เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

10 มิ.ย. 2024

       เรื่องราวนี้ ‘คุณชิ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ห้องเตียงคู่’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย !

       เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณชิ’ (นามสมมติ) และภรรยา โดยคุณชิเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว คืนหนึ่งภรรยาของคุณชิเกิดอาการปวดท้องหนักมาก คุณชิจึงบอกกับภรรยาว่า

       “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม ? มานอนทนปวดแบบนี้มันไม่ดีนะ”

       ซึ่งตอนแรกภรรยาก็รั้นไม่ยอมที่จะไป จนกระทั่งทนไม่ไหว คุณชิจึงพาไปโรงพยาบาล

       ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะคุยกับหมอเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนเวลาเที่ยงคืนกว่า คุณหมอก็ได้ข้อสรุปว่า ‘ไส้ติ่งอักเสบ’ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นฝ่ายทะเบียนก็เข้ามาบอกให้ภรรยาแอดมิดที่ห้อง 601 ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่ง เดินเข้ามาถามว่า

       “ให้คนไข้เข้าพักที่ห้องไหน”

       ฝ่ายทะเบนียนก็ตอบว่า

       “601 ไงค่ะ”

       พยาบาลก็เกิดอาการเลิ่กลั่กแปลก ๆ แล้วถามว่า

       “ทำไมให้คนไข้แอดมิดที่ห้องนั้นละ ?”

       ตอนนั้นคุณชิก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ‘ทำไมถึงนอนห้องนี้ไม่ได้ล่ะ ?’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ฝ่ายทะเบียนก็ตอบว่า

       “มันเหลือห้องเดียวแล้ว ไม่มีอะไรหรอก”

       ก่อนที่จะหันหน้ามามองภรรยาของคุณชิ แล้วบอกว่า

       “พอดีว่า ห้องนี้มีคุณยายนอนอยู่คนเดียว แต่ไม่มีอะไรหรอกน้อง นอนได้สบาย คุณยายเขาแค่ ชอบนอนเปิดบทสวดฟัง ไม่มีอะไรหรอก”

       จากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 1 คุณชิและภรรยาก็ได้เข้าไปที่ห้อง 601 คุณชิเห็นว่าเตียงจะถูกจัดให้อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งเตียงแรกเป็นเตียงของคุณยาย และเตียงที่สอง เป็นเตียงของภรรยา และคุณชิยังสังเกตอาการป่วยของคุณยายอีกว่า คุณยายน่าจะอยู่ในอาการโคม่า อาการไม่สู้ดี และพร้อมที่จะไปแล้ว โดยมีเครื่องช่วยหายใจใส่ไว้ทางปาก และมีเสียงหายใจดัง ฮะ.. เฮือกก อยู่เสมอ..

       จากนั้นคุณซิก็กลับบ้าน เพราะว่าไม่สามารถอยู่เฝ้าได้ หลังจากที่คุณชิเอาลูกเข้านอน ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรมา โดยใช้น้ำเสียงกระซิบบอกว่า

       “เธอ จู่ ๆ เพลงบทสวดก็ดังขึ้นมา เป็นบทสวดภาษาจีน”

       คุณชิจึงบอกว่า “ทางพยาบาลเข้ามาเปิดให้คุณยายฟังหรือเปล่า ?”

       ภรรยาของคุณซิตอบว่า “ไม่นะ ถ้าพยาบาลเข้ามา ก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู”

       คุณชิได้แต่พูดปลอบใจว่า “มันไม่มีอะไรหรอก เธอคิดไปเอง เธออาจจะไม่ได้ฟังตอนพยาบาลเปิดประตูเข้ามา”

       หลังจากนั้น ภรรยาก็เหมือนจะสบายใจขึ้น ก่อนที่จะวางสายไป

       จนเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 9 โมง คุณชิก็ไปเยี่ยมภรรยา ถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง ภรรยาก็เล่าว่าบทสวดดังทั้งคืน ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้เลย และบทสวดก็เปิดยันเช้า

       เย็นวันนั้น พยาบาลก็เข้ามาบอกว่า

       “เดี๋ยวจะได้ย้ายห้องนะ”

       ภรรยาได้ยินก็รู้สึกสบายใจขึ้น จนเวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม ทางภรรยาของคุณซิ ก็ไม่ได้ย้ายห้องสักที คุณชิจึงไปถามกับพยาบาล พยาบาลก็บอกว่า

       “ไม่ได้ย้ายแล้วค่ะ พอดีว่าคนไข้แอดมิดเข้ามาใหม่ ทำให้ห้องเต็มเหมือนเดิม”

       หลังจากนั้นคุณชิก็กลับบ้าน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ทางภรรยาก็โทรมาบอกว่า

       “บทสวดดังอีกแล้ว แต่ครั้งนี้แปลกมาก เพราะหลังจากบทสวดจบ มีเสียงเรียกมาด้วย เรียกว่า หนู”

       ซึ่งทางภรรยาก็พยายามชะเง้อมองหาต้นทางของเสียงและเห็นว่า มีเงาคล้ายกับร่างคน สะท้อนม่าน ชะโงกมองมาทางตน ทางภรรยาของคุณชิก็พยายามหลบสายตาไม่มองไปทางนั้น และบอกว่า

       “เขาใส่หมวกไหมพรหมสีสีชมพู และพยายามเรียกอิหนู อิหนู… อิหนู ซ้ำอยู่นั่นแหละ”

       คุณชิพยายามปลอบใจว่า “ไม่มีอะไรหรอก คงมีใครมาเยี่ยมคุณยาย ในเวลานี้หรือเปล่า ?”

