เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

22 ก.ค. 2024

        เรื่องราวนี้ ’คุณนุ้ก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

        คุณนุ้กมีอาชีพเป็นหมอดู มีลูกดวงท่านหนึ่งสมมุติว่าชื่อ ‘เจฟ’ ระหว่างที่ดูดวงอยู่ เขาดูเหมือนกับว่ามีปัญหากวนใจอยู่ แต่ไม่กล้าพูด อยากเล่าก็ไม่กล้าเล่า แต่ก็เร่งเร้าจะดู พอถึงเวลาดู เขาถามว่าดวงเขาเป็นยังไงบ้าง คุณนุ้กตอบกลับไปว่า

        ”ไม่ค่อยโอเค ความรัก การเงิน การงาน มีปัญหา”

        คุณเจฟจึงบอกว่า “ผมดูให้ตัวเองแล้ว ความรักดวงตก แต่เรื่องอื่นไม่มีปัญหาเลย”

        คุณนุ้กจึงคิดในใจว่า ‘ทำไมถึงมาดูกับเรา’

        แล้วคุณเจฟยังบอกว่า “มันแปลก คือผมต้องไม่ดีแค่เรื่องความรัก ผมราศีนี้ ยังไงเรื่องงานเรื่องเงินก็รุ่ง แต่ดวงผมร่วงหมดตั้งแต่เดือนกุมภา คนรักนอกใจ ผมเคยขายพระเครื่องรายได้อาทิตย์ละ 5,000-10,000 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ร้านอาหารที่ผมเปิด ก็เจ๊งอีก ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องพูดถึงเลย“

        คุณนุ้กก็คิดว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ พอดูดวงไปสักพัก ก็เห็นภาพในหัวระหว่างเปิดไพ่ เป็นเหมือนผู้หญิงจะมาเอาวิญญาณคุณเจฟ จึงถามคุณเจฟว่ามีใครตามไหม คุณเจฟบอกว่าเขาก็รู้ตัว แต่ที่โทรมาดูดวงเพราะอยากให้มีคนช่วยคอนเฟิร์ม

        คุณนุ้กบอกไปว่าเห็นเรื่องในอดีตที่ไม่ใช่ภพนี้ คุณเจฟเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้ แต่มีเรื่องมือที่ 3 แล้วฆ่าผู้หญิงคนนี้ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ตั้งใจตามมาเอาชีวิตคุณเจฟ พอเปิดไพ่ไปอีก ก็มีไพ่ที่บอกว่า มีคนขอให้ไว้ชีวิตคุณเจฟ

        คุณเจฟจึงเล่าว่า “จริง ๆ ก่อนมาหาพี่ ผมไปมาทุกสำนักแล้วทำมาทุกอย่าง ไม่เกิน 3 วันดวงก็ตกเหมือนเดิม จนไม่นานมานี้ไปวัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้เจอหลวงพี่ที่เป็นพระดัง ท่านเดินเข้ามาหาแล้วทักว่า โยมจะต้องบวชนะ บวชแล้วดีขึ้น”

        คุณนุ้กจึงคิดว่าน่าจะเป็นพระรูปนี้ที่ขอบิณฑบาต เหมือนให้บวชเพื่อไม่ถึงเเก่ชีวิต จากนั้นคุณนุ้กก็ให้เลขบัญชีของพระตามวัดที่คัดมาแล้วว่าปฏิบัติธรรมจริง ให้คุณเจฟทำบุญบวชพระทุกวัน วันละ 1 บาท พอครบ 7 วันให้มาบอก

        หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความเข้ามาหาตนว่า “พี่ ผมเจอแล้วนะ“ แล้วก็เล่าว่า

        ”ผมทำบุญตามที่พี่บอก จนวันหนึ่งผมไปนวด ในร้านก็จะมีไฟสลัวส่องหน้าคนนวด ผมเห็นหน้าคนนวด ปรากฎว่าไม่ใช่หน้าคน มันเป็นหน้าดำ ๆ มืดสนิทที่มองผมอยู่“

        พอฟังเสร็จคุณนุ้กก็เปิดไพ่ ณ ตอนนั้นปรากฎว่า มันดีขึ้น การเงินไม่ขัดแล้ว แต่ความรักยังขัดอยู่ คุณเจฟก็ตอบว่า “ใช่ครับพี่ ผมทำตามพี่ไม่ถึง 7 วันเลย ได้เงินมา 1 แสนละ ตอนนี้กำลังรอบวช“

        คุณนุ้กจึงบอกให้ทำบุญไปจนกว่าจะบวช จนล่าสุดก่อนที่จะมาเล่าในรายการได้ทักไปถามคุณเจฟ เขาก็บอกว่า ”บวชอยู่ครับตอนนี้ ได้บวชแล้ว“ ตั้งแต่ที่เขาดูดวงจนบวช ใช้เวลาไม่ถึงเดือนเป็นไปตามที่คุณนุ้กเปิดไพ่ว่า “ถ้าบวช ยังไงก็รอด”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ขับรถส่งนาฬิกาเรือนเก่าผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มีอาการแปลก ๆ เจอดี! เห็นผีผู้หญิงและเด็กอ้าปากแลบลิ้นยาวเกาะติดรถมาด้วย! พอถึงวัดที่ส่งของ ก็เห็นพิธีกรรมชวนขนลุกอีก!

