เรื่องเล่าจากคุณแอน 'มึงอย่าทิ้งกูเหมือนมันนะ' l อังคารคลุมโปง X The Rube [ 27 พ.ค.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณแอน 'มึงอย่าทิ้งกูเหมือนมันนะ' l อังคารคลุมโปง X The Rube [ 27 พ.ค.2568 ]

31 พ.ค. 2025

        คือเรื่องราวสุดสะเทือนใจ ที่วิญญาณเพื่อนสนิท ตามหลอกหลอนจนต้องหนีไปบวช! ‘คุณแอน’ ได้เล่าเรื่องของ ‘พี่บอล’ ที่ฝันเหมือนเป็นลางร้าย สู่การเสียชีวิตของเพื่อนสนิทจากการอุบัติเหตุ เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไรอย่างไร สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 พฤษภาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘มึงอย่าทิ้งกูเหมือนมันนะ’

        คุณแอนได้เล่าว่าในตอนนั้นพี่บอลอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ พี่บอลมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ ‘พี่ต้า’ ที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ช่วงเช้ามืดวันหนึ่ง พี่บอลฝันว่าคุณตามาเข้าฝัน ในฝันคุณตาค่อนข้างดุ ทำให้พี่บอลไม่สบายใจ จึงตัดสินใจโทรหาคุณแม่ พร้อมเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง คุณแม่บอกว่า

        “แม่ก็ฝันไม่ค่อยดีเหมือนกัน”

        และบอกให้พี่บอลระวังเรื่องการขับรถและดื่มของมึนเมา พอมาถึงช่วงกลางคืนในวันนั้น พี่ต้าโทรมาบอกว่าอกหักและชวนพี่บอลไปดื่มเป็นเพื่อน พี่บอลปฏิเสธไป แต่พี่ต้าก็เซ้าซี้ให้พี่บอลไปพร้อมทำเสียงเศร้า ๆ ด้วยความเห็นใจ พี่บอลจึงตอบตกลง แต่ให้พี่ต้าเป็นคนมารับแทน เพราะพี่บอลไม่อยากขับรถ

        เมื่อดื่มเสร็จ พี่ต้าก็เป็นคนขับรถมาส่งพี่บอล ระหว่างทางก่อนถึงห้องพี่บอล พี่ต้าเริ่มร้องไห้ระบายเรื่องที่ตัวเองอกหัก พร้อมกับพร่ำบอกว่า “มึงอย่าทิ้งกูเหมือนมันนะ”

        พอสิ้นสุดคำนั้น อยู่ ๆ ก็มีรถสิบล้อสาดไฟเข้ามาแล้วชนกับรถของพี่ต้า ทำให้ทั้งคู่ล้มลงข้างทาง พี่บอลกระดูกนิ้วก้อยเท้าหัก หัวแตก และมีแผลถลอกตามร่างกาย เมื่อได้สติก็พยายามหาพี่ต้าแล้วพบว่า เพื่อนกำลังนอนอยู่ข้างป่าจึงพยายามเรียกให้ตื่น ในตอนนั้นร่างกายพี่ต้าไม่ตอบสนองแล้ว พี่บอลกลัวว่าเพื่อนจะเป็นอะไรไป จึงช้อนคอพี่ต้ามาวางไว้ที่ตักตัวเอง แต่ระหว่างนั้นหัวพี่ต้าก็ร่วงลงจากแขนพี่บอล ลักษณะกำลังจะขาดออกจากคอ ด้วยความตกใจจนเสียสติ พี่บอลจึงขึ้นไปปีนเสาไฟฟ้าแล้วตะโกนเสียงดังเรียกให้คนมาช่วย

        ในระหว่างนั้นก็มีพลเมืองดีแจ้งตำรวจ สักพักก็มีเจ้าหน้าที่มาถึงบริเวณสถานที่เกิดเหตุ สาเหตุการเสียชีวิตคือร่างพี่ต้าได้กระเด็นออกไปอย่างแรงทำให้คอไปเกี่ยวกับลวดหนามจนคอขาด แต่ตอนเกิดเหตุนั้นพี่บอลกลับไม่เห็นลวดหนามอยู่เลย

        หลังจากวันนั้น ญาติของพี่ต้าก็ได้ทำพิธีตามความเชื่อทางศาสนาพร้อมตั้งศพไว้ 3 คืนก่อนจะเผา ใน 2 คืนแรกพี่บอลไม่ได้เข้าร่วมเนื่องจากตัวเองก็ยังบาดเจ็บอยู่พอสมควร จนเข้าคืนที่ 3 เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่า ระหว่างที่พี่บอลกำลังนอนอยู่ในห้องก็มีคนมาเคาะประตู เมื่อมองไปใต้ช่องประตูก็เห็นเท้าคน จึงคิดว่าเป็นแฟนที่มาเยี่ยม พอเปิดประตูออกไปก็ไม่เจอใคร สักพักก็เริ่มได้กลิ่นธูป นั่นทำให้พี่บอลคิดว่าวิญญาณพี่ต้าน่าจะมาหา จึงพูดออกไปว่า

        “กูเจ็บเหมือนกันเลยไม่ได้ไปฟังสวด แต่พรุ่งนี้กูจะไปส่งมึงนะ”

        หลังจากนั้นกลิ่นธูปก็หายไป พี่บอลได้กินยาแล้วนอนหลับไป ระหว่างหลับก็ฝัน ในความฝันเห็นพี่ต้าหัวห้อยแล้ววิ่งตามพี่บอลพร้อมบอกให้ไปอยู่ด้วย

        “มึงไปอยู่กับกูนะ มึงอย่าทิ้งกูเหมือนมันนะ”

        พูดอย่างนั้นซ้ำ ๆ จนมีคนเปิดประตูเข้ามา เป็นแฟนพี่บอลเองที่มาเยี่ยม เมื่อเล่าเรื่องที่ฝันให้แฟนฟัง ระหว่างที่เล่าก็ได้กลิ่นธูปตลอด แต่แฟนพี่บอลกลับไม่ได้กลิ่น จึงตะโกนบอกวิญญาณเพื่อนตัวเองว่า

        “กูจะไปส่งมึง แต่กูไม่ไปกับมึงนะ”

