลอดภัยอย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งด้วยนะ ด้วยความหวังดีจาก อังคารคลุมโปง X(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

20 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเริ่มเล่าว่า คุณขวัญทำอาชีพเป็นหมอดู ซึ่งคุณขวัญมีลูกดวงอยู่คนหนึ่ง เคยปรึกษาปัญหากันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกดวงอยากปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ โดยคุณแม่มักจะมีอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย ตั้งแต่ขาไล่จนมาถึงศีรษะ ซึ่งจะเป็นหนักในช่วงวันพระและวันโกนของทุก ๆ เดือน ลูกดวงเองจึงสัมผัสได้ว่า ‘น่าจะมีบางอย่างผิดปกติ..’ ลูกดวงคนนี้ อาศัยอยู่ในภาคอีสาน จึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณค่อนข้างมาก หลังจากนั้น คุณแม่ก็ได้ไปปรึกษากับ ‘หมอธรรม’ บุคคลที่มีคนให้ความนับถือทางด้านคาถาอาคมทางพุทธเวทย์และไสยเวทย์ เป็นหมอธรรมแถวบ้านท่านหนึ่ง หมอธรรมจึงทำพิธีสื่อวิญญาณ อ้างว่าดวงวิญญาณที่สื่อด้วยเป็น ‘วิญญาณของเจ้าที่’ ซึ่งดวงวิญญาณเกิดความไม่พอใจในตัวของคุณแม่ สาเหตุเป็นเพราะว่า คุณแม่ทำบุญให้น้อย ดวงวิญญาณยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งต้องการให้คุณแม่รับขันธ์ และกลับมาทำพิธีขอขมาคุณพ่อ เพราะเจ้าที่ท่านไม่พอใจคุณแม่ที่ชอบบ่นชอบดุคุณพ่อ แถมยังกำชับว่า คุณแม่ต้องเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน และเหล้าในพื้นที่บริเวณบ้าน คุณแม่จึงตั้งข้อสงสัยว่า “การทำแบบนี้เป็นการเลี้ยงผีหรือเปล่า?” ทำให้คุณแม่ไม่ได้ทำตามที่คุณหมอธรรมแนะนำมา หลังจากนั้นลูกดวงก็ส่งโทรศัพท์ให้คุณแม่คุยกับคุณขวัญ สิ้นเสียงคำว่า “ฮัลโหล” สิ่งที่คุณขวัญเห็น คือ บ้านไม้เก่า ๆ หนึ่งหลังที่ใต้ถุนบ้านยกขึ้นสูง แล้วก็ยังเห็นดวงวิญญาณของผู้ชายดวงหนึ่ง มีลักษณะสูงค่อนไปทางผอม หน้าคม ผิวสีดำแดง มีท่าทางคล้ายกับคนของเมา คุณขวัญจึงบอกภาพที่เห็นให้กับคุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีใดตอบกลับมา คุณขวัญจึงถามคุณแม่ไปว่า “ปกติคุณพ่อดื่มเหล้าไหมคะ.. แล้วช่วงนี้คุณพ่อมีอาการแปลกออกไปหรือเปล่า ?” หลังจากที่คุณขวัญถามไป คุณแม่จึงยอมเล่าว่า “โดยปกติแล้วคุณพ่อเป็นคนดื่มเหล้า และชอบสังสรรค์กับเพื่อน แต่ช่วงหลังมานี้ คุณพ่อดื่มหนักมากจนเกินไป ตกเย็นมาเป็นอันต้องดื่ม จนบางครั้งคุณพ่อก็นั่งดื่มคนเดียวที่หน้าบ้าน แต่ที่น่าแปลกคือ คุณพ่อมีท่าทีเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับใครบางคน ทั้งที่จริงแล้วคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียว จนกระทั่งคืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณพ่อได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปกินเหล้าที่หน้าบ้าน ซึ่งครั้งนี้คุณพ่อได้ลุกขึ้นเต้น ร้องรำทำเพลงและมีท่าทีที่สนุกสนาน ทั้งที่ปกติแล้วคุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พอคุณแม่ตื่นมาเห็นก็ตกใจ ถามคุณพ่อว่า “แกเป็นอะไร ?” เมื่อคุณพ่อเห็นคุณแม่ก็ไม่พูดอะไร และรีบขับรถออกไปทันที กลับมาอีกทีคือช่วงเช้า” คุณขวัญจึงเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับมาบอกกับคุณแม่ไปว่า “คุณแม่คะ นั่นไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่กำลังแฝงคุณพ่ออยู่ แล้วสิ่งที่คุณหมอธรรมบอกกับคุณแม่ว่าเป็นเจ้าที่ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เป็นดวงวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ขวัญจึงถามคุณแม่ต่อว่า “คุณพ่ออยากกินก้อยบ้างไหม ? เพราะดวงวิญญาณนี้ จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่าก้อย” คุณแม่จึงตอบว่า “ใช่ ปกติคุณพ่อไม่เคยกินก้อยเลย แต่พอหลังจากเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ คุณพ่อก็เลยเริ่มอยากกินก้อยขึ้นมา” ขวัญจึงบอกคุณว่า “ตอนนี้โดนผีหลอกของจริงแล้วละค่ะ” หลังจากนั้นคุณแม่ก็เล่าต่อว่า “ลักษณะบ้านที่ขวัญเห็น เคยเป็นบ้านที่อยู่ติดกับคุณแม่มาก่อน ซึ่งเจ้าของบ้านหลังนั้น มีพฤติกรรมติดเหล้ามาก ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ” และในระหว่างที่ขวัญคุยกับคุณแม่อยู่ คุณขวัญก็มักจะได้ยินเสียงคนคุยกันแทรกบทสนทนาอยู่เสมอ คุณขวัญจึงบอกกับคุณแม่ว่า “คุณแม่ขวัญว่าไม่ได้มีแค่นี้แน่เลย คุณแม่ได้เจออะไรที่มันเยอะกว่านี้ไหม ?” คุณแม่จึงเล่าว่า “เคยมีเหตุการณ์ที่ลูกสะใภ้นอนอยู่ในห้อง แล้วก็เห็นวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง ชะโงกหน้าออกมามองตรงมาที่เตียงนอน และในช่วงเวลากลางคืน มักจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในบริเวณบ้านเป็นประจำ” ซึ่งคุณแม่ทำอาชีพ ‘รับเหมาก่อสร้าง’ ทำให้มีคนงานเข้าออกอยู่เสมอ คนงานคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงเย็นหลังจากทำงาน ตนผูกเปลนอนเล่นใต้ต้นไม้ ช่วงที่กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงคนคุยเล่นกันเสียงดังสนุกสนาน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมา กลับไม่ได้ยินเสียงหรือเจอใครเลย นอกจากนี้ คุณแม่เองก็เคยเจอผีภายในบริเวณบ้าน พร้อมเล่าว่า “ตอนนั้นคุณแม่ออกมาตามคุณพ่อไปทานข้าว เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กลับเห็นดวงวิญญาณสีดำสนิท ปีนอยู่ข้างกำแพง และกระโดดลอยออกนอกหน้าต่างไป” ซึ่งมักมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง คุณแม่เล่าต่ออีกว่า “คุณแม่มักได้ยินเสียง วี๊ด.. เบา ๆ บริเวณหลังบ้าน” และในระหว่างที่คุณแม่กำลังเล่าอยู่ ขวัญก็ได้เห็นภาพลักษณะคล้าย ‘เปรต’ อยู่บริเวณหลังบ้าน จึงถามคุณแม่ว่า “คุณแม่เคยเจอเปรตบ้างไหมคะ ?” คุณแม่ก็ตกใจถามว่า “รู้ได้ยังไง เพราะมีคนงานเคยเจอจริง ๆ ซึ่งเป็นช่วงเย็นหลังจากทำงาน คนงานคนนั้นกำลังนอนเล่นอยู่บริเวณหลังบ้าน เขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ เดินข้ามกำแพงบ้านมาแล้วก็มาหยุดมองมาทางเขา ทำให้ไม่มีคนงานกล้านอนในบริเวณบ้านอีกเลย” ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นภายในบ้านเยอะขึ้น และเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยคุณแม่เล่าต่อว่า “วันนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่กำลังทำกับข้าว มีลมลูกใหญ่ปะทะเข้ามาที่บ้าน ทำให้ประตูและหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปิดเสียงดัง ปัง ! ปัง ! ปัง ! ไปทีละบาน ตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่อยู่แล้ว รีบหอบข้าวหอบลูกไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัด” ซึ่งคุณแม่ต้องทนกับเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้มาตลอด 4 ปีเต็ม โดยที่ทุกคนในบ้านก็เจอเช่นเดียวกัน ส่วนคุณพ่อก็เคยไปทำงานที่ต่างประเทศ คุณแม่เล่าว่า “คุณพ่อเคยเจอวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง นั่งหวีผมตรงสวยอยู่ที่หน้ากระจก ซึ่งคุณพ่อมักจะเจอดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่คุณพ่อสัมผัสได้ว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนี้มาดี เพราะเมื่อคุณพ่อฝันถึง ก็มักที่จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกลอตเตอรี่อยู่เสมอ” หลังจากนั้นคุณขวัญกับคุณแม่รวมถึงลูกดวง ก็ได้นัดมาเจอกันที่บ้านของคุณแม่ และทันทีที่ขวัญ ก้าวขาลงจากรถ ขวัญก็สัมผัสได้ทันทีว่า มีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมายอยู่ทุกจุด ทุกพื้นที่ในบริเวณบ้าน คุณขวัญจึงอธิบายกับคุณแม่ว่า “สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่บริเวณบ้านของคุณแม่ เข้าออกได้ง่ายเกินไป สำหรับวิญญาณและสัมภเวสี” ขวัญจึงทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก หลังจากเสร็จพิธี ในระหว่างที่ขวัญกำลังจะแยกย้ายกลับ ลูกดวงก็ได้ถามว่า “ดวงวิญญาณผู้หญิงที่ตามติดคุณพ่อ คุณขวัญได้เชิญหรือจัดการอะไรไหม ?” ขวัญจึงตอบว่า “เรียบร้อยค่ะ” ลูกดวงยังแซวอีกว่า “สงสัยคุณพ่อจะถูกลอตเตอรี่น้อยลงแน่เลย” เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีสายโทรศัพท์จากลูกดวงโทรเข้ามาเล่าว่า “ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณที่ตามติดคุณพ่อ มายืนเคาะกระจกหน้าต่าง พร้อมโวยวายว่า เปิดบ้าน! เข้าบ้านไม่ได้! มีท่าทีกังวลรีบร้อน เหมือนคล้ายว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่าง” ขวัญจึงบอกว่า “น่าจะเกิดจากการที่เราคุยเล่นกัน แล้วดวงวิญญาณสำคัญตนว่าเจ้าของบ้านอยากให้อยู่ ก็เลยมีการเข้าฝัน เพื่อให้เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาอยู่” ท้ายที่สุดแล้ว ขวัญก็มานั่งคิดว่า “วันนั้นที่ขวัญไปบ้านของคุณแม่ ขวัญเจอดวงวิญญาณถึง 8-9 ตน สาเหตุคงเป็นเพราะพื้นที่บริเวณด้านหลังบ้านเป็นป่ารกร้าง และด้านหน้าบ้านไม่เคยปิดประตูเลย ซึ่งนับตั้งแต่คุณแม่เริ่มสร้างบ้านหลังนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยตีกรอบพื้นที่บ้าน วันนั้นนอกเหนือจากการที่ขวัญทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก ขวัญก็ทำพิธีแบ่งเขตบ้านด้วย” ซึ่งเหตุการณ์ดูดวงในครั้งนี้ กลายเป็นสถิติใหม่.. ที่คุณขวัญพบเจอกับดวงวิญญาณมากที่สุดในชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ซื้อที่ใหม่ไว้สร้างบ้าน หลังจากมาอยู่ก็เจอแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งเจองูตัวใหญ่ เจอผู้หญิงปริศนา ประตูเปิดเอง ทำไรไม่ได้ เลยจำใจต้องอยู่!

08 ธ.ค. 2023

ซื้อที่ใหม่ไว้สร้างบ้าน หลังจากมาอยู่ก็เจอแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งเจองูตัวใหญ่ เจอผู้หญิงปริศนา ประตูเปิดเอง ทำไรไม่ได้ เลยจำใจต้องอยู่!