24 ต.ค. 2023

ขับรถส่งนาฬิกาเรือนเก่าผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มีอาการแปลก ๆ เจอดี! เห็นผีผู้หญิงและเด็กอ้าปากแลบลิ้นยาวเกาะติดรถมาด้วย! พอถึงวัดที่ส่งของ ก็เห็นพิธีกรรมชวนขนลุกอีก!

ขับรถกลางคืนว่าน่ากลัวแล้ว แต่ยังต้องขนของเก่าชวนขนลุกผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มักจะมีอาการแปลก ๆ อีก! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ตุลาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ไม่น่ามาด้วย’ พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณโต’ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวของคุณโตเป็นเจ้าของธุรกิจรับซื้อเศษผ้า โดยจะขับรถหกล้อจากขอนแก่นไปจังหวัดต่าง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาต้องขับรถจากขอนแก่นไปพิษณุโลกเพื่อไปรับซื้อเศษผ้า ซึ่งมีถนนเส้นหนึ่งที่ต้องผ่านคือ ‘เส้นน้ำหนาว’ ถนนเส้นนี้มีสะพานห้วยตองที่มีเรื่องสยองชวนขนหัวลุกมากมาย ด้วยความที่คุณโตเป็นนักธุรกิจ การจะไปรถเปล่า ๆ ก็จะดูเป็นการขาดทุน เขาจึงโพสต์รายละเอียดการเดินทางลงในโซเชียลว่า วันนี้เขาจะเดินทางไปจังหวัดนี้ จะผ่านเส้นทางไหนบ้าง หากใครมีของจะเอาไปส่ง คุณโตก็จะรับบริการให้ หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ก็มีคนติดต่อเข้ามาบอกว่า “จะให้ส่งของไปที่จังหวัดกำแพงเพชร” คุณโตก็ตอบกลับไปว่า “มันไม่ผ่านนะครับ” แต่ทางนั้นก็บอกว่า “กำแพงเพชรในที่นี้คือมันเป็นเขตรอยต่อใกล้กันกับพิษณุโลก เลยจากพิษณุโลกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ขับออกไปนิดหน่อย เดี๋ยวเรื่องค่ารถ มาคุยกัน” ทางคุณโตจึงเรียกเงินประมาณ 3,000 – 4,000 บาท หลังจากตกลงกันได้แล้ว ทางคุณโตก็ได้เตรียมรถเรียบร้อย พอถึงเวลานัด ก็มีรถกระบะคันนึงขับเข้ามา พร้อมกับผู้ชายอายุประมาณ 60 ลงมาจากรถ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ และเห็นรอยสักอักขระอยู่ที่แขน นอกจากนี้ยังมีลูกน้องมาด้วย 2-3 คน ข้างหลังรถมีนาฬิกาไม้โบราณเรือนใหญ่มาด้วย คุณโตสังเกตเห็นว่านาฬิกาเรือนนี้ถูกล็อกโซ่และกุญแจมาอย่างแน่นหนา คุณลุงเจ้าของรถบอกว่าให้นำนาฬิกานี้ไปส่งที่วัดแห่งหนึ่ง และให้แผนที่กระดาษมาด้วย ตัวคุณโตก็ให้ลูกน้องมาช่วยยกนาฬิกานี้เพิ่มอีกเป็น 4-5 คน เพราะนาฬิกาเรือนนี้หนักมาก และด้วยความที่คุณโตกลัวว่าตอนอยู่บนรถลูกตุ้มนาฬิกาจะแกว่งและไปโดนตู้จนพัง เขาจึงเตรียมโฟมเพื่อที่จะช่วยไม่ให้ลูกตุ้มแกว่ง แต่ทันทีที่เขากำลังจะเปิดตู้นั้น ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “มึงอย่าเปิดนะ!!” ซึ่งเป็นเสียงของคุณลุง คุณโตที่เคยคุยกับคุณลุงมาแล้วก็แปลกใจ เพราะปกติแล้วคุณลุงจะพูดจาเพราะ แต่พอจะไปจับนาฬิกานี้ คุณลุงกลับดุ และยังบอกอีกว่า “ไม่ต้องไปเปิดมัน อย่าไปยุ่งกับเขา” หลังจากนั้นก็รีบคะยั้นคะยอให้คุณโตนำของไปส่ง พร้อมทั้งยัดแผนที่กระดาษและเงินจำนวน 15,000 บาทให้คุณโต ตัวคุณโตไม่ได้ดีใจแต่ตกใจ เพราะจำนวนเงินมากผิดปกติ เขาจึงสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นของผิดกฎหมาย จึงถามคุณลุงไปว่า “ที่อยู่ในตู้นี้ ไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมายใช่ไหมครับ” คุณลุงตอบกลับมาว่า “ไม่มี ไม่ผิด ข้างในเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่มีอะไร แล้วตู้นั้นเป็นตู้ไม้โบราณ รับประกันได้ ไปส่งที่วัดได้แล้ว” คุณโตเชื่อและเตรียมรถเพื่อออกเดินทางในเวลา 6 โมงเย็น