        ในวันเผา พี่บอลก็ได้ไปส่งพี่ต้า แต่ทุกคืนก็ยังฝันถึงพี่ต้าเหมือนเดิมซ้ำ ๆ ด้วยความกลัวว่าพี่ต้าจะมาเอาชีวิตไปจริง ๆ จึงตัดสินใจไปบวชให้พี่ต้า พอบวชได้ประมาณ 7 วัน ในวันสุดท้ายก็ฝันว่าพี่ต้ามาลา แล้วหลังจากนั้นพี่บอลก็ไม่ฝันถึงพี่ต้าอีกเลย

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเป็ดน้อยลูกหมอผี 'มันใกล้เข้ามาเเล้ว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

01 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเป็ดน้อยลูกหมอผี 'มันใกล้เข้ามาเเล้ว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

เมื่อสิ่งที่คืบคลานเข้ามาคือสิ่งที่มองไม่เห็น มันเป็นเสียงเหยียบหญ้าดัง สวบ สวบ สวบ แต่กลับไม่พบใคร จนต้องปั่นจักรยานหนีสุดชีวิต! แต่ใครจะคิดว่าเสียงนั้น ดันตามมาหลอกหลอนถึงในฝันเกือบทั้งอาทิตย์! เรื่องราวสุดหลอนในวัยเด็กจะจบลงอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘มันใกล้เข้ามาแล้ว’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(25 กุมภาพันธ์ 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีีเจเจ็ม’ ที่จะเป็นเพื่อนหลอนไปกับคุณ!! ‘คุณเป็ดน้อย’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเป็ดน้อยเอง เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2534 สมัยก่อนคุณเป็ดน้อยชอบปั่นจักรยานไปเล่นบ้านคนนั้นคนนี้ ซึ่งในวันนั้นคุณเป็ดน้อยได้ปั่นจักรยานไปงานวันเกิดเพื่อนคนหนึ่ง พอถึงช่วงเย็นคุณเป็ดน้อยและเพื่อน ๆ ก็นัดกันเพื่อจะมารวมตัวที่บ้านคุณเป็ดน้อย ที่อยู่ซอยที่ 3 ถัดมาจากนั้นหนึ่งซอย จะเป็นซอยที่มียาวที่สุดในหมู่บ้าน ตรงกลางซอยจะมีสะพานข้ามคลองเล็ก ๆ เมื่อนัดแนะกันเสร็จ เด็ก ๆ ก็ปั่นจักรยานออกมา แต่เพื่อนคนอื่นปั่นกันเร็วมาก ยกเว้นคุณเป็ดน้อยที่ปั่นช้า พอไปถึงกลางซอยทางขึ้นสะพาน คุณเป็ดน้อยเริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดพักที่กลางสะพาน ซึ่งทั้งสองข้างของคลองจะเป็นตลิ่ง พอมองไปก็จะเห็นเป็นต้นไม้เรียงรายไม่มีบ้านคน และในตอนที่นั่งพักอยู่นั้น คุณเป็ดน้อยก็ได้ยินเสียง สวบ สวบ สวบ เหมือนเสียงคนเดินผ่านกอหญ้ามาจากตลิ่งริมคลอง ด้วยความปากไว จึงพูดไปว่า “ใครหน่ะ” แต่ก็ไม่เห็นใคร และยังได้ยินเสียงเดินอยู่ แล้วเสียงนั้นก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คุณเป็ดน้อยก็ยังคงถามว่าใคร จนกระทั่งคุณเป็ดน้อยเริ่มคิดว่า เสียงที่ดังอยู่คงไม่มีใครหรอกแต่กอหญ้ายวบเหมือนเป็นรอยเท้า และรอยที่กอหญ้ายวบก็มาทางคุณเป็ดน้อยเรื่อย ๆ โดยที่คุณเป็ดน้อยไม่เห็นอะไรเลย ตอนนั้นความคิดในหัวของคุณเป็ดน้อยคิดว่า ‘หญ้ามันยวบได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมมันถึงมาทางเรา’ จนกระทั่งหญ้ายวบมาถึงส่วนปูนที่เป็นสะพาน และเสียงก็เงียบไป คุณเป็ดน้อยจึงได้สติจากเสียงที่เพื่อนตะโกน แล้วรีบปั่นจักรยานต่อ คุณเป็ดน้อยปั่นแบบไม่คิดชีวิตจนล้มได้แผล เมื่อถึงบ้านจึงเข้าไปทำแผลเป็นอันดับแรก ในคืนนั้น คุณเป็ดน้อยก็ฝันว่า ตัวเองมายืนอยู่หน้าบ้าน แล้วมองไปที่สะพาน แล้วก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อสีขาว กางเกงสแลค ค่อย ๆ เดินมาจากสะพาน จนผ่านบ้านหลังแรก คุณเป็ดน้อยก็สะดุ้งตื่น และวันต่อมาคุณเป็ดน้อยได้ฝันแบบเดิม แต่ผู้ชายคนนั้นก็เดินผ่านมาเรื่อย ๆ จนผ่านบ้านหลังที่สอง คุณเป็ดน้อยสะดุ้งตื่นเช่นเดิม โดยที่คุณเป็ดน้อยก็ฝันแบบนี้ทุก ๆ คืน เป็นเวลาเกือบอาทิตย์ จนเริ่มเห็นผู้ชายคนนั้นชัดเจนขึ้น ผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อเซิ้ตสีขาวตรงกลางเสื้อมีสีน้ำตาล และก็ไม่ได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูด เพราะมองยังเห็นไม่ชัดพอ มีอยู่คืนหนึ่งที่คุณเป็ดน้อยฝันว่าอยู่ในบ้าน ประตูหน้าบ้านเปิดอยู่ และผู้ชายที่เห็นในฝันก็ยืนอยู่หน้าบ้าน ผู้ชายคนนั้นมีแผลขนาดใหญ่อยู่ที่คอ และตรงที่คุณเป็ดน้อยเห็นเป็นสีน้ำตาลคือรอยคราบเลือด ผู้ชายคนนั้นยื่นมือมาและโวยโวยว่าอะไรบางอย่าง ซึ่งได้ยินเสียงไม่ชัด ในตอนที่คุณเป็ดน้อยกำลังตกใจอยู่ ก็ได้มีคนมาจับไหล่จากด้านหลัง และคนที่ยื่นมือมาจับนั้นก็เป็นคุณอาของคุณเป็ดน้อย และคุณอาก็พูดว่า “มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” พอคุณเป็ดน้อยรู้สึกตัว ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว ประตูบ้านก็ปิดสนิท และคุณอายังบอกต่อว่า ทุกคืนคุณเป็ดน้อย มักจะละเมอเดินออกมายืนหน้าบ้าน จนทุกคืนคนในบ้านต้องออกมาอุ้มคุณเป็ดน้อยกลับไปนอนที่เตียงตามเดิม ซึ่งตัวคุณเป็ดน้อยเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นได้อย่างไร คุณเป็ดน้อยจึงพยายามเล่าเรื่องที่ฝันให้คุณอาฟัง แต่คุณอาก็บอกว่า “โอ๊ย เด็กฝัน ไร้สาระ” จากนั้นก็พาคุณเป็ดน้อยกลับไปนอน คืนต่อมาคุณเป็นน้อยก็เห็นผู้ชายที่อยู่ในฝัน มายืนอยู่ตรงหน้าต่างปลายเตียง ในฝันผู้ชายคนนั้นก็ได้ยื่นมือมาจับขาคุณเป็ดน้อย แล้วดึงลงมาจากเตียง จนหล่นลงมาที่พื้น คุณเป็ดน้อยก็ร้องไห้โวยวาย จนปัสสาวะราดอยู่ตรงนั้น ในที่สุดคุณเป็ดน้อยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาที่ปลายเตียง เพราะเสียงของคนในบ้านที่วิ่งมาในห้อง ทุกคนจึงเริ่มเชื่อในสิ่งที่คุณเป็ดน้อยเล่าเกี่ยวกับความฝัน จึงพาไปทำพิธีที่วัด และหลังจากนั้นคุณเป็ดน้อยก็ไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นอีกเลย คุณเป็ดน้อยยังบอกต่ออีกว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เป็นคนกลัวผีจนขึ้นสมองไปเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณกรณ์ 'ครูพี่เลี้ยง' l อังคารคลุมโปง X NICECNX [ 18 พ.ย.2568 ]