       แต่คุณชิก็รู้สึกว่า มันไม่ชอบมาพากล มีบางอย่างแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาคิดมาก จึงได้พูดแบบนั้นไป

       หลังจากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ บอกว่า

       “เธอ ไม่ไหวแล้วอ่ะ เปิดเสียงบทสวดอะ ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เรียกทั้งคืนเลย มารับกลับได้ไหม อยากกลับบ้านมาก เค้าไม่โอเค ไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

       คุณชิจึงได้แต่ปลอบไปว่า “เค้าไปรับเธอกลับไม่ได้ ถึงเค้าไปรับได้ เธอก็ไม่สามารถกลับกับเค้าได้ เพราะเธออยู่ในกระบวนการการรักษาของแพทย์ เธอต้องอดทนนะ พยายามหลับตานอน”

       

       คุณชิรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำเพียงแค่ปลอบใจภรรยา ซึ่งคืนนั้นคุณชิก็ไม่ได้นอน เพราะทุกครึ่งชั่วโมงทางภรรยาก็จะโทรมา เพราะทุกครั้งเมื่อเพลงจบ ก็จะมีเสียงเรียกทุกครั้ง

       และช่วงเวลาประมาณตี 5 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาเล่าว่า

       “เมื่อสักพักก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ เพราะมีพยาบาล 3-4 คน ก็เข้ามามุงอยู่ที่เตียงของคุณยาย ก่อนที่จะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกกันไป ซึ่งตอนที่พยาบาลยังอยู่ เราก็ปวดเข้าห้องน้ำพอดี จึงได้เห็นว่า พยาบาลจัดคุณยายในท่านั่งพิงกับขอบเตียง ถอดเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือ และใส่ชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่ใช่ของโรงพยาบาล พร้อมกับหมวกไหมพรมสีชมพู เราไม่น่ามองไปทางนั้นเลย”

       หลังจากนั้นภรรยาก็หลับไป..

       เช้าวันถัดมาก็ถามพยาบาลว่า “คุณยายไปไหนหรอคะ ? เพราะตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว”

       พยาบาลก็ตอบว่า “อ๋อ คุณยายเสียตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วค่ะ”

       ซึ่งคุณชิก็รู้สึกว่า ‘ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืน ภรรยาได้นอนกับศพตลอดทั้งคืนเลย เพราะเขาพึ่งเอาคุณยายออกไปตอนเช้า’

       จึงถามว่า “ทำไมถึงพึ่งมาเอาคุณยายออกไปตอนเช้า”

       ทางพยาบาลก็ตอบว่า “พอดีว่าห้องดับจิตเต็ม จึงต้องให้คุณยายอยู่ที่นี่ไปก่อน”

       พอทางภรรยาของคุณชิรู้เช่นนั้นก็ช็อก เพราะต้องนอนต่อที่ห้องนี้อีกหนึ่งคืน แต่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีคนไข้คนใหม่ เข้ามานอนแทนที่ของคุณยายคุณยายแล้ว..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่ดาดฟ้าของหอพัก สนุกกันจนชนขวดเบียร์ตกลงไปด้านล่างที่เป็นป่าทึบ! พอกลับเข้าห้องก็นอนไม่ค่อยหลับ แถมยังเจอมือปริศนามาอยู่บนเตียง ตกใจจนไม่มีสติ! มารู้ทีหลังว่าป่านั้นนั้นคือ...!

05 ก.ค. 2023

ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่ดาดฟ้าของหอพัก สนุกกันจนชนขวดเบียร์ตกลงไปด้านล่างที่เป็นป่าทึบ! พอกลับเข้าห้องก็นอนไม่ค่อยหลับ แถมยังเจอมือปริศนามาอยู่บนเตียง ตกใจจนไม่มีสติ! มารู้ทีหลังว่าป่านั้นนั้นคือ...!