เพราะส่วนตัวนั้นชอบเดินทางตอนกลางคืนมากกว่า ระหว่างนั้น มีสายโทรศัพท์จาก ‘คุณหมุย’ เพื่องของคุณโต ตัวคุณหมุยนั้นเคยประสบอุบัติเหตุต้องผ่าตัดสมองมาแล้ว ทำให้เขาอาจจะมีอาการแปลก ๆ รวมถึงมีอารมณ์และคำพูดแปลก ๆ ไปบ้าง คุณโตจึงเล่าเรื่องที่จะไปส่งของให้ฟัง ปรากฏว่าคุณหมุยขอไปด้วย ทั้งคู่จึงนัดหมายกัน กระทั่งถึงเวลารถออก ทั้งคู่ออกเดินทางจากของแก่นมุ่งหน้าสู่พิษณุโลก โดยใช้เส้นทางน้ำหนาว หลายคนที่เคยไปจะรู้กันดีว่าเส้นทางนี้เป็นภูเขา เป็นเหว และตอนกลางคืนมีรถน้อย ตรงสะพานห้วยตองก็มีเรื่องสยองกล่าวขานกันมากมาย แต่ตัวคุณโตชินกับเส้นทางนี้จึงไม่ได้กลัวอะไร เมื่อถึงจุดที่เป็นป่าเขา สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็หายไป ทั้งรถก็เหลือแต่ความเงียบ จนกระทั่งรถกำลังขับขึ้นเนิน ซึ่งจะต้องผ่านศาลใหญ่อยู่ซ้ายมือ ระหว่างที่กำลังจะผ่านศาล คุณหมุยก็พูดขึ้นมาว่า “เออ มึงว่าคนสมัยก่อนเขารู้ได้ไงวะ ว่ากุมารชอบกินน้ำแดง” คุณโตก็ตอบว่า “มึงจะพูดทำไม” คุณหมุยก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แล้วสมัยนั้น สมัยก่อนมีตู้กดน้ำแดงขายด้วยเหรอวะ” พูดจบยังไม่ทันขาดคำ ก็มีสัญญาณในรถดังขึ้นมา เขาก้มมองปรากฏว่า เกจ์ความร้อนของรถกำลังไปถึงตัว H เขาจึงต้องจอดรถ และให้คุณหมุยลงจากรถเพื่อหาหินมารองรถไว้ เนื่องจากยังอยู่ในเส้นทางขึ้นเนิน หลังจากหาก้อนหินมาดันล้อรถเรียบร้อยแล้ว คุณโตก็ดับรถและลงจากรถ แต่สิ่งที่ทำให้คุณโตตกใจคือ ตรงที่รถจอดห่างจากหน้าศาลมาแค่ 3 ก้าว! ซึ่งศาลตรงนี้ เป็นศาลที่คนแถวนี้เขานับถือ ว่ากันว่าห้ามเข้าไปยุ่ง ห้ามเข้าไปเล่นเด็ดขาด หลังจากที่คุณโตตรวจเช็ครถจนเสร็จ สรุปแล้วรถไม่ได้เป็นอะไร แต่หม้อน้ำเดือดเพราะรถใช้แรงในการส่งขึ้นเขาเยอะ ในระหว่างที่คุณโตกำลังเช็ครถ คุณหมุยก็หายไป คุณโตจึงมองหาคุณหมุย ปรากฏว่า เห็นคุณหมุยขึ้นไปนั่งบนรูปปั้นช้างที่อยู่หน้าศาลแล้วทำท่าเหมือนขี่ช้าง ตัวของคุณโตก็ตกใจแล้วบอกว่า “ไอ้หมุย มึงขึ้นไปทำอะไร ลงมานี่!” คุณหมุยก็หัวเราะแล้วลงมาบอกว่า “มึงจะกลัวอะไรวะ มันไม่มีอะไรหรอก” คุณโตคิดว่า นี่ไม่ดีแล้ว จึงรีบเช็คว่าน้ำแล้วก็สตาร์ตเครื่องจนติด จากนั้นก็เรียกคุณหมุยขึ้นรถทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นบนรถคือตรงกระจกหน้ารถมีรอยมือเด็กมาแปะอยู่หน้ารถจากข้างนอก! ตัวคุณโตเองก็รู้อยู่แล้วว่าตรงนั้นมีบางสิ่งบางอย่างแน่นอน แต่เขาไม่พูดเพราะกลัวจิตตกและกลัวว่าคุณหมุยจะกลัวไปด้วย จากนั้นก็รีบขับรถออกไป แต่ระหว่างที่ถอยรถออกก็ทับหินดังแกร๊ก! คุณโตถามคุยหมุยว่า “เฮ้ยหมุย ทำไมมึงไม่เอาหินออกจากล้อวะ” คุณหมุยก็หัวเราะ แล้วคุณโตก็ขับออกไป.. ขับไปสักพัก คุณโตเห็นว่าคุณหมุยนั่งชูมือขึ้นมา มือซ้ายชู 5 นิ้ว มือขวาชูขึ้นมา 2 นิ้ว คุณโตจึงถามว่า “หมุยมึงทำอะไร” คุณหมุยตอบกลับมาว่า “กูกำลังจะนับดูว่า กูจะเจอผู้หญิงคนนี้อีกกี่ครั้ง” คุณโตได้ยินเข้าก็ตกใจ เพราะเขาไม่เห็นผู้หญิงอะไรทั้งนั้น แต่คุณโตก็คิดว่าคุณหมุยไม่ใช่คนโกหก หากเจออะไรก็จะพูดออกมาแบบนั้น ระหว่างนั้น คุณโตก็ขับรถไปด้วยความระแวง สลับกับมองนิ้วไปด้วย เพราะในใจก็หวังว่าคุณหมุยจะไม่ชูนิ้วขึ้นมาอีก ปรากฏว่าขับไปได้อีกนิดเดียว คุณหมุยก็ชูนิ้วที่แปดขึ้นมา คุณโตตกใจแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนไปสะดุดอยู่ที่กระจกข้างรถ นั่นทำให้คุณโตหัวใจแทบวาย! สิ่งที่เขาเห็นคือ มีผู้หญิงมายืนเกาะข้างรถและมีเด็กกอดคอมาด้วย แล้วก็เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทำให้คุณโตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้อ้าปากแล้วแลบลิ้นยาวมาด้วย! แล้วด้วยความที่เกาะอยู่ข้างรถ ลิ้นนั้นจึงโดนลมพัดสะบัดไป และในระหว่างที่คุณโตกำลังตกใจ ปรากฏว่ามีเท้าหนึ่งยื่นมาจากในรถแล้วก็ถีบไปที่หัวผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผู้หญิงคนนั้นหลุดกระเด็นหายจากรถไป! หลังจากนั้นเจอเหตุการณ์นั้น คุณโตตกใจจนปัสสาวะราด แต่ก็ต้องประคองสติ เพื่อขับรถต่อไป จนไปถึงที่ปั๊ม และตัดสินใจนอนที่ปั๊ม พอรุ่งเช้า คุณโตก็รีบขับไปที่วัดทันที เป็นวัดที่เขาถูกว่าจ้างให้ไปส่งของนั่นเอง พอขับไปถึง ก็ได้เจอพระรูปหนึ่งเป็นหลวงตาที่อายุมากแล้ว หลวงตาท่านก็เดินมาหา แล้วเอากุญแจขึ้นไปไขจนโซ่ที่คล้องหลุดออก จากนั้นก็เปิดลิ้นชัก สิ่งที่คุณโตเห็นหลังจากเปิดลิ้นชักคือ หลวงตาหยิบเอาคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมา แล้วก็เอาคัมภีร์พระไตรปิฎกใส่พานที่ลูกศิษย์ถือเดินตามมาจนหมด แล้วเปิดลิ้นชักอีกอัน หยิบของออกมา สิ่งที่คุณโตเห็นคือ เหมือนเป็นเส้นผมคน หลวงตาก็หยิบใส่พาน ตัวคุณโตตกใจว่ามันคืออะไร หลวงตาที่เห็นคุณโตตกใจก็เลยบอกว่า “ไม่มีอะไร อันนี้คือหางช้าง” ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็นับถือ บางคนเอาไว้ป้องกันภัย หลังจากเอาของออกมาจากนาฬิกาแล้ว ก็ให้ลูกศิษย์ยกนาฬิกาลง ซึ่งใช้แค่ 2 คน ยกลงมาแบบสบาย ๆ แล้วใส่รถเข็นไว้ หลวงตาก็ให้คุณโตเข็นรถตามไป จนไปหยุดที่ริมน้ำ หลวงตาก็ให้คุณโตเอาของวางไว้ตรงนี้ แล้วก็สวดท่องคาถา หลังจากนั้นหลวงตาก็เอามือตบตู้ 3 ที แล้วพูดว่า “ไป ไป” แล้วลูกศิษย์ก็ยกรถเข็นเทตู้นาฬิกาทิ้งลงไปในแม่น้ำ คุณโตก็ได้แต่เกิดคำถามในใจว่า ทำไมถึงต้องขนตู้นาฬิกานี้มา 500 กิโลเมตรเพื่อมาทิ้งน้ำที่วัดนี้ด้วย แต่คุณโตก็ไม่ได้ถามเพราะว่าหมดหน้าที่ของคุณโตแล้ว หลังจากนั้นคุณโตก็กลับมาขึ้นรถ ในจังหวะที่กำลังถอยรถอยู่นั้น คนโบกรถก็พูดว่า “เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ อะไรวะเนี่ย” คุณโตลงจากรถไปดูตรงบริเวณล้อ ปรากฏว่า มีหัวตุ๊กตาทหารที่แตก แล้วหัวติดอยู่ในล้อ คุณโตจึงหยิบออกมาดูแล้วถามคุณหมุยว่า “หมุย อันนี้มันมายังไงวะ” คุณหมุยตอบกลับว่า “ก็มึงให้กู เอาหินไปรองรถตอนที่รถเสียจำได้ไหม กูหาหินไม่ได้ แต่กูเห็นไอ้ตุ๊กตานี่มันอยู่หน้าศาล กูก็เลยหยิบเอามารองรถ” คุณโตก็ไม่รู้จะด่าอะไรพูดได้แค่ว่า “โถ่ หมุย” เพราะรู้อยู่แล้วว่าคุณหมุยเป็นอย่างนั้น นั่นทำให้คุณโตเข้าใจว่าสิ่งที่เจอมาตลอดคือเขามาทวง คุณโตจึงขับกลับเอาไปคืน ระหว่างทางที่ไปคุณโตก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเจอนะ ไม่เอาแล้ว ปรากฏว่าพอจะถึงศาล ก็เจอผู้หญิงยืนอยู่หน้าศาล! แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาน่ากลัวแบบคราวก่อน ด้วยความที่ช็อกและกลัวว่าเขาจะโกรธหนัก เพราะเอาแค่หัวไปคืน คุณโตคิดว่าจะไปหาซื้อให้ใหม่ และพยายามขับรถต่อไป ระหว่างที่กำลังจะขับรถผ่านจุดนั้น คุณหมุยก็เอามือตีไหล่คุณโตแล้วพูดว่า “เฮ้ย ๆ มึงเห็นปะ!” แล้วคุณโตก็ขับรถต่อไปโดยไม่หันมาคุยกับคุณหมุยอีกเลยจนถึงบ้าน จนกระทั่งคืนหนึ่ง คุณโตฝันว่า ผู้หญิงคนนี้มาว่า “รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ช่วยเอาของเล่นลูกเขามาคืนได้ไหม” คุณโตก็รับปากไปและไปหาซื้อตุ๊กตาไปคืนให้ที่เดิม และที่สำคัญคือไม่ไปกับคุณหมุยแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากจี๋ สุทธิรักษ์ 'เเพกลางป่า' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