28 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณกรณ์ 'ครูพี่เลี้ยง' l อังคารคลุมโปง X NICECNX [ 18 พ.ย.2568 ]

ผมเข้าไปล่าท้าผีในโรงงานร้างแห่งหนึ่ง พอเข้าไปถึงตึกที่พักของคนงานเก่าเลยขึ้นไปที่ชั้น 2 เจอเลขห้องประหลาดห้อง 2A6 พอเข้าไปก็เห็นกระถางธูปวางตามจุดเตียงนอนทุกจุด ถามรปภ.ก็ได้รู้ว่ามันคือจุดที่คนงานตายทั้งหมด ไม่เพียงแค่นั้น บานประตูที่เปิดเข้ามาก็มีสายสิญจน์โยงมัดรอบห้อง ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลงจากตึกมาชั้น 1 ระหว่างทางลงก็คิดพิเรนทร์พูดใส่ Intercom “ฮัลโหล ตึกตรงข้ามมีคนอยู่ไหม” แล้วก็ได้ยินเสียง “คลื่นสัญญาณแทรก” ดังมาตามสายทั้ง ๆ ที่ทั้งตึกไม่มีไฟฟ้าแล้ว เมื่อเดินไปตึกฝั่งตรงข้าม คนในไลฟ์สดดันบอกว่าเห็นกลุ่มคนอยู่ในตึกนั้น 20 กว่าคน! ทั้ง ๆ ที่มันเป็นตึกร้าง ผมเลยโบกมือให้กล้องที่ไลฟ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง และเมื่อกลับมานั่งตัดคลิป ก็เห็นว่าตอนนั้นโบกมือนั้น หัวของผมหายไป! หลังจากกลับมาก็มีแฟนคลับเปิดกล้องไลฟ์ที่วัดแห่งหนึ่ง และได้ยินเสียงวิญญาณผู้หญิงเรียกชื่อตัวเองให้เข้าไปขอขมา และช่วยให้เธอได้ไปเกิดเพราะเขากับเธอเคยเกี่ยวข้องกันในอดีตชาติ! โรงงานร้างสุดหลอน..ที่ทำให้การล่าท้าผีของเขาไม่เหมือนเดิม เมื่อพบว่าในขณะที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น หัวของเขาดันหายไป! ท่ามกลางผู้คนในไลฟ์ที่รับชมอยู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X NICECNX’ [ 18 พ.ย.2568 ] ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นิคมอุตสาหกรรมร้าง’ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ‘คุณกรณ์’ ได้เล่าว่า ตนเองทำงานเป็น Creator ในแพลตฟอร์มออนไลน์เขาเป็นนักเล่าเรื่องลี้ลับ และมีการลงพื้นที่ไปสำรวจสถานที่ลึกลับต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า ‘ล่าท้าผี’ จนกระทั่ง ‘พี่เต๋า’ พี่ชายคนสนิทได้เอ่ยถามเขาว่า‘กรณ์อยากไปลงพื้นที่ไหม? พี่มีพื้นที่อยู่ที่หนึ่ง น่าสนใจมาก’ เต๋าเชิญชวน‘มันเป็นยังไงพี่?’ เขาถามกลับไปด้วยความสงสัย‘พื้นที่นี้มันเป็นโรงงาน’ คำเชิญชวนจากพี่ชายคนสนิทสร้างความตื่นเต้นให้แก่กรณ์ และด้วยความไม่คิดอะไรจึงคิดว่าสถานที่แห่งนั้นคงเป็น เพียงแค่โรงงานธรรมดาแห่งหนึ่งก็เท่านั้น เขาเลยตัดสินใจตอบรับคำไป‘ไปครับ เดี๋ยวไปเปิดกล้องไลฟ์สดกัน’ พอถึงวันที่นัดแนะกันในช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม กรณ์ก็ไปถึงที่โรงงานแห่งนั้น ทันทีที่ก้าวขาเข้าไป ก็พบกับรปภ.คนหนึ่งประจำการอยู่ที่หน้าโกดังทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าถ้าหากที่แห่งนี้เป็นโกดังร้างทำไมถึงมีคนอยู่? แต่ก็ได้รับคำตอบที่คลายความสงสัยนั้นจากเต๋าพี่ชายคนสนิทว่า“ที่นี่ไม่ใช่โกดังร้าง ข้างในมีทรัพย์สินอยู่ แต่มันรกร้างมา 30 ปีแล้ว” จากการกวาดสายตาสำรวจดูกรณ์พบว่า โดยรอบของโรงงานมีไฟฟ้าเปิดอยู่โดยรอบทั้งยังมีคนคอยดูแลตรวจตราอยู่สม่ำเสมอ เขาเลยคิดว่าพี่เต๋าคงจะมีการวางแผนพาเขามาแกล้งอย่างแน่นอน หลังจากนั้นกรณ์ เลยพยายามสอดส่องหาพื้นที่ที่คิดว่าจะสามารถเข้าไปไลฟ์ได้ แต่ทางด้านพี่เต๋าก็ยังคงเงียบ ไม่เอ่ยปากพูดอะไร กรจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามยามคนนั้น“พี่รปภ. มาอยู่กี่วันแล้วครับ”“ผมเพิ่งมาอยู่ได้แค่ 15 วันเองครับ” รปภ.ตอบกลับกรณ์“แล้วรู้จักกับพี่เต๋าได้ยังไงครับ?”ด้วยระยะเวลาการทำงานที่สั้นเลยทำให้เขาเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามไป“พี่เต๋าเป็นหัวหน้างานครับ คอยส่งรปภ.ลงตามพื้นที่โรงงานครับ” และเขาก็ได้รับคำตอบคลายความสงสัยกลับมา“เห็นไฟสปอร์ตไลท์ตรงนั้นไหมครับ สุดตรงนั้นไปแล้วจะวังเวงมาก ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเลยครับ”รปภ.ชี้นำไปตามทางสุดเส้นถนนที่ดูเปลี่ยว และมืดจนน่าขนลุก เดิมที่โรงงานแห่งนี้มีรปภ.คอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลาจำนวน 15 นาย แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาลาออกพร้อมกันทั้งหมด จนท้ายที่สุดแล้วเหลือรปภ.เพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่ทำงานอยู่ ยามคนที่หนึ่งจะยืนเฝ้าอยู่ตรงบริเวณข้างหน้าทางเข้า ส่วนคนที่สองจะคอยตรวจตราอยู่จุดที่สปอร์ตไลท์ส่องตามที่รปภ.ได้เกริ่นไว้ใครคราแรก เมื่อกรณ์ ได้สังเกตเห็นพี่รปภ.ที่ยืนอยู่ตรงตำแหน่งด้านในก็พบว่าลักษณะท่าทางของเขาเหมือนคนอยู่ไม่ติดกับที่ยามคนนั้นเดินวนไปวนมาอยู่ตลอดเวลาอย่างผิดวิสัย เขาเลยเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย“พี่เดินไปเดินมาทำไมครับ?”“ไม่สามารถอยู่กับที่ได้ครับ” คำตอบของพี่รปภ.สร้างความฉงนให้กับกรอีกครั้ง“ทำไมครับ? เกิดอะไรขึ้น”“ถ้าพร้อมแล้ว 3 ทุ่มเปิดกล้องไลฟ์สดนะครับ เดี๋ยวพาเข้าไป” เส้นทางที่เข้าไปภายในโรงงานจำเป็นที่จะต้องขับรถเข้าไป เพราะด้วยโรงงานแห่งนี้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ที่มีขนาดพื้นที่ทั้งหมด 57 ไร่ จุดหมายของกรจะอยู่ตรงจุดที่เลยแนวไฟไป“ถ้าเลยแนวไฟตรงนี้ไปหลังจากนี้จะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้แล้ว”ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่ชวนผวาจากพี่รปภ.ทำเอากรถึงกับขนลุก จากการพูดคุยกรณ์ ก็ได้รับรู้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ยังไม่เคยเปิดให้ใครเข้ามาล่าท้าผีเพราะเป็นสถานที่ปิด ดังนั้นพลังงานวิญญาณต่าง ๆ ยังจะคงอยู่ครบถ้วน และอัดแน่นเต็มพื้นที่“แล้วเราจะพากันไปที่ไหนกันครับ?” กรณ์ถามถึงตำแหน่งที่เขาจะเข้าไปล่าท้าผี“ข้างในนี้จะมีทั้งโรงพยาบาลร้าง โรงเรียนอนุบาลร้าง สหกรณ์ร้าง โรงอาหารร้าง บึงและก็อาคารที่พักของคนงานที่รกร้างอยู่ทั้งหมด 2 ตึกครับ” ในระหว่างที่พากันเข้าไปสำรวจกันข้างใน กรณ์ก็เกิดความสงสัยบางอย่างเลยเอ่ยถามพี่รปภ.ออกไป “ทำไมพี่ถึงสั่งห้ามไม่ให้รปภ.เข้ามาในนี้ครับ?” พี่รปภ.เล่าว่า เมื่อสามวันที่แล้ว มีรปภ.คนล่าสุดที่เพิ่งลาออกไป เขาเข้าไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากโรงอาหารและตรงดิ่งมาหารปภ.คนนั้นพร้อมพูดว่า “ขอข้าวกินหน่อยสิ..” ซึ่งถ้าย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่แห่งนี้เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไม่ใช่คนงานที่นี่ หญิงสาวคนนั้นแอบเข้ามาข้างใน และมานั่งอยู่ตรงบึง สุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดน้ำ หลังจากเหตุการณ์นั้นวิญญาณของหญิงสาวคนนี้ก็คอยวนเวียนหลอกหลอนรปภ.ทั้งหมดจนเป็นสาเหตุให้ทุกคนลาออกไป โดยพื้นฐานแล้วกรณ์ ไม่ใช่คนที่มีสัมผัสที่ 6 หรือเห็นผี เมื่อเดินสำรวจได้สักพักก็เจอตำแหน่งที่น่ากลัวมาก ๆ ก็คือตึกที่พักคนงานร้างทั้ง 2 ตึก ลักษณะของอาคารจะแบ่งเป็นตึก A และ B หน้าตึกจะหันเข้าหากัน กรณ์เลยเริ่มสำรวจข้างในของตึก ภายในอาคารจะมีเลขที่ห้องเรียงต่อกัน จากเลข 101 102 103 ไล่ไปจนถึง 108 และเมื่อเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร เดินดูไล่ทีละห้องจาก 201 202 203 เดินไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็เจอกับห้องที่มีเลขผิดแปลกไปจากห้องอื่น ๆ “ห้อง 2A6” และมากไปกว่านั้น ลูกบิดประตูนั้นยังถูกทุบอีกด้วย ความคิดภายในหัวกรณ์ เริ่มทำงานบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบข้าง และเลขห้องตรงหน้าเขาทำให้เขาคิดว่าห้องนี้ต้องมีอาถรรพ์อะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ แต่ยังไม่ที่กรจะเปิดประตูเข้าไป ทันใดนั้นเองบานเกล็ดหน้าต่างห้องก็มีเสียง “ครืดดดดดด!” เสียงบานเกล็ดที่ดังแบบไม่มีที่มาที่ไปทำเอาเขาตื่นตระหนก และด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ ของเขาสุดท้ายกรณ์ ก็ตัดสินใจเปิดบานประตูเข้าไป ภาพแรกที่กรณ์ เห็นคือภายในห้องเต็มไปด้วยล็อคเกอร์ไม้ที่ทุก ๆ ชั้นถูกเปิดไว้หมด แต่มีจุดหนึ่งที่น่าสังเกต และดูผิดแปลกคือทุกพื้นที่ในนั้นมีกระถาง และธูปที่มอดไปแล้วปักอยู่ประมาณ 4-5 จุดตามที่นอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเคยเข้ามาล่าท้าผีข้างในมาก่อน“รู้ไหมว่าจุดธูปต่าง ๆ คือจุดอะไร?” พี่รปภ.เอ่ยถามเขาท่ามกลางความเงียบ“จุดอะไรพี่”“ธูปที่จุดอยู่ทุกจุดตามที่นอน คือที่ที่คนงานเสียชีวิตทั้งหมด”คำตอบของรปถ.ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศภายในห้องมากขึ้น เพราะหลังจากจบประโยคนั้นบานประตูในห้องก็เริ่มขยับ และส่งเสียงดังราวกับมีพลังงานอะไรบางอย่างอยู่ในห้องแห่งนี้กับเขา และเมื่อเพ่งมองดูที่ลูกบิดดี ๆ ก็พบว่าที่บานประตูนั้นมีสายสิญจน์มัดขึงไว้ กลายเป็นว่าการที่เขาเปิดเข้ามานั่นทำให้สายสิญจน์ทั้งหมดถูกดึงออกจากกัน! และเมื่อลองมองไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นคล้ายกับมีพลังงานบางอย่างเคลือบตึกอยู่ ในระหว่างที่เขากำลังเดินลงจากชั้น 2 มันก็มีเครื่อง Intercom ที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้วติดอยู่กับเสา กรนึกพิเรนทร์เลยหยิบขึ้นมาแกล้งทำคล้ายกับว่าส่งเสียงเรียกไปยังตึกอีกฝั่ง“ฮัลโหล ตึก B ว่าไง ส่งเสียงหน่อย” เขาส่งเสียงไปตามสายอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พอกลับมานั่งตัดคลิปย้อนหลังดู ในจังหวะสุดท้ายที่เขากดคลิกมันกลับมีเสียง “ซืดดด...” แทรกเข้ามา มันเป็นเสียงคลื่นสัญญาณที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะอาคารแห่งนั้นไม่มีการใช้งานของไฟฟ้าแล้วหลังจากลงมาจากชั้น 2 ได้ กรณ์ก็นึกสนุกขึ้นมา โดยให้พี่ชายคนสนิทตั้งกล้องไลฟ์สดถ่ายไปยังเขาที่ยืนอยู่อีกฝั่งของตึก และเขาจะโบกมือให้กล้อง และทันทีที่เขาเดินไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามและโบกมือให้กล้องที่อยู่ทางหนึ่ง คนดูในไลฟ์ก็ต่างคอมเมนท์ไปในทางเดียวกันว่าพวกเขาเห็นกลุ่มคนหรือดวงวิญญาณยืนอยู่ในตึกนั้น 20 กว่าคน! และในจังหวะที่เขากลับมานั่งตัดคลิป สิ่งที่ปรากฎในคลิปทั้งหมดก็ทำเอาเขาถึงกับขนหัวลุก เมื่อพบว่าในช่วงเวลาที่เขาโบกมือให้กล้องอยู่นั้น หัวของเขาหายไป! จบจากการล่าท้าผี กรณ์ก็ได้ให้อาจารย์ที่รู้จักทำพิธีปัดเป่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะตามเขามาในชีวิตจริงเพื่อไม่ให้มันเกิดอะไรไม่ดีกับเขาหลังจากนี้ และพอกรได้ลงคลิปล่าท้าผีไปในโลกออนไลน์ก็เกิดกระแสตอบรับที่ดีจนผู้ชมอยากให้เขาไปอีกครั้ง และก็มีแฟนคลับคนหนึ่งขอเข้าร่วมการล่าท้าผีไปกับเขา แต่ก่อนจะถึงวันนัดแนะจะไปกัน “คุณบอย” แฟนคลับที่ขอเดินทางไปด้วยกันเขาได้เปิดกล้องไลฟ์ไปสำรวจที่บริเวณวัดและเดินไปตรงประตูน้ำ ในระหว่างที่เดินดูอยู่นั้นบอย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา เสียงเหมือนคนอยู่ในน้ำพูดว่า “ผู้ชาย ผู้ชาย.. ผู้ชายสองคน ต.เต่า ต.เต่า”เสียงกระซิบเรียกชื่อผู้ชาย 2 คนนั้นดังขึ้นมาหลังจากนั้นเพียงไม่นาน แต่กลายเป็นว่าชื่อแรกที่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยออกมาคือชื่อจริง ๆ ของกรณ์ที่ตลอด 10 ปีมานี้ไม่มีใครรู้ชื่อนี้เลย หญิงสาวได้บอกกับบอยว่า 2 คนนี้เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตมาก่อน และบอย คือคนรักที่เคยสาบานกับเธอในอดีตชาติ ทำให้พวกเขาต้องไปที่โรงงานนั้นอีกครั้ง และการกลับไปครั้งนี้ก็เพื่อไปขมากรรมในอดีต และปลดปล่อยดวงวิญญาณนั้น เพราะเขาได้รู้มาว่าสาเหตุการเสียชีวิตของน้องผู้หญิงคนนี้คือเธอได้ตั้งครรภ์กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ผู้ชายไม่รับรัก เธอเลยไปกระโดดที่บึงนั้น และได้สื่อสารกับบอยเพราะเธอ และเขาเคยไปสาบานรักใต้ต้นไม้ใหญ่ในอดีตชาติ ซึ่งเมื่อกรณ์ ได้ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดก็ถึงกับขนหัวลุกอีกครั้งเพราะตรงบึงแห่งนั้น เป็นจุดที่มีต้นไม่ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่พอดีสุดท้ายโรงงานร้างแห่งนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงนิคมอุตสาหกรรมธรรมดา แต่กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิตอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะจำไม่มีวันลืม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