อ่านความแปลกจากเรื่อง ‘บ้านหลังใหม่’ โดย ‘คุณป๊อบ’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (5 ธันวาคม 2566) เรื่องราวนี้จะหลอนแค่ไหน แล้วคุณป๊อบต้องเจอกับอะไรระหว่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวความสยองนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากคุณป๊อบ ย้อนกลับไปเมื่อ ปี พ.ศ. 2557 ครอบครัวคุณป๊อบอยากได้ที่ไว้เพื่อปลูกบ้าน จึงไปดูที่คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี แต่ในปีนั้นเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจว่าจะหาซื้อแถวบ้านที่ต่างจังหวัดแทนช่วงแรก ครอบครัวคุณป๊อบได้แวะไปดูที่ดินแถวบ้านญาติ ในสมัยนั้นที่ดินตรงนี้ยังเป็นป่าต้นยูคาลิปตัส ปรากฏว่าชอบมาก จึงคิดว่าจะซื้อที่ตรงนี้แทน ตอนนั้นก็มีคนต้องการซื้อที่ดินแปลงนี้เหมือนกัน และเสนอราคาที่สูงกว่าครอบครัวคุณป๊อบ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่น่าได้ แม่ของคุณป๊อบจึงไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางขอให้ได้ที่ตรงนี้ ไม่นานก็ได้รับการติดต่อมาจากเจ้าของ ทุกคนดีใจมาก จึงรีบตอบตกลงไปทันที หลังจากที่ได้ที่ดินนี้มาแล้ว พวกเขาคิดว่าจะถางป่ายูคาลิปตัสออก แต่ในระหว่างวันที่กำลังถางป่า ปรากฏว่าไปเจองูเห่าตัวใหญ่ประมาณ 2 เมตร จึงขอให้คนงานจับไปปล่อยที่อื่น เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นหลังจากนี้ตลอด ทุกครั้งที่ที่ดินตรงนี้นี้มีการเปลี่ยนแปลง ก็มักจะเจอกับงูเง่าทุกรอบ ซึ่งแต่ละรอบขนาดของงูก็แตกต่างกันออกไป คุณป๊อบต้องเจอเรื่องราวแปลก ๆ แบบนี้จนบ้านสร้างเสร็จเรียบร้อย วันหนึ่ง ‘คุณแม่อร’ (นามสมมุติ แม่ของคุณป๊อบ) มีธุระจะพูดคุยกับ ‘ป้าอ้าย’ (นามสมมุติ ป้าของคุณป๊อบ) จึงนัดหมายว่าจะมาที่บ้านหลังนี้ ในระหว่างที่แม่อรกำลังเดินอยู่ในบ้าน ก็สังเกตเห็นผู้หญิงใส่ผ้าไหมมัดหมี่ (ผ้าซิ่นในภาคอีสาน) กำลังเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอ ตอนนั้นคิดว่าเป็นป้าอ้ายที่นัดกันไว้ จึงรีบเดินตามไป หลังจากที่แง้มประตูเข้าไปก็ไม่เจอใคร จากนั้นแม่อรจึงไปรอที่หน้าบ้าน ไม่นานป้าอ้ายก็มาถึง ตอนนั้นเธอไม่เห็นใครจึงเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าระหว่างที่เดินอยู่ก็สังเกตเห็นผู้หญิงใส่ผ้าไหมมัดหมี่เดินเข้าไปในห้องเหมือนกัน จึงรีบตามไป ในระหว่างที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ป้าอ้ายได้ยินเสียงเรียกของแม่อรจากนอกบ้าน ป้าอ้ายจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้อง ก็ไม่เจอใครเลย และรีบออกไปหาแม่อรทันที เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งน้าสะใภ้ คุณตา รวมถึงตัวคุณป๊อบเอง ต่างพากันเจอเรื่องราวสุดขนหัวลุกแบบนี้เหมือนกัน วันหนึ่ง น้าสะใภ้อยู่ในครัว ก็สังเกตเห็นมือปริศนาเปิดประตูเอง หรือแม้กระทั่งคุณตากำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ได้ยินเสียงเด็ก “หนูขออยู่ด้วย หนูกลัวผี” คุณตาตอบไปทันที “หนูก็เป็นผีอยู่แล้วหนิ หนูจะกลัวทำไม” ไม่นานเด็กคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “หนูกลัวผีตัวอื่นในบ้านหลังนี้ !” คุณตาจึงตัดสินใจเปิดประตูให้ผีตนนี้เข้ามาอยู่ด้วย รวมถึงตัวคุณป๊อบก็เคยเจอผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแม่ แต่พอสังเกตดูดี ๆ มันคือใครก็ไม่รู้! หรืออีกเหตุการณ์ก็คือประตูเปิดเอง ทั้ง ๆ ที่ล็อกไว้แล้ว ด้วยความที่คุณป๊อบเป็นคนปากไวจึงด่าไปว่า “ไม่มีมารยาทเลยอะ เปิดประตูแล้วไม่รู้จักปิด” จากนั้นประตูก็ค่อย ๆ ปิดเอง ! มีอยู่วันหนึ่ง หมู่บ้านมีการทำบุญใหญ่ และจะมีหมอธรรมมาทำพิธีรดน้ำมนต์ให้บ้านทุกหลังในหมู่บ้าน พอจังหวะที่หมอธรรมมาถึงบ้านของคุณป๊อบก็ว่าทักขึ้นว่า “เคยเจอเรื่องราวแปลก ๆ กันบ้างมั๊ย อย่างคนเดินอยู่ในบ้าน รู้ไหมว่าที่นี่เป็นทางผ่าน บ้านหลังนี้เป็นเมืองบังบด” ทุกคนเงียบกันหมด และต้องจำใจอยู่เพราะตอนนั้นก็ลงทุนกันไปเยอะมาก จึงไม่คิดจะย้ายไปไหน เพราะตั้งแต่อยู่มาก็ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายอะไรกับครอบครัว ซ้ำยังได้โชคถูกหวยกันบ่อยครั้ง จึงไม่ได้กลัวอะไรมาก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากอ๊อฟ อัครพล 'จุดเเสดงฤทธิ์' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

11 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากอ๊อฟ อัครพล 'จุดเเสดงฤทธิ์' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

เมื่อไม้ที่ถูกโยนเข้าไปในถ้ำที่คนไม่สามารถเข้าไปได้กลับถูกโยนออกมา! พร้อมทั้งได้เห็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้! ติดตามเรื่องราวลึกลับและศาสตร์ความเชื่อจาก ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล’ ได้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 มกราคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะพาคุณขนลุกไปกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมมืด! ‘คุณอ๊อฟ’ ได้เกริ่นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องอาสาคนหนึ่งที่ได้ตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่ ‘วัดถ้ำผาปู่’ ในจังหวัดเลย ซึ่งมีหมอบีร่วมเดินทางไปด้วย แต่ตัวคุณอ๊อฟเองไม่ได้ไป จึงรับชมผ่านไลฟ์สดแทน ซึ่งการรับชมอาจจะดูได้แบบติด ๆ ขัด ๆ เนื่องจากสถานที่ที่ไปอยู่นั้นเป็นถ้ำบนภูเขา ทำให้สัญญาณใช้ได้ไม่ดีมากนัก นอกจากนี้ คุณอ๊อฟยังเคยได้ศึกษาประวัติและคำสอนขอครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดแห่งนี้มาก่อน เมื่อไลฟ์สดเดินทางไปถึงถ้ำแห่งนั้น และได้เดินลงไปข้างล่าง เจ้าหน้าที่ก็ได้บอกว่า “ที่ตรงนี้เมื่อก่อนน้ำท่วมเต็มถ้ำเลย แต่ตอนนี้จะมีจุดหนึ่ง เขาเรียกกันว่า Holy water หรือน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำที่หยดมาจากธรรมชาติ เป็นหนึ่งในที่ที่นำน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ” ระหว่างที่ลงไปในถ้ำ ทุกคนที่ชมไลฟ์สดอยู่นั้น ไม่มีใครได้ยินเสียงจากไลฟ์เพราะสัญญาณเข้าไปไม่ถึง เห็นเป็นเพียงภาพไกล