‘อังคารคลุมโปง X’ (13 มิถุนายน 2566) ให้การต้อนรับ ‘คุณจอย’ สายแรกของรายการในวันนี้ เธอมาพร้อมกับเรื่องราวที่จะทำให้ ‘ดีเจเจม’ และ ‘ดีเจแนน’ ขนลุกวาบไปทั้งตัว เมื่อการเปิดตี้บนดาดฟ้า ทำให้ได้ผีตามกลับมาถึงห้อง ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! ในปี 2549 คุณจอยที่พึ่งจะเรียนจบผู้ช่วยพยาบาลในกรุงเทพฯ ได้เข้าฝึกงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางเมือง จึงต้องหาหอพักใกล้ที่ทำงาน จนได้มาเจอกับห้องเช่าแห่งหนึ่งที่อยู่สุดซอย คุณจอยคิดว่าอยู่ที่นี่น่าจะดี เพราะเป็นหอพักสร้างใหม่ ไม่น่าจะมีประวัติอะไร หอพักนี้มีลักษณะเป็นตึกสูงประมาณ 6 ชั้น ด้านหลังของตึกเป็นกำแพงสูง อีกฝั่งมีต้นไม้หนาทึบ คุณจอยมองว่ามีความร่มรื่น และคิดว่านี่คือ “ทำเลทอง” ทีเดียว สุดท้ายจึงเลือกมาอาศัยที่ชั้น 4 ของตึกนี้ เมื่อฝึกงานไปได้สักพัก คุณจอยก็เริ่มสนิทกับกลุ่มเพื่อนในที่ทำงาน และมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่หอเดียวกัน วันหนึ่ง คุณจอยชวนเพื่อน ๆ ไปสังสรรค์กันบนดาดฟ้าของหอพัก ขณะที่กำลังดื่มสังสรรค์ร้องเพลงกันตามปกติ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเผลอเอาศอกยันขวดเบียร์ตกลงไปด้านล่างตรงที่เป็นป่าทึบ! ในใจคุณจอยกังวลว่าขวดเบียร์นี้จะหล่นไปใส่หัวใครหรือไม่ เพราะเข้าใจว่าบริเวณป่านี้ เป็นพื้นที่ที่จะมีมาออกกำลังกายกัน แต่เพื่อน ๆ คิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะตอนนั้นดึกมากแล้ว ไม่น่าจะมีคนเดินผ่าน เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณจอยก็ขอแยกตัวจากเพื่อนกลับมานอนเอาแรงเพื่อเตรียมเข้าเวรในตอนเช้า คืนนั้น คุณจอยนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่นัก คุณจอยตื่นขึ้นมาตอนตีสอง เมื่อพลิกตัวตะแคงมันกลับไปแค่ตัว หัวของคุณจอยเหมือนถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยอะไรบางอย่างจากข้างหลัง! ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นผมที่ถูกทับไว้ใต้หมอน แต่พอลองยื่นมือไปจับและดึงมาข้างหน้าดู คุณจอยก็ต้องตกใจ! เพราะที่เห็นคือมือของมนุษย์! แต่มือนี้มาเพียงแค่ข้อมือสุดปลายนิ้ว สีขาวซีด ไร้เจ้าของร่าง คุณจอยร้องเสียงหลงออกมาอย่างแรง ก่อนที่จะขว้างมือนั้นเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนั้นคุณจอยตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่คว้าไปหยิบโทรศัพท์ข้างเตียง รีบกดเบอร์โทรออกหาพ่อแม่ทันที! เมื่อเห็นว่าคุณจอยไม่มีสติ พูดไม่รู้เรื่อง พ่อกับแม่จึงบอกให้คุณจอยค่อย ๆ ตั้งสติ และสูดหายใจลึก ๆ สุดท้ายคุณพ่อต้องนำสวดมนต์ แม้คุณจอยจะท่องบทสวดมนต์แต่ในใจก็ยังกังวลว่า มือที่อยู่ในห้องน้ำนั้นจะไต่ออกมาหรือเปล่า เพราะประตูห้องน้ำก็เปิดอ้ากว้างทิ้งไว้ด้วย กระทั่งคุณจอยได้ยินเสียงไก่ขันในตอนเช้ามืด คุณจอยใจชื้นมากขึ้น เมื่อเปิดระเบียงของห้องออกไปก็เริ่มได้ยินเสียงคนพูดคุยตัดกับรถเล่นผ่านอยู่บ้าง ตอนนี้ได้เวลาไปทำงานแล้ว แต่คุณจอยจะต้องไปอาบน้ำในห้องน้ำ.. ก่อนไปอาบน้ำแม้เธออยากจะเห็นหน้าพ่อกับแม่ก็ทำไม่ได้ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีวิดีโอคอล จึงจำใจวางสาย หากไปบอกกับโรงพยาบาลว่าไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้เพราะกลัวผีคงจะฟังไม่ขึ้น สุดท้ายคุณจอยจึงต้องใจกล้าเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ! เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ คุณจอยกวาดสายตาไปที่พื้นก็ไม่เห็นมีอะไร พอหันกะละมังที่ล้มระเนราดอยู่ ก็เดินไปเปิดดู แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ เมื่อสำรวจดูทั่วห้องแล้วก็ไม่เจออะไร จึงเริ่มอาบน้ำ อย่างไรก็ตามคุณจอยก็ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่ามือเจ้าปัญหานี้จะโผล่มาเมื่อไหร่ ใจหนึ่งก็อยากให้เจออะไรบางอย่างสักที จะได้ไม่ต้องมาคอยระแวงอยู่แบบนี้ เมื่อคุณจอยออกไปทำงาน สติก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก เพราะทั้งไม่ได้นอนและเจอสิ่งเร้นลับกลางดึก คุณจอยไม่เห็นเพื่อนที่พักอยู่หอเดียวกันมาทำงานในวันนี้ เข้าใจว่าเขาคงอาจจะยังเมาค้างไม่ตื่นจากปาร์ตี้เมื่อคืน จึงคิดว่าจะลองไปเยี่ยมเขาหลังเสร็จงาน เวลา 2 ทุ่ม เพื่อนคุณจอยเปิดประตูห้องออกมา สภาพดูอิดโรย ตาคล้ำและผมยุ่ง เมื่อถามเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนก็ได้แต่บอกว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า เดี๋ยวค่อยเล่าได้ไหม เดี๋ยวค่อยเล่า...” ในเวลาดึกแบบนี้ ยังไม่เหมาะสมที่จะเล่าอะไร คุณจอยก็ยังไม่กล้าจะบอกเรื่องที่เจอมาเหมือนกัน คุณจอยกลับมาหาเพื่อนอีกครั้งในวันถัดไป สภาพเพื่อนก็ยังดูอ่อนแรงเหนื่อยล้าอยู่ดี พอพยายามลองถามอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนจึงชวนให้คุณจอยกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าที่เคยสังสรรค์กันอีกครั้ง.. พอถึงดาดฟ้าเพื่อนคุณจอยก็ยืนนิ่งไปชั่วครู่ คุณจอยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนถึงบริเวณป่าทึบที่อยู่หลังกำแพงข้างหอ คุณจอยเข้าใจมาตลอดว่าป่าตรงนี้ปลูกไว้ให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับคนมาออกกำลังกาย แต่ความคิดของเธอต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอเห็นอะไรบางอย่างเข้า มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา คุณจอยรู้สึกว่าพวกเขากำลังทำอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนร้องไห้ จึงลองมองเข้าไปผ่านต้นไม้ที่ปลูกขึ้นมาที่ทั้งทึบและแน่นหนา และยังไม่ทันจะรู้ว่ากลุ่มคนเหล่าทำอะไร สายตาก็เหลือบไปเห็นผ้าขาวกำลังห่อหุ้มอะไรบางอย่างเอาไว้วางลงบนผ้าสีทอง! “ไม่นะ อย่านะ ไม่ใช่ใช่ไหม” คุณจอยพยายามบอกกับตัวเอง สิ่งที่เห็นก็เป็นสิ่งที่คาดคิดไว้ มีคนกำลังขุดหลุมฝังศพอยู่ สถานที่แห่งนั้นคือ ‘กุโบร์’ สุสานฝังศพของชาวมุสลิมนั่นเอง! คุณจอยเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้เจอมา ก่อนที่เพื่อนจะดึงตัวคุณจอยไปนั่งคุดคู้อยู่ตรงที่ตากผ้า คุณจอยถามเพื่อนว่า “มึงมีอะไรจะบอกกูไหม” แล้วเพื่อนก็ย้อนถามกลับมาว่า “แล้วมึงมีอะไรจะบอกกูไหม” ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน จนคุณจอยเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เล่าประสบการณ์ชวนขนหัวลุกที่เจอ ‘มือ’ นั้นให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนกลับตอบมาว่า “ของมึงยังน้อยนะ...” แล้วเพื่อนก็เริ่มเล่าเรื่องราวในฝั่งของตนให้คุณจอยฟัง ที่หอแห่งนี้ไม่มีแอร์และเพื่อนคุณจอยเป็นคนขี้ร้อน จึงนอนเปิดประตูรับลมจากฝั่งที่อยู่ติดกับป่าทึบ (ซึ่งก็คือตรงกุโบร์) ในคืนนั้น เมื่อกลับมานอนที่ห้องก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งระหว่างที่เล่นโทรศัพท์อยู่ สายตาเธอก็เริ่มเห็นเงาตะคุ่ม ๆ บางอย่างตรงระเบียง! มีมืออะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากระเบียง แล้วสักพักร่างทั้งร่างก็โผล่ขึ้นมา! มันเป็นเหมือนกลุ่มควันดำที่มองทะลุเห็นด้านหลังได้ แล้วทันใดนั้นเงาทั้งหมดก็พุ่งใส่! เพื่อนคุณจอยร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน แม้ตัวคุณจอยที่อยู่ห้องตรงข้ามกันก็ไม่ได้ยินเสียง แล้วสักพักเพื่อนก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คุณจอยมาเคาะประตูที่หน้าห้องของตอนสองทุ่มนี่แหละ คุณจอยเริ่มปรึกษากับเพื่อนว่าควรทำอย่างไรต่อดี ผลสุดท้ายก็คือเพื่อนตัดสินใจย้ายไปอยู่กับแฟน ส่วนคุณจอยยังคงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปเพราะจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย สิ่งที่คุณจอยทำได้ตอนนั้นมีแต่สวดมนต์ อธิษฐานขอขมาที่ได้ล่วงเกินไป และโชคดีที่หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอกับอะไรทำนองนี้อีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก POPPY C. ‘คืนหลอนใน LA’ I อังคารคลุมโปง X POPPY C. [ 2 ก.ค. 2567]