อยากผูกมิตรกับเพื่อนบ้านชั้นบน จึงนำพิซซ่าขึ้นไปให้ แต่กลับมาเจอผู้หญิงแปลก ๆ โผล่มาแค่ครึ่งหน้า พร้อมกับลูกชายอีก 2 คน แถมห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆ อีก! เมื่อโทร.แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ ก็พบว่า.. นี่มันคือคดีฆาตกรรม!

25 พ.ค. 2023

อยากผูกมิตรกับเพื่อนบ้านชั้นบน จึงนำพิซซ่าขึ้นไปให้ แต่กลับมาเจอผู้หญิงแปลก ๆ โผล่มาแค่ครึ่งหน้า พร้อมกับลูกชายอีก 2 คน แถมห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆ อีก! เมื่อโทร.แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ ก็พบว่า.. นี่มันคือคดีฆาตกรรม!

ครั้งแรกของการโคจรมาพบกัน ระหว่าง ‘คืนพุธมุดผ้าห่ม’ และ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 พฤษภาคม 2566) กับเรื่องหลอนสิบกะโหลกจาก ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และทีมงานอึ้งทั้งสตู! กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เด็กชั้นบน’ ต้นกล้าเกริ่นว่าเรื่องนี้เคยเล่าไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมุติ ‘ฮิโรชิ’ พนักงานที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน กระทั่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงต้องพักฟื้นตัวอยู่ที่ห้อง พอต้องอยู่ห้องตลอด ฮิโรชิก็เริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมของห้องตัวเอง ในช่วงเย็น ฮิโรชิจะได้ยินเสียงฝีเท้าเด็กจากห้องชั้นบน หรือบางครั้งที่ฮิโรชิเปิดหน้าต่างรับลม ก็จะได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคุยเล่นกันอยู่ข้างบน เย็นวันหนึ่ง ฮิโรชิสั่งพิซซ่าโปรโมชัน 1 แถม 1 มา แต่กินไม่หมด คิดในใจว่าถ้าเก็บไว้แล้วเอามาอุ่นกินอีกรอบก็คงจะไม่อร่อย ทันใดนั้น ฮิโรชิก็คิดถึงห้องชั้นบนที่มีเด็กอาศัยอยู่ขึ้นมา และอยากผูกสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน จึงนำพิซซ่า 1 ถาดเดินขึ้นไปให้ห้องชั้นบน ณ ตอนนั้น ก็เป็นช่วงหัวค่ำเข้าไปแล้ว.. เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องชั้นบน ฮิโรชิก็กดกริ่งที่หน้าห้อง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากฝั่งตรงข้าม ฮิโรชิกดกริ่งอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีเสียงผู้หญิงตอบกลับมาว่า “ค่า ใครคะ?” ฮิโรชิจึงรีบบอกไปว่า “ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ผมอยู่ห้องชั้นล่าง แล้วเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าห้องของคุณมีเด็กอาศัยอยู่ ผมเลยเอาพิซซ่ามาให้ครับ” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เรากินข้าวเย็นกันแล้ว” ฮิโรชิที่ตั้งใจจะเอาพิซซ่ามาให้ก็พูดไปว่า “ถือซะว่าเป็นการทักทายของเพื่อนบ้านละกันครับ ยังไงช่วยรับไว้หน่อยนะครับ” สิ้นเสียงฮิโรชิ ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “โอเคค่ะ” จากนั้นประตูก็เปิดออกช้า ๆ เมื่อประตูแง้มเปิดออก แต่กลับไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องเลย กลายเป็นแสงจากทางเดินที่ช่วยให้ฮิโรชิเห็นหน้าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่เขาสนทนามาด้วยตลอด เธอยื่นหน้าออกมาแค่ครึ่งหน้า ตาลอย และมีกลิ่นแปลก ๆ ลอยออกมาจากห้องด้วย ฮิโรชิอึ้งอยู่ไม่กี่วิก็รีบกุลีกุจอยื่นของให้ “นี่ พิซซ่าครับ” แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คือ.. ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” ฮิโรชิยังคงคะยั้นคะยอให้เธอรับ แต่เธอยังยืนกรานว่า “ไม่เอาค่ะ งั้นขอรบกวนแค่นี้นะคะ เชิญกลับได้แล้วค่ะ” ฮิโรชิได้ยินดังนั้นก็ถอดใจ และเตรียมจะถอยหลังกลับ แต่ก็สังเกตเห็นหน้าเด็ก 2 คนโผล่ออกมาครึ่งหน้าข้างล่างผู้หญิงคนนั้น ฮิโรชิก็พูดขึ้นว่า “หนูอยากกินพิซซ่าหรือเปล่า? งั้นวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะ” จากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็กล่าวขอบคุณเสียงเบา ฮิโรชิวางพิซซ่าไว้หน้าห้องแล้วเดินออกมา เสียงปิดประตูก็ดัง “ตึง” ตามหลังมา ฮิโรชิคิดในใจว่าครอบครัวนี้แปลก ๆ อยู่กันยังไงในห้องมืด ๆ แถมพอมีคนมา ยังเปิดประตูไว้นิดเดียวแล้วโผล่มาแค่ครึ่งหน้าอีก “ไม่น่ามาเลย” ฮิโรชิคิดในใจ ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูบันไดหนีไฟเพื่อเดินลงไปห้องตัวเองนั้น ฮิโรชิก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างมองมาที่เขาอยู่ พอหันหลังกลับไป เขาก็เห็นว่ามุมทางเดิน (ลักษณะทางเดินจากประตูหนีไฟและห้องนั้นเป็นรูปตัว L) มี 3 คนโผล่มาครึ่งหน้า เป็นแม่และลูก 2 คน จ้องมองมาที่ฮิโรชิอยู่! ฮิโรชิรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม และคิดว่าถ้ามีคนแอบมอง เราจะเห็นไหล่ของเขาบ้าง แต่ฮิโรชิเห็นแค่หัว! เหมือนเอาหัวมาเรียงกันยังไงยังนั้น! ฮิโรชิรีบเดินลงมาข้างล่าง แต่กลับไม่อยากเข้าห้องตัวเอง อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกมากกว่า เมื่อเดินออกมาข้างแล้ว ฮิโรชิก็ตัดสินใจโทร.หาตำรวจ และแจ้งว่าเจอเพื่อนบ้านแปลก ๆ อยากให้ตำรวจมาตรวจสอบ เมื่อตำรวจมาถึง ฮิโรชิที่ยืนรออยู่ข้างหน้าอะพาร์ตเมนต์ ก็ได้ยินเสียงตำรวจวิ่งลงมาหน้าตาตื่น และบอกว่า “มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น!” หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ก็เริ่มมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จนได้ผลสรุปว่า “คุณพ่อของครอบครัวห้องชั้นบน ฆาตกรรมลูกกับเมียตัวเองด้วยการตัดคอ และยังพบหัวในห้องนั้นอีกด้วย เมื่อตามรอยเลือดไปก็พบว่าฆาตกรแอบซ่อนอยู่ในห้องของคุณฮิโรชิ!” นั่นหมายความว่า ถ้าตอนนั้นฮิโรชิตัดสินใจกลับเข้าห้อง เขาก็อาจกลายเป็นเหยื่อในคดีฆาตกรรมนี้ก็เป็นได้! ส่วนหัวที่โผล่มา เป็นเพราะฆาตกรจับหัวให้โผล่มาคุยกับฮิโรชินั่นเอง! ต้นกล้าปิดท้ายว่า “เรื่องนี้เป็นเหมือนกับตำนานเมือง” และยังเสริมอีกว่า ธรรมเนียมของประเทศญี่ปุ่น การนำของไปให้เพื่อนบ้านถือเป็นการผูกมิตรที่ดี และส่วนใหญ่เรื่องหลอนก็มาจากสถานการณ์แบบนี้ได้เช่นกัน (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเหมย ‘บ้านโรงรถ’ I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