24 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากจี๋ สุทธิรักษ์ 'เเพกลางป่า' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

‘คุณจี๋’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘แพกลางป่า’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณจี๋’ เล่าว่าตัวคุณจี๋เองไม่เคยเจอผีมาก่อน และเรื่องที่จะเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของคุณจี๋ แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณจี๋ ที่ตัวคุณจี๋ได้ไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ณ ตอนนั้นด้วย แต่คุณจี๋ไม่ได้พบเห็นอะไร เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนนี้คุณจี๋ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และได้มีโอกาสไปเที่ยวแพ ที่จังหวัดกาญจนบุรีกับเพื่อนผู้ชายประมาณ 10 คน และมีแฟนเพื่อนอีกประมาณ 2-3 คน ซึ่งแพที่ไปจะเป็นแพบ้านที่จะต้องใช้เรือหางยาวลำเล็กลากไป ซึ่งเพื่อนของคุณจี๋ก็ได้บอกให้คุณลุงที่ขี่เรือหางยาวให้ลากตัวแพออกไปไกล ๆ เพราะอาจจะเสียงดังจากการปาร์ตี้ และต้องการความเป็นส่วนตัว คุณลุงจึงทำตามคำขอของเพื่อนคุณจี๋ โดยการลากแพบ้านไปลึกมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่นานมากสำหรับการลากแพออกไป เมื่อถึงคุณลุงก็นำเชือกของแพไปผูกกับตอไม้ ซึ่งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย และเงียบมาก น้ำก็เชี่ยวประมาณหนึ่ง ก่อนคุณลุงกลับคุณลุงได้ถามว่า “เอาน้ำมันปั่นไปไหม” เพื่อน ๆ ของคุณจี๋ก็บอกไม่เป็นไร คุณลุงจึงขับกลับไป โดยแพจะมีลักษณะ 2 ชั้น ด้านบนเป็นห้องนอน ด้านล่างเป็นลานโล่ง และมีห้องน้ำ โดยบริเวณลานแพจะหันไปขนานกับฝั่งป่าทึบที่มองไม่เป็นอะไร ส่วนฝั่งห้องนอนและห้องน้ำจะหันไปทางแม่น้ำ เวลาประมาณ 4 โมง คุณจี๋และเพื่อน ๆ ก็กระโดดเล่นน้ำกัน แต่อยู่ ๆ มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งวิ่งไปขึ้นไปชั้น 2 ที่เป็นห้องนอน เขาวิ่งไปหยิบพระใต้หมอนของแฟนเพื่อนและเขวี้ยงพระออกนอกแพ ซึ่งผู้หญิงที่เป็นเจ้าของพระบอกว่าเธอนั้นไม่ได้บอกใครว่าเก็บพระไว้ใต้หมอน แต่โชคดีที่พระไปติดอยู่กับขื่อ แล้วเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็วิ่งไปเอาพระที่ติดอยู่เพื่อเขวี้ยงออกไปจากแพ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของจึงไปห้ามและหยิบกลับพระมา ตกดึกทุกคนก็นอนหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งหน้าซีดตัวซีดถามอะไรก็ไม่ตอบ จนเพื่อนคนนี้บอกว่า “เดี๋ยวเข้าเมืองแล้วเล่าให้ฟัง” สรุปว่าสิ่งที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ ในขณะที่ทุกคนเมาและนอนเรียงกัน โดยตอนนอนหัวจะอยู่ตรงกับแกล้ม เท้าจะหันไปทางฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเพื่อนคนนี้ได้ตื่นมากลางดึกก็เห็นคนกำลังกินกับแกล้ม เพื่อนคนนี้ก็เข้าใจว่าเป็นกลุ่มเพื่อนที่ยังปาร์ตี้ต่อจึงตั้งใจจะลุกไปกินด้วย แต่พอหันไปดันเห็นเป็นคุณยายคนหนึ่งใส่ผ้าถุงนั่งยอง ๆ กำลังกินกับแกล้มอยู่ คุณยายจึงหันมามองหน้าเพื่อนคนนี้ เมื่อทั้งสองมองหน้ากันคุณยายก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบนั่งยอง ๆ กลับเข้าป่าทึบไป!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เดจาวูสุดหลอนในวัยเด็ก ฝันเห็นคนเสียชีวิต พอตื่นขึ้นมาเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเหมือนในฝันเป๊ะ!

24 พ.ย. 2023

เดจาวูสุดหลอนในวัยเด็ก ฝันเห็นคนเสียชีวิต พอตื่นขึ้นมาเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเหมือนในฝันเป๊ะ!

ระหว่างทางไปน้ำตกเผลอนอนหลับในรถ จึงฝันเห็นเหตุการณ์​คนเสียชีวิตในสถานที่ที่กำลังจะไป ปรากกฎว่า พอไปถึง.. เหตุการณ์เหมือนในฝันดันเกิดขึ้นจริง! เรื่องนี้ ‘NICECNX’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษจิกายน 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตัวตายตัวแทน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! คุณไนซ์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของทีมงานใกล้ตัว นามสมมติว่า ‘พี่หนึ่ง’ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคุณไนซ์พอสมควร เพราะทุกคนล้วนเคยเกิดเหตุการณ์ ‘เดจาวู’ แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่หนึ่งถือว่าแรงมาก ๆ เพราะพอเดจาวูเสร็จ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงในอีกประมาณ 10 นาทีต่อมา เรื่องมีอยู่ว่าในตอนเด็ก พ่อกับแม่พาพี่หนึ่งไปเที่ยวน้ำตก เป็นน้ำตกที่มีหลายชั้น ซึ่งในน้ำตกจะมีชั้นนึงที่เป็นวังน้ำวน พี่หนึ่งชอบไปเล่นที่ชั้นนี้มาก ขณะเดินทางไปน้ำตก ด้วยความเป็นเด็กจึงนอนหลับในรถตามปกติ แต่แล้วก็ฝันว่า พอไปถึงน้ำตก กำลังจะลงเล่นน้ำ คนที่อยู่บริเวณนั้นอย่างพ่อค้าแม่ค้าวิ่งแตกตื่นกันมา พ่อกับแม่จึงถามไปถามคนแถวนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้น อันนี้น้ำตกเปิดตามปกติรึเปล่า?” พ่อค้าแม่ค้าก็ตอบว่า “มีเด็กผู้หญิงจมน้ำ ไม่รู้เสียชีวิตรึเปล่า เพราะยังหาร่างไม่เจอ หากันมาเป็นชั่วโมงแล้ว อาจจะไม่รอดแล้วมั้ง” จากนั้นในฝันก็ตัดภาพเห็นพี่หนึ่งถึงน้ำตก เดินงัวเงียลงจากรถเพราะพึ่งตื่น เป็นจังหวะที่เขากู้ศพขึ้นมาพอดี พี่หนึ่งจึงชะเง้อดู เห็นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าหมวย ใส่ชุดแขนสั้นสีฟ้า ผมประบ่า เป็นศพที่ถูกกู้ขึ้นมาจากในน้ำ จนในที่สุดก็สะดุ้งตื่น เป็นจังหวะเดียวกับรถใกล้จะถึงน้ำตกพอดี พอรถจอด พ่อกับแม่ก็ลงไปจากรถ แล้วคนก็วิ่งแตกตื่น แล้วหลังจากนั้นก็มีการพบศพคนเสียชีวิตเหมือนกับในฝัน! นั่นเป็นเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกที่หนึ่งไม่เคยลืม นอกจากนี้ คุณไนซ์ยังเสริมอีกว่า จริง ๆ แล้วตอนแรกน้ำตกมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง แต่พอมีนักท่องเที่ยวมาเสียชีวิตซ้ำเยอะ ๆ เขาจึงตั้งชื่อตามและเปลี่ยนชื่อมาเรื่อย ๆ ในมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานที่อันตราย แต่ว่าถ้าลองมุมอีกมองอาจจะเป็นการหาตัวตายตัวแทนก็เป็นได้...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