09 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก POPPY C. ‘คืนหลอนใน LA’ I อังคารคลุมโปง X POPPY C. [ 2 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณป๊อปปี้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘คืนหลอน LA’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! โดยคุณป๊อปปี้เล่าว่า วันนั้นตนมีไฟล์ทบินไป LA ประมาณ 14 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก พอถึงโรงแรมใน LA เป็นโรงแรมที่ไปพักประจำ เปิดประตูห้องเข้าไป ทางขวามือเป็นห้องน้ำ พื้นพรม ไม่เก่า ไม่ใหม่ ตกแต่งเป็นไม้ มี 2 เตียง ด้วยความเชื่อของแอร์โฮสเตส ไม่ปล่อยให้มีที่นอนอื่น หรือไม่ปล่อยให้มีเตียงว่าง จึงเอากระเป๋าเดินทาง กระเป๋าอื่น ๆ และเสื้อผ้า วางกางออกทับอีกเตียง แล้วก็เลือกนอนเตียงที่ติดกับหน้าต่าง เวลานั้นดึกแล้ว ทุกอย่างในห้องเป็นปกติดีทุกอย่าง ผ้าม่านไม่ไหวติง หลังจากคุณป๊อปปี้อาบน้ำเสร็จก็ใส่ชุดนอน แล้วนอนเล่นโทรศัพท์ หันไปมองนาฬิกาบอกเวลาประมาณตี 3 แล้ว แต่อยู่ดี ๆ เตียงก็สั่น “กึ้ก กึ้ก กึ้ก กึ้ก” สิ่งที่คิดคือ ตนต้องเตรียมอพยพหรือเปล่า เกิดแผ่นดินไหวหรือไม่ พอมองซ้ายมองขวา ก็เห็นว่าโคมไฟปลายเตียงที่อยู่บนโต๊ะไม้ยังเปิดอยู่ สักพักเตียงก็สั่นอีกรอบ ในใจคุณป๊อปปี้ก็คิดว่า ‘ถ้าแผ่นดินไหวจนเตียงสั่นขนาดนี้ อย่างน้อยโคมไฟต้องหล่น ผ้าม่านต้องสั่น แต่ทุกอย่างมันกลับนิ่ง..’ คุณป๊อปปี้เริ่มคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ปกติแล้ว จึงพยายามลุกขึ้น แต่ก็ลุกไม่ได้ รู้สึกเหมือนโดนล็อคที่ไหล่ ทำอะไรไม่ได้ จากนั้นจึงกรี๊ดออกมา ยังโชคดีที่ถือโทรศัพท์อยู่ คุณป๊อปปี้จึงโทรหาคุณแม่ ในเวลานั้นประเทศไทยน่าจะเวลาประมาณบ่ายโมง พอคุณแม่กดรับก็พูดว่า ”แม่ สวดมนต์“ แล้วคุณแม่ก็สวดมนต์ทุกบท ส่วนคุณป้อปปี้ก็เปิดลำโพงให้เขาได้ยิน แล้วก็พูดว่า ”เรามาอยู่ที่นี่แค่คืนเดียว อย่ามาทำอะไรเรา“ แล้วก็ค้างอยู่แบบนี้ ในระหว่างที่สวดมนต์นั้น คุณป๊อปปี้รู้สึกเหมือนมีแรงต้าน ให้ลองนึกถึงเวลานั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วมีเด็กถีบที่นั่งของเรา เราจะรู้สึกได้ถึงแรงถีบซ้าย ขวา แต่ตอนนี้คุณป๊อปปี้กำลังนอนอยู่ แล้วเขาก็ถีบมาจากใต้เตียง ถีบหลายต่อหลายครั้ง คุณป๊อปปี้คิดว่าใต้เตียงต้องมีอะไรอย่างแน่นอน แต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้ ส่วนคุณแม่ก็ยังคงสวดตั้งแต่ตอนนั้น จนถึง 7 โมงเช้า พอถึงเวลา 7 โมงเช้า คุณป๊อปปี้รู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มคลาย จึงพิมพ์ไปหาพี่ลูกเรือคนไทยว่า ”ช่วยหน่อย หนูขยับตัวไม่ อกกจากห้องไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไง“ โชคดีที่พี่คนนั้นไม่กลัว คุณป๊อปปี้จึงบอกไปอีกว่า ”เจ้มาถึงให้เคาะประตูยาว ๆ เลยนะ ให้รู้ว่ามีคนมา” คุณป๊อปปี้จินตนาการว่า ใต้เตียงต้องมีบางสิ่งบางอย่าง เพราะมีคนถีบ ก็ไม่กล้าเอาเท้าลง จากนั้นก็กระโดดข้ามเตียงไปเปิดประตู พี่ลูกเรือก็เอาพระเข้ามาให้แล้วบอกว่า ”ไหน ใคร อยู่ไหน“ จากนั้นก็เปิดม่านให้แสงสว่างเข้าห้อง คุณป๊อปปี้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังมึนและผะอืดผะอม เพราะเครียดรวมทั้งยังไม่ได้นอน คุณป๊อปปี้คิดว่าจะไปนอนห้องพี่ลูกเรือคนนี้ แต่พี่เขากำลังจะไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ส่วนตนนั้นไม่กล้านอนคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าเขาจะตามไปอีกห้องหรือไม่ คุณป๊อปปี้จึงตัดสินใจไปเดินเล่นรอพี่ จนกระทั่งถึงเวลา 11 โมง คุณป๊อปปี้อาบน้ำแต่งตัวอยู่ที่ห้องพี่ แล้วกลับมาเก็บของที่ห้อง ซึ่งจะมีนาฬิกาดิจิทัลวางไว้ตรงหัวเตียง จังหวะที่เปิดประตูเข้าไป อยู่ดี ๆ มีเสียงออกมาจากลำโพงของนาฬิกา เป็นเสียงผู้ชาย ฟังไม่ออก เพราะไม่ใช่ภาษอังกฤษ หรือภาษาอารบิก และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นคุณป๊อปปี้โมโหมาก จึงบอกไปว่า “จะเอายังไง” เพราะตนไม่ได้นอน แล้วก็ยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงประตู จากนั้นก็เอาของออกมา แล้วไม่กลับเข้าไปในห้องอีกเลย จนกลับมาได้คุยกับคุณแม่ คุณแม่บอกว่า “ระหว่างที่แม่สวดมนต์ แม่ได้ยินเสียงผู้ชาย ไม่รู้ว่าเสียงทีวี หรืออะไร แต่ก็ไม่กล้าถาม” คุณป๊อปปี้ถามกลับว่า “เป็นเสียงผู้ชายใช่มั้ย เสียงพูดใช่มั้ย” แม่บอก “ใช่” คุณป๊อปปี้จึงคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนเป็นการบอกว่าเขายังอยู่ คุณป๊อปปี้ก็ทำได้แค่กลับมาไทยทำบุญให้เขา แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาคือใครหรือต้องการอะไร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากปิงปอง ‘ใครโทรมาครับ’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