27 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเหมย ‘บ้านโรงรถ’ I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณเหมย‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’บ้านโรงรถ‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!...เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่บ้านโรงรถ คุณเหมยเล่าว่า ย้อนไปเมื่อตอนยังเด็ก บ้านตั้งอยู่ในตัวตำบล ระหว่างตำบลกับอำเภอค่อนข้างที่จะไกลกัน อยู่มาวันหนึ่ง คุณเเม่ทะเลาะกับคุณตา คุณเหมยจึงย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอกับคุณป้า ตอนที่ย้ายไปนั้น คุณเเม่ก็ยังไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อหาเงินซื้อบ้าน จึงไปปรึกษากับคุณป้าว่าควรทำอย่างไร คุณป้าก็ได้เเนะนำคุณเเม่ให้มาอยู่ที่โรงรถแบบชั่วคราวไปก่อน จนกระทั่งคุณเหมยเรียนอยู่ชั้น ป.1 มีวันหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันหน้าบ้านค่อนข้างดังมาก ประมาณร้อยกว่าคน ซึ่งก่อนหน้าที่คุณเหมยจะเข้ามาอยู่ บริเวณนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน คนทำงานค่อนข้างเยอะ เเต่ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว คุณเหมยจึงคิดว่าไม่น่ามีใครมายืนคุยกันตรงนี้ จึงลุกไปดูผ่านแสงไฟที่ลอดมาจากปลายถนน ก็เห็นเป็นผู้ชายกับผู้หญิงยืนคุยกัน ด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงมายืนคุยตรงนี้ คุณเหมยจึงเดินออกไปดู เเต่เเล้วก็พบเจอกับความว่างเปล่า! ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนเสียงที่ได้ยินก็หายไป! คุณเหมยเดินกลับเข้าไปนอน พอกลับเข้ามานอนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิม! ตนจึงได้ไปเล่าให้คุณเเม่ฟังเเล้วก็โดนตอบกลับมาว่า “เพ้อเจ้อ คิดมาก” ซึ่งคุณเเม่กับคุณพ่อเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ตนจึงได้เเต่สงสัยเเล้วก็ได้ยินเสียงนี้อยู่เรื่อยมาก จนคุณเหมยขึ้น ป.2 คืนนั้นตนนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น นอนได้สักพักก็มองไปบนเพดานฝ้าที่อยู่ตรงโรงรถ ก็เห็นเป็นหน้าผู้หญิงแก่ มวยผม ลอยอยู่บนฝ้าเพดาน! เเล้วบอกว่า “ไปอยู่ด้วยกันมั้ย“ คุณเหมยตกใจจนขยับไม่ได้ ได้เเต่พูดในใจว่า ”ไม่ไป“ ตอนนั้นตนคิดว่าได้พูดออกไปแล้วเเต่ความจริงคือยังไม่ได้พูด! เขาก็เลยถามตนอีกครั้งว่า ”สรุปจะไปอยู่ด้วยกันมั้ย คิดได้หรือยัง“ คุณเหมยบอกว่าตนก็พยายามที่จะพูด เพราะพูดไม่ได้ จู่ ๆ เขาก็สวนกลับมาว่า ”มึง! จะไปอยู่กับกูมั้ย!“ ทำให้คุณเหมยตกใจเเล้วรีบวิ่งไปหาคุณแม่! เช้าวันถัดมา คุณเหมยได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ก็ตอบกลับอีกว่า ”เพ้อเจ้อ คิดมาก“ เป็นครั้งที่ 2 เมื่อคุณเหมยเริ่มขึ้น ป.3-4 คุณแม่ก็ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ให้ เเต่ตนชอบเที่ยว จึงทำให้คุณเเม่อยากดัดนิสัยด้วยการเอารถไปซ่อน ตนคิดว่ารถหายจึงไปบอกกับหมอธรรม เเล้วเขาก็ได้ตอบกลับมาว่า “รถไม่ได้หายนะ เเม่เอ็งเอาไปซ่อน” คุณเหมยได้ยินเเบบนั้นก็ไม่เชื่อ เเล้วก็ไม่คิดว่าเเม่จะเป็นคนแบบนี้ ตนจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เชื่อ” หมอธรรมได้ตอบกลับว่า “ที่บ้านเอ็งตรงนั้น มันเป็นป่าช้าเก่านะ เเต่ก่อนมันเคยเป็นที่เก็บกระดูกคน เป็นโกศที่อยู่ในตามวัด“ หลังจากคุณเหมยกลับมาบ้าน ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ คุณแม่ได้ยอมรับกับตนว่าเป็นคนไปแอบจริง!...เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นที่บ้านหลังใหม่ที่อยู่ใกล้กับบ้านโรงรถ ช่วงมัธยมต้น คุณเหมยคิดว่าย้ายมาอยู่บ้านใหม่เเล้วคงจะไม่เจออะไรที่เคยเจอ เเต่ก็เหมือนเดิม ตนเห็น 2 คนนั้นที่เคยเจอเมื่อตอนเด็ก ๆ เขามายืนหน้าห้องเเล้วพูดว่า “มึงจะไปอยู่กับกูมั้ย! จะไปอยู่ด้วยรึเปล่า!” คุณเหมยกลัวมากจึงรีบไปบอกกับคุณเเม่ เเล้วคุณเเม่ก็บอกกับตนว่าจะพาไปทำบุญเพื่อความสบายใจ ในตอนเช้าคุณเเม่ก็พาคุณเหมยไปทำบุญ จู่ ๆ ก็มีหลวงตาองค์หนึ่งเข้ามาทักว่า ”ดูเเลไอเด็กคนนี้มันดี ๆ นะ ไอเด็กคนเนี้ย ที่ของบ้านที่เอ็งอยู่ เขาจะเอามันไปอยู่หลายครั้งเเล้ว เเต่มันดวงเเข็งเขาเอามันไปไม่ได้“ เเล้วหลวงตาท่านนั้นก็ได้บอกอีกว่า ”ให้หมั่นทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ“ หลังจากนั้นคุณเหมยก็ตักบาตรทุกเช้าก่อนไปเรียน เเต่ก็ยังเจออยู่เหมือนเดิม.. ต่อมาก็อยู่บ้านหลังนี้ได้ 5-6 ปี คุณเเม่ก็ปล่อยบ้านนี้ให้คนเช่า ซึ่งคนที่มาเช่าต่อบังเอิญเป็นเเม่ของเพื่อนคุณเหมย อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน เพื่อนก็ทักมาถามว่า “บ้านนี้มีอะไรหรือเปล่า?” จึงได้ตอบกลับไปว่า “บ้านนี้ก็มีนะ ตอนที่ตากับพ่อเลี้ยงเสียก็ได้จัดงานศพที่บ้าน มีอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนของคุณเหมยตอบกลับมาว่า “เปล่า พอดีเเม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่อยู่ 2-3 เดือนแรก ได้ยินเสียงคนคุยกันเยอะมาก” ซึ่งสิ่งที่เขาเจอมันก็เหมือนกับเหตุการณ์ตอนที่คุณเหมยอยู่บ้านหลังนั้น!...เหตุการณ์ที่ 3 เกิดขึ้นที่บ้านหลังที่สาม หลังจากที่คุณเเม่ปล่อยบ้านหลังนั้นให้เช่า ก็พาคุณเหมยย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ เป็นบ้านหลังที่สาม เนื่องจากคุณแม่มีปัญหากับคุณป้า ตอนที่ตนนอนก็ได้ฝันถึงบ้านหลังนั้น ภาพในฝันเหมือนกับที่หมอธรรมเคยบอก! ต่อมาคุณเหมยได้เล่าว่าพ่อเลี้ยงตามมาที่บ้าน ย้อนกลับไปที่บ้านหลังเก่า พ่อเลี้ยงของตนได้เสียชีวิตที่นั่น คืนก่อนที่พ่อเลี้ยงจะเสียชีวิต มีพยาบาลโทรมาเเจ้งกับคุณเเม่ว่าพ่อเลี้ยงเสียชีวิตเเล้ว เเต่ก็ไม่กล้าบอกกับตน เเต่คุณเหมยกลับเห็นตรงกระจกเป็นพ่อเลี้ยงกำลังโบกมือให้อยู่! ตนตกใจจึงสะกิดแม่เเล้วถามว่า “เเม่ พ่อหายเเล้วหรอ? เเม่ไปรับพ่อมาตอนไหน” เเม่ก็ทำสีหน้ามึนงงเเล้วตอบกลับว่า “พูดอะไร พูดนี่คิดด้วย“ แล้วบอกอีกว่า ”รีบไปแต่งตัว เดี๋ยวจะไป รพ.พ่อเสียเเล้ว!“ ผ่านไปประมาณ 10 กว่าปี คุณเหมยเติบโตจนใกล้จะเเต่งงาน เเม่ก็บอกให้ขึ้นไปไหว้พ่อกับตายาย เมื่อคุณเหมยกำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นพ่อเลี้ยง เเว๊บ! ผ่านหน้าไป ตนจึงหยุดนิ่งอยู่ในอาการช็อก ซึ่งคุณเเม่ที่อยู่ข้างหลังก็เห็นเช่นเดียวกันกับคุณเหมย ต่อมาคุณเหมยได้พารุ่นน้องมานอนที่บ้าน ผ่านไปได้สักพักรุ่นน้องก็บอกว่าขอไปนอนรีสอร์ต เพราะตอนคุณเหมยไปอาบน้ำ จู่ ๆ ป้ายรูปพ่อของตนร่วงตกลงมา! ไม่ได้คิดอะไรจึงเอากลับไปแขวนที่เดิม สักพักก็ตกลงอีกครั้งจนกระจกแตก! คุณเหมยคิดว่าพ่อเสียไปประมาณ 10 กว่าปีเเล้ว ก็ยังอยู่วนเวียนในบ้าน อาจจะเป็นเพราะเป็นห่วงลูกสาวของเขา..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1