ๆ ว่าในนั้นทำอะไรบ้าง แต่คนที่อยู่ใกล้ ๆ หมอบีบอกว่า “มีบาตรคว่ำ” ทุกคนก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น? มีบาตรคว่ำจริงหรือไม่? ต่างคนต่างเดินหากัน จนไปเจอบาตรพระที่คว่ำอยู่ 3 บาตร ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า ‘คว่ำบาตร’ กัน หมอบีจึงคิดว่าอาจจะมาจากคำนี้ และรู้สึกว่าอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างของคนที่เจตนาไม่ดี หลังจากที่ออกมา ก็ได้ขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นกุฏิและถ้ำต่าง ๆ ซึ่งระหว่างทางนั้น จำเป็นต้องปีนขึ้นไปเพราะทางค่อนข้างชัน ปรากฏว่าไปเจอกุฏิของ ‘หลวงปู่คำดี’ ตั้งอยู่ด้านบนเป็นกุฏิไม้ เมื่อหมอบีมาถึง ก็ได้เข้าไปกราบไหว้ก่อน และยังไม่ได้เข้าไปในตอนแรก แต่รู้อยู่แล้วว่าสถานที่ตรงนี้หลวงปู่เคยมาพํานักอยู่เพราะเจ้าหน้าที่ได้บอกเอาไว้ หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้ขึ้นไปในส่วนบนสุด ซึ่งตอนก่อนที่จะขึ้นไปหมอบีได้ขออนุญาตเข้าไปในกุฏิด้านบน เมื่อเข้าไปก็ได้บอกเหตุผลว่าที่เข้ามาก็เห็นมินิตว่า ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ ‘หลวงปู่คำดี’ กับ ‘หลวงตามหาบัว’ มาเจอกัน ในมินิตนั้น หมอบีเห็นว่า หลวงปู่คำดีจุดธูปอธิฐานแล้วกล่าวว่า ‘มีข้อสงสัยอยากจะถาม อยากให้หลวงตามหาบัวมาตอบ’ จากนั้นวันรุ่งขึ้น หลวงตามหาบัวก็เดินทางจาก จ.อุดรธานี มาที่ จ.เลย เพื่อมาตอบคำถามที่กุฏินี้ และนี่คือสิ่งที่หมอบีเห็น.. หลังจากที่หมอบีได้ทราบเรื่องราวแล้ว ก็ได้เดินทางขึ้นไปด้านบนกุฏิ เมื่อขึ้นไปก็จะเห็นเป็นถ้ำสองฝั่ง ฝั่งที่เป็นจุดแสดงฤทธิ์มีชื่อว่า ‘ถ้ำนาคะ’ เป็นสถานที่ห้ามเข้าเพราะมีผนังปิดกั้นไว้ทั้งหมด แต่จะมีเพียงช่องว่างอยู่ช่องหนึ่ง หมอบีบอกว่าในตำนานสมัยก่อน หลวงปู่ท่านแสดงฤทธิ์ให้ดู โดยที่ท่านยืนอยู่ข้างล่าง จากนั้นก็โยนไม้ขึ้นไป ไม้นั้นก็ขึ้นไปค้ำอยู่ด้านบนสุดของถ้ำ อยู่ในที่ ๆ คนไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ซึ่งทุกวันนี้ไม้นั้นก็ยังคงอยู่ หมอบีจึงหาไม้ตรงหน้าถ้ำ หักเป็นท่อนเล็ก ๆ จากนั้นก็โยนเข้าไปแล้วเกิดเป็นเสียง ‘กึก กึก กึก กึก’ สักพักหนึ่ง มีเสียงไม้โยนกลับมา ทุกคนจึงเกิดความสงสัยว่า ใครเป็นคนโยนขึ้นมาเพราะถ้ำเป็นมีเพียงช่องแคบ ๆ เท่านั้น ซึ่งคนไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จึงพากันเดินอ้อมไปข้างหลังเพื่อดู ซึ่งในระหว่างนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีสัตว์บินอยู่ ‘ฟึบ!’ เป็นเสียงที่คล้ายเครื่องบินเจ็ท ในตอนที่ทุกคนกำลังมองหาต้นตอของเสียง มีบางคนได้เหลือบไปเห็นบางอย่าง ‘สิ่งนั้นมีลักษณะเป็นสีขาว อยู่ไกล ๆ ตัวค่อนข้างใหญ่ บินด้วยความเร็ว โดยไม่กางปีก’ โดยมีการเฉลยตอนหลังว่าเป็นสีของ ‘ครุฑ’ ซึ่งในตำนานเล่าว่าหลวงปู่มีความเชื่อมโยงกับครุฑ ถ้ำนั้นเป็นสถานที่ที่ครุฑมาอาศัยอยู่ เพื่อมาคอยปกปักรักษาและไม้ที่ถูกโยนกลับมาเป็นเหมือนการแสดงฤทธิ์ของท่าน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1