08 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากปิงปอง ‘ใครโทรมาครับ’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เมื่อเสียงโทรศัพท์ของพ่อที่ตายไปแล้วดังขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันหลอนตรงที่โทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ได้ชาร์ตแบตมาเป็นเดือน! เรื่องราวนี้ ‘คุณปิงปอง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ใครโทรมาครับ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย คุณปิงปองเล่าว่า มีวันหนึ่งที่คุณปิงปองได้มีโอกาสไปเล่าเรื่องผีกับแก๊ง ‘Powerpuff GAY’ แต่ตัวคุณปิงปองนั้นไม่เคยเจอผีตัวเป็น ๆ จนนึกได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงที่พ่อของคุณปิงปองเสีย ก็ได้จัดงานศพให้คุณพ่อ หลังจากงานจบทุกคนก็แยกย้ายกันไป คุณปิงปองได้เล่าว่าคุณพ่อได้ให้สมบัติที่จับต้องได้ไว้สองอย่าง คือ นาฬิกาทองที่คุณปิงปองยังเก็บไว้ไม่ได้ขายไปไหน และโทรศัพท์ที่พ่อใช้ คุณปิงปองคิดว่าจะเอาโทรศัพท์ของพ่อมาใช้เพราะตอนนั้นตนไม่มีโทรศัพท์ใช้ แต่โทรศัพท์นั้นหน้าจอแตก ทำให้เวลาใครโทรมาก็จะไม่เห็นว่าคนที่โทรมานั้นเป็นใครและหน้าจอจะเป็นแสงสีส้ม คุณปิงปองก็เอาโทรศัพท์ไว้ที่ปลายเตียงทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติ จนวันหนึ่ง คุณปิงปองกลับมาที่บ้านก็อาบน้ำและกำลังจะเคลิ้มหลับ แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ของพ่อที่อยู่ปลายเตียงก็สั่นและเป็นหน้าจอสีส้ม ทั้ง ๆ ที่คุณปิงปองวางทิ้งไว้ 2-3 เดือนและไม่ได้ชาร์จแบตไว้เลย ตอนนั้นคุณปิงปองเล่าว่ากลัวผีพ่อตัวเองมาก และไม่รู้ว่าใครโทรมาเพราะหน้าจอโทรศัพท์ของพ่อแตก เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์คุณปิงปองก็กรี๊ดและรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่อยู่อีกตึกหนึ่ง แต่ระหว่างทางเจอพี่ขายนมปั่นร้านประจำจึงขอให้ช่วย “พี่เอ๋ ช่วยดูให้หน่อยค่ะว่าโทรศัพท์นี้ใครโทรมา” พี่เอ๋จึงบอกให้คุณปิงปองใจเย็นและให้เอาซิมจากเครื่องของพ่อมาใส่เครื่องพี่เอ๋เพื่อที่จะได้ดูข้อมูลการโทรว่าใครโทรมา แต่เมื่อแกะโทรศัพท์ของพ่อออกมาปรากฏว่า โทรศัพท์ของพ่อนั้นไม่มีทั้งแบตและซิม! คุณปิงปองที่ตกใจมากจึงรีบโทรหาแม่และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง แม่คุณปิงปองจึงตอบกลับมาว่า “อ๋อ วันนี้ครบรอบ 100 วันที่พ่อเสีย”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ย้อนไปในวัยเด็ก.. ลุงแถวบ้านมอบของเล่นให้ แต่พอตกดึกกลับโดนผีเด็กใช้วิธีหลอกแบบตุ้งแช่เหมือนในหนังเป๊ะ! สุดท้ายมารู้ว่าผีเด็กตนนั้นเป็นลูกของลุงที่ตายไปนานแล้ว และไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะหวงของเล่น!