15 ธ.ค. 2023

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

พี่ในบริษัทรักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน จนเสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอบริษัทมีน้องใหม่เข้ามา ยังมาช่วยสอนงานให้น้องอีก เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘พี่สา’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าบอกว่าเรื่องนี้ ‘Base on true story’ เป็นเรื่องจากเพื่อนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บางนา ในบริษัทจะมีพี่คนหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่สา’ เป็นพี่ที่ดีและเป็นที่รักของคนในทีมมาก เพราะพี่สาจะคอยอาสาช่วยงานคนในทีมอยู่เสมอ แม้ว่าตัวพี่สาเองจะป่วยเป็นโรคมะเร็งก็ตาม ตอนนั้นเอง อาการพี่สาไม่สู้ดีนักและกำลังรักษาตัวด้วยการทำคีโมอยู่ ผลข้างเคียงของการทำคีโมนั้นเอง ทำให้พี่สาต้องใส่วิกผมมาทำงานทุกวัน จนกระทั่งมีอยู่สัปดาห์หนึ่ง พี่สาไม่มาทำงานที่บริษัทเลย แต่ทุกคนในทีมไม่ได้รู้สึกสงสัยหรือตั้งคำถามอะไร เพราะคิดว่าพี่สาคง work from home พร้อมกับรักษาตัวอยู่ที่บ้านไปด้วย ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องตกใจ เพราะทราบข่าวว่าพี่สาเสียชีวิตแล้ว ทุกคนเสียใจมากเพราะรู้สึกรักและผูกพันกับพี่สา อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งที่แม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิต พี่สายังมอบให้กับการทำงาน ด้วยความที่ทุกคนเสียใจ และเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับพี่สา คนในทีมจึงนำดอกไม้ไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของพี่สา พร้อมพูดออกไปว่า “พี่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้องใหม่ที่มา พวกผมจะดูแลกันเอง พี่พักผ่อนให้เต็มที่เลย พี่ทำงานมาหนักมากแล้ว” ในวันนั้นเป็นวันที่ทางทีมต้องไปโรงงาน ซึ่งโรงงานจะอยู่คนละที่กับสำนักงานใหญ่ พอตอนเย็นถึงเวลาเลิกงาน คนในทีมก็ได้ชวนกันไปดื่มสังสรรค์ตามปกติ แต่มีพี่คนหนึ่งชื่อ ‘พี่เสือ’ เขาอาสานำอุปกรณ์ไปเก็บที่สำนักงานใหญ่ให้ พอเวลาผ่านไป ร้านก็ใกล้จะปิดเพราะดึกมากแล้ว ปรากฏว่ามีโทรศัพท์โทรหาคนในทีม ซึ่งคนที่โทรมานั่นก็คือพี่เสือนั่นเอง เขาโทรมาแล้วบอกว่า “มารับกูที กูออกจากห้องน้ำไม่ได้ พี่สาเขามา ไม่กล้าออกจากห้องน้ำ” ทุกคนจึงไปรับพี่เสือที่สำนักงานใหญ่ เพราะปกติแล้วพี่เสือเป็นคนแมน ๆ ทะมัดทะแมง ตั้งใจทำงาน แต่น้ำเสียงที่โทรมาเหมือนกับว่าเขากำลังกลัวมากจริง ๆ เมื่อทั้งทีมไปถึงสำนักงานใหญ่ ทั้งชั้นปิดไฟมืดสนิท จึงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ แล้วเข้าไปรับพี่เสือที่ห้องน้ำ ปรากฏว่าพี่เสือไม่มีแม้แต่แรงที่จะเดิน แขนขาอ่อนแรง ต้องเดินเกาะแขนคนในทีมออกมา ระหว่างนั้น คนในทีมก็คะยั้นคะยอให้พี่เสือเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่พี่เสือบอกว่าขอออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง พอเดินออกมาจากโซนออฟฟิศแล้ว พี่เสือก็เริ่มเล่าว่า ตอนมาเก็บอุปกรณ์เขาแสกนนิ้วเข้าตามปกติ แต่รู้สึกปวดท้องจึงไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนแสกนนิ้ว แล้วก็เสียงเดิน ต๊อก ต๊อก ต๊อก .. เดินตรงมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่พี่เสือเข้าอยู่ จากนั้นเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก .. พี่เสือนึกว่าเป็นพี่ยามจึงตะโกนบอกว่า “พี่ยามรึเปล่าครับ พอดีเอาของมาเก็บแปปนึง เดี๋ยวก็ไปละพี่ อย่าพึ่งปิดไฟนะ” แต่ก็ยังมีเสียงเคาะประตูอยู่ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “เสือ..พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง” ณ ตอนนั้นพี่เสือคิดว่าคงเป็นพี่สาแน่ ๆ เพราะในออฟฟิศไม่มีใครใส่วิกนอกจากพี่สา จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง ช่วยหยิบวิกให้พี่หน่อยได้มั้ย พี่สูงไม่พอ มันขึ้นไปอยู่ตรงนั้น ช่วยหยิบให้หน่อย” พี่เสือรู้สึกกลัวแต่ด้วยความอยากรู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฎว่าเห็นเป็นวิกผมวางไว้อยู่ตรงนั้นในห้องน้ำจริง ๆ! แต่พี่เสือก็ไม่กล้าหยิบ รวมไปถึงไม่กล้าเปิดประตูออกไปด้วย พี่สาจึงพูดต่ออีกว่า “เร็วเสือ..หยิบให้พี่หน่อย พี่หยิบไม่ถึง ไม่รู้ว่ามันขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง” พี่เสือนั่งกลัวจนตัวสั่นอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าออกไปไหน จึงได้โทรไปหาทีมให้รีบมาหานั่นเอง เมื่อพี่เสือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบ คนในทีมก็อยากรู้ว่ามีวิกผมในห้องน้ำจริงหรือไม่ จึงเข้าไปหาในห้องน้ำ ปรากฏว่ามีวิกผมวางไว้ตรงตำแหน่งที่พี่เสือเล่าจริง ๆ จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้ายปิดไฟกลับ ทุกคนในทีมก็สังเกตว่าในเมื่อไฟปิดหมดแล้ว แต่ทำไมในออฟฟิศยังคงมีแสงสว่างอยู่ ปรากฏว่าจอคอมของพี่สายังเปิดอยู่ พอเห็นแบบนั้นทำให้ทุกคนในทีมต่างรีบแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างรวดเร็ว! ถัดมาเช้าของอีกวัน พี่เสือยังคงรู้สึกค้างคาใจกับเรื่องเมื่อคืน จึงได้ขอเช็คประวัติการแสกนลายนิ้วมือเข้าออฟฟิศ ปรากฏว่าคนที่แสกนลายนิ้วมือต่อจากพี่เสือเมื่อคืนนั่นก็คือพี่สานั่นเอง! พอเวลาผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ถูกนำไปเล่าต่อกันในออฟฟิศ ทำให้ทุกคนกลัวกันมาก ขนาดที่หัวหน้าสั่งให้ย้ายไปนั่งที่พี่สา เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้หัวหน้ามากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครยอมย้าย กระทั่งมีพนักงานน้องใหม่เข้ามา ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงให้น้องใหม่ไปนั่งโต๊ะของพี่สา เวลาผ่านไปไม่กี่วัน พนักงานน้องใหม่ก็มาเล่าให้ฟังว่า “ทำงานยากมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเครียดงาน หรืออาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่คือหนูได้ยินเสียงกระซิบข้าง ๆ หูตลอดว่า ‘ทำตรงนี้สิ...กดตรงนี้สิ’ เหมือนมีคนมาสอนข้าง ๆ หูอยู่ตลอด” จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีใครกล้าไปนั่งโต๊ะของพี่สา รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ของพี่สาก็ยังคงอยู่ในตู้เก็บของ และวิกผมก็ยังคงอยู่ในตู้เหมือนเดิม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1