เรื่องเล่าจากคุณโดนัท 'พี่สาวสไบเเดง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 10 ธ.ค. 2567 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณโดนัท 'พี่สาวสไบเเดง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 10 ธ.ค. 2567 ]

18 ธ.ค. 2024

      ‘คุณโดนัท’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘พี่สาวสไบแดง’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (10 ธันวาคม 2567) ฟังกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะรู้สึกอย่างไร เรื่องราวจะน่ากลัวขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย!

      ‘คุณโดนัท’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ร่วมกันของคุณโดนัทและเพื่อน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงที่ทุกคนในบริษัททำงานหนักและจะต้องกลับบ้านดึกเป็นประจำ วันที่เกิดเรื่องขึ้นเป็นช่วงกลางดึก ในห้องออฟฟิศจะมีพนักงานอยู่ทั้งหมด 7 คน ห้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเห็นหัวหน้านั่งอยู่ทางซ้ายมือ และตรงกลางมีพนักงาน 4 คนที่นั่งหันหน้าชนกัน 2 คนด้านหลังนั่งหันหน้าออกมาทางประตู

      วันนั้นเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องทำงานอยู่ที่บริษัทจนดึก ในหน่วยงานจะมีการแบ่งทีมทำงาน โดยมีคน 3 คนทำงานเอกสาร ซึ่งเยอะมาก ๆ ขณะที่พวกเขาทำงานเอกสารกันอยู่ และเอกสารเหล่านี้จะต้องไปยื่นกับทางราชการ ถ้าไปยื่นเลยกำหนดเดดไลน์ จะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลักหมื่น ซึ่งพวกเขาเคยส่งมาแล้วหลายรอบ แต่ไม่ผ่านสักครั้ง จนหัวหน้าได้มีการพูดล้อเล่นลอย ๆ  ว่า

      “ถ้ายื่นเอกสารผ่านสักทีนะ จะซื้อรีเจนซี่ถวายเลย”

      หลังจากนั้น 2-3 วัน เป็นวันที่คุณโดนัทและเพื่อนกลับก่อน ในห้องทำงานจะเหลืออยู่ 2 คน คนหนึ่งสมมติว่าชื่อ ‘พี่ปอ’ อีกคนชื่อ ‘คุณออ’ คุณอออายุรุ่นเดียวกันกับคุณโดนัท วันนั้นทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยกัน ช่วงเวลาประมาณ 1 – 2 ทุ่ม พี่ปอนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานคนเดียว ซึ่งหน้าห้องจะเป็นกระจกใสทั้งบาน มีไว้เพื่อเวลาคนมาติดต่อจะเห็นกันได้ง่าย ส่วนคุณออได้ออกจากห้องเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ในขณะที่คุณออเดินกลับมา หางตาเหลือบไปเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ในห้อง ซึ่งไม่ใช่พี่ปอแต่เป็นคนอื่น คุณออจึงหันหน้าไปดู และสิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงนั่งอยู่ด้านหลังสุด เป็นเก้าอี้ที่หันมาทางประตู ใส่ชุดไทยสไบสีแดง หน้าสีขาว ปากแดง ใส่ชฎา นั่งระหว่างโต๊ะสองตัวที่อยู่ด้านในสุด นั่งตรงกลาง และมองออกมาทางคุณออ คุณออตกใจมาก จึงรีบเปิดประตูเข้าไปในห้อง และบอกพี่ปอว่า

      “กลับบ้าน กลับบ้านเดี๋ยวนี้ กลับเลย หยิบกระเป๋ากลับ” พี่ปอก็ทำหน้างง แต่ก็ทำตามสิ่งที่คุณออบอก หยิบของและเดินออกมา

      ในระหว่างนั้น คุณโดนัทที่อยู่บ้าน ก็เห็นแชทไลน์เด้งขึ้นมา ซึ่งเป็นไลน์จากคุณออ ไลน์มาว่า

      “พี่โดนัท ผีอีเม้ยกับผีหนูแดงหน้าตาเป็นยังไง”

      ‘ผีอีเม้ย’ เกิดจากการที่คุณโดนัทเคยทำคลิปวิดีโอในองค์กร ซึ่งคุณโดนัทเล่นเป็นผีอีเม้ย ที่อยู่ในห้องทำงาน จึงเป็นที่จดจำว่าในห้องนี้มีผีอีเม้ย ส่วนผีหนูแดงเป็นสิ่งที่คุณโดนัทพูดเล่น ไม่ได้มีกุมารหรือว่าอะไรอยู่บางครั้งในห้องก็จะมีเสียงกดปากกา เสียงพิมพ์ดีด เสียงกระดาษพลิกหน้าบ่อย ๆ จึงทำให้มีคำเรียกผีหนูแดงขึ้นมา หลังจากนั้นคุณออก็ได้โทรมาหาคุณโดนัท และเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้น คุณโดนัทก็คิดว่าตัวเองยังไม่เคยเจอ เพราะปกติคุณโดนัทเป็นคนที่เจอผีบ่อยมาก แต่ไม่เคยเจอผีชุดไทยสีแดงนี้ ในห้องยิ่งไม่เคยเจอ คุณโดนัทจึงนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร และพูดตอบไปว่า

      “ไม่เคยเจอนะ ไม่น่าใช่หนูแดงแล้วก็ไม่น่าใช่อีเม้ยหรือเปล่า”

      หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ย้ายไปคุยกันในไลน์กลุ่มแทน คุณออได้ส่งรูปมาให้ดูเป็นรูปของ ‘นุ่น-วรนุช’ ที่แสดงละคร ใส่ชุดแดง หน้าขาว ปากแดง คุณโดนัทจึงนึกขึ้นได้อย่างหนึ่งคือ คล้ายกับนางรำในศาลหน้าที่ทำงานหรือเปล่า แต่คุณโดนัทก็นึกไม่ออกว่านางรำในศาลหน้าที่งานใส่ชุดสีอะไร จะใช่หรือเปล่า

      หลังจากนึกขึ้นได้ คุณโดนัทก็พิมพ์ไปในกลุ่มว่า ‘เอ้ะ หรือว่าเป็นนางรำหน้าที่ทำงานของเรา’ ข้างหน้าที่ทำงานของคุณโดนัท จะมีศาลพระพรหมและศาลตายายติดกัน ในศาลพระพรหมจะมีนางรำ ใส่สไบแดงทั้งหมด ด้วยความสงสัยคุณโดนัทจึงเข้าไปเสิร์ช Google ว่า ศาลพร้อมกับชื่อที่ทำงานของคุณโดนัท พอมีรูปศาลขึ้นมา พอคุณโดนัทซูมเข้าไปดู ปรากฏว่านางรำที่อยู่ศาลใส่ชุดสีแดง สไบแดง มีชฎา คุณโดนัทจึงได้บันทึกรูปนี้ แล้วส่งเข้าไปในกลุ่ม คุณออก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า ‘ใช่เลย แบบนี้เลย’

      วันรุ่งขึ้น คุณออก็ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับหัวหน้า หัวหน้าก็ค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่น้องในห้องเจอ สุดท้ายก็ต้องไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปถวายอย่างที่บอกไว้จริง ๆ เพราะ คาดว่าเขาน่าจะมาทวงสิ่งที่หัวหน้าเคยพูดไปแบบลอย ๆ เพราะหลังจากที่หัวหน้าพูดไปแบบนั้น ในวันเดดไลน์ตอนที่นำเอาเอกสารไปส่ง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจเอกสารนั้น แค่เปิดก็ให้ผ่านไปแบบง่าย ๆ โดยที่ไม่ตรวจ ดังนั้นคุณโดนัทจึงคิดว่าสิ่งนี้เหมือนกับการบนบาน จึงได้ซื้อแอลกอฮอล์มากล่าวไหว้กันในห้อง หลังจากนั้นก็ไม่เจอผู้หญิงใส่ชุดไทยสีแดงอีกเลย...

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

29 มี.ค. 2024

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

เรื่องนี้ ‘คุณโนอาร์’ จากเพจ ‘โนอาร์-Noah’ ได้นำเรื่องดล่าสุดหลอนที่เจอเข้ากับตัวเองมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ได้ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจอป้าที่โบสถ์เก่า’ ‘คุณโนอาร์’ เล่าว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 มีนาคม 2567) ได้เดินทางไปยังโบสถ์ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ตามคำแนะนำของผู้กำกับอย่าง ‘พี่ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ’ เพื่อพิสูจน์และสัมผัสประสบการณ์หลอนด้วยตนเอง คุณโนอาร์และแฟนใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงก็ถึงโบสถ์ซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้ ที่โบสถ์แห่งนั้นมีบ่อน้ำคั่นกลางต้นไม้ เมื่อไปถึงก็จัดแจงตั้งกล้องหันไปทางโบสถ์ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนคลับ ระหว่างที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินมาจากต้นโพธิ์ด้านหลังคุณโนอาร์ คุณโนอาร์เหลือบมองเห็นจึงสลับให้แฟนทำหน้าที่พูดไลฟ์แทน ส่วนคุณโนอาร์ก็ลุกไปหาคุณป้าที่ต้นโพธิ์ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น คุณป้าก็พูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คุณโนอาร์ยังไม่ได้พูดอะไรว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์ได้ยินก็คิดว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะเป็นชาวบ้านละแวกนี้ จึงถามกลับไปว่า “ป้าเป็น FC ผมหรือเปล่าครับ?” แต่คุณป้ากลับไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปสักพัก คุณป้าก็พูดประโยคเดิมว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์จึงบอกไปว่า “ประมาณ 2-3 ทุ่ม ผมจะเริ่มสำรวจโบสถ์ ป้าจะไปที่โบสถ์กับผมมั้ย?” คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า “ป้าอยู่ที่นี่มานาน ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง” ได้ยินดังนั้น คุณโนอาร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น คุณโนอาร์ก็มองไปที่ตาของคุณป้า สังเกตได้ว่าดวงตาของคุณป้าไม่กะพริบเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็คิดเพียงว่าเป็นบุคลิกของคุณป้าเท่านั้น หลังจากไลฟ์ช่วงเย็นจบไป ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเก็บภาพด้านในของโบสถ์ ตอนนั้นเป็นเวลา 2-3 ทุ่มตามที่วางแผนไว้ คุณโนอาร์เดินอ้อมบ่อน้ำเข้าไปในโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์ก็มีแมวดำกระโดดออกมาจากข้างใน ตนนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปสำรวจต่อไป ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก จากคานไม้ด้านบน ตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าอาจจะเป็นเสียงนก จึงหันหลังมองย้อนกลับไปที่ต้นโพธิ์ ก็เห็นว่าแฟนของตนนั้นยืนถือตะเกียงอยู่ข้างคุณป้าปริศนาท่านนั้น เมื่อเห็นดังนั้นก็สบายใจที่แฟนไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เมื่อสำรวจไปได้สักพัก คุณโนอาร์ก็เดินกลับออกมายังรถที่จอดไว้ใกล้ต้นโพธิ์ จากนั้นก็พูดกับคุณป้าว่า “พรุ่งนี้ผมจะมาอีกรอบ” คุณป้าจึงตอบกลับมาว่า “พรุ่งนี้ จะมาอีกใช่มั้ย?” คุณโนอาร์ย้ำคำตอบเดิมไปว่า “ใช่ครับ” แต่คุณป้าก็ถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา ในตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะได้ยินไม่ค่อยชัด คุณโนอาร์จึงต้องตอบแบบเดิมอยู่ 3-4 รอบ จากนั้นจึงบอกคุณป้าไปว่า “ผมจะเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศข้างในอีกรอบ อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จครับ” เมื่อบอกคุณป้าเสร็จ ตนก็เดินเข้าไปในโบสถ์อีกครั้ง เมื่อเก็บภาพบรรยากาศรอบโบสถ์เสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่รถอีกครั้ง รอบนี้คุณโนอาร์ตั้งใจจะไปหยิบน้ำดื่มที่หลังรถเพื่อมาดื่มและจะให้คุณป้าด้วย แต่เมื่อเดินมาที่หลังรถก็ไม่พบคุณป้าแล้ว คุณโนอาร์ย้อนกลับไปว่าช่วงเวลาที่ตนเข้าไปเก็บภาพในโบสถ์นั้น แฟนก็ยืนคุยกับคุณป้า แต่แฟนรู้สึกว่ายุงเยอะจนทนไม่ไหว จึงบอกคุณป้าไปว่า “หนูขอเข้าไปรอในรถนะคะ ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย” คุณป้าไม่ตอบอะไรกลับมา จากนั้นแฟนก็เดินขึ้นรถ และคิดว่าคุณป้าน่าจะยืนอยู่ข้างนอกคนเดียวพร้อมกับตะเกียงที่แฟนเคยถือเอาไว้ เมื่อคุณโนอาร์มาถึงรถและเดินไปข้างหลังแต่ไม่เห็นคุณป้าจึงคิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว ส่วนแฟนเองก็ไม่ได้สังเกตว่าคุณป้าไปไหนหรือกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับ วันถัดมา รอบนี้จะเป็นการถ่ายทำที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะมีทีมงานมาช่วยถ่ายด้วย ฝ่ายทีมงานเดินทางมาถึงก่อนคุณโนอาร์ครึ่งชั่วโมง เมื่อตนมาถึงก็ถามทีมงานว่า “มีใครเข้ามาหรือยัง?” เพราะตนจำได้ว่าคุณป้าบอกว่าจะเข้ามาหา แต่ทีมงานส่ายหัวและบอกว่า “ยังไม่มีใครเข้ามานะ” ได้ยินดังนั้นคุณโนอาร์ก็คิดว่าคุณป้าอาจจะมาเวลาเดียวกับเมื่อวานจึงไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทีมงานก็จัดแจงสถานที่ ปูเสื่อเพื่อพักผ่อนและรอเวลา เมื่อถึงเวลาทุ่มครึ่ง คุณป้าก็ยังไม่ปรากฏตัว จากนั้นก็ถึงเวลาไลฟ์สด คุณโนอาร์ต้องไปยืนที่หน้าต้นโพธิ์เพื่อถ่ายเปิดรายการ เวลานั้นคุณโนอาร์เหลือบมองเห็นกรอบรูปอยู่ข้างหลังตากล้อง เมื่อเห็นรูปชัดขึ้นตนก็อุทานออกมาว่า “ป้า! ในรูป!” คุณโนอาร์จึงเรียกให้แฟนมาดู แฟนก็พูดว่า “เห้ย! ป้านี่นา!” ทีมงานทุกคนก็ตกใจ เพราะในช่วงที่ทีมงานมาถึงก่อนนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นรูปนี้เลย นอกจากนี้ยังมีถุงอัฐิห่อวางไว้ข้าง ๆ กันอีกด้วย คุณโนอาร์จึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทีมงานฟัง หลังจากได้ฟังก็มีข้อถกกันมากมาย คิดไปต่าง ๆ นานาว่าคุณป้าอาจจะมีแฝด แต่การถ่ายรายการก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป สรุปแล้วในวันที่สองนั้น คุณป้าก็ไม่ปรากฏตัวออกมา คุณโนอาร์จึงโพสต์เรื่องราวที่เจอลงในเฟสบุ๊ค หลังจากนั้นก็มีการแชร์ออกไปมากมาย แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนทักเข้ามาบอกว่าเป็นคนในครอบครัวของคุณป้า! ตอนแรกคุณโนอาร์ยังไม่เชื่อ จึงขอตรวจสอบข้อมูล บุคคลปริศนาก็ส่งมาให้ทั้งรูปถ่ายงานศพของคุณป้า และส่งนามสกุลในบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นคนในครอบครัวจริง นั่นทำให้คุณโนอาร์เชื่อว่านี่คือลูกของคุณป้าอย่างแน่นอน ลูกของคุณป้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่โพสต์ ก็คงจะไม่มีใครรู้เลย” คุณโนอาร์จึงสอบถามต้นสายปลายเหตุว่า รูปของคุณป้าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร? ลูกของคุณป้าเล่าว่าตนเองก็ไม่มั่นใจว่าใครนำมาทิ้ง แต่คุณแม่เสียไปตั้งแต่ปี 2559 ด้วยอุบัติเหตุรถชน หลังจากทำพิธีชาปณกิจศพเสร็จ ลูกหลานและคนในครอบครัวของคุณป้าต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตที่อื่น ส่วนรูปของคุณป้านั้นเก็บเอาไว้ที่บ้านหลังเก่า คิดว่าอาจจะเป็นเจ้าของคนใหม่หรือคนในครอบครัวที่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครเอามาทิ้งก็เป็นได้ คุณโนอาร์จึงนัดวันเวลากับลูกของป้าเพื่อรับรูปและอัฐิ เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทางคุณโนอาร์และครอบครัวก็ได้พบกัน ทางครอบครัวถามคุณโนอาร์ว่า “ตอนที่เห็นป้า รูปร่างเป็นยังไง ใส่เสื้อผ้ายังไง” คุณโนอาร์ก็เล่ารายละเอียดที่จำได้ให้ฟัง ปรากฏว่าข้อมูลเหล่านั้นตรงกันหมด จากนั้นหลวงพ่อก็ช่วยทำพิธีสวดมนต์เพื่อที่จะได้นำรูปนั้นไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่ หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ตายตกตามกัน’ I อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [ 11 มิ.ย. 2567]

15 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ตายตกตามกัน’ I อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [ 11 มิ.ย. 2567]

ที่นาหนึ่งผืนที่นำพาความตายมาให้ทั้งตระกูล แถมยังต้องมาเจอสิ่งแปลก ๆ ที่พร้อมจะมาเอาชีวิตทุกเมื่อ เรื่องราวนี้ ‘คุณส้ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 มิถุนายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตายตกตามกัน’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้นไปอ่านกันได้เลย! คุณส้มเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เกิดขึ้นหลังจากคุณส้มกลับมาทำ The sixth sense เป็นเคสที่คุณส้มต้องเข้าไปสื่อสารและช่วยแก้ไขปัญหาให้กับบ้าน 5 หลัง ซึ่งบ้านทั้ง 5 หลังนี้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด เพราะมีคนเสียชีวิตไป 2 หลัง หลังที่ 3 กำลังนอนรอความตาย หลังที่ 4 มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเป็นรายต่อไป และหลังที่ 5 คือบ้านร้าง เมื่อไปถึงสถานที่ ในระหว่างที่พักกอง คุณส้มกำลังนั่งกินข้าวอยู่ จู่ ๆ ก็เห็นคุณยายคนหนึ่งที่รู้ว่าไม่ใช่คนแน่ ๆ เป็นวิญญาณยืนใส่เสื้อสีชมพูบานเย็น กางเกงคลุมเข่า คุณส้มก็รู้สึกงงว่า ‘เขาเป็นใคร?’ เพราะเขามายืนยิ้มด้วยท่าทางใจดี แต่ตัวคุณส้มเองรู้สึกได้ว่าคุณยายคนนี้เหมือนกำลังโดนอะไรบางอย่างครอบงำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ทางโปรดิวเซอร์ก็ได้ถามว่าคุณส้มว่า “เห็นอะไรบ้าง” คุณส้มจึงเล่าสิ่งที่เห็นออกไปและพาไปยังจุดที่เจอ แต่เมื่อไปถึงคุณส้มกลับเห็นเพิ่มอีกหนึ่งคน เป็นผู้หญิงใส่เสื้อคอกลมสีขาว มัดผมรวบต่ำ กำลังยืนร้องไห้อยู่ และยืนไม่ห่างกันมากกับคุณยายคนแรก ซึ่งคุณยายเสื้อสีชมพูบานเย็นได้ตะโกนออกมาว่า “อย่าเข้ามา เอามันออกไป” คุณส้มก็รู้สึกว่างงว่าต้องการให้เอาใครออกไป คุณยายคนนั้นจึงชี้ไปที่ ‘ป้าอ้อน’ ป้าเจ้าของเคสนี้ คุณส้มจึงถามกลับไปว่า “เกิดอะไรขึ้น” คุณยายตอบกลับมาว่า “มันอยู่ในนี้ ๆ” ซึ่งสถานที่ที่คุณส้มอยู่คือบ้านร้างที่เป็นหนึ่งในบ้านทั้งหมด 5 หลังของเคสนี้ ทันทีที่คุณยายพูดจบ คุณส้มก็ได้ยินเสียงผู้ชายหวีดร้องเหมือนสัตว์ประหลาดดังออกมาจากบ้านร้าง! คุณส้มจะเดินไปดูที่บ้านร้างหลังนี้ แต่โดนโปรดิวเซอร์ดึงแขนไว้ และบอกว่า “อันตราย อย่าไป พี่รู้เรื่องราวของบ้านหลังนี้” แต่โปรดิวเซอร์ก็ไม่ได้เล่าให้คุณส้มฟัง คุณส้มจึงบอกว่า “ส้มไม่กลัวนะ” แต่คุณโปรดิวเซอร์ก็ยังห้าม คุณส้มจึงเริ่มเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้สึกว่าต้องไม่ใช่ผีธรรมดา หลังจากนั้นคุณส้มได้อธิบายรูปร่างและลักษณะของวิญญาณที่เห็นให้เจ้าของบ้านฟัง และถามว่ามีใครที่ลักษณะแบบนี้เคยอยู่บ้านหลังนี้ หรือรู้จักไหม เจ้าของบ้านตอบกลับว่า “มีทั้งคู่เลย” คุณยายเสื้อสีชมพูบานเย็นคือแม่ของเจ้าของบ้านหลังกลางที่เสียชีวิตไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และอีกคนคือ ‘คุณหงส์’ เป็นป้าหรือน้าของเจ้าของบ้านซึ่งเสียชีวิตไปก่อนคุณแม่อีก และคนส่วนมากมักจะเห็นคุณยายมาในรูปแบบของตะขาบ เมื่อเจ้าของบ้านพูดเสร็จ อยู่ ๆ ก็มีตะขาบตัวใหญ่ไต่ขึ้นที่ขาของทีมงาน! และในส่วนของการเห็นวิญญาณ คุณส้มได้เล่าว่าวิญญาณที่กรีดร้องอยู่ในบ้านร้างได้วิ่งออกไปที่บ้านหลังกลาง ที่คุณยายเสื้อสีชมพูเสียชีวิต และวิญญาณตนนั้นก็หัวเราะ คุณส้มได้อธิบายถึงรูปร่างของวิญญาณตัวนั้นว่ามีลักษณะเหมือน ‘กอลลัม (Gollum)’ ตัวใหญ่ คุณส้มจึงเดินไปที่บ้านหลังกลางซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นที่ข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้ คุณส้มเดินเข้าไปและรู้สึกถึงพลังงานที่เป็นผู้หญิงยืนอยู่กลางบ้านใส่สไบสีเขียว แต่เขายืนหันข้างแล้วหันคอมาทางคุณส้มทำให้ได้เห็นว่าหน้าของผู้หญิงคนนั้นเละจนจำเค้าโครงไม่ได้ แล้วเขาก็ได้มองไปที่ลูกชายของคุณยายเสื้อชมพูบานเย็น คุณส้มจึงถามพี่ผู้ชายว่า “ช่วงนี้การงานไม่ดีใช่มั้ย เพราะวิญญาณตนนี้เขาจะเอาเราไปให้ได้นะ” พี่ผู้ชายจึงตอบว่า “เมื่อไม่กี่วันมานี้ จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย” เพราะว่าพี่ผู้ชายคนนี้เค้าเจอเหตุการณ์ที่ไม้แหลมจากชั้น 2 ของบ้าน มันผุและจะตกมาทิ่มหัว แต่โชคดีที่วันนั้นตนรู้สึกแปลก ๆ เลยทำให้บังเอิญไปเห็นก่อนที่จะตกลงมา ซึ่งคุณส้มก็ได้สืบไปสืบมาจนได้ความว่า เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพี่ผู้ชายคนนี้ ซึ่งคุณส้มก็สงสัยว่าทำไมวิญญาณตนถึงอยู่ได้อิสระทั้ง ๆ ที่บ้านหลังนี้มีเจ้าที่ คุณส้มจึงไปที่ศาลพระภูมิจุดแรกแต่ปรากฏว่าไม่มีเจ้าที่อยู่เลย ทำให้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีอะไรป้องกัน และวิญญาณทั่วไปสามารถมาทำร้ายคนในบ้านได้ คุณส้มกลับมาสืบต่อเรื่องที่ทำไมคุณยายเสื้อชมพูกับคุณป้าเสื้อขาวถึงตายติดต่อกัน และยังมีเรื่องที่แฟนคุณยายเสื้อชมพูตายก่อนคุณยายอีก 2 ปี คุณส้มจึงรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่าวิญญาณ เพราะคุณส้มรู้สึกว่าสิ่งที่วิ่งไปวิ่งมาตามบ้านต่าง ๆ เหมือนคุณไสย์มากกว่า โปรดิวเซอร์จึงพาคุณส้มไปบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในบ้าน 5 หลังนี้ เมื่อถึงหน้าบ้านทางโปรดิวเซอร์ได้ถามว่าคุณส้มเห็นอะไรหรือไม่ คุณส้มตอบว่า “เห็นผู้หญิงแก่ผมขาวทั้งหัว ดูใจดีเดินออกมาและเรียกให้เข้าบ้าน” ป้าอ้อนตอบกลับมาว่า “นี่คือแม่” คุณส้มจึงเข้าไปพิสูจน์ ที่แรกที่ไปคือใต้ถุนบ้าน สิ่งที่คุณส้มเจอเป็นอันดับแรกคืออัฐิคนตายจำนวนมากตั้งข้างหิ้งพระ ซึ่งหิ้งพระวางอยู่ที่พื้นบ้าน และมีอัฐิที่อยู่ตรงกลางหนึ่งอันที่ทำให้คุณส้มรู้สึกว่าผู้หญิงที่เรียกเข้าบ้านเค้าตั้งใจให้มาที่อัฐินี้ คุณส้มจึงเดินไปใกล้ ๆ และเห็นรูปภาพที่เป็นคน ๆ เดียวกับคนที่เรียกคุณส้มเข้าบ้านซึ่งเป็นแม่ป้าอ้อน และวิญญาณที่เป็นแม่ป้าอ้อนพูดว่า “พวกมันอยากได้ แต่พวกมันไม่ได้หรอก มันเลยทำสิ่งไม่ดีใส่บ้านนี้” พูดราวกับว่ามีประเด็นกับใครสักคนหนึ่ง.. ในระหว่างที่จะสืบกันต่อ โปรดิวเซอร์ได้ท้าทายกับวิญญาณที่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกอลลัมว่า “ถ้ามีฤทธิ์จริงก็แสดงให้เห็น หรือได้ยินก็ได้” และเมื่อทีมงานทุกคนกำลังจะเดินออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงคนวิ่งจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีใครอยู่บนชั้น 2 คุณส้มจึงออกมาจากห้องที่อยู่ชั้นล่างและเดินไปที่ชั้น 2 เมื่อขึ้นไปก็ไม่เห็นมีสิ่งชีวิตอยู่เลย สิ่งแรกที่คุณส้มเห็นคือวิญญาณที่วิ่งไปวิ่งมากำลังยืนหัวเราะเหมือนสะใจที่หลอกให้คุณส้มขึ้นมาได้ และพูดออกมาคำหนึ่งว่า “ก็เค้าขอดี ๆ แล้วพวกมึงไม่ให้เอง” ซึ่งตรงกับสิ่งที่คุณแม่ป้าอ้อนพูดมา ทีมงานจึงเรียกป้าอ้อนขึ้นมาและถามไปว่าเคยมีใครขออะไรแล้วเราไม่ให้มั้ยเพราะของถูกส่งมาจากฝั่งนั้น ป้าอ้อนตอบว่า “มี เป็นที่นาของพ่อที่ใช้วัวแลกกับป้ามา” ซึ่งป้าอ้อนได้ขายที่นาตรงนั้นไปและได้เงินมาก้อนหนึ่ง แล้วลูกหลานฝั่งป้าที่เคยเป็นเจ้าของที่นามาขอแบ่งเงิน แต่ป้าอ้อนไม่ให้เพราะว่าก็แลกวัวกับที่นาไปแล้ว จึงทำให้มีข้อพิพาทกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และป้าอ้อนไปได้ยินบุคคลที่ 3 เล่าให้ป้าอ้อนฟังว่าบ้านที่มาขอเงินสาปแช่งบ้านป้าอ้อน และคนต่อไปคือป้าอ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าทำมานานและคนที่จะได้รับเคราะห์จะเป็นคนในบ้านหลังนี้เสมอ เมื่อไขปมตรงนี้ได้แล้วก็มีการทำพิธีไล่สิ่งไม่ดีออกไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เพื่อนรัก…ผู้ทำเสน่ห์ใส่สามีตัวเอง | อังคารคลุมโปง X มิ้น แม่แฟน [ 15 ก.ค.2568 ]

26 ก.ค. 2025

เพื่อนรัก…ผู้ทำเสน่ห์ใส่สามีตัวเอง | อังคารคลุมโปง X มิ้น แม่แฟน [ 15 ก.ค.2568 ]

เรื่องเล่าสุดหลอนจาก ‘คุณมิ้น แม่แฟน’ ที่มาเล่าเรื่องจากสองเพื่อนสนิทที่รักผู้ชายคนเดียวกัน แต่แล้วเพื่อนอีกคนได้หลีกทาง ยอมให้เพื่อนอีกคนได้มีความสุขกับผู้ชายคนนั้น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นป่วยเป็นอัมพฤกษ์! เรื่องราวของสองเพื่อนสนิทจะเป็นอย่างไร? อะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์? และความสัมพันธ์ของทั้งสามคนจะเป็นอย่างไร? ติดตามบทสรุปของเรื่อง ‘เพื่อนรัก...ผู้ทำเสน่ห์ใส่สามีตัวเอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (15 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจเชาเชา’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ แล้วคุณอาจะพบว่า การทำเสน่ห์ไม่ได้มีแต่เรื่องดีเสมอไป! ‘คุณมิ้น’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของแฟนคลับที่ชื่อว่า ‘พี่ฟ้า’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนสนิทที่ชื่อ ‘คุณจอย’ ซึ่งทั้งคุณฟ้าและคุณจอยเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียน เมื่อเรียนจบก็มาทำงานที่เดียวกัน แต่คนละแผนก มีหัวหน้าคนเดียวกันชื่อ ‘พี่ทอม’ เป็นหัวหน้าที่ทั้งหนุ่มและหน้าตาดี ขณะเดียวกัน ทั้งคุณฟ้าและคุณจอยก็ยังโสด คนในองค์กรต่างรู้กันมาว่าพี่ทอมน่าจะเคยแต่งงานแล้ว แต่ได้หย่าร้างกันไป สถานะตอนนี้จึงโสด นั่นทำให้สองเพื่อนสนิทอย่างจอยและฟ้าต่างชื่นชอบ ฟ้านั้นรู้สึกว่าพี่ทอมชอบตน แต่ด้วยความรักเพื่อน จึงถอยออกมาและเปิดทางให้จอยแทน ส่วนทางด้านจอยก็พยายามทำทุกอย่างให้ได้เลื่อนตำแหน่งเพื่อที่จะได้เข้าใกล้พี่ทอมมากขึ้น โดยจอยได้พูดกับฟ้าอยู่เสมอว่า “ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตจะแต่งงาน หรือจะมีแฟน ก็ต้องเป็นพี่ทอม” ท้ายที่สุด จอยก็ทำสำเร็จและได้คบกับพี่ทอม จนหลายคนในออฟฟิศต่างฮือฮาและชื่นชมว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม ชีวิตดูดี ลงตัวไปเสียหมด เวลาผ่านไปจนคบกันได้ 2 ปี พี่ทอมก็ขอจอยแต่งงาน ฟ้าและจอยยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม ส่วนทางฟ้าเองก็มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จนเริ่มอยากมีบ้าน และเห็นว่าพี่ทอมกับจอยซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นบ้านมือสองแบบรีโนเวท ทางฟ้าเองก็มองว่าบ้านสวยดี จึงตัดสินใจไปซื้อบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน อยู่ห่างกันประมาณ 2 หลัง ฟ้าบอกว่าสาเหตุที่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะมองว่า ถ้าวันหนึ่งไม่ได้มีครอบครัวหรือไม่ได้มีลูกก็จะอยู่กับเพื่อน ทางด้านพี่ทอมเองก็ดีกับฟ้าด้วย ถือว่าเป็นแฟนเพื่อนที่ดี เวลาผ่านไปทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เข้าปีที่ 3 หลังแต่งงาน เกิดเหตุไม่คาดฝัน พี่ทอมเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นอัมพฤกษ์ถึงขั้นพูดไม่ได้ ทำให้ชีวิตจอยเปลี่ยน ซึ่งในช่วงแรกจอยยังคงทำงานอยู่ จึงใช้วิธีให้ญาติมาช่วยดูแลแทน พี่ทอมเองที่เป็นหัวหน้าในบริษัท ก็ได้รับเงินมาก้อนหนึ่งให้ออกมารักษาตัว และต้องออกจากงานเพราะไม่สามารถทำงานได้ ทางด้านฟ้าเองก็อาสาเข้าไปช่วยดูแล สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ จอยที่ทั้งทำงานและดูแลพี่ทอมไปด้วยไม่ไหว จึงคิดจะลาออก ฟ้าก็คอยปลอบใจเพื่อน และแนะนำให้ออกมาทำอาชีพอื่นแทน อย่างการขายของออนไลน์ หากถ้ามีอะไรขาดเหลือ ฟ้าจะช่วย เพราะฟ้าไม่ได้มีภาระอะไรมากมาย อีกทั้งอาการพี่ทอมก็ไม่สู้ดี เวลาผ่านไป อาการพี่ทอมทรุดหนักมากขึ้น ต้องรับยาที่โรงพยาบาลถี่ขึ้น แต่การรับยานี้พี่ทอมไม่จำเป็นต้องไป ให้ญาติไปรับแทนได้ กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง จอยต้องออกไปรับยาที่โรงพยาบาลตั้งแต่ตี 5 เพื่อต่อคิว จะกลับมาก็เป็นเวลาเที่ยง จึงขอให้ฟ้ามาช่วยเฝ้าพี่ทอมแทน ฟ้าที่ไม่ติดอะไรและพร้อมช่วยเพื่อนเสมอก็ตอบตกลง จอยจึงลิสต์สิ่งที่ต้องทำไว้ให้ เมื่อวันนั้นมาถึง ฟ้าก็ไปที่บ้าน ไขกุญแจเข้าไปตามที่จอยบอก เมื่อเดินเข้าไปชั้นหนึ่ง ก็จะพบพี่ทอมนอนอยู่กลางบ้าน ปลายเท้ามีทีวี ลักษณะเป็นห้องนั่งเล่น ในตอนนั้นพี่ทอมยังไม่ตื่น ฟ้าจึงเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานฟ้าก็เริ่มหิว จึงคิดว่าจะเดินออกไปตลาดที่หน้าหมู่บ้าน แต่ทว่าการเดินไป-กลับต้องใช้เวลามาก ทำให้กังวลกลัวว่าพี่ทอมตื่นมาจะไม่เจอใคร จึงเปลี่ยนใจเดินไปที่ครัวเพื่อดูว่าพอจะมีอะไรกินได้บ้าง โชคดีที่ยังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหลืออยู่บ้าง ฟ้าจึงจัดแจงต้มบะหมี่ หลังจากต้มเสร็จก็เดินออกมากินตรงโซฟาที่ห้องนั่งเล่น เพื่อที่จะนั่งเฝ้าพี่ทอม ขณะที่กำลังถือชามบะหมี่ออกมา ช่วงฟ้าเริ่มสว่าง เวลา 7 โมงเช้าแล้ว แต่ฟ้ากลับเห็นผู้หญิงคนหนึ่งคล้ายเงาดำยืนอยู่ข้างหัวเตียงพี่ทอม ทว่าเงานั้นไม่ได้มองมาที่ฟ้า กลับมองไปที่พี่ทอม ในใจฟ้ารู้แล้วว่าตอนนั้นเจอเข้ากับอะไร แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกไป ทำได้เพียงมองค้างไว้ทั้งอย่างนั้น พลางคิดในใจว่า ‘อย่าหลอกฉันนะ’ ขณะนั้นเอง ราวกับเงาดำสัมผัสได้ถึงเสียงใจฟ้า เพราะเงาดำได้หันมามองที่ฟ้า ฟ้ารีบหลับตาเพราะไม่อยากเห็น ทั้งยังพูดพึมพำไปด้วยว่า “อย่าหลอกฉันนะ” ฟ้าคิดว่าในใจว่านี่อาจเป็นเจ้าที่หรือผีบ้านผีเรือน ขณะที่หลับตาอยู่นั้น ชามบะหมี่ก็หลุดจากมือ และมวลรู้สึกที่ถูกกดดันก็ค่อย ๆ จางหายไป จากนั้นฟ้าก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เงาดำนั้นหายไปแล้ว กลายเป็นพี่ทอมที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงชามบะหมี่ตกพื้นเสียงดัง พี่ทอมทำหน้าเหมือนอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฟ้าจึงตอบไปว่า “ไม่มีอะไรพี่ น้ำร้อนมันลวกมือ” แล้วฟ้าก็เริ่มจัดการเก็บเศษชามและบะหมี่ที่หกเกลื่อนกลาดให้เรียบร้อย หลังจากเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ ฟ้าก็เปิดไฟให้ทั่วบ้าน และโทรศัพท์หาแม่ของตน เพื่อเล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง เมื่อฟังจบ แม่ฟ้าก็ได้ตอบกลับมาว่า “เป็นเจ้าที่ เจ้าทาง ผีบ้าน ผีเรือน หรือเปล่า แต่แบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าเกิดมีคนป่วยอยู่ในบ้านแล้วเห็นวิญญาณแบบนี้ มันยิ่งเป็นพลังลบ ยิ่งทำให้คนป่วยอาการไม่ดี ให้จอยมันทำบุญบ้านบ้างสิ” ฟ้าจึงคิดว่าก็ดีเหมือนกัน และคิดว่าจะชวนจอยทำบุญบ้าน แต่ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่ตนเจอให้จอยฟัง เพราะกลัวเพื่อนจะกลัวไปด้วย หลังจากนั้นช่วงประมาณเที่ยงกว่า จอยได้กลับมาถึงบ้าน ฟ้าจึงได้เอ่ยชวนก่อนว่า “จอย พวกเราไม่ได้ทำบุญบ้านกันมานานแล้วเนอะ พี่ทอมเขาก็ป่วยคงไปวัดไปวาไม่ได้ เราทำบุญบ้านกันดีไหม มันจะได้มีสิ่งดี ๆ เข้ามา เขาจะได้ฟังพระสวดบ้าง เสริมสิริมงคลกันนิดนึง” ทว่าจอยกลับตอบฟ้าไปว่า “ไม่ทำอะ” ตอนนั้นใจฟ้าเองเพียงคิดว่าเพื่อนอาจจะติดขัดเรื่องเงิน เพราะเพื่อนก็ไม่ได้ทำงาน เงินที่ใช้รักษาพี่ทอมเป็นเงินก้อนที่ใช้แล้วก็หมดไป อาจจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ฟ้าจึงได้เสนอไปว่า “เอ้ย เดี๋ยวจะออกให้ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินนะ” ทว่าจอยดันโกรธขึ้นมา และหันกลับไปพูดใส่ฟ้าว่า “มึงไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องครอบครัวกูได้ปะ” สิ้นประโยคนี้ ทำให้ฟ้าปรี๊ดขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมาพูดต่อว่าอะไรกันแบบนี้ และได้พูดกลับไปว่า “อ้าว อะไรอะ แค่ชวนทำบุญบ้าน ทำไมต้องพูดจาแบบนี้ใส่” จอยก็ตอบกลับมาอีกว่า “ก็ไม่ทำอะ พูดไปแล้วไงว่าไม่ทำ จะเซ้าซี้ทำไม” ฟ้าที่โกรธเต็มที่จึงพูดว่า “เอาตรง ๆ นะ กูอะ เห็นผียืนอยู่ข้างผัวมึงก็เลยชวนทำบุญ” ฟ้าก็ได้เล่าถึงลักษณะของผีที่เห็นว่าเป็นอย่างไรให้จอยฟัง พอพูดเสร็จจอยก็นิ่ง และหันไปมองที่พี่ทอมที่มองทั้งคู่ทะเลาะกันมาตลอด ฟ้าจึงพูดต่อว่า “กูเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากพูด กลัวมึงกลัว ทำไมต้องมาว่ากันขนาดนี้ด้วย” สิ้นเสียงของฟ้า จอยก็ดึงมือฟ้าขึ้นไปที่ชั้น 2 และจอยก็เริ่มร้องไห้ ฟ้าตกใจจึงถามกลับไปว่าเป็นอะไร จอยจึงเริ่มเปิดปากเล่าว่า.. “มึงจำได้ไหม ตอนที่กูชอบพี่ทอมมาก ๆ กูทักหาไลน์หาเขาอยู่ตลอด แต่พี่ทอมไม่ได้สนใจเลย คุยด้วยน้อยมาก และรักษาระยะห่างทุกอย่าง กูเลยไปปรึกษาหมอคนหนึ่งที่เจอในออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องของการทำเสน่ห์ กูถามหมอแล้วนะว่าถ้าทำแล้วจะมีผลกับพี่ทอมมั้ย เขาบอกกูว่าไม่มี เป็นแค่การทำเสน่ห์ให้เขารู้สึกเมตตา มหานิยมเรา เดี๋ยวพอเขารักเขาชอบแล้วก็เลิกทำได้” ฟ้าฟังเพื่อนสนิทอย่างตั้งใจ และจอยได้เล่าต่อว่า จอยได้ตัดสินใจทำเสน่ห์ใส่พี่ทอม ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำไปจนถึงได้พี่ทอมเป็นแฟน จากนั้นจึงค่อยเลิก แต่พอได้เป็นแฟนกันแล้ว จอยก็อยากแต่งงานกับคนนี้ จึงไม่ได้เลิกทำเสน่ห์ และตั้งเป้าใหม่ว่า จะทำไปจนกว่าจะแต่งงานแล้วค่อยเลิกทำ สุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน และจอยก็เลิกทำเสน่ห์ตามสัญญา ทว่าหลังจากที่เลิกทำเสน่ห์ไปได้ไม่กี่เดือน คุณทอมก็ได้เส้นเลือดในสมองแตก ทำให้จอยได้กลับไปปรึกษากับหมอคนนี้อีกครั้งว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับที่เลิกทำเสน่ห์หรือไม่ หมอตอบว่า “เกี่ยว” จอยสับสนและถามต่อไปว่า “อ้าว ไหนตอนนั้นบอกว่าทำแล้วไม่มีผล” แต่หมอก็ตอบกลับมาอีกว่า “ตอนนั้นที่ตกลงกันไว้คือแค่ให้ชอบไม่ใช่หรอ อันนี้คือคุณเลยมาเอง บางอย่างหรือวิญญาณที่มันอยู่ในของ ถ้าวันนึงเราไม่เลี้ยงเขาแล้ว เขาก็จะต้องหากินของเขาเอง ซึ่งสิ่งที่เขาจะกินอันดับแรกคือเป้าหมายที่เคยมีคนสั่งให้เขาทำ และนั่นคือตัวของทอม” พอฟ้าได้ฟังมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกว่าเพื่อนอาจจะพลาดพลั้งไป จึงให้โอกาสเพื่อนและบอกกับจอยไปว่า “ไม่เป็นไรดิ งั้นเดี๋ยวเราไปลองไหม ไปหาคนที่เขาเก่ง ๆ มาปลดปล่อยวิญญาณนี้ไป มันน่าจะทำได้ดิ” จอยให้เหตุผลกลับมาว่า “ไม่ได้มึง เพราะหมอคนที่เขาทำให้เขาบอกว่า ถ้ากูแก้เมื่อไหร่ของจะเข้าตัวกู” ฟ้ารีบบอกเพื่อนไปว่า “แล้วยังไงอะ ถ้าเข้าตัวมึง มึงก็แก้อีกทีไง” แต่จอยก็บอกด้วยเสียงเหนื่อยใจว่า “มึง ถ้าพี่ทอมหายมา เขาก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ อาจจะเดินหรือทำงานเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว” คำพูดที่จอยพูดกับฟ้า ทำให้ฟ้ารู้สึกว่าจอยเห็นแก่ชีวิตตัวเองอย่างเดียว ตนนั้นรับไม่ได้ จึงทำได้แค่บอกไปว่า “โอเค” จากนั้นฟ้าก็เดินออกมาจากบ้านนั้นทันที แต่ในระหว่างที่เดินออกไป ฟ้าก็ได้เดินผ่านพี่ทอม และรู้สึกสงสารพี่ทอมจับใจ เพราะครั้งหนึ่ง ฟ้าก็เคยชอบผู้ชายคนนี้เหมือนกัน ขณะที่ฟ้าเดินออกจากบ้าน ก็ยังคงได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อนสนิทดังมาจากข้างหลัง แต่ฟ้าก็เลือกที่จะไม่สนใจ เวลาผ่านไป จอยก็พยายามส่งข้อความมาหา เล่าว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องทำ ฟ้าทำได้เพียงแค่อ่าน แต่ไม่ตอบอะไรกลับไป ไม่นาน ฟ้าก็เลี่ยงที่จะเจอจอย โดยการลาออกจากที่ทำงาน แม้กระทั่งขับรถผ่านบ้านก็ไม่หันไปมอง ไม่นาน ฟ้าก็ทราบข่าวว่าพี่ทอมเสียชีวิตแล้ว และก็เห็นว่าที่หน้าบ้านของจอยมีประกาศขาย แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าชีวิตหลังจากนี้ของจอยจะเป็นอย่างไร แต่ตัวของฟ้าเองก็ได้มาเสียเพื่อนเพราะเรื่องนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1