23 พ.ค. 2023

ย้อนไปในวัยเด็ก.. ลุงแถวบ้านมอบของเล่นให้ แต่พอตกดึกกลับโดนผีเด็กใช้วิธีหลอกแบบตุ้งแช่เหมือนในหนังเป๊ะ! สุดท้ายมารู้ว่าผีเด็กตนนั้นเป็นลูกของลุงที่ตายไปนานแล้ว และไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะหวงของเล่น!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังว่า มีน้องคนหนึ่งเจอผีเด็กตามหลอกเพราะไปเอาของเล่นเขามา จนทำให้จำฝังใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องคนหนึ่งชื่อ ‘โน้ต’ ปัจจุบันอายุ 40 กว่าปีแล้ว แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวัย 11 ขวบ ซึ่งในตอนนั้นบ้านของคุณโน้ตทำอาชีพขายปลา เปิดหน้าร้านอยู่ในตึกอาคารพานิชย์ ตึกนี้ก็มีร้านค้าอื่น ๆ แบ่งเป็นบล็อก ๆ ไป และร้านด้านในสุดเป็นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า มีคุณลุงใจดีเป็นเจ้าของบ้าน ในตอนนั้นแก๊งค์เพื่อนของคุณโน้ตมี ‘ฝน’ และ ‘เอ’ ที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งโน้ตกับเอเป็นผู้ชาย ส่วนฝนเป็นผู้หญิงและเป็นพี่น้องกับเอ ทั้งสามสนิทกับคุณลุงร้านตัดเย็บเสื้อผ้ามาก เพราะคุณลุงอยู่กับภรรยาสองคน นอกจากนี้คุณลุงก็ยังชอบให้เด็กทั้งสามคนไปเล่นที่บ้านเป็นประจำ มีครั้งหนึ่งที่ทั้งสามคนไปเล่นที่บ้านคุณลุงเหมือนเช่นเคย แล้วคุณลุงก็พูดว่า “เออเนี่ย ลุงซื้อปลามาเลี้ยงใหม่เป็นปลาคาร์ฟ อยู่บนดาดฟ้านะ ขึ้นไปดูเล่นสิ” ทำให้นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนได้ขึ้นไปเล่นที่ดาดฟ้าของบ้านคุณลุง พอขึ้นไปแล้วก็ได้เจอกับบ่อปลาคาร์ฟที่พึ่งก่อขึ้นมาใหม่ มีห้องหนึ่งอยู่ติดกับบ่อปลาคาร์ฟ ระหว่างที่กำลังดูปลาเล่นอยู่นั้น คุณโน้ตก็สงสัยว่าห้องนี้มันคือห้องของใคร หรือจะเป็นห้องพักของคนงานคุณลุงหรือเปล่า เอจึงถามคุณโน้ตว่า “เฮ้ยโน้ต นี่ห้องใครวะ” คุณโน้ตก็ตอบไปว่า “กูก็ไม่รู้ กูก็เพิ่งขึ้นมากับมึงเนี่ย” เอก็เลยบอกให้คุณโน้ตดูว่าในห้องมีใครหรือเปล่า คุณโน้ตจึงเอามือไปป้องกระจกเพื่อส่องดูเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นคือภายในห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือติดกับกระจกที่กำลังส่องดู และเลยไปติดผนังฝั่งตรงข้ามเป็นเตียงเล็ก ๆ ด้านขวามือของเตียงจะเป็นตู้ไม้ที่ประตูตู้เป็นกระจก ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสะดุดตาก็คือในตู้นั้นมีของเล่นเต็มไปหมด คุณโน้ตจึงบอกกับทุกคนว่า “เฮ้ย! พวกมึงดูดิในตู้นั้นของเล่นเต็มไปหมดเลย” ทุกคนจึงหันไปมองตามทันที ระหว่างที่กำลังจ้องของเล่นอยู่นั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าโต๊ะเขียนหนังสือมันสั่นกึก ๆ ๆ และสิ่งที่เห็นก็คือค่อย ๆ มีหัวคน! ลักษณะเป็นเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับพวกเขาโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะ คลานลอดตรงไปยังขอบเตียง และเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ โดยนั่งหันหลังให้กับทั้งสามคน สักพักหนึ่งมีเสียงกิ๊ง ๆ ๆ ซึ่งเป็นเสียงกระดิ่งจากของเล่นที่เป็นรถสามล้อไขลาน หมุนออกมาจากเด็กคนนั้นและวิ่งไปทั่วห้อง ซึ่งเด็กคนนั้นที่นั่งยอง ๆ อยู่ ก็กระโดดไปจับรถสามล้อไขลาน และพอจับได้และกำลังจะหันหน้ามาทางทั้งสามคน คุณลุงก็ขึ้นมาเรียกพอดี “ทำอะไรกันอยู่น่ะ เอ้าลงมากินขนมกันเร็ว” ด้วยความเป็นเด็กทุกคนก็เลยลงไปกินขนมโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อ ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ เด็ก ๆ ทั้งสามคนก็มาเล่นที่ดาดฟ้าบ้านคุณลุงอีกครั้ง และรวมตัวกันไปยืนจ้องดูในห้อง ๆ นั้น เพราะมันมีของเล่นมากมาย จนคุณลุงขึ้นมาเห็นและถามว่าเด็ก ๆ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ คุณโน้ตจึงตอบว่า “เนี่ยลุง ในห้องนี้ทำไมมันมีของเล่นเยอะจัง” คุณลุงตอบกลับมาว่า “เอาไหมล่ะ ลุงให้” โอกาสมาถึงขนาดนี้แน่นอนทุกคนก็ตอบตกลงเอาทันที และเดินตามคุณลุงเข้าไปในห้อง ซึ่งคุณลุงก็บอกว่า “เอาไปเลย คนละสองชิ้นสามชิ้นเอาไปได้เลย” ซึ่งเอเลือกเอาเรือป๊อกแป๊ก โน้ตเลือกเอารถสามล้อไขลานที่เคยเห็นเด็กคนนั้นเล่น โดยในใจของโน๊ตก็คิดว่าอยากได้หุ่นยนต์เพิ่มอีกตัวหนึ่ง แต่ด้วยความเกรงใจคุณลุงจึงคิดว่าเอาแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนฝนได้ไปยืนมองตุ๊กตาตัวหนึ่งและหยิบขึ้นมาอุ้ม ระหว่างที่กำลังจะออกจากห้องจู่ ๆ ฝนก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่เอาละ” พร้อมกับนำตุ๊กตาตัวนั้นไปวางที่เตียง และทั้งสามคนก็ได้ออกมาเล่นกันที่ดาดฟ้าเหมือนเดิม ผ่านไปพลบค่ำ ระหว่างที่กำลังเล่นอยู่นั้น ตัวโน้ตได้หันไปมองที่ห้องนั้นอีกครั้ง เพราะในใจยังอาลัยอาวรณ์หุ่นยนต์ตัวที่อยากได้ ปรากฏว่าเขาเห็นเด็กคนเดิมคนนั้น ค่อย ๆ เอามือมาแนบกระจกแล้วส่องดูพวกเขา โน้ตจึงทักไปว่า “เฮ้ยนาย ออกมาเล่นด้วยกันดิ ถ้าไม่เล่นกันตรงนี้ไปเล่นที่บ้านเราก็ได้ บ้านใกล้ ๆ นี้เอง มาเร็ว มาเร็ว” ทำให้ฝนทักโน้ตว่า “มึงพูดไรอ่ะ มึงเป็นไร มึงชวนใคร” โน้ตเลยตอบว่า “อ้าวก็นั่นไงเด็กที่อยู่ในห้องนั้น” “มีที่ไหน มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย ไม่เอาละ ๆ กลับบ้านดีกว่าเย็นแล้ว” ฝนพูด แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองไป พอตกกลางคืนวิถีของบ้านโน้ตก็คืออาม่าและญาติ ๆ จะนั่งดูทีวีกันจนจบ ค่อยขึ้นนอน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า ในตัวบ้านของโน้ตมีชั้นลอยและมีห้องอยู่ตรงนั้น โน้ตกับอาม่านอนด้วยกัน ก่อนที่จะเข้านอน ด้วยความเห่อของเล่นใหม่ โน้ตก็เอาของเล่นขึ้นไปนอนด้วยและวางตรงไว้ตรงหัวเตียง ซึ่งเตียงนอนของโน้ตและอาม่านั้นจะเป็นเตียงนอนที่ปูติดกับพื้น ระหว่างที่หลับอยู่นั้น โน้ตก็รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะปวดฉี่ จึงพยายามเรียกอาม่าให้ตื่นไปส่งเข้าห้องน้ำ แต่อาม่าก็ไม่ตื่น โน้ตก็ปลุกอาม่าอยู่อย่างนั้นจนอาม่ารำคาญ และพูดกลับมาว่า “เออลื๊อก็ลุกไปฉี่สิ ปลุกอะไรนักหนาเล่า อั๊วจะนอน” โน้ตตัดสินใจว่า “เออลงไปฉี่เองก็ได้วะ” จากนั้นก็หยิบรถสามล้อไขลานที่วางอยู่บนหัวเตียงเพื่อจะเอาลงไปด้วย แต่ปรากฏว่าของเล่นมันหายไป! ก่อนนอนก็จำได้ว่าวางอยู่ตรงนี้ หรือว่าลืมเอาขึ้นมาด้วย ระหว่างที่กำลังหาของเล่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งของรถสามล้อไขลานนั้นดังลงมาจากชั้นล่าง! โน้ตจึงเปิดประตูห้องนอนออกไปเพื่อไปเปิดไฟตรงชั้นลอย และไปยืนชะโงกหน้าดูที่ชั้นล่าง ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่ารถสามล้อไขลานนั้นวิ่งออกมาจากเข่งที่มันตั้งอยู่ประตูหน้าบ้าน แล้วมาหยุดอยู่กลางบ้าน! ในใจก็คิดสงสัยว่า “ใครมาเล่นวะ” ขณะที่กำลังจะก้าวขาลงจากชั้นลอย ตาก็มองของเล่นนั้นไปด้วย แต่สิ่งที่โน้ตเห็นก็คือจู่ ๆ มีเงาดำเงาหนึ่ง วิ่งลอดจากชั้นลอยมาโผล่ตรงพื้นกลางบ้าน ตะครุบของเล่นนั้น และพยายามไขลานดังแกร๊ก ๆ จังหวะที่ปล่อยสามล้อไขลานนี้ให้วิ่งต่อ เงานั้นก็หันขวับขึ้นมามองที่โน้ต โน้ตรู้สึกกลัวและตกใจจึงวิ่งเข้าไปในห้อง และกระโดดขึ้นไปบนที่นอนบอกอาม่าว่าโดนผีหลอก ๆ แต่อาม่าก็ไม่ยอมตื่น ด้วยความที่โน้ตวิ่งเข้ามาในห้องอย่างร้อนรน ทำให้ลืมปิดประตูห้อง แสงไฟที่อยู่ตรงชั้นลอยก็สาดเข้ามาในห้องพาดมายังตรงที่โน้ตนอนพอดี โน้ตที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาอาม่าเพราะกลัว ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมปิดประตูห้อง ขณะที่กำลังจะพลิกตัวกลับไป ก็มีเสียงกิ๊ง ๆ ๆ ของรถสามล้อไขลานนั้นวิ่งเข้ามาในห้อง มาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงนอนโน้ต! โน้ตเลยแกล้งพลิกตัวมาพร้อมกับหรี่ตาไปด้วยเพราะไม่กล้ามอง และเห็นว่าของเล่นนั้นอยู่ตรงหน้าพอดี! โน้ตจึงเอื้อมมือจะไปหยิบสามล้อนั้นเพื่อเอามาเก็บไว้ใต้ผ้าห่ม ปรากฏว่าโน้ตถึงกับต้องค้างมือนั้นไว้เพราะเหลือบไปเห็นตรงประตูว่า มีเงาดำโผล่มาจากหลังประตู และจ้องมองเขาอยู่! โน้ตมองเห็นเงานั้นเพียงลูกตาที่ขาวโพลนหมดทั้งตา เมื่อตาสบตากัน เงานั้นก็วิ่งพรวดเข้ามาหาเขาทันที แล้วมาตะครุบของเล่นไว้ พร้อมกับพูดว่า “ของของกู” เท่านั้นแหละโน้ตก็ภาพตัดไปโดยไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตื่นเช้ามาอาม่าก็โวยวายโน้ตใหญ่เลยว่าทำไมปวดฉี่ถึงไม่ลุกไปฉี่ที่ห้องน้ำ เพราะที่นอนเต็มไปด้วยฉี่ของเขา ในตอนนั้นโน้ตก็ยังไม่ได้พูดอะไรให้อาม่าฟัง และหันไปเห็นว่าของเล่นนั้นยังอยู่บนหัวเตียงเหมือนเดิม จึงนำมันลงไปข้างล่างเพื่อไปกินข้าว ในตอนนั้นโน้ตก็รู้สึกใจคอไม่ดีพะอืดพะอมแปลก ๆ จนอาม่าถามว่า “ลื๊อเป็นอะไรเนี่ยไม่ยอมกินข้าวกินปลา” โน้ตก็บอกว่า “ไม่ได้เป็นอะไรเดี๋ยวจะไปเล่นบ้านเพื่อนก่อนนะ” เพื่อจะไปเล่าให้กับฝนและเอฟัง พอมาถึงบ้านเพื่อน ก็เห็นว่าเอหน้าซีดอยู่หน้าบ้าน จึงถามเอว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า” เอก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เหมือนโดนผีหลอก ระหว่างนั้นแม่ของเอก็เดินมาพอดี จึงได้ถามว่า “ไปทำอะไรกันมาเนี่ย เมื่อคืนเอก็โดนหลอก ร้องไห้จ๊ากเลย” เอก็ได้เล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อคืนเกิดปวดฉี่ขึ้นมา จึงให้แม่ไปส่งเข้าห้องน้ำ ภายในห้องน้ำบ้านเอจะมีอ่างน้ำที่เป็นปูนก่อเป็นทรงสี่เหลี่ยมติดกับผนัง ระหว่างเข้าห้องน้ำอยู่นั้น เอก็เอาเรือป๊อกแป๊กนั้นไปลอยน้ำเล่น เมื่อฉี่เสร็จแล้วก็มาเล่นเรือป๊อกแป๊กต่อ แต่ระหว่างที่เล่นอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่าทำไมน้ำในอ่างถึงกระเพื่อมและมีฟองอากาศปุด ๆ ออกมาจากใต้น้ำ ด้วยความสงสัยจึงชะโงกหน้าไปมอง ในอ่างน้ำค่อนข้างมืดมองไม่เห็นอะไร เอจึงจะเอื้อมมือไปหยิบเรือป๊อกแป๊ก เพราะในใจเริ่มกลัวแล้ว ปรากฏว่ามีเด็กโผล่พรวดออกมาจากกลางน้ำ มายืนอยู่ตรงขอบอ่างและพูดว่า “ของของกู!” เอตกใจกลัวจนแทบขยับไม่ได้ และได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียก จึงฮึดแรงเฮือกสุดท้ายรีบวิ่งออกไปหาแม่ทันที ส่วนฝนก็เล่าด้วยว่าจริง ๆ แล้วที่ไม่หยิบตุ๊กตาออกมาด้วย เพราะว่ารู้สึกว่าตุ๊กตามันยิ้มให้ จึงตัดสินใจไม่เอาดีกว่าเพราะกลัว คุณแม่เอได้ฟังดังนั้นจึงถามต่อว่า “แล้วไปเอาของเล่นนี้มาจากไหน” ทุกคนจึงเล่าให้ฟัง และพากันไปคืนของเล่นที่บ้านคุณลุง คุณลุงได้ทราบเรื่องทั้งหมด ก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าวยังไม่ไปเกิดอีกเหรอ เพราะตายมาหลายปีแล้วนะ” และเล่าต่อว่าของเล่นทั้งหมดนี้เป็นของลูกชายคุณลุงเอง ซื้อให้ลูกชายไว้เล่นเมื่อนานมาแล้ว แต่ลูกชายดันมาเสียไปซะก่อนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ลูกชายเป็นคนหวงของเล่นมาก พอตายไปคนเป็นพ่อจึงตัดสินใจว่างั้นเอาของเล่นทั้งหมดขึ้นไปเก็บที่ห้องบนดาดฟ้าละกัน จะได้เล่นไปเลยคนเดียว และจะได้ไม่มีใครมายุ่งกับของเล่นของลูกอีก แต่มันก็ผ่านนานมาก ๆ แล้ว จึงคิดว่าน่าจะแบ่งของเล่นให้กับเด็กคนอื่น ๆ ได้ และเมื่อทุกคนคืนของเสร็จเรียบร้อยแม่ของเอก็เลยพาทั้งสามคนไปทำบุญกันที่วัด เพื่อที่ผีเด็กตนนั้นจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก เมื่อฟังเรื่องนี้จบดีเจทั้ง 2 คน พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าหลอนมาก ขนาดผู้ใหญ่เจอผียังกลัวจนตัวสั่น แล้วนี่เป็นเด็กเจอผี จะจำฝังใจขนาดไหน เพราะขนาดตอนนี้คุณโน้ตอายุ 40 กว่าแล้วก็ยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้แม่นอยู